บทที่ 531 เครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของเขากับเหล่าลูกศิษย์
หญิงสาวคนหนึ่งที่เดินทางข้ามทวีปกลับคืนมายังบ้านเกิด พอออกจากท่าเรือภูเขาหนิวเจี่ยวแล้วก็เดินเท้าออกมาจากภูเขาใหญ่ มุ่งหน้าตรงไปยังเมืองเล็กที่ตั้งอยู่ในเขตการปกครองของอำเภอไหวหวง ระหว่างที่เดินผ่านภูเขาเจินจูซึ่งเล็กจนมองดูเหมือนเนินดิน นางเหลือบตามองอยู่หลายครั้ง พอเข้าเมืองเล็กมาแล้วก็ไปเยือน บ้านเดิมของตัวเองที่อยู่ห่างจากภูเขาเจินจูไปไม่ไกลก่อน ปีนั้นเคยถูกสัตว์เดรัจฉานเฒ่าตัวหนึ่งของภูเขาตะวันเที่ยงเหยียบจนหลังคาพัง สี่คนในครอบครัวจึงได้แต่ย้ายไปอาศัยอยู่บ้านญาติ ภายหลังเรื่องที่ต้องควักเงินซ่อมแซมทำให้ท่านแม่บ่นอยู่เป็นนาน นางหยิบกุญแจบ้านออกมา เดินไปตักน้ำสองถังมาจากบ่อน้ำที่อยู่ใกล้เคียงแล้วทำความสะอาดทั้งในและนอกบ้านอย่างละเอียดหนึ่งรอบ แล้วถึงได้ลงกลอนประตู ไปเยือนร้านยาตระกูลหยางที่กิจการซบเซา เมื่อการค้าไม่รุ่งเรือง ในร้านจึงเหลือลูกจ้างแค่สองคน เด็กหนุ่มมีชื่อว่าสือหลิงซาน ส่วนศิษย์พี่หญิงของเขานั้นชื่อว่า ซูเตี้ยน คอยทำหน้าที่ดูแลร้านยา
สือหลิงซานฟุบตัวนอนงีบหลับอยู่บนโต๊ะคิดเงิน ส่วนซูเตี้ยนนั้นนั่งเข้าฌานทำสมาธิอยู่บนม้านั่งตัวยาวเงียบๆ หลังจากฝ่าทะลุขอบเขตสามแล้ว นางก็ได้คำวิจารณ์จากศิษย์พี่เจิ้งต้าเฟิงว่า ‘คอขวดแตกหยาดสายฟ้าทะลัก ม้าเหล็กทะลวงขบวนรบ’ เป็นถ้อยคำที่ไม่ดาษดื่นสามัญแม้แต่น้อย ช่วยยกระดับขั้นของจิตแห่งวีรบุรุษในภายหลังให้สูงขึ้นได้ และยังแนะนำนางว่าหลังจากเลื่อนสู่ขอบเขตห้าแล้วควรจะไปเยือนซากปรักของสนามรบโบราณสักครั้ง ไปหล่อมหลอมจิตวิญญาณอยู่ที่นั่น เพราะจะทำให้เหนื่อยน้อยลงแต่ได้ผลเป็นเท่าตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังเหมาะแก่การฝึกตนในช่วงขอบเขตหกของนางในภายภาคหน้า แต่ซูเตี้ยนกลับไม่ได้รู้สึกปลาบปลื้มสักเท่าไร กลับกันยังมีเพียงความผิดหวังอย่างล้ำลึก เพราะนางรู้ดีอยู่แก่ใจว่า คอขวดของขอบเขตสามเป็นด่านใหญ่ ยิ่งเป็นโชควาสนาใหญ่ ทว่าคำว่าแข็งแกร่งที่สุด ที่นางปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน กลับไม่มีวาสนากับนางแล้ว จึงได้แต่ฝากความหวังไว้กับขอบเขตสี่ของตอนนี้แล้ว
นี่ทำให้ซูเตี้ยนที่มีจิตใจชอบเอาชนะอย่างถึงที่สุด และเดิมทีก็ไม่ชอบพูดคุย ยิ้มแย้มอยู่แล้ว ตอนนี้ก็ยิ่งเงียบงันพูดน้อยเข้าไปใหญ่ ทุกวันหมกมุ่นอยู่แต่กับการ ฝึกตนจนแทบจะใกล้เคียงกับคำว่าบ้าคลั่ง การฝึกตนบนวิถีวรยุทธของนางแบ่งออกเป็นสามประเภท นั่นคือฝึกตอนกลางวัน ฝึกตอนกลางคืนและฝึกในความฝัน โดยมีอย่างสุดท้ายที่ลี้ลับมหัศจรรย์ที่สุด สองอย่างแรกหากฝึกในเวลาที่แสงแดด แผดเผาและค่ำคืนที่ดวงจันทร์เต็มดวงจะได้ผลดีที่สุด ส่วนเรื่องของการฝึกตนใน ความฝันนั้น ก็คือทุกคืนก่อนจะเข้านอน หลังจากจุดธูปสามดอกแล้วก็จะเข้าไปอยู่ ในขอบเขตของความฝันประเภทต่างๆ ที่มีความประหลาดพิสดารหลากหลาย บ้างก็เป็นการต่อสู้ตัวต่อตัวกับผู้อื่น บ้างก็อยู่ในสนามรบ บ้างก็ตายไปในเสี้ยววินาที บ้างก็เป็นการดิ้นรนก่อนตาย หลังจากการฝึกตนในความฝันสิ้นสุดลง ไม่เพียงแต่ไม่ทำให้เช้าวันต่อมาซูเตี้ยนอ่อนระโหยโรยแรง กลับกลายเป็นว่าหลังจากฟ้าสาง ซูเตี้ยน จะมีสีหน้าสดชื่นแจ่มใสตลอดทั้งวัน ไม่ถ่วงรั้งการฝึกตนตอนกลางวันและกลางคืนของนางแม้แต่น้อย
สือหลิงซานมองดูเหมือนกำลังงีบหลับ แต่แท้ที่จริงเขาเองก็กำลังมานะฝึกตนอยู่เช่นกัน วิธีการฝึกตนของเด็กหนุ่มเมื่อเปรียบเทียบกับศิษย์พี่หญิงอย่างซูเตี้ยนแล้ว ถือว่าง่ายกว่ามาก วิธีของเขามีชื่อเรียกว่า ‘ลุยน้ำ’
เดินอยู่ท่ามกลางสายน้ำแห่งกาลเวลา ขัดเกลาเรือนกายและจิตวิญญาณ
ซูเตี้ยนไม่รู้สถานะที่แท้จริงของอาจารย์ตน ยิ่งไม่รู้ว่าอาจารย์มีตบะและขอบเขตอะไร แต่มีเรื่องหนึ่งที่ซูเตี้ยนมั่นใจอย่างยิ่ง เส้นทางการฝึกตนสองเส้นของตนกับศิษย์น้องย่อมไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ตอนนี้อำเภอไหวหวงมีเทพเซียนมากมายแวะเวียนมา ภูเขาทางแถบตะวันตกก็ยิ่งมีเหล่าภูตจำนวนมากที่เข้าๆ ออกๆ ด้วยรูปลักษณ์ของคน มีคนของเมืองเล็กหรือไม่ก็นักโทษสกุลหลูถูกผู้ฝึกตนรับตัวไปเป็นลูกศิษย์ในสำนักอย่างต่อเนื่อง ซูเตี้ยนเดาเอาว่านอกจากสำนักกระบี่หลงเฉวียนของอริยะหร่วนฉงแล้ว น่าจะไม่มีใครที่สามารถทัดเทียมนางกับน้องชายได้แล้ว
ซูเตี้ยนลืมตาขึ้นมองไปยังลูกค้าแปลกหน้าที่อยู่นอกร้าน สือหลิงซานที่ฟุบตัวอยู่บนโต๊ะคิดเงินยังคงมีลมหายใจทอดยาว แน่นิ่งไม่ขยับ
ซูเตี้ยนเคยเป็นคนงานครึ่งตัวและลูกศิษย์ครึ่งตัวของเตาเผามังกร แต่อันที่จริงกลับต้องทำงานหนักที่ต้องใช้แรงกาย การเผาเครื่องปั้นของเตาเผามังกรคือ เรื่องใหญ่อันดับหนึ่งของเมืองเล็กมานับแต่โบราณ อีกทั้งเครื่องปั้นที่เผานี้ยังเป็นของทางการสกุลซ่งต้าหลี ถือเป็นเครื่องกระเบื้องที่ใช้ในหมู่เชื้อพระวงศ์ ในอดีตซูเตี้ยน ที่มีชื่อเล่นว่าแยนจือก็แค่อาศัยสถานะของท่านอาถึงได้ไปทำงานหาเลี้ยงชีพอยู่ ที่นั่นได้ งานเผาเครื่องปั้นที่แท้จริงมีข้อห้ามและกฎเกณฑ์มากมาย นางเป็นสตรี คนหนึ่งก็หนีไม่พ้นต้องใช้แรงงานทำเรื่องอย่างงการตัดฟืนเผาถ่าน ย้ายดินขนวัสดุ ก็เท่านั้น ทุกครั้งที่มีการเปิดเตาเผา นางไม่สามารถเข้าใกล้พวกมันได้ด้วยซ้ำ เพราะไม่อย่างนั้นก็จะต้องถูกขับไล่
ดังนั้นซูเตี้ยนจึงไม่คุ้นเคยกับชาวบ้านในท้องถิ่นของเมืองเล็กเท่าไรนัก ส่วนศิษย์น้อง สือหลิงซานนั้น ถึงอย่างไรก็เป็นลูกหลานของครอบครัวที่พอมีจะกินในตรอกเถาเย่ นับตั้งแต่เด็กก็ชอบเล่นกับคนวัยเดียวกันที่เป็นเพื่อนบ้านใกล้เคียงหรือไม่ก็คนในครอบครัวใหญ่ของถนนฝูลวี่ สำหรับตรอกที่มีแต่ขี้หมาขี้ไก่อย่างพวกตรอกหนีผิงตรอกซิ่งฮวาอะไรนั่น เขาเองก็ไม่คุ้นเคยเช่นกัน อย่างมากสุดก็แค่คุ้นเคยกลับสถานที่ที่มีร้านขายของเบ็ดเตล็ดมากมายอย่างตรอกฉีหลงเท่านั้น
หญิงสาวเรือนกายบอบบางสะโอดสะองมองซูเตี้ยนแวบหนึ่ง แล้วจึงยิ้มเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เจ้าคงจะเป็นซูเตี้ยนกระมัง”
ซูเตี้ยนรู้สึกดีกับลูกค้าคนนี้อย่างมาก ท่าทางนุ่มนิ่มบอบบาง เหมือนกับพวกผงชาดเครื่องประทินโฉมที่ยามมีชีวิตอยู่ท่านอามักจะนึกถึงเสมอ
ซูเตี้ยนพยักหน้ารับ ลุกขึ้นยืนแล้วตอบว่า “ลูกค้าจะมาซื้อยาหรือ?”
สตรีส่ายหน้า “ข้ามาหาคน ท่านพ่อข้าเคยเป็นลูกจ้างอยู่ที่นี่ น้องชายข้าชื่อหลี่ไหว ตอนเด็กๆ เขาก็มักจะมาเล่นที่นี่เป็นประจำ เจ้าเคยได้ยินหรือไม่?”
ซูเตี้ยนหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
หลี่ไหว? เด็กหนุ่มสวมชุดลัทธิขงจื๊อที่เหมือนกินดีหมีหัวใจเสือไปร้อยดวง คนนั้นน่ะหรือ?
เหตุใดเด็กหนุ่มที่โผงผางแบบนั้นถึงได้มีพี่สาวที่อ่อนโยนดุจสายน้ำเช่นนี้ได้? สตรีที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้ลักษณะราวกับกิ่งหลิวในฤดูใบไม้ผลิอย่างไรอย่างนั้น พูดจาน้ำเสียงก็ไพเราะน่าฟัง หน้าตาก็ยิ่งอ่อนโยนเป็นมิตร ไม่ได้งามล้ำอย่างที่แค่ มองปราดๆ ก็ทำให้จิตใจบุรุษสะท้านไหว แต่เป็นยิ่งพิศยิ่งชวนมอง นี่ทำให้สตรี ที่งดงามอย่างซูเตี้ยนยังรู้สึกว่านางงดงามมาก
ซูเตี้ยนถามเสียงเบา “มาหาอาจารย์ข้าหรือ?”
สตรีผู้นั้นพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
ซูเตี้ยนรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย
และเวลานี้เอง หยางเหล่าโถวก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าประตูระหว่างร้านยากับเรือนหลังอย่างที่หาได้ยาก ใช้กระบอกยาสูบเลิกผ้าม่านขึ้น ยิ้มกล่าวว่า “มาถึง แล้วหรือ เข้ามาสิ”
หลี่หลิ่วจึงเดินเข้าไปในเรือนหลัง
หยางเหล่าโถวนั่งอยู่บนขั้นบันได สูบยาพ่นควันขโมงต่อไป ส่วนสตรีก็เลือกหาม้านั่งแล้วนั่งลงง่ายๆ
หยางเหล่าโถวกล่าว “เรื่องพื้นที่มงคลที่ภูเขาลั่วพั่วได้รับมาใหม่นั่น อะไรที่ ควรพูดก็พูดไป ไม่ต้องกริ่งเกรง มองดูเหมือนจะเกี่ยวพันเป็นวงกว้าง แต่อันที่จริง ยังถือเป็นเรื่องที่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ ก็บุคคลยิ่งใหญ่เทียมฟ้านี่นะ ความใจกว้างเล็กน้อยแค่นี้ควรยังต้องมีบ้าง สถานะและเนื้อหนังมังสาของพวกเจ้าในเวลานี้ แม้จะเป็นพันธนาการ แต่จะดีจะชั่วก็ถือว่าพอจะมีประโยชน์อยู่บ้าง”
หลี่หลิ่วพยักหน้ารับ “ให้เจิ้งต้าเฟิงเรียกตัวข้ามา คงไม่ได้มีแค่เรื่องนี้กระมัง?”
หยางเหล่าโถวอืมรับหนึ่งที “หร่วนฉงเพิ่งจะมาหาข้าพอดี เกี่ยวข้องกับเรื่องของถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลเหมือนกัน เจ้าก็สามารถอธิบายให้เขาฟังไปพร้อมกันได้ ของยังอยู่ที่ข้า หลังจากนี้เจ้าไปที่ภูเขาลั่วพั่วแล้วก็แวะไปที่ภูเขาเสินซิ่วด้วย”
สายตาของหลี่หลิ่วมืดลึก
หยางเหล่าโถวยิ้มกล่าว “แม้แต่มรรคายังไม่เหลือแล้ว ยังจะเอาคำว่าการช่วงชิงบนมหามรรคามาเกี่ยวข้องอะไรด้วยอีก? บุญคุณความแค้นเก่าเก็บของเจ้ากับนาง ข้าว่าปล่อยให้มันผ่านๆ ไปเถอะ แต่ข้าว่าพวกเจ้าคงไม่มีใครยอมฟัง ไม่อย่างนั้น ตอนแรก…ช่างเถอะ เรื่องของปีมะโว้แล้ว ไม่พูดถึงก็ช่าง หากจะคิดเล็กคิดน้อยจริงๆ ไม่ว่าใครก็มีความผิดด้วยกันทั้งนั้น ถึงอย่างไรหากพวกเจ้าสองคนคิดจะงัดข้อกันจริงๆ ขึ้นมา ก็ยังไม่ใช่ตอนนี้อยู่ดี”
คนหนึ่งคือผู้ร่วมครองยุทธภพ
อีกคนหนึ่งคือเทพอัคคีประทับบัลลังก์สูง
ก็แค่มหามรรคาพังทลาย ภูเขาสายน้ำแปรเปลี่ยน ต่างคนต่างเปลี่ยนเนื้อหนัง มังสาใหม่ ทว่ารากฐานร่างทองกลับยังคงอยู่
ส่วนข้อที่ว่าเหตุใดนักโทษที่มีความอาวุโสสูงสุดและสถานะยิ่งใหญ่ที่สุดในใต้หล้าแห่งนี้อย่างเขาถึงยังมีชีวิตอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้
คงต้องถามคนสามคนกับอีกสองเทพ
สองเทพนั้น ท่านหนึ่งตัดสินเรื่องที่ว่าเหตุใดผู้ฝึกกระบี่ถึงมีพลังพิฆาตรุนแรงที่สุด ทว่ากลับยากที่จะเลื่อนสู่ขอบเขตสิบสี่ในตำนานได้มากที่สุด ส่วนอีกท่านหนึ่งก็เป็น ผู้ตัดสินข้อที่ว่าเหตุใดเส้นทางวรยุทธทั้งหมดบนโลกใบนี้ถึงได้เป็นเส้นทางหัวขาด ขณะเดียวกันก็ตัดสินด้วยว่าเหตุใดถึงมีเพียงผู้ฝึกตนสำนักการทหารที่เป็นหนึ่งใน ผู้ฝึกลมปราณที่แทบจะไม่ต้องแตะต้องผลกรรม
หลี่หลิ่วพลันเอ่ยว่า “ข้าว่าไม่สำเร็จหรอก”
หยางเหล่าโถวหัวเราะเสียงเย็น “ตอนนั้นใครเล่าจะคิดว่ามดพวกนั้นจะเดินขึ้นยอดเขาสูงได้? จะทำได้สำเร็จ?”
หลี่หลิ่วเงียบงันไป
ก็จริงอย่างที่หยางเหล่าโถวกล่าว
หากจะคิดเล็กคิดน้อยกันจริงๆ ไม่ว่าใครก็ล้วนมีความผิด
หยางเหล่าโถวใช้กระบอกยาสูบเคาะพื้น ศาลขนาดเล็กที่มีไอเมฆหมอกล้อมวน ก็กลิ้งออกมา มันกลิ้งหลุนๆ อยู่บนพื้น สุดท้ายจึงหยุดนิ่ง
มีคนจิ๋วควันธูปผู้หนึ่งวิ่งออกมาจากด้านใน สองมือออกแรงลากเอา ‘กรอบป้ายใหญ่’ ออกมาด้วยสองชิ้น อันที่จริงนั่นก็คือป้ายหยกหนึ่งแผ่นกับตราประทับหนึ่งชิ้น
หลี่หลิ่วมองของทั้งสองอย่างนี้แล้วก็หัวเราะ “หลิวเสี้ยนหยางที่ถูกสกุลเฉินผู้รอบรู้ ยืมตัวไปสามสิบปีจะต้องเข้ามาอยู่ในสำนักกระบี่หลงเฉวียนแน่ๆ หรือ?”
หยางเหล่าโถวกล่าว “หร่วนฉงรู้สึกว่าความเป็นไปได้ที่หลิวเสี้ยนหยางจะกลับมามีไม่มาก แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับมีโอกาสสูงมาก”
คนจิ๋วควันธูปผู้นั้นวิ่งตะบึงไปหยุดอยู่ริมเท้าของหลี่หลิ่ว
หลี่หลิ่วหยิบกุญแจของพื้นที่สวรรค์และถ้ำมงคลสองแห่งนั้นขึ้นมา
นางไม่ได้รู้สึกสนใจสักเท่าไร
ก็แค่ภูเขาสายน้ำแห่งเก่าที่แตกทลายเท่านั้น
นางไม่ค่อยเหมือนกับพวกหร่วนซิ่ว หลี่เอ้อร์ เจิ้งต้าเฟิงหรือฟ่านจวิ้นเม่าสักเท่าไร
ส่วนโจวจวี่นักปราชญ์แห่งสำนักศึกษากวานหู ซุนเจียซู่แห่งนครมังกรเฒ่า แม่หนูชุยในสำนักเล็กๆ อย่างดินแดนเซียนเป่าต้งนั่นก็ยิ่งไม่อาจทัดเทียมกับนางได้
เทพหญิงทั้งแปดของนครปี้ฮว่าชายหาดโครงกระดูก จวนดินแดนเซียนในภาพวาดที่มอบไว้ให้กับสำนักพีหมาในทุกวันนี้ ก็คือหนึ่งในขุนเขาสายน้ำที่ล่มสลาย ถึงขั้นถือว่าเป็นหนึ่งในคฤหาสน์หลบร้อนของหลี่หลิ่วได้ด้วยซ้ำ ดังนั้นเทพหญิงสิงอวี่ ที่พอเห็นหลี่หลิ่ว จิตวิญญาณถึงได้ไม่มั่นคง รู้สึกเพียงว่าเมื่อพบเจอกับหลี่หลิ่ว ตัวนางก็เหมือนกลายเป็นเสมียนตัวเล็กๆ ในวงการขุนนางโลกมนุษย์ที่ได้เจอกับขุนนางใหญ่กรมขุนนาง อันที่จริงนี่ไม่ใช่ว่าเทพหญิงสิงอวี่คิดไปเอง เพราะความจริงก็เป็นเช่นนี้ เทพหญิงทั้งแปดท่านในนครปี้ฮว่ามีหน้าที่รับผิดชอบคล้ายๆ กับผู้ดูแลของหกฝ่ายในราชสำนักของทุกวันนี้ แต่ก็แค่เหมือนเท่านั้น เพราะในความเป็นจริงแล้ว อำนาจรับผิดชอบของเทพหญิงทั้งแปดท่านมีมากกว่า พวกนางสามารถออกลาดตระเวนฟ้าดิน พันธนาการ ตรวจสอบ ทัดทานองค์เทพของหลายฝ่าย เรียกได้ว่าตำแหน่งต่ำแต่อำนาจหนัก
ในบรรดาคนอื่นๆ ที่เป็นผู้นำพาผู้คนให้เดินไปถึงเส้นทางโบราณสายนั้นพร้อมกับหยางเหล่าโถว หลี่หลิ่วไม่เหมือนใครมากที่สุด นางไม่จำเป็นต้องรอให้สติปัญญาเปิดออก เพราะนางเกิดมาก็รับรู้แล้ว ตระกูลเซียนตัวอักษรจงหลายแห่ง หลังจากที่บรรพจารย์ในสำนักลาจากโลกนี้ไป เกี่ยวกับเรื่องที่ว่าจะตามหาบรรพจารย์ที่ไป จุติใหม่ได้อย่างไร จำเป็นต้องทุ่มกำลังทรัพย์จำนวนมหาศาลของภูเขา
ยกตัวอย่างเช่นบรรพจารย์ผู้กอบกู้สำนักใบถงท่านนั้นที่ได้สั่งให้คนลงจากเขาไปตามหามารดาของตัวเอง แต่พอหาเจอแล้วก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะจำเรื่องในอดีตได้ บนเส้นทางของการฝึกตนนั้น พรสวรรค์ก่อนกำเนิดดีก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถหวนกลับคืนสู่ยอดเขาได้อย่างแน่นอน
หลังจากเก็บแผ่นหยกและตราประทับไปอย่างง่ายๆ แล้ว หลี่หลิ่วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก็ถอนหายใจเอ่ยว่า “เจ้ายังคงไม่อยากให้พวกเราสองคนพลิกบัญชีเก่ากันขึ้นมา”
เฉินผิงอันคนเดียวไม่พอ ก็บวกกับหลี่หลิ่วไปอีกคน หากยังไม่ปลอดภัยมั่นคง ถ้าอย่างนั้นก็รวมหลิวเสี้ยนหยางเข้าไปด้วย
การช่วงชิงแห่งน้ำและไฟที่ถูกเก็บซ่อนอำพรางไว้อย่างลึกล้ำที่สุด เป็นเฉินผิงอันที่เปลี่ยนตัวกับนางหลี่หลิ่วชั่วคราว เพื่อไปช่วงชิงกับหร่วนซิ่ว เพราะปีนั้นคนที่ควรจะได้โชควาสนา ‘หนีชิว’ อย่างแท้จริง คือเฉินผิงอัน ไม่ใช่กู้ช่าน เหตุใดหร่วนซิ่วถึงได้โปรดปรานเฉินผิงอันนัก? ตอนนี้ความรู้สึกนั้นอาจเปลี่ยนมาเป็นซับซ้อนมากกว่าเดิม แต่แรกเริ่มนั้นต้องไม่ใช่เพราะแค่สภาพจิตใจของเฉินผิงอันกระจ่างใส ทำให้หร่วนซิ่วรู้สึกถึงความสะอาดบริสุทธิ์ง่ายๆ แค่นั้นแน่นอน แต่เป็นเพราะปีนั้นเมื่อหร่วนซิ่วเห็นเฉินผิงอันก็เหมือนคนตะกละหิวโหยได้เห็นอาหารที่เลิศรสที่สุดในโลก นางจึงย้ายสายตามาจากเขาไม่ได้
หลี่ไหวน้องชายของนางหลี่หลิ่วก็เป็นลูกศิษย์ของฉีจิ้งชุนเหมือนกัน และด้วยวาสนาที่ประจวบเหมาะ เฉินผิงอันจึงเคยทำหน้าที่เป็นผู้ปกป้องมรรคาของหลี่ไหว นางหลี่หลิ่วอยากจะพลิกบัญชีเก่าเก็บกับหร่วนซิ่วก็จำเป็นต้องสังหารเฉินผิงอันที่ เกิดมาก็ใกล้ชิดกับสายน้ำเสียก่อน ให้นางเป็นผู้ครอบครองมหามรรคาสายนั้น ทว่า หลี่ไหวย่อมไม่ยอมให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นอย่างแน่นอน และหลี่หลิ่วเองก็ไม่ต้องการให้หลี่ไหวเสียใจ
แต่นี่ก็ยังไม่มั่นคงมากพอ
ดังนั้นหยางเหล่าโถวจึงจะให้หลิวเสี้ยนหยางหวนกลับคืนสู่สำนักกระบี่หลงเฉวียน บวกกับความเป็นไปได้ที่สมเหตุสมผลเข้าไปอีกส่วนหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่นถ้ำสวรรค์ แห่งหนึ่งที่ไม่นับว่าเป็นหนึ่งในสามสิบหกแห่ง และคัมภีร์กระบี่ที่สืบทอดมาจาก บรรพบุรุษของหลิวเสี้ยนหยางเล่มนั้น ช่วยกันประคับประคองให้สำเร็จ
มีเฉินผิงอันและหลิวเสี้ยนหยางอยู่ ความสัมพันธ์ระหว่างภูเขาลั่วพั่วและ สำนักกระบี่หลงเฉวียนมีแต่จะยิ่งสนิทสนมแนบแน่น
หยางเหล่าโถวไม่ได้ปฏิเสธอะไร เขาพูดด้วยสีหน้าเฉยชาว่า “ทุกคนต่างก็มีความผิด ทว่าพวกเจ้าสองคนกลับทำผิดมหันต์ยิ่งกว่าใคร!”
หลี่หลิ่วทั้งไม่มีความหวาดเกรง แล้วก็ไม่มีความละอายใจ นางแหงนหน้ามองท้องฟ้า “คงจะใช่กระมัง”
หยางเหล่าโถวพลันเอ่ยว่า “แม้จะบอกว่าสำหรับพวกเจ้าแล้ว แค่สะบัดอาภรณ์ ดินโคลนต่างๆ ก็ปลิวกระจายหาย แต่ก็ยังต้องระวังอยู่บ้าง ไม่อย่างนั้นสักวันหนึ่ง ดินโคลนที่ไม่สะดุดตาจะเป็นเหมือนโคลนสีที่ติดอยู่บนตราประทับ แล้วพวกเจ้าจะต้องเจอกับความยากลำบากใหญ่หลวง”
หลี่หลิ่วส่ายหน้า “เรื่องพวกนี้ไม่ต้องพูดกับข้า ข้ารู้ดีว่าควรทำเช่นไร”
จากนั้นหลี่หลิ่วก็คลี่ยิ้มอ่อนหวาน มองไปทางผู้เฒ่า
หยางเหล่าโถวหลุดหัวเราะพรืด พูดเหมือนคนที่กำลังหาข้ออ้างให้ตัวเอง “นั่งอยู่เฉยๆ ในกรงขังมาหมื่นปี ยังจะไม่ยอมให้ข้าหาความบันเทิงมาแก้อุดอู้บ้างเลยหรือ?”
หลี่หลิ่วกลั้นยิ้ม “ท่านพ่อข้ายังดีหน่อย เพราะถึงอย่างไรก็ต้องทิ้งโชคชะตาบู๊บางส่วนไว้ให้กับแจกันสมบัติทวีป แต่อันที่จริงท่านแม่ข้าไม่จำเป็นต้องไปอุตรกุรุทวีปเลย”
หยางเหล่าโถวเงียบงัน สีหน้าไม่ค่อยดีนัก
พอนึกถึงสตรีปากร้ายที่ราวกับว่ากินสารหนูเข้าไปวันละหลายๆ จินผู้นั้น อารมณ์เขา ก็ไม่อาจดีได้จริงๆ
สิ่งที่เทพชิงชังผีรังเกียจ ขี้แมลงวันในกระถางธูป มองนานหน่อยยังรังเกียจว่าสกปรกสายตา
หลี่ไหวกับมารดาของเขาไม่ค่อยเหมือนกับบิดาหลี่เอ้อร์และหลี่หลิ่วผู้เป็นพี่สาวสักเท่าไร พวกเขาต่างก็ไม่ใช่คนบนเส้นทางเดียวกัน แม่ลูกสองคนนั้นเป็นเพียงแค่ คนธรรมดาเท่านั้น แน่นอนว่าหลี่ไหวเป็นคนก็จริง แต่ไม่ใช่คนที่ธรรมดาอย่างแน่นอน
ใต้หล้านี้ไม่มีลูกกระต่ายน้อยที่ไหนที่เหมือนมีขี้หมานำโชคมาเรียงต่อแถวรอให้เขาเหยียบเช่นนี้ หวงถิงแห่งภูเขาไท่ผิงใบถงทวีป เฮ้อเสี่ยวเหลียงแห่งสำนักโองการเทพ ต่างก็ถูกขนานนามให้เป็นผู้ที่มีโชควาสนาเป็นอันดับหนึ่งในทวีปของตัวเอง แต่คนที่มีโชคดีขี้หมาอย่างไร้ศัตรูทัดเทียมได้อย่างหลี่ไหวนี้ ดูเหมือนว่ายากเกินกว่า จะทำให้ผู้คนเข้าใจได้ หวงถิงและเฮ้อเสี่ยวเหลียงยังต้องคิดพิจารณาว่าควรจะคว้าเอาโชควาสนาต่างๆ มาไว้ในมือให้มั่นคงได้อย่างไร หลีกเลี่ยงไม่ให้โชคมาพร้อมกับเคราะห์ เจ้าหลี่ไหวจำเป็นหรือไม่? เขาเป็นคนประเภทที่ว่าโชควาสนาพากันพุ่งมา หาเขาด้วยตัวเอง บางครั้งยังต้องคอยกังวลด้วยว่าของบางอย่างจะหนักเกินไปหรือไม่ จะงดงามน่ามองหรือไม่ด้วยซ้ำ
ดังนั้นสำหรับหลี่ไหวแล้ว หยางเหล่าโถวจึงสามารถแหกกฎได้มากหน่อย อีกทั้งยังไม่ต้องเกี่ยวพันกับการทำการค้าเลยแม้แต่น้อย เพราะถึงอย่างไรผู้เฒ่าก็ชอบเจ้า ลูกกระต่ายน้อยผู้นี้จริงๆ
ถ้ำสวรรค์หลีจูมีอายุยาวนาน คนที่สามารถเข้ามายังเรือนด้านหลังของตระกูลหยาง ได้นั้น เดิมทีก็มีน้อยอยู่แล้ว และเด็กอย่างหลี่ไหวก็มีให้เห็นได้ไม่มาก
ส่วนสตรีผู้นั้น ก็เป็นเพราะว่าธรรมดาสามัญเกินไป ดังนั้นผู้เฒ่าถึงได้คร้านจะถือสา ไม่อย่างนั้นหากเปลี่ยนมาเป็นเซี่ยสือแห่งตรอกเถาเย่ หรือไม่ก็เฉาซีจากตรอกหนีผิงในอดีตดูสิ? จะยังเดินออกไปจากถ้ำสวรรค์หลีจูได้ไหม?
หยางเหล่าโถวนิ่งคิดไปครู่หนึ่ง “เฉินผิงอันเริ่มสืบหาเบาะแสเรื่องเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตแล้ว แต่ทำอย่างมิดชิด ไม่เปิดเผยพิรุธแม้แต่น้อย”
เกี่ยวกับเรื่องนี้หลี่หลิ่วไม่ได้สนใจมากนัก นางพอจะรู้เรื่องวงในบางอย่างคร่าวๆ ถือเป็นเส้นสายบนภูเขาที่ซับซ้อนอย่างถึงที่สุดเส้นหนึ่ง แน่นอนว่าร้านยาตระกูลหยางไม่อาจปัดความเกี่ยวข้องทิ้งได้ เพียงแต่ว่ากฎเกณฑ์ในการลงมือนั้นไม่ได้จงใจใช้ เล่นงานเฉินผิงอันโดยเฉพาะ ก็แค่นั่งลงแบ่งส่วนแบ่งกับสกุลซ่งต้าหลีก็เท่านั้น การเผาเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิต แรกเริ่มสุดก็คือวิธีการที่ใหญ่เทียมฟ้าของ หยางเหล่าโถว ถึงขั้นพูดได้ว่าการลุกผงาดของราชวงศ์ต้าหลีก็ล้วนต้องยกความดีความชอบให้กับการค้าครั้งนี้ของถ้ำสวรรค์หลีจู นี่ต่างหากที่ทำให้พวกเขาร่ำรวยเป็นเศรษฐี ค่อยๆ ลุกผงาดขึ้นมาได้ ดังนั้นคำชื่นชมที่หยางเหล่าโถวมีให้กับจิตวิญญาณของเด็กหนุ่มชุยฉาน จึงถือว่าเป็นการยอมรับที่สูงที่สุดในใต้หล้าแห่งนี้แล้ว สามารถพูดได้ว่านอกจากหยางเหล่าโถว คนบนเส้นทางนี้ที่มีความสามารถค้ำฟ้า ก็มีเพียงชุยฉานและชุยตงซานเท่านั้น สามีภรรยาแซ่หม่าที่อาศัยอยู่ในตรอกซิ่งฮวา แต่กลับมีความสามารถที่จะควบคุมเตาเผามังกร ซึ่งก็คือพ่อแม่ของหม่าขู่เสวียน มีความเกี่ยวข้องสูงสุดกับเรื่องที่เครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของเฉินผิงอันแตก หม่าหลันฮวาที่ทุกวันนี้เลื่อนจากแม่ย่าลำคลองไปเป็นองค์เทพลำคลอง แต่กลับไม่มีร่างทองอยู่ในศาล แล้วก็ยิ่งไม่มีคนจุดธูปกราบไหว้ หญิงชราที่จิตใจอำมหิตชั่วร้าย คนนั้น มีเพียงเรื่องนี้เท่านั้นที่มโนธรรมในใจบังเกิด อีกทั้งนางยังเคยพยายามหยุดยั้งบุตรชายและลูกสะใภ้อย่างสุดความสามารถด้วย เพียงแต่ว่าคู่สามีภรรยาถูกผลประโยชน์บดบังหัวใจ หญิงชราจึงทำไม่สำเร็จก็เท่านั้น ปีนั้นหม่าขู่เสวียนเคย สะดุ้งตื่นมากลางดึก จึงพอจะรู้ความจริงของเรื่องนี้บ้างเล็กน้อย ดังนั้นลูกรัก แห่งสวรรค์ที่ในอดีตแสร้งทำเป็นคนโง่ตลอดเวลาผู้นี้ถึงได้ให้ความสนใจเฉินผิงอัน มากเป็นพิเศษ
เหนียงเนียงต้าหลี หรือก็คือไทเฮาในทุกวันนี้ รวมไปถึงอดีตฮ่องเต้ ต่างก็ทำเพื่อซ่งจี๋ซิน และก็ยิ่งเพื่อโชคชะตาแคว้นของต้าหลี
ส่วนราชครูชุยฉานก็คล้อยไปตามสถานการณ์ แล้วก็ได้เล่นหมากล้อมกระดานหนึ่งกับฉีจิ้งชุนด้วยเรื่องนี้ หากมองแค่ผลลัพธ์ ก็ถือว่าชุยฉานได้วางหมากฝีมือเทพเซียนอย่างแท้จริง
ส่วนเรื่องที่ว่าปีนั้นเป็นใครกันแน่ที่ซื้อเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของเฉินผิงอัน ไปแล้ว เหตุใดถึงได้ถูกทุบแตก ด้วยเรื่องนี้สกุลซ่งต้าหลีได้จ่ายเงินเทพเซียนให้กับ คนเบื้องหลังที่ซื้อเครื่องปั้นไปกี่มากน้อย หลี่หลิ่วไม่ค่อยรู้แน่ชัดนัก แล้วก็ไม่ยินดีจะไปสืบสาวเรื่องราวที่ไม่เกี่ยวข้องกับตัวเองเหล่านี้ โดยทั่วไปแล้ว เด็กคนหนึ่งที่ถือกำเนิดขึ้นมาในตรอกหนีผิง ราคาที่คนเดิมพันกับเครื่องปั้นย่อมไม่มีทางต่ำเกินไป เพราะตรอกหนีผิงเคยมีเฉาซีเซียนกระบี่ผู้ดูแลหอพิทักษ์เมืองของทักษิณาตยทวีป ที่โดดเด่น ในข้อนี้จะช่วยทำให้ราคาเพิ่มขึ้น แต่ก็จะไม่สูงเกินไปนัก เพราะถึงอย่างไรตรอกหนีผิงก็เคยมีเฉาซีปรากฎตัวแล้วคนหนึ่ง ดังนั้นปีนั้นอดีตฮ่องเต้สกุลซ่งและ ราชสำนักต้าหลี รวมถึงคนซื้อเครื่องปั้นคนนั้นก็น่าจะไม่ได้เก็บเอามาใส่ใจสักเท่าไร แต่ว่าเมื่อเฉินผิงอันเดินทีละก้าวจนมาถึงทุกวันนี้ คาดว่าคงจะบอกได้ยากแล้ว ไม่แน่ว่าอีกฝ่ายอาจอดไม่ไหวพลิกบัญชีเก่าขึ้นมาเปิด ใช้เหตุผลต่างๆ นานามางัดข้อกับฮ่องเต้องค์ใหม่ของต้าหลีดูสักรอบ เพราะตามหลักปกติแล้ว เครื่องปั้นแห่ง ชะตาชีวิตของเฉินผิงอันแตกแล้ว อีกทั้งเขายังมีหน้ามีตาเช่นทุกวันนี้ หากยังไม่แตก แล้วยังถูกคนซื้อเครื่องปั้นพาออกไปจากถ้ำสวรรค์หลีจู จากนั้นก็ให้การอบรมปลูกฝังเป็นอย่างดี ก็ไม่ใช่ว่าเขาต้องสามารถกลายเป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนได้อย่าง แน่นอนหรอกหรือ? ดังนั้นการชดเชยค่าเสียหายของราชสำนักต้าหลีในปีนั้น ย่อมถูกมองว่าไม่ยุติธรรม แต่ก็แน่นอนว่าหากคนซื้อเครื่องปั้นเป็นคนตระกูลเซียนของแจกันสมบัติทวีป คาดว่าตอนนี้คงไม่กล้าเปิดปากพูดอะไร ได้แต่นินทาอยู่ในใจเท่านั้น แต่หากเป็นตระกูลเซียนของทวีปอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งตระกูลเซียนยิ่งใหญ่ ที่มีตัวอักษรจงอยู่ในชื่อสำนัก และยิ่งมาจากอุตรกุรุทวีปด้วยแล้วล่ะก็
ฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของต้าหลีที่รากฐานยังไม่มั่นคงคงหนีไม่พ้นต้องเป็นบุตร ที่ใช้หนี้แทนบิดาแล้ว
หลี่หลิ่วพลันเอ่ยว่า “เฉินผิงอันเป็นคนที่คุยได้ง่ายมากคนหนึ่ง”
แล้วนางก็เอ่ยต่อว่า “แต่ว่า ขณะเดียวกันเฉินผิงอันก็เป็นคนที่น่ากลัวมากคนหนึ่ง”
หยางเหล่าโถวหัวเราะ “ได้รับคำวิจารณ์เช่นนี้จากเจ้า หมายความว่าตลอดเวลาหลายปีที่ผ่านมาเฉินผิงอันไม่ได้มีชีวิตอยู่อย่างเสียเปล่าแล้ว”
หลี่หลิ่วขมวดคิ้ว “หากเฉินผิงอันตรวจสอบจนรู้แน่ชัด ศัตรูอันดับแรกก็จะอยู่ใกล้กับภูเขาลั่วพั่วและตรอกหนีผิงในระยะประชิดแล้ว”
อันดับแรกคือตระกูลหม่าแห่งตรอกซิ่งฮวา
อันดับที่สองก็คือเชื้อพระวงศ์สกุลซ่งต้าหลี
และเห็นได้ชัดว่าหม่าขู่เสวียนคือคนที่ผู้เฒ่าทุ่มเดิมพันก้อนใหญ่และให้ความสำคัญอย่างถึงที่สุด
ผู้เฒ่าหลุดหัวเราะพรืด “หากหม่าขู่เสวียนถูกคนวัยเดียวกันที่เครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตถูกทุบแตกฆ่าตาย ก็เท่ากับว่าช่วยลดการเดิมพันในช่วงหลังให้ข้าไปได้ ข้าควรจะขอบคุณเฉินผิงอันถึงจะถูก”
หลี่หลิ่วถอนหายใจ
นี่ก็คือคัมภีร์การทำการค้าของผู้เฒ่า
หยางเหล่าโถวหัวเราะ “อันที่จริงในอดีตเจ้าลัทธิเต๋าผู้นั้นเคยได้บอกกล่าว ความจริงที่เป็นเรื่องใหญ่อยู่เหมือนกัน เพียงแต่ไม่รู้ว่าเฉินผิงอันคิดจนเข้าใจกระจ่างหรือยัง ยกตัวอย่างเช่นคนที่ทำเรื่องดี ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นคนดี คนที่ทำ เรื่องเลวร้ายก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นคนเลว”
หยางเหล่าโถวเงยหน้ามองท้องฟ้า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเหตุใดลัทธิพุทธถึงดูเหมือน ไม่สนใจการดำรงอยู่หรือทิศทางการดำเนินไปของถ้ำสวรรค์หลีจูเลย?”
หลี่หลิ่วใช้ความเงียบเป็นคำตอบ
หยางเหล่าโถวถามเองตอบเองว่า “สมมติว่ายุคเสื่อมแห่งธรรมะมาถึง เจ้าคิดว่าสามลัทธิร้อยสำนัก ใครจะมีสภาพอนาถที่สุด?”
หลี่หลิ่วกล่าว “ลัทธิเต๋า หากไม่มีเส้นทางของการบินทะยาน แล้วก็ไม่มีปราณวิญญาณ วิธีการฝึกตนบนโลกก็ล้วนไม่มีค่าพอให้พูดถึง สภาพการณ์ของลัทธิเต๋าจะยากลำบากมากที่สุด ความสงบคล้อยไปตามธรรมชาติของมหามรรคาอันยาวไกลก็อาจจะกลายมาเป็นการคล้อยตามธรรมชาติที่ผู้คนไม่ทำอะไรเลยสักอย่าง สำหรับลัทธิเต๋าแล้ว มีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าจะกลายมาเป็นการแบ่งแยกทุกอย่างให้เป็นสองเช่นฟ้าและดิน คนและเทพอย่างที่เคยเกิดขึ้นในอดีตอีกครั้ง หันกลับมามองลัทธิขงจื๊อและลัทธิพุทธ กลับยังคงสามารถสืบทอดวิชาความรู้ต่อไปได้เป็นพันเป็นหมื่นปี ก็แค่ว่าแสงสว่างแห่งการสืบทอดเทียบกับในอดีตไม่ได้ก็เท่านั้น”
หยางเหล่าโถวพยักหน้ารับ “ดังนั้นเต๋าเหล่าต้า (เหล่าต้าหมายถึงคนโต ในที่นี้ ก็คือลูกศิษย์ใหญ่ เต๋าเหล่าเอ๋อร์คือลูกศิษย์คนรอง) ถึงได้ร้อนใจ เต๋าเหล่าซาน (ศิษย์คนที่สาม) ถึงได้มาเป็นผู้ปกป้องมรรคาให้กับศิษย์พี่ใหญ่ด้วยตัวเอง เดินทางมาเยือนถ้ำสวรรค์หลีจูรอบหนึ่ง รับบทเป็นหมอดูเพื่อคอยจับตามองฉีจิ้งชุนไม่ให้คลาดสายตา”
หลี่หลิ่วถาม “เหตุใดท่านฉีถึงได้ไม่ใช้ปิ่นที่อาจารย์ของเขามอบให้?”
หยางเหล่าโถวกล่าว “นั่นถือเป็นของสำคัญของเจ้าอารามผู้เฒ่าจมูกโค แน่นอนว่า ซิ่วไฉเฒ่าหวังดี แรกเริ่มแม้แต่ข้าก็ยังมองประวัติความเป็นมาของปิ่นชิ้นนั้นไม่ออก น่าจะเป็นเพราะแรกเริ่มฉีจิ้งชุนเองก็ไม่สังเกตเห็น ภายหลังฉีจิ้งชุนใช้กำลังของตัวเองแบกรับทัณฑ์สวรรค์ ปิ่นชิ้นนั้นถึงได้เผยความประหลาดออกมาเล็กน้อย แน่นอนว่าเจ้านักพรตจมูกวัวก็มีความคิดอยากจะทำให้บรรพจารย์เต๋าสะอิดสะเอียน น่าเสียดายที่ฉีจิ้งชุนไม่ยินดีเปลี่ยนจากกระดานหมากอันหนึ่งไปสู่กระดานหมากอีกอันหนึ่ง ตายก็คือตาย จึงเท่ากับว่ากระชากต้นตอเส้นสายทั้งหมดทิ้งไปโดยตรง”
สีหน้าของหยางเหล่าโถวเผยอารมณ์หวนระลึกถึง “ปีนั้นก็เป็นคนประเภทนี้ ที่ทำให้ฟ้าดินของพวกเราพลิกคว่ำคะมำหงาย”
ผู้เฒ่าพูดกลั้วหัวเราะ “อย่าได้รู้สึกว่าวิถีทางโลกทุกวันนี้เละเทะไม่เป็นท่า อันที่จริงเมื่อหายนะใหญ่มาถึงอย่างแท้จริง ก็ยังจะมีคนประเภทนี้อีกมากมายหยัดยืนขึ้นมา นี่ก็คือคุณความชอบจากการอบรมสั่งสอนของลัทธิขงจื๊อ คนที่ชอบพูดว่าชาวบ้าน โง่เขลา คือใคร? คือคนบนภูเขา ต่อมาก็คือบัณฑิต ในความเป็นจริงแล้ว ทำดีแต่กลับไม่รู้ว่าเป็นความดี ทำชั่วแต่กลับรู้ตัวว่าทำชั่ว นี่ต่างหากถึงจะเป็นจุดที่ร้ายกาจของลัทธิขงจื๊อ บุตรชายหญิงเลี้ยงดูพ่อแม่แก่ชรา พ่อแม่อบรมสั่งสอนบุตร จักรพรรดิ ขุนนาง อาจารย์ลูกศิษย์ ญาติสนิทมิตรสหาย เพื่อนบ้านใกล้เคียง วิถีทางโลกของ ลัทธิขงจื๊อก็เหมือนกับการเผาเครื่องปั้น ความรู้แทรกซึมไปตามฟ้าดิน มีความ เหนียวแน่นมากที่สุด แม้ว่าเครื่องกระเบื้องจะแตกได้ง่าย แต่คุณสมบัติเดิมของดินกลับไม่เคยขาดหายไปไหน”
ผู้เฒ่าคิดแล้วก็กล่าวว่า “ก่อนหน้านี้เจ้าลูกกระต่ายหลี่ไหวส่งตำราส่วนหนึ่งมาที่ร้าน ข้าเปิดเจอประโยคหนึ่งในนั้นบอกว่า ‘ไอชื้นเย็นเยียบแผ่สู่พื้นผิวขุนเขา ต้นไม้ใบหญ้าหยัดตระหง่านกล้าแกร่ง’ เป็นอย่างไร? มีความหมายยิ่งใหญ่มากเลยใช่ไหม? เหตุใดคนอย่างหม่าหลันฮวาแห่งตรอกซิ่งฮวาที่มีจิตใจต่ำช้าถึงได้ห้ามปรามไม่ให้บุตรชายและสะใภ้ฆ่าคนชิงทรัพย์?
นี่ก็คือนิสัยคนที่ซับซ้อน คือกฎเกณฑ์ที่อยู่นอกหน้ากระดาษของลัทธิขงจื๊อที่กำลังพันธนาการใจคน หลักการเหตุผลมากมาย อันที่จริงได้อยู่ในใจของคนในใต้หล้าไพศาลมานานแล้ว”
หลี่หลิ่วถามอย่างประหลาดใจ “เวลาหกสิบปีที่อาจารย์ฉีอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจู เขากำลังศึกษาความรู้เรื่องอะไรอยู่กันแน่?”
หยางเหล่าโถวกล่าว “แน่นอนว่าย่อมศึกษาความรู้ทั้งของสามลัทธิและร้อยสำนัก เรื่องการอ่านหนังสือของฉีจิ้งชุนนั้น ได้รับคำชื่นชมว่า ‘มองปราดเดียวเห็นทั้งหมด’ แต่โดยส่วนตัวแล้วเขาให้ความสนใจกับความรู้สามด้านมากเป็นพิเศษ นั่นคือการคิดคำนวณ เส้นสายเหตุการณ์และกฎหมาย”
หลี่หลิ่วถอนหายใจ
เป็นบัณฑิตคนหนึ่ง เหตุใดต้องใช้ชีวิตให้ลำบากเช่นนี้?
หยางเหล่าโถวหยิบเอาเส้นยาสูบออกมาหนึ่งหยิบมือ
หลี่หลิ่วเห็นภาพนี้แล้วก็ยิ้มอย่างเข้าใจ
น่าจะเป็นหลี่ไหวน้องชายของนางที่มอบมันให้กับผู้เฒ่า
เหตุผลนั้นง่ายดายมาก เพราะมองดูก็รู้แล้วว่าเส้นยาสูบพวกนั้นราคาถูก
หลังจากพูดคุยกันได้พักหนึ่ง
หลี่หลิ่วก็ลุกขึ้นยืน ร่างวูบหายไป นางเปลี่ยนใจตรงไปที่ภูเขาเสินซิ่วก่อน แล้วค่อยไปภูเขาลั่วพั่ว
หน้าผาภูเขาเสินซิ่ว ตั้งแต่บนจรดล่างมีตัวอักษรที่ใหญ่มากสี่ตัวสลักไว้ว่า ‘สวรรค์สร้างเสินซิ่ว’
สตรีสวมชุดสีเขียวมัดผมหางม้าคนหนึ่งนั่งอยู่บนขีดขวางขีดแรกของอักษร ‘สวรรค์’ (หรืออักษรตัวเทียน 天) เหมือนนั่งอยู่บนระเบียงของสวรรค์ ก้มหน้า หลุบตาลงต่ำมองโลกมนุษย์ที่อยู่บนพื้น
นางกินขนมช้าๆ
หลี่หลิ่วมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายนางแล้ว แต่หร่วนซิ่วก็ไม่ได้หันหน้ามามอง
หลี่หลิ่วนั่งลงบนพื้น ทอดสายตามองไปไกล โยนของสองชิ้นที่อยู่ในมือออกไปอย่างไม่สนใจ
หร่วนซิ่วรับเอาไว้ แล้วเก็บผ้าเช็ดหน้าที่ห่อขนมลงไป
หลี่หลิ่วเอ่ยว่า “ถ้ำสวรรค์หนึ่งแห่ง ชื่อว่าถ้ำสวรรค์นาข้าว พื้นที่มงคลหนึ่งแห่ง ชื่อว่าพื้นที่มงคลพยับหมอก เมื่อเทียบกับถ้ำสวรรค์ใหญ่สิบแห่งและถ้ำสวรรค์เล็กสามสิบหกแห่งแล้ว นับว่าด้อยกว่า แต่พื้นที่มงคลกลับเป็นพื้นที่มงคลระดับกลางสำเร็จรูป ไม่ดีไม่เลว ทุ่มเงินสักหน่อยก็มีหวังว่าจะเลื่อนขั้นเป็นพื้นที่มงคลระดับสูง เพียงแต่ว่าในพื้นที่มงคลแห่งนี้ไม่มีคน มีเพียงภูตดอกไม้ใบหญ้า ภูตแห่งภูเขาหนองบึงเท่านั้น เพราะตาเฒ่าไม่ชอบคบค้าสมาคมกับใคร เจ้าเองก็น่าจะรู้ดี ตามคำสัญญา ในอนาคตตาเฒ่าจะให้เจ้าทำเรื่องสองเรื่อง จากนั้นก็อยู่ที่อารมณ์ของเจ้าแล้วว่า จะตัดสินใจทำหรือไม่ทำ จะทำอย่างไร”
หร่วนซิ่วแบมือ ก้มหน้าลงมอง
แผ่นหยกชิ้นหนึ่ง สลักคำว่า ‘มิใช่มังกรเขียวตรวจตราน้ำ พื้นดินกลายเป็นร่องน้ำกลายเป็นนา’ คือถ้ำสวรรค์นาข้าว มีอีกชื่อหนึ่งว่าถ้ำสวรรค์ต้นกล้าเขียว
ตราประทับหนึ่งชิ้น ริมขอบสลักคำว่า ‘กาลเวลาโลกมนุษย์เร่งรัด พยับหมอกมากนักที่แห่งนี้’ คือพื้นที่มงคลพยับหมอก
พื้นที่มงคลอยู่ที่พื้นอยู่ที่คน อยู่ที่วัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดิน ถ้ำสวรรค์อยู่ที่การฝึกตน ได้บรรลุมรรคา
นี่ก็คือ ‘ความต่างราวฟ้ากับดิน’ ตามความหมายของตัวอักษร
แน่นอนว่าสถานการณ์ที่ดีที่สุดก็คือสำนักแห่งหนึ่งได้ครอบครองถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลในเวลาเดียวกัน ยกตัวอย่างเช่นสำนักโองการเทพที่ได้ครอบครองพื้นที่มงคล ชิงถาน ขณะเดียวกันก็ยังมีถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กอีกแห่งหนึ่ง เพียงแต่ว่าไม่ได้อยู่ในอันดับสามสิบหกแห่งอย่างถ้ำสวรรค์หลีจู ถ้ำสวรรค์วังมังกร เพราะระดับขั้นไม่สูงมากพอ แต่ถึงอย่างไรถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กก็ยังคงเป็นถ้ำสวรรค์ขนาดเล็ก เทียบกับสถานที่วิเศษฮวงจุ้ยดีเยี่ยมที่มีปราณวิญญาณอุดมสมบูรณ์แล้ว นอกจากปราณวิญญาณจะมีมากยิ่งกว่า กุญแจสำคัญก็คือยังมีความลี้ลับอีกหลายอย่าง ยกตัวอย่างเช่นลมปราณแห่งมหามรรคา และยังมีวัตถุสีทองบางอย่างที่ถูกแม่น้ำแห่งกาลเวลาที่ไหลรินผ่าน ชะล้างให้กลายเป็นตะกอนทับถม ลักษณะของมันจะเป็นเม็ดเล็กๆ ส่องแสงสว่างเรืองรอง
ถ้ำสวรรค์นาข้าวแห่งนี้ยังมีความลี้ลับมหัศจรรย์คล้ายกับบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำด้วย ดังนั้นจึงเหมาะให้หลิวเสี้ยนหยางนำมาใช้ฝึกกระบี่ได้ในระดับหนึ่ง
อันที่จริงผู้เฒ่ายังมีถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลที่เหมาะสมกับคัมภีร์กระบี่เล่มนั้นมากกว่านี้อยู่อีก
แต่ยังไม่เหมาะให้เอาออกมาในเวลานี้
ทำการค้ากับคนอื่น อย่าได้เอาแต่เสนอตัวทุ่มของดีมากเกินไป เพราะจะทำให้ขายได้ราคาไม่สูง
หร่วนซิ่วขมวดคิ้ว เอ่ยถาม “ไม่มีเศษซากพื้นที่ลับที่เป็นธาตุไฟหรือ?”
หลี่หลิ่วเอ่ย “ต่อให้ตาเฒ่ามีก็ไม่มีทางมอบให้เจ้า เจ้ากล้ารับไว้ พ่อของเจ้าก็ต้องเอากลับไปคืนอยู่ดี และข้าก็ยิ่งไม่มีทางเสียเวลาเดินทางกลับมาเพราะเรื่องแบบนี้แน่”
หร่วนซิ่วพยักหน้ารับ “ขอบใจเจ้ามาก”
หลี่หลิ่วไม่ได้ตอบรับ
หร่วนซิ่วหยิบขนมที่ห่อด้วยผ้าเช็ดหน้าออกมาอีกครั้ง “กินหรือไม่?”
หลี่หลิ่วลังเลอยู่เล็กน้อย แล้วจึงหยิบขนมหนึ่งชิ้นขึ้นมาวางใส่ปาก
หร่วนซิ่วยิ้มตาหยี รู้สึกดีใจเล็กน้อย จากนั้นนางก็เอ่ยว่า “วันหน้าก่อนจะฆ่าเจ้าตาย เจ้าสามารถกินได้อีกครั้ง”
หลี่หลิ่วยิ้มกล่าว “ข้ากินขนม เจ้ากินข้า ถึงอย่างไรก็ยังคงเป็นเจ้าที่ได้กิน นับว่าเป็นการค้าที่ดี”
หร่วนซิ่วเก็บขนมลงไป ยิ้มมองไปยังทิศไกล “แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่เจ้าจะกินข้านี่นา ข้ารู้สึกว่าเป็นแบบนี้ก็ดีมากแล้ว ไม่ต้องมีพันธนาการมากมายพวกนั้น อยากกิน ก็ได้กิน”
เผาแม่น้ำต้มมหาสมุทร หมื่นสรรพสิ่งล้วนสามารถกินได้
หร่วนซิ่วเอ่ยถาม “เรื่องในอดีตข้าจำไม่ได้แล้ว ครั้งสุดท้ายที่พวกเราประมือกัน ใครแพ้ใครชนะ?”
หลี่หลิ่วพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย “แพ้ทั้งคู่”
หลี่หลิ่วเอ่ยถาม “ลูกศิษย์ที่ได้รับการบันทึกชื่อของสำนักกระบี่หลงเฉวียนทั้ง สิบสองคนนั้น เห็นได้ชัดว่าเป็นหมากที่คนอื่นเอามาแทรกแซงไว้ เหตุใดเจ้าถึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น?”
หร่วนซิ่วพูดด้วยสีหน้าเหลอหลา “คนอื่นเอามดสองสามตัวมาใส่ไว้ในเล้าไก่ เจ้าต้องไปสนใจด้วยหรือ?”
หลี่หลิ่วหัวเราะทันใด
มดที่น่าสงสาร
ในบรรดานั้นเกรงว่าคงจะเป็นเซี่ยหลิงที่น่าสงสารที่สุด
หร่วนซิ่วถามเหมือนไม่ใส่ใจ “เจ้าอยู่อุตรกุรุทวีปได้เจอคนคุ้นเคยหรือไม่?”
หลี่หลิ่วกล่าว “เคยเดินสวนกันในสถานที่แห่งหนึ่งที่ชื่อว่าหุบเขาผีร้ายของชายหาดโครงกระดูก ไม่ได้ไปทักทาย เพราะถึงอย่างไรวันหน้าก็ต้องได้พบกันที่ ยอดเขาสิงโตอยู่ดี”
หร่วนซิ่วร้องอ้อหนึ่งที “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ไม่รู้จักเข้าสังคมสักเท่าไร”
หลี่หลิ่วหัวเราะหยัน “ไปสู้กันในพื้นที่มงคลพยับหมอกสักรอบไหมล่ะ?”
“ไม่ไป เห็นๆ กันอยู่ว่าต้องแพ้แน่นอน แล้วยังเป็นการค้าที่ต้องขาดทุนด้วย สู้กันไป สู้กันมา ปราณวิญญาณของพื้นที่มงคลกระจายหายไป ปีศาจใหญ่บาดเจ็บล้มตาย ไม่มีความหมาย”
หร่วนซิ่วส่ายหน้าเอ่ยว่า “นิสัยเช่นนี้ของเจ้า ปีนั้นข้าไม่ได้ฆ่าเจ้าตาย ก็หมายความว่าข้านิสัยดีมากจริงๆ”
หลี่หลิ่วทิ้งตัวนอนหงายไปด้านหลัง ใช้สองมือรองต่างหมอน “ก็ค่อนข้างดี นั่นแหละ”
หร่วนซิ่วชำเลืองตามองไปยังทิศสูง มีคนสองคนทะยานลมมุ่งหน้าไปทางทิศใต้
นางมองแวบหนึ่งแล้วก็ไม่คิดจะสนใจอีก
บุรุษคนหนึ่งที่นั่งเรือข้ามฟากของตระกูลตนเองมาเยือนท่าเรือบนภูเขาหนิวเจี่ยว ข้างกายมีสาวใช้นามว่ายาเอ๋อร์คนหนึ่งติดตามมาด้วย
คนทั้งสองทะยานลมมุ่งหน้าไปยังภูเขาลั่วพั่วโดยตรง
เขามีป้ายกระบี่ที่สำนักกระบี่หลงเฉวียนเป็นผู้สร้างขึ้น คราวก่อนที่มาเยือนภูเขาลั่วพั่วก็ได้ถือโอกาสซื้อมันมาจากจวนตระกูลเซียนในพื้นที่แห่งหนึ่ง และเวลานี้ ก็แขวนมันไว้ที่เอว
อาศัยสถานะของตัวเองมาซื้อขายในราคาเดิม เรื่องแบบนี้ เขาทำไม่ได้ ไม่เกี่ยวกับว่ามีคุณธรรมหรือไม่มี
ราคาเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัวไม่ยอมขาย ให้ราคาเพิ่มสูงขึ้นอีก อีกฝ่ายถึงจะขายยอมขายอย่างรวดเร็ว ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังมีราคาแค่หนึ่งเหรียญเงินฝนธัญพืชเท่านั้น
พอมาถึงตีนเขาก็พลิ้วกายลงสู่เบื้องล่าง
เขาตะโกนเสียงดัง “พี่น้องต้าเฟิง!”
ชายฉกรรจ์หลังค่อมคนหนึ่งที่กำลังนั่งอาบแดดอยู่บนม้านั่งหน้าประตูใหญ่รีบลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งมาหา พร้อมเอ่ยอย่างกระตือรือร้นว่า “โอ้ พี่น้องโจวเฟยมาแล้วหรือนี่!”
หญิงสาวหน้าตางามพิลาสที่อยู่ข้างกายเจียงซ่างเจินก็คือยาเอ๋อร์ที่ถูกพาตัวออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัว
หลังจากมองรูปโฉมอีกฝ่ายแล้ว เจิ้งต้าเฟิงก็พูดอย่างสะท้อนใจว่า “ท่วมทะลักจริงๆ!” (มาจากประโยคว่าไอ้ที่แห้งก็แห้งแล้งจนตาย ไอ้ที่ท่วมก็ท่วมทะลักจนตาย เปรียบเปรยถึงสถานการณ์สองอย่างที่ต่างกันสุดขั้ว อย่างเช่นว่าบางคนที่รวยก็รวย ค้ำฟ้า บางคนที่จนก็แทบไม่มีจะกิน ประโยคนี้เหมือนเจิ้งต้าเฟิงจะบอกว่า เจียงซ่างเจินมีสตรีรายล้อมไม่ขาด แต่ตัวเองกลับหาไม่ได้สักคน)
เจียงซ่างเจินถาม “ขึ้นไปบนภูเขาได้ไหม?”
เจิ้งต้าเฟิงพยักหน้ารับ “ได้สิ แต่ช่วงนี้ภูเขาลั่วพั่วของพวกเราค่อนข้างจะฝืดเคือง ก็เลยมีกฎบนภูเขาข้อใหม่ ใครที่เดินผ่านประตูขึ้นเขาจะต้องจ่ายค่าผ่านทางก้อนเล็กๆ ในเมื่อเป็นพี่น้องโจวเฝย ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงต้องทำตัวหน้าไม่อาย ยอมบิดเบือนกฎเห็นแก่ความสัมพันธ์ส่วนตัวสักครั้ง พี่น้องโจวเฝยจะให้เท่าไรก็ตามสบายเถอะ ถึงอย่างไรสถานะของเจ้าก็วางอยู่ตรงนั้น เป็นคนกันเองครึ่งตัวที่ขาดอีกแค่นิดเดียว ก็จะได้เป็นผู้ถวายงานของภูเขาลั่วพั่วเราแล้ว จะให้เท่าไรก็ได้”
เจียงซ่างเจินหัวเราะร่าพลางหยิบเงินฝนธัญพืชออกมาหนึ่งเหรียญ แล้ววางลง บนมือของเจิ้งต้าเฟิง
เจิ้งต้าเฟิงเก็บเข้าไปไว้ในชายแขนเสื้อ “มิกล้ารับๆ นี่เยอะเกินไปแล้ว”
ยาเอ๋อร์มองชายฉกรรจ์หลังค่อมหน้าไม่อายผู้นี้แล้ว สมองที่เฉลียวฉลาดอย่างถึงที่สุดของนางก็แทบจะแล่นต่อไม่ได้
เจิ้งต้าเฟิงเดินขึ้นเขาไปพร้อมกับเจียงซ่างเจิน พลางถามว่า “มาครั้งนี้มีธุระอะไรหรือ?”
เจียงซ่างเจินยิ้มตอบ “มาแสดงความขอบคุณต่อภูเขาลั่วพั่วของพวกเรา ตอนนี้ทะเลสาบซูเจี่ยนของข้ามีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งมารับหน้าที่เป็น ผู้ถวายงานแล้ว ต้องขอบคุณเจ้าขุนเขาของพวกเจ้า ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นเพราะเขาทั้งสิ้น นอกจากนี้ก็ยังได้ยินมาว่าเทพภูเขาเว่ยจัดงานเลี้ยงท่องราตรีครั้งที่สอง ข้าพลาดไปทั้งสองครั้ง รู้สึกผิดมากจริงๆ ในใจคันคะเยอ จึงจำเป็นต้องเดินทาง มาเยือนด้วยตัวเองสักรอบ หนึ่งเพื่อขอบคุณ อีกหนึ่งเพื่อขออภัย ล้วนต้องชดเชยให้ทั้งสิ้น”
ทะเลสาบซูเจี่ยนมีสำนักแห่งใหม่ปรากฏขึ้นมา มีชื่อว่าสำนักเจินจิ้ง (เจินจิ้งจง มีตัวอักษรจงในชื่อ) นี่คือเรื่องใหญ่ที่คนบนภูเขาของแจกันสมบัติทวีปต่างก็รู้กัน ถ้วนทั่ว
หากไม่เป็นเพราะเสียงกีบเท้าม้าบนอาณาเขตของทวีปดังอึงอลเกินไป นี่ย่อมมากพอจะทำให้ผู้ฝึกตนบนภูเขานำมาพูดคุยกันอย่างเพลิดเพลินได้เนิ่นนานเป็นแน่
สำนักเจินจิ้งคือสำนักเบื้องล่างของสำนักกุยหยกตระกูลเซียนใหญ่อันดับหนึ่งของใบถงทวีปในทุกวันนี้
หัวหน้าผู้ถวายงานอย่างหลิวเหล่าเฉิงคือผู้ฝึกตนอิสระห้าขอบเขตบนเพียง หนึ่งเดียวของแจกันสมบัติทวีป
นอกจากนี้ผู้ถวายงานยังมีหลิวจื้อเม่าสกัดคงคาเจินจวินแห่งเกาะชิงเสีย
รวมไปถึงผู้ฝึกตนใหญ่ที่แข็งแกร่งอีกกลุ่มหนึ่งซึ่งเดินทางมาจากสำนักกุยหยก
และตอนนี้ยังมีลี่ไฉ่เซียนกระบี่หญิงแห่งอุตรกุรุทวีปมาเพิ่มอีกคนหนึ่ง กลายมาเป็น ผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อของสำนัก
พลังอำนาจยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม
ในช่วงเวลานี้ทุกสถานที่บนภูเขาของแจกันสมบัติทวีปต่างก็พากันย้ายสายตาไปมองสำนักโองการเทพมากขึ้น
ด้วยสงสัยใคร่รู้เป็นอย่างยิ่งว่าระหว่างงูเจ้าถิ่นกับมังกรข้ามแม่น้ำจะตีกันบนเวทีหรือไม่ เพราะหากเป็นกระแสคลื่นใต้น้ำที่ไหลอยู่ใต้โต๊ะ ถึงอย่างไรก็ไม่ตระการตา น่าชมเท่ากับการที่ผู้ฝึกตนใหญ่ของทั้งสองฝ่ายต่อสู้เอาเป็นเอาตายกัน
สำนักโองการเทพ เจ้าสำนักฉีเจินคือเทียนจวินที่มีตบะขอบเขตสิบสอง อีกทั้ง ยังได้รับอาวุธเซียนชิ้นหนึ่งมาจากเจ้าลัทธิระบบเต๋า นอกจากนี้สำนักโองการเทพที่อยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางก็มีสำนักเบื้องบนเป็นที่พึ่งเช่นกัน และดูเหมือนว่า ทุกวันนี้ศิษย์น้องของฉีเจินจะไปรับหน้าที่สำคัญอยู่ที่สำนักเบื้องบน
เพียงแต่ว่าจากการอนุมานวิเคราะห์ของผู้ฝึกตนแจกันสมบัติทวีป ในระยะเวลาร้อยปีต่อจากนี้สำนักเจินจิ้งคงยังต้องขยับขยายพื้นที่อย่างระมัดระวังอยู่ดี
สกุลซ่งต้าหลีย่อมไม่อนุญาตให้อยู่ดีๆ แจกันสมบัติทวีปก็มีสำนักใหญ่มีอิทธิพลโผล่ขึ้นมาอย่างแน่นอน
และในความเป็นจริงแล้วสำนักเจินจิ้งก็รักษากฎเกณฑ์เป็นอย่างดี ต่อให้จะจัดการกับเกาะมากมายในทะเลสาบซูเจี่ยนไปแล้วรอบหนึ่ง แต่นอกจากวิธีการ นองเลือดที่ใช้ในช่วงแรกเริ่ม ตามคำกล่าวที่ว่าผู้ปฏิบัติตามรุ่งเรือง ผู้ขัดขืนมอดม้วยแล้ว ตอนนี้ก็ถือว่าเริ่มเขาสู่สภาวะที่มั่นคง ความตึงเครียดเบาบางลง ผู้ฝึกตน และเกาะต่างๆ ที่ฉลาดมากพอต่างก็ได้รับผลเก็บเกี่ยวแตกต่างกันไป แล้วพวกเขา ก็ค้นพบว่าหลังจากหลิวจื้อเม่าถูกจัดการไปรอบหนึ่ง หากไม่พูดถึงเรื่องกฎเกณฑ์พันธนาการของสำนัก อันที่จริงศักยภาพและกำลังทรัพย์ของเกาะแต่ละแห่ง ก็ไม่เพียงแต่ไม่ลดลง กลับกันยังเพิ่มมากขึ้น อีกทั้งเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจมากก็คือ สถานที่ที่ผู้ฝึกตนปะปนกันหลากหลาย ไร้ขื่อไร้แปมากที่สุดในแจกันสมบัติทวีปแห่งนี้ ดูคล้ายว่าจะเปลี่ยนแปลงไปภายในค่ำคืนเดียว อยู่ดีๆ แต่ละคนก็กลายมาเป็น เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูล อีกทั้งยังเป็นเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลของ ตระกูลเซียนที่มีอักษรจงในชื่อด้วย
ระหว่างนี้เกาะจูไชพยายามจะย้ายออกไปจากทะเลสาบซูเจี่ยน สำนักเจินจิ้ง ได้ตัดแบ่งเกาะหลายแห่งที่มีภูเขาสายน้ำเชื่อมโยงกันอยู่แถบหนึ่งออกไป ทว่ายังไม่ได้ตัดสินใจเสียทีว่าจะยกให้เป็นของใคร ผู้ฝึกตนใหญ่บางท่านของสำนักเจินจิ้งปิดด่านกะทันหัน ก็ล้วนถือเป็นเรื่องเล็ก
จูเหลี่ยนมารับรองเจียงซ่างเจิน พูดคุยกันอย่างถูกคอ
เจียงซ่างเจินเอาสมบัติอาคมที่มีมูลค่าควรเมืองออกมาสองชิ้น เพื่อเป็นของขวัญกราบภูเขาชดเชยที่ไม่ได้เข้าร่วมงานเลี้ยงท่องราตรีทั้งสองครั้ง รบกวนให้จูเหลี่ยนช่วยส่งมอบต่อให้กับเว่ยป้อแห่งภูเขาพีอวิ๋นอีกที
นอกจากนี้แล้ว เจียงซ่างเจินยังเตรียมสมบัติหนักตระกูลเซียนเอาไว้ล่วงหน้าอีกสองชิ้นเพื่อนำมาเป็นของขวัญขอบคุณที่เจ้าขุนเขาหนุ่มของภูเขาลั่วพั่วช่วยช่วงชิง ผู้ถวายงานขอบเขตหยกดิบคนหนึ่งมาให้กับสำนักเจินจิ้ง
จูเหลี่ยนจึงบอกว่าผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบ นั่นเป็นถึงเซียนกระบี่ แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังเป็นเซียนกระบี่จากอุตรกุรุทวีปด้วย พี่น้องโจวเฟยมอบของมาให้แค่สองชิ้น คงไม่เหมาะสักเท่าไร สามชิ้นจึงจะค่อนข้างสมเหตุสมผล
ตอนนั้นเจียงซ่างเจินที่นั่งอยู่บนม้านั่งหินของลานบ้านขนาดเล็กตบเข่าฉาด บอกว่าทำไมตนถึงลืมเรื่องนี้ไปได้นะ ผิดไปแล้วๆ ดังนั้นจึงหยิบของออกมาอีก… สองชิ้นทันที
ยาเอ๋อร์ทนมองไม่ไหว
หลังจากที่นางออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัวก็ทั้งเคยได้เห็นวิธีการที่มองดูเหมือนกำเริบเสิบสาน แต่แท้จริงแล้วล้วนเต็มไปด้วยกลอุบายของเจียงซ่างเจินตอนอยู่ในสำนักกุยหยก และยังเคยติดตามเจียงซ่างเจินไปยังพื้นที่มงคลถ้ำเมฆา ยิ่งเคยได้เห็นความเย็นชาไร้ปราณีของเขา ยามที่ฆ่าพวกเซียนดินของพื้นที่มงคลที่ไม่ยอมทำตามกฎเหมือนกับบิดคอลูกเจี๊ยบ ตาไม่กะพริบเลยสักครั้ง สุดท้ายพอไปถึงทะเลสาบ ซูเจี่ยน แม้ว่าเจียงซ่างเจินจะไม่เคยออกคำสั่งอย่างเป็นรูปธรรมมาก่อน ราวกับว่าทำตัวเป็นนายท่านใหญ่ที่ไม่สนใจฟ้าไม่แยแสดิน เป็นเถ้าแก่ที่สะบัดมือทิ้งร้านไม่สนใจ จะทำงาน
แต่ไม่ว่าจะเรื่องราวหรือผู้คนที่อยู่รอบตัว กลับทำให้ยาเอ๋อร์ที่มีชาติกำเนิดมาจากลัทธิมาร ดังนั้นจึงคุ้นเคยกับการโคจรกฎเกณฑ์ของสำนักใหญ่ได้อย่างคร่าวๆ มองออกถึงตราประทับของการวางตัวในสังคมที่เจียงซ่างเจินนาบลงไปอย่างไร้รูปลักษณ์
ดังนั้นนางจึงยิ่งสงสัยใคร่รู้ว่า เจ๋อเซียนหนุ่มแซ่เฉินในปีนั้นคู่ควรให้เจียงซ่างเจินให้ความสำคัญกับเขามากถึงเพียงนี้เชียวหรือ? อีกอย่างตอนนี้เฉินผิงอันไม่ได้อยู่บนภูเขาบ้านตัวเองด้วยซ้ำ
ยาเอ๋อร์ในทุกวันนี้ไม่ใช่กบใต้บ่อของพื้นที่มงคลดอกบัวแห่งนั้นอีกแล้ว
นางเคยเห็นทัศนียภาพของจุดที่สูงที่สุดของใบถงทวีปมาแล้ว
เจิ้งต้าเฟิงเห็นเช่นนี้ก็พลันอารมณ์ดี
ดีนักนะ
ภูเขาฮุยเหมิง ภูเขาจูซา ภูเขาเว่ยเสีย ภูเขาหลังอ๋าว
วัตถุสยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะของภูเขาสี่ลูกใต้อาณัติของภูเขาลั่วพั่วล้วน มีครบแล้ว
และจุดที่พี่น้องโจวเฝยคนนี้ฉลาดมากที่สุดก็อยู่ที่ว่าวัตถุสยบความชั่วร้ายทั้งสี่ชิ้นที่ระดับขั้นไม่ธรรมดานี้ ในอนาคตสามารถนำมาเป็นวัตถุที่ช่วยส่งเสริมเกื้อหนุนได้ ซึ่งก็หมายความว่าขอแค่ภูเขาลั่วพั่วเจอสมบัติหนักตระกูลเซียนที่เหมาะสมยิ่งกว่า นำมาใช้พิทักษ์ขุนเขาสายน้ำของภูเขาเหล่านี้ การส่งถ่านท่ามกลางหิมะในวันนี้ก็จะแปรเปลี่ยนเป็นการปักบุปผาลงบนผ้าแพรในวันหน้า
แน่นอนว่าการที่เจ้าสำนักเจินจิ้งผู้นี้ใช้วิธีการที่ฉลาดเฉลียวเช่นนี้ได้ มีเงื่อนไขอยู่ข้อหนึ่งที่สำคัญอย่างถึงที่สุด
ต้องมีเงิน!
แต่นี่ก็ปกติ พื้นที่มงคลถ้ำเมฆาแห่งนั้นคือสถานที่ดีเยี่ยมที่สามารถทำให้พวกผู้ฝึกตนจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่มีดวงตาแปะอยู่บนหน้าผากพากันไปเยี่ยมชมเพราะเลื่อมใสในชื่อเสียงมานาน
และยิ่งเป็นต้นกำเนิดของรายรับมหาศาลของตลอดทั้งสำนักกุยหยก
ดังนั้นจูเหลี่ยนจึงฆ่าหมู ฆ่าหมูตัวอวบอ้วน (อวบอ้วนภาษาจีนใช้คำว่าโจวเฝย)
คนหนึ่งยินดีตี คนหนึ่งยอมถูกตี ทุกคนต่างก็ปิติยินดี คาดว่าพี่น้องโจวเฝยที่มีความกระตือรือร้นผู้นี้ยังรังเกียจด้วยซ้ำว่ามีดที่จูเหลี่ยนจ้วงแทงลงมาบนร่างของตนยังไม่เร็วพอ?
ในเมื่อมาถึงภูเขาสอพลอ อืม…ภูเขาลั่วพั่ว ทั้งสองฝ่ายก็ย่อมต้องวัดระดับความสูงต่ำของมรรคกถากันหน่อย
การเดินทางมาเยือนภูเขาลั่วพั่วครั้งนี้ เจียงซ่างเจินที่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยมกลับต้องพ่ายแพ้ตกเป็นรองอีกครั้ง
เพราะว่าท่าไม้ตายของจูเหลี่ยนก็คือประโยคที่บอกว่าเผยเฉียนลูกศิษย์ใหญ่ของเฉินผิงอันมีขอบเขตเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว
ประโยคเดียวตัดสินทุกอย่าง
เจียงซ่างเจินล่ะนับถือเขาจริงๆ
ยาเอ๋อร์ที่นั่งฟังอยู่ด้านข้างรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวไปหมด
และในที่สุดทั้งสองฝ่ายก็คุยเรื่องเป็นการเป็นงานกันเสียที
ยาเอ๋อร์ระมัดระวังตัวอย่างมาก
เพราะสายตาของชายฉกรรจ์หลังค่อมผู้นั้นทำให้นางรู้สึกสะอิดสะเอียนจริงๆ
ทว่าบางครั้งที่เผลอไปสบตากับอีกฝ่าย สายตาของอีกฝ่ายกลับไม่ได้ชวนขนลุกสักเท่าไร
ยาเอ๋อร์ตัดสินใจแล้วว่าวันหน้าจะไม่มาเยือนภูเขาลั่วพั่วอีกเด็ดขาด
“ข้าต้องการผลเก็บเกี่ยวสองส่วนของพื้นที่มงคลรากบัว ไม่มีเวลาจำกัด แต่ต้องยาวนานตลอดไป”
เจียงซ่างเจินยื่นนิ้วออกมาสองนิ้ว “เงื่อนไขที่ข้าจะเสนอ ข้อแรก สำนักเจินจิ้ง จะให้ภูเขาลั่วพั่วยืมเงินก่อนหนึ่งพันเหรียญเงินฝนธัญพืช พอเลื่อนเป็นพื้นที่มงคลระดับกลางแล้วค่อยให้ยืมอีกสองพันเหรียญ หลังจากเลื่อนขั้นเป็นพื้นที่มงคลระดับสูง จะยังให้ยืมอีกสามพันเหรียญ ไม่ต้องมีดอกเบี้ย แต่เงินฝนธัญพืชทั้งสามก้อน เฉินผิงอันกับภูเขาลั่วพั่วจำเป็นต้องคืนให้กับสำนักเจินจิ้งของพวกเราภายในระยะเวลาร้อยปี ห้าร้อยปี และพันปี ไม่อย่างนั้นจะต้องมีส่วนต่างเพิ่มเติม ส่วน ข้อที่ว่าจะใช้เงินคืนเงิน หรือใช้คนคืนหนี้ พวกเราทั้งสองฝ่ายสามารถปรึกษากันได้ ตอนนี้ยังไม่ต้องลงรายละเอียด ข้อที่สอง ข้าจะดึงกำลังคนมาจากพื้นที่มงคลถ้ำเมฆาให้เข้าไปที่พื้นที่มงคลรากบัว รับผิดชอบช่วยจัดการงานเล็กๆ น้อยๆ ให้กับภูเขาลั่วพั่ว ข้อที่สาม ข้ายังสามารถนำพื้นที่แถบริมขอบด้านนอกของทะเลสาบซูเจี่ยนซึ่งเป็น เกาะทั้งหมดหกแห่งออกมาในรวดเดียว ไม่ได้ให้เช่า แต่มอบให้กับภูเขาลั่วพั่วโดยตรง”
จูเหลี่ยนยิ้มบางๆ ไม่เอ่ยคำใด
เจียงซ่างเจินเองก็ไม่รีบร้อน
จูเหลี่ยนพลันเอ่ยขึ้นมาประโยคหนึ่งว่า “ตอนนี้เงินเทพเซียนนั้นมีค่าที่สุด คนไม่มีค่ามากที่สุด แต่ช่วงเวลาอันยาวนานต่อจากนี้ไป กลับบอกได้ยากแล้ว พื้นที่มงคล ถ้ำเมฆาของพี่น้องโจวเฝยมีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ แน่นอนว่าย่อมร้ายกาจมาก ขนาดพื้นที่ของพื้นที่มงคลรากบัวอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบกับ พื้นที่มงคลถ้ำเมฆาได้ติด ทว่าประชากรนั้น แคว้นหนันเยวี่ยนยี่สิบล้านคน อีกสามแคว้นที่เหลือซึ่งรวมถึงแคว้นซงไล่ด้วย รวมกันแล้วก็มีสี่สิบล้านคน ไม่ถือว่าน้อยเลยจริงๆ”
เจียงซ่างเจินส่ายหน้า โบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง รีบสร้างฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่งขึ้นมาปกคลุม แล้วจึงเอ่ยเนิบช้าว่า “คำพูดแบบนี้ หากเปลี่ยนเป็นคนนอก บางทีเจ้าสำนักผู้เฒ่าสวินท่านนั้นของพวกเราอาจจะเชื่อ น่าเสียดายที่บังเอิญยิ่งนัก ข้าคือเจ๋อเซียนที่เดินออกมาจากพื้นที่มงคลดอกบัว จึงพอจะเดาวิธีการของเจ้าอารามผู้เฒ่าคนนั้นออกได้คร่าวๆ ดังนั้นนอกเหนือจากแคว้นหนันเยวี่ยน พื้นที่อิทธิพลที่เป็นดั่งกระดาษเปียกและคนกระดาษในแคว้นต่างๆ ซึ่งรวมถึงแคว้นซงไล่ด้วยนั้น ในระยะเวลาสั้นๆ จิตวิญญาณของคนยังบางเบากระจัดกระจาย โชคชะตาของภูเขาแม่น้ำก็ยิ่งอ่อนจางจนสามารถมองข้ามไปได้โดยตรง ได้แต่อาศัยแคว้นหนันเยวี่ยนที่เป็นของแท้แน่นอนมาช่วยแบ่งเบา ชดเชย ดังนั้นทุกคนและวัตถุทุกอย่างที่อยู่นอกเหนือจากแคว้นหนันเยวี่ยนในทุกวันนี้จึงไม่มีค่าพอให้พูดถึง ไม่มีค่าแม้แต่น้อย ได้แต่รอคอยไปอย่างช้าๆ นานวันเข้า ถึงจะมีค่ามากขึ้นในทุกขณะ ดังนั้นข้าถึงได้ ยืนกรานในคำว่า ‘ตลอดกาล’ อย่างไรเล่า”
จูเหลี่ยนทั้งไม่ยอมรับแล้วก็ไม่ปฏิเสธ เขายิ้มกล่าวว่า “สองส่วน อีกทั้งยังเป็นผลประโยชน์ที่ได้รับไปตลอดกาล ค่อนข้างจะมากไปสักหน่อย”
แต่สำหรับพี่น้องโจวเฝยผู้นี้ เขายังคงมองอีกฝ่ายสูงขึ้นมาอีกหน่อย
นี่เรียกว่าใช้การคำนวณของคนมาเดาการคำนวณฟ้า เมื่อเดาได้แล้ว ก็ถือว่าเป็นความสามารถ ต้องยอมรับ
แต่ในขณะเดียวกัน แท้จริงแล้วในใจของเจียงซ่างเจินก็มีความคิดที่ไม่ต่างกันสักเท่าไร
จูเหลี่ยนเองก็เดิมพันด้วยการเอาสถานการณ์ใหญ่มากดราคาเช่นกัน
ประเด็นสำคัญคืออีกฝ่ายเดาถูกแล้ว
เจียงซ่างเจินสลายฟ้าดินขนาดเล็กออก ลุกขึ้นยืนแล้วเอ่ยว่า “ข้าจะออกไปเดินเล่น ดูสักหน่อย เมื่อไหร่ที่มีข่าวแน่ชัดแล้ว ข้าค่อยออกไปจากภูเขาลั่วพั่ว ถึงอย่างไรทะเลสาบซูเจี่ยนจะมีหรือไม่มีข้าก็เส็งเคร็งอยู่ดี”
เจียงซ่างเจินพายาเอ๋อร์ทะยานลมไปเยือนจังหวัดหลงโจว หรือก็คืออดีตที่ตั้งของเขตการปกครองหลงเฉวียน
เขาคิดว่าจะไปหาเพื่อนเล่นอายุต่างกันไม่มากให้กับเด็กที่พาออกจากอุตรกุรุทวีปไปยังทะเลสาบซูเจี่ยนคนนั้นสักหน่อย
ยาเอ๋อร์ที่อยู่ข้างกาย เห็นได้ชัดว่าแก่เกินไป แล้วก็โง่เกินไปหน่อย
เจิ้งต้าเฟิงมองสายตาของจูเหลี่ยนที่เหลือบมา
แล้วก็ยิ้มเอ่ยว่า “ยอดฝีมือที่ข้าเชื้อเชิญมาผู้นั้น น่าจะใกล้มาถึงแล้ว ถึงเวลานั้น ก็จะสามารถช่วยพวกเรากดราคาเจียงซ่างเจินได้แล้ว”
พูดถึงก็มาทันที
หญิงสาวคนหนึ่งพลิ้วกายลงในลานบ้านขนาดเล็ก
เจิ้งต้าเฟิงยิ้มกล่าว “กิ่งหลิวน้อย (ชื่อของหลี่หลิ่ว คำว่าหลิ่วก็คือต้นหลิวในภาษาไทย แต่ภาษาจีนจะออกเสียงว่าหลิ่ว) ตอนนี้โตเป็นสาวแล้วหน้าตางดงามนัก งดงามสุดๆ ไปเลย”
หลี่หลิ่วยิ้มกล่าว “สวัสดีท่านอาเจิ้ง”
จูเหลี่ยนเองก็ไม่ได้เอ่ยถ้อยคำที่เกรงอกเกรงใจอะไร เขาพูดเรื่องกิจธุระในพื้นที่มงคลรากบัวกับหญิงสาวแปลกหน้าผู้นี้อย่างตรงไปตรงมา ไม่ว่าเรื่องน้อยเรื่องใหญ่ ก็ล้วนยกมาพูดคุยด้วยหมด สถานการณ์ของสี่แคว้น จูเหลี่ยนก็พูดทอดยาว อย่างต่อเนื่อง
ส่วนข้อที่ว่านางมีสถานะประวัติความเป็นมาอย่างไร จูเหลี่ยนไม่สนใจแม้แต่น้อย คนเฝ้าประตูแห่งภูเขาลั่วพั่วอย่างเจิ้งต้าเฟิงย่อมจัดการให้เอง
หลี่หลิ่วเองก็ไม่ได้แกล้งอุบเรื่องที่ตัวเองรู้ นางบอกให้จูเหลี่ยนเรียกเว่ยป้อมา เมื่อร่มใบถงถูกกางออก นางก็เดินทางเข้าไปในอดีตพื้นที่มงคลดอกบัวพร้อมกับ จูเหลี่ยน
ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลคนหนึ่ง ผู้ฝึกตนใหญ่ที่สามารถเลื่อนสู่ขอบเขตก่อกำเนิดได้อย่างง่ายดายคนหนึ่ง ร่วมกันหลุบตาลงต่ำมองแผ่นดินของพื้นที่มงคล
หลี่หลิ่วกระตุกมุมปาก “ไม่เสียแรงที่เป็นนักพรตจมูกโค มรรคกถาลึกล้ำและสูงส่งไม่น้อย มิน่าเล่าถึงกล้าไปงัดข้อกับใต้หล้ามืดสลัวแล้ว”
จูเหลี่ยนนั่งขัดสมาธิ แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
หลี่หลิ่วยื่นนิ้วชี้ไปยังภูเขาสายน้ำหมื่นลี้ใต้ฝ่าเท้า พูดเนิบช้าว่า “การเปลี่ยนแปลงของพื้นที่มงคลแห่งนี้ หากอิงตามคำกล่าวในอดีต ถือเป็น ‘ภูเขาสายน้ำเปลี่ยนสี’ อาณาเขตนอกเหนือจากแคว้นหนันเยวี่ยน ได้ถูกเทพยดาบนสรวงสวรรค์ท่านนั้นของพวกเจ้าใช้วิชาอภินิหารยิ่งใหญ่สร้างรูปลักษณ์ภายนอกให้เป็นของพื้นที่มงคลกระดาษขาว แต่เป็นความหมายของถ้ำสวรรค์ควันธูปขึ้นมา พูดง่ายๆ ก็คือภูเขาสายน้ำ ต้นไม้ใบหญ้าและสิ่งมีชีวิตทั้งหมดที่อยู่นอกเหนือจากแคว้นหนันเยวี่ยน ล้วนเป็นเพียงกระดาษขาว มีชีวิตอยู่ก็จริง แต่กลับไม่มี ‘ความหมายแม้แต่น้อย’ นั่นก็หมายความว่าต่อให้กระดาษขาวเหล่านี้จะซื่อสัตย์จริงใจแค่ไหน ยามที่ไหว้พระขอพรองค์เทพ ก็ไม่สามารถฟูมฟักแก่นควันธูปออกมาได้แม้แต่เสี้ยวเดียว
แต่ก็ไม่ถ่วงรั้งการกลับไปเกิดใหม่ในพื้นที่มงคลของพวกเขา ขอแค่ปราณวิญญาณของพื้นที่มงคลแห่งใหม่มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ควันธูปของแคว้นหนันเยวี่ยนยิ่งนานวัน ก็ยิ่งโชติช่วง กระดาษทั้งหมดก็จะเพิ่มระดับความหนาหนักมากขึ้น สุดท้ายก็จะไม่ต่างอะไรจากคนปกติทั่วไป ถึงขั้นยังสามารถมีพรสวรรค์ในการฝึกตน หรือมีความ เป็นไปได้ที่จะกลายเป็นองค์เทพแห่งภูเขาสายน้ำ”
จูเหลี่ยนพูดอย่างเฉยเมย “จากภาพวาดสีสันงดงามน่ามอง กลายมาเป็นลายเส้นขาวดำ”
หลี่หลิ่วยิ้มเอ่ย “สามารถพูดเช่นนี้ได้”
หลี่หลิ่วเพ่งสายตามองไป แล้วก็ยื่นมือชี้ไปสองสามตำแหน่งอย่างไม่ใส่ใจ “พวกเจ๋อเซียนทั้งหลายได้ถอนตัวออกไปจากพื้นที่มงคลที่ปริแตกแห่งนี้แล้ว อีกทั้ง ผู้ฝึกตนบางคนที่เริ่มขึ้นเขาแล้วก็เห็นได้ชัดว่าไม่ได้อยู่ในพื้นที่มงคลรากบัวของ พวกเจ้าแล้ว ยกตัวอย่างเช่นพรรคหูซานที่เคยมีอวี๋เจินอี้เป็นผู้เฝ้าพิทักษ์ โชคชะตาสายน้ำขุนเขาว่างเปล่าอย่างเห็นได้ชัด สะดุดตามากเป็นพิเศษ นี่ก็คือผลลัพธ์จากการที่อวี๋เจินอี้ถูกนักพรตเฒ่าหมายตา ตอนนี้อวี๋เจินอี้น่าจะอยู่ในหนึ่งในสี่ส่วนของ พื้นที่มงคลดอกบัวที่แท้จริง ลู่ไถผู้นั้นก็อยู่อีกที่หนึ่ง ตระกูลบัณฑิตของเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนแห่งนั้น เห็นหรือไม่ ที่นั่นก็ว่างเปล่าโล่งโจ้งมากเช่นกัน ต้องเป็นเพราะในตระกูลนี้มีคนที่นักพรตเฒ่ารู้สึกว่าน่าสนใจปรากฏตัวอย่างแน่นอน ดังนั้นหลังจากที่พื้นที่มงคลดอกบัวแบ่งออกเป็นสี่ส่วน เจ้าของที่ได้ครอบครองจึงค่อนข้างจะชัดเจน แบ่งออกเป็นเฉินผิงอัน อวี๋เจินอี้คนแรกในประวัติศาสตร์ของพื้นที่มงคลดอกบัวที่หันไปฝึกตนได้ประสบความสำเร็จ ลู่ไถเจ๋อเซียนผู้รวบรวมลัทธิมาร และตระกูลแห่งนั้นที่เฉินผิงอันเคยไปเยือนหอเก็บตำราของพวกเขามาสองครั้ง”
จูเหลี่ยนไม่แม้แต่จะปรายตามอง เขาเกาหัวแล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “ข้าไม่ใช่ สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาแม่น้ำอะไรสักหน่อย มองภาพปรากฎการณ์แห่งฟ้าดินพวกนั้นไม่ออกหรอก”
หลี่หลิ่วหัวเราะ “ไม่ต้องหยั่งเชิงข้า ไม่มีความจำเป็น อีกอย่างระวังว่าจะกลายเป็นการวาดงูเติมขา”
จูเหลี่ยนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ตกลง”
หลี่หลิ่วถาม “หากเจ้าเป็นหมากของนักพรตจมูกโคผู้นั้น เฉินผิงอันจะต้องตายอย่างอนาถมากแน่ๆ”
จูเหลี่ยนเอาสองหมัดค้ำยันไว้ที่หัวเข่า สายลมพัดโชยมา ร่างของเขาโน้มไปด้านหน้าน้อยๆ “ในเมื่อโชคดีได้เกิดเป็นคน ก็ควรพูดจาภาษาคน ทำตัวเป็นคนให้ดีๆ ไม่อย่างนั้นการเดินทางมาเยือนโลกมนุษย์ครั้งนี้จะมีความหมายหรือ?”
จูเหลี่ยนหรี่ตาลง เอ่ยเนิบช้าว่า “ฟ้าดินให้กำเนิดข้าจูเหลี่ยน ข้ามิอาจปฏิเสธ แต่ข้าจูเหลี่ยนจะตายอย่างไร กลับเป็นข้าที่ต้องตัดสินใจเอง”
หลี่หลิ่วหันหน้ามา เป็นครั้งแรกที่นางมองประเมินผู้ฝึกยุทธเต็มตัวซึ่งบนใบหน้าสวมหน้ากากผู้นี้อย่างละเอียด “จูเหลี่ยน มหามรรคาของเจ้ามีความหวังมากนัก”
จูเหลี่ยนเงยหน้าขึ้น หันหน้ามามองหญิงสาวที่อันตรายอย่างถึงที่สุดผู้นั้น “แม่นางหลิ่ว เจ้าไม่มาอยู่ภูเขาลั่วพั่วของพวกเรา ช่างน่าเสียดายจริงๆ”
หลี่หลิ่วรู้สึกฉงนเล็กน้อย แต่กลับคร้านจะสืบหาคำตอบ จากนั้นก็อธิบายประเด็นสำคัญและข้อห้ามของการโคจรพื้นที่มงคลให้จูเหลี่ยนฟังต่อไป
ไม่ได้รู้น้อยไปกว่าเจียงซ่างเจินเลย
เหตุผลนั้นง่ายดายมาก
ในประวัติศาสตร์ ต่อให้ไม่ยกเรื่องรากฐานของมหามรรคาในช่วงแรกเริ่มสุดมาพูด หลี่หลิ่วเองก็เคยดูแลถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลมาแล้วหลายแห่ง หนึ่งในนั้นคือ ถ้ำสวรรค์หนึ่งแห่งและพื้นที่มงคลหนึ่งแห่ง ถ้ำสวรรค์ริ้วคลื่น พื้นที่มงคลคลื่นมรกตของหลิวเสียทวีป พวกมันต่างก็เคยอยู่ในอันดับของสามสิบหกถ้ำสวรรค์และ เจ็ดสิบสองพื้นที่มงคล เพียงแต่ว่าจุดจบของมันนั้นอเนจอนาถยิ่งกว่าถ้ำสวรรค์หลีจู ที่หล่นลงพื้นหยั่งรากสู่พื้นดินเสียอีก ตอนนี้ก็ปริแตกและถูกคนลืมเลือนไปแล้ว
……
หลายวันมานี้เผยเฉียนปิดด่านอยู่ตลอด
ทั้งวันทั้งคืนทำเพียงเรื่องเรื่องเดียว
นั่นคือก้มหน้าก้มตาคัดตัวอักษรอยู่บนโต๊ะในชั้นหนึ่ง
เร็วไม่ได้
นางจึงได้แต่ค่อยๆ เขียนอย่างเป็นระเบียบไปทีละตัวอักษร
เฉินหรูชูเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่เป็นผู้ดูแลน้อยของภูเขา โจวหมี่ลี่ที่มุ่งมั่นอยากควบตำแหน่งผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาของเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วด้วย ต่างก็คอยช่วยปรนนิบัติอยู่ข้างกายเผยเฉียน บ้างก็ส่งน้ำยกชาให้นาง บ้างก็นวดไหล่ทุบหลังให้นาง
ในที่สุดเที่ยงวันของวันนี้ เผยเฉียนก็วางพู่กันลงเบาๆ ลุกขึ้นยืน ทำท่ารวบรวมลมปราณไว้ที่จุดตันเถียน “ผลงานเทพประสบความสำเร็จ!”
เฉินหรูชูยิ้มถาม “คัดเสร็จแล้วจริงๆ หรือ?”
เผยเฉียนเหล่ตามอง “ไม่เพียงแต่ใช้หนี้คืนจนหมด ยังเลียนแบบพี่หญิงเป่าผิง คัดเผื่อไว้อีกสิบวันด้วย”
เผยเฉียนยกสองมือกอดอก หัวเราะเสียงเย็นว่า “นับตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป ยามที่ฝึกหมัด ผู้อาวุโสชุยก็จะรู้ว่า เผยเฉียนที่จิตใจแน่วแน่ไม่วอกแวกไม่ใช่เผยเฉียนที่เขาสามารถตำหนิติเตียนได้ตามใจชอบอีกแล้ว”
เฉินหรูชูทำท่าจะพูดแต่ก็ไม่ได้พูด
ช่างเถิด ถึงอย่างไรก็เป็นเรื่องของการฝึกหมัดเหมือนกัน
นางไม่สาดน้ำเย็นใส่อีกฝ่ายแล้ว
โจวหมี่ลี่รีบยกสองมือขึ้นปรบกันอย่างรัวเร็ว
เผยเฉียนฟุบตัวนอนคว่ำอยู่บนโต๊ะหนังสือที่วางกระดาษคัดลายมือกองทับกันเป็นภูเขา เล่นกับสมบัติสืบทอดของตระกูลตัวเองพวกนั้นอยู่พักหนึ่ง พอเก็บลงไปเรียบร้อยก็เดินอ้อมโต๊ะออกมา บอกว่าจะพาพวกนางสองคนออกไปเดินเล่น ผ่อนคลายอารมณ์
เฉินหรูชูหยิบเมล็ดแตงไปเพิ่ม โจวหมี่ลี่แบกไม้เท้าเดินป่า
เผยเฉียนเดินอาดๆ ไปถึงเรือนของพ่อครัวเฒ่า หมายจะไปหาอาจารย์แม่เล็กที่ถูกอาจารย์หลอกมาจากอุตรกุรุทวีป แต่ยังไม่ได้เข้าเรือนอย่างเป็นทางการผู้นั้น
ผลกลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายไม่อยู่บ้าน
เผยเฉียนก็เลยไปหาพ่อครัวเฒ่า
ผลคือเจอหมาพื้นบ้านตัวหนึ่งที่วิ่งออกมากลางทาง เผยเฉียนกระโจนเข้าหามันอย่างรวดเร็ว เอาฝ่ามือข้างหนึ่งกดหัวหมาไว้กับพื้น มืออีกข้างหนึ่งจับปากของมันแล้วบิดอย่างคล่องแคล่ว หัวของหมาตัวนั้นบิดเอียงไปตามมือของนาง
เผยเฉียนนั่งยองลงบนพื้น ถามว่า “เจ้าคิดจะก่อกบฏรึ? ถึงได้ไม่โผล่หน้ามานานขนาดนี้? พูดมา! หากมีคำอธิบายจะละเว้นโทษตายให้เจ้า!”
สุนัขพันธ์พื้นบ้านตัวนั้นได้แต่ร้องหงิงๆ อยู่ในลำคอ
เผยเฉียนบิดมืออีกครั้ง หัวของสุนัขก็พลิกกลับเปลี่ยนทิศทางในเสี้ยววินาที นางพยักหน้าเอ่ยชื่นชมมันว่า “มีความกล้าหาญ เผชิญหน้ากับยอดฝีมือล้ำโลกที่ ฆ่าคนเหมือนพลิกฝ่ามือแล้วยังไม่ยอมพูดอะไรสักคำ อาศัยความกล้าหาญนี้ เจ้าไม่ต้องตายก็ได้”
สุนัขพันธ์พื้นบ้านรีบส่ายหางทันใด
แต่เผยเฉียนกลับยังไม่ยอมปล่อยมันไป “โทษตายละเว้นได้ แต่โทษเป็นยากจะหลีกเลี่ยง”
นางยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้น โจวหมี่ลี่ก็รีบยื่นไม้เท้าเดินป่าส่งไปให้ทันที จะตีหมาจำเป็นต้องมีไม้ตี ตอนที่ไปแหย่รังแตน ประโยชน์ของไม้เท้าเดินป่าก็ยิ่งมีมาก นี่เป็นสิ่งที่เผยเฉียนพูดเอง แต่อยู่ดีๆ เผยเฉียนกลับพูดขึ้นเสียงขุ่นว่า “เมล็ดแตง”
เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูรีบวางเมล็ดแตงกำมือหนึ่งลงบนมือของเผยเฉียน มือหนึ่งของเผยเฉียนกำเมล็ดแตง อีกมือหนึ่งจับปากของหมาตัวนั้นไว้ตลอดเวลา “ไหน ลองเลียนแบบยอดฝีมือในตำรา หัวเราะเสียงเย็นชาดูสิ”
สุนัขพันธ์พื้นบ้านกระตุกมุมปาก
เผยเฉียนเอ่ยอีกว่า “เปลี่ยนใหม่ เลียนแบบคนเลวในนิยายจอมยุทธ แสยะยิ้ม ชั่วร้ายสิ”
สุนัขพันธ์พื้นบ้านจึงกระตุกมุมปากโดยเปลี่ยนแววตาเสียใหม่
เผยเฉียนขมวดคิ้ว หมาตัวนั้นรู้แล้วว่าท่าไม่ดีจึงเริ่มดิ้นรน
แต่กลับถูกเผยเฉียนกระชากตัวเอาไว้ นางลุกขึ้นยืนแล้วหมุนตัวเป็นวงกลม เหวี่ยงสุนัขพันธ์พื้นบ้านตัวนั้นออกไปไกลเจ็ดแปดจั้ง
จากนั้นเผยเฉียนก็แทะเมล็ดแตง แล้วก็เห็นว่าห่างไปไม่ไกลมีบุรุษคนหนึ่งกับ หญิงสาวคนหนึ่งยืนอยู่
นางเอียงศีรษะ มองอยู่นาน แล้วทันใดนั้นก็พลันคลี่ยิ้มสดใส โค้งตัวคารวะอีกฝ่าย
เฉินหรูชูเองก็ค้อมเอวเอ่ยเรียกคำหนึ่งว่าท่านโจว
โจวหมี่ลี่รีบทำตามอย่างเข้าท่าเข้าที
“พวกเราพบเจอกันเป็นครั้งที่สองแล้วกระมัง?”
เจียงซ่างเจินมองแม่หนูถ่านดำที่ปีนั้นเขาก็รู้สึกแล้วว่านางน่าสนใจอย่างมาก แล้วยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “ตอนนี้กลายเป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขาของเฉินผิงอันแล้วหรือ? ดีมาก ข้ารู้สึกว่าสายตาของเฉินผิงอันไม่เลวอย่างยิ่ง ถึงได้ยินดีพาเจ้าออกมาจาก พื้นที่มงคลดอกบัว”
เผยเฉียนพยักหน้ารับแรงๆ ราวไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก
ฝีมือการประจบสอพลอของเจ้าหมอนี่ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย
แต่เจ้าหมอนี่สามารถรู้จักกับอาจารย์ได้ หลุมศพบรรพบุรุษก็คงมีควันเขียว ผุดลอยขึ้นแล้วจริงๆ ควรจะจุดธูปให้มาก
ดังนั้นเผยเฉียนจึงยิ้มกล่าวว่า “ผู้อาวุโสไปที่ศาลเทพภูเขาบนยอดเขาของพวกเรามาแล้วหรือยัง?”
เจียงซ่างเจินยิ้มตอบ “ไปมาแล้ว”
เผยเฉียนถามอีก “ถ้าอย่างนั้นศาลเทพอภิบาลเมืองของจังหวัดหลงโจวล่ะ?”
คนจิ๋วควันธูปของศาลเทพอภิบาลเมืองประจำจังหวัด ตอนนี้ถือเป็นลูกสมุน ครึ่งตัวของนาง เพราะในอดีตเป็นมันที่นำทางพาไปหารังผึ้งขนาดใหญ่รังนั้น หลังจบเรื่องยังได้รับเงินเหรียญทองแดงเหรียญหนึ่งจากนางเป็นการตกรางวัล ตอนที่ท่านเทพอภิบาลเมืองผู้นั้นยังไม่ได้มารับหน้าที่ ทั้งสองฝ่ายก็ได้รู้จักกันมาก่อนแล้ว ตอนนั้นพี่หญิงเป่าผิงก็อยู่ด้วย แต่ว่าช่วงที่ผ่านมานี้ เจ้าแมลงตามก้นตนนั้นกลับไม่ได้ปรากฏตัวเลย
ดังนั้นหากมีโอกาส นางก็อยากจะช่วยเพิ่มควันธูปให้กับศาลเทพอภิบาลเมืองแห่งนั้นสักหน่อย
เจียงซ่างเจินส่ายหน้า “ที่นั่นข้ายังไม่เคยไปมาก่อนจริงๆ”
หลังจากที่บอกลากับเจียงซ่างเจินแล้ว เผยเฉียนก็พาพวกนางสองคนไปนั่งบนยอดบนสุดของขั้นบันได
เฉินยวนจีเด็กสาวที่จูเหลี่ยนพาขึ้นมาบนภูเขากำลังฝึกหมัดเดินจากกึ่งกลางภูเขามาบนภูเขา
ตามคำบอกของเด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูที่เป็นเทพแห่งการรายงานข่าวผู้นี้ ก่อนหน้านี้ไม่นานเฉินยวนจีจำเป็นต้องเดินขึ้นบันไดภูเขาจากตีนเขามาถึงยอดเขาให้ครบสามรอบภายในหนึ่งวัน
แม่นางน้อยสามคนนั่งเรียงเคียงไหล่ แทะเมล็ดแตงพลางซุบซิบพูดคุยกัน
เจียงซ่างเจินกลับมาถึงเรือนของตัวเองแล้วก็ส่ายหน้ายิ้มเอ่ยว่า “ในที่สุดก็รู้เสียทีว่าเหตุใดผู้รอบรู้ของทักษินาตยทวีปผู้นั้นถึงได้ถูกคนขโมยดวงจันทร์ไปจากบนบ่า คาดว่าในพื้นที่มงคลดอกบัวก็ถูกคงเจ้าอารามผู้เฒ่าคว้าเอาดวงตะวันมาไว้ในมือ แล้วสกัดดึงเอาแก่นของมันไปใส่ไว้ในดวงตาอีกข้างหนึ่งของแม่นางน้อยคนนี้”
ยาเอ๋อร์ที่รับฟังรู้สึกตะลึงพรึงเพริดไปหมด
เจียงซ่างเจินชำเลืองตามองนางแวบหนึ่ง “อัดอั้นตันใจมากเลยใช่ไหมล่ะ ตัวเองฝึกตนอย่างยากลำบากเช่นนี้ แต่ดูเหมือนว่าต่อให้ฝึกตนไปชั่วชีวิตก็ยังเทียบกับโชควาสนาครั้งหนึ่งที่คนอื่นได้ไปครองไม่ได้?”
ยาเอ๋อร์ไม่กล้าเอ่ยอะไร
เจียงซ่างเจินยิ้มตาหยีหยิบเอาสมบัติพิทักษ์ขุนเขาในอนาคตของสำนักเจินจิ้ง ที่มีระดับขั้นเป็นอาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่งออกมา “ข้ามอบให้เจ้าด้วยความจริงใจ เจ้ารับไว้ได้ไหวไหม? จะไม่ตายหรือ? ต้องตายอยู่แล้ว อีกทั้งเจ้ายังไม่รู้ด้วยว่าตัวเองตายไปได้อย่างไร เป็นฝีมือของหลิวเหล่าเฉิง หรือว่าหลิวจื้อเม่า? หรือว่าจะเป็น พวกผู้ถวายงานน้อยใหญ่ที่ติดตามสำนักกุยหยกมา แค่พวกเขาตั้งใจใช้กลอุบายง่ายๆ เจ้าก็ย่อมต้องงับเหยื่อ หลังจากนั้นก็ร่างดับมรรคาสลาย”
ยาเอ๋อร์รอคอยให้เจ้าสำนักอย่างเจียงซ่างเจินเก็บอาวุธกึ่งเซียนชิ้นนั้นไปเงียบๆ
แต่เจียงซ่างเจินกลับกำไข่มุกเม็ดนั้นไว้แน่น แล้วตบมันลงบนหว่างคิ้วของนาง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ยกให้เจ้าแล้ว เจ้าจะได้ไม่ต้องคอยคิดว่าได้กอดขาใหญ่ๆ (เปรียบเปรยว่ามีที่พึ่งใหญ่) แล้วจะสามารถฝึกตนได้อย่างสบายใจ อยู่ในสถานที่ที่มี ฝูงเสือฝูงหมาป่าห้อมล้อมเช่นนี้ ยังจะทำตัวมีตาแต่ไร้แววเหมือนตอนอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวไม่ได้หรอกนะ”
ยาเอ๋อร์รู้สึกเหมือนร่างทั้งร่างจมอยู่ในกระทะน้ำมันเดือด จิตวิญญาณถูกต้ม ด้วยน้ำที่เดือดพล่าน นางยกสองมือกุมหัว เจ็บปวดจนลงไปนอนกลิ้งอยู่กับพื้น
เจียงซ่างเจินโบกชายแขนเสื้อสร้างฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่งขึ้นมานานแล้ว
“ข้าต้องการใช้เจ้าไปเป็นเหยื่อล่อตกเอาสันดานของหลิวเหล่าเฉิงกับหลิวจื้อเม่า ออกมา ก็เป็นผู้ฝึกตนอิสระนี่นะ ความทะเยอทะยานย่อมมีมาก ชอบความอิสระเสรีเป็นที่สุด ข้าเข้าใจได้ หากพวกเขาอดทนไว้ได้ พวกเขาคนหนึ่งก็ควรได้เลื่อนเป็นขอบเขตเซียนเหริน
คนหนึ่งควรจะฝ่าทะลุคอขวดก่อกำเนิด เดินขึ้นสู่ที่สูง ร่วมชมจันทราและสายลมไปพร้อมกับข้าเจียงซ่างเจิน แต่หากอดใจไม่ไหว ต่อให้แค่เกิดความคิดเพียงเล็กน้อย มีการกระทำแค่นิดๆ หน่อยๆ ข้าก็คงต้องตัดใจยอมให้สำนักเจินจิ้งสูญเสียแม่ทัพใหญ่สองท่านไปอย่างเปล่าประโยชน์แล้ว”
เจียงซ่างเจินนั่งไขว่ห้างอยู่ด้านข้าง รินน้ำชาให้ตัวเองหนึ่งถ้วย “ผู้ฝึกตนทุกคนในใต้หล้าแห่งนี้แทบจะไม่มีใครที่สามารถตระหนักได้ว่ามีเพียงสันดานของตัวเองเท่านั้นที่ถึงจะเป็นผู้ปกป้องมรรคาที่สามารถติดตามตนไปได้ตลอดชีวิตอย่างแท้จริง”
……
ในตรอกแห่งหนึ่งของเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน
เด็กหนุ่มชุดเขียวคนหนึ่งกำลังนั่งอยู่บนม้านั่งตัวเดิมที่ไม่เคยเปลี่ยนมานานหลายปี ครุ่นคิดถึงเรื่องบางอย่าง
เมื่อหลายปีก่อนท่านลู่บอกลาจากไป บอกว่าวันหน้าหากมีโอกาสคงได้พบกัน อีกครั้งข้างนอก แต่หากเป็นในใต้หล้าแห่งนี้ก็อย่าได้หวังอีกเลย
เวลานั้นท่านลู่เป็นบุคคลอันดับที่สองอย่างสมศักดิ์ศรีในใต้หล้าแห่งนี้แล้ว ศักยภาพสูสีกับอวี๋เจินอี้เทพเซียนผู้เฒ่าแห่งพรรคหูซานที่รูปลักษณ์เหมือนเด็กน้อย สามารถขี่กระบี่เดินทางไกล
ไม่เพียงเท่านี้ ภายใต้การนำของถังเถี่ยอี้แม่ทัพใหญ่หลงอู่แห่งแคว้นเป่ยจิ้น กองทัพใหญ่ก็กรีฑาทัพขึ้นเหนือบุกไปเยือนทุ่งหญ้ากว้าง ผลงานทางการต่อสู้เลิศล้ำ หลังจากนั้นมาถังเถี่ยอี้และกองทัพเป่ยจิ้นก็ไม่มีการระดมกำลังทำสงครามอีก แต่ปล่อยให้คนของทุ่งหญ้าตกอยู่ในสภาวะเกิดความขัดแย้งกันเองเป็นการภายใน บุตรสังหารบิดา พี่สังหารน้อง
อีกทั้งถังเถี่ยอี้ยังเดินทางขึ้นเหนือเพียงลำพังอยู่หลายครั้ง ใช้ดาบประจำกายอย่างเลี่ยนซือไปลับคมกับยอดฝีมือของทุ่งหญ้ากว้างนับครั้งไม่ถ้วน
ปี้เซิ่งเฉิงหยวนซานก็ไม่รู้ว่าเหตุใดหลังจากที่เดินทางผ่านแคว้นหนันเยวี่ยนครานั้น ก็สละกิจการบ้านเรือนอันร่ำรวยทั้งหมดที่มีอยู่บนทุ่งหญ้ากว้างทิ้งไป กลายไปเป็นสมาชิกของพรรคหูซานแทน
ส่วนแคว้นซงไล่ที่เมื่ออยู่ภายใต้การปกครองของฮ่องเต้หุ่นเชิดที่พรรคหูซานเป็น ผู้ประคับประคองมากับมือตัวเองก็เริ่มระดมกำลังค้นหาผู้ฝึกตนที่เหมาะสมอย่างกำเริบเสิบสาน
ยอดเขาเหนี่ยวค่านของลู่ฝ่างกับตำหนักคลื่นวสันต์ของหนุ่มปักบุปผาโจวซื่ออยู่ในสภาวะปิดภูเขาตลอดเวลา
เพียงแต่ว่าสถานการณ์ใหญ่ในใต้หล้าเหล่านี้ เด็กหนุ่มชุดเขียวทำเพียงแค่มองอยู่ในสายตาเงียบๆ เขายังคงมุ่งมั่นอ่านตำรา รวมไปถึงตั้งใจฝึกตนมากกว่า
ท่านอาจารย์จ้งชิว ท่านอาจารย์ลู่ ต่างคนต่างก็เคยเดินทางไปท่องขุนเขาทั้ง ห้าแคว้นหนันเยวี่ยนเป็นเพื่อนเขาเฉาฉิงหล่างหนึ่งครั้ง
ทั้งเป็นการเดินทางไกล แล้วก็เป็นทั้งการฝึกตน
ตอนนั้นในมือของเด็กหนุ่มมีสมุดภาพวาดขุนเขาทั้งห้าที่แท้จริงเล่มนั้นอยู่ในมือ และหลังจากที่ราชครูจ้งชิวได้วัตถุตระกูลเซียนชิ้นนี้ไปในปีนั้น ด้วยกังวลว่าอวี๋เจินอี้ จะแย่งชิงไป จึงพยายามจะทำลายมันอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ไร้ผล ภายหลังไม่รู้ว่าท่านลู่พูดอะไร ราชครูถึงได้มอบสมุดเล่มนี้ไว้ให้เฉาฉิงหล่างดูแล เฉาฉิงหล่างเองก็พอจะ คาดเดาเบาะแสได้คร่าวๆ อันที่จริงการที่ท่านลู่เป็นปฏิปักษ์ต่ออวี๋เจินอี้เช่นนี้ ก็ทั้ง เป็นการทำเพื่อตน แล้วก็ทำเพื่อตำราเทพเซียนที่ลี้ลับมหัศจรรย์เล่มนี้ด้วย
อาจารย์ทั้งสองท่าน ถ่ายทอดความรู้ที่ค่อนข้างแตกต่างกันให้กับเฉาฉิงหล่าง
ความรู้ที่อาจารย์จ้งชิวเป็นผู้ถ่ายทอดให้จะอิงไปตามลำดับขั้นตอน มากด้วยมารยาทพิธีการ เพราะถึงอย่างไรจ้งชิวก็เป็นบุคคลที่ได้รับการขนานนามว่าราชครูบุ๋น ปรมาจารย์บู๊
อาจารย์ลู่ไถสอนสอนปนกันหลากหลายแต่ล้วนลงลึกถึงแก่น และอาจารย์ลู่ที่อยู่ดีๆ ก็ปรากฏตัวในใต้หล้าแห่งนี้ก็สามารถลุกผงาดได้อย่างรวดเร็วอย่างที่ไม่เคยมีใคร ทำได้มาก่อน ลูกศิษย์หลายคนของเขาต่างก็กลายเป็นผู้กล้าที่ได้ยึดครองพื้นที่ แห่งหนึ่งเหมือนกันหมดโดยไม่มีข้อยกเว้น
เสียงเคาะประตูดังขึ้น
เฉาฉิงหล่างเดินไปเปิดประตู
คือผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อที่เคราสองข้างขาวโพลนคนหนึ่ง
ราชครูแห่งแคว้นหนันเยวี่ยน
จ้งชิวกับเฉาฉิงหล่างที่เป็นลูกศิษย์ครึ่งตัวพากันทรุดตัวลงนั่ง
จ้งชิวยิ้มกล่าว “ฉิงหล่าง ตอนที่เจ้าเป็นเด็กก็มีคำถามมากมาย ถามว่าดวงดาว มาจากไหน ถามเรื่องการหมุนเวียนผลัดเปลี่ยนของตะวันจันทรา ถามเรื่องต้นกำเนิดลมฝน ข้าที่เป็นอาจารย์ในโรงเรียนไม่อาจให้คำตอบได้ วันหน้าเจ้าสามารถไปตามหาคำตอบด้วยตัวเองได้แล้ว”
เฉาฉิงหล่างพยักหน้ารับเบาๆ
จ้งชิวเงียบไปครู่หนึ่งก็พูดอย่างสะท้อนใจว่า “แต่ข้าหวังว่าในอนาคต เจ้าจะสามารถเป็นตัวแทนพูดให้กับใต้หล้าแห่งนี้ได้ อย่าได้ตกอยู่บนกระดานหมากล้อมที่แต่ละคนยากจะหลีกหนีชะตากรรมของการตกเป็นเม็ดหมาก”
เฉาฉิงหล่างเอ่ย “แน่นอน เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับว่าความสามารถของข้าในอนาคตจะสูงหรือต่ำ แต่ก็ไม่ได้สำคัญมากขนาดนั้น อีกอย่างข้าก็เชื่อมั่นใจตัวเขา”
จ้งชิวหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นข้าก็วางใจแล้ว”
วางใจในตัวบัณฑิตชุดเขียวที่ตัวเองคอยมองเขาเติบโตมาปีแล้วปีเล่า แล้วก็วางใจในตัวของคนหนุ่มที่สวมชุดขาวสะพายกระบี่ผู้นั้นด้วย
จ้งชิวพลันเกิดความลังเลเล็กน้อย
เฉาฉิงหล่างเอ่ย “อาจารย์กำลังลังเลว่าจะอยู่ต่อที่แคว้นหนันเยวี่ยนหรือจะไปเยือนใต้หล้าแห่งนั้นดีใช่หรือไม่?”
จ้งชิวพยักหน้ารับ “ข้าไม่อยากรู้ว่าฟ้าดินด้านนอกนั้นกว้างใหญ่แค่ไหนกันแน่ ข้าแค่สงสัยใคร่รู้ต่อความรู้ของอริยะปราชญ์ที่อยู่ข้างนอกนั่น”
เฉาฉิงหล่างคลี่ยิ้มกว้างสดใส “ท่านอาจารย์วางใจเถอะ เขาเคยบอกว่า ตำราด้านนอกราคาไม่แพง”
จ้งชิวเอ่ยสัพยอก “ตอนนั้นเจ้าเพิ่งจะอายุกี่ขวบเอง ปีนั้นไม่ว่าเขาพูดอะไร เจ้ากลับจดจำได้ขึ้นใจเสียทุกเรื่อง”
เฉาฉิงหล่างพึมพำ “จะลืมได้อย่างไร ไม่มีทางลืมหรอก”
คนทั้งสองเงียบงันกันไป
จ้งชิวเงยหน้ามองท้องฟ้า “ฝนใกล้ตกแล้ว”
เฉาฉิงหล่างยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เส้นทางยังคงอยู่ แค่กางร่มก็ได้แล้ว”
……
ตอนนั้นอู๋ซั่วเหวินอวี๋เวิงเซียนพาลูกศิษย์อย่างจ้าวหลวนหลวนและจ้าวซู่เซี่ยพี่ชายของนางเดินทางออกจากเมืองแยนจือ เริ่มไปท่องเที่ยวหาประสบการณ์ตามแม่น้ำขุนเขาด้วยกัน
เพราะถึงอย่างไรเรื่องราวที่เกิดขึ้นในภูเขาเหมิงหลงก็ใหญ่เกินไป ใช่ว่าอู๋ซั่วเหวินไม่เชื่อใจเฉินผิงอัน แต่เป็นเพราะระมัดระวังจึงจะขับเรือได้นานหมื่นปี ดังนั้นจึงเลือกที่จะออกเดินทางไกล ออกมาจากแคว้นไฉ่อี
ไปเยือนแคว้นซูสุ่ยก่อนรอบหนึ่ง แล้วก็ได้แวะไปเยี่ยมเยือนซ่งอวี่เซาอริยะกระบี่ของแคว้นซูสุ่ยท่านนั้น
ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันได้ถูกคอ แต่ไม่ถึงกับว่าคุยกันอย่างสนิทสนมเหมือนคนที่รู้จักกันมานาน ช่วยไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเพื่อนของเพื่อนจะต้องกลายมาเป็นเพื่อนสนิทของตัวเองเสมอไป
ต้องดูที่วาสนา
แต่ซ่งอวี่เซาชอบเด็กรุ่นหลังสองคนนั้นมากจริงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกสะใภ้ของ ซ่งอวี่เซาที่ทุกวันนี้มีหน้าที่คอยดูงานบ้านงานเรือนที่ยิ่งชื่นชอบเด็กสาวหลวนหลวนซึ่งต่อให้เป็นคนตาบอดก็ยังมองออกว่าเป็นตัวอ่อนในการฝึกตนจากใจจริง คงเกี่ยวกับเรื่องที่นางยังไม่มีบุตรเป็นของตัวเองด้วย พอเจอกับเด็กสาวที่ชาติกำเนิดรันทด แต่กลับเป็นเด็กดีว่าง่ายอย่างหลวนหลวน สตรีแต่งงานแล้วที่มีชาติกำเนิดมาจากสายลับต้าหลีย่อมอดจะสงสารเวทนานางไม่ได้
คนแก่และเด็กหนุ่มสาวสามคนพากันเดินทางกลับเหนือ
ยิ่งขยับลงใต้ก็ยิ่งไม่สงบสุข
อู๋ซั่วเหวินไม่กล้าเอาชีวิตของเด็กทั้งสองไปล้อเล่น
วันนี้คนทั้งสามมาหยุดพักค้างแรมที่ยอดเขาแห่งหนึ่ง จ้าวหลวนเริ่มเข้าฌานทำสมาธิ จ้าวซู่เซี่ยฝึกท่าเดินนิ่ง
อู๋ซั่วเหวินที่มองดูอยู่รู้สึกปลาบปลื้มอย่างถึงที่สุด
แน่นอนว่าหลวนหลวนมีพรสวรรค์ดีกว่า ทว่าผู้เฒ่ากลับไม่เคยมีใจลำเอียงต่อ เด็กทั้งสอง
อันที่จริงบนร่างของอู๋ซั่วเหวินยังพกตำราลับเล่มหนึ่งมาด้วย ‘คัมภีร์ดั้งเดิมวิชากระบี่’ ที่เฉินผิงอันคัดเองกับมือทุกขีดทุกตัวอักษร และยังมีเลียนแบบฉวีหวงที่เขาสะพายไว้ด้านหลังตัวเองชั่วคราว ซึ่งต่างก็ไม่ได้อธิบายให้จ้าวซู่เซี่ยฟังอย่างละเอียด
ตามสัญญาที่ให้ไว้กับเฉินผิงอัน อู๋ซั่วเหวินแค่ต้องรอคอยว่าเมื่อไหร่ที่จ้าวซู่เซี่ยฝึกวิชาหมัดประสบความสำเร็จแล้วค่อยมอบของสองสิ่งนี้ให้แก่เด็กหนุ่ม
หลังจากที่ฝึกหมัดเสร็จแล้ว จ้าวซู่เซี่ยก็ยืนอยู่ที่เดิม ทอดสายตามองไปยังทิศไกล
ได้พบกับท่านเฉินอีกครั้งหลังจากที่ต้องจากลากันไปนานในเมืองแยนจือครานั้น ตอนนั้นจ้าวซู่เซี่ยฝึกหมัดได้แค่หนึ่งแสนหกหมื่นสามพันกว่าหมัด
ภายหลังตอนที่จากลากัน เฉินผิงอันได้บอกให้เขาฝึกให้ถึงห้าแสนหมัด
จ้าวซู่เซี่ยรู้ว่าพรสวรรค์ของตนไม่ค่อยดี ดังนั้นจึงก้มหน้าก้มตามานะฝึกวิชาหมัด ใช้ความขยันมาชดเชยข้อด้อยของตัวเอง
ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ จ้าวหลวนหลวนมายืนอยู่ข้างกายเขา พูดด้วยเสียงอ่อนโยนว่า “ท่านพี่ ท่านอยากเป็นลูกศิษย์ของท่านเฉินใช่ไหม?”
จ้าวซู่เซี่ยเกาหัว รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย “ไม่ค่อยกล้าคิดเท่าไหร่”
ท่านเฉินที่เป็นเซียนกระบี่คนหนึ่ง เขาจ้าวซู่เซี่ยจะกล้าเพ้อฝันอยากเป็นลูกศิษย์ของเขาได้อย่างไร?
จ้าวหลวนหลวนเอ่ยเบาๆ ว่า “ท่านพี่ แต่ข้ามักจะรู้สึกว่าท่านเฉินฝากความหวังกับท่านไว้มาก”
จ้าวซู่เซี่ยคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ไม่สนเรื่องอื่นแล้ว ข้าต้องฝึกหมัดให้ครบห้าแสนครั้งให้ได้ก่อน! เรื่องของวันหน้าก็ไว้พูดกันวันหน้า”
จ้าวหลวนหลวนพยักหน้ารับ
จ้าวซู่เซี่ยพลันถอนหายใจออกมาหนึ่งที
เด็กสาวกล่าวอย่างสงสัย “เป็นอะไรไป?”
จ้าวซู่เซี่ยพูดเสียงเบา “ข้าพูดว่าสมมตินะ สมมติว่าโชคดีได้กลายเป็นลูกศิษย์ของท่านเฉิน ถ้าอย่างนั้นข้าควรจะเรียกเจ้าว่าอะไร? อาจารย์แม่หรือ? ลำดับศักดิ์เช่นนี้จะไม่ปนกันมั่วหรอกหรือ?”
เด็กสาวหน้าแดงก่ำ ประหนึ่งดอกท้อแดงสะพรั่งที่เบ่งบานในฤดูใบไม้ผลิ
นางเตะเข้าที่น่องเล็กของจ้าวซู่เซี่ย “จ้าวซู่เซี่ย! เจ้าพูดเหลวไหลอะไรน่ะ?!”
จ้าวซู่เซี่ยทำหน้าเหรอหรา แยกเขี้ยวเพราะเจ็บที่น่อง
อู๋ซั่วเหวินตะโกนเสียงดัง “ข้าไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น!”
เด็กสาวยิ่งหน้าแดงมากกว่าเดิม หลบไปอยู่คนเดียวไกลๆ
จ้าวซู่เซี่ยหันหน้ามาสบตากับผู้เฒ่าแล้วยิ้มให้กัน ทุกอย่างไม่จำเป็นต้องพูดออกมา
แม้ว่าอายุจะต่างกันมาก แต่ก็เป็นบุรุษเหมือนกันนี่นะ
แต่เมื่อจ้าวซู่เซี่ยเริ่มฝึกหมัดอีกครั้ง เขากลับให้ความรู้สึกที่ต่างออกไป
ทุกวันนี้เวลาที่อู๋ซั่วเหวินมองดูการฝึกหมัดที่น่าเบื่อหน่ายของเด็กหนุ่ม บางครั้งเขา ถึงขั้นรู้สึกกระจ่างแจ้งในฉับพลัน มักจะรู้สึกว่าแท้จริงแล้วพรสวรรค์ของจ้าวซู่เซี่ยนั้น ดีมาก?
จ้าวซู่เซี่ยในอดีตไม่ใช่ผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธอะไรจริงๆ ทว่าจ้าวซู่เซี่ยในเวลานี้ อันที่จริงปณิธานหมัดก็ยังเจือจางอยู่มาก ยังคงไม่ถือว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์อะไร
ทว่าสักวันหนึ่ง ขอแค่เด็กหนุ่มยืนหยัดเดินไปบนเส้นทางเส้นนี้ต่อไป ถ้าอย่างนั้นอย่างน้อยที่สุดก็มีความเป็นไปได้อยู่อย่างหนึ่ง
ในใต้หล้านี้ผู้ที่มีปณิธานหมัดใกล้เคียงกับเฉินผิงอันมากที่สุด
มีเพียงจ้าวซู่เซี่ยที่ไร้ชื่อเสียงเท่านั้น
……
ทางฝั่งของชายแดนแคว้นชิงหลวน
จิตใจของเซียนหลิวหลีใกล้จะแหลกสลายเต็มที
เซียนซือใหญ่ชุยที่มีรูปโฉมของเด็กหนุ่มสวมชุดขาวผู้นั้น บอกให้เด็กน้อยอ่อนแอบอบบางคนหนึ่งแบกเขา
เด็กน้อยเดินโซซัดเซเซไปบนเส้นทางภูเขาที่คดเคี้ยว
ชุยตงซานโบกตวัดชายแขนเสื้อสีขาวหิมะข้างหนึ่ง ปากก็ร้องย๊าๆๆ ราวกับกำลังขี่ม้าอย่างไรอย่างนั้น
เผยเฉียนเพิ่งจะหลบพ้นหมัดหนึ่งมาได้อย่างยากลำบาก แต่ก็ต้องโดนหมัดหนึ่งกระแทกใส่หน้าผาก ถูกซัดให้ถอยกรูดไปติดกำแพง แล้วก็ถูกหมัดนั้นตรึงร่างไว้ บนผนัง
ผู้เฒ่าเปลือยเท้าพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ข้าใช้ขอบเขตสี่กระดาษเปียกของโลกมาซ้อมเจ้าที่เป็นขอบเขตสาม แต่เจ้ากลับเหมือนคนที่ตายไปแล้วหลายครั้งแบบนี้? เจ้าเป็นเศษสวะงั้นหรือ?! อาจารย์ของเจ้าคือเศษสวะที่พรสวรรค์พอจะใช้ได้ ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็คือเศษสวะที่ไม่มีคุณสมบัติจะเป็นลูกศิษย์ของเฉินผิงอัน!”
เผยเฉียนที่เหมือนถูกห้อยไว้บนผนังมีเลือดสดไหลออกมาจากทวารทั้งเจ็ด นางพยายามฝืนลืมตา ถ่มเลือดใส่ผู้เฒ่าคนนั้น
ผู้เฒ่าไม่คิดจะหลบเลี่ยง เพียงแต่เพิ่มพละกำลังลงบนหมัดข้างหนึ่ง หากเรือนไม้ไผ่แห่งนี้เป็นบ้านเรือนของชาวบ้านทั่วไป คาดว่าศีรษะเล็กๆ นั่นคงฝังยุบเข้าไปทั้งศีรษะแล้ว
ผู้เฒ่าหัวเราะเสียงเย็น “ไม่ยอมงั้นรึ? เจ้ามีปัญญาเปิดปากพูดงั้นหรือ? อาจารย์ที่เป็นเศษสวะสั่งสอนลูกศิษย์เศษสวะ! หากข้าเป็นเฉินผิงอัน ป่านนี้คงให้เจ้าหอบเสื่อไสหัวไปไกลนานแล้ว วันหน้าจะได้ไม่ต้องอับอายขายขี้หน้าคนอื่น!”
หมัดนี้ของเขาทำให้ใบหน้าของเผยเฉียนที่เดิมทีก็มีเลือดโชกจนมองเห็นใบหน้าไม่ชัดไม่เหลือความดำอยู่เลยแม้แต่น้อย
แขนเล็กบางข้างหนึ่งยกขึ้นอย่างสั่นสะท้าน ไม่ถือว่าเป็นการออกหมัดอะไร เพราะได้แค่แตะไหล่ของผู้เฒ่าเบาๆ เท่านั้น
นี่คิดจะช่วยเกาให้กันหรืออย่างไร?
ผู้เฒ่าคล้ายจะเดือดดาลอย่างหนัก เปลี่ยนหมัดเป็นฝ่ามือ จับทั้งศีรษะของนางเอาไว้ โบกง่ายๆ หนึ่งครั้งร่างของนางก็ปลิวหวือ ลอยไปกระแทกกำแพงอีกด้านแล้วร่วงลงพื้นอย่างแรง
เผยเฉียนหมดสติไปอย่างสิ้นเชิงแล้ว
ผู้เฒ่ามาหยุดอยู่ข้างกายนาง ทรุดตัวลงนั่งยอง แล้วยื่นนิ้วแตะลงไปบนความว่างเปล่าสองสามที
ครู่หนึ่งต่อมาเขาก็ลุกขึ้นยืน หันหน้าไปพูดกับระเบียงด้านนอกห้อง “ลากออกไป”
ประตูเรือนไม้ไผ่เปิดอ้า เด็กหญิงชุดกระโปรงชมพูแบกเด็กหญิงผิวดำเกรียมที่นอนตัวอ่อนยวบอยู่บนพื้นขึ้นหลังอย่างคุ้นเคย ก้าวเดินฝีเท้าแผ่วเบานุ่มนวล แต่กลับรวดเร็ว รีบวิ่งลงไปยังชั้นหนึ่ง
ผู้เฒ่าเอาสองมือไพล่หลัง ก้าวยาวๆ ออกมาจากห้อง มาหยุดอยู่ตรงราวระเบียง
ผู้เฒ่าหัวเราะแต่กลับไร้เสียง รู้สึกมีความสุขอย่างถึงที่สุด
มีหมัดนั้น
ก็ควรจะเป็นเจ้าเผยเฉียนที่มีขอบเขตแข็งแกร่งที่สุด!