Skip to content

Sword of Coming 484

บทที่ 484 ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ

เรือข้ามทวีปของสำนักพีหมาแห่งชายหาดโครงกระดูกลำนี้มีรูปลักษณ์เหมือนเรือหอเรือนข้ามแม่น้ำ ไม่แตกต่างจากเรือขนาดเล็กจำนวนมากที่เฉินผิงอันเคยนั่งมาก่อน เพียงแต่ว่าพอลอยขึ้นกลางอากาศแล้วกลับมีความลี้ลับมหัศจรรย์ บริเวณโดยรอบเรือลำยักษ์มีไอหมอกกลิ้งตลบอบอวล ก่อนจะปรากฏเป็นร่างมายาของมัลละสวมเสื้อเกราะที่พากันกรูออกมาประหนึ่งคนดึงเชือกลากเรือที่วิ่งตะบึงอยู่กลางอากาศท่ามกลางทะเลเมฆ เป็นเหตุให้ความเร็วของเรือข้ามฝากดั่งสายฟ้าแลบ เหนือกว่าเรือข้ามฟากของภูเขาต่าเจี้ยวของตระเซียนที่มาจากอุตรกุรุทวีปเหมือนกันมากนัก

เฉินผิงอันปลดเจี้ยนเซียนและน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่วางไว้บนโต๊ะนานแล้ว นอกจากจะฝึกหมัดเงียบๆ อยู่ในห้อง บางครั้งก็จะหยิบเอาแผ่นไม้ไผ่สองสามแผ่นออกมาแล้วไปชมทัศนียภาพอยู่ที่ระเบียง ใช้ฝ่ามือลูบแผ่นไม้ไผ่อยู่เป็นระยะ ตอนนี้แผ่นไม้ไผ่ออกสีเหลืองที่อยู่ในมือของเขาสลักตัวอักษรแปดคำที่มีความหมายว่า ‘ไม่มีเรื่องทำสมองให้แจ่มชัด เจอเรื่องตัดสินใจให้เด็ดขาด’ หนึ่งคำคือแจ่มชัด อีกหนึ่งคำคือเด็ดขาด ล้วนทำให้เฉินผิงอันรู้สึกถูกชะตามากเป็นพิเศษ

แม้ว่าก่อนที่ชุยตงซานจะจากไปได้มอบพัดพับไม้ไผ่หยกเล่มหนึ่งมาให้ แต่พอนึกถึงท่วงท่าเปี่ยมเสน่ห์ยามโบกพัดพัดลมเย็นเข้าสู่ตัวขณะที่เอนกายนอนบนเปลญวนระหว่างที่ลู่ไถเดินทางร่วมกับตนในปีนั้น เมื่อมีผลงานโดดเด่นให้เปรียบเทียบ เฉินผิงอันจึงรู้สึกว่าเมื่อพัดพับเล่มนั้นมาตกอยู่ในมือของตนก็ช่างน่าสงสารมันเสียจริง เพราะเขาไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าภาพที่ตัวเองโบกพัดจะชวนให้กระอักกระอ่วนเพียงใด

หลังจากที่เรือข้ามฟากลอยพ้นไปจากอาณาเขตของพื้นที่มงคลหลีจูแล้วก็จะจอดเทียบท่าที่ท่าเรือตำหนักฉางชุนซึ่งอยู่ทางเหนือของเมืองหลวงต้าหลีครู่หนึ่ง ตำหนักฉางชุนคือถ้ำสถิตตระกูลเซียนอันดับหนึ่งของต้าหลี ผู้ฝึกตนล้วนเป็นสตรี หลังจากที่เหนียงเนียงในวังผู้นั้นสูญเสียอำนาจก็มาสร้างกระท่อมฝึกตนอยู่ที่นี่ ตอนนั้นราชสำนักต้าหลีต่างก็นึกว่าเหนียงเนียงที่ออกห่างจากใจกลางอำนาจผู้นี้จะไม่อาจลุกขึ้นมาได้อีก คิดไม่ถึงว่าถึงท้ายที่สุดแล้วนางต่างหากถึงจะเป็นผู้ชนะที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ให้กำเนิดบุตรชายสองคน คนหนึ่งมีราชครูชุยฉานคอยให้การสนับสนุน ได้เป็นฮ่องเต้พระองค์ใหม่ของต้าหลี อีกคนหนึ่งก็ยิ่งสนิทสนมกับอ๋องเจ้าเมืองซ่งจ่างจิ้ง และกำลังจะได้รับแต่งตั้งเป็นอ๋องให้ไปอยู่พื้นที่ศักดินาอย่างนครมังกรเฒ่า ปกครองเมืองหลวงแห่งที่สองอยู่ไกลๆ

หลังจากอดีตฮ่องเต้ตายไป ทั้งๆ ที่นางถูก ‘กักบริเวณ’ แล้ว ราวกับว่าไม่ได้ทำอะไรสักอย่าง แต่กลับกลายเป็นว่าผลลัพธ์ที่ออกมาดีต่อนางที่สุด

ดูเหมือนว่าจะโทษที่พวกชาวบ้านชอบพูดติดปากว่าคนทำดีต้องได้ดีตอบแทน แต่แท้จริงแล้วในใจกลับไม่เชื่อเท่าไหร่นักไม่ได้จริงๆ

เฉินผิงอันไม่ค่อยเหมือนกับกู้ช่านและเผยเฉียน การลงบัญชีของเขาไม่ใช่การจดลงบนกระดาษน้อยใหญ่ เพราะหากมากเกินไปกลับจะทำให้จำได้ไม่แม่นยำ ปีนั้นที่เฉินผิงอันออกจากบ้านเดินทางไกลเป็นครั้งแรก เหนียงเนียงแห่งต้าหลีผู้นี้เกิดจิตคิดสังหารเขาอย่างแรงกล้า จึงส่งยอดนักฆ่ากลุ่มใหญ่ของต้าหลีให้ติดตามมา หากไม่เจอกับอาเหลียงเข้าพอดี ต่อให้มีเฉินผิงอันเป็นร้อยคน ป่านนี้ก็คงตายไร้ศพอยู่ดี

แน่นอนว่าสตรีผู้นั้นมีเหตุผลของนางเอง บุตรชายอย่างซ่งจี๋ซินต้องเจอกับความอัปยศใหญ่หลวงจากเขาเฉินผิงอัน อีกนิดเดียวก็เกือบจะถูกลูกศิษย์เตาเผามังกรอย่างเขาบีบคอตายอยู่ในตรอกหนีผิงท่ามกลางสายฝนแล้ว

หลังจากได้เดินทางผ่านพื้นที่มงคลดอกบัวและทะเลสาบซูเจี่ยน อันที่จริงเฉินผิงอันพอจะเรียบเรียงเส้นสายของสตรีผู้นั้นได้คร่าวๆ แล้ว

เห็นได้ชัดว่าในช่วงเวลาที่เหนียงเนียงต้าหลีซึ่งกุมอำนาจใหญ่อยู่ในมือผู้นี้มีบารมีมากที่สุด นางก็ได้เริ่มวางแผนแล้ว ช่วยซ่งเหอบุตรชายที่ถูกเลี้ยงอยู่ข้างกายในเมืองหลวงสร้างชื่อเสียงที่ดีงาม สานสัมพันธ์ตีสนิทกับขุนนางบุ๋นบู๊ ส่วนซ่งจี๋ซินที่ไปช่วงชิงโชควาสนาจากถ้ำสวรรค์หลีจูเพื่อช่วยให้โชคชะตาแคว้นของสกุลซ่งต้าหลีเป็นดั่ง ‘ลมโชยน้ำขึ้น’ นั้น สามารถช่วยสกุลซ่งช่วงชิงมาได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น หากซ่งจี๋ซินตายไป นางก็คงยังบีบน้ำตาร่ำไห้ เพียงแต่ว่าซ่งมู่ที่เกิดมาได้มานานก็ ‘เสียชีวิตก่อนวัยอันควร’ จึงถูกตัดชื่อออกจากทำเนียบวงศ์ตระกูลสกุลซ่งไปนานแล้ว หากตายไปแล้วก็ตายไป ก็แค่ต้องตายอีกครั้งเท่านั้น แต่ความดีความชอบของซ่งจี๋ซิน อย่างน้อยก็มีครึ่งหนึ่งที่เป็นคุณความชอบของมารดาอย่างนาง ความดีความชอบของนาง แน่นอนว่าก็เป็นคุณความชอบของซ่งเหอบุตรชายอีกคน เรื่องราววงในทั้งหลายเหล่านี้ ไม่แน่เสมอไปว่าเหล่าขุนนางสำคัญที่เป็นเสาค้ำยันแคว้นของต้าหลีจะไม่รับรู้ แต่ไม่เป็นไร อดีตฮ่องเต้ยอมรับ ชุยฉานยอมรับ ซ่งจ่างจิ้งก็ต้องยอมรับ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

ซ่งจี๋ซินมีชีวิตออกมาจากถ้ำสวรรค์หลีจูก็ยิ่งเป็นเรื่องดี แน่นอนว่าก่อนที่จะบอกว่าเป็นเรื่องดี ซ่งมู่ที่กลับคืนมามีชื่อในทำเนียบวงศ์ตระกูลอีกครั้งผู้นี้ต้องไม่มีใจละโมบ ต้องเป็นเด็กดีว่าง่าย ต้องเข้าใจว่าจะไม่แย่งชิงบัลลังก์ตัวนั้นกับซ่งเหอผู้เป็นน้องชายเสียก่อน

ดังนั้นคราวก่อนที่เฉินผิงอันกับซ่งจี๋ซินซึ่งเป็นทูตที่มาเยือนเมืองหลวงต้าสุยได้พบเจอกันโดยบังเอิญในสำนักศึกษาซานหยา จึงสามารถพูดคุยกันได้อย่างผ่อนคลาย ไม่มีความขัดแย้งเกิดขึ้น

ตอนที่ซ่งจี๋ซินยังเป็นเพื่อนบ้านของเฉินผิงอัน อีกฝ่ายคอยพูดจาแฝงความนัยเหน็บแนมอยู่ไม่น้อย อย่างเช่นคำว่าบ้านหลังใหญ่โตของเฉินผิงอัน ของสิ่งเดียวที่พอมีเสียงได้ก็คือขวดไห กลิ่นหอมกลิ่นเดียวที่พอจะได้กลิ่นก็คือกลิ่นยา

แต่นอกจากครั้งนั้นที่หลอกให้เฉินผิงอันต้องผิดคำสาบานแล้ว โดยภาพรวมซ่งจี๋ซินกับเฉินผิงอันก็ถือว่าอยู่ร่วมกันได้อย่างดี แค่ไม่ถูกชะตากันก็เท่านั้น จึงเป็นดั่งน้ำบ่อที่ไม่ยุ่งกับน้ำคลอง คนหนึ่งเดินบนทางกว้างใหญ่ คนหนึ่งเดินบนทางสะพานไม้คับแคบ ใครก็ไม่ถ่วงรั้งใคร ส่วนคำพูดเสียดสีค่อนแคะทั้งหลาย เมื่ออยู่ในสถานที่อย่างตรอกหนีผิง ตรอกซิ่งฮวาก็ช่างเบาบางเหมือนขนห่าน ใครเอาเก็บไปใส่ใจ คนนั้นก็เสียเปรียบ ในความเป็นจริงแล้วปีนั้นซ่งจี๋ซินก็ถูกพวกสตรีในหมู่ชาวบ้านนำมาเป็นหัวข้อซุบซิบนินทา เขาเองก็เคยเจอกับความยากลำบากในเรื่องนี้มาเหมือนกัน แล้วก็เพราะเก็บมาใส่ใจมากเกินไป ปมในใจจึงกลายมาเป็นเงื่อนตาย ต่อให้เทพเซียนก็ยากจะคลายออก

เมื่อเรือข้ามฟากใกล้จะเข้าสู่แถบเมืองหลวงต้าหลี ท่ามกลางม่านราตรีของคืนนี้ แสงจันทร์แสงดาวบางตา เฉินผิงอันนั่งอยู่บนราวระเบียง แหงนหน้ามองท้องฟ้าพลางดื่มเหล้าอยู่กับตัวเองเงียบๆ

ยามที่ยังเป็นเด็ก เฉินผิงอันกลัวว่าจะเจ็บป่วยมากที่สุด หลังจากที่เริ่มคุ้นเคยกับการขึ้นภูเขาไปเก็บยาสมุนไพร จากนั้นก็ได้มาเป็นลูกศิษย์ของเตาเผา ติดตามผู้เฒ่าเหยาที่ให้ตายก็ไม่ยอมเห็นดีในตัวเฉินผิงอันเรียนการเผาเครื่องปั้น เฉินผิงอันจะต้องระมัดระวังเรื่องสุขภาพของตัวเองเป็นพิเศษ หากมีแนวโน้มว่าจะเป็นไข้ ก็จะขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรมาต้มเป็นยา หลิวเสี้ยนหยางเคยหัวเราะเยาะว่าเฉินผิงอันเป็นคนที่บอบบางที่สุดในโลก คิดว่าตัวเองมีร่างกายของคุณหนูน้อยบนถนนฝูลวี่จริงๆ หรือไร

ไม่เพียงแค่เพราะตอนเป็นเด็กเฉินผิงอันต้องเห็นมารดาเปลี่ยนจากล้มป่วยนอนติดเตียง รักษาอย่างไรก็ไร้ผล จนกระทั่งผ่ายผอมราวกับท่อนฟืน สุดท้ายก็จากโลกนี้ไปในวันที่หิมะตกหนัก ยังเป็นเพราะเฉินผิงอันกลัวอย่างยิ่งว่าหากตัวเองตายไป ใต้หล้านี้ก็จะไม่มีคนที่คอยคิดถึงพ่อแม่ของเขาอีก

ปีนั้นท่านแม่มักจะบอกว่าอาการป่วยของนางไม่เจ็บปวด ก็แค่มักจะง่วงนอนบ่อยๆ ดังนั้นจึงบอกกับเขาว่าผิงอันน้อยไม่ต้องกลัว ไม่ต้องกังวล

แรกเริ่มเด็กที่ยังไร้เดียงสาก็เชื่อจริงๆ เพียงแต่ภายหลังถึงเพิ่งรู้ว่าไม่ใช่อย่างนั้นเลย เพราะท่านแม่ไม่อยากให้เขาคิดมาก ไม่อยากให้เขาต้องทำงานเหนื่อยยาก ถึงได้กัดฟันทน แบกรับความเจ็บปวดทรมานไว้กับตัว

ผ้าห่มผืนเก่าบนเตียงหลังนั้น มุมผ้าห่มด้านในหลายจุดล้วนถูกนางจิกจนฉีกขาด

คนในตระกูลร่ำรวยไม่ต้องกังวลเรื่องการกินอยู่ ต่างก็บอกว่าเด็กเล็กหากรู้ความเร็ว ก็จะได้ดิบได้ดีมีอนาคต

ครอบครัวยากจน ต่อให้เด็กน้อยจะรู้ความเร็ว แต่จะยังทำอะไรได้อีก ก็แค่ต้องรับความลำบากเร็วกว่าเด็กคนอื่นเท่านั้น

ตรอกหนีผิงในปีนั้นไม่มีใครสนใจหรอกว่าเด็กที่เหยียบม้านั่งทำอาหาร สำลักควันและน้ำมันจนน้ำตาไหลอาบหน้า ทว่าใบหน้ากลับยังมีรอยยิ้มคนนั้น กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่

เด็กคนหนึ่งที่วิ่งไปขอพรจากสุสานเทพเซียนเพียงลำพังจะกลัวความมืดหรือไม่ จะกลัวคำเล่าลือเกี่ยวกับภูตผีหรือไม่ ตอนที่คุกเข่าโขกหัวคำนับเหล่าเทพเซียนพระโพธิสัตว์ บอกว่าขอติดควันธูปเอาไว้ก่อน วันหน้าเมื่อเติบใหญ่แล้ว เขาจะต้องชดใช้คืนเป็นแน่ จะถือว่าจริงใจพอหรือเปล่า

ไม่มีใครจำได้ว่าปีนั้นในห้องแห่งหนึ่งมีสตรีแต่งงานแล้วผู้หนึ่งกัดฟันข่มกลั้นความเจ็บปวดทรมานเพื่อลุกออกจากผ้าห่ม แต่กระนั้นก็ยังมีเสียงเล็กๆ ลอดออกมาจากไรฟัน

นอกประตู เด็กคนนั้นใบหน้าซีดขาว ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่นั่งยองอยู่บนพื้น ยกสองมืออุดหู ไม่กล้าส่งเสียงร้อง กลัวว่าท่านแม่จะรู้ว่าเขารู้แล้ว

ไม่ใช่ญาติสนิททุกคนบนโลกที่จะรับรู้ความเศร้าโศกความยินดีของกันและกันได้

เกิดขึ้นเร็วเกินไป ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเป็นเรื่องดีทั้งหมด

ก่อนจะออกเดินทาง ตอนที่อยู่เฝ้าคืนในบ้านบรรพบุรุษคืนนั้น เผยเฉียนสะลึมสะลือม่อยหลับไป พอหัวของนางวูบตกลงจึงสะดุ้งตื่น เลยเห็นว่าอาจารย์กำลังหลั่งน้ำตาอยู่เงียบๆ

เผยเฉียนไม่ได้เอ่ยอะไร นางแค่มองอาจารย์เงียบๆ

ยังคงมองเห็นเงาร่างของเด็กคนนั้นที่นั่งอยู่ตรงข้ามกับหม้อยาในมุมบ้านได้เลือนราง

อาจารย์ที่ยังเป็นเด็กคนนั้นกลัวการเติบโต กลัวพรุ่งนี้อย่างมาก ถึงขั้นคิดอยากจะให้แม่น้ำแห่งกาลเวลาหมุนย้อนกลับ กลับไปยังช่วงเวลาที่ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาอย่างมีความสุข

สุดท้ายเฉินผิงอันก็คืนสติ เขาลูบศีรษะเผยเฉียน เอ่ยเสียงเบาว่า “อาจารย์ไม่เป็นอะไร ก็แค่รู้สึกเสียดายที่ท่านแม่ไม่ได้เห็นวันนี้ เจ้าคงไม่รู้ว่าเวลาท่านแม่ของอาจารย์ยิ้ม น่ามองอย่างมาก ปีนั้นพวกเพื่อนบ้านทุกคนในตรอกหนีผิงและตรอกซิ่งฮวา ต่อให้เป็นสตรีแต่งงานแล้วที่เวลาปกติปากร้ายแค่ไหน ก็ไม่มีใครที่ไม่พูดว่าท่านพ่อของข้าโชคดีที่ได้แต่งงานกับสตรีดีๆ อย่างท่านแม่ข้า”

ครึ่งคืนหลังของคืนนั้น เผยเฉียนวางศีรษะไว้บนขาของอาจารย์แล้วค่อยๆ หลับไป

พอฟ้าสาง เฉินผิงอันก็ออกจากบ้านเกิดอีกครั้ง

เดินทางไกลนับหมื่นลี้ ด้านหลังยังคงเป็นบ้านเกิด มิใช่มาตุภูมิ ยังต้องกลับคืนไป

……

หลังจากเฉินผิงอันจากไป ภูเขาลั่วพั่วก็ขาดความครึกครื้นไปไม่มากก็น้อย

ผู้เฒ่าชุยเฉิงแทบไม่เคยออกจากเรือน เจิ้งต้าเฟิงที่อยู่ตรงประตูภูเขาก็ยุ่งอยู่กับงานก่อสร้างในช่วงท้าย เนื้อตัวมอมแมมเปื้อนฝุ่นอยู่ทั้งวัน ช่วยไม่ได้ เจ้าหมอนี่ชอบช่วยเหลือพวกช่าง พวกช่างก็ไม่รู้สึกประหลาดใจ ต่อให้เป็นเจ้าขุนเขาเฉินของภูเขาลั่วพั่วที่ว่ากันว่ามีภูมิหลังยิ่งใหญ่ มีคนหนุนหลังใหญ่เทียมฟ้า ตอนนี้ก็ถือว่าหลุมศพบรรพบุรุษมีควันเขียวผุดขึ้นจึงเจริญรุ่งเรืองได้ดิบได้ดีแล้วก็ตาม มีข่าวลือเล็กๆ น้อยๆ บางอย่างที่เล่าลือต่อกันไปอย่างน่าเชื่อถือ ทำให้คนคร้านจะอิจฉาริษยาแล้ว มีเพียงชื่นชมและนับถือเท่านั้น ลูกศิษย์เตาเผามังกรที่มีชาติกำเนิดจากตรอกหนีผิงคนหนึ่ง สามารถมีชีวิตได้อย่างทุกวันนี้ ต่อให้จะโชคดีแค่ไหน แต่ความสามารถก็ต้องมีไม่น้อยแน่นอน

ทว่าชายฉกรรจ์หลังค่อมแซ่เจิ้งคนนี้ เป็นแค่คนเฝ้าประตู ไม่ได้เก่งกาจไปกว่าคนที่มีสัญชาติทาสต้องทำงานใช้แรงงานอย่างพวกเขาสักเท่าไหร่ ดังนั้นเวลาคบค้าสมาคมกันจึงไม่พันธนาการใดๆ พูดจาหยาบโลน หยอกล้อกันไปมา ไม่มีข้อต้องห้ามให้ต้องกริ่งเกรง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำพูดของเจิ้งต้าเฟิงยังแฝงไว้ด้วยความทะลึ่งตึงตัง อีกทั้งเมื่อเทียบกับคำหยาบโลนของบุรุษที่เป็นชาวบ้านทั่วไปแล้วก็มักจะอ้อมไปอ้อมมา แต่กลับไม่ถึงขั้นมีอารยธรรมความรู้อะไรมากนัก เป็นเหตุให้เวลาทั้งสองฝ่ายดื่มเหล้าจอกเล็ก กินเนื้อถ้วยใหญ่ร่วมกันบนโต๊ะ หากมีใครเข้าใจขึ้นมาในฉับพลันก็มักจะตบโต๊ะร้องเฮเกรียวกราว ยกนิ้วโป้งให้กับพี่ใหญ่เจิ้ง

เฉินหรูชูยังคงง่วนอยู่กับการเก็บกวาดทำความสะอาดเรือนแต่ละหลัง อันที่จริงนางทำความสะอาดอยู่ทุกวัน อีกทั้งภูเขาลั่วพั่วก็เป็นสถานที่ที่ภูเขาเขียวน้ำใส จึงสะอาดสะอ้านเอี่ยมอ่อง แต่เฉินหรูชูก็ยังคงมีความสุขไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่อันดับหนึ่ง เรื่องการฝึกตนยังเป็นรองเรื่องนี้เสียอีก

ดังนั้นเด็กหญิงชุดกระโปรงสีชมพูจึงเป็นคนเดียวของภูเขาลั่วพั่วที่มีกุญแจของเรือนทุกหลัง เฉินผิงอันไม่มี จูเหลี่ยนก็ไม่มี

เฉินหลิงจวินยังคงเอ้อระเหยลอยชายไปวันๆ เตร็ดเตร่ไปทั่ว คราวก่อนมีหน้ามีตาที่งานเลี้ยงท่องราตรีไปรอบหนึ่ง ดังนั้นจึงมี ‘สหาย’ ในยุทธภพเพิ่มมากขึ้น ภูเขาน้อยใหญ่ล้วนกระตือรือร้นต่อเด็กชายชุดเขียวที่ได้นั่งอยู่บนตำแหน่งสูงศักดิ์ผู้นี้ ยกตัวอย่างเช่นบรรพบุรุษเซียนดินโอสถทองของยอดเขาอีไต้ที่ชอบเรียกให้เฉินหลิงจวินไปเป็นแขกอยู่เป็นประจำ หนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กดื่มเหล้าพลางพูดคุยกันอย่างถูกคอ ต่างคนต่างคุยโวถึงวีรกรรมยิ่งใหญ่ของตัวเองในอดีต เข้ากันได้ดีอย่างมาก เกี่ยวกับเรื่องนี้ เฉินผิงอันเคยได้มาคุยกับเฉินหลิงจวินเป็นการส่วนตัว บอกว่าสามารถไปที่ยอดเขาอีไต้บ่อยๆ ได้ ดังนั้นเฉินหลิงจวินจึงเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ครั้งนี้นายท่านใหญ่อย่างข้าถือว่าคบหาสหายตามคำสั่งแล้ว

เผยเฉียนที่หลังจากนำขนมหมาฮวาสองถุงไปมอบให้พี่หญิงซิ่วซิ่ว ก็นึกถึงเรื่องที่อาจารย์กำชับไว้ขึ้นมาได้ จึงไปที่ยอดเขาอีไต้พร้อมกับเฉินหลิงจวิน พาโจวฉงหลินเทพธิดาแห่งอารามชิงเหมยลงมาจากภูเขาด้วยกัน หลิวอวิ๋นรุ่นที่กอดจิ้งจอกขาววัยเยาว์ไว้ในอ้อมอกเกิดมาก็ชอบความครึกครื้น จึงตามมาที่ภูเขาลั่วพั่วด้วย เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่ถ่านดำน้อยอยากจะลูบเจ้าตัวน้อย จิ้งจอกขาวจะต้องขดร่างตัวสั่น นี่ทำให้เผยเฉียนเสียหน้าอย่างยิ่ง ในใจรู้สึกเหมือนได้รับความอยุติธรรม เจ้าตัวน้อยจะต้องกลัวอะไร ช่างขี้ขลาดนัก ในตำรามีบอกไว้ไม่ใช่หรือว่าขนใต้รักแร้ของจิ้งจอกแม้จะเล็ก แต่เมื่อเอามารวมกันก็สามารถนำมาทำเป็นอาภรณ์ชุดหนึ่งได้ นางก็แค่คิดว่าหากถลกหนังของมันเอาไปทำเสื้อผ้าจะต้องได้ราคาดีแน่ๆ ไม่ได้คิดจะฆ่ามันจริงๆ เสียหน่อย

ตอนที่จูเหลี่ยนรับรองแขกได้เตือนเผยเฉียนว่าถึงเวลาที่ต้องไปเรียนหนังสือที่โรงเรียนแล้ว เผยเฉียนไม่สนใจแม้แต่น้อย และยังกล่าวอย่างมีเหตุมีผลว่าจะต้องพาพวกโจวฉงหลินไปเที่ยวที่สำนักกระบี่หลงเฉวียนของพี่หญิงซิ่วซิ่วก่อน

จูเหลี่ยนยิ้มตาหยีกล่าวว่า ถ้าอย่างนั้นก็ให้เวลาเจ้าได้เล่นสนุกอีกห้าวัน ถึงอย่างไรก็น่าจะเที่ยวตามภูเขาต่างๆ ของบ้านตัวเองและของบ้านแม่นางหร่วนครบถ้วนแล้ว

แรกเริ่มเผยเฉียนยังต่อรองกับจูเหลี่ยน สุดท้ายจูเหลี่ยนยอมเพิ่มให้อีกสองวันด้วยท่าทาง ‘ลำบากใจ’ เผยเฉียนลิงโลดอย่างถึงที่สุด รู้สึกว่าตัวเองได้กำไรแล้ว

อันที่จริงตอนนั้นเฉินผิงอันก็บอกกับจูเหลี่ยนแล้วว่า เผยเฉียนจะต้องอืดอาดถ่วงเวลาอย่างแน่นอน ถ้าอย่างนั้นก็ให้นางถ่วงเวลาไปอีกสักสิบวันครึ่งเดือน หลังจากนั้นต่อให้ต้องจับมัดก็ต้องพานางไปที่โรงเรียนให้จงได้

ดังนั้นจึงเรียกได้ว่าจิ้งจอกน้อยเจอกับจิ้งจอกเฒ่า ตบะยังห่างชั้นกันนัก

เมื่อสองวันก่อน เผยเฉียนเดินเหมือนมีลมอยู่ใต้ฝ่าเท้า อารมณ์ดีสุดขีด ไม่ว่าจะมองอะไรก็ล้วนน่าดูไปหมด ในมือถือไม้เท้าเดินป่า คอยนำทางให้กับโจวฉงหลินและหลิวอวิ๋นรุ่น ภูเขาใหญ่ทิศตะวันตกแถบนี้ นางคุ้นเคยเป็นอย่างยิ่ง

ก่อนหน้านี้ก็เคยมาขับไล่หมา เหงื่อมากมายที่ไหลเพราะความยากลำบากไม่ได้เสียเปล่า

เมื่อไปถึงสำนักกระบี่หลงเฉวียน อย่าว่าแต่เทพธิดาอารามชิงเหมยที่เป็นคนละเอียดรอบคอบเลย ต่อให้เป็นหลิวอวิ๋นรุ่นที่ไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดินก็ยังสำรวมตนอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อนางได้พบกับสตรีชุดเขียวที่เล่าลือกันว่าเป็นบุตรีโทนของอริยะหร่วน แต่ละคนทำตัวว่าง่ายไม่แพ้กัน เผยเฉียนเกือบจะกุมท้องหัวเราะก๊าก ได้แต่เกร็งหน้าให้ขึงตึง ตอนนั้นหร่วนซิ่วทำเพียงแค่ชำเลืองตามองสตรีแปลกหน้าสองคนแวบเดียวแล้วก็หันไปส่งยิ้มให้เผยเฉียน เผยเฉียนวิ่งเหยาะๆ เข้ามาหา หร่วนซิ่วก้มตัวลงอย่างเป็นธรรมชาติ เผยเฉียนเขย่งปลายเท้าขึ้นกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูพี่หญิงหร่วนซิ่วหนึ่งประโยค บอกว่าอาจารย์ไม่ค่อยชอบพวกนางสักเท่าไหร่ ให้ตายก็ไม่ยอมให้พวกนางไปเป็นแขกที่ภูเขาลั่วพั่ว แต่อาจารย์กลับประทับใจในตัวของผู้ฝึกตนหนุ่มที่ชื่อว่าซ่งหยวนของภูเขาอีไต้อย่างมาก ดังนั้นจึงให้นางที่เป็นลูกศิษย์เปิดขุนเขาพาพวกนางมาเดินเล่นแถวสำนักของพี่หญิงซิ่วซิ่ว

หร่วนซิ่วหัวเราะทันใด

นางถึงขั้นหยุดการหลอมกระบี่แล้วมานำทางให้ด้วยตัวเอง ทำให้ทั้งโจวฉงหลินและหลิวอวิ๋นรุ่นต่างก็รู้สึกตกใจที่ได้รับความเมตตาอย่างไม่คาดฝัน โดยเฉพาะฝ่ายแรกที่รู้สึกว่าลำพังเพียงแค่โชควาสนาที่เหมือนหล่นลงมาจากฟ้าครั้งนี้ ก็มากพอจะทำให้นางได้รับผลประโยชน์จำนวนนับไม่ถ้วนที่ทั้งจับต้องได้จริงและจับต้องไม่ได้ ทั้งบนทั้งล่าง ทั้งในและนอกหลังจากกลับไปถึงอารามชิงเหมยทะเลสาบหนันถังแล้ว เพียงแต่พอนึกถึงว่าสตรีใจดีที่มีรอยยิ้มประดับหน้าอยู่ตลอดเวลาข้างกายผู้นี้คือบุตรสาวคนเดียวของอริยะผู้ถวายงานลำดับหนึ่งของต้าหลี นางก็รู้สึกว่าหลังกลับไปถึงอารามชิงเหมย วิธีการบางอย่างที่นางคุ้นเคยดีควรจะทำให้คลุมเครืออีกสักหน่อย อย่าได้ทำให้เรื่องดีกลายเป็นหายะไปได้

หลิวอวิ๋นรุ่นนั้นไร้เดียงสากว่ามาก มีท่านปู่เป็นเซียนดินคนหนึ่งจึงทำให้นางรู้เรื่องวงในมากมายเกี่ยวกับถ้ำสวรรค์หลีจู ดังนั้นจึงรู้สึกเลื่อมใสเทพธิดาหร่วนที่สถานะสูงส่ง มีเรื่องราวมากมาย และแท้จริงแล้วนิสัยก็ยังดีมากเป็นพิเศษผู้นี้จากใจจริง

เซียนดินต่งกู่ที่ตอนนี้เป็นที่รู้จักของคนส่วนใหญ่ของราชสำนักต้าหลีก็จนใจกับเรื่องนี้เหมือนกัน คนที่กล้าบ่นศิษย์พี่หญิงสองสามคำก็มีแค่อาจารย์เท่านั้น ประเด็นสำคัญคือคำบ่นของเขายังไม่ได้ผลอีกด้วย

ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ

ช่วงเวลาที่ผ่านมานี้เผยเฉียนเที่ยวเล่นอย่างบ้าคลั่งอยู่สามวัน ใช้ชีวิตดั่งเทพเซียน รอจนถึงวันที่สี่ ถ่านดำน้อยก็เริ่มกลัดกลุ้ม พอถึงวันที่ห้าก็เซื่องซึม วันที่หกรู้สึกเหมือนฟ้าดินจะถล่มทลาย วันสุดท้ายระหว่างทางที่กลับมาจากยอดเขาอีไต้ก็เริ่มไหล่ลู่คอตก ลากไม้เท้าเดินป่ามาตามทาง เจิ้งต้าเฟิงอุตส่าห์เอ่ยทักทายนางอย่างที่หาได้ยาก นางก็แค่อืมรับหนึ่งคำ แล้วเดินขึ้นเขาไปเงียบๆ

จากนั้นวันต่อมา เผยเฉียนก็เป็นฝ่ายวิ่งไปหาพ่อครัวผู้เฒ่าจูตั้งแต่เช้าตรู่ บอกว่านางลงเขาไปเองก็ได้ ไม่มีทางหลงเสียหน่อย

จูเหลี่ยนจึงตอบรับ

เพื่อแสดงความจริงใจ เผยเฉียนจึงชักเท้าวิ่งลงจากภูเขาไป เพียงแต่รอจนพ้นมาจากอาณาเขตของภูเขาลั่วพั่วค่อนข้างไกลแล้ว นางก็เริ่มเดินอาดๆ ท่าทางสบายอุราเป็นอย่างยิ่ง นางไปดูที่ข้างลำธารว่ามีปลาหรือไม่ ปีนขึ้นต้นไม้ไปชมทิวทัศน์ พอไปถึงเมืองเล็กก็ไม่ได้รีบร้อนไปที่ตรอกฉีหลง แต่ไปเล่นขว้างหินที่ริมลำคลองหลงซวี เหนื่อยก็นั่งแทะเมล็ดแตงอยู่บนก้อนหินใหญ่สีดำ อยู่รอจนกระทั่งค่ำมืดถึงได้ไปที่ตรอกฉีหลงอย่างมีความสุข ผลคือพอนางเห็นจูเหลี่ยนนั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็กหน้าประตูก็รู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่าลงมากลางหัว

เผยเฉียนรีบแกล้งทำเป็นเดินขากะเผลก พูดหน้าหงอย “พ่อครัวเฒ่า ตอนที่ลงจากภูเขา เดินไปได้ครึ่งทาง เพราะว่าวิ่งเร็วเกินไปจึงสะดุดล้มหน้าทิ่ม ก็เลยเพิ่งจะเดินมาถึงที่นี่ตอนนี้แหละ”

จูเหลี่ยนร้องอ้อหนึ่งที “ไม่เป็นไรๆ รักษาบาดแผลเป็นเรื่องสำคัญกว่า ข้าจะกลับไปเขียนจดหมายฉบับหนึ่งให้อาจารย์ของเจ้า บอกว่าขาเจ้าบาดเจ็บ อย่าเพิ่งไปเรียนที่โรงเรียนก่อนดีกว่า”

เผยเฉียนย่นหน้า นั่งแปะลงบนธรณีประตู สือโหรวที่ยืนอยู่ด้านหลังโต๊ะคิดเงินในร้านกำลังดีดลูกคิดเสียงดังป้อกแป้ก ฟังแล้วน่ารำคาญยิ่งนัก เผยเฉียนกล่าวอย่างอัดอั้นว่า “พรุ่งนี้จะไปโรงเรียน อย่าว่าแต่ลมพัดฝนตกหิมะตกเลย ต่อให้มีมีดหล่นลงมาจากฟ้า ก็ยังขวางข้าไม่ได้”

จูเหลี่ยนยิ้มถาม “ถ้าอย่างนั้นจะให้ข้าส่งเจ้าไปโรงเรียน หรือจะให้พี่หญิงสือโหรวของเจ้าไปส่ง?”

เผยเฉียนคิดแล้วก็เค้นรอยยิ้มส่งไปให้ “ให้พี่หญิงสือโหรวไปส่งแล้วกัน พ่อครัวเฒ่าจู เจ้ามีธุระให้ต้องทำบนภูเขาเยอะแยะ”

คิดไม่ถึงว่าสือโหรวจะเปิดปากพูดเบาๆ ว่า “ข้าคงไม่ไปแล้ว ให้เขาไปส่งเจ้าที่โรงเรียนแล้วกัน”

เผยเฉียนกลอกตามองบน เจ้าคนไร้น้ำใจ วันหน้าอย่าได้หวังว่าจะมาขอเมล็ดแตงไปจากตนเลย

สือโหรวถอนหายใจเบาๆ

ไม่ใช่ว่าขี้เกียจจะเดินทางทั้งที่อยู่ใกล้แค่นี้ แต่เป็นเพราะนางรู้สึกกริ่งเกรง

สือโหรวไม่ค่อยยินดีจะไปโรงเรียนของสกุลเฉินเขตการปกครองหลงเหว่ยนั่นสักเท่าไหร่ ต่อให้ตอนนั้นจะเดินเข้าไปในสำนักศึกษาซานหยาต้าสุยอย่างกล้าๆ กลัวๆ แต่อันที่จริงสือโหรวรู้สึกผลักไสสถานที่ที่มีอริยะปราชญ์สอนหนังสือ มีเสียงท่องตำราดังกังวานเป็นอย่างยิ่ง นี่เป็นทั้งความหวาดเกรงในฐานะภูตผี แล้วก็เพราะรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อย

แต่ในความเป็นจริงแล้ว จุดนี้กลับกลายเป็นข้อที่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกดีต่อสือโหรวมากที่สุด

‘สวมใส่’ คราบร่างเซียนเหริน สือโหรวย่อมรู้สึกลำพองใจในตัวเอง ดังนั้นปีนั้นตอนที่อยู่ในสำนักศึกษา ช่วงแรกๆ นางถึงได้รู้สึกว่าเด็กๆ อย่างพวกหลี่เป่าผิง หลี่ไหว รวมไปถึงเด็กหนุ่มเด็กสาวอย่างอวี๋ลู่ เซี่ยเซี่ยไม่รู้จักหนักเบา สายตาที่สือโหรวมองเด็กเหล่านั้นแฝงไว้ด้วยการมองเหยียดของคนที่อยู่สูงกว่า แน่นอนว่าภายหลังสือโหรวต้องเผชิญความยากลำบากจนเต็มกลืนจากชุยตงซาน แต่หากไม่พูดถึงเรื่องวิสัยทัศน์ พูดถึงแค่สภาพความคิดและจิตใจเช่นนี้ของสือโหรว รวมไปถึงความเคารพยำเกรงที่มีต่อสถานที่ซึ่งส่งกลิ่นหอมของตำรา ข้อดีนี้ก็มากพอที่จะให้ทะนุถนอมและเห็นคุณค่าแล้ว

เฉินยวนจีเองก็เหมือนกัน นางเองก็มีส่วนที่มีค่าโดยที่ไม่รู้ตัวเองอยู่เหมือนกัน หลังจากขึ้นมาบนภูเขา ทั้งๆ ที่รู้ดีว่าเทพเซียนผู้เฒ่าจูในใจของตนเป็นเพียงบ่าวรับใช้ของเจ้าขุนเขาหนุ่มอย่างเฉินผิงอัน อย่างมากก็เปรียบได้แค่กับพ่อบ้านในตระกูลชนชั้นสูงเท่านั้น แต่ตั้งแต่ต้นจนจบ จิตใจที่สำนึกในบุญคุณซึ่งเฉินยวนจีมีต่อจูเหลี่ยนกลับไม่เคยลดน้อยลงแม้สักเสี้ยว กลับกันยังรู้สึกได้รับความไม่เป็นธรรมแทนผู้เฒ่ามาโดยตลอดด้วย

ความดีที่ง่ายจะมองข้ามเหล่านี้ก็คือความล้ำค่า คือความดีงามบนตัวของคนอื่นที่เฉินผิงอันหวังให้เผยเฉียนค้นพบ

เฉินผิงอันไม่ได้เรียกร้องว่าเผยเฉียนจะต้องทำแบบนี้เสมอไป แต่จะต้องรู้ในข้อนี้ให้ได้

เวลาเฉินผิงอันกินข้าวแทบไม่เคยเหลือข้าวแม้แต่ครึ่งเม็ด แต่เผยเฉียนก็ดี เจิ้งต้าเฟิง จูเหลี่ยนก็ช่าง ล้วนไม่มีความพิถีพิถันในข้อนี้ ตักข้าวมากไป อาหารบนโต๊ะทำมาเยอะเกิน กินไม่หมด ถ้าอย่างนั้นก็ ‘เหลือ’ เอาไว้ก่อน เฉินผิงอันไม่ได้จงใจพูดอะไรเป็นพิเศษ ถึงขั้นที่ว่าส่วนลึกในใจยังไม่รู้สึกว่าพวกเขาจะต้องปรับเปลี่ยน

นี่คือเรื่องเล็ก

แต่ก็ไม่ใช่เรื่องเล็ก

นี่ก็ถือเป็นจุดที่ล้ำค่าซึ่งตัวเฉินผิงอันเองก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเช่นเดียวกัน

และสิ่งเหล่านี้ กู้ช่านและหลิวเสี้ยนหยางในอดีตอาจรู้สึกแค่ว่าการอยู่ร่วมกับเฉินผิงอันนั้นสามารถผ่อนคลายเป็นตัวของตัวเอง ทั้งๆ ที่ก็รู้ดีว่าเขาเฉินผิงอันเป็นคนที่คร่ำครึและดื้อดึงอย่างมากก็ตาม

แต่ในสายตาของ ‘ผู้อาวุโส’ อย่างจูเหลี่ยน เจิ้งต้าเฟิง กลับเห็นทุกอย่างได้ชัดเจน เพียงแค่ไม่พูดออกมาก็เท่านั้น

ก็เหมือนกับการเลือกในเรื่องที่สำคัญบางอย่างของเฉินผิงอัน ต่อให้ในสายตาของคนนอกจะเห็นว่าเขากำลังทุ่มเทและแสดงความมีน้ำใจก็ตาม แต่กระนั้นเฉินผิงอันก็ยังจะต้องสอบถามสุยโย่วเปียน ถามสือโหรว ถามเผยเฉียนที่อยู่ข้างกายก่อน

ความปรองดองมีน้ำใจเช่นนี้ ไม่ใช่หลักการเหตุผลในตำรา ถึงขั้นไม่ใช่สิ่งที่เฉินผิงอันเรียนรู้มาได้จากประสบการณ์ แต่เป็นข้อดีที่บ่มเพาะมาจากการสั่งสอนของครอบครัว และสิ่งละอันพันละน้อยที่อดทนผ่านพ้นมาในชีวิตที่ขมขื่นเหมือนถูกกรอกยาขม

สุดท้ายยังคงเป็นจูเหลี่ยนที่ไปโรงเรียนเป็นเพื่อนเผยเฉียน

เช้าตรู่ เผยเฉียนก็ยกสองมือกอดอก ใบหน้าเคร่งเครียด นั่งเหม่อใส่ทรัพย์สินที่ตัวเองรักมากที่สุดซึ่งวางอยู่บนโต๊ะ

นอกจากหีบไม้ไผ่ใบเล็กที่ตอนนี้สะพายไว้บนหลังแล้ว ไม้เท้าเดินป่า กระดาษยันต์สีเหลือง ดาบไม้ไผ่กระบี่ไม้ไผ่ที่วางอยู่บนโต๊ะ กลับไม่สามารถเอาไปด้วยได้! ช่างเป็นการไปโรงเรียนเหมือนโดนค้อนทุบ เรียนหนังสือเหมือนโดนค้อนทุบ เจออาจารย์ที่เหมือนโดนค้อนทุบจริงๆ !

เผยเฉียนถอนหายใจหนักๆ ลุกขึ้นยืน เดินไปเปิดประตูแล้วเงยหน้าขึ้น จนกระทั่งบัดนี้นางถึงรู้สึกว่าสติปัญญาของตนเริ่มจะเปิดโล่งขึ้นมาบ้างแล้ว ในที่สุดก็พอจะเข้าใจแก่นแท้ของหลักการเหตุผลอริยะปราชญ์ประโยคที่ว่า ‘ต่อให้เบื้องหน้าจะมีผู้คนนับพันนับหมื่นขัดขวาง ข้าก็ต้องบุกรุดหน้าไปอย่างห้าวหาญ’ ได้บ้างแล้ว

แต่นางแอบซ่อนเมล็ดแตงไว้เต็มกระเป๋า ตอนที่อาจารย์สอนหนังสือ นางย่อมไม่กล้า เพราะหากทางโรงเรียนไปฟ้องภูเขาลั่วพั่วขึ้นมา เผยเฉียนก็รู้ว่าตัวเองเป็นฝ่ายผิด ถึงท้ายที่สุดอาจารย์ต้องไม่ยอมช่วยตนแน่นอน แต่เวลาอยู่ว่างๆ จะปล่อยให้ตัวเองเบื่อหน่ายก็คงไม่ดีกระมัง? ยังจะไม่อนุญาตให้ตนหาที่เงียบๆ แทะเมล็ดแตงอีกหรือ?

เผยเฉียนเงียบงันไปตลอดทาง ระหว่างนี้เดินผ่านตรอกซอกซอย เห็นห่านขาวตัวใหญ่ตัวหนึ่ง เผยเฉียนยังไม่ทันทำอะไร ห่านตัวนั้นก็เริ่มวิ่งเตลิดหนีหายนะแล้ว

ในที่สุดเผยเฉียนก็อารมณ์ดีขึ้นมาได้เล็กน้อย อีกเดี๋ยวตนจะต้องออกไปจากยุทธภพแล้ว แต่ก็ยังพอจะมีบุคคลที่รับมือได้ยากรับรู้ความร้ายกาจของตนอยู่บ้าง

จูเหลี่ยนพาเผยเฉียนไปส่งถึงหน้าประตูโรงเรียนแล้วก็เอ่ยว่า “เถียงให้มาก ตีให้น้อย”

เผยเฉียนกลอกตามองบน “เถียงอะไรกัน ข้าจะคิดว่าตัวเองเป็นคนใบ้ก็แล้วกัน”

จูเหลี่ยนโบกมือ

เผยเฉียนรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองนัก ขาสองข้างคล้ายจะไม่เชื่อฟังคำสั่ง ไม่อย่างนั้นค่อยมาเรียนพรุ่งนี้ดีกว่าไหม? ก็แค่ช้าไปวันเดียวเท่านั้น ไม่ได้เร่งด่วนอะไรสักหน่อย นางแอบหันหน้ากลับ ผลคือเห็นว่าจูเหลี่ยนยังคงยืนอยู่ที่เดิม เผยเฉียนรู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย พ่อครัวเฒ่าผู้นี้ว่างงานจริงๆ รีบกลับไปทำกับข้าวที่ภูเขาลั่วพั่วเข้าสิ

ทางฝ่ายของโรงเรียนมีอาจารย์อายุน้อยคนหนึ่งมารออยู่นานแล้ว ใบหน้าของเขาประดับรอยยิ้มน้อยๆ

เจ้าขุนเขาหนุ่มของภูเขาลั่วพั่วคนนั้นได้มาทักทายกับทางโรงเรียนไว้ก่อนแล้ว ด้วยเหตุนี้อาจารย์สองท่านของสกุลเฉินลำธารหลงเหว่ยคิดคำนวณแล้วก็รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ถือว่าเล็ก จึงส่งจดหมายกลับไปแจ้งทางตระกูล คุณชายใหญ่เฉินซงเฟิงส่งจดหมายตอบกลับมาด้วยตัวเอง บอกให้ทางโรงเรียนปฏิบัติต่ออีกฝ่ายอย่างมีมารยาท ทั้งไม่ต้องรู้สึกเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ แล้วก็ไม่จำเป็นต้องจงใจประจบเอาใจ กฎเกณฑ์เป็นอย่างไรก็ปฏิบัติไปตามนั้น แต่เรื่องบางอย่างสามารถผ่อนปรนตามสมควรได้

อันที่จริงเผยเฉียนไม่ได้กลัวคนแปลกหน้า ไม่อย่างนั้นในอดีตนางที่เป็นเด็กตัวนิดเดียวจะสามารถหลอกพวกมือปราบที่มีประสบการณ์โชกโชนหลายคนในเมืองหูเอ๋อร์ริมชายแดนราชวงศ์ต้าเฉวียนเสียจนหัวหมุน ไม่กล้าพูดจารุนแรงใส่นางแม้แต่คำเดียว ถึงขั้นยังส่งนางกลับมายังโรงเตี๊ยมอย่างนอบน้อมได้หรือ?

เผยเฉียนแค่ไม่ชอบเรียนหนังสือก็เท่านั้น

อาจารย์หนุ่มท่านนั้นแนะนำตัวเผยเฉียน บอกแค่ว่าชื่อเผยเฉียน มาจากตรอกฉีหลง

ได้ยินชื่อ ‘เผยเฉียน’ ที่น่าสนใจเพราะออกเสียงคล้ายคำว่าขาดทุนนี้ ในห้องเรียนก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้นมาไม่เบา อาจารย์หนุ่มขมวดคิ้ว อาจารย์ผู้เฒ่าท่านหนึ่งที่รับหน้าที่เป็นผู้ถ่ายทอดความรู้อยู่ในห้องเรียนตวาดสั่งสอนไปหนึ่งคำรบ ห้องเรียนก็พลันเงียบสนิท

เผยเฉียนไม่สนใจ หางตาของนางกวาดมองไปอย่างรวดเร็ว จดจำหน้าตาของทุกคนไว้ได้เรียบร้อยแล้ว ในใจคิดว่าพวกเจ้าอย่าตกมาอยู่ในเงื้อมมือข้าก็แล้วกัน

เผยเฉียนเดินไปนั่งบนโต๊ะว่างตัวหนึ่ง ปลดหีบไม้ไผ่วางลงข้างโต๊ะ แล้วเริ่มแสร้งทำท่าเป็นตั้งใจเรียน

เผยเฉียนอดทนอยู่สองคาบ รู้สึกมึนงงอยากจะหลับ ช่างทรมานเหลือเกิน พอพักคาบเรียนก็สบโอกาส ไม่ได้เดินไปที่ประตูหลักของโรงเรียน แต่แอบย่องไปทางประตูข้าง

ผลกลับเห็นจูเหลี่ยนนั่งแทะเมล็ดแตงอยู่ข้างทาง

เผยเฉียนเค้นรอยยิ้มส่งไปให้ แสร้งทำเป็นเหลียวซ้ายแลขวา ถามว่า “พ่อครัวเฒ่าจู เจ้ากำลังทำอะไรอยู่น่ะ?”

จูเหลี่ยนแทะเมล็ดแตงพลางยิ้มตอบ “เฝ้าตอรอกระต่าย”

เผยเฉียนหัวเราะฮ่าๆ “ที่นี่ไม่ใช่ป่าลึกสักหน่อย จะมีเจ้าเพื่อนตัวน้อยได้อย่างไร”

เผยเฉียนหมุนตัวเดินกลับทันที

พ่อครัวเฒ่าจูผู้นี้เหมือนวิญญาณอาฆาตพยาบาทไม่เลิกซะจริง ช่วยไม่ได้ ดูท่าวันนี้คงโดดเรียนไม่ได้แล้ว

หลายวันต่อมา ขอแค่เป็นเส้นทางที่เผยเฉียนคิดจะหลบหนีก็ล้วนต้องเจอกับจูเหลี่ยนทุกครั้ง

ถึงท้ายที่สุดก็ได้แต่ยอมรับชะตากรรม เมื่ออยู่ในโรงเรียน แม้เผยเฉียนจะอายุไม่น้อยแล้ว แต่มองดูไม่ต่างจากเด็กอายุสิบกว่าขวบ ดังนั้นเพื่อนร่วมห้องของนางในตอนนี้จึงมีอายุจริงน้อยกว่านางอยู่มาก

เผยเฉียนเริ่มเคยชินกับชีวิตของการเป็นนักเรียน อาจารย์สอนหนังสือ นางก็รับฟัง เข้าหูซ้ายทะลุออกหูขวา พอเลิกเรียนก็ยกสองแขนกอดอก หลับตาพักผ่อน ไม่สนใจใครทั้งนั้น มีแต่พวกโง่ หลอกพวกเขาไปก็ไม่ได้รู้สึกประสบความสำเร็จอะไร

วันนี้เผยเฉียนเริ่มเหม่อลอยในคาบเรียนอีกครั้ง

นางพลันหันหน้าไปมอง ครู่หนึ่งต่อมาก็มีคนหนุ่มสวมชุดลัทธิขงจื๊อสีเขียวเดินมาพร้อมกับอาจารย์ผู้เฒ่าที่ทำหน้าที่ดูแลเรื่องต่างๆ หลายคน

พวกเขาไม่ได้หยุดเดิน แต่เผยเฉียนกลับสังเกตเห็นว่าเจ้าหมอนั่นมองตนแวบหนึ่ง

ยามสนธยาของวันนี้ เผยเฉียนปฏิเสธคำเชื้อเชิญจากแม่หนูน้อยสองคน สะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็กวิ่งกลับไปที่ตรอกฉีหลงเพียงลำพัง

ผลกลับพบว่าจูเหลี่ยนออกจากภูเขาลั่วพั่วมาอยู่ในเรือนด้านหลังของร้านอีกแล้ว ไม่เพียงเท่านี้ คุณชายที่ก่อนหน้านี้เจอกันในโรงเรียนก็อยู่ด้วย กำลังนั่งคุยยิ้มแย้มอยู่กับพ่อครัวเฒ่าจู

เผยเฉียนที่สะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็กค้อมตัวคำนับ “คารวะท่านอาจารย์”

ช่วยไม่ได้ ยามที่อาจารย์ท่องอยู่ในยุทธภพก็ให้ความสำคัญต่อมารยาทอย่างมาก นางที่เป็นลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขา จะปล่อยให้คนอื่นเข้าใจผิดคิดว่าอาจารย์ไม่สั่งสอนลูกศิษย์ไม่ได้

บัณฑิตหนุ่มยิ้มรับ “เจ้าคือเผยเฉียนกระมัง เรียนหนังสือที่โรงเรียนเคยชินแล้วหรือยัง?”

เผยเฉียนพยักหน้ารับรัวๆ ราวลูกเจี๊ยบจิกเมล็ดข้าวเปลือก ตอบเสียงดังด้วยสีหน้าจริงจัง “สบายมากเลยเจ้าค่ะ พวกอาจารย์มีความรู้สูงส่ง สมควรไปเป็นนักปราชญ์และวิญญูชนที่สำนักศึกษาจริงๆ เพื่อนร่วมชั้นเรียนก็ตั้งใจเรียน วันหน้าจะต้องสอบติดเป็นจิ้นซื่อกันอย่างแน่นอน”

สือโหรวที่อยู่ตรงโต๊ะคิดเงินกลั้นขำ

จูเหลี่ยนเองก็ไม่เปิดโปงความสามารถของเจ้าหญ้ายอดกำแพงที่ชอบขับเรือตามกระแสลมผู้นี้

บัณฑิตหนุ่มคล้ายจะรับมือไม่ทันสักเท่าไหร่

คำประจบเอาใจนี้ค่อนข้างจะเยอะไปสักหน่อย ทำให้ทายาทสายตรงสกุลเฉินลำธารหลงเหว่ยผู้นี้ไม่รู้ว่าควรจะรับคำอย่างไรดี แต่คำพูดของเด็ก ถึงอย่างไรก็น่าจะมาจากใจจริงกระมัง? จะมองข้ามความจริงใจของแม่นางน้อยไปได้อย่างไร เฉินซงเฟิงที่เดินทางมาไกลจึงได้แต่พยักหน้าให้นางด้วยรอยยิ้มบางๆ

เผยเฉียนค้อมกายคารวะอีกครั้ง จากนั้นก็วิ่งปรู๊ดเข้าไปในห้องของตัวเอง ปิดประตูลงเบาๆ แล้วเริ่มคัดตัวอักษร กลับกลายเป็นว่านี่เป็นเรื่องที่เผยเฉียนตั้งใจมากที่สุดยามอยู่นอกโรงเรียน

หลังจากคัดตัวอักษรเสร็จ เผยเฉียนก็พบว่าแขกคนนั้นจากไปแล้ว จูเหลี่ยนยังคงนั่งอยู่ในลานบ้าน ในอ้อมอกหอบประคองสิ่งของเอาไว้ไม่น้อย

เผยเฉียนถือไม้เท้าเดินป่าไว้ในมือ ฝึกวิชากระบี่มารคลั่งไปรอบหนึ่ง หลังจากยืนนิ่งแล้วก็ถามว่า “มาหาเจ้าด้วยเรื่องอะไร?”

จูเหลี่ยนตอบ “เรื่องดี”

เผยเฉียนกะพริบตาปริบๆ “อะไรหรือ เอาเงินมาส่งให้หรือไร?”

จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “โอ้โห ปากเจ้านี่เป็นมงคลยิ่งนัก เจ้าเดาถูกจริงๆ ด้วย”

เผยเฉียนถาม “แบ่งเงินกันได้ไหม?”

“ไม่มีส่วนของเจ้า”

จูเหลี่ยนหอบกล่องไว้สามใบ เขายกชายแขนเสื้อข้างหนึ่งขึ้นส่ายพลางโคลงศีรษะ “หลิวเสี้ยนหยางเพื่อนคนนั้นของอาจารย์เจ้าที่ไปศึกษาต่อที่ทักษินาตยทวีปได้ไหว้วานให้คนเอาจดหมายหนึ่งฉบับและของสามอย่างมาส่งที่ภูเขาลั่วพั่วของพวกเรา สองอย่างหลังมอบให้ อีกอย่างหนึ่งให้เก็บไว้ให้ ในจดหมายฉบับนี้บอกไว้แล้วว่า หนังสือเล่มหนึ่งในนั้นที่มอบให้นายน้อย ด้านในซ่อน ‘ลมเปิดหน้าหนังสือ’ ที่ต่อให้มีทองหมื่นชั่งก็ยากจะหาซื้อได้เอาไว้ แล้วยังมอบพัดไม้ไผ่สมบัติอาคมที่ทำมาจากไม้ไผ่เสินเซียวเล่มหนึ่งให้กู้ช่านแห่งตรอกหนีผิง บอกว่ากู้ช่านขี้ขลาดมาตั้งแต่เด็ก พัดเล่มนี้สามารถกำราบและเอาชนะภูตผีสัตว์ประหลาดทั้งหมดบนโลกที่ถือกำเนิดขึ้นใต้ดินได้ ส่วนอย่างสุดท้าย หลังจากหลิวเสี้ยนหยางได้ยินว่านายน้อยมีภูเขาเป็นของตัวเองแล้วก็ได้มอบปลากินหมึกที่ระดับขั้นสูงมากตัวหนึ่งให้นายน้อยช่วยเลี้ยงดู”

เผยเฉียนค่อยๆ คลี่ยิ้ม ยกนิ้วโป้งเอ่ยชื่นชม “หลิวเสี้ยนหยางผู้นี้ ใช้ได้! ไม่เสียแรงที่เป็นสหายที่ดีที่สุดของอาจารย์ข้า มือเติบใจกว้าง ไม่เลอะเลือนแม้แต่น้อย!”

จูเหลี่ยนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “นอกจากจะเป็นสหายแล้วก็ยังเป็นคนฉลาดด้วย ดูท่าการเดินทางไกลไปศึกษาต่อคราวนี้จะไม่ได้เสียเวลาเปล่า นี่ต่างหากที่ถือเป็นเรื่องดี ไม่อย่างนั้นจากลากันไปนานหลายปี ต่างคนต่างพบเจอเรื่องที่แตกต่างกันออกไป เทียบกับปีนั้นก็ต่างกันราวฟ้ากับเหวแล้ว เมื่อเจอหน้ากันอีกครั้ง ก็คงคุยกันไม่รู้เรื่องอีกแล้ว”

เผยเฉียนถาม “ข้าขอดูลมเปิดหน้าหนังสือและปลากินหมึกนั่นหน่อยได้ไหม?”

จูเหลี่ยนลุกขึ้นยืน “ลมเปิดหน้าหนังสือไม่ควรแตะต้อง วันหน้ารอให้นายน้อยกลับภูเขาลั่วพั่วมาแล้วค่อยว่ากัน ส่วนปลากินหมึกที่ค่อนข้างจะสิ้นเปลืองเงินเทพเซียนนั้น ข้าจะเลี้ยงเอาไว้ก่อน รอให้คราวหน้าเจ้ากลับไปภูเขาลั่วพั่วก็ค่อยไปดูซะให้เต็มตา”

เผยเฉียนพลันถามขึ้นว่า “เงินก้อนนี้เป็นบ้านเราที่จ่าย หรือหลิวเสี้ยนหยางผู้นั้นที่เป็นคนควัก?”

จูเหลี่ยนยิ้มตอบ “ในจดหมายบอกอย่างตรงไปตรงมาแล้วว่าให้นายน้อยควักเงิน บอกว่าตอนนี้เป็นเจ้าของที่ดินรายใหญ่แล้ว เงินเล็กน้อยแค่นี้ก็อย่าเสียดายเลย หากเสียดายจริงๆ ก็อดทนไว้ก่อนเถอะ”

เผยเฉียนกล่าวอย่างขุ่นเคือง “พูดง่ายนักนะ รีบคืนปลากินหมึกนั่นกลับไปเลย ข้ากับพี่หญิงสือโหรวเฝ้าร้านสองร้านในตรอกฉีหลง เดือนๆ หนึ่งเพิ่งจะหาเงินได้แค่สิบกว่าตำลึงเท่านั้น!”

จูเหลี่ยนชำเลืองตามองมา “แน่จริงเจ้าก็ไปพูดกับอาจารย์เจ้าเองสิ?”

เผยเฉียนรีบเค้นรอยยิ้มส่งไปให้ทันที “กระบี่บินส่งข่าวต้องเปลืองเงินเทพเซียนอีก พูดเพิดอะไรกัน เอาตามนี้แหละ หลิวเสี้ยนหยางผู้นี้ อาจารย์อาจไม่สะดวกจะเป็นคนพูด วันหน้าไว้ข้าค่อยตำหนิเขาเอง”

จูเหลี่ยนหลุดหัวเราะพรืด “เจ้าน่ะหรือ? ถึงเวลานั้นตลอดทั้งภูเขาลั่วพั่วคงได้ยินแต่คำพูดประจบของเจ้ากระมัง?”

เผยเฉียนนั่งอยู่บนขั้นบันไดเงียบๆ ไม่เอ่ยอะไรสักคำ

จูเหลี่ยนเองก็ไม่สนใจนาง เด็กนี่นะ ส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นเช่นนี้ ดีใจก็วันเดียว กลัดกลุ้มก็แค่วันเดียว

ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ

หลังจากนั้นก็มีคนกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าทยอยกันมาเยือนภูเขาลั่วพั่ว

ต่อให้เป็นจูเหลี่ยนก็ยังอดรู้สึกประหลาดใจไม่ได้

คนแรกไม่ใช่เพียงแค่หลูป๋ายเซี่ยงที่กลับมา ด้านหลังเจ้าหมอนี่ยังมีตัวภาระตามก้นมาด้วยอีกสองคน

ตอนนั้นจูเหลี่ยนกำลังนั่งอาบแดดอยู่เป็นเพื่อนเจิ้งต้าเฟิงที่หน้าประตูภูเขา

เจิ้งต้าเฟิงไม่ใช่คนแปลกหน้าสำหรับหลูป๋ายเซี่ยง เขาจึงไปยกเก้าอี้มาให้ตัวเองแล้วนั่งลงด้านข้าง

พี่สาวน้องชายคู่นั้นที่ปฏิบัติต่ออาจารย์ของตนด้วยความ ‘เคารพดุจเทพเจ้า’ รู้สึกมึนงงเล็กน้อย

ตาเฒ่าสกปรกคนหนึ่ง ชายฉกรรจ์หลังค่อมคนหนึ่ง เมื่อพบกับอาจารย์ของตนแล้วกลับไม่มีความเคารพยำเกรงเลยสักนิดงั้นหรือ?

เด็กหนุ่มยังดีหน่อย ทว่าเด็กสาวที่สะพายทวนไม้ไว้เอียงๆ ด้านหลังกลับมีสายตาเย็นชา นางที่เดิมทีก็ฉายประกายเฉียบคมอยู่แล้ว บัดนี้ยิ่งแผ่กลิ่นอายที่ไม่น่าเข้าใกล้

หลูป๋ายเซี่ยงไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ส่วนสองคนที่อยู่ข้างกายเขาก็ยิ่งไม่ถือสา

หลังจากพูดคุยกันอยู่พักหนึ่งก็ได้รู้ว่า ที่แท้หลูป๋ายเซี่ยงหยุดเดินทางอยู่ที่ภาคใต้ตอนกลางของแจกันสมบัติทวีป ได้รวบรวมโจรบนหลังม้าที่อับจนหนทางกลุ่มหนึ่งไว้เป็นพวกก่อน ก็คือกลุ่มทหารม้ายอดฝีมือของแคว้นใต้อาณัติทางใต้สุดของราชวงศ์จูอิ๋งที่แคว้นล่มสลาย ภายหลังหลูป๋ายเซี่ยงก็นำพาพวกเขาไปยึดครองภูเขาลูกหนึ่ง ที่นั่นเป็นรังเก่าของลัทธิมารในยุทธภพแห่งหนึ่ง ตัดขาดกับโลกภายนอก มีทรัพย์สินไม่ธรรมดา ระหว่างนี้หลูป๋ายเซี่ยงก็ได้รับคู่พี่สาวน้องชายสองคนไว้เป็นลูกศิษย์ในสำนัก เด็กสาวท่าทางองอาจที่สะพายทวนไม้เล่มยาวไว้บนหลังมีนามว่าหยวนเป่า น้องชายชื่อหยวนไหล นิสัยอบอุ่นอ่อนโยน คือเมล็ดพันธ์บัณฑิตที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ ฐานกระดูกพรสวรรค์ในการเรียนวรยุทธดีเยี่ยม เพียงแต่เมื่อเทียบกับพี่สาวแล้วยังเป็นรองอยู่เยอะมาก

หลูป๋ายเซี่ยงเก็บพวกเขามาได้จากข้างทาง ก็เลยพามาเปิดหูเปิดตาที่ภูเขาลั่วพั่ว จะกลับคืนสู่ยุทธภพหรืออยู่ต่อบนภูเขาแห่งนี้ ก็ต้องดูว่าลูกศิษย์สองคนจะเลือกอย่างไร

พอหลูป๋ายเซี่ยงได้ยินว่าเฉินผิงอันเพิ่งจะออกจากภูเขาลั่วพั่ว เดินทางไปยังอุตรกุรุทวีปก็รู้สึกเสียดายเล็กน้อย

อดดื่มสุราอย่างเบิกบานใจไปมื้อหนึ่งเลย

หลูป๋ายเซี่ยงคิดว่าจะอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่วสักหนึ่งเดือน

แน่นอนว่าบนภูเขาย่อมไม่ขาดเรือนพักอาศัย หากใช้คำพูดของจูเหลี่ยนก็คือตอนนี้มีบ้านโอ่อ่ากิจการใหญ่โตแล้ว

จูเหลี่ยนบอกให้หลูป๋ายเซี่ยงขึ้นภูเขาไปหาเรือนเอาเอง เขาจะอยู่คุยกับพี่ใหญ่เจิ้งต่อ

หลูป๋ายเซี่ยงจึงยิ้มและลุกขึ้นยืนบอกลา เจิ้งต้าเฟิงบอกกับหลูป๋ายเซี่ยงว่าหากมีเวลาก็มาดื่มเหล้าที่นี่ หลูป๋ายเซี่ยงตอบว่าแน่นอนอยู่แล้ว

เด็กสาวหยวนเป่าแค่นเสียงเย็นชาในลำคอ

เด็กหนุ่มหยวนไหลรู้สึกเขินอายเล็กน้อย

ตอนที่เดินขึ้นเขา หลูป๋ายเซี่ยงรู้สึกปลงอนิจจังอย่างถึงที่สุด ครั้งนี้มาเยือนพื้นที่มงคลหลีจูที่ร่วงลงมาหยั่งรากอยู่กับพื้นดิน ความคิดที่ขยายไปหลังจากได้พบเห็นและได้ยินสิ่งต่างๆ มา แน่นอนว่าไม่ใช่สิ่งที่เด็กทั้งสองจะเทียบเคียงได้

เด็กสาวสีหน้าคร่ำเครียด ทั่วร่างสาดประกายคมกริบ

เด็กหนุ่มหวาดกลัวพี่สาวที่เป็นคนเด็ดขาดดุดันผู้นี้มาโดยตลอด เขาถึงขั้นไม่กล้าเดินเคียงไหล่ไปกับนาง อาจารย์เดินอยู่หน้าสุด พี่สาวเดินตามหลัง เขาอยู่รั้งท้าย

หลูป๋ายเซี่ยงไม่ได้หันหน้ากลับมา เพียงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ผู้เฒ่าหลังค่อมคนนั้นชื่อว่าจูเหลี่ยน ตอนนี้คือผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลคนหนึ่ง”

เด็กสาวรู้สึกว่าตัวเองน่าจะฟังผิดไป

หลูป๋ายเซี่ยงเอ่ยต่อวา “ส่วนชายฉกรรจ์หลังค่อมที่เจ้ารู้สึกว่ามองเจ้าอย่างหื่นกามผู้นั้น ชื่อว่าเจิ้งต้าเฟิง ตอนที่ข้าเพิ่งรู้จักเขาในร้านยาของนครมังกรเฒ่า เขาคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตยอดเขา ขาดอีกแค่ก้าวเดียว หรือควรบอกว่าครึ่งก้าว อีกนิดเดียวก็จะได้กลายเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสิบแล้ว”

หยวนเป่าเม้มปากแน่น

หลูป๋ายเซี่ยงพกดาบแคบไว้ตรงเอว สวมชุดสีขาว เดินขึ้นเขาพลางพูดช้าๆ ต่อไปว่า “พูดเรื่องพวกนี้กับเจ้า ไม่ใช่ว่าต้องการให้เจ้ากลัวพวกเขา ยามที่อยู่กับพวกเขา อาจารย์เองก็ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองด้อยกว่าอะไร เรื่องของการเดินสู่ยอดเขาของวิถีวรยุทธนั้น อาจารย์ยังพอจะมีความมั่นใจอยู่บ้าง ดังนั้นข้าจึงต้องการให้เจ้าเข้าใจในเรื่องหนึ่ง นอกภูเขายังมีภูเขา เหนือฟ้ายังมีฟ้า วันหน้าหากคิดจะพูดจาแข็งกระด้างก็ต้องมีความสามารถที่มากพอ ไม่อย่างนั้นจะกลายเป็นตัวตลก ขายหน้าตัวเอง ไม่เป็นไร แต่หากขายหน้าอาจารย์ ครั้งสองครั้งยังดี แต่หากผ่านไปสามครั้ง ข้าก็จะสอนให้เจ้ารู้ว่าควรทำตัวเป็นลูกศิษย์อย่างไร”

หยวนเป่าเลิกคิ้วขึ้น “อาจารย์วางใจได้! สักวันหนึ่งอาจารย์จะต้องคิดว่าปีนั้นรับหยวนเป่าเป็นลูกศิษย์เป็นการกระทำที่ถูกต้องแล้ว!”

หยวนไหลแอบหัวเราะ

พี่สาวของเขาชอบเอาชนะคะคานเป็นที่สุดมาตั้งแต่เด็กแล้ว

หลูป๋ายเซี่ยงพลันหยุดเดินแล้วหันหน้ากลับมา หลุบตาลงมองเด็กสาว “เรื่องอื่นๆ ล้วนพูดง่าย แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เจ้าต้องจดจำให้ขึ้นใจ วันหน้าหากเจอคนที่ชื่อเฉินผิงอัน จำไว้ว่าต้องมีมารยาทกับเขาให้มาก”

เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดซึมออกมาจากหน้าผากของหยวนเป่า นางพยักหน้ารับ “จำไว้แล้ว!”

หลังจากสามอาจารย์และศิษย์อย่างพวกหลูป๋ายเซี่ยงมาพักอยู่บนภูเขา เนื่องจากเจ้าของภูเขาลั่วพั่วไม่อยู่ ดังนั้นเรื่องเกี่ยวกับการบันทึกชื่อของหยวนเป่าหยวนไหลลงในทำเนียบวงศ์ตระกูลของ ‘ศาลบรรพจารย์’ จึงได้แต่วางไว้ชั่วคราวก่อน

ในเรื่องนี้ทั้งหลูป๋ายเซี่ยงและจูเหลี่ยนต่างก็คิดเหมือนกัน ตนรับตัวคนพากลับมาที่ภูเขาลั่วพั่วก็ต้องบันทึกชื่อไว้ในนามของภูเขาลั่วพั่ว ไม่จำเป็นต้องปรึกษากันอีก

จากนั้นก็มีสามอาจารย์และศิษย์อีกกลุ่มหนึ่งมาเยือนที่ภูเขา

นั่นคือผู้เฒ่าตาบอด เด็กหนุ่มขาเป๋แบกธงผ้า รวมไปถึงเด็กสาวหน้ากลมที่มีชื่อเล่นว่าจิ่วเอ๋อร์น้อย

แต่พวกเขาสามคนไปที่ร้านในตรอกฉีหลงมาก่อน จากนั้นเผยเฉียนก็นำทางพากลับมาที่ภูเขาลั่วพั่วด้วยกัน

นักพรตเฒ่าตาบอดยังรู้สึกกระวนกระวายใจ พอได้ยินว่าเฉินผิงอันไม่อยู่บนภูเขาก็คิดว่าเรื่องที่จะมาขอพึ่งพาอีกฝ่ายคงไม่ค่อยน่าจะเป็นไปได้สักเท่าไหร่แล้ว แต่พอเจอกับพ่อบ้านจูของภูเขาลั่วพั่วก็สบายใจขึ้นเยอะมาก หลังพูดคุยกันจบ นักพรตตาบอดก็รู้สึกตกตะลึง ดูเหมือนว่าตนจะได้ทั้งหน้าตาและได้ทั้งงาน ตอนนี้เขายังไม่ถือว่าเป็นผู้ถวายงานของภูเขาลั่วพั่ว แต่ใช้สถานะของแขกที่อยู่ว่างงานมารับเงินเดือนของผู้ฝึกตนตระกูลเซียน มีที่พักอยู่ในร้านฉ่าวโถวของตรอกฉีหลง ส่วนลูกศิษย์คู่นั้นของผู้เฒ่า รอจนเลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตกลางเมื่อไหร่ถึงจะได้รับสถานะของแขก แต่ก่อนจะเป็นเช่นนั้น ทางภูเขาลั่วพั่วก็จะช่วยในเรื่องของทรัพย์สินเงินทองแก่คนทั้งสอง สามารถเบิกเงินเทพเซียนล่วงหน้ามาให้เด็กทั้งสองได้ก้อนหนึ่ง เรื่องเหล่านี้ล้วนพูดคุยกันได้

เป็นทั้งการคบหากันฉันท์มิตร แล้วก็เป็นทั้งการทำการค้า ไม่ส่งผลกระทบต่อทั้งสองความสัมพันธ์

ประเด็นสำคัญคือผู้เฒ่าตาบอดอย่างเขายังถึงขั้นมองเห็นเส้นทางอนาคตที่ถูกปูด้วยผ้าแพรใต้ฝ่าเท้าตัวเองแล้ว

นี่ทำให้นักพรตเฒ่าตาบอดรู้สึกสบายไปทั้งเนื้อทั้งตัวเหมือนได้ดื่มน้ำเย็นๆ ถ้วยใหญ่ในวันที่อากาศร้อนอบอ้าว

หลังลงมาจากภูเขาลั่วพั่ว ตอนเดินยังรู้สึกเหมือนตัวลอยอยู่ไม่หาย

ไม่ว่าจะพูดอย่างไรจูเหลี่ยนผู้ดูแลภูเขาลั่วพั่วคนนั้นก็ไม่ยอมฟัง ยืนกรานจะเดินมาส่งพวกเขาที่หน้าประตูภูเขาให้ได้

เผยเฉียนยังคงติดตามอาจารย์และศิษย์สามคนไปจากภูเขาลั่วพั่ว การเดินทางไปกลับครั้งนี้ นางไม่รู้สึกเหนื่อยเลยแม้แต่น้อย แล้วนับประสาอะไรกับที่นางได้เจอเสี่ยวป๋ายอีกครั้งหลังจากแยกย้ายกันไปนาน ได้พูดคุยกันอีกครั้ง ดียิ่งนัก

เวลานี้เผยเฉียนหันหน้ากลับไปก็เห็นว่าพ่อครัวผู้เฒ่ากำลังเอาสองมือไพล่หลัง เดินขึ้นภูเขาไปช้าๆ

เผยเฉียนเกาหัว เหนือหอเรือนสูงที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางทะเลสาบหัวใจของพ่อครัวผู้เฒ่า ดูเหมือนจะมีเด็กหนุ่มโฉมหน้าพร่าเลือนคนหนึ่งเพิ่มขึ้นมา ในตำรามีคำหนึ่งบอกว่าอย่างไรแล้วนะ ภูษาถูกลมพัด (อีไต้ตังเฟิง ประโยคที่แท้จริงต้องเป็นอู๋ไต้ตังเฟิง ซึ่งพูดถึงอู๋เต้าจื่อจิตรกรในยุคราชวงศ์ถังที่ถนัดวาดพระพุทธรูป ชอบตวัดพู่กันเป็นวงจึงคล้ายเสื้อผ้าเวลาที่ถูกลมพัด เผยเฉียนจึงเข้าใจว่าเป็นคำว่าอีไต้ตังเฟิงซึ่งแปลว่าภูษาถูกลมพัด) เอาเป็นว่าความหมายประมาณนั้นนั่นแหละ

……

พื้นที่มงคลดอกบัว เมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน

ในตรอกแห่งนั้นมีฝนตกลงมาเป็นสายพาให้บรรยากาศอึมครึม

เด็กหนุ่มชุดเขียวเรือนกายสูงเพรียวใบหน้างดงามดุจหยกกางร่มกระดาษน้ำมันคันเก่าเดินช้าๆ อยู่ในตรอก

วันนี้เขาต้องไปยืมตำราหายากที่หาไม่ได้จากที่ใดๆ ก็ตามในใต้หล้าแห่งนี้จากจ้งชิวที่เป็นทั้งอาจารย์ของตนและเป็นทั้งราชครูของแคว้น

เรื่องการสอบเคอจวี่ อาจารย์จ้งได้กล่าวอย่างตรงไปตรงมาแล้วว่า จะติดสามอันดับแรกของการสอบหน้าพระที่นั่งหรือไม่ ยังต้องดูที่ชะตาฟ้ากำหนด ถึงอย่างไรเขาก็อายุยังน้อย ทั้งราชสำนักและฮ่องเต้ต่างก็ต้องพิจารณาในข้อนี้ ส่วนลำดับต้นๆ ของอันดับรองลงมานั้นย่อมไม่ยากอย่างแน่นอน

ดังนั้นตอนนี้ความคิดส่วนใหญ่ของเขาจึงไม่ได้อยู่ที่เรื่องของการสอบเคอจวี่ทั้งหมด แต่เริ่มหันไปเปิดอ่านหนังสือเบ็ดเตล็ดโบราณที่ถูกฝุ่นเกาะมานาน

หลังจากอาจารย์จ้งพูดเปิดใจกับเขาแล้วก็ปล่อยให้เขาเปิดตำราส่วนตัวได้ตามใจชอบ

ตรงมุมเลี้ยวของตรอกมีคนคุ้นเคยคนหนึ่งที่ไม่เจอกันหลายปีเดินมา

เขาหล่อเหลาอย่างถึงที่สุด ใบหน้าประดับยิ้มบางๆ กำลังมองมายังเด็กหนุ่มที่กางร่ม

เอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งถือพัดพับตบลงบนหน้าท้องเบาๆ

ลู่ไถ

คุณชายลู่ที่มีชื่อเสียงที่สุดในใต้หล้า

เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มเจิดจ้า เดินเร็วๆ เข้าไปหา

ตลอดหลายปีที่ผ่านมา บางครั้งอาจารย์จ้งก็พูดถึง ‘คนต่างถิ่น’ ที่หลังจากไปจากเมืองหลวงก็ไม่เคยปรากฏตัวอีกเลยผู้นี้ด้วยท่าทางเป็นกังวลใจ ทั้งไม่ใช่ศัตรูและไม่ใช่มิตร แต่ก็เหมือนทั้งศัตรูเหมือนทั้งมิตร เป็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนอย่างยิ่ง

แต่สำหรับเด็กหนุ่มแล้ว ท่านลู่ผู้นี้กลับเป็นบุคคลที่สำคัญมาก เขาทั้งรู้สึกสนิทสนมและเคารพนับถือ

ลู่ไถมองประเมินเด็กหนุ่มชุดเขียวแล้วจุ๊ปากพูด “ดื่มเหล้าชมดอกท้อใต้ลมวสันต์ ร่อนเร่ในยุทธภพ จากลาครั้งหนึ่งก็นานถึงสิบปี ประโยคนี้ช่างเหมาะกับบรรยากาศเสียจริง ฉิงหล่างน้อย พวกเราไม่ได้เจอกันสิบปีแล้วกระมัง?”

เฉาฉิงหล่างเก็บร่มลงก่อน จากนั้นก็ประสานมือคารวะ แล้วค่อยกางร่มให้กับลู่ไถ ยิ้มกล่าวว่า “ข้ามักจะได้ยินเรื่องราวของท่านลู่ในยุทธภพเป็นประจำ”

ยุทธภพและสนามรบสิบปีมานี้ช่างพลิกแม่น้ำคว่ำมหาสมุทร เต็มไปด้วยลมคาวฝนเลือดอย่างแท้จริง

ท่านลู่ผู้นี้ได้รวบรวมลัทธิมารให้เป็นปึกแผ่น อีกทั้งลูกศิษย์หลายคนของเขา หากไม่ได้เป็นยักษ์ใหญ่ของลัทธิมารที่ยึดครองพื้นที่หนึ่งก็ไปเป็นเสาหลักอยู่ในชายแดนนอกด่าน บ้างก็เป็นราชครูที่ว่ากันว่าสามารถเรียกลมเรียกฝนได้

ก่อนหน้านี้ไม่นานท่านลู่ก็เพิ่งจะนัดรบกับอันดับหนึ่งแห่งใต้หล้าอย่างเป็นทางการ หมายท้าทายบุคคลที่ได้รับการยอมรับโดยทั่วกันว่าไม่เป็นรองติงอิงแม้แต่นิดเดียวอย่างเซียนอวี๋เจินอี้

สิบปี จะบอกว่าสั้นก็ไม่สั้น บอกว่ายาวก็ไม่ยาว

บุญคุณความแค้นในโลกที่เกิดขึ้นเพราะท่านลู่ผู้นี้ อันที่จริงมีเยอะมาก

แต่เฉาฉิงหล่างเพียงแค่ตั้งใจเล่าเรียนหนังสือและ…ฝึกตนเงียบๆ เฝ้ารออยู่ในตรอกเส้นนี้ อยู่ในบ้านบรรพบุรุษหลังนั้น

ลู่ไถโบกมือ บอกเป็นนัยว่าไม่ต้องกางร่มให้ตน

เฉาฉิงหล่างจึงเดินขยับห่างออกไปหนึ่งก้าว กางร่มให้ตัวเอง ไม่ได้ยืนกราน

กับท่านลู่ผู้นี้ ไม่จำเป็นต้องเกรงใจกัน

คนทั้งสองเดินไปบนถนนใหญ่ที่เงียบสงบเส้นนั้น ลู่ไถยิ้มกล่าวว่า “วางแผนอะไรไว้บ้างไหม?”

เฉาฉิงหล่างยกร่มกระดาษน้ำมันขึ้นสูงเล็กน้อย ขยับไปด้านหลัง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น “ข้าอยากจะออกไปดูข้างนอก ไปพบกับท่านเฉิน”

ลู่ไถยิ้มกล่าว “ไม่ง่ายหรอกนะ อาศัยแค่เรียนหนังสืออย่างเดียวไม่ได้ ต่อให้เจ้าฝึกวิชาหมัดของราชครูจ้ง รวมไปถึงคาถาตระกูลเซียนเล็กๆ น้อยๆ ที่ข้าช่วยหามาให้เจ้าก็ยังไม่ค่อยพอสักเท่าไหร่”

เฉาฉิงหล่างยิ้มบางๆ “ในตำราย่อมมีเมืองหยกขาว หอสูงสี่หมื่นแปดพันจั้ง เซียนพิงราวถือดอกบัว”

ลู่ไถหันหน้ามามอง “ท่าทางเซ่อซ่าเช่นนี้ก็เหมือนเขาอยู่มากจริงๆ”

ในที่สุดเฉาฉิงหล่างก็เผยความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาสมกับวัยออกมาด้วยการพูดอย่างลิงโลด “เหมือนนิดๆ จริงๆ หรือ?”

ลู่ไถเอ่ยสัพยอก “แค่เหมือนเขาไม่กี่ส่วนก็มีค่ามากพอให้ภูมิใจขนาดนี้เชียวหรือ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าหากเจ้าอยู่ที่บ้านเกิดของข้าและเขาก็ถือว่ามีคุณสมบัติในการฝึกตนที่ร้ายกาจมากแล้ว แต่เขาน่ะเพิ่งจะมีคุณสมบัติเป็นเซียนดินเท่านั้น อืม พูดง่ายๆ ก็คือหากอิงตามหลักปกติ ผลสำเร็จที่สูงที่สุดในชีวิตของเขาก็แค่สูงกว่าอวี๋เจินอี้เซียนผายลมสุนัขตอนนี้ไปนิดหน่อยเท่านั้น ปีนั้นเจ้าอายุยังน้อย อีกทั้งพื้นที่มงคลดอกบัวในตอนนั้นก็ไม่ได้มีปราณวิญญาณเพิ่มขึ้นจนเหมาะแก่การฝึกตนเหมือนอย่างตอนนี้ ดังนั้นเขาที่มาเยือนอย่างรีบร้อนถึงได้โดดเด่นขนาดนั้น หากเปลี่ยนมาเป็นตอนนี้ก็คงยากกว่าเดิมมากแล้ว”

เฉาฉิงหล่างส่ายหน้า ยื่นนิ้วข้างหนึ่งชี้ไปยังจุดที่สูงที่สุดบนม่านฟ้า เด็กหนุ่มชุดเขียวผู้นี้เปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวา “ในใจของข้า ท่านเฉินสูงเหนือนอกฟ้าของนอกฟ้าไปอีก!”

ลู่ไถหลุดหัวเราะพรืด

ดีนักนะ เฉินผิงอันเจ้าใช้ได้เลยนี่นา มาเยือนอารามกวานเต๋ารอบเดียวแต่กลับได้รับความเคารพเลื่อมใสจากเจ้าโง่น้อยผู้หนึ่งถึงขนาดนี้

ลู่ไถเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “รู้หรือไม่ว่าต่อให้บินทะยานที่บ้านเกิดของพวกเจ้าก็ยังคงมีอันตรายมากอยู่ดี”

เฉาฉิงหล่างพยักหน้ารับ “ดังนั้นในอนาคตวันใดวันหนึ่ง หากข้าล้มเหลวเหมือนพวกอดีตปราชญ์ทั้งหลาย ยังต้องรบกวนให้ท่านลู่ช่วยนำความประโยคหนึ่งไปบอกแทนข้า บอกว่า ‘ตลอดหลายปีมานี้ เฉาฉิงหล่างมีชีวิตที่ดีมาก เพียงแค่ค่อนข้างจะคิดถึงท่านเฉิน’

ลู่ไถถอนหายใจ เขาหุบพัดแล้วเคาะลงบนหัวของเฉาฉิงหล่างดังโป้ก “แน่จริงก็ไปพูดกับเขาเองสิ!”

เฉาฉิงหล่างมือหนึ่งถือร่ม มือหนึ่งลูบหัว กล่าวอย่างจนใจว่า “นี่ก็สู้ท่านอาจารย์ไม่ได้อีกแล้ว”

……

หลังจากจอดที่ตำหนักฉางชุน เรือข้ามฟากชายหาดโครงกระดูกก็ลอยขึ้นกลางอากาศอีกครั้ง

อีกฝ่ายยังคงไม่ปรากฏตัว

เฉินผิงอันก็ไม่รีบร้อน

ยังคงฝึกหมัดต่อไป

ในขณะที่เรือข้ามฟากกำลังจะขับพ้นไปจากอาณาเขตของแจกันสมบัติทวีป เฉินผิงอันเก็บท่าหมัด เดินไปเปิดประตู ตรงระเบียงด้านนอกมีสตรีแต่งงานแล้วสวมชุดชาววังร่างเล็กอรชร รวมไปถึงฮ่องเต้หนุ่มที่ไม่ได้สวมชุดคลุมมังกร กับคนอีกคนหนึ่งที่เฉินผิงอันคุ้นเคยมากกว่า จอมยุทธพเนจรสำนักโม่ผู้ชอบพาดกระบี่ไว้ด้านหลังแนวขวาง สวี่รั่ว

เฉินผิงอันเปิดประตู ไม่ได้ยืนรอต้อนรับอยู่ด้านหน้าประตู เพียงแสร้งทำเป็นไม่รู้จักกับทั้งสามคน

เขาเดินกลับเข้ามาในห้อง ยืนอยู่ข้างโต๊ะ แต่ก็ไม่ได้นั่งลงก่อน

หลังจากคนทั้งสามเดินเข้ามาในห้องแล้ว สตรีผู้นั้นก็เดินตรงมาที่ฝั่งตรงข้ามของโต๊ะ ยิ้มพลางผายมือออกมา “คุณชายเฉินเชิญนั่ง”

เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม

สวี่รั่วยิ้มเอ่ยเบาๆ “เฉินผิงอัน ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ”

เฉินผิงอันถึงได้กุมหมัดคารวะ “ท่านสวี่ ไม่ได้เจอกันนานเลย”

บรรยากาศในห้องเล็กๆ เรียกได้ว่าแปลกประหลาดยิ่ง

สตรีแต่งงานแล้วปิดปากหัวเราะเสียงหวาน “พวกเราทำอย่างนี้ก็แล้วกัน นั่งลงให้หมด พูดไปพูดมาก็ยังเป็นคนกันเอง พวกเราก็อย่ามัวเกรงใจกันอยู่เลย”

เพียงแต่ว่าเมื่อคนทั้งสี่นั่งลง บรรยากาศกลับเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียด

สวี่รั่วเริ่มหลับตาพักผ่อน

ซ่งเหอฮ่องเต้องค์ใหม่ของต้าหลีที่ตอนนี้เท่ากับว่าได้ครอบครองแผ่นดินครึ่งหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปก็เอาแต่มองประเมินไปรอบด้าน เขาเพิ่งเคยขึ้นเรือข้ามทวีปเป็นครั้งแรก มองแรกๆ ก็รู้สึกแปลกใหม่ แต่พอมองอีกก็มีแค่เท่านั้น

ส่วนสตรีแต่งงานแล้วหน้าตางดงามที่เปลี่ยนจากเหนียงเนียงต้าหลีมาเป็นไทเฮา (แม่ของฮ่องเต้) ต้าหลีนั้นกำลังคลี่ยิ้มหันมามองบุรุษชุดเขียวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ประโยคแรกที่เปิดปากก็คือถ้อยคำตีสนิทที่แฝงไว้ด้วยนัยยะ “หลายปีที่มู่เอ๋อร์ของข้าอยู่ในตรอกหนีผิง โชคดีที่ได้ท่านเฉินช่วยดูแล”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ยังดี”

ตั้งแต่สีหน้าไปจนถึงถ้อยคำล้วนรัดกุมแม้แต่น้ำสักหยดก็ไม่เล็ดรอด ไม่ถือว่าไร้ความเคารพยำเกรง แต่ก็ไม่มีความนอบน้อมเลยแม้แต่นิดเดียว

เพียงแต่เฉินผิงอันกลับด่าอีกฝ่ายในใจว่าดีกะมารดาเจ้าน่ะสิ

มุมปากของสวี่รั่วกระตุกเบาๆ แต่ไม่นานก็ถูกเขากดลง แวบเดียวก็จางหาย ไม่มีใครทันสังเกตเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version