Skip to content

Sword of Coming 485

บทที่ 485 อุตรกุรุทวีปไม่มีอะไรแปลกประหลาด

ในที่สุดสตรีแต่งงานแล้วซึ่งมีสถานะสูงศักดิ์เป็นถึงไทเฮาต้าหลีก็นึกถึงซ่งเหอผู้เป็นบุตรชาย และเป็นฮ่องเต้ต้าหลีคนใหม่ที่อยู่ข้างกายตัวเองขึ้นมาได้ จึงยิ้มเอ่ยว่า “คุณชายเฉิน นี่คือซ่งเหอบุตรชายของข้า พวกเจ้าน่าจะเพิ่งเคยเจอกันเป็นครั้งแรก หวังว่าวันหน้าจะไปมาหาสู่กันบ่อยๆ คุณชายเฉินเป็นบุคคลที่เป็นที่ภาคภูมิใจซึ่งได้ครอบครองชะตาบู๊ของต้าหลีเรา และนับแต่ที่ต้าหลีของพวกเราก่อตั้งแคว้นมา ไม่ว่าจะเป็นท่านอาของข้าหรือซ่งเหอก็น่าจะ แล้วก็สมควรที่จะปฏิบัติต่อคุณชายเฉินอย่างมีมารยาท”

ฮ่องเต้หนุ่มโน้มกายมาเบื้องหน้าเล็กน้อย ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “คารวะท่านเฉิน”

ไม่ได้วางมาดของผู้เป็นใหญ่เหนือใครในแผ่นดินแม้แต่น้อย

ขึ้นเรือมาครั้งนี้เป็นการปลอมตัวมาเพื่อผูกมิตรกับยอดฝีมือตามป่าเขาทั้งหลาย พิธีการในโลกมนุษย์จึงพอจะวางลงไว้ก่อนได้

ในอดีตซ่งเหอได้รับชื่อเสียงอันดีงามจากขุนนางบุ๋นบู๊ต้าหลี และคำประเมินที่ยอดเยี่ยมจากราชสำนัก นอกจากจะเป็นเพราะเหนียงเนียงต้าหลีสอนมาดีแล้ว ตัวเองเขาก็ไม่เลวด้วยเหมือนกัน

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “มีโอกาสจะต้องไปเยี่ยมที่เมืองหลวงแน่”

สตรีแต่งงานแล้วยิ้มกล่าว “ราชสำนักวางแผนว่าจะเลื่อนเขตการปกครองหลงเฉวียนเป็นมณฑล อู๋ยวนก็ได้เลื่อนขั้นเป็นผู้ว่า ตำแหน่งเจ้าเมืองที่ว่างอยู่ ไม่ทราบว่าในใจคุณชายเฉินมีตัวเลือกที่เหมาะสมหรือไม่?”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ไม่ควรจะเลือกจากนายอำเภอหยวนกับผู้ตรวจการเฉาหรอกหรือ? นายอำเภอหยวนมุมานะตั้งใจทำงาน แบ่งแยกการลงโทษและให้รางวัลอย่างชัดเจน ปกครองอาณาเขตของหนึ่งอำเภอจนถึงขั้นมีของตกอยู่บนถนนก็ไม่มีคนเก็บ ผู้ตรวจการเฉาใกล้ชิดกับชาวบ้าน ช่วยทำเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องเล็ก ภาระงานทั้งในและนอกเตาเผามังกรล้วนสำคัญ แต่ก็ไม่เคยทำอะไรพลาด ทั้งสองคนล้วนเป็นขุนนางที่ดี ไม่ว่าเลื่อนตำแหน่งให้กับใคร ชาวบ้านของเขตการปกครองหลงเฉวียนอย่างพวกเราก็ล้วนดีใจทั้งสิ้น”

ซ่งเหอฮ่องเต้องค์ใหม่ชำเลืองตามองเฉินผิงอันอย่างไม่ให้เป็นที่จับสังเกต

นี่โง่จริงๆ หรือแกล้งโง่กันแน่?

เฉาหยวนสองแซ่สกุลอันเป็นเสาหลักของแคว้นแก่งแย่งแข่งขันกันในราชสำนักยังไม่พอ ยังลงต่อสู้กันในสนามรบอีก พวกเขาปัดแข้งปัดขากันมากี่รุ่นคนแล้ว? หากมอบให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็เท่ากับว่าเมินเฉยอีกฝ่ายหนึ่ง สถานะเจ้าเมืองของหนึ่งเขตการปกครอง อันที่จริงไม่ใหญ่ แต่หากตกลงบนตัวของเสาค้ำยันแคว้นคนใดก็ตามกลับไม่ใช่เรื่องเล็กแล้ว ถอยไปพูดหมื่นก้าว ต่อให้เจ้าประมุขเฉาหยวนไม่มีใจที่เห็นแก่ตัว มีน้ำใจและเปิดเผย ราชสำนักพูดอย่างไรก็รับไว้อย่างนั้น แต่เหล่าทายาทสายตรงและเหล่าลูกศิษย์ที่อยู่เบื้องล่างพวกเขาจะคิดอย่างไร? ฝั่งหนึ่งลำพองใจ อีกฝั่งหนึ่งต้องอดทนอดกลั้น ราชสำนักราดน้ำมันลงบนกองเพลิงเช่นนี้ คิดจะจุดไฟเผาตัวเองหรืออย่างไร?

สตรีแต่งงานแล้วยิ้มพูดด้วยสีหน้าผ่อนคลายเป็นธรรมชาติ “บางทีคุณชายเฉินที่เป็นผู้ฝึกตนบนภูเขาและยังชอบท่องเที่ยวไปตามภูเขาแม่น้ำ อาจเป็นเหตุให้ไม่ได้สัมผัสกับขุนนางในท้องถิ่นมากนัก เมื่อไม่มีความสัมพันธ์ในทางส่วนตัว ดังนั้นจึงไม่อาจพูดอะไรได้มาก แต่ว่ายังมีอยู่เรื่องหนึ่ง ตามหลักแล้วคุณชายเฉินก็น่าจะยังพอมีความคิดอยู่บ้าง ในอนาคตเมื่อหลงเฉวียนได้เลื่อนเป็นมณฑล ตัวเลือกเทพอภิบาลเมืองสามท่านของอำเภอ เขตการปกครองและมณฑลยังไม่ได้ถูกกำหนด เทพภูเขาของภูเขาลั่วพั่วในปีนั้นไม่ได้แจ้งคุณชายเฉินก่อนก็เลือกซ่งเย่จางอดีตขุนนางผู้ตรวจการให้มาดำรงตำแหน่ง แม้จะบอกว่าสอดคล้องกับหลักพิธีการ แต่บอกตามตรง อันที่จริงยังคงเป็นราชสำนักของพวกเราที่ค่อนข้างจะ…แล้งน้ำใจไปสักหน่อย ไม่ว่าอย่างไรก็ควรปรึกษากับคุณชายเฉินก่อนแล้วค่อยตัดสินใจกันอีกที ดังนั้นเทพอภิบาลเมืองสามท่านของครั้งนี้ คุณชายเฉินไม่จำเป็นต้องมีความกังวลใดๆ ข้าที่เป็นสตรีและซ่งเหอบุตรชายของข้า รวมถึงราชสำนักต่างก็เชื่อในนิสัยใจคอและสายตาของคุณชายเฉิน ถือเสียว่าคุณชายเฉินช่วยต้าหลีของพวกเราเลือก เลือกไข่มุกเม็ดสองเม็ดที่หายไปท่ามกลางมหาสมุทรกว้างใหญ่”

สตรีแต่งงานแล้วเอ่ยเกลี้ยกล่อมต่ออีกว่า “คุณชายเฉินจะต้องเดินทางไกลอีกครั้งหนึ่งแล้ว แต่ถึงอย่างไรเขตการปกครองหลงเฉวียนก็เป็นบ้านเกิดของเจ้า มีคนกันเองที่ตัวเองเชื่อใจได้สักคนสองคน เวลาที่คุณชายเฉินออกไปข้างนอก มีคนคอยช่วยดูแลภูเขาต่างๆ ซึ่งรวมถึงภูเขาลั่วพั่วก็จะได้วางใจได้บ้าง”

เฉินผิงอันส่ายหน้า พูดด้วยสีหน้าเสียดายว่า “ข้าไม่ค่อยคุ้นเคยกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาแม่น้ำและพวกเทพแห่งผืนดิน เทพอภิบาลเมือง รวมไปถึงวิญญาณวีรบุรุษที่ตายไปซึ่งอยู่โดยรอบถ้ำสวรรค์หลีจูสักเท่าไหร่ ทุกครั้งที่เดินทางไปกลับล้วนรีบร้อน ไม่อย่างนั้นคงต้องเห็นแก่ตัวสักครั้ง ขอให้ทางราชสำนักช่วยแต่งตั้งเทพอภิบาลเมืองที่สนิทสนมกันให้มาเฝ้าพิทักษ์เขตการปกครองหลงเฉวียนจริงๆ ข้าเฉินผิงอันมีชาติกำเนิดมาจากตรอกยากจน ไม่เคยได้เรียนหนังสือสักวัน ยิ่งไม่คุ้นเคยกับกฎเกณฑ์ในราชสำนัก เพียงแต่ท่องอยู่ในยุทธภพมานานแล้วก็เลยยังพอจะรู้หลักการหยาบๆ ที่ว่า ‘ขุนนางอำเภอไม่สู้ขุนนางในพื้นที่’ อยู่บ้าง”

ซ่งเหอหัวเราะอยู่ในใจ พูดถูกแล้ว เจ้าเฉินผิงอันแค่รู้จักเว่ยป้อองค์เทพแห่งขุนเขาเหนือคนเดียวเท่านั้น และยังสนิทสนมกันจนเกือบจะสวมกางเกงตัวเดียวกันได้อยู่แล้ว

ใบหน้าของสตรีแต่งงานแล้วก็เต็มไปด้วยความเสียดาย “ตัวเลือกของเทพอภิบาลเมืองทั้งสามท่าน ทางฝั่งของกรมพิธีการเถียงกันดุเดือดน่าดู อีกไม่นานก็จะกำหนดได้แล้ว อันที่จริงตอนนี้กรมโยธากำลังปรึกษากันเรื่องที่ตั้งและขนาดเล็กใหญ่ของศาลเทพอภิบาลเมืองทั้งสามแห่งแล้ว คุณชายเฉินพลาดโอกาสนี้ไปช่างน่าเสียดายจริงๆ ถึงอย่างไรสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งควันธูปที่ดำรงอยู่ได้อย่างยาวนานประเภทนี้ หากได้หยั่งรากลงสู่ภูเขาและแม่น้ำขึ้นมา ก็ไม่เหมือนพวกขุนนางในที่ว่าการที่มักจะเปลี่ยนเก้าอี้นั่งกันบ่อยๆ น้อยหน่อยก็หลายสิบปี มากหน่อยก็หลายร้อยปีที่ไม่ได้เปลี่ยนตำแหน่งเลย”

เฉินผิงอันทอดถอนใจ “ความหวังดีของทางราชสำนัก ข้ารับเอาไว้แล้ว เส้นทางในยุทธภพยาวไกล ภูเขาสูงแม่น้ำไหลยาว หวังว่าในอนาคตจะมีโอกาสเช่นนี้อีก”

สตรีแต่งงานแล้วลุกขึ้นยืนอย่างเนิบนาบ แม้จะเป็นการเคลื่อนไหวง่ายๆ แต่กลับเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ไม่รบกวนการเดินทางและการฝึกตนของคุณชายเฉินแล้ว”

เฉินผิงอันลุกขึ้นตาม “ตอนนี้ข้าทั้งไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ และไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธเดินทางไกล อยู่บนเรือข้ามฟากไม่สามารถไปส่งไกลๆ ได้ โปรดอภัยให้ด้วย”

สตรีแต่งงานแล้วพยักหน้ารับแสดงให้รู้ว่าไม่เป็นไร แล้วจึงหันไปคลี่ยิ้มหวานให้สวี่รั่ว “ถึงอย่างไรเรือข้ามฟากก็ยังไม่ออกไปจากอาณาเขตของแจกันสมบัติทวีป คิดดูแล้วการเดินทางกลับของข้ากับเหอเอ๋อร์ย่อมปลอดภัยมาก ในเมื่อท่านสวี่รู้จักกับคุณชายเฉิน ไม่สู้อยู่ต่อเพื่อพูดคุยกันเสียหน่อย?”

สวี่รั่วส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้อง”

สั้นและได้ใจความ แม้แต่เหตุผลก็ไม่ได้อธิบาย

แต่ดูเหมือนสตรีแต่งงานแล้วและฮ่องเต้ซ่งเหอต่างก็ไม่รู้สึกว่านี่เป็นการล่วงเกิน ราวกับว่า ‘ท่านสวี่’ แสดงท่าทีอย่างนี้ต่างหากถึงจะเป็นปกติของเขา

สุดท้ายเฉินผิงอันมาส่งคนทั้งสามที่ระเบียงเรือ บริเวณใกล้เคียงกับเรือข้ามฟากของสำนักพีหมาชายหาดโครงกระดูกมีเรือข้ามฟากขนาดมหึมาสูงหกชั้นลำหนึ่งขับเคียงคู่กันมา เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว เรือข้ามฟากของสำนักพีหมาที่เดิมทีก็ถือว่าใหญ่โตมโหฬารมากพอแล้วกลับเห็นได้ชัดว่าดู ‘สะโอดสะองบอบบาง’ ยิ่งกว่า ระหว่างเรือข้ามฟากทั้งสองลำ ไม่รู้ว่าทำอย่างไร ถึงได้มี ‘สะพาน’ หลากสีที่ปูพื้นด้วยไอเมฆหมอกสีเขียว กว้างประมาณสองจั้งกว่า เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายของเซียน ยังพอจะมองเห็นว่าบนเสาสะพานมีนางฟ้ากำลังเริงระบำ ประหนึ่งทางเดินบนสรวงสวรรค์ยุคบรรพกาล คนทั้งสามเดินอยู่บนนั้นเหมือนเดินอยู่บนพื้นราบเรียบ ทุกครั้งที่พื้นรองเท้าสัมผัสกับ ‘ถนนที่ปูด้วยหินสีเขียว’ ก็จะมีประกายแสงสีรุ้งเป็นวงๆ แผ่ลอยขึ้นมาแล้วกระเพื่อมออกไปภายนอก

เฉินผิงอันไม่ได้ขยับเท้าแม้แต่ก้าวเดียว เขาทอดสายตามองไปก็เห็นว่าสะพานเทพเซียนแห่งนี้ถูกผู้ฝึกตนเฒ่าสวมกวานสูงใส่ชุดสีขาวคนหนึ่งที่อยู่บนเรือฝั่งตรงข้ามเก็บเอาไป เขาบิดหมุนข้อมือ เอาไปตั้งวางอยู่กลางฝ่ามือ ขนาดของมันเล็กเหมือนตราประทับ จากนั้นก็เก็บมันเข้าไปในชายแขนเสื้อช้าๆ

ร่างของสองแม่ลูกหายวับไปในเรือหอเรือนลำนั้น

สวี่รั่วหมุนตัวยืนพิงราวรั้ว เฉินผิงอันกุมหมัดบอกลา อีกฝ่ายพยักหน้าส่งยิ้มคืนมาให้

เฉินผิงอันกลับมาที่ห้อง ไม่ได้ฝึกหมัดต่อ แต่เริ่มหลับตาลง ราวกับว่าย้อนกลับไปยังกระท่อมหน้าประตูภูเขาบนเกาะชิงเสียทะเลสาบซูเจี่ยนในปีนั้น กลับไปเป็นนักบัญชีอีกครั้ง

เริ่มคำนวณบัญชีเงียบๆ

เรื่องบางอย่างมองดูเหมือนว่าเล็กมาก แต่กลับตรวจสอบได้ไม่ง่าย พอตรวจสอบแล้วจะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น กระตุกผมเส้นเดียวกระเทือนไปทั้งร่าง

แต่เรื่องใหญ่บางอย่างที่ต่อให้เกี่ยวพันกับเรื่องวงในขั้นสูงสุดของสกุลซ่งต้าหลี เฉินผิงอันกลับสามารถสอบถามจากชุยตงซานได้อย่างไร้ความยำเกรง

เพียงแต่ว่าหลังจากคิดคำนวณอย่างละเอียดแล้วก็หนีไม่พ้นคำว่าต้องรอคอย

เฉินผิงอันลืมตาขึ้น ใช้นิ้วเคาะลงบนน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่เบาๆ

แม่ลูกคู่นี้ แท้จริงแล้วไม่จำเป็นต้องเดินทางมาในครั้งนี้เลยด้วยซ้ำ อีกทั้งยังเป็นฝ่ายแสดงความเป็นมิตรก่อนด้วย

อาจเป็นเพราะเมื่อต้องแสวงหาผลประโยชน์ที่มากที่สุด หลังจากสถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป ในสายตาของสตรีแต่งงานแล้ว บุญคุณความแค้นในปีนั้นจึงไม่มีค่าพอให้พูดถึง

ยกตัวอย่างเช่นการสังหารเฉินผิงอันจำเป็นต้องจ่ายเงินสิบตำลึง แต่หากดึงเขามาเป็นพวกสามารถหาเงินมาเพิ่มได้ห้าตำลึง ไปๆ มาๆ การค้าขายครั้งนี้ก็มีค่าแค่เงินสิบห้าตำลึงเท่านั้น

แน่นอนว่าอาจจะเป็นเวทอำพรางตา สตรีแต่งงานแล้วคือบุคคลที่ใช้วิธีสิงโตทุ่มสุดกำลังเพื่อจับกระต่ายมาจนเคยชินแล้ว ไม่อย่างนั้นปีนั้นที่คิดจะสังหารเฉินผิงอันที่เป็นผู้ฝึกยุทธระดับสองก็คงไม่มีทางระดมนักฆ่ากลุ่มนั้นมา

หรือก็อาจจะเป็นการหยั่งเชิง ยืนยันให้แน่ใจในความตื้นลึกหนาบางของเขาเฉินผิงอันก่อน แน่นอนว่ายังมีท่าทียามที่เขาเผชิญหน้ากับการลอบสังหารในปีนั้น แล้วทางราชสำนักค่อยตัดสินใจอีกที

ความคิดของเฉินผิงอันค่อยๆ ล่องลอยไปไกล

คิดอะไรไปมากมาย

อยู่ดีๆ ก็นึกถึงภาพเหตุการณ์หนึ่งที่ตอนเป็นเด็กตนรู้สึกอิจฉาอย่างมาก ภาพที่ตัวเองมองดูคนวัยเดียวกันจับกลุ่มเล่นสนุกที่สุสานเทพเซียน พวกเขาชอบแสดงเป็นคนดีคนเลว ดำขาวแบ่งแยกชัดเจน แน่นอนว่าก็มีคนที่เล่นเป็นพ่อแม่ลูกกัน ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเด็กชายจากครอบครัวมีเงินที่เล่นเป็นสามี เด็กหญิงหน้าตางดงามเล่นเป็นภรรยา คนอื่นๆ ที่เหลือเล่นเป็นข้ารับใช้ เข้าท่าเข้าที ครึกครื้นสนุกสนาน และยังมีเด็กหลายคนที่แอบขโมยของออกมาจากในบ้าน พยายามจะแต่งกายให้ ‘ภรรยาสาว’ งดงามมากที่สุด

หลังจากเติบโตแล้วมองย้อนกลับไป นั่นเต็มไปด้วยความสนุกสนานของเด็กที่ไร้เดียงสา แต่พอย้อนกลับไปมองอีกครั้ง กลับไม่ได้งดงามอย่างนั้นอีกแล้ว ราวกับว่าในช่วงเวลาที่เป็นเด็ก พวกเด็กๆ ก็ได้เรียนรู้ความรู้ที่ตลอดชีวิตนับจากนั้นจะต้องนำมาใช้จนเป็นแล้ว

เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้า เดินไปที่ระเบียงชมทิวทัศน์

ม่านราตรีหนาหนัก เรือข้ามฟากเพิ่งจะผ่านภูเขาของอดีตขุนเขาเหนือต้าหลีมา ยังพอจะมองเห็นความสูงชันอันตรายของภูเขาได้อย่างเลือนราง นี่ก็เหมือนกับวิธีการที่ต้าหลีชอบใช้

พระจันทร์สุกสกาวลอยอยู่กลางนภา

เฉินผิงอันเบิกตากว้างมองไปยังภูเขาและดวงจันทร์

ภูเขาใกล้ดวงจันทร์ไกลรู้สึกว่าดวงจันทร์เล็ก จึงกล่าวว่าภูเขานี้ใหญ่กว่าดวงจันทร์ แต่หากมีคนที่ดวงตาใหญ่เท่าผืนฟ้าก็จะเห็นว่าภูเขาสูง แต่พระจันทร์กว้างใหญ่กว่า

……

ในห้องหรูหรางดงามแห่งหนึ่งที่ปูด้วยพรมงามประณีตที่สุดของแคว้นไฉ่อี สตรีแต่งงานแล้วรินชาให้ตัวเองหนึ่งถ้วย จู่ๆ นางก็ขมวดคิ้ว เก้าอี้ที่นั่งสูงไปหน่อย ทำให้เท้าสองข้างของนางลอยพ้นจากพื้น ยังดีที่ความสามารถที่ใหญ่ที่สุดของนางในชีวิตนี้ก็คือการปรับตัว ส้นเท้าลอยพ้นเหนือพื้นมาสูงยิ่งกว่า นางจึงใช้ปลายเท้าเคาะลงบนพรมที่มีชื่อเสียงและราคาแพงซึ่งว่ากันว่าทอมาจากมือของผู้ฝึกตนหญิงตระกูลเซียนแห่งหนึ่งของแคว้นไฉ่อี นางยิ้มถาม “เป็นอย่างไร?”

ซ่งเหอคิดแล้วก็ตอบว่า “เป็นพวกหัวรั้นทิฐิสูง”

สตรีจิบน้ำชาหนึ่งคำ หยุดลิ้มรสครู่หนึ่ง ดูเหมือนว่าจะเทียบน้ำชาของตำหนักฉางชุนไม่ได้ สถานที่แห่งนั้น ไม่ว่าอะไรก็แย่ไปหมด เทียบกับตำหนักเย็นแล้วยังเยียบเย็นกว่าเสียอีก มีแต่สตรีที่ไม่รู้จักพูดคุย น่าเบื่อยิ่งนัก ก็มีแต่น้ำชานี่แหละที่ดี ถึงได้ทำให้ชีวิตของการสร้างกระท่อมฝึกตนอยู่บนภูเขาไม่ได้ทุกข์ทรมานเกินไปนัก นางจงใจดื่มน้ำชาหนึ่งคำแล้วเคี้ยวใบชาใบหนึ่งที่อยู่ในนั้น ในสายตาของนาง รสชาติในใต้หล้านี้มีเพียงการใช้รสขมปูเป็นพื้นฐานเท่านั้นถึงจะค่อยๆ ลิ้มรสถึงรสชาติที่อร่อยได้ หลังจากเคี้ยวใบชาอย่างละเอียด นางถึงเอ่ยเนิบช้าว่า “ไม่มีความสามารถและความอดทน เศษสวะคนหนึ่งที่เติบโตมาพร้อมกับการดมขี้หมาขี้ไก่อยู่ในตรอกหนีผิงจะมีชีวิตอยู่รอดมาจนถึงทุกวันนี้ได้หรือ? เขาเพิ่งจะอายุเท่าไหร่เอง? คนหนุ่มคนหนึ่งที่อายุแค่ยี่สิบเอ็ดปี แต่กลับสร้างกิจการได้ใหญ่โตแค่ไหนแล้ว?”

ซ่งเหอไม่ได้สนใจเจ้าขุนเขาลั่วพั่วอะไรนั่น เพียงแต่ท่านแม่ยืนกรานจะลากตนมาด้วย เขาจึงได้แต่ติดตามมา

เป็นฮ่องเต้ควรจะเสวยสุขแบบไหน ควรจะแบกรับปัญหามากน้อยเท่าไหร่ ซ่งเหอรับรู้อย่างชัดเจนมาตั้งแต่เด็ก ลำพังเพียงแค่หลังจากขึ้นเป็นฮ่องเต้ งานพิธีการยิบย่อยในหนึ่งปี เขาก็ทำไปแล้วมากน้อยเท่าไหร่? ยังดีที่ซ่งเหอคุ้นเคยจนไม่เหมือนกับกษัตริย์คนใหม่ และนี่ก็ไม่แปลกที่พวกตาแก่หนังเหนียวในราชสำนักที่ไม่ค่อยเห็นดีเห็นงามในตัวเขาจะพยายามเบิกตากว้างเพื่อคอยจับผิดเขา คาดว่าดวงตาฟ้าฝางแต่ละคู่นั้นคงถลึงกันจนปวดไปหมดแล้ว แต่ก็ยังไม่เจอข้อบกพร่องของเขาเสียที จึงได้แต่ฝืนใจยอมรับ

ซ่งเหอยิ้มกล่าว “หากเปลี่ยนมาเป็นข้าที่มีประสบการณ์แบบเดียวกันก็คงจะไม่แย่กว่าเขาเฉินผิงอันสักเท่าไหร่”

สตรีแต่งงานแล้วถาม “เจ้าคิดแบบนี้จริงๆ หรือ?”

ซ่งเหอพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม

สตรีแต่งงานแล้วหรี่ตาลง สองนิ้วคีบถ้วยชางามประณีตที่ลงสีเคลือบเป็นสีเขียวเหมือนลูกเหมยดิบ “ลองคิดดูให้ดีก่อนแล้วค่อยตอบข้าอีกครั้ง”

ซ่งเหอรีบชูสองมือขึ้น ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “เป็นคำพูดอยากเอาชนะของลูกเอง ท่านแม่อย่าได้โมโหเลย”

สตรีแต่งงานแล้วกลับไม่มีสีหน้ารักใคร่เอ็นดูเหมือนในยามปกติ ยามที่แม่ลูกอยู่ด้วยกันตามลำพัง นางก็ยิ่งไม่มองซ่งเหอเป็นฮ่องเต้ต้าหลีอะไรทั้งนั้น ตวาดเสียงเฉียบขาด “ฉีจิ้งชุนเลือกเจ้าหรือ?! เจ้าซ่งเหอทนรับความยากลำบากได้หรือไร?!”

ซ่งเหอส่ายหน้า “ล้วนไม่ใช่”

“บางสิ่งบางอย่างสู้คนอื่นเขาไม่ได้ ก็คือสู้คนอื่นเขาไม่ได้ บนโลกนี้ไม่มีใครที่เก่งกาจกว่าคนอื่นหรือได้ยึดครองผลประโยชน์ไปเสียทุกเรื่อง!”

อุตรกุรุทวีปไม่มีอะไรแปลกประหลาด

สตรีแต่งงานแล้วกล่าวอย่างขุ่นเคือง “ในเมื่อเจ้าเกิดมาก็มีโชคชะตาที่จะได้เสวยสุข ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ควรจะคิดพิจารณาให้ดีว่าจะเสวยสุขอย่างไร นี่เป็นเรื่องดีที่คนกี่มากน้อยในใต้หล้าอิจฉาแทบตายก็ยังไม่ได้มาครอบครอง อย่าลืมล่ะว่านี่ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายอะไรเลย! หากเจ้ารู้สึกว่าในที่สุดก็ได้เป็นฮ่องเต้ต้าหลีแล้ว ก็เลยกล้าเพิกเฉยละเลย วันนี้ข้าก็จะพูดให้เจ้าฟังอย่างชัดเจน หากวันใดเจ้าเลอะเลือนทำให้เก้าอี้มังกรหายไป ซ่งมู่รับช่วงต่อมานั่งแทน แม่ยังคงได้เป็นไทเฮาแห่งต้าหลี แต่ถึงเวลานั้นเจ้าจะนับเป็นตัวอะไรได้?! คนอื่นไม่รู้ความจริง หรือบางทีอาจรู้แต่ไม่กล้าพูด แต่ชุยฉานอาจารย์ของเจ้า และยังมีซ่งจ่างจิ้งท่านอาของเจ้า จะลืมหรือ?! หากอยากจะพูดขึ้นมา พวกเราสองแม่ลูกห้ามได้อยู่หรือ?”

ซ่งเหอกล่าวอย่างละเอายใจ “ลูกผิดไปแล้ว ไม่ควรหลงระเริงตน”

หากเป็นในอดีต สตรีแต่งงานแล้วก็คงจะพูดจาดีๆ ปลอบโยนเขาสักสองสามคำ แต่วันนี้กลับไม่เหมือนเดิม ดูเหมือนว่าความอ่อนโยนว่าง่ายของบุตรชายจะยิ่งทำให้นางโมโห

เห็นเพียงว่าสตรีวางกระแทกถ้วยชาลงอย่างแรงจนน้ำชาหกกระเซ็น สีหน้าของนางเย็นชา “ตอนนั้นสอนเจ้าอย่างไร? อยู่อาศัยในวังลึก ยากที่จะได้เห็นทัศนียภาพด้านนอก ดังนั้นข้าถึงได้เฝ้าขอร้องฝ่าบาทอย่างยากลำบาก กว่าจะขอให้ราชครูมาเป็นครูสอนหนังสือเจ้าด้วยตัวเองได้ ไม่เพียงเท่านี้ หากแม่มีโอกาสก็จะต้องแอบพาเจ้าออกจากวังหลวงไปเดินอยู่ตามหมู่ชาวบ้านของเมืองหลวง นี่ก็เพื่อให้เจ้าได้มองดู ได้เห็นให้มากว่าคนตระกูลยากจนทำอย่างไรถึงร่ำรวยขึ้นมาได้ แล้วคนตระกูลร่ำรวยทำอย่างไรถึงได้ตกอับ คนโง่มีชีวิตอยู่ต่อไปอย่างไร แล้วคนฉลาดต้องตายอย่างไร! แต่ละคนต่างก็มีวิธีการใช้ชีวิตและข้อดีข้อเสียของตัวเอง นี่ก็เพื่อให้เจ้าได้เห็นความซับซ้อนและความจริงของวิถีทางโลกใบนี้อย่างชัดเจน!”

“ยังจำได้หรือไม่ว่าครั้งแรกที่แม่ตีเจ้าเป็นเพราะเรื่องใด? อยู่ในหมู่ชาวบ้านได้ยินพวกชาวบ้านพูดอย่างสนุกสนานว่าคนในครอบครัวฮ่องเต้ใช้หาบทองคำ ข้าวมื้อหนึ่งก็ได้กินหมั่นโถวลูกใหญ่เท่าถาดหลายลูก ตอนนั้นเจ้ารู้สึกว่าน่าสนใจ ถึงได้หัวเราะจนหุบปากไม่ลง ตลกนักหรือ?! เจ้ารู้หรือไม่ว่าสายตาของซิ่วหู่ที่ติดตามพวกเรามามองเจ้าในเวลานั้นก็เหมือนกับสายตาที่เจ้าใช้มองพวกชาวบ้านอย่างไม่มีผิดเพี้ยน!”

“เก้าอี้มังกรตัวหนึ่ง ชุดคลุมมังกรตัวหนึ่ง กินได้หรือไร? หากถึงวันที่ภูเขาโล้นโล่งสายน้ำแห้งขอดอย่างแท้จริง พวกมันจะเทียบกับหมั่นโถวไม่กี่ลูกได้หรือ? ราชครูสอนเจ้าอย่างไร ใต้หล้านี้ ผู้ที่ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่จำเป็นต้องมีรากฐานที่มั่นคงอยู่ในมุมมืดที่ไม่มีใครรู้ ยิ่งสอดคล้องกับหลักการเหตุผลทางโลกมากเท่าไหร่ ยิ่งลมพัดฝนชะก็ยิ่งไม่สั่นคลอนมากเท่านั้น! ราชครูยกใครขึ้นมาเป็นตัวอย่าง? คือท่านผู้เฒ่าสกุลกวนที่ทำท่างัวเงียเหมือนจะหลับอยู่ตลอดทั้งปีผู้นั้น! ตัวอย่างที่ตรงข้ามคือใคร คือบรรพบุรุษเฉาหยวนสองสกุลที่มองดูเหมือนมีชื่อเสียงดีงามในประวัติศาสตร์ มีหน้ามีตาอย่างถึงที่สุด! สัจธรรมที่ ‘คนเลวมีชีวิตที่ดีได้อย่างไร’ ซึ่งสอนให้เจ้าเปล่าๆ เช่นนี้ เจ้าซ่งเหอกล้าไม่เก็บเอามาใส่ใจหรือ?!”

สตรีแต่งงานแล้วลุกขึ้นยืน ไฟโทสะพุ่งทะยานเทียมฟ้า “ตำราผุที่กษัตริย์ใต้หล้าเก็บเป็นความลับไม่แพร่งพรายไม่กี่เล่มนั้น ตำราราชครูแห่งจักรพรรดิ และยังมีศาสตร์จักรพรรดินั่งหันหน้าหาทิศใต้ที่ลึกลับอำพรางไม่กล้าเปิดเผยแก่ใครพวกนั้น จะนับเป็นผายลมอะไรได้! หลักการเหตุผลใหญ่พวกนั้นไม่ดีหรือ? ผิดหรือ? เปล่าเลย! ดีจนไม่รู้ว่าจะดีไปกว่านี้ได้อย่างไรแล้ว ถูกจนถูกไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว! แต่เจ้าเข้าใจหรือไม่ว่า เหตุใดแจกันสมบัติทวีปที่มีฮ่องเต้น้อยใหญ่มากมายเพียงนั้น ตอนนี้กลับหลงเหลืออยู่แค่ไม่กี่คน? แล้วมีสักกี่คนที่เป็นจักรพรรดิผู้ปรีชาที่อยู่เฉยๆ ก็ปกครองบ้านเมืองให้รุ่งเรืองได้? ก็เพราะวิสัยทัศน์ นิสัยใจคอและวิธีควบคุมคนของเจ้าคนที่นั่งบนบัลลังก์มังกรพวกนี้ไม่อาจประคับประคองหลักการเหตุผลในตำราพวกนั้นได้ไหว! ปีนั้นที่ซิ่วหู่ถ่ายทอดทฤษฎีคุณความชอบของเขา มีคำพูดประโยคใด มีเหตุผลหลักการใหญ่เทียมฟ้าข้อใดที่ไม่ได้เริ่มกล่าวจากเรื่องเล็กน้อยที่ไม่สะดุดตามากที่สุด?”

สตรีแต่งงานแล้วหน้าเขียวคล้ำ ยกนิ้วชี้หน้าฮ่องเต้หนุ่มแห่งต้าหลี “วันนี้เจ้าเปรียบเทียบเรื่องความอดทนต่อความยากลำบากกับเศษสวะผู้หนึ่ง รู้สึกว่าตัวเองแข็งแกร่งกว่าเขา พรุ่งนี้เจ้าจะเปรียบเทียบความดีความชอบกับพี่ชายของเจ้าแล้วรู้สึกว่าตัวเองมีมากกว่าเขาด้วยหรือไม่? เปรียบเทียบกับความรู้ของราชครู เปรียบเทียบกับวิชายุทธของท่านอาเจ้า ล้วนรู้สึกว่าอันที่จริงแล้วเจ้าไม่ได้แย่กว่าเลย? ใครกันที่มอบความกล้านี้ให้เจ้า ปล่อยให้เจ้าประมาทซ่งมู่ขนาดนี้? ข้าที่เจียมเนื้อเจียวตัวมาทั้งชีวิตอย่างนั้นหรือ? อดีตฮ่องเต้ที่ถูกสกุลลู่แห่งแผ่นดินกลางวางแผนเล่นงานจนต้องจากไปตั้งแต่ยังหนุ่มอย่างนั้นหรือ? หรือว่าเป็นราชครูที่ลึกๆ ในใจดูแคลนเจ้าผู้นั้น?!”

ซ่งเหอเองก็ลุกขึ้นตาม เขาเงียบงันไม่เอ่ยคำใด

ไม่มีความโกรธเคืองหรือไม่พอใจแม้แต่น้อย เพียงรับคำสั่งสอนอย่างวัวสันหลังหวะ

ต่อให้ตอนนี้เขาจะเป็นบุรุษที่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรตัวนั้นแล้วก็ตาม

สตรีแต่งงานแล้วถอนหายใจแล้วนั่งกลับลงไปบนเก้าอี้อย่างห่อเหี่ยว มองบุตรชายที่ไม่ยอมนั่งลงเสียทีด้วยสายตาเศร้าสร้อย “เหอเอ๋อร์ รู้สึกว่าแม่น่ารำคาญมากเลยใช่ไหม?”

ซ่งเหอถึงได้นั่งลง พูดเบาๆ พร้อมคลี่ยิ้ม “หากไม่กังวลว่าราชสำนักจะวิพากษ์วิจารณ์ ข้าอยากจะให้ท่านแม่ว่าราชการอยู่หลังม่านให้สมใจอยากด้วยซ้ำ เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านแม่ก็จะได้มีเรื่องราวทิ้งไว้ในตำราประวัติศาสตร์มากหน่อย”

สตรีแต่งงานแล้วพูดอย่างขันๆ ปนฉุน “เหลวไหล!”

ซ่งเหอ ซ่งมู่ เหอเหอมู่มู่ (ปรองดองกลมเกลียว) ครอบครัวปรองดองมีความสุข

ครอบครัวของชาวบ้าน ครอบครัวของจักรพรรดิ ธรณีประตูสูงต่ำ แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ทว่าแท้จริงแล้วหลักการเหตุผลกลับเหมือนกัน

เพียงแต่ว่าปีนั้นสตรีแต่งงานแล้วจำเป็นต้องตัดสินใจอย่างยากลำบากครั้งหนึ่ง สละหนึ่งเก็บไว้หนึ่ง ส่งตัวบุตรชายคนหนึ่งที่ยังอยู่ในห่อผ้าอ้อมไปยังถ้ำสวรรค์หลีจูเพื่อโชคชะตาแคว้นของสกุลซ่ง หลังจาก ‘ป่วยตาย’ ไป ก็ขีดชื่อ ‘ซ่งมู่’ ที่เดิมทีควรชื่อซ่งเหอบนทำเนียบวงศ์ตระกูลในฝ่ายพลเรือนในพระองค์ทิ้งไป ส่วนบุตรชายคนรองก็ไม่เพียงแต่ได้อยู่ต่อในเมืองหลวง ยังได้ชื่อซ่งเหอและสถานะบุตรชายคนโตไปด้วย

นี่ถึงได้มีซ่งจี๋ซินของตรอกหนีผิงในภายหลัง มีการออกจากเมืองหลวงและมารับหน้าที่เป็นขุนนางผู้ตรวจการงานเตาเผาของซ่งเย่จาง หลังจากทำงานประสบความสำเร็จก็กลับเมืองหลวงไปรายงานผลปฏิบัติการ เมื่อกลับมาอีกครั้ง สุดท้ายก็ถูกแม่ทัพสกุลหลูที่ยอมสวามิภักดิ์อยู่ข้างกายสตรีแต่งงานแล้วผู้นั้นตัดหัวด้วยมือตนเอง แล้วใส่กล่องส่งกลับมาให้ที่เบื้องหน้าของอดีตฮ่องเต้ อดีตฮ่องเต้อยู่ในห้องทรงพระอักษรเพียงลำพังตลอดทั้งคืน อ่านเอกสารฉบับนั้นจนฟ้าสาง จากนั้นต่อมาก็ออกพระราชโองการให้กรมพิธีการแต่งตั้งซ่งเย่จางเป็นเทพภูเขาองค์ใหม่ของภูเขาลั่วพั่ว ส่วนเทวรูปในศาลก็มีแค่ส่วนหัวที่ได้เคลือบสีทอง สุดท้ายคนตลอดทั้งบนและล่างภูเขาของเขตการปกครองหลงเฉวียนจึงได้มีคำเรียกขานเขาอีกอย่างว่า ‘เทพภูเขาเศียรทอง’

ฝ่ายพลเรือนในพระองค์ที่รับผิดชอบเก็บแผนภูมิหยกประจำราชวงศ์ ดูแลเรื่องการบันทึกรายชื่อเชื้อพระวงศ์สกุลซ่งต้าหลี เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนก็มีคนแก่ตายไปหลายคน ยี่สิบปีให้หลัง ซึ่งก็คือปีก่อนและปีนี้ก็มีคนตายไปอีกกลุ่มหนึ่ง ล้วน ‘แก่ตาย’ ไปทั้งสิ้น เพียงแต่ว่าปีนั้นฮ่องเต้มีพระราชโองการจึงจำต้องตาย ทว่าครั้งหลังนี้กลับเป็นเพราะพวกตาแก่หนังเหนียวที่มีชีวิตอยู่มาจนเอียนแล้วขอความตายด้วยตัวเอง ถึงได้ทุ่มเดิมพันข้างองค์ชายที่ไร้รากฐานคนหนึ่ง คิดจะพลิกคดีขึ้นมาโต้เถียงกันเรื่องสถานะว่า ‘ใครเป็นคนโต ใครเป็นคนเล็ก’ อีกครั้ง

ซ่งเหอบอกลาจากไป

สตรีแต่งงานแล้วนั่งดื่มชาอยู่เพียงลำพัง

อารมณ์ของนางซับซ้อนอย่างยิ่ง

ซ่งจี๋ซินก็ดี ‘ซ่งมู่’ ก็ช่าง ถึงอย่างไรก็เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขแท้ๆ ของนาง นางจะไม่มีความผูกพันเลยได้อย่างไร

ปีนั้นนางอุ้มบุตรชายคนโตที่อยู่ในห่อผ้าอ้อม จ้องมองบุตรชายที่ผิวพรรณเป็นสีชมพูน่ารักน่าเอ็นดู ใบหน้าของนางนองไปด้วยน้ำตา พึมพำว่า “ใครให้เจ้าเป็นพี่ชาย ใครให้เจ้าเกิดมาเป็นคนสกุลซ่งต้าหลี? ใครให้เจ้าต้องมาเจอกับพ่อแม่ที่ใจดำเช่นพวกเรากันนะ?”

ตอนนั้นอดีตฮ่องเต้ก็อยู่ด้วย เพียงแต่เขาไม่รู้สึกโกรธเคืองเลยแม้แต่น้อย

ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ คราวนั้นที่นางยอมล้ำเส้นหมายแอบดูเอกสารลับนั่นให้ได้ ผลกลับถูกอดีตฮ่องเต้ตวาดสั่งสอน นางจึงตัดใจอย่างสิ้นเชิง คิดเสียว่าลูกชายคนนั้นได้ตายไปแล้ว

ถึงท้ายที่สุดความละอายในใจยิ่งเพิ่มพูนเท่าไหร่ นางก็ยิ่งกลัวการเผชิญหน้ากับซ่งจี๋ซิน กลัวจะได้ยินเรื่องใดๆ ก็ตามที่เกี่ยวกับเขามากเท่านั้น

ยิ่งกลัวว่าในอนาคตวันใดวันหนึ่งจะเดือดร้อนมาถึง ‘บุตรชายเพียงคนเดียว’ ที่ถูกเลี้ยงอยู่ข้างกาย ถึงท้ายที่สุดจะกลายเป็นความว่างเปล่า

ซ่งเย่จางที่เคยเป็นขุนนางผู้ตรวจการงานเตาเผามานานหลายปีผู้นั้น เดิมทีก็มีโอกาสที่จะไม่ต้องตาย ถอยไปพูดหนึ่งก้าว อย่างน้อยก็สามารถตายช้าหน่อย อีกทั้งยังมีหน้ามีตาได้มากกว่าเดิม อย่างเช่นหากอิงตามแผนการแรกเริ่มสุดของอดีตฮ่องเต้ ซ่งเย่จางสามารถใช้ชีวิตอยู่ในกรมพิธีการได้อีกหลายปี จากนั้นก็ถูกย้ายไปทำงานอยู่ในที่ว่าการน้ำใสที่มีตำแหน่งแต่ไร้อำนาจ ระดับขั้นย่อมไม่ต่ำอย่างแน่นอน เก้าขุนนางใหญ่ในหกกรมไม่ต้องคิดฝัน อดีตฮ่องเต้ไม่มีทางยกตำแหน่งให้เขาแน่ แต่เก้าขุนนางเล็กย่อมต้องเป็นของในกระเป๋า ยกตัวอย่างเช่นตำแหน่งไท่ฉางซื่อชิง (ตำแหน่งขุนนางระดับสามชั้นเอก) หรือไม่ก็อยู่ในหงหลูซื่อ (หน่วยงานราชการ ในสมัยราชวงศ์หมิงและชิงดูแลเรื่อง ระเบียบธรรมเนียมการประชุมการเข้าเฝ้าในท้องพระโรง) และฝ่ายชุนฝางซ้ายขวาผู้ดูแลเชื้อพระวงศ์ (หน่วยชุนฝางจะเป็นหน่วยงานที่ดูแลองค์รัชทายาท) ถือเป็นการถูกกักบริเวณ แต่ได้เสวยสุขไปอีกสิบยี่สิบปี หลังจากตายไปก็ยังได้บรรดาศักดิ์ที่ดีงามในลำดับต้นๆ ถือเป็นขุนนางผู้มีคุณูปการยิ่งใหญ่ต่อสกุลซ่งต้าหลี

ต้องรู้ว่าเรื่องของการสร้างสะพานแบบคานล้วนผ่านมือของซ่งเย่จางมาตั้งแต่ต้นจนจบ ที่นั่นได้กลบฝังเรื่องน่าอายที่ใหญ่ที่สุดของสกุลซ่งต้าหลีเอาไว้ หากเผยแพร่ออกไป ถูกสำนักศึกษากวานหูจับจุดอ่อนไว้ได้ อาจถึงขั้นส่งผลกระทบต่อสถานการณ์การฮุบกลืนแจกันสมบัติทวีปของต้าหลี

ดังนั้นจึงถือว่าอดีตฮ่องเต้มีเมตตากรุณาต่อซ่งเย่จางมากแล้ว

แต่ที่ไม่สมควรอย่างยิ่งเลยก็คือ ในขณะที่ข่าวลือว่าซ่งจี๋ซินคือบุตรชายนอกสมรสของท่านผู้ตรวจการงานเตาเผาอย่างเขาแพร่ไปทั่วเมืองเล็กของถ้ำสวรรค์หลีจูจนผู้คนรับรู้กันถ้วนทั่ว ซ่งเย่จางกลับยังไม่รู้จักทำตัวสำรวม ไม่รู้จักเก็บซ่อนอารมณ์ ถึงขั้นกล้าเปิดเผยความรู้สึกผูกพันฉันท์พ่อลูกต่อซ่งจี๋ซิน จุดที่ทำให้ซ่งเย่จางสมควรตายที่สุดนั้นอยู่ที่ ส่วนลึกในใจของซ่งจี๋ซิน นอกจากจะเกลียดแค้นผู้ตรวจการท่านนี้แล้ว เขากลับคาดหวังให้ซ่งเย่จางเป็นบิดาแท้ๆ ของตนอย่างแท้จริง ในเอกสารลับล้วนบันทึกสิ่งละอันพันละน้อยไว้อย่างชัดเจน และหลังจากซ่งเย่จางกลับคืนไปยังเขตการปกครองหลงเฉวียนด้วยตำแหน่งขุนนางกรมพิธีการก็ยังคงไม่รู้จักแก้ไขปรับปรุงตัวเอง หากยังไม่ตายจะเป็นอย่างไรไปได้อีก? ดังนั้นต่อให้ซ่งเย่จางจะตายไปแล้ว อดีตฮ่องเต้ก็ยังไม่คิดจะปล่อยขุนนางผู้ภักดีที่แตะเกล็ดย้อนมังกรของเขาไป ปล่อยให้นางตัดหัวเขานำกลับเมืองหลวง จากนั้นค่อยแต่งตั้งเขาให้เป็นเทพภูเขาของภูเขาลั่วพั่ว เทพภูเขาที่มีหัวทององค์หนึ่งจึงกลายเป็นตัวตลกของคนทั้งแถบขุนเขาเหนือแห่งใหม่

ต่อให้อดีตฮ่องเต้จะจากไปแล้ว

สตรีแต่งงานแล้วก็ยังคงกริ่งเกรงในตัวบุรุษที่องอาจเปี่ยมปรีชา แต่กลับต้องตายไปในวัยกลางคนผู้นั้น

นางรักเขามาก เคารพนับถือและเลื่อมใสบูชาเขาอย่างยิ่ง

แต่การที่เขาตายไม่ช้าไม่เร็วเกินไป ตายไปอย่างพอเหมาะพอดี อันที่จริงนางก็มีความสุขอย่างมาก

สำหรับสตรีบางคน ความรักก็เหมือนวัตถุดิบในการปรุงอาหาร หากมีย่อมดีที่สุด แต่ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร เพราะสามารถหาอย่างอื่นมาทดแทนกันได้

……

เซียนซือผู้เฒ่าชุดขาวที่ก่อนหน้านี้เก็บสะพานเทพเซียนใส่เข้าไปในชายแขนเสื้อลูบหนวดยิ้ม “ดูท่าไทเฮาของเราคงจะเริ่มสั่งสอนบุตรชายอีกแล้ว”

สวี่รั่วเพียงยิ้มตอบ

เรือข้ามฟากต้าหลีหันหัวกลับทิศใต้ ส่วนเรือชายหาดโครงกระดูกมุ่งหน้าไปทางทิศเหนือต่อ

ผู้เฒ่าหันหน้าไปชำเลืองมองทางทิศเหนือแวบหนึ่งแล้วเอ่ยเบาๆ ว่า “เหตุใดถึงเลือกต่งสุ่ยจิ่ง ไม่ใช่คนผู้นี้?”

สวี่รั่วยิ้มกล่าว “คนจิตใจดีไม่เหมาะกุมอำนาจทางการทหาร คนที่มีคุณธรรมนำมาก่อนไม่เหมาะจะเป็นพ่อค้า”

ผู้เฒ่าหลุดหัวเราะพรืด ไม่ปกปิดความไม่เห็นด้วยของตัวเองเลยแม้แต่น้อย

สองมือของสวี่รั่วแยกกันจับที่ด้ามกระบี่และหัวกระบี่ที่วางพาดขวางอยู่ด้านหลัง ท่วงท่าผ่อนคลาย ทอดสายตามองไปยังแผ่นดินกว้างใหญ่และแม่น้ำภูเขาของทิศไกล

แถบทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีปที่อยู่เบื้องใต้เรือข้ามฟากลำนี้ สายน้ำเหมือนไม้กวาดที่แยกตัวออกไปกระจัดกระจายกว้างขวาง

ผู้เฒ่าคือผู้มีอำนาจตัดสินใจในแจกันสมบัติทวีปหลังจากที่สายหลักของสำนักโม่เลือกลงเดิมพันกับต้าหลี

เขากับสวี่รั่วและ ‘ผู้เฒ่าช่างไม้’ คนนั้นมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวมาโดยตลอด เพียงแต่ว่าปีนั้นฝ่ายพ่ายแพ้ในการช่วงชิงผู้เป็นใหญ่ของสำนักโม่ จึงย้ายไปอยู่ทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง สุดท้ายก็เลือกสกุลซ่งต้าหลี

ตอนนั้นคนที่ร่วมกับสายนี้ของสำนักโม่อย่างพวกเขายังมีสายรองของสุกลลู่สำนักหยินหยาง ทั้งสองฝ่ายจับมือตกลงกันแล้วก็เริ่มละเมิดข้อห้ามใหญ่ของใต้หล้า สร้างป๋ายอวี้จิงจำลองที่มีพลังอำนาจมากพอจะสยบสังหารผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินขึ้นมาโดยพลการ

ไม่เพียงเท่านี้ ผู้ฝึกตนใหญ่สำนักหยินหยางผู้นั้นยังแอบซ่อนวิธีการชั่วร้ายอำมหิตเอาไว้ เขาล่อลวงให้อดีตฮ่องเต้ต้าหลีละเมิดกฎของลัทธิขงจื๊อแอบฝึกตนจนเลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตกลาง หากฮ่องเต้ฝ่าทะลุขอบเขตก็จะสามารถรักษาสติปัญญาเอาไว้ได้ แต่ขณะเดียวกันก็จะกลายมาเป็นหุ่นเชิดที่ถูกชักใยอย่างลับๆ อีกทั้งขอบเขตของทั้งร่างจะหายวับไปไม่มีเหลือ เท่ากับว่ากลับคืนไปมีร่างกายเป็นมนุษย์ธรรมดาอีกครั้ง ถึงเวลานั้นสำนักศึกษาซานหยาที่ยังอยู่ในเมืองหลวงต้าหลีก็ดี หรือสำนักศึกษากวานหูที่อยู่ไกลไปถึงภาคกลางของแจกันสมบัติทวีปก็ช่าง ต่อให้พอจะสัมผัสได้ถึงสายสนกลใน แต่ก็ไม่มีเบาะแสให้สืบหา การลงทุนก้อนใหญ่ระดับนี้ของตระกูลเซียนก็มีเพียงสกุลลู่สำนักหยินหยางที่มีรากฐานแน่นหนาเท่านั้นถึงจะสามารถคิดออกและสามารถทำได้

อุตรกุรุทวีปไม่มีอะไรแปลกประหลาด

เกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้แต่ ‘ช่างไม้ผู้เฒ่า’ แซ่หลวนผู้นั้นก็ยังถูกปิดหูปิดตา ต่อให้อยู่ด้วยกันมานานก็ยังสัมผัสไม่ได้แม้แต่น้อย จำต้องพูดว่าผู้ฝึกตนสายรองของสำนักลู่ผู้นั้นมีความละเอียดรอบคอบเป็นอย่างยิ่ง แน่นอนว่ายังมีอดีตฮ่องเต้ต้าหลีที่มีกลอุบายลึกล้ำด้วย

ราชครูชุยฉานและสำนักศึกษาซานหยาของฉีจิ้งชุนต่างก็เพิ่งจะมาเลือกสกุลซ่งต้าหลีตามหลังสองสายนี้ ส่วนข้อที่ว่านอกเหนือจากที่ลูกศิษย์สองคนของเหวินเซิ่งอย่างชุยฉานและฉีจิ้งชุนจะช่วยเหลือประคับประคองและให้การศึกษาแล้ว ศิษย์พี่ศิษย์น้องที่กลายมาเป็นศัตรูกันนานแล้ว แต่กลับต้องมาเป็นเพื่อนบ้านกันอีกครั้งคู่นี้ แท้จริงแล้วแต่ละคนต้องการอะไรกันแน่ ก็บอกได้ยากแล้ว

สุดท้ายอาเหลียงผู้นั้นก็มาเยือน

เขาได้เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของต้าหลีและตลอดทั้งแจกันสมบัติทวีปไปอย่างสิ้นเชิง

หลังจากที่อาเหลียงปล่อยหนึ่งกระบี่ออกไป ป๋ายอวี้จิงจำลองที่ทุ่มกองกำลังเกือบครึ่งแคว้นสร้างขึ้นมาไม่อาจโคจรได้อย่างราบรื่น ในระยะเวลาหลายสิบปีจะไม่สามารถใช้ค่ายกลกระบี่สังหารศัตรูไกลหมื่นลี้ได้อีก สกุลซ่งต้าหลีเสียหายอย่างหนัก ลามไปถึงพลังต้นกำเนิด แต่กลับได้รับโชคดีหลังโชคร้าย ลู่เฉินเจ้าลัทธิที่แอบมาเยือนถ้ำสวรรค์หลีจูอย่างลับๆ ผู้นั้นเหมือนว่าคร้านจะถือสาต้าหลี นับตั้งแต่มาเยือนใต้หล้าไพศาล ไปจนถึงกลับไปยังใต้หล้ามืดสลัวจึงไม่ได้ลงมือทำลายป๋ายอวี้จิงหลังนั้นของต้าหลี การออมมือไว้ไมตรีของลู่เฉิน จนถึงทุกวันนี้ก็ยังเป็นเรื่องประหลาดที่ทำให้ยอดฝีมือหลายคนคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ หากลู่เฉินลงมือเพราะเหตุนี้ ต่อให้การที่เขาพานโกรธเอากับราชวงศ์ต้าหลีจะเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุไปสักหน่อย ทว่ารองเจ้าขุนเขาของศาลบุ๋นและเหล่าอริยะที่มีรูปปั้นในทวีปแผ่นดินกลางย่อมไม่มีทางขัดขวาง

ภายหลังกองทัพม้าเหล็กต้าหลีก็รีบร้อนกรีฑาทัพลงใต้

การสร้างป๋ายอวี้จิงจำลองได้เผาผลาญกองกำลังของสกุลซ่งต้าหลีไปถึงครึ่งแคว้น

นอกจากนี้ต้าหลียังอาศัยแหล่งที่มาของเงินเทพเซียนจากช่องทางลับบางอย่าง รวมไปถึงอาศัยการเชื่อเงินผู้อื่นเพื่อให้หลวนจวี้จื่อและอาจารย์กลไกสำนักโม่สร้างเรือข้ามฟาก ‘ภูผา’ ขึ้นมาถึงแปดลำเต็มๆ

สามารถพูดได้ว่า ขอแค่การลงใต้ของต้าหลีถูกขัดขวางไม่ราบรื่น ต้องชะงักอยู่ ณ สถานที่ใดสถานที่หนึ่ง ขอแค่ถูกถ่วงเวลาไว้สักสามปีห้าปี ต่อให้พลังการต่อสู้ของกองทัพม้าเหล็กต้าหลีจะได้รับความเสียหายไม่มาก สกุลซ่งต้าหลีเองก็คงประคองตัวต่อไปไม่ไหวแล้ว

เพราะฉะนั้นการที่ราชวงศ์จูอิ๋งยอมให้พินาศวอดวายกันไปทั้งสองฝ่าย ถึงอย่างไรก็ต้องถ่วงเวลาม้าเหล็กต้าหลีไว้ให้ได้ ย่อมไม่ใช่การกระทำที่ใช้แต่อารมณ์อย่างแน่นอน ส่วนการที่พวกแคว้นใต้อาณัติรอบด้านพยายามต้านทานไว้สุดชีวิต ใช้กองกำลังทหารหลายหมื่นหลายแสนนายไปเผาผลาญกำลังของม้าเหล็กต้าหลี แน่นอนว่าเบื้องหลังก็ย่อมมียอดฝีมือคอยชี้แนะและผลักดัน ไม่อย่างนั้นภายใต้สถานการณ์ใหญ่เช่นนี้ ทั้งๆ ที่เห็นได้ชัดว่าพลังการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายแตกต่างกันมาก ถูกกำหนดมาแน่นอนแล้วว่าบนสนามรบจะต้องแพ้อย่างอนาถ ใครเล่าจะยังยินดีพาตัวไปตายเปล่า?

ในอดีตผู้ฝึกตนเฒ่าของสำนักโม่ผู้นี้อคติกับชุยฉานอย่างมาก มักรู้สึกว่าชื่อเสียงอันยิ่งใหญ่กับความเป็นจริงของเขาไม่สอดคล้องกันอย่างยิ่ง ลวงโลกเกินไป เคยเล่นหมากล้อมเมฆสีรุ้งกับเจ้านครจักรพรรดิขาวแล้วอย่างไร? ในอดีตเคยเป็นลูกศิษย์ของเหวินเซิ่งแล้วอย่างไร มีตบะขอบเขตสิบสองแล้วอย่างไร ตัวคนเดียวโดดเดี่ยว ทั้งไม่มีภูมิหลัง แล้วก็ไม่มีที่พึ่ง แล้วนับประสาอะไรกับที่อยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง เขาชุยฉานก็ยังคงไม่ถือว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มคนเล็กๆ ที่อยู่ยอดบนสุด ถูกขับออกจากสายบุ๋นของเหวินเซิ่ง ม้วนเสื่อหอบผ้ากลับมายังบ้านเกิดอย่างแจกันสมบัติทวีปแล้วจะสร้างวีรกรรมยิ่งใหญ่อะไรได้สักเท่าไหร่?

แต่เมื่อสวี่รั่วโน้มน้าวจวี้จื่อ (จวี้จื่อคือคำเรียกบุคคลที่ยิ่งใหญ่ ผู้ที่ประสบความสำเร็จ) ของสำนักโม่สายหลักในทุกวันนี้ได้สำเร็จ จนพวกเขามาเยือนสถานที่ป่าเถื่อนกันดารอย่างแจกันสมบัติทวีปนี้จริงๆ ถึงจะเริ่มค่อยๆ ตระหนักได้ถึงความร้ายกาจของชุยฉาน

เมื่อปีก่อนกองทัพม้าเหล็กต้าหลีถูกราชวงศ์จูอิ๋งขัดขวางไว้ที่ด่านอันตรายนอกประตูแคว้น คงจะเพื่อปลอบใจผู้คน ชุยฉานที่ไม่ค่อยชอบปรากฎตัวท่ามกลางสถานการณ์ใหญ่ที่พรั่งพรูสู่ทิศใต้ของต้าหลีถึงได้เรียกพวกตาแก่บางคนมานั่งลง แล้วพูดคุยเปิดอกกันอย่างจริงจัง ไม่ใช่พูดถึงเรื่องที่ว่าต้าหลีจะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน รวมไปถึงหลังจากประสบความสำเร็จแล้วจะแบ่งผลประโยชน์กันอย่างไร ชุยฉานแค่พูดถึงขั้นตอนแต่ละก้าวย่างที่กองทัพม้าเหล็กต้าหลีจะเดินไปภายในสิบปีต่อจากนี้ ซึ่งแทบจะละเอียดยิบย่อยจนถึงขั้นที่ว่าแต่ละปีกองทัพม้าเหล็กสามกองของต้าหลีจะถูกมอบไว้ในมือใคร จะเปิดศึกในสถานที่ใด สถานการณ์ศึกของสองฝ่ายเป็นอย่างไร รวมไปถึงสภาพการณ์ของท้องพระคลังแคว้นต้าหลีในแต่ละช่วงเวลา ฯลฯ ล้วนเป็น ‘เรื่องเล็ก’ ที่ละเอียดจนละเอียดไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว จากนั้นก็พูดถึงท่าทีของกองกำลังบนยอดเขาในแจกันสมบัติทวีปอย่างสำนักศึกษากวานหู ภูเขาเจินอู่และศาลลมหิมะที่จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไรในช่วงเวลาที่แตกต่างกัน รวมไปถึงฉีเจินแห่งสำนักโองการเทพจะเข้ามาร่วมสถานการณ์ตอนไหน ในที่สุดเขาจะยินดีพบทูตของต้าหลี ภายหลังแม้แต่การที่ขี้เถ้ามอดติดไฟอีกครั้งบนอาณาเขตแห่งใหม่ของต้าหลี รวมไปถึงการโต้ตอบกันกลับไปกลับมาของฐานทัพต้าหลี การจุดชนวนจะเกิดขึ้นด้วยสาเหตุใด แล้วควรจะจัดการอย่างไร ผลได้ผลเสียของต้าหลีระหว่างนี้ เขาล้วนไล่อธิบายไปทีละอย่าง

ถึงท้ายที่สุดชุยฉานบอกให้ทุกคนรอคอยดู จะเชื่อหรือไม่ จะยอมละทิ้งกลางคัน ถอยออกไปจากสถานการณ์ หรือจะเพิ่มเดิมพัน ล้วนไม่ต้องรีบร้อน แค่นั่งดูไฟชายฝั่งอย่างเดียวก็พอ ดูสิว่ากองทัพม้าเหล็กต้าหลีจะสามารถยึดครองราชวงศ์จูอิ๋งตามขั้นตอนที่เขาชุยฉานบอกไว้ได้หรือไม่

และเรื่องจริงก็พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า ชุยฉานคิดถูก

จนกระทั่งถึงบัดนั้น ผู้ฝึกตนเฒ่าผู้นี้ถึงจำต้องยอมรับว่า ชุยฉานเล่นหมากล้อมเก่งมากจริงๆ

แต่ผู้ฝึกตนเฒ่าก็เป็นคนดื้อดึงคนหนึ่ง เขาไม่ยอมเชื่อง่ายๆ จึงไปถามชุยฉานว่าทำได้อย่างไรกันแน่ เขาไม่เชื่อสักนิดว่าใต้หล้าจะมีใครที่ทำนายเหตุการณ์ได้ล่วงหน้าดุจเทพและมีญาณหยั่งรู้อนาคต ถึงอย่างไรการช่วงชิงชัยชนะของหนึ่งแคว้นก็ไม่ใช่หมากแค่ไม่กี่ตัวที่พวกนักเล่นวางบนกระดานจริงๆ

ชุยฉานจึงพาเขาไปยังห้องเก็บเอกสารคดีความของต้าหลีที่มีการป้องกันอย่างแน่นหนา ห้องลับนั้นสร้างไว้ที่ชานเมืองของเมืองหลวง

คนเกือบห้าร้อยคน ครึ่งหนึ่งในนั้นคือผู้ฝึกตนที่ต่างก็กำลังทำเรื่องหนึ่ง นั่นก็คือเก็บรวบรวมรายงานและข้อมูล รวมไปถึงการรับส่งข่าวสารระหว่างสายลับและนักรบเดนตายของแต่ละพื้นที่ในหนึ่งแคว้น

การจัดวางกองกำลังทหาร การกระจายตัวของกลุ่มอิทธิพลบนภูเขา ข้อมูลส่วนตัวของขุนนางบุ๋นบู๊คนสำคัญของราชวงศ์และแคว้นใต้อาณัติทั้งหมดในแจกันสมบัติทวีป กึ่งกลางของภูเขาสูงลูกหนึ่งถูกเจาะจนโล่งว่างเพื่อเอาไว้เก็บเอกสารที่สะสมมานานเป็นร้อยปีเหล่านี้

นี่ยังไม่ถือเป็นเรื่องที่ทำให้ผู้ฝึกตนเฒ่าตกตะลึงมากที่สุด เรื่องที่ทำให้ผู้ฝึกตนสำนักโม่หวาดกลัวอย่างแท้จริงยังมี ‘เรื่องเล็ก’ อีกเรื่องหนึ่งที่ถูกมองข้ามได้ง่ายมาก

ตอนนั้นราชครูต้าหลีที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อพาเขาไปเยี่ยมชมพื้นที่ต้องห้ามของต้าหลีที่มีชื่อว่า ‘ภูเขาตำรา’ แห่งนั้น ผู้คนสัญจรไปมาที่พบเจอตลอดทางล้วนเหมือนกันอย่างไม่มีข้อยกเว้น นั่นคือฝีเท้าเร่งร้อน พอเห็นราชครูของแคว้นก็เพียงแค่หลีกทางให้ จากนั้นก็เดินผ่านไป ไม่มีการคุกเข่าคารวะ ไม่มีการทักทายปราศรัยตามมารยาท ต่อให้ราชครูเอ่ยถามก็แค่ตอบเท่าที่ถาม สองฝ่ายพูดคุยกันอย่างกระชับเรียบง่าย จากนั้นก็แยกย้ายกันไป

ในฐานะยอดฝีมือของสำนักโม่ คือผู้โดดเด่นมีความสามารถในกลุ่มนักศาสตร์แห่งกลไกล ตอนนั้นความรู้สึกของผู้ฝึกตนเฒ่าก็คือ เมื่อเขาคืนสติกลับมาแล้วกวาดตามองไปรอบด้านอีกครั้ง เมื่อตนมาอยู่ท่ามกลาง ‘ภูเขาตำรา’ แห่งนี้แล้ว ก็เหมือนตกอยู่ท่ามกลางกลไกที่ใหญ่โตและซับซ้อนแห่งหนึ่งที่เกริกก้องสั่นสะเทือนคนโบราณและโชติช่วงรุ่งโรจน์มาจนยุคปัจจุบันซึ่งเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความแม่นยำ ถูกต้องและสอดผสานเป็นหนึ่งในทุกจุดทุกมุม

การลงภูเขามา ‘ประคองมังกร’ อย่างยิ่งใหญ่เอิกเกริกของผู้ฝึกตนในประวัติศาสตร์ เมื่อเทียบกับการกระทำของซิ่วหู่ผู้นี้แล้ว ก็เหมือนกับการเล่นพ่อแม่ลูกของเด็กๆ ที่แค่พอรู้สึกประสบความสำเร็จก็ดีใจมีความสุขกันมากแล้ว

หลังจากที่ออกจากทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางที่เต็มไปด้วยกลุ่มดวงดาวที่ทอประกาย ลูกศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่งที่ชื่อเสียงฉาวโฉ่ก็เงียบหายไปนานถึงหนึ่งร้อยปีเต็ม

พูดไปแล้วก็น่าขัน ในขณะที่ ‘ภูผา’ ทั้งแปดลำค่อยๆ ลอยขึ้นกลางอากาศ และกองทัพม้าเหล็กต้าหลีเคลื่อนพลลงใต้อย่างเป็นทางการ แทบไม่มีใครสนใจเลยว่าชุยฉานกำลังทำอะไรอยู่ในแจกันสมบัติทวีป

……

เฉินผิงอันกำลังเรียนรู้ภาษากลางของอุตรกุรุทวีปไปตลอดทาง

ในข้อนี้อุตรกุรุทวีปดีกว่าแจกันสมบัติทวีปและใบถงทวีป เพราะภาษากลางเป็นภาษาที่ใช้กันทั้งทวีป ภาษาราชการและภาษาท้องถิ่นของแต่ละแคว้นก็ยังมีอยู่ แต่ไม่ได้ซับซ้อนเหมือนอีกสองทวีป อีกทั้งเมื่อออกมาอยู่ข้างนอก ผู้คนก็ล้วนเคยชินที่จะใช้ภาษากลางในการสื่อสาร นี่ช่วยลดความยุ่งยากให้เฉินผิงอันได้มาก ตอนอยู่ที่ภูเขาห้อยหัว เฉินผิงอันเคยเจอกับความยากลำบากมาก่อน เพราะสำหรับผู้ฝึกตนของทวีปอื่นแล้ว ภาษากลางของแจกันสมบัติทวีป อย่าว่าแต่พวกเขาจะฟังไม่เข้าใจเลย ต่อให้ฟังเข้าใจก็ยังทำหน้าดูถูก

เรือข้ามฟากของสำนักพีหมากำลังจะลดระดับลง เฉินผิงอันเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้วก็ลงมาที่ระเบียงของชั้นหนึ่ง กองทัพมัลละที่ลากเรือให้บินทะยานอยู่กลางอากาศเต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ ราวกับว่าไม่ใช่วัตถุหยินเท่านั้น แต่ยังเป็นวัตถุอย่างหนึ่งที่อยู่กึ่งกลางระหว่างภูตผีวัตถุหยินกับยันต์หุ่นเชิด

ใต้ฝ่าเท้าก็คืออาณาเขตของชายหาดโครงกระดูกอันกว้างขวาง แล้วก็ไม่ได้เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายน่าสะพรึงกลัวอย่างที่เฉินผิงอันจินตนาการเอาไว้ กลับกันยังมีประกายแสงหลากสีพุ่งตรงสู่ชั้นเมฆแล้วล้อมวนไม่สลายหายไปไหน ประหนึ่งสัญลักษณ์ของความมงคล

รัศมีพันลี้รอบชายหาดโครงกระดูกส่วนใหญ่ล้วนเป็นชายหาดราบเรียบ น้อยนักที่จะมียอดเขาสูงใหญ่หรือเทือกเขาสลับซับซ้อนตามแบบที่ตั้งของตระกูลเซียนที่มีอักษรจงในชื่อทั่วไป

อาณาเขตของชายหาดโครงกระดูกมีเพียงลำคลองใหญ่สายเดียวที่ทะลุจากใต้ไปเหนือ ไม่ได้เลื้อยลดคดเคี้ยวเหมือนแม่น้ำลำคลองทั่วไป แต่เหมือนถูกกระบี่ฟันผ่าลงมาจึงเป็นเส้นตรงดิ่ง อีกทั้งแทบจะไม่มีลำน้ำแยกสาขาออกไป คาดว่านี่ก็น่าจะมีความลี้ลับมหัศจรรย์ซ่อนอยู่เช่นกัน

ร้านค้าตระกูลเซียนที่มีเพียงร้านเดียวบนเรือข้ามฟากชายหาดโครงกระดูกมีของขายเยอะมาก สมบัติพิทักษ์ร้านคือสมบัติอาคมที่ระดับขั้นสูงยิ่งสองชิ้น ล้วนเป็นกระบี่ตกทอดของเซียนยุคบรรพกาลที่ได้รับความเสียหาย หากไม่เป็นเพราะคมกระบี่ทั้งสองด้านม้วนงอค่อนข้างมาก อีกทั้งยังเสียหายไปถึงรากฐาน เป็นเหตุให้กระบี่โบราณทั้งสองเล่มสูญเสียโอกาสที่จะถูกซ่อมแซมให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม มิฉะนั้นแล้วก็น่าจะกลายมาเป็นอาวุธกึ่งเซียนที่สมชื่อชิ้นหนึ่ง ส่วนข้อที่ทำให้ผู้คนชื่นชมมากที่สุดนั้นอยู่ที่ว่ากระบี่บินทั้งสองเล่มคือวัตถุที่บนภูเขาเรียกขานกันว่า ‘คู่บำเพ็ญเพียร’ เล่มหนึ่งมีชื่อว่า ‘อวี่ลั่ว’ อีกเล่มหนึ่งชื่อว่า ‘เติงหมิง’ เล่าลือกันว่าเป็นกระบี่ประจำกายของคู่รักเซียนกระบี่คู่หนึ่งของอุตรกุรุทวีป

เนื่องจากเรือข้ามฟากไม่ขายแยก ราคาของกระบี่อาคมสองเล่มจึงอยู่ที่หนึ่งร้อยเหรียญเงินฝนธัญพืช

การค้าขายครั้งนี้ยังมีกลเม็ดเด็ดพรายอย่างหนึ่ง หากผู้ฝึกกระบี่เซียนดินซื้อจะได้ลดแปดส่วน (หมายถึงยี่สิบเปอร์เซ็น) แต่หากเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนลงมือจะลดได้หกส่วน (หมายถึงสี่สิบเปอร์เซ็น)

เพียงแต่ว่าสำหรับเซียนดินแล้ว ราคานี้ค่อนข้างจะแพงไปสักหน่อย สำหรับเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนก็ยิ่งเป็นดั่งซี่โครงไก่

เฉินผิงอันเองก็แค่มาดูเสียให้สมใจอยาก กระเป๋าเขาฟีบแบนนี่นะ ต่อให้ในมือจะมีเงิน แต่เฉินผิงอันก็ไม่คิดจะเป็นคนฟุ่มเฟือยเช่นนั้น

แต่เฉินผิงอันก็ยังซื้อของชิ้นเล็กๆ ที่ราคาถูกและน่ามองสองสามชิ้นมาจากร้านที่แขวนป้ายคำว่า ‘ซวีเฮิ่น’ นี้ ชิ้นหนึ่งคือสมบัติวิเศษประเภทบุปผาในคันฉ่องจันทราในสายน้ำที่เชื่อมโยงอยู่กับภูเขาตี่ลี่ เป็นที่ล้างพู่กันทำมาจากกระเบื้องเคลือบหนึ่งชิ้น ลักษณะคล้ายคลึงกับถ้วยน้ำของเฉินหลิงจวินในปีนั้น เพราะตำราเทพเซียนของภูเขาห้อยหัวเล่มนั้นได้พูดถึงภูเขาตี่ลี่เป็นพิเศษ สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ประลองยุทธที่มีไว้ให้ผู้ฝึกกระบี่ประชันกระบี่โดยเฉพาะ ไม่ว่าจะมีบุญคุณความแค้นใด ขอแค่นัดหมายว่าจะมาคลี่คลายที่ภูเขาตี่ลี่ ทั้งสองฝ่ายก็ไม่จำเป็นต้องลงนามในสัญญาเป็นตายเลย เมื่อถึงภูเขาตี่ลี่ก็สามารถต่อสู้กันได้เลย สู้กันจนกว่าจะตายไปข้างจึงจะหยุด ตลอดพันปีที่ผ่านมาแทบไม่เคยมีกรณีพิเศษมาก่อน

นอกจากนี้ก็ยังมีแท่นฝนหมึกสลักบทกวีลักษณะโบราณเรียบง่ายชิ้นหนึ่ง และหมึกอักษรสือกู่ที่ฮ่องเต้องค์สุดท้ายของราชวงศ์หนึ่งซึ่งล่มสลายไปแล้วใช้งานหนึ่งตลับ รวมทั้งหมดเป็นเงินสิบแท่ง

รอจนเฉินผิงอันจะคิดเงินกับทางร้าน เถ้าแก่ร้านก็ปรากฏตัวด้วยตัวเอง ยิ้มกล่าวว่าเทพใหญ่เว่ยแห่งภูเขาพีอวิ๋นได้บอกแล้วว่า ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายใดในร้าน ‘ซวีเฮิ่น’ แห่งนี้ก็ล้วนให้บันทึกลงในบัญชีของภูเขาพีอวิ๋น

เฉินผิงอันเองก็ไม่ได้เกรงใจ ถามกลับไปหนึ่งประโยคว่า ถ้าหากข้าอยากจะซื้อเพิ่มอีกสักหน่อย จะได้หรือไม่?

เถ้าร้านส่ายหน้ายิ้ม บอกว่าเทพใหญ่ป้อบอกไว้แล้วว่า หลังจากที่เถ้าแก่อย่างเขาปรากฏตัว สัญญาของทั้งสองฝ่ายก็ถือว่าสิ้นสุดลงแล้ว

เฉินผิงอันจึงยิ้มพลางเอ่ยขอบคุณเถ้าแก่ หลังจากพูดคุยกันอยู่ครู่หนึ่ง เฉินผิงอันถึงเพิ่งรู้ว่าแม้เถ้าแก่จะเปิดร้านอยู่บนเรือข้ามฟากสำนักพีหมา แต่กลับไม่ใช่ผู้ฝึกตนของสำนักพีหมา การคัดเลือกลูกศิษย์ของสำนักพีหมานั้นระมัดระวังรอบคอบอย่างยิ่ง ชื่อที่อยู่ในทำเนียบวงศ์ตระกูลของศาลบรรพจารย์แต่ละชื่อล้วนล้ำค่าไม่ต่างกัน อีกทั้งปีนั้นเมื่อบรรพบุรุษผู้บุกเบิกขุนเขาย้ายมาจากแผ่นดินกลางก็ได้กำหนดจำนวน ‘ลูกศิษย์สืบทอดฝ่ายในสามสิบหกหก ลูกศิษย์ฝ่ายนอกหนึ่งร้อยแปด’ เอาไว้ ดังนั้นคนส่วนใหญ่ของชายหาดโครงกระดูกจึงเป็นคนต่างถิ่นอย่างเขา

เถ้าแก่ผู้เฒ่าเป็นคนคุยเก่ง เขาแนะนำขนบธรรมเนียมประจำท้องถิ่นของชายหาดโครงกระดูกให้เฉินผิงอันฟังมากมาย รวมไปถึงข้อห้ามบางส่วนของบนภูเขา

คนทั้งคู่พูดคุยกันอยู่ที่ราวรั้วของเรืออย่างถูกคอ ผลกลับกลายเป็นว่าพอเฉินผิงอันหันหน้าไปมองก็เห็นว่าสุดปลายม่านฟ้าที่สายตามองเห็นมีแสงกระบี่สองเส้นตัดสลับกัน จากนั้นก็ระเบิดเป็นกลุ่มแสงและสายฟ้ากลุ่มใหญ่

เถ้าแก่ผู้เฒ่าเห็นมาจนชินตาแล้ว จึงยิ้มกล่าวว่า “เป็นเรื่องปกติ ก็แค่เซียนกระบี่ของที่นี่กำลังยืดเส้นยืดสายกันเท่านั้น หากคุณชายเฉินเห็นว่าพวกเขารักษาระยะห่างให้อยู่ห่างจากแถบศูนย์กลางของชายหาดโครงกระดูกก็จะเข้าใจเอง ไม่อย่างนั้นหากทั้งสองฝ่ายตีกันจนเกิดโทสะขึ้นมาจริงๆ ไหนเลยจะสนว่าเจ้าคือสำนักพีหมาแห่งชายหาดโครงกระดูก ต่อให้บินไปบินมาอยู่เหนือศาลบรรพจารย์ก็ยังไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาด อย่างมากก็ถูกผู้ฝึกตนของสำนักพีหมาลงมือจัดการเท่านั้น กระอักเลือดสามเซิง (หน่วยตวงวัดระบบลิตร) จะนับเป็นอะไรได้ หากมีความสามารถมากพอ สามฝ่ายตีกันมั่วซั่วสักหนึ่งคำรบ นั่นต่างหากถึงจะเรียกว่าสาแก่ใจ”

เฉินผิงอันไร้คำพูดตอบโต้

อุตรกุรุทวีปแห่งนี้ช่างเป็นสถานที่ที่…ดีจริงๆ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version