Skip to content

Sword of Coming 66

บทที่ 66 เงยหน้า

ซ่งจี๋ซินยืนอยู่บนยอดเขา สายตามองเห็นได้กว้างไกล หลายปีนี้อาศัยอยู่ที่ตรอกหนีผิง มองไปมองมาก็เห็นแต่ผนังดินเหลือง เด็กหนุ่มชอบความรู้สึกในเวลานี้ ยืนบนที่สูงมองไปไกล ทุกอย่างล้วนอยู่ใต้ฝ่าเท้าของตัวเอง

ซ่งจ่างจิ้งกระชับเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกราคาแพงแต่เก่าคร่ำคร่าตัวนั้น วันนี้อ๋องเจ้าแคว้นมีอารมณ์อยากพูดคุยอย่างน่าประหลาด เขาชี้มือไปยังภูเขาสูงที่อยู่ทางฝั่งทิศตะวันตก “ภูเขาลูกนั้นมีชื่อว่าเขาพีอวิ๋น วันหน้ามีความเป็นไปได้ที่จะถูกต้าหลีแต่งตั้งให้เป็นหนึ่งในสิบภูเขาหลักนอกเหนือจากอู่ชิวห้าขุนเขา ตามกฎเกณฑ์เก่าแก่ที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ จะต้องมีเทพภูเขาท่านหนึ่งที่ได้เข้าไปอยู่ในตำแหน่งต้นๆ ของลำดับวงศ์ตระกูล ได้สร้างเทวรูปทองคำ รับควันธูปจากเหล่ามนุษย์อย่างเปิดเผย ช่วยต้าหลีสยบโชคชะตาของแผ่นดิน ไม่ให้ไหลหายไปยังสถานที่อื่น หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นการตัดชุดแต่งงานให้แก่แคว้นใกล้เคียง (ตัดชุดแต่งงานให้คนอื่นเปรียบเปรยว่าตัวเองเหนื่อย แต่คนอื่นได้ผลประโยชน์) ชาวบ้านในเมืองเล็กต้องยืนอยู่บนยอดเขาพีอวิ๋นเท่านั้นถึงจะสามารถมองเห็นภูเขาหลงโถว (หัวมังกร) ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของพวกเราลูกนี้ได้ เพราะภูเขาหลงโถวได้รับการปกป้องจากค่ายกลใหญ่ ดวงตาของคนธรรมดาไม่อาจมองเห็นสภาพของที่แห่งนี้ นี่ก็ถือเป็นโชควาสนาอย่างหนึ่ง จากบันทึกในเอกสารลับของจวนผู้ตรวจการ ในประวัติศาสตร์มีคนอยู่หลายคนที่เนื่องจากได้เดินขึ้นสู่ยอดภูเขาหลงโถวถึงสามารถเดินออกไปจากฟ้าดินแห่งนี้ได้สำเร็จ

ซ่งจี๋ซินเอ่ยถาม “แล้วคนเหล่านั้นต่างก็ประสบความสำเร็จใช่หรือเปล่า? เป็นคนเหนือคนในต้าหลีของพวกเราหรือไม่ก็ในแจกันสมบัติทวีปบูรพา?”

ซ่งจ่างจิ้งเอ่ยกลั้วยิ้ม “มีสองคนที่ใช้ชีวิตอยู่ในต้าหลีของพวกเราได้ไม่เลว เว้นระยะจากกันแค่สามสิบปี หนึ่งบุ๋นหนึ่งบู๊ ถูกคนรุ่นหลังขนานนามให้เป็นหยกคู่แห่งต้าหลี คนที่เป็นฝ่ายบุ๋นพอตายไปถูกตั้งบรรดาศักดิ์ว่าเหวินเจิ้ง (ผู้มีทั้งคุณธรรมและปรีชาสามารถ) ส่วนคนที่เป็นฝ่ายบู๊สามารถช่วงชิงยศศักดิ์ตำแหน่งไม่เล็กของแคว้นให้สืบทอดกันไปชั่วลูกชั่วหลาน แม้ข้าผู้เป็นอ๋องจะมีทัศนคติที่ย่ำแย่อย่างถึงที่สุดต่อลูกหลานของคนทั้งสอง แต่บุญจากควันธูปที่สองตระกูลกับต้าหลีผูกร่วมกันมา ต่อให้กลั้นใจ ข้าผู้เป็นอ๋องก็ต้องยอมรับ เพราะอย่างไรซะหากในปีนั้นไม่ใช่พวกเขาร่วมมือกันหยุดยั้งมรสุม สกุลซ่งแห่งต้าหลีก็ยากจะผ่านด่านหายนะครั้งนั้นมาได้”

ซ่งจี๋ซินสัมผัสได้ถึงลมเย็นๆ ที่พัดโชยมาจากยอดเขา พลันบังเกิดความรู้สึกเหมือนจะได้ติดปีกบิน จึงถามว่า “แล้วคนอื่นๆ ล่ะ?”

ซ่งจี๋ซินพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ หนึ่งครั้ง อารมณ์ยิ่งผ่อนคลาย สยบมหาสมุทรลมปราณในร่างที่ทำท่าจะทะยานขึ้นสูงลงไป เหมือนใช้มือข้างหนึ่งฝืนกดดวงอาทิตย์ที่กำลังจะลอยตัวขึ้นสูงเอาไว้ ซ่งจ่างจิ้งในเวลานี้มั่นใจอย่างยิ่งยวดว่าขอแค่ตนก้าวข้ามประตูใหญ่บานนั้นไปก็จะสามารถกระโดดไปยังขอบเขตที่สิบ ถูกขนานนามว่าเป็นขอบเขตที่สิบปลายทางแห่งวิถีการต่อสู้ได้ทันที!

ผู้ฝึกลมปราณทั้งหมดที่อยู่ใต้ห้าขอบเขตบนลงไป เมื่อเผชิญหน้ากับปรมาจารย์ขอบเขตปลายทางอันเป็นยอดสูงสุดแห่งวิถีวรยุทธก็แทบจะไม่มีโอกาสเอาชนะได้เลย มีแต่ต้องเผชิญกับผลลัพธ์ที่ต้องถูกสังหารบดขยี้

ซ่งจ่างจิ้งผ่อนอารมณ์ของตัวเองให้สงบลง ก่อนบอกความจริงที่ไม่อ่อนโยนนักแก่เด็กหนุ่ม “ตายกันหมดแล้ว ข้าผู้เป็นอ๋องเคยสังหารเองกับมือคนหนึ่ง ตอนนั้นข้าผู้เป็นอ๋องยังเป็นแค่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตเจ็ด คนผู้นั้นเป็นถึงผู้ฝึกกระบี่ที่ค่อนข้างรับมือได้ยาก อีกทั้งชีวิตของเขายังกำลังเดินไปสู่จุดสูงสุด ครั้งนั้นข้าผู้เป็นอ๋องไล่ฆ่าอยู่กับเขา ตระเวนไปเป็นระยะทางเจ็ดแปดร้อยลี้ สุดท้ายข้าผู้เป็นอ๋องก็ไล่ตามเขาไปทันที่สถานที่เล็กๆ แห่งหนึ่งชื่อว่าด่านป๋ายหู (ด่านจิ้งจอกขาว) ซึ่งอยู่ทางฝั่งทิศใต้ของต้าหลี หลังจากทำลายอาวุธอาคมทั้งหมดและกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่อยู่ข้างกายเขาแล้ว ข้าผู้เป็นอ๋องถึงหักคอเขา ช่วยไม่ได้ ในเมื่อไม่ยอมให้ต้าหลีใช้งานก็มีแต่ต้องพบจุดจบเช่นนี้ แต่ไหนแต่ไรมาตระกูลซ่งปฏิบัติต่อผู้ฝึกลมปราณเป็นอย่างดีก็จริง แต่ก่อนที่จะเป็นอย่างนั้น ผู้ฝึกลมปราณเหล่านี้ล้วนจำเป็นต้องถวายชีวิตแก่ตระกูลซง ต่อให้เป็นเพียงแค่การเสแสร้งก็ตามที”

ช่วงหลังของการไล่ฆ่าในครั้งนั้น ทำให้ซ่งจ่างจิ้งเลื่อนสู่ขอบเขตที่แปด

ซ่งจี๋ซินไม่สนใจประสบการณ์อันน่าอัศจรรย์ของท่านอาอ๋องเจ้าแคว้นของตนเท่าใดนัก เพียงถามอย่างใคร่รู้ว่า “เป็นเพราะราชวงศ์อื่นให้ราคาสูงกว่า? ถึงได้ทำให้พวกเขายอมทรยศต่อต้าหลีโดยไม่เสียดายสิ่งใด?”

ซ่งจ่างจิ้งเอ่ยยิ้มๆ “ก่อนหน้าผู้ฝึกกระบี่คนนั้น คนส่วนใหญ่ล้วนเป็นเช่นนี้ พื้นที่รกร้างห่างไกลของต้าหลี ชาวบ้านท้องถิ่นนิสัยดุดัน เดิมทีเราก็เป็นแคว้นที่เลื่อมใสด้านการต่อสู้อยู่แล้ว มีผู้มากพรสวรรค์ด้านวรยุทธเผยตัวจึงไม่มีค่าแม้แต่นิดเดียว กลับเป็นผู้ฝึกลมปราณที่สุภาพอ่อนแอต่างหากที่หาได้ยากยิ่งกว่าขนหงส์เขากิเลน ดังนั้นทุกครั้งที่มีคนเช่นนี้ปรากฏตัว อดีตจักรพรรดิต้าหลีแต่ละคนจึงแทบจะยกพวกเขาขึ้นหิ้งบูชาดุจพระโพธิสัตว์ โอรสสวรรค์ในตอนนี้ อืม ซึ่งก็คือเสด็จพี่ท่านนั้น เขาเองก็ไม่ใช่ข้อยกเว้นเช่นกัน มีครั้งหนึ่งผู้ฝึกกระบี่คนนั้นเข้าวังไปพบเสด็จพี่โดยพกกระบี่ไปด้วย ท่าทางของเขาโอหังชวนเตะยิ่งนัก ตอนนั้นเขาโชคดีเจอสมบัติคุ้มกันกายที่เหมาะมือชิ้นหนึ่งพอดี ไม่ว่าจะเป็นคนในราชสำนักหรือบรรดาพวกชาวบ้าน ตลอดบนยันล่าง เขาก็ยังเป็นดั่งดวงอาทิตย์กลางนภา ดังนั้นพอพบเจอกับข้าผู้เป็นอ๋องจึงไม่แม้แต่จะคิดทักทาย”

ซ่งจี๋ซินเอ่ยถาม “แล้วยังไงต่อ?”

ซ่งจ่างจิ้งใช้สายตาเหมือนมองคนปัญญาอ่อนเหลือบมองหลานชายของตัวเอง “จากนั้นเขาก็ตายไม่ใช่หรือไง?”

ใบหน้าของซ่งจี๋ซินเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ “ท่านอา เป็นเพราะว่าเขาไม่ทักทายท่าน ท่านเลยลงมือสังหารผู้ฝึกตนยิ่งใหญ่คนหนึ่งที่มีความสามารถมากพอจะเป็นเสาหลักของแคว้นได้อย่างนั้นหรือ?”

ซ่งจ่างจิ้งกล่าวอย่างเฉยชา “คนบางคนจะปล่อยให้เขาทำตามใจตัวเองไม่ได้”

สายตาซ่งจี๋ซินฉายแววกังขาคล้ายคิดไม่ตกว่าเชื้อพระวงศ์ต้าหลีที่หยิ่งผยอง พยศดื้อดึง ไม่สนใจสถานการณ์โดยรวมมีชีวิตอยู่รอดจนมาถึงทุกวันนี้ได้อย่างไร

ซ่งจางจิ้งเอ่ยยิ้มๆ “มีเรื่องหนึ่งที่เจ้าอาจไม่รู้ นั่นก็คือทั่วทั้งแจกันสมบัติทวีปบูรพา ขอแค่เป็นผู้ฝึกลมปราณของราชสำนักแห่งหนึ่ง ไม่ว่าจะมีภูมิหลังหรือมีที่พึ่งอย่างไร ก็ล้วนจำเป็นต้องถวายชีวิตรับใช้องค์จักรพรรดิที่สมรภูมิรบ ลงสนามต่อสู้เข่นฆ่าสามปี หากคุณความชอบด้านการศึกไม่มากพอก็ต้องอดอยากหิวโหยอยู่ที่ชายแดนต่อไป จนกระทั่งสั่งสมความดีมากพอแล้วถึงจะกลับบ้านไปเสวยสุขได้”

ซ่งจี๋ซินยิ่งสงสัย “ท่านอาไม่ได้บอกว่าต้าหลีเลื่อมใสผู้ฝึกวรยุทธมากที่สุดหรอกหรือ? ทำไมถึงมีกฎนี้ขึ้นมาได้? หากลองมองอีกมุมหนึ่ง ต้าหลีไม่กลัวว่าคนพวกนี้จะตายก่อนวัยอันควรอยู่ในสนามรบหรือไร?”

ซ่งจ่างจิ้งหัวเราะร่า “กฎเกณฑ์ที่ไม่ได้เขียนเป็นลายลักษณ์อักษรข้อนี้ถูกตั้งขึ้นหลังจากข้าผู้เป็นอ๋องได้ครอบครองอำนาจทางการทหาร”

ซ่งจี๋ซินกระจ่างแจ้งในบัดดล “เป็นเพราะผู้ฝึกกระบี่คนนั้นไม่ยอมไปสนามรบ จึงเป็นการหักหน้าท่าน? ทำให้ผู้ฝึกลมปราณคนอื่นๆ เอาเยี่ยงอย่าง เท่ากับทำลายกำลังใจของทหารและกำลังใจของประชาชนต้าหลี? ดังนั้นเมื่อเผชิญกับอันตรายทั้งสองทาง จึงต้องเลือกทางที่อันตรายน้อยกว่า?”

ซ่งจ่างจิ้งส่ายหน้า “ตอนที่ผู้ฝึกกระบี่คนนั้นยังหนุ่มเคยเข้าร่วมกองทัพที่ชายแดน ในเวลาสั้นๆ เพียงปีเดียวก็สะสมคุณความชอบในการรบได้มากพอ มีชื่อเสียงไม่เลวอยู่ในต้าหลี”

ซ่งจี๋ซินอับอายจนพานมาเป็นความโกรธ “แล้วเพราะเหตุใดกันแน่?! หรือเพราะมีเรื่องชู้สาวหึงหวงกับท่าน หรือทำผิดกฎของสกุลซ่ง หรือว่าแอบสมคบกับศัตรูขายชาติ?”

คำตอบของซ่งจ่างจิ้งนั้นง่ายมาก “แม้จะบอกว่าผู้ฝึกลมปราณกับผู้ฝึกวรยุทธ์คือคนที่เดินกันคนละเส้นทาง ฝ่ายแรกนับว่าเป็น…อืม หากใช้คำพูดของซิ่วหู่ผู้นั้นก็คือ นับเป็นกิ่งทองใบหยก[1]มากกว่า ผู้ฝึกวรยุทธ์ขอบเขตที่สิบซึ่งต่อให้จะเดินไปสุดปลายทาง แต่ผู้ฝึกลมปราณกลับยังสามารถปีนป่ายขึ้นไปยังห้าขอบเขตบน ความต่างระหว่างทั้งสองฝ่ายมีอยู่ไม่น้อย หากนำยอดฝีมือของคนสองกลุ่มนี้ออกมาประชันกัน ผู้ฝึกลมปราณห้าขอบเขตบนก็เหมือนยืนอยู่บนยอดเขาแห่งนี้ ทว่าผู้ฝึกวิถีการต่อสู้อย่างข้าผู้เป็นอ๋องกลับทำได้แค่ยืนอยู่บนยอดเขาพีอวิ๋นลูกนั้น แน่นอนว่าปรมาจารย์ขอบเขตปลายทางของวิถีการฝึกวรยุทธก็ใช่ว่าจะสู้กับนักพรตขอบเขตที่สิบเอ็ด สิบสองไม่ได้ แต่หากพูดกันถึงแก่นแล้ว ในสายตาของมนุษย์ทั่วโลก ผู้ฝึกยุทธ์ก็เป็นได้แค่คนไม่มีการศึกษาที่ดีแต่ใช้กำลัง ต่ำเตี้ยกว่าผู้ฝึกลมปราณระดับหนึ่ง ดังนั้นตอนเจอกันในวังครั้งนั้น แม้ว่าเขาจะไม่ทักทายข้าผู้เป็นอ๋อง แต่ก็จงใจปรายตามองข้า กระตุกมุมปากยกยิ้ม ท้าทายอย่างมาก ข้าผู้เป็นอ๋องจึงอยากสั่งสอนเขาสักหน่อยว่าควรทำตัวอย่างไร”

ซ่งจี๋ซินอึ้งงันเป็นไก่ไม้

จะสอนให้คนอื่นทำตัวดีๆ แต่อย่างน้อยเจ้าก็ควรเว้นทางรอดให้เขาบ้างสิ ต้องถึงขนาดหักคอเขาเชียวหรือ?

ซ่งจ่างจิ้งกลับไม่พูดถึงคนที่ตายไปแล้วผู้นั้นอีก “อยากรู้มากเลยใช่ไหมว่าชายวัยกลางคนที่ต่อสู้ตัดสินเป็นตายกับข้าคนนั้นคือใคร?”

ซ่งจี๋ซินกลืนน้ำลายโดยไม่รู้ตัว ไม่ได้เอ่ยตอบอีกฝ่าย

แม้ว่ารถม้าสามคันจะขับนำมาก่อน แต่ด้านหลังกลับมีเสียงปะทะดังกระหึ่ม คนทั้งสองต่อสู้กันจนมืดฟ้ามัวดิน มีครั้งหนึ่งที่ร่างทั้งร่างของซ่งจ่างจิ้งร่วงลงมาจากบนฟ้า กระแทกพื้นที่สิบจั้งกว่านอกรถม้าให้เกิดเป็นหลุมใหญ่ ตอนหลังยังมีอีกครั้งหนึ่งที่ซ่งจ่างจิ้งเอาคืนอีกฝ่าย ตอนนั้นเด็กหนุ่มปีนขึ้นไปอยู่บนหลังคารถแล้ว จึงเห็นกับตาตัวเองว่าชายฉกรรจ์บึกบึนที่พลังอำนาจดุจเจียวหลงแห่งปฐพีถูกซ่งจ่างจิ้งต่อยจนร่วงกระแทกลงกลางภูเขาลูกเล็กลูกหนึ่ง เศษฝุ่นปลิวคลุ้ง ช่างเป็นภาพเหตุการณ์ที่ยิ่งใหญ่นัก

ไม่ใช่คน

นั่นคือความรู้สึกเดียวของเด็กหนุ่มในเวลานั้น

อันที่จริงการต่อสู้ระหว่างซ่งจ่างจิ้งกับชายฉกรรจ์ผู้โดดเด่นคนนั้นไม่ได้ดูล่องลอยเหมือนการต่อสู้ของเทพเซียนเลยแม้แต่น้อย แต่เป็นการใช้หมัดต่อหมัด เนื้อต่อเนื้อ ตั้งแต่ต้นจนจบล้วนใช้แผลแลกด้วยแผล ใช้ชีวิตแลกด้วยชีวิต! ประชันแค่ว่าใครป่าเถื่อนไร้เหตุผลมากกว่ากัน

ซ่งจ่างจิ้งพลันลูบศีรษะของเด็กหนุ่ม น้ำเสียงอ่อนโยนอย่างที่หาได้ยากยิ่ง “ใจทะเยอทะยานของเสด็จพี่ฮ่องเต้มีสูงมาก ตอนที่ฮ่องเต้ต้าสุยยังเอาแต่จับจ้องต้าหลี เขาก็หมายตานครมังกรเฒ่าที่อยู่ทางใต้สุดของแจกันสมบัติทวีปบูรพาแล้ว เจ้าแปลกใจมากใช่ไหมว่า ทำไมข้าผู้เป็นอ๋องที่เป็นถึงองค์ชายของต้าหลีซึ่งถือกำเนิดจากฮองเฮา ทั้งยังเป็นอ๋องเจ้าแคว้นผู้กุมอำนาจทางการทหารของบ้านเมือง ชื่อเสียงและบารมีในกองทัพและกลุ่มประชาชนสูงส่งเกินกว่าใครจะเทียบเคียงได้ แต่กลับยังรักและปรองดองอยู่กับบิดาของเจ้าเป็นอย่างดี?”

ซ่งจี๋ซินยิ้ม กล่าวอย่างเจ้าเล่ห์ “ท่านอาเต็มใจอยากเล่าก็เล่าเถอะ”

ซ่งจ่างจิ้งดึงมือกลับมา เอ่ยเสียงหนัก “เพราะสิ่งเดียวที่ข้าผู้เป็นอ๋องต้องการก็คือ ได้เห็นทัศนียภาพบนวิถีแห่งการต่อสู้เหนือขอบเขตปลายทาง ขอแค่เดินไปถึงตรงนั้น ถึงจะไม่เสียแรงที่ข้าซ่งจ่างจิ้งมีชีวิตในชาตินี้”

บัดนี้ในหัวใจของเด็กหนุ่มเหมือนมีกระแสน้ำไหลซัดกราก จึงเอ่ยถามเสียงสั่นว่า “หากข้ามีจิตใจตั้งมั่น จะสามารถเดินสู่จุดสูงเฉกเช่นท่านอาในวันนี้ได้หรือไม่?”

ซ่งจ่างจิ้งส่ายหน้ายิ้ม “เจ้าน่ะ หากฝึกวรยุทธ์ มากสุดก็ได้แค่ขอบเขตที่แปดเท่านั้น ไม่มีอนาคต จงเป็นผู้ฝึกลมปราณแต่โดยดีเถอะ ย่อมต้องประสบความสำเร็จมากกว่าแน่”

ซ่งจี๋ซินรู้สึกไม่ยอมแพ้เล็กน้อย “ทำไมข้าถึงจะฝึกได้แค่ขอบเขตที่แปดของวิถีการต่อสู้?”

ซ่งจ่างจิ้งกล่าวหยอกล้อ “ได้แค่?”

ซ่งจี๋ซินหน้าแดงเล็กน้อย

ซ่งจ่างจิ้งเองก็ไม่คิดเล็กคิดน้อยกับความไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำของเด็กหนุ่ม เขาหรี่ตามองไปยังทิศไกล เอ่ยเนิบช้า “ผู้ฝึกลมปราณก็คืออาชีพที่อาศัยข้าวซึ่งสวรรค์ประทานมาให้ ชะตาชีวิตดีหรือไม่ดีเป็นเรื่องที่สำคัญมาก วันนี้พบเจอโชควาสนาอยู่ที่นี่ พรุ่งนี้เก็บสมบัติอาคมอีกชิ้นหนึ่งได้ที่นั่น วันมะรืนเจอกับเทพเซียนที่อำพรางตัวอย่างลึกล้ำโดยไม่ทันระวัง วันมะเรื่องเห็นทัศนียภาพอย่างหนึ่ง ไม่แน่ว่าอาจจะบรรลุสิ่งใด ไม่ว่าจะทำอะไรก็ราวกับว่าสามารถเพิ่มตบะได้ ส่วนคนที่อยู่บนวิถีแห่งการต่อสู้อย่างพวกเรากลับไม่เหมือนกัน ไม่มีทางลัดอะไรให้เดิน ได้แต่ค่อยๆ คลำทางเดินไปทีละก้าว น่าเบื่อยิ่งนัก”

อารมณ์ของซ่งจี๋ซินซับซ้อนสับสน รู้สึกผิดหวังอยู่เล็กน้อย

ซ่งจ่างจิ้งไม่สนใจหลานชายคนนี้อีก เขาหมุนตัวเดินกลับไปที่รถม้า หางตาเหลือบไปเห็นแผ่นหลังของเด็กสาว ลังเลอยู่เล็กน้อยก็เดินไปข้างกายนาง เงยหน้ามองไปยังประตูใหญ่บานนั้นพร้อมกับนาง

ซ่งจ่างจิ้งพึมพำกับตัวเองว่า “ปราณของมังกรที่แท้จริงก่อตัวขึ้นเป็นไข่มุก ที่อยู่ของเจียวหลงและมังกรบนโลกล้วนมีไข่มุกเป็นของล้ำค่า เหมือนจิตวิญญาณแห่งชะตาชีวิตของนักพรต”

จื้อกุยสาวใช้ไม่ได้หันกลับมา แต่เผยสีหน้าตึงเครียดออกมาเสี้ยวหนึ่ง

ซ่งจ่างจิ้งยิ้ม “เพื่อสี่อักษรว่าเฟิงเซิงสุ่ยฉี่ที่เขียนไว้บนกรอบป้ายเหนือสะพานแบบคานแห่งนั้น ต้าหลีของข้าต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาลอย่างที่คนนอกมิอาจจินตนาการได้ถึง เฟิงเซิงสุ่ยฉี่ สุ่ยฉี่ ทำไมน้ำต้องขึ้น? ก็ไม่ใช่เพราะหวังว่าตอนที่เจียวและมังกรลงน้ำจะราบรื่นไร้อุปสรรคหรอกหรือ อันที่จริงข้าผู้เป็นอ๋องไม่สนใจเรื่องพวกนี้แม้แต่น้อย ทุกอย่างล้วนเป็นความปรารถนาของบิดาใจเหี้ยมของนายน้อยเจ้าเท่านั้น หลังจากที่เจ้าออกจากถ้ำสวรรค์แห่งนั้นมา คาดว่านอกจากซิ่วหู่แห่งเมืองหลวงแล้วก็คงไม่มีใครชี้ไม้ชี้มือใส่เจ้าได้อีกกระมัง”

ซ่งจ่างจิ้งหันกลับไปมองซีกหน้าด้านข้างของเด็กสาว “แม้จะบอกว่าชะตาของเจ้ากับหลานชายของข้าผู้เป็นอ๋องเกี่ยวพันกันอย่างแนบแน่น เกียรติยศและความอัปยศมีร่วมกัน แต่เจ้าก็อย่าได้หลงลำพองใจว่าเป็นที่รักให้มากเกิน อย่าให้ข้าผู้เป็นอ๋องต้องมีความคิดอยากจะลงมือ อืม เห็นแก่บ้านเมืองและเห็นแก่หน้าของซ่งจี๋ซินผู้เป็นหลานชาย ข้าผู้เป็นอ๋องสามารถแหกกฎ ให้โอกาสเจ้าได้รนหาที่ตายสองครั้ง สอดคล้องกับคำโบราณที่ว่าเรื่องเดิมไม่ควรทำผิดซ้ำสามครั้งพอดี”

เด็กสาวพลันเดือดดาลอย่างหนัก นางหมุนตัวกลับก่อน จากนั้นจึงถอยหลังไปสองก้าว สายตาจ้องอ๋องเจ้าแคว้นต้าหลีที่ทำให้ใจนางเกิดความหวาดกลัวอย่างขุ่นเคือง “เดิมทีข้าก็ไม่ใช่คน แต่พวกเจ้ากลับเอากฎเกณฑ์ของโลกมนุษย์มาพันธนาการข้า ใครกันแน่ที่ไม่มีเหตุผล? กฎระเบียบเคร่งครัดไม่อาจเปลี่ยนแปลงของพวกเจ้า เกี่ยวข้องอะไรกับข้าด้วย?!”

ซ่งจ่างจิ้งหัวเราะอย่างเบิกบานใจ “อย่าได้เข้าใจผิด ข้าผู้เป็นอ๋องไม่มีทางเข้มงวดกับเจ้าในเรื่องเล็กน้อยแน่นอน ตรงกันข้าม ข้าผู้เป็นอ๋องต่างหากที่ถึงจะเป็นยันต์คุ้มกันกายชิ้นใหญ่ที่สุดของเจ้า”

ซ่งจ่างจิ้งจ้องนิ่งไปที่เด็กสาว นางมีดวงตาประหลาดที่เหลือบแสงเหลืองทอง สุดท้ายเขากล่าวว่า “หลังการต่อสู้ครั้งนั้น อันที่จริงข้าผู้เป็นอ๋องและเจ้าต่างก็ถือเป็นสหายที่ลงเรือลำเดียวกันแล้ว จำประโยคนี้เอาไว้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอนาคต ยามใดที่เจ้ามีสิทธิ์เลือกตัดสินใจเรื่องสำคัญ จงพยายามนึกถึงประโยคนี้ให้ได้”

ซ่งจ่างจิ้งหมุนกายจากไป

ข้างรถม้า สารถีวัยกลางคนที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยกลิ่นอายของความหยาบกระด้างแห่งสมรภูมิรบมองเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกสีขาวหิมะที่สะดุดตาบนร่างของอ๋องเจ้าแคว้นต้าหลีก็อดรนทนไม่ไหว จึงเปิดปากเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ท่านอ๋อง เมื่อไหร่จะเปลี่ยนเสื้อคลุมหนังจิ้งจอกตัวใหม่เสียที นี่มันกี่ปีมาแล้ว ท่านอ๋องสวมไม่เบื่อ แต่พวกเราเห็นแล้วรำคาญตายิ่งนัก”

ซ่งจ่างจิ้งเดินขึ้นรถม้า ค้อมตัวเลิกผ้าม่านขึ้น ทิ้งประโยคหนึ่งไว้อย่างไม่สบอารมณ์ “ยึดต้าสุยได้เมื่อไหร่ค่อยว่ากัน”

สารถีขับรถม้าหัวเราะร่าอย่างเบิกบานใจ เผชิญหน้ากับอ๋องเจ้าแคว้นผู้สูงศักดิ์ซึ่งอยู่ใต้คนคนเดียวอยู่เหนือคนนับหมื่นผู้นี้ เขากลับไม่มีท่าทางระมัดระวังสำรวมเลยแม้แต่น้อย

ซ่งจ่างจิ้งมีชีวิตอยู่ในสนามรบมายี่สิบปี แม้จะบอกว่าเป็นแม่ทัพผู้บัญชาการ ย่อมไม่มีทางนำทัพเป็นแนวหน้าในทุกศึก เพราะส่วนใหญ่แล้วควรจะวางแผนอยู่ในกระโจมเสียมากกว่า ทว่ายามใดที่ควันดินปืนพวยพุ่งขึ้นที่ริมชายแดนของต้าหลี ทุกครั้งที่เจอกับศึกตัดสินเป็นตาย ซ่งจ่างจิ้งต้องพาตัวเองไปตกอยู่ในวงล้อมของศัตรูเสมอ ชีวิตในยามปกติของอ๋องเจ้าแคว้นผู้ยิ่งใหญ่ไม่เคยเคล้าสุรานารี แทบจะสามารถใช้คำว่า “บนร่างไม่มีวัตถุนอกกาย” มาบรรยายได้

หลังจากซ่งจ่างจิ้งเข้าไปในห้องโดยสารก็นั่งลงขัดสมาธิ ขมวดคิ้วเป็นปม “คนผู้นั้นบอกกับข้าผู้เป็นอ๋องว่า หลังออกมาจากถ้ำสวรรค์หลีจูแล้ว ไม่ต้องรีบร้อนเดินทางกลับเมืองหลวง ‘ไม่สู้รออยู่ที่ตีนเขาแล้วเงยหน้าขึ้นมอง’ รออะไร? มองออะไร?”

……

ซ่งจี๋ซินและสาวใช้จื้อกุยก็เดินเข้าไปในห้องโดยสารเหมือนกัน รถม้าจึงเตรียมจะเคลื่อนตัวขับผ่านประตูใหญ่บานนั้นไป

ซ่งจี๋ซินค้นพบว่าจื้อกุยนั่งขดตัวอยู่ในมุมหนึ่ง ร่างของนางสั่นสะท้าน เขาจึงถามอย่างเป็นกังวล “เป็นอะไรไป?”

จื้อกุยเสียงสั่น “ข้าสัมผัสได้ว่า ตรงประตูบานนั้น มีสิ่งที่น่ากลัวอยู่นับไม่ถ้วน”

ซ่งจี๋ซินยิ้มปลอบใจ “มีท่านอาข้าอยู่ เจ้าจะกลัวอะไร? ไม่ต้องกลัวหรอก ต่อให้ฟ้าถล่มลงมา เขาก็แบกรับไว้ได้”

คาดไม่ถึงว่าจื้อกุยจะยิ่งหวาดผวา พยายามขดตัวอยู่ในมุม พูดเสียงสะอื้น “ต่อให้เป็นเขาก็ไม่สามารถแบกรับมันได้!”

……

หอสุราที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเล็กมีแขกที่หาได้ยากคนหนึ่งมาเยือน

อาจารย์สอนหนังสือที่เคราสองข้างเป็นสีขาวโพลนท่านหนึ่งสั่งเหล้าหนึ่งกาและอาหารว่างจานเล็กอีกสองสามจาน กินดื่มอยู่เพียงลำพังอย่างสำราญใจ

ที่แท้วันนี้อาจารย์ท่านนี้ก็ไม่มีสอนหนังสือที่โรงเรียน

เด็กเล็กในโรงเรียนแต่ละคนต่างก็พากันกลับบ้านด้วยความเบิกบาน

เมื่อเขาดื่มเหล้าจอกสุดท้าย กินอาหารที่เหลือคำสุดท้ายหมดก็วางตะเกียบลงเบาๆ

หลังเสียงเพี๊ยะเสียงหนึ่งผ่านไป

ถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กที่กินอาณาบริเวณหนึ่งพันลี้พลันเงียบสงัดไร้สรรพสำเนียง ทุกอย่างหยุดนิ่ง

ฟ้าดินแห่งนี้พังทลายลงในชั่วพริบตา

นาทีนั้นเทพเซียนบนภูเขา มนุษย์ธรรมดาล่างภูเขาทุกคนทั่วทั้งแจกันสมบัติทวีปบูรพาต่างก็เงยหน้าขึ้นมองอย่างไม่อาจควบคุมตัวเองได้

แต่นาทีถัดมาราวกับว่ามีเซียนที่เหนือเซียนใช้วิชาอภินิหารยิ่งใหญ่เปลี่ยนฟ้าเปลี่ยนตะวันแผ่ปกคลุมทัศนียภาพทั่วทั้งถ้ำสวรรค์หลีจูเอาไว้

กลางอากาศสูงทางทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีปบูรพา ทะเลเมฆหมื่นลี้ซัดตลบปั่นป่วน ก่อนจะค่อยๆ ลดตัวลงต่ำ

คนผู้หนึ่งที่ทั่วร่างเป็นสีขาวหิมะ ชายแขนเสื้อกว้างใหญ่โบกสะบัด ร่างสูงไม่รู้กี่พันกี่หมื่นจั้งนั่งสงบอย่างสำรวม เบื้องหน้าของเขามีไข่มุกแตกร้าวเม็ดหนึ่งขนาดพอๆ กับฝ่ามือของเขาลอยอยู่

ดูเหมือนว่ากายธรรมร่างยักษ์ของคนผู้นี้มองแจกันสมบัติทวีปบูรพาเป็นโรงเรียนของตัวเอง

เหนือมหาสมุทรเมฆหมอกที่กว้างใหญ่ไร้ที่สิ้นสุดมีเสียงทรงพลังดุจเสียงอสนีบาตพากันระเบิดแตก

“ฉีจิ้งชุน เจ้าบังอาจ!”

“เนรคุณยิ่งนัก!”

“หากหวนกลับจะได้ขึ้นฝั่ง!” (เปรียบเปรยถึงคนที่ทำผิด หากยอมกลับตัวกลับใจก็มีจะโอกาสรอด)

บัณฑิตผู้นั้นก้มหน้าลงจ้องมองไข่มุกเม็ดนั้น ครั้นจึงค่อยๆ ถอนสายตากลับคืนมา สุดท้ายถึงเงยหน้าเอ่ยด้วยเสียงดังกังวาน “การโจมตีกลับของวิถีสวรรค์ที่สั่งสมมาตลอดสามพันปีของเมืองเล็ก ข้าฉีจิ้งชุนพร้อมแบกรับไว้เพียงผู้เดียว!”

—-

[1] สำนวนกิ่งทองใบหยกในที่นี้ไม่ได้มีความหมายแบบของไทย ในอดีตสำนวนจีนนี้จะหมายถึงเชื้อพระวงศ์หรือคุณหนูคุณชายที่เกิดมามีฐานะสูงส่ง ในปัจจุบันก็เปรียบเปรยถึงคนที่มีชายกำเนิดสูง หรือคนที่บอบบางอ่อนแอ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version