บทที่ 65 ไข่มุก
พอผู้ฝึกกระบี่หนุ่มแห่งสวนลมฟ้ามองเห็นเด็กหนุ่มเด็กสาวก็หน้าบานเป็นกระด้ง ประโยคแรกที่พูดกับหนิงเหยาก็คือ “แม่นางน้อย หากเจ้าอายุมากกว่านี้อีกสักหน่อยต้องไม่ด้อยกว่าเทพธิดาซูของข้าแน่นอน”
เกรงว่านี่คงเป็นคำวิจารณ์ที่สูงที่สุดซึ่งผู้ฝึกกระบี่หนุ่มมีต่อหญิงสาวบนโลกแล้ว
แน่นอนว่าสีหน้าของหนิงเหยาไม่ค่อยดีนัก แต่ไม่รอให้นางได้พูดอะไร หลิวป้าเฉียวที่สามารถพูดภาษาถิ่นของเมืองเล็กได้ก็หันหน้าไปชูนิ้วโป้งให้เฉินผิงอัน ผู้ฝึกกระบี่ที่มีพรสวรรค์ของสวนลมฟ้าผู้นี้กล่าวด้วยสีหน้าสดใส “มีแค่เรือนกายของคนธรรมดา แต่กลับกล้างัดข้อกับวานรย้ายภูเขาแห่งเขาตะวันเที่ยง ประเด็นสำคัญคือยังรอดชีวิตมาได้ ช่างเป็นปาฏิหาริย์จริงๆ!”
หลิวป้าเฉียวอยากรู้จริงๆ ว่าเด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่แขนขาผอมบางตรงหน้าผู้นี้สั่งสมพลังแห่งการระเบิดที่น่าตะลึงขนาดนี้ได้อย่างไร?
หลิวป้าเฉียวหดนิ้วโป้งกลับมา ไม่เดินเคียงบ่ากับเฉินตุ้ยและเฉินซงเฟิงที่อยู่ข้างหน้าอีก แต่กลับมายืนข้างกายเฉินผิงอัน หันหน้ากลับมาพูดยิ้มๆ “แม้จะบอกว่าเขาตะวันเที่ยงเป็นแค่ภูเขาเล็กๆ ลูกหนึ่ง คือเต่าหดหัวที่หลบซ่อนอำพรางตัวอย่างแท้จริง ทว่าวานรย้ายภูเขาตัวนั้นมีชื่อเสียงด้านความเหี้ยมโหดเลื่องลือไปทั่ว เป็นชื่อเสียงที่ได้มาจากการปล่อยหมัดครั้งแล้วครั้งเล่า โดยเฉพาะหลังจากที่บุรพาจารย์ผู้บุกเบิกภูเขาของเขาตะวันเที่ยงตายไป ในช่วงเวลาสองร้อยปีก่อนที่เขาตะวันเที่ยงจะเปิดยอดเขาแห่งที่สาม ก็ล้วนต้องอาศัยวานรย้ายภูเขาตัวนี้ให้คอยปกป้องเขาตะวันเที่ยง ถึงได้รอดพ้นจากการถูกกองกำลังรอบด้านฮุบกลืนมาได้ แน่นอนว่าเขาตะวันเที่ยงในเวลานั้นยังคงเป็นเพียงสำนักเล็กๆ ที่ยังไม่เป็นโล้เป็นพาย เมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรูก็ไม่ถือว่าแข็งแกร่งนัก หากเวลานั้นไปมีเรื่องกับสวนลมฟ้าเข้าล่ะก็ หึ ไม่มีหวังเสียล่ะ ขอแค่บุรพาจารย์ออกคำสั่งคำเดียว ให้ป้ายคุมกระบี่แก่ข้าเป็นรางวัล ข้าตัวคนเดียวก็สามารถวิ่งไปถึงกลางอากาศของเขาตะวันเที่ยง ทิ้งค่ายกลกระบี่บ่อสายฟ้าของพวกเราลงไปเบาๆ หลังฝนกระบี่ครั้งนี้ตกผ่านไปแล้ว เขาตะวันเที่ยงก็จบเห่แน่”
หลิวป้าเฉียวทำมือขว้างของบางอย่างลงบนพื้น
หนิงเหยาขัดคออีกฝ่ายอย่างไม่ไว้หน้า “เขาตะวันเที่ยงไม่ได้แย่อย่างที่เจ้าพูด แล้วสวนลมฟ้าก็ไม่ได้แข็งแกร่งขนาดนั้น”
หลิวป้าเฉียวไม่มีสีหน้ากระอักกระอ่วนใดๆ เพียงเปลี่ยนหัวข้อสนทนาอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ หันไปพูดกับเฉินผิงอันด้วยท่าทางลึกลับ “ได้ยินมาว่าก่อนหน้านี้สะพานแบบคานแห่งนี้เคยเป็นสะพานหินทรงโค้งมาก่อน ด้านใต้สะพานหินแขวนกระบี่โบราณขึ้นสนิมเอาไว้เล่มหนึ่ง เพื่อป้องกันไม่ให้มังกรลงน้ำ? โดยทั่วไปแล้วของเล่นโบราณที่มองดูแล้วไม่สะดุดตาเช่นนี้ต้องไม่ใช่ของธรรมดาแน่นอน ไม่แน่ว่าอาจเป็นสมบัติวิเศษสะท้านฟ้าดินที่ทำให้ทั้งผีและเทพร่ำไห้ได้เลยทีเดียว”
หลิวป้าเฉียวกระทืบเท้าลงบนทางระเบียงแผ่นไม้แรงๆ “แต่ว่าเมื่อครู่นี้ข้านอนคว่ำหน้าอยู่บนพื้น ใช้มือเคาะอยู่นานก็ยังไม่พบสายสนกลในอะไร หรือว่าวัตถุชิ้นนี้ไร้วาสนากับข้า? ตามหลักแล้วไม่น่าจะเป็นไปได้นี่นา ผู้มีพรสวรรค์ด้านวิถีกระบี่ที่หาได้ยากยิ่งบนโลกใบนี้อย่างข้า หากกระบี่โบราณเล่มนี้เป็นอาวุธเทพจริงๆ แม้ไม่วิ่งมายอมรับข้าเป็นนายด้วยตัวเอง แต่อย่างน้อยก็ควรจะมีการขานรับกับข้าบ้างกระมัง? หรือว่าแท้จริงแล้วกระบี่โบราณก็เป็นแค่วัตถุเก่าแก่ที่มีอายุอยู่มานานแล้วถูกคนนำไปพูดชื่นชมเกินจริงเท่านั้น? เฮ้อ น่าเสียดาย น่าเสียดายยิ่งนัก”
เฉินผิงอันที่อยู่ข้างกันอึ้งงันไปเล็กน้อย ท่าทางของไอ้หมอนี่จริงจังอย่างยิ่ง ไม่เหมือนคนกำลังล้อเล่นเลยสักนิดเดียว แม้จะอยู่ห่างไกลกับคำว่า “มีเหตุผลมีหลักฐาน” ไปหลายโยชน์ แต่ก็ไม่สามารถบอกได้ว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งหมด
หลิวป้าเฉียวเองก็ไม่สนใจว่าเฉินผิงอันจะรำคาญหรือไม่ ยังคงพูดถึงเรื่องน่าสนใจในเมืองเล็กกับตัวเองต่อไป บอกว่าใครๆๆ ได้รับโชควาสนาที่ทำให้คนอิจฉาตาร้อน ถึงขั้นลากเอาโซ่เหล็กทั้งเส้นออกมาจากบ่อลึกได้ แถมยังมีใครๆๆ ที่เดินเตร่อยู่หลายวันก็ยังหาโชควาสนาไม่พบ
ผลสุดท้ายกลายเป็นว่าวันหนึ่งเพียงแค่เงยหน้าขึ้นมองจากตรอกเล็กๆ เก่าโทรม กลับค้นพบว่าบนผนังที่อยู่เหนือประตูใหญ่ฝังเลื่อมกระจกทองสัมฤทธิ์บานหนึ่งเอาไว้ คนผู้นั้นที่มีสภาพจิตใจหวังรักษาม้าตายดั่งม้าเป็น (เปรียบเปรยว่าการทำสิ่งที่รู้ว่าไม่มีทางสำเร็จก็ยังพยายามลองดู) จึงปีนบันไดขึ้นไปดู คาดไม่ถึงว่านั่นจะเป็นบุรพาจารย์ที่อยู่ในกระจกส่องมารซึ่งเป็นลายเมฆสายฟ้า และสลักอักษรไว้แปดตัวว่า “แสงอาทิตย์และจันทรา ใต้หล้าสว่างไสว” พี่ชายท่านนั้นดีใจจนร้องไห้โฮอยู่บนขั้นบันได และยังมีคุณหนูตระกูลสูงศักดิ์ท่านหนึ่งจากกองม้าเหล็กไห่เฉาที่ได้เจอความโชคดีเพราะโชคร้าย ได้รู้จักกับคุณชายชุยแห่งสำนักศึกษากวานหู คนทั้งสองพบเจอกันครั้งแรกกลับเหมือนสนิทคุ้นเคยกันมานาน…
หลังผ่านสะพานแบบคานมาได้ เฉินตุ้ยกับเฉินซงเฟิงก็ผ่อนฝีเท้าให้ช้าลงโดยอัตโนมัติเพื่อให้เฉินผิงอันนำทางอยู่ด้านหน้า
คนทั้งกลุ่มเดินเลียบขึ้นไปยังตอนบนของธารน้ำสายเล็กไร้ชื่อ เฉินผิงอันแบกตะกร้าใบใหญ่ที่สานจากไม้ไผ่สีออกเหลือง ส่วนเฉินซงเฟิงกลับแบกหีบหนังสือไม้ไผ่สานสีเขียวมรกตน่ารักใบหนึ่ง หลิวป้าเฉียวอยากรู้มากว่าในตะกร้าที่อยู่ด้านหลังเฉินผิงอันบรรจุอะไรไว้กันแน่ แล้วก็ต้องรู้ให้ได้ จึงบอกให้เฉินผิงอันชะลอฝีเท้า เขาเดินตามพลางค้นในตะกร้าไปด้วย พบว่ามีสิ่งของจุกจิกอยู่ไม่น้อย งอบสามใบวางทับซ้อนอยู่ด้วยกัน กาสองใบ กาน้ำหนึ่งใบ ขวดบรรจุน้ำมันหนึ่งขวด มีดผ่าฟืนเล็กใหญ่สองเล่ม หินจุดไฟสองก้อนและม้วนกระดาษจุดไฟหนึ่งมัด ตรงก้นของตะกร้ายังมีกระบอกไม้ไผ่ที่ถูกผ่ากลางแล้วประกบเข้าหากันอยู่อีกแถวหนึ่ง ประมาณเจ็ดแปดท่อน และยังมีถุงผ้าใบเล็กที่บรรจุตะขอตกปลาและด้ายตกปลา
หลิวป้าเฉียวเอ่ยถาม “เฉินผิงอัน กระบอกไม้ไผ่เป็นท่อนๆ พวกนี้เอาไว้ทำอะไร?”
เฉินผิงอันให้คำตอบ “กระบอกไม้ไผ่มีทั้งหมดแปดอัน หกอันในนั้น ทุกกระบอกล้วนบรรจุข้าวปั้นไว้สี่ก้อน ส่วนอีกสองกระบอกใส่ผักดองที่เน่าเสียยากไว้เล็กน้อย”
สีหน้าของหลิวป้าเฉียวเต็มไปด้วยความลำพองใจ ฝีเท้าที่เดินค่อนข้างล่องลอยเล็กน้อย เอ่ยเสียงดังว่า “ผักดองหรือ ข้าเคยกิน!”
เฉินผิงอันปรายตามองเขาด้วยความประหลาดใจ ในใจคิดว่าเคยกินผักดองมีอะไรให้น่าลำพองใจ? เว้นเสียแต่ว่าเจ้าสามารถไม่ดื่มน้ำไม่กินข้าว กินผักดองทั้งกระบอกหมดในรวดเดียว นั่นต่างหากถึงจะร้ายกาจอย่างแท้จริง
หลิวป้าเฉียวพลันเอ่ยถามอย่างใคร่รู้ “ขึ้นเขาครั้งนี้ พวกเรากินข้าวสามมื้อก็อิ่มตายแล้ว ยังจำเป็นต้องเอาผักดองสองกระบอกใหญ่มาด้วยหรือ? ผักดอกพวกนี้ข้ากินคำเล็กๆ ข้าวก็หมดไปครึ่งถ้วยแล้ว!”
เฉินผิงอันกำลังจะเลือกว่าทางขึ้นเขาเส้นไหนย่นระยะทางที่สุดจึงตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ข้ากับแม่นางหนิงกินผักดอกหนึ่งกระบอก เจ้ากับเพื่อนของเจ้าอีกสองคนกินด้วยกัน”
หลิวป้าเฉียวอึ้งตะลึง ก่อนจะหัวเราะเบาๆ “อย่าทำตัวห่างเหินนักสิ ข้ากินกระบอกเดียวกับพวกเจ้าได้นะ”
หนิงเหยากล่าวน้ำเสียงเฉียบขาด “ไม่ได้! เจ้าไปกินกับเพื่อนเจ้านู่น”
หลิวป้าเฉียวขุ่นเคือง “อาศัยอะไร?!”
หนิงเหยาเชิดคางบอกเป็นนัยว่าคำตอบอยู่ที่เฉินผิงอัน ความหมายก็คือข้ารังเกียจที่จะพูดกับเจ้าหลิวป้าเฉียวให้มากความ
หลิวป้าเฉียวย้ายเส้นสายตาไปมองเฉินผิงอัน สายตาของเขามีแววของความไม่พอใจ แต่ในความไม่พอใจกลับแฝงความคาดหวังเอาไว้
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มๆ
หลิวป้าเฉียวถอนหายใจอย่างเอือมระอา “เห็นสตรีดีกว่าสหาย ข้าเข้าใจได้”
หนิงเหยาเอ่ยหยัน “เป็นสหายเร็วขนาดนี้เชียว ถ้าอย่างนั้นหากเพื่อนเจ้าไม่ถึงหลายหมื่นก็คงมีหลายพันเลยกระมัง?”
หลิวป้าเฉียวถลึงตาใส่ “จะเป็นไปได้อย่างไร!”
หนิงเหยาเลิกคิ้วสูง ช่วยเขาพูดเสริมอีกสามคำ “จะมีน้อยได้อย่างไร?”
หลิวป้าเฉียวจุ๊ปากพูด “หนิงเหยา นิสัยเจ้าสู้เทพธิดาซูของข้าไม่ได้เลย”
หนิงเหยาขมวดคิ้ว “หมายถึงซูเจี้ยแห่งเขาตะวันเที่ยง?”
หลิวป้าเฉียวยิ่งลำพองใจ “ใช่! ซูเจี้ย อักษรตัวซูและเจียรวมเป็นคำว่าเจี้ย เจี้ยที่อริยะท่านนั้นให้คำจำกัดความว่า ‘ผู้ที่ชื่นชอบปลูกพืชไร่มีมากมาย’! เป็นยังไงล่ะ เทพธิดาซูของข้ามีนามที่น่าประทับใจมากเลยใช่ไหมล่ะ?”
หนิงเหยาถามคำถามที่เฉินผิงอันฟังไม่เข้าใจเลยแม้แต่น้อย “หากเจ้าชอบซูเจี้ยขนาดนี้จริงๆ ถ้าอย่างนั้นเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า หากนางเองก็ชอบเจ้า จะทำอย่างไร?”
หลิวป้าเฉียวสะอึกอึ้งไปทันที เขาอึกๆ อักๆ สุดท้ายพึมพำอย่างร้อนตัวว่า “นางจะชอบข้าได้อย่างไร”
เฉินผิงอันรู้สึกว่าหลิวป้าเฉียวคนนี้ ไม่เลวร้าย
เฉินตุ้ยกับเฉินซงเฟิงอยู่ห่างจากสามคนด้านหน้าประมาณสิบกว่าก้าว
เห็นว่าหลิวป้าเฉียวพูดคุยกับเด็กหนุ่มรองเท้าแตะอย่างถูกคอขนาดนั้น เฉินซงเฟิงก็ให้รู้สึกอิจฉาเล็กน้อย ดูเหมือนว่าหลิวป้าเฉียวจะถนัดผูกมิตรกับผู้คนมาตั้งแต่เกิด สามลัทธิ เก้าสาขา ร้อยสำนัก จักรพรรดิ ขุนพล โจรขโมยหรือชาวบ้านร้านตลาด แทบไม่มีใครที่เขาคุยด้วยไม่ได้
เฉินซงเฟิงถามเสียงเบา “พอได้ยินความเคลื่อนไหว หญิงออกเรือนแล้วผู้นั้นก็รีบไปเยี่ยมเยียนจวนผู้ตรวจการทันที เป็นฝ่ายเสนอตัวว่าจะมอบเสื้อเกราะตัวนั้นคืนให้ ถือเป็นการชดใช้ของสกุลซวี่แห่งนครลมเย็น ทำไมเจ้าถึงไม่รับเอาไว้?”
เห็นได้ว่าชัดเมื่อเปรียบเทียบกับตอนที่เพิ่งเข้าเมืองมาใหม่ๆ เฉินตุ้ยในเวลานี้มีอัธยาศัยไมตรีกว่ามาก หากเป็นเมื่อก่อนเฉินซงเฟิงถามคำถามประเภทนี้ นางคงทำเป็นหูทวนลม แต่เวลานี้กลับยอมอธิบายอย่างใจเย็นว่า “หากนครลมเย็นรู้ความจริงตั้งแต่แรก ว่าบรรพบุรุษของเด็กหนุ่มแซ่หลิวคือคนเฝ้าสุสานที่สกุลเฉินแห่งอิ่งอินของข้าทิ้งไว้ในเมืองเล็ก แล้วพวกเขายังกล้าทำเรื่องเช่นนี้ก็สมเหตุสมผลแล้วที่ต้องจ่ายค่าตอบแทน อีกทั้งยังไม่ง่ายดายเพียงแค่คืนเสื้อเกราะมาให้เท่านั้น แต่ในเมื่อพวกเขาไม่รู้เรื่องราวภายในมาก่อน เดิมทีโชควาสนาแห่งมหามรรคาก็เป็นดั่งสมบัติล้ำค่าที่ผู้คนพากันแย่งชิงอยู่แล้ว สกุลเฉินแห่งอิ่งอินของข้าไม่จำเป็นต้องเผด็จการถึงเพียงนั้น”
เฉินซงเฟิงกล่าวยิ้มๆ “ไม่แน่ว่านครลมเย็นอาจวางแผนเล่นงานเขาตะวันเที่ยงไปพร้อมกันด้วยก็ได้ หากไม่เป็นเพราะวานรเฒ่าตัวนั้นบุกอยู่ด้านหน้า แล้วถูกสตรีผู้นั้นดึงกลับมาเป็นหนังพยัคฆ์ที่ใช้ข่มขู่ผู้คน คาดว่านครลมเย็นก็คงไม่อาจชิงสมบัติไปได้”
เฉินตุ้นหัวเราะหยันกลับคืนโฉมหน้าเดิม “แมลงวันที่ซอกซอนเจาะเข้ารังโน้นรังนี้ไปวันๆ มีแต่ต้องไหลตามน้ำเท่านั้น ไม่เคยสนใจว่าสถานการณ์ใหญ่ที่แท้จริงคืออะไร”
เฉินซงเฟิงลดระดับเสียงลง พูดคล้ายไม่ใส่ใจนัก “บางทีคงมีใจแต่ไร้กำลังกระมัง แทนที่จะทำเรื่องใหญ่ซึ่งสิ้นเปลืองแรงเปล่า ก็ไม่สู้ช้อนเอาผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ เท่าแมลงวันพวกนั้นมา”
เฉินตุ้ยหันหน้าไปมองลูกหลานสกุลเฉินเมืองหลงเหว่ย นางไม่ปฏิเสธและไม่ยอมรับกับ “ถ้อยคำที่ไร้เจตนา” ของเฉินซงเฟิง
กำลังจะขึ้นเขาแล้ว เฉินผิงอันหยุดเดิน เฉินตุ้ยเปิดปากพูดแทบจะในเวลาเดียวกัน “หลิวป้าเฉียว บอกกับเขาว่าแค่นำทางอย่างเดียวก็พอ เร็วเท่าไหร่ยิ่งดีเท่านั้น”
เพราะหลิวป้าเฉียวได้ชมศึกบนหลังคาระหว่างเด็กหนุ่มรองเท้าแตะและวานรย้ายภูเขาอยู่ไกลๆ เกือบตั้งแต่ต้น พอกลับไปยังคุยโวกับเฉินซงเฟิงเสียใหญ่โต ตอนนั้นเฉินตุ้ยก็อยู่ด้วย นางจึงรู้ว่าไม่อาจมองเฉินผิงอันเป็นเด็กหนุ่มบ้านนอกทั่วไปได้
ดังนั้นพอถึงท้ายที่สุด เฉินซงเฟิงจึงกลายมาเป็นตัวถ่วงมากที่สุด แม้คุณชายตระกูลสูงศักดิ์ผู้นี้จะชอบปีนที่สูงมองทัศนียภาพกว้างไกล ชอบสืบค้นเรื่องประหลาดหลากหลาย แต่เมื่อเปรียบเทียบกับสี่คนที่เหลือ เขากลับยังห่างชั้นไกลโขนัก เฉินตุ้ยคือยอดฝีมือมีวรยุทธ์ หลิวป้าเฉียวคือผู้ฝึกกระบี่ที่ได้รับการชำระล้างร่างกายและจิตใจซึ่งบรรดาผู้ฝึกตนทั้งหมดใต้หล้าให้ความสำคัญสูงสุด เด็กหนุ่มเด็กสาวคู่นั้นก็ยิ่งสามารถปั่นหัววานรย้ายภูเขาที่มีเรือนกายแข็งแกร่งสุดขีดได้
เส้นทางบนภูเขาเดินได้ยากลำบาก
โดยเฉพาะเมื่อฝนฤดูใบไม้ผลิผ่านพ้นไป พื้นดินแฉะลื่น บวกกับที่ต้องคอยข้ามหินผาและธารน้ำอยู่บ่อยครั้ง เฉินซงเฟิงปากคอแห้งผาก เหงื่อโซมกายเหมือนตากฝน
และหลังจากนั้นต่อให้หลิวป้าเฉียวจะช่วยเฉินซงเฟิงสะพายหีบหนังสือแล้ว เฉินซงเฟิงก็ยังหอบดังฟืดฟาดราวกับวัว สีหน้าซีดขาว
ระหว่างนั้นเฉินผิงอันเคยถามเฉินตุ้ยครั้งหนึ่งว่าจะให้ชะลอความเร็วลงหรือไม่ คำตอบของเฉินตุ้ยคือการส่ายหน้า
ในขณะที่คนทั้งกลุ่มจำเป็นต้องข้ามธารน้ำเพื่อเดินขึ้นสู่ด้านบน เฉินซงเฟิงเหยียบลงบนหินก้อนหนึ่งที่มีตะไคร่ขึ้นเต็มไปหมดจึงลื่นไถล ร่างทั้งร่างคะมำลงไปในน้ำ กลายมาเป็นลูกหมาตกน้ำ สภาพกระเซอะกระเซิงสุดขีด
เฉินตุ้ยหยุดเท้าหันกลับมามอง แม้ไม่ได้พูดอะไร แต่สีหน้าของนางกลับมืดทะมึนอย่างยิ่ง
หลิวป้าเฉียวรีบหันกลับไปประคองเฉินซงเฟิงให้ลุกขึ้น
เฉินซงเฟิงกล่าวขออภัย “ข้าไม่เป็นไร ไม่ต้องสนใจข้า ข้าต้องตามทันแน่”
เฉินผิงอันถือโอกาสปลดตะกร้าลงวางตรงหลุมเว้าของก้อนหิน กล่าวว่า “พักสักหนึ่งเค่อก็แล้วกัน”
แน่นอนว่าหนิงเหยาไม่มีความเห็น นางนั่งยองอยู่ใกล้ๆ กับเฉินผิงอัน นางที่เบื่อหน่ายไม่มีอะไรทำวางฝ่ามือทั้งสองลงบนด้ามกระบี่และด้ามดาบ พอกดลงไปเบาๆ ปลายฝักกระบี่และฝักกระดาบจึงกระทบลงบนหินสีเขียวส่งเสียงคลอเคล้ากับธารน้ำเหมือนร่วมกันร้องเพลงประสาน
เฉินตุ้ยตวาดเสียงหนัก “รีบออกเดินทางต่อ!”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “การขึ้นเขาไม่ควรใช้พละกำลังหมดรวดเดียว พักสักหน่อยค่อยเดินทางต่อ รอให้เขาปรับตัวได้สักนิดก็จะตามพวกเราทันแล้ว ใช่ว่าพละกำลังของเขามีน้อย แต่เป็นเพราะลมหายใจของเขาวุ่นวายเท่านั้น”
เรื่องขึ้นเขาลงห้วยเช่นนี้ เฉินผิงอันคือผู้เชี่ยวชาญในผู้เชี่ยวชาญอย่างแท้จริง
คาดไม่ถึงว่าเฉินตุ้ยจะไม่ฟังคำอธิบายของเฉินผิงอัน นางพูดกับเฉินซงเฟิงตรงๆ ว่า “เจ้ากลับเมืองเล็กไปซะ”
สีหน้าเฉินซงเฟิงเต็มไปด้วยความขมขื่น เห็นว่าท่าทางหญิงสาวไม่ยอมให้ปฏิเสธจึงหันไปพูดกับหลิวป้าเฉียว “ถ้าอย่างนั้นจากนี้คงต้องรบกวนให้เจ้าช่วยแบกหีบหนังสือให้แล้ว”
หลิวป้าเฉียวโมโหหนัก ปลดหีบหนังสือโยนไปทางเฉินตุ้ย “นายท่านไม่รับใช้เจ้าแล้ว!”
เฉินตุ้ยสีหน้าเฉยเมย รับหีบหนังสือมาแบกขึ้นหลังเองแล้วหันไปพูดกับเฉินผิงอัน “ไป”
เฉินผิงอันครุ่นคิดก่อนจะหยิบกระบอกไม้ไผ่สองท่อนออกมาจากในตะกร้า โยนไปให้หลิวป้าเฉียวเบาๆ “ถ้าหิวระหว่างทางกลับก็เอาไว้คลายหิวได้”
เฉินซงเฟิงหันไปเอ่ยเกลี้ยกล่อมหลิวป้าเฉียวเบาๆ ฝ่ายหลังรับกระบอกไม้ไผ่มา หัวเราะหยัน “ข้าไม่ทนเรื่องงี่เง่าพวกนี้หรอก จะกลับเมืองไปพร้อมเจ้า รอไปถึงจวนผู้ตรวจการเมื่อไหร่ ข้าจะสั่งอาหารและเหล้ารสเลิศมาให้เต็มโต๊ะ กินทั้งเนื้อทั้งปลา! จะไม่สบายกว่าที่นี่ได้ไง?!”
เฉินตุ้ยหมุนตัวกลับ เดินหน้าต่ออีกครั้ง
พอแบกตะกร้าขึ้นหลังอีกครั้ง เฉินผิงอันยังไม่วางใจจึงหันไปถามหลิวป้าเฉียว “รู้ทางกลับไหม?”
หลิวป้าเฉียวยิ้มให้ “จำไว้แล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ แล้วจึงจากไปพร้อมหนิงเหยา
เงาร่างของสามคนเบื้องหน้าค่อยๆ จากไปไกล เฉินซงเฟิงจึงนั่งแปะลงไปบนก้อนหิน ยิ้มเจื่อน “เจ้าทำแบบนี้ทำไม ผูกมิตรกับสกุลเฉินแห่งอิ่งอินเอาไว้ ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายสำหรับสวนลมฟ้าของเจ้าเลย เหตุใดต้องใช้อารมณ์ตัดสินใจด้วย?”
หลิวป้าเฉียวเปิดกระบอกไม้ไผ่ท่อนหนึ่ง เผยให้เห็นก้อนข้าวขาวราวหิมะ จึงกล่าวอย่างยินดีว่า “เฉินผิงอันช่างมีคุณธรรมน้ำใจ ไม่เสียแรงที่เป็นเพื่อนรักของข้า”
เฉินซงเฟิงรู้จักนิสัยของหลิวป้าเฉียวดีจึงไม่พูดเกลี้ยกล่อมอะไรอีก
เฉินซงเฟิงกลับเอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “ไร้ประโยชน์ที่สุดก็คือปัญญาชน”
หลิวป้าเฉียวพึมพำ “หากรู้แต่แรกน่าจะให้เฉินผิงอันทิ้งผักดองไว้สักกระบอก”
เขาหยิบข้าวปั้นก้อนหนึ่งขึ้นมากัดคำใหญ่ ถามเสียงอู้อี้ฟังไม่ชัด “เจ้าพูดไม่ถูก ท่านฉีของเมืองเล็ก แน่นอนว่ารวมถึงอาจารย์ของท่านฉีด้วย ทั้งสองต่างก็ร้ายกาจมาก”
ดวงตาเฉินซงเฟิงเลื่อนลอย “เจ้าว่าท่านฉีคิดจะทำอะไรกันแน่?”
หลิวป้าเฉียวตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก “ฟ้าเท่านั้นที่รู้”
เฉินซงเฟิงยื่นมือออกมาสลัดเสื้อตัวนอกที่เปียกชื้น กล่าวอย่างปลงอนิจจัง “‘ฟ้าเท่านั้นที่รู้’ ช่างดีนัก”
……
เพิงร้านริมธารน้ำ หลิวเสี้ยนหยางหลับไปอีกครั้ง
หร่วนฉงนั่งอยู่บนเตียง สายตาฉายแววหนักใจ
ทุกครั้งที่เด็กหนุ่มหายใจล้วนทอดยาว หากเท่านี้ก็ยังพอว่า แต่ประเด็นสำคัญคือลมหายใจที่พ่นออกมาในแต่ละครั้งล้วนคล้ายหมอกบนภูเขา คล้ายไอน้ำที่ลอยตัวอยู่เหนือทะเลสาบ เป็นสีขาวขมุกขมัว พวกมันไม่สลายหายไปตามลม แต่ค่อยๆ มารวมตัวกันอยู่ระหว่างจมูกและปากของหลิวเสี้ยนหยาง
สุดท้ายก็ขดตัวอยู่บนใบหน้าของเด็กหนุ่มเหมือนเจียวหลงสีขาวยาวสามชุ่นตัวหนึ่ง
ใช้ความฝันเป็นเตาหลอมกระบี่
กลายเป็นเซียนกระบี่ได้สำเร็จในรวดเดียว
หร่วนฉงลูบปลายคาง เอ่ยชื่นชม “ที่แท้ก็เดินอยู่บนเส้นทางสุดโต่งที่ต้องถูกทำลายก่อนถึงจะหยัดยืนขึ้นได้ ช่องโพรงถูกทำลายจนสิ้น ช่องด่านไร้อุปสรรคขัดขวาง แม้ว่าเรือนกายนี้จะย่อยยับอย่างสิ้นเชิง ทว่าสุดท้ายแล้วกระบี่เล่มนี้กลับหลอมสำเร็จ”
“ในเมื่อสามารถหลอมกระบี่ ก็สามารถฝึกกระบี่ได้เช่นกัน มิน่าเล่าผู้คนถึงพากันแย่งชิงคัมภีร์กระบี่เล่มนี้ นอนหลับก็ฝึกตน แม้ยามฝันก็ยังฝึกตนได้ มหามรรคารออยู่ไม่ไกลแล้ว”
หร่วนฉงลุกขึ้นยืน เอ่ยเยาะหยันตัวเอง “หากรู้แต่แรกคงไม่ยอมให้สกุลเฉินแห่งอิ่งอินยืมตัวเจ้าไปยี่สิบปี”
……
รถม้าสามคันขับตามกันไปบนทางภูเขาที่ทอดยาวขึ้นสู่เบื้องบนราวกับไม่มีปลายทางสิ้นสุด
ในที่สุดก็มาถึงยอดเขาแล้ว
ซ่งจี๋ซินและจื้อกุยลงจากรถม้า หันมองหน้ากัน ยอดเขาคือลานเรียบกว้างใหญ่เป็นระนาบเดียวกับพื้นดิน พื้นที่ใจกลางมีเสาหินตั้งอยู่สองต้น แต่ระหว่างเสาหินกลับเหมือนมีกระแสน้ำไหลวน มองเห็นสภาพหลัง “ผิวน้ำ” ได้ไม่ชัดเจนนัก เบื้องหน้าเด็กหนุ่มเด็กสาวคล้ายมีประตูสวรรค์บานหนึ่งตั้งอยู่
เด็กสาวจ้องเขม็งไปที่ประตูใหญ่บานนั้น
ส่วนซ่งจี๋ซินหมุนตัวเดินไปริมขอบของยอดเขา ทอดสายตามองไปไกล แผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาล รู้สึกเพียงว่าจิตใจโล่งโปร่งสบาย
ซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าแคว้นต้าหลีห่มตัวด้วยชุดคลุมหนังจิ้งจอก ใบหน้าซีดขาว แต่สีหน้ากลับดีเยี่ยม เขาเดินมาหยุดอยู่ข้างกายซ่งจี๋ซิน กล่าวยิ้มๆ ว่า “ถ้ำสวรรค์หลีจูที่ตั้งอยู่บนแจกันสมบัติทวีปบูรพาแห่งนี้คือหนึ่งในถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กสามสิบหกแห่ง ไม่ได้มีชื่อเสียงเรื่องพื้นที่กว้างขวาง เพราะกินอาณาบริเวณแค่พันลี้เท่านั้น”
ซ่งจ่างจิ้งไม่ได้หันกลับมา เพียงยกมือชี้ไปยังประตูใหญ่ที่อยู่ด้านหลัง “เมื่อผ่านประตูบานนั้นไป ลงบันไดสู่ด้านล่างอีกประมาณสามสิบลี้ ก็จะถือว่าเหยียบลงบนแผ่นดินต้าหลีของพวกเราแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นเจ้าหันกลับมาอาจมองเห็นอะไรไม่ชัดเจนอีก แต่มีเรื่องหนึ่งที่สามารถเข้าใจได้ นั่นคือแท้จริงแล้วถ้ำสวรรค์หลีจูแห่งนี้ลอยอยู่กลางอากาศสูง…”
ซ่งจ่างจิ้งหยุดชะงักไปชั่วครู่ ก่อนกล่าวว่า “มันคือไข่มุกเม็ดหนึ่ง”