Skip to content

Sword of Coming 64

บทที่ 64 สามเฉิน

เฉินผิงอันพลิกเปลี่ยนโฉมหน้ากลายมาเป็นลูกศิษย์ร้านตีเหล็กชั่วคราว ตามคำบอกของอาจารย์หร่วน จำเป็นต้องมีคนมาทำงานแทนตำแหน่งของหลิวเสี้ยนหยาง ขุดบ่อ สร้างห้อง เจาะคลอง ล้วนจำเป็นต้องใช้แรงคนทั้งสิ้น ไม่มีเหตุผลที่เขาต้องเลี้ยงดูนายท่านหลิวผู้นั้นเปล่าๆ

ดังนั้นเฉิงผิงอันจึงกลายมาเป็นคนที่ยุ่งวุ่นวายมากที่สุดในร้าน ขอแค่เป็นงานที่ใช้แรงกาย เด็กหนุ่มรองเท้าแตะก็ไม่แพ้ให้กับชายฉกรรจ์ร่างบึกบึนคนใดเลยจริงๆ ระหว่างที่ว่างจากการทำงาน เฉินผิงอันจะต้องไปหาหลิวเสี้ยนหยางในห้องนั้น เด็กหนุ่มสูงใหญ่ที่ไปเดินวนหน้าประตูผีมารอบหนึ่ง ไม่รู้ว่าหลังจากหนีความตายมาได้ยังคงหวาดผวาไม่คลาย หรือเป็นเพราะถูกหมัดนั้นของวานรย้ายภูเขาทำร้ายไปถึงพลังต้นกำเนิดกันแน่ ถึงได้กลายมาเป็นคนเงียบขรึมพูดน้อย ท่าทางอ่อนระโหยโรยแรง มักจะนอนอยู่บนเตียงมองเพดานห้องอย่างเหม่อลอย นอกจากจะพูดกับเฉินผิงอันไม่กี่ประโยคแล้ว หลิวเสี้ยนหยางก็แทบจะไม่เคยพูดคุยกับใครอีก กับเรื่องนี้เฉินผิงอันเองก็อับจนหนทาง ยังดีที่แม้หลิวเสี้ยนหยางจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่การประสานตัวของบาดแผลตรงหน้าอกกลับไวมาก ถึงขนาดไวกว่าแผลบนมือซ้ายของเฉินผิงอันด้วยซ้ำ

หนิงเหยายังคงอาศัยอยู่ในบ้านของเฉินผิงอันที่ตรอกหนีผิง ชายที่นางเรียกว่าอาจารย์หร่วนยอมรับปากว่าจะหลอมกระบี่ให้นางอย่างเกินความคาดหมาย ที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่านั้นก็คืออาจารย์หร่วนยังบอกด้วยว่าการหลอมกระบี่ครั้งนี้ หากโชคดี ครึ่งปีก็ออกจากเตาได้ หากโชคไม่ดี รอสิบปีก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะหลอมสำเร็จ หนิงเหยากลับใจกว้างอย่างมาก นางกล่าวยิ้มๆ ว่าตัวเองโชคดีมาโดยตลอด จะยอมรอครึ่งปีก็แล้วกัน

แม้ทุกวันหนิงเหยาจะอยู่อาศัยในบ้านบรรพบุรุษของเฉินผิงอัน แต่พวกไหต้มยาอะไรต่างๆ ล้วนย้ายมาไว้ที่ร้านหมดแล้ว เพื่อที่เฉินผิงอันจะได้ไม่ต้องคอยเทียวไปเทียวมา ส่วนเฉินผิงอันก็พักอยู่ที่บ้านของหลิวเสี้ยนหยาง หลักๆ แล้วเป็นเพราะกลัวจะถูกขโมยขึ้นบ้าน ก่อนหน้านี้กลางดึกเฉินผิงอันยังไปเก็บหินในธารน้ำ แต่ผลกลับกลายเป็นว่าไม่ได้ติดมือกลับมาแม้แต่ก้อนเดียว ต่อให้เป็นในหลุมลึกข้างหินหลังควายก็ยังคลำไม่เจอหินดีงูสักก้อน หากฟังตามคำบอกของหนิงเหยาก็คือ ของเล่นอย่างหินดีงูนี้พอๆ กับคน จำเป็นต้องมีจิงชี่เสินครบ หากไม่มีก็เป็นได้แค่เครื่องประดับที่ถูกจัดวางไว้ในบ้านตระกูลคนมีเงินทั่วๆ ไปเท่านั้น แต่หากมีจิงชี่เสินก็เหมือนคนที่สวมชุดคลุมมังกร ความต่างระหว่างทั้งสอง หนึ่งคือแผ่นฟ้า หนึ่งคือผืนดิน

นี่จึงทำให้ทุกครั้งที่เดินอยู่ริมธารน้ำ เฉินผิงอันอดที่จะทอดถอนใจไม่ได้

หนิงเหยาเอากุญแจเก่าๆ พวงหนึ่งกลับมาให้เฉินผิงอัน บอกว่ามีคนทิ้งไว้ในลานบ้าน จากนั้นนางทดลองดูแล้ว เป็นกุญแจบ้านซ่งจี๋ซินที่อยู่ติดกันจริงดังคาด ตั้งแต่ประตูหน้าบ้านไปยันประตูบ้าน จนกระทั่งถึงห้องต่างๆ ล้วนสามารถเปิดออกได้หมด เฉินผิงอันเดาไม่ออกว่าซ่งจี๋ซินคิดอะไรอยู่ ตามหลักแล้วด้วยนิสัยฟุ่มเฟือยใช้เงินมือเติบของเขา น่าจะไม่ต้องการให้ตนช่วยเก็บกวาดบ้านอะไรให้ เพราะอย่างไรซะด้วยนิสัยของซ่งจี๋ซิน ต่อให้บ้านพังถล่มลงมา เกรงว่าเขาก็คงยังไม่ยินดีให้คนนอกเข้าไปในถิ่นของเขา

เฉินผิงอันรู้จักซ่งจี๋ซินดียิ่งกว่าใคร

ซ่งจี๋ซินเป็นคนที่ใจกว้างมาก ไม่ว่าจะเป็นการใช้เงินเพื่อตัวเขาเอง หรือเพื่อสาวใช้จื้อกุย ในถุงมีเงินสิบเหรียญทองแดงก็กล้าจ่ายออกไปหมด ขณะเดียวกันซ่งจี๋ซินก็เป็นคนที่ขี้เหนียวมากคนหนึ่ง ขอแค่เป็นสิ่งของที่เขาต้องการยึดครองคนเดียว เขาจะไม่ยอมมอบให้คนอื่นแม้แต่เสี้ยว พูดง่ายๆ ก็คือหากซ่งจี๋ซินต้องการให้อะไรใคร ต่อให้เป็นทองพันชั่งก็ยังมองเป็นฝนปรอยๆ แต่หากคนอื่นเป็นฝ่ายขออะไรจากเขา เขาจะไม่สบอารมณ์อย่างถึงที่สุด อารมณ์ดีหน่อยก็พร้อมจะปักดอกไม้ลงบนผ้าแพรเพื่อใครสักคน (ปักดอกไม้ลงบนผ้าแพรหมายถึงทำสิ่งที่ดีอยู่แล้วให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป) แต่ไม่ว่าจะอารมณ์ดีหรือไม่ดี ซ่งจี๋ซินจะไม่มีทางหยิบยื่นถ่านร้อนให้ใครยามหิมะตกเด็ดขาด (หมายถึงการหยิบยื่นความช่วยเหลือให้แก่คนที่กำลังยากลำบาก)

หรือจะเป็นจื้อกุยที่จงใจทิ้งกุญแจบ้านของเขาเอาไว้?

เฉินผิงอันรู้สึกว่าความเป็นไปได้มีไม่มาก

ระหว่างนี้เมื่อเฉินผิงอันได้ยินว่าหนิงเหยาเอากุญแจพวงนั้นไปเปิดประตู เขาก็อ้าปากตาค้างไปเล็กน้อย ทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดชะงักไปเสียก่อน

ดังนั้นหนิงเหยาจึงหรี่ตาทั้งคู่ลง คิ้วทั้งคู่ที่เหมือนกระบี่แคบยาวของนางแผ่พลังน่าเกรงขามมากเป็นพิเศษ นางจ้องเฉินผิงอันเขม็ง

ตอนนั้นหร่วนซิ่วยืนเหม่อมองภาพเหตุการณ์นี้อยู่ไม่ไกลพลางแอบกินขนมกินเล่นที่ไหว้วานให้เฉินผิงอันซื้อมาให้จากในเมือง

สุดท้ายหนิงเหยาเป็นฝ่ายหมุนตัวจากไปก่อน วันนั้นนางไม่ได้ให้เฉินผิงอันต้มยาให้ แต่ประคองเอาหม้อยาไปหาที่ว่างด้านหลังร้านตีเหล็กแล้วลงมือทำด้วยตัวเอง เด็กสาวไม่เพียงแต่ถูกควันรมจนหน้าลายพร้อย หม้อใบใหญ่ยังถูกนางต้มจนไหม้เป็นสีดำทะมึน เด็กสาวชุดเขียวมัดผมหางม้าเดินผ่านมาไกลๆ เดินด้วยพลางแทะเมล็ดแตงอย่างเพลิดเพลิน

หนิงเหยานั่งยองอยู่บนพื้นดิน จ้องไปยังตัวยาสมุนไพรในหม้อใบนั้นอย่างดุดัน รู้สึกว่าการต้มยายากกว่าการฝึกกระบี่ฝึกดาบมากนัก ใบหน้าของเด็กสาวเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองไม่พอใจ บนโลกนี้มีเรื่องที่ข้าหนิงเหยาทำได้ไม่ดีด้วยหรือ? บนโลกใบนี้ไม่สมควรมีการต้มยาเอาเสียเลย!

เฉินผิงอันเดินมาอยู่ข้างกายนางเงียบๆ ช่วยนางต้มยาหม้อใหม่ ท่าทางคุ้นเคยคล่องแคล่ว

ริมฝีปากหนิงเหยาสั่นระริกเบาๆ ไม่ได้เอ่ยห้ามปราม เพียงฉวยโอกาสตอนที่เฉินผิงอันไม่ให้ความสนใจเช็ดคราบเปื้อนบนใบหน้า

เด็กหนุ่มนั่งยองอยู่ข้างหม้อยา จ้องเปลวไฟอย่างตั้งใจ มือทั้งสองข้างวางทับซ้อนกันบนเข่า แล้วเอาคางวางบนหลังมือของตัวเองอีกที

หนิงเหยาแค่นเสียงเย็น “อยากหัวเราะก็หัวเราะ!”

เฉินผิงอันไม่ได้หัวเราะนาง ยังคงจ้องมองเปลวเพลิงสีเขียวที่ส่ายไหวเบาๆ พลางเอ่ยเสียงแผ่ว “ข้าไม่ได้คิดว่าแม่นางหนิงจะทำเรื่องชั่วร้ายอะไร เพียงแต่ว่าจะอย่างไรซะกุญแจพวงนั้นก็เป็นของคนอื่น ไม่ว่ามันจะร่วงมาอยู่ที่ลานบ้านของพวกเราด้วยสาเหตุใด ก็ไม่ควรเอาไปเปิดประตู ต่อให้ชั่วชีวิตนี้ทั้งซ่งจี๋ซินและจื้อกุยจะไม่กลับมาเมืองนี้อีก แต่สุดท้ายแล้วบ้านข้างๆ ก็ยังคงเป็นบ้านของพวกเขา พวกเราเป็นเพียงคนนอก”

หนิงเหยาเบ้ปาก “คนดีเกินเหตุ สมองมีปัญหา พิถีพิถันไม่เข้าเรื่อง เอาแต่บ่นๆๆ อยู่ได้!”

เฉินผิงอันและหนิงเหยาหันหน้าไปมองแทบจะพร้อมๆ กัน เห็นชายหนุ่มเรือนกายสูงโปร่งคนหนึ่ง ท่วงท่าสง่างาม แค่มองก็รู้ว่าเป็นคนต่างถิ่น บวกกับเป็นบัณฑิตด้วย

เฉินผิงอันค้นพบว่าสายตาที่คนผู้นี้มองตนประหลาดอย่างยิ่ง ทั้งไม่วางตัวสูงส่งเหนือกว่าเหมือนวานรเฒ่าเขาตะวันเที่ยง หรือฝูหนันหัวแห่งนครมังกรเฒ่า แต่ก็ไม่เหมือนกับนักพรตลู่หรือแม่นางหนิง สายตาของชายหนุ่มคนนั้นซับซ้อนสับสนอย่างยิ่ง คล้ายมีทั้งความสงสาร ชื่นชม บวกกับรังเกียจเดียดฉันท์อยู่เสี้ยวหนึ่ง

สุดท้ายชายหนุ่มคนนั้นก็เลือกที่จะจากไปเงียบๆ

หนิงเหยาขมวดคิ้ว “แค่ดูก็รู้แล้วว่ามาหาเจ้า เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”

เฉินผิงอันเองก็มึนงงอยู่เหมือนกัน จึงส่ายหัว “ไม่รู้เหมือนกัน”

หลังจากถูกคนต่างถิ่นท่าทางประหลาดผู้นั้นมาขัดจังหวะ ความแง่งอนระหว่างเด็กหนุ่มเด็กสาวที่น้อยนิดจนไม่อาจเรียกได้ว่าบาดหมางนั่นก็หายไปอย่างรวดเร็ว

เพียงแต่ว่าไม่นานชายหนุ่มผู้นั้นก็ย้อนกลับมา ข้างกายยังมีหญิงสาวขาเรียวยาวมากมาเพิ่มอีกคนหนึ่ง แล้วก็ไม่รู้ว่าทำไมมีหร่วนซิ่วด้วย

หร่วนซิ่วจึงเป็นฝ่ายเปิดปากอธิบาย “พวกเขาพูดภาษาถิ่นของเมืองไม่ได้ เลยให้ข้ามาช่วย เฉินผิงอัน พี่สาวคนนี้ก็คือคนที่ช่วยหลิวเสี้ยนหยาง แซ่เฉินเหมือนกับเจ้า แต่ไม่ใช่คนของแจกันสมบัติทวีปบูรพาเรา ข้างกายพี่หญิงเฉินคนนี้คือหลานชายคนโตของสกุลเฉินเมืองหลงเหว่ย แซ่เฉิน นามซงเฟิง จากคำบอกของพี่หญิงเฉิน ดูเหมือนว่าเฉินซงเฟิงจะเป็นคนสกุลเฉินสายเดียวกับเจ้า นับว่าเป็นญาติห่างๆ เมื่อหลายร้อยปีก่อนได้กระมัง ส่วนพี่หญิงเฉิน ต่อให้ย้อนเวลาไกลไปหนึ่งหรือสองพันปีก็ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเจ้าเลย คราวนี้พี่หญิงเฉินมากราบไหว้บรรพบุรุษ แต่คนในเมืองแห่งนี้ นับจากจวนผู้ตรวจการงานเตาเผาไปจนถึงตระกูลใหญ่ๆ ที่อยู่บนถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่ต่างก็ไม่มีใครรู้ว่าสุสานของบรรพบุรุษตระกูลพี่หญิงเฉินอยู่ที่ไหนอีกแล้ว หลิวเสี้ยนหยางเลยพูดถึงเจ้า บอกว่าเจ้าคือคนที่คุ้นเคยกับเทือกเขาและลำธารรอบเมืองมากที่สุด มาหาเจ้าย่อมไม่ผิดแน่ พี่หญิงเฉินเลยบอกว่าหากเจ้าสามารถช่วยได้ นางจะจ่ายค่าตอบแทนเป็นเหรียญทองแดงแก่นทองหนึ่งถุง ข้ารู้สึกว่าเจ้าสามารถรับปากได้…”

กล่าวมาถึงตรงนี้ เด็กสาวชุดเขียวแอบชูสองนิ้วประกบกันแล้วส่ายอยู่ข้างเอว นอกจากนี้ยังทำปากเป็นคำว่า “สองถุง”

เห็นได้ชัดว่าหร่วนซิ่วต้องการเตือนให้เฉินผิงอันพยายามโก่งราคาเต็มที่ หาไม่แล้วหากผ่านหมู่บ้านนี้ไปก็ไม่มีร้านนี้อีก (เปรียบเปรยว่าเมื่อเจอโอกาสต้องรีบคว้าไว้ ไม่งั้นเมื่อผ่านไปแล้วก็อาจผ่านเลยไป)

เฉินผิงอันใคร่ครวญอย่างละเอียดแล้วจึงเอ่ยยิ้มๆ ว่า “ข้าคิดถึงสถานที่แห่งหนึ่งขึ้นมาได้ บางทีอาจเป็นสถานที่ที่นางกำลังตามหา ส่วนค่าตอบแทนก็ช่างเถอะ แค่เดินนำทางไม่กี่ก้าวเท่านั้น”

หร่วนซิ่วเริ่มร้อนใจ

หนิงเหยากลับเดินขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว นางกล่าวด้วยภาษาทางการที่สง่างามของแจกันสมบัติทวีปบูรพา “ให้เฉินผิงอันพาเจ้าไปหาหลุมศพของบรรพบุรุษนั้นไม่มีปัญหา แต่เจ้าต้องจ่ายด้วยเหรียญทองแดงแก่นทองสองถุง ห้ามต่อรอง! คราวนี้เขาบาดเจ็บหนักมาก ไม่อาจลำบากลำบนเดินทางไกล เจ้าเองก็รู้ดีว่าตอนนี้ท่านฉีให้คนรีบออกไปจากเมือง เฉินผิงอันเป็นเพียงแค่คนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น แต่กลับต้องรีบรุดเดินทาง เงินหนึ่งถุง ไม่พอ”

อันที่จริงตอนที่เฉินตุ้ยและเฉินซงเฟิงมองเห็นเด็กสาวคนนี้ครั้งแรกต่างก็ตาเป็นประกาย

เห็นนางก็ลืมความธรรมดาไปอย่างสิ้นเชิง

ประหนึ่งมองเห็นต้นจือหลัน (หมายถึงต้นไอริสและต้นกล้วยไม้) ที่ยืนตระหง่านโดดเด่นอยู่ท่ามกลางทุ่งข้าวอันกว้างใหญ่

เฉินตุ้ยมองประเมินเด็กสาวตรงหน้าอย่างเปิดเผย สวมชุดกระโปรงสีเขียว พกดาบห้อยกระบี่ เห็นแล้วเจริญหูเจริญตา อารมณ์ที่หนักอึ้งขุ่นข้องของเฉินตุ้ยดีขึ้นมาเล็กน้อย จึงกล่าวพร้อมยิ้มบางๆ “ขอแค่เจอหลุมศพของบรรพบุรุษตระกูลข้า ข้าก็เต็มใจจ่ายด้วยเงินสองถุง แต่คำพูดไม่น่าฟังเอามาพูดกันก่อน หากหาไม่เจอ ข้าจะไม่ให้พวกเจ้าแม้แต่ถุงเดียว ตกลงไหม?”

หนิงเหยาตอบรับเสียงหนักแน่น “ตกลงตามนี้!”

ตั้งแต่ต้นจนจบดูเหมือนจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับเฉินผิงอันเลย

หนิงเหยาจ้องเฉินผิงอันไม่ละสายตา ดวงตาทั้งคู่เต็มไปด้วยความหมายที่ว่า “เจ้าห้ามบ่นจู้จี้กับข้า ไม่อย่างนั้นข้าจะฟันคนจริงๆ”

เฉินผิงอันข่มกลั้นรอยยิ้มเอาไว้ ครุ่นคิดอย่างจริงจัง ก่อนพูดกับหร่วนซิ่วว่า “รบกวนเจ้าบอกกับพวกเขาด้วยว่า ข้าต้องช่วยแม่นางหนิงต้มยาให้เสร็จก่อน ยังต้องใช้เวลาอีกประมาณสองเค่อ (สามสิบนาที) จากนั้นข้าจะไปคุยกับหลิวเสี้ยนหยาง สุดท้ายยังต้องให้แม่นางหร่วนช่วยบอกกับอาจารย์หร่วนสักคำว่า งานที่ข้ายังไม่ได้ทำในวันนี้ พรุ่งนี้จะต้องชดเชยให้อย่างแน่นอน”

หลังจากได้ยินว่าเฉินผิงอันไม่อาจเดินทางได้ทันที สีหน้าของเฉินตุ้ยก็ไม่สบอารมณ์เล็กน้อย นางมองเด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่ไม่รู้จักความหวังดีของคนอื่นด้วยสีหน้าเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างเอาแน่นอนไม่ได้

เฉินผิงอันไม่ได้มีความลังเลใจคิดจะถอยให้

หนิงเหยาก็ยิ่งยกมือสองข้างขึ้นกอดอก หัวเราะเสียงเย็นชา

เฉินตุ้ยข่มกลั้นความขุ่นเคืองในใจ พร่ำท่องว่าสถานการณ์โดยรวมสำคัญที่สุด จึงเอ่ยกับหร่วนซิ่วด้วยรอยยิ้ม “ซิ่วซิ่ว บอกกับเขาว่า พวกเราจะไปรอเขาที่สะพาน อย่างมากสุดครึ่งชั่วยาม หากยังไม่เห็นเงาก็ให้เจ้าหมอนี่เตรียมแบกรับผลลัพธ์ที่จะตามมาด้วยตัวเองได้เลย”

หร่วนซิ่วอืมรับหนึ่งคำอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน

เฉินตุ้ยกับเฉินซงเฟิงจึงพากันจากไป

หร่วนซิ่วเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะไปบอกท่านพ่อสักหน่อย”

หลังจากเฉินผิงอันต้มยาให้หนิงเหยาเสร็จก็ไปหาหลิวเสี้ยนหยาง

ในห้องที่มีกลิ่นยาเข้มข้นอบอวล พอหลิวเสี้ยนหยางที่นอนอยู่บนเตียงได้ยินเสียงฝีเท้าก็หันหน้ามามอง สีหน้าของเขายังคงไม่มีเลือดฝาด แต่เมื่อเทียบกับความซีดเซียวก่อนหน้านี้แล้วยังนับว่าดีกว่าเดิมมาก

หลิวเสี้ยนหยางเค้นรอยยิ้มส่งให้ เอ่ยเสียงแหบพร่า “ผู้หญิงที่ชื่อเฉินตุ้ยไปหาเจ้าแล้วรึ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “อีกเดี๋ยวข้าต้องพาพวกเขาขึ้นเขา”

หลิวเสี้ยนหยางครุ่นคิด “ข้าจะจากไปพร้อมกับนาง ไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่ว่ากันว่าใหญ่กว่าแจกันสมบัติทวีปบูรพาของพวกเราเสียอีก”

อันที่จริงก่อนหน้านี้เฉินตุ้ยก็เคยมาหาหลิวเสี้ยนหยางแล้วหนึ่งครั้ง แต่หลังจากครั้งนั้น หลิวเสี้ยนหยางกลับไม่มีความสนใจนัก ยิ่งไม่มีท่าทีว่าจะเล่าให้เฉินผิงอันฟังว่าพูดคุยอะไรกับนางไปบ้าง

หลิวเสี้ยนหยางกระตุกมุมปาก “อันที่จริงแม้แต่แจกันสมบัติทวีปบูรพาคืออะไร ข้าก็ยังไม่รู้”

เฉินผิงอันโน้มตัวลงช่วยจัดผ้าห่มให้เขา เอ่ยยิ้มๆ “แล้วเจ้านึกว่าข้ารู้หรือไง?”

หลิวเสี้ยนหยางกลอกตา ถามว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าเป็นห่วงอะไรมากที่สุด?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า

หลิวเสี้ยนหยางหันกลับไปมองเพดานห้องอีกครั้ง “อยู่ที่นี่จะดีจะชั่วก็ยังมีเจ้าช่วยประคองข้าลงจากเตียง หลังจากนั้นก็ยังพอจะกัดฟันจัดการธุระของตัวเองได้ พอออกจากเมืองไป ถ้าอยากถ่ายหนักถ่ายเบาเวลาเดินทางจะทำอย่างไร? หรือข้าต้องบอกกับพวกเขาว่า นี่ พวกเจ้าใครก็ได้มาช่วยข้าที อย่างนี้เหรอ?”

เฉินผิงอันนั่งลงบนเก้าอี้ ได้แต่เกาหัว

หลิวเสี้ยนหยางพลันหัวเราะ “แต่พอคิดอีกทีว่า ขนาดตายก็ยังเคยตายมาแล้ว ยังจะกลัวเรื่องนี้ไปทำไม?”

เฉินผิงอันกล่าวว่า “สุดท้ายแล้วชีวิตจะต้องดีขึ้นเรื่อยๆ วางใจเถอะ ผู้เฒ่าเหยาเคยบอกไม่ใช่เหรอว่า หากรอดตายจากหายนะใหญ่มาได้ ย่อมต้องมีโชคดีรออยู่”

พอพูดถึงผู้เฒ่าเหยา หลิวเสี้ยนหยางก็รู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย “ชั่วชีวิตของผู้เฒ่าเหยาเคยพูดดีๆ อยู่แค่ไม่กี่คำ แต่คำพูดอัปมงคล คำด่า คำสาปแช่งกลับมีเป็นกระบุงโกย”

หนิงเหยายืนอยู่นอกประตู นางก็ไม่พูดอะไรเหมือนกัน

เฉินผิงอันช่วยห่มผ้าห่มให้หลิวเสี้ยนหยางอีกครั้ง แล้วจึงกล่าวว่า “ข้าจะพาพวกเขาไปขึ้นเขาแล้ว เจ้าพักผ่อนดีๆ”

หลิวเสี้ยนหยางพยักหน้ารับ “ระวังตัวด้วย”

เฉินผิงอันเดินออกจากห้องเบาๆ หนิงเหยาเดินเคียงไหล่ไปพร้อมกับเขา เฉินผิงอันถามอย่างแปลกใจ “เจ้าก็จะขึ้นเขาด้วยหรือ?”

หนิงเหยาขมวดคิ้ว “ข้าไม่เชื่อใจคนแซ่เฉินสองคนนั่น”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ก็จริง ระวังตัวไว้ย่อมไม่ผิด”

คนทั้งสองเดินเร็วๆ อยู่ริมธารน้ำ หนิงเหยากล่าวว่า “คนต่างถิ่นของเมืองพากันจากไปได้เจ็ดแปดส่วนแล้ว”

สายฟ้าแห่งวสันตฤดูสะเทือนเลือนลั่น แมลงจำศีลตกใจตื่นจึงพากันเดินออกมา

คนสองกลุ่มมาเจอกันทางฝั่งทิศใต้ของสะพาน

นอกจากหนิงเหยาและหลิวป้าเฉียวผู้ฝึกกระบี่สวนลมฟ้าที่มาชมเรื่องสนุกแล้ว อีกสามคนที่เหลือคือเฉินตุ้ยจากทวีปอื่น เฉินซงเฟิงแห่งเมืองหลงเหว่ยของทวีปนี้ และเฉินผิงอันจากตรอกหนีผิงของเมืองเล็ก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version