บทที่ 487 ไม่เสียทีที่เป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพ
นครปี้ฮว่ากินอาณาบริเวณเท่ากับขนาดของเมืองหงจู๋ เพียงแต่ว่าตรอกซอกซอยค่อนข้างจะระเกะระกะ ความกว้างความแคบไม่แน่นอน ส่วนใหญ่ล้วนเอียงลาด อีกทั้งยังมีจวนหรือหอสูงน้อย นอกจากร้านค้ามากมายที่มีขนาดเหมือนก้อนเต้าหู้แล้ว ยังมีร้านผ้าห่อบุญอีกเป็นจำนวนมากที่ตั้งแผงลอยเอาไว้ เสียงเรียกลูกค้าดังขึ้นๆ ลงๆ แทบไม่ต่างจากเสียงไก่ขันหมาเห่าในหมู่บ้านชนบท แน่นอนว่าที่มากกว่านั้นก็คือพ่อค้าหาบเร่ที่เงียบงัน พวกเขาจะนั่งยองอยู่ข้างทาง ห่อไหล่สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ ไม่สนใจคนที่เดินอยู่บนถนน อยากดูก็ดู อยากซื้อก็ซื้อ
เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของนครปี้ฮว่า มีคำบอกเล่าที่แตกต่างหลากหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาพขุนนางหญิงแห่งสรวงสวรรค์ที่ถูกวาดไว้บนผนังที่มีความงามเลิศล้ำในแบบที่แตกต่างกันออกไป สำนักพีหมาที่มาเลือกสถานที่แห่งนี้เป็นที่เปิดขุนเขาตั้งสำนักก็ยิ่งเก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ
เฉินผิงอันเดินๆ หยุดๆ ไปตลอดทาง เวลาประมาณหนึ่งถ้วยชา เขาที่เดินตามกระแสคนจำนวนมากที่มาเยือนเพราะได้ยินชื่อเสียงของที่แห่งนี้มานานก็มาหยุดอยู่ที่หน้าผนังแถบหนึ่ง ผนังภูเขาสูงสิบกว่าจั้ง ภาพวาดเปี่ยมล้นไปด้วยพลังอำนาจ เฉินผิงอันที่ยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนเงยหน้ามองตามทุกคน เนื้อหาในภาพวาดฝาผนังนี้ก็คือเรือนกายของเทพหญิงรูปร่างอรชรที่ยืนหันข้างคล้ายกำลังเดินไปข้างหน้า ท่วงท่าสีหน้าของนางมีชีวิตชีวา ใต้เฝ้าเท้ามีก้อนเมฆมงคลผุดรับ ตรงเอวรัดจานฝนหมึกชิ้นหนึ่งที่ไม่ค่อยพบเห็นในปัจจุบันแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเส้นแสงหรือปราณวิญญาณที่อยู่ในภาพวาดฝาผนัง เห็นเพียงว่าสายตาของเทพหญิงมีประกายไหลวนทำให้ดูเหมือนคนที่มีชีวิตจริง
เทพหญิงบนฝาผนังภาพนี้ถูกคนรุ่นหลังตั้งชื่อให้ว่า ‘กว้าเยี่ยน (ห้อยจานฝนหมึก)’ สีสันใช้สีเขียวเข้มเป็นหลัก แต่ก็มีการไล่สีแต้มขอบทองอย่างพอเหมาะพอเจาะ ประหนึ่งการวาดมังกรแต้มนัยน์ตา เป็นเหตุให้ภาพฝาผนังหนาหนักแต่ไม่ขาดกลิ่นอายความเป็นเซียน มองปราดๆ ทำให้คนรู้สึกเหมือนมองอักษรแบบหวัดในตำรา มองดูเหมือนตวัดพู่กันเรียบง่าย แต่หากเพ่งมองอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นรอยยับของเสื้อผ้า เครื่องประดับ หรือเส้นลายบนผิวพรรณ แม้กระทั่งขนตาก็ล้วนละเอียดเป็นพิเศษ ประหนึ่งใช้อักษรบรรจงแบบตัวเล็กคัดคัมภีร์ แต่ละพู่กันที่ตวัดสอดคล้องกับกฎเกณฑ์
ดูท่าแล้วคนที่วาดจะต้องเป็นจิตรกรมือหนึ่งที่ฝีมือสุดยอดเลิศล้ำคนหนึ่งอย่างแน่นอน
เฉินผิงอันเข้าใจภาษาทางการของอุตรกุรุทวีปแค่ระดับหนึ่งเท่านั้น ดังนั้นคำวิพากษ์วิจารณ์ของคนข้างกาย เขาจึงฟังออกแค่คร่าวๆ ภาพวาดบนฝาผนังแปดภาพในเมืองใต้ดินแห่งนี้ ตลอดหลายพันปีที่ผ่านมาได้ถูกคนมีวาสนาของแต่ละยุคแต่ละสมัยทยอยกันดึงเอาโชควาสนาห้าส่วนที่มาจากเจตนารมณ์สวรรค์ไปแล้ว อีกทั้งเมื่อเทพหญิงทั้งห้าท่านเดินออกมาจากภาพวาด เลือกเจ้านายเพื่อให้การปรนนิบัติรับใช้แล้ว สีสันบนภาพวาดก็จะจางหายไปในเสี้ยววินาที ลวดลายของภาพยังคงอยู่ เพียงแต่เปลี่ยนไปเหมือนการวาดลายเส้นบนกระดาษขาวเท่านั้น ไม่ได้มีสีสันสดใสสะดุดตาอีกต่อไป อีกทั้งปราณวิญญาณยังไหลหายไปด้วย ดังนั้นภาพบนฝาผนังทั้งห้าจึงถูกสำนักพีหมาเชื้อเชิญบรรพบุรุษของสำนักที่มีอักษรจงในชื่อจากหลิวเสียทวีปซึ่งสนิทสนมกันมานานท่านหนึ่ง ให้มาใช้วิชาลับเฉพาะร่ายปิดภาพวาดเอาไว้ หลีกเลี่ยงไม่ให้ภาพฝาผนังที่สูญเสียการประคับประคองจากปราณวิญญาณถูกกาลเวลากัดเซาะให้สูญสลายไป
นักท่องเที่ยวที่มาเที่ยวชมสถานที่แห่งนี้ ส่วนใหญ่ล้วนมาเพื่อชมความงามล่มเมืองของเทพหญิง แน่นอนว่าเฉินผิงอันเองก็ดูด้วย เพราะถ้าไม่ดูก็ถือว่ามาเสียเที่ยว ถึงอย่างไรก็เป็นแค่ภาพวาดฝาผนังเท่านั้น ดูไปแล้วจะยังเป็นอย่างไรได้อีก
เพียงแต่ความสนใจส่วนใหญ่ของเฉินผิงอันอยู่ที่จานฝนหมึกโบราณขนาดเล็กที่สตรีห้อยไว้ตรงเอวมากกว่า เขาพอจะมองเห็นตัวอักษรโบราณสองคำว่า ‘ฟ้าแลบ’ ที่สลักเอาไว้ได้อย่างเลือนราง การที่เขาอ่านออกต้องยกคุณความชอบให้กับ ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ ที่หลี่ซีเซิ่งมอบให้ ในตำราเล่มนั้นมีตัวอักษรฉงเหนี่ยว (ตัวอักษรนกและแมลง คือตัวอักษรโบราณชนิดหนึ่งของจีน รูปแบบของตัวอักษรคล้ายภาพนกและแมลง) อยู่มาก ซึ่งในความเป็นจริงแล้วตัวอักษรประเภทนี้ได้หายสาบสูญไปจากใต้หล้าไพศาลนานแล้ว
บริเวณใกล้เคียงกับผนังแถบนี้มีร้านค้าร้านหนึ่งเปิดอยู่ ซึ่งขายสำเนาคัดลอกของภาพเทพหญิงนี้ไว้โดยเฉพาะ ราคาไม่เท่ากัน หนึ่งในนั้นคือสมุดกระดาษไขที่ใช้การเขียนแบบสองตะขอเติมเต็ม (ซวงโกวคว่อเถียนคือเทคนิคการวาดภาพและเขียนพู่กันของจีนอย่างหนึ่ง คือการใช้เส้นตวัดปลายงอเป็นตะขอในวาดเค้าโครงของวัตถุ เนื่องจากจะใช้เส้นสองเส้นที่อาจจะซ้ายกับขวา หรือบนกับล่างประกบกันจึงเรียกว่าซวงโกวหรือสองตะขอ และการเติมหมึกในช่องวางของเส้นที่วาดร่างเอาไว้ก็เรียกว่าคว่อเถียน) ที่มีราคาแพงที่สุด ภาพหนึ่งที่มีขนาดเท่าพัดก็กล้าตั้งราคาเริ่มต้นไว้ที่ยี่สิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ แต่เฉินผิงอันก็เห็นว่าสำเนาภาพนี้วาดได้งดงามอย่างแท้จริง ไม่เพียงแต่รูปร่างเหมือนภาพบนฝาผนัง ยังมีความเหมือนทางจิตวิญญาณอีกสองสามส่วน เฉินผิงอันจึงซื้อมาสองภาพ คิดว่าในอนาคตตนจะเก็บไว้ภาพหนึ่งและมอบให้จูเหลี่ยนภาพหนึ่ง
จูเหลี่ยนเคยบอกว่า เรื่องของการเก็บของสะสมนั้นมีข้อต้องห้ามใหญ่หลวงที่สุดก็คือการเก็บปะปนกันมั่วซั่ว
ร้านแห่งนี้มีเด็กหนุ่มเด็กสาวคู่หนึ่งเป็นผู้ดูแลกิจการ เด็กสาวไม่ค่อยสนใจลูกค้าเท่าใดนัก แต่เด็กหนุ่มกลับคล่องแคล่วว่องไว พอเห็นว่าเฉินผิงอันซื้อภาพที่แพงที่สุดในร้านก็เริ่มแนะนำภาพชุดแบบเติมเต็มซึ่งบรรจุภาพวาดของเทพหญิงห้าภาพครบชุดให้แก่แขกผู้มีเกียรติอย่างเฉินผิงอัน สมุดเล่มนี้บรรจุไว้ในกล่องไม้สีแดงสด เด็กหนุ่มบอกว่าลำพังแค่ราคาของกล่องไม้นี้ ต้นทุนก็หลายเหรียญเงินเกล็ดหิมะแล้ว
เฉินผิงอันเอามือปาดผ่านกล่องไม้เบาๆ เนื้อไม้เนียนเรียบลื่น ปราณวิญญาณบางเบาแต่บริสุทธิ์ น่าจะมาจากภูเขาตระกูลเซียนจริงๆ
เด็กหนุ่มยังบอกอีกว่าภาพเทพหญิงอีกสองภาพที่เหลือหาซื้อที่นี่ไม่ได้ ลูกค้าต้องเดินไปอีกหน่อยถึงจะซื้อจากร้านอื่นได้ ตอนนี้นครปี้ฮว่าเหลือร้านที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษของใครของมันอยู่อีกแค่สามร้าน เหล่าพวกผู้อาวุโสได้ร่วมกันตั้งกฎเอาไว้ ไม่อนุญาตให้แย่งกันทำการค้า แต่ภาพทั้งห้าที่ถูกสำนักพีหมาปิดการทำสำเนาคัดลอกเอาไว้แล้วล้วนสามารถหาซื้อได้จากทั้งสามร้าน
เฉินผิงอันคิดแล้วก็บอกว่าขอดูก่อน จากนั้นก็เก็บภาพเทพหญิง ‘กว้าเยี่ยน (ห้อยจานฝนหมึก)’ แผ่นนั้นกลับไป แล้วจึงเดินออกมาจากร้าน
ส่วนเรื่องโชควาสนาจากเทพหญิงอะไรนั่น เฉินผิงอันไม่แม้แต่จะคิดถึงด้วยซ้ำ
ได้ยินพวกนักท่องเที่ยวพูดคุยกันว่าหากเทพหญิงเดินออกมาจากภาพวาดก็จะปรนนิบัติรับใช้เจ้านายไปชั่วชีวิต ในประวัติศาสตร์คนทั้งห้าในภาพวาดล้วนผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกับเจ้านายของตัวเอง จากนั้นอย่างน้อยก็สามารถพากันเลื่อนขั้นสู่เซียนดินก่อกำเนิดได้ หนึ่งในนั้นมีบัณฑิตตกอับที่พรสวรรค์การฝึกตนธรรมดาที่พอได้รับความโปรดปรานจากเทพหญิง ‘ไม้เท้าเซียน’ ไป ก็ฝ่าทะลุขอบเขตครั้งแล้วครั้งเล่าอย่างเหนือการคาดการณ์ของทุกคน สุดท้ายกลายเป็นผู้ฝึกตนใหญ่ขอบเขตเซียนเหรินในประวัติศาสตร์ของอุตรกุรุทวีป เรียกได้ว่าได้กอดสาวงามกลับบ้านอย่างแท้จริง เทพเซียนบนภูเขาก็ได้เป็นแล้ว ชีวิตนี้เดินมาถึงขั้นนี้ก็ไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว
ตอนนั้นเฉินผิงอันฟังจนเหงื่อออกเต็มฝ่ามือ รีบดื่มเหล้าระงับความตกใจของตัวเอง ขาดก็แค่ไม่ได้ยกมือขึ้นพนมเท่านั้น เขาภาวนาในใจเงียบๆ ว่าขอให้ผู้อาวุโสเทพหญิงบนผนังสายตาสูงสักหน่อย อย่าได้ตาบอดมาหมายตาตนเลย
หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็ไปเยือนภาพวาดฝาผนังที่เหลืออีกสองภาพ และยังซื้อสมุดสำเนาเติมเต็มที่แพงที่สุดมา รูปแบบเหมือนกับที่ซื้อจากร้านแรก ร้านค้าที่อยู่ใกล้เคียงก็ขายภาพเทพหญิงทั้งห้าครบชุดเหมือนกัน ราคาเหมือนกับที่เด็กหนุ่มคนก่อนหน้านี้บอก นั่นคือหนึ่งร้อยเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ไม่ลดราคาแล้ว ภาพขุนนางหญิงสองภาพที่เหลือนี้แบ่งออกเป็นชื่อ ‘สิงอวี่ (โปรยฝน)’ และ ‘ฉีลู่ (ขี่กวาง)’ ฝ่ายแรกถือถ้วยหยกสีขาวเอียงลงเบื้องล่างเล็กน้อย นักท่องเที่ยวพอจะมองเห็นได้ว่าในถ้วยมีริ้วคลื่นแสงเป็นประกาย และยังมีเจียวหลงตัวหนึ่งส่องแสงสีทองระยิบระยับ ฝ่ายหลังขี่กวางเจ็ดสีตัวหนึ่ง ชุดกระโปรงของเทพหญิงลากสะบัดอยู่ด้านหลัง พลิ้วไหวล่องลอยดุจเซียน เทพหญิงท่านนี้ยังสะพายกระบี่ไม้ไร้ฝักสีเขียวไว้บนหลังอีกหนึ่งเล่ม บนกระบี่สลักสามคำว่า ‘สายลมแห่งความสุข’
เฉินผิงอันเดินปะปนไปกับกระแสผู้คนตลอดทาง ฟังให้มากและมองให้มาก
ระหว่างนี้มีบทสนทนาหนึ่งที่ทำให้คนหลงใหลในทรัพย์สินอย่างเฉินผิงอันรู้สึกสนใจ คิดว่าจะต้องทำตัวเป็นร้านผ้าห่อบุญดูสักครั้ง การมาเยือนอุตรกุรุทวีปครั้งนี้ นอกจากจะเพื่อฝึกกระบี่แล้วก็อาจจะถือโอกาสลองทำการค้าดู ถึงอย่างไรในวัตถุจื่อชื่อและวัตถุฟางชุ่นก็แทบจะว่างโล่งอยู่แล้ว
มีคนที่เดินอยู่บอกว่าภาพเทพหญิงของนครปี้ฮว่าแห่งนี้ เนื่องจากฝีมือการวาดงามวิจิตรอย่างยิ่ง อีกทั้งยังมีชื่อเสียงที่ผู้คนตลอดทั้งเหนือและใต้ในทวีปรู้จัก ทางแถบทิศเหนือของอุตรกุรุทวีปจึงมักจะมีผู้ฝึกตนที่ให้ราคาสูง ค่อนข้างได้รับความนิยมในวงการขุนนางของทางทิศเหนือ ถึงขั้นที่ว่ายังมีเซียนซือตระกูลเศรษฐียินดีจ่ายด้วยเงินห้าเหรียญเงินร้อนน้อยเพื่อซื้อภาพเทพหญิงแห่งนครปี้ฮว่าครบชุดทั้งแปดภาพ
เฉินผิงอันใคร่ครวญอย่างละเอียดก็เริ่มรู้สึกว่ามีผลประโยชน์ให้ฉกฉวย แต่ต่อมาก็รู้สึกว่าไม่ค่อยถูกต้องนัก คิดว่าเรื่องดีๆ เช่นนี้ก็เหมือนมีเงินเหรียญทองแดงพวงหนึ่งหล่นอยู่บนพื้น ขอแค่เป็นผู้ฝึกตนที่พอจะมีเงินทุนมีพื้นฐานทางครอบครัวสักหน่อยก็ล้วนสามารถหยิบขึ้นมา ช่วงชิงราคาที่แตกต่างกันได้ เฉินผิงอันจึงมองประเมินนักท่องเที่ยวที่พูดคุยกันอยู่ห่างไปไม่ไกลกลุ่มนั้นให้มากขึ้น มองดูแล้วไม่เหมือนกับพวกหน้าม้าของร้านค้าทั้งสาม เขาจึงขบคิดต่ออีกครั้ง แล้วก็เริ่มจะกระจ่างแจ้ง อาณาเขตของอุตรกุรุทวีปกว้างใหญ่ไพศาล ชายหาดโครงกระดูกตั้งอยู่ทางทิศใต้สุด เดิมทีการนั่งโดยสารเรือตระกูลเซียนก็เป็นการใช้จ่ายที่ไม่น้อยก้อนหนึ่งอยู่แล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่ภาพเทพหญิงจะขายได้ราคาสูงหรือไม่ก็ต้องดูว่าเป็นสิ่งที่อีกฝ่ายชื่นชอบจนรู้สึกว่าต่อให้มีเงินพันชั่งก็หาซื้อไม่ได้หรือไม่ นี่ค่อนข้างจะขึ้นอยู่กับบุพเพวาสนา ต้องดูที่โชคชะตาไม่มากก็น้อย อีกอย่างก็ต้องดูที่ว่าอัตราการผลิตภาพชุดของทั้งสามร้านเป็นอย่างไร หลายปัจจัยรวมเข้าด้วยกันก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะมีผู้ฝึกตนที่ยินดีจะหากำไรเล็กเท่าหัวแมลงวันที่ค่อนข้างเปลืองแรงนี้
แน่นอนว่านี่ก็อาจจะเป็นช่องทางการจำหน่ายที่ทางร้านค้าและสำนักพีหมาของชายหาดโครงกระดูกกำหนดไว้แน่นอนแล้ว ก็แค่คนนอกไม่รู้เท่านั้น
เรื่องของการหาเงินนั้น
เฉินผิงอันเดินทางมาไกลขนาดนี้ ในบรรดาคนที่เขารู้จัก ซุนเจียซู่แห่งนครมังกรเฒ่า ต่งสุ่ยจิ่งแห่งเขตการปกครองหลงเฉวียน คือคนที่ทำได้ดีที่สุด ไม่พูดถึงซุนเจียซู่ที่มีกิจการใหญ่โตอยู่แล้ว พูดถึงแค่ต่งสุ่ยจิ่งที่มีชาติกำเนิดจากตรอกเก่าโทรม แต่จู่ๆ กลับ ‘ร่ำรวยขึ้นมากะทันหัน’ ท่าทีในการหาเงินของเขาทำให้เฉินผิงอันรู้สึกนับถือมากที่สุด ทั้งๆ ที่เจริญรุ่งเรืองแล้ว ต่งสุ่ยจิ่งก็ยังไปมาหาสู่กับบุคคลยิ่งใหญ่อย่างนายอำเภอหยวน ผู้ตรวจการเฉา และยังมีกวนอี้หรานที่กำลังจะไปเยี่ยมเยียนผูกมิตรอีก ทว่าเงินเล็กๆ น้อยๆ จากร้านขายเกี๊ยวน้ำ เขาก็ยังคงไม่ปล่อยทิ้งเปล่า แม้จะบอกว่ากิจการร้านค้าของต่งสุ่ยจิ่งในตอนนี้จะเหมือนการปลูกฝังอารมณ์และความรู้สึกของตระกูลคนรวยในสายตาของคนบางคนมากกว่า แต่ต่งสุ่ยจิ่งก็ยังคงมานะขันแข็ง มุ่งมั่นตั้งใจ ไม่เลอะเลือนเลยแม้แต่น้อย
นี่ต่างหากถึงจะเป็นคนทำการค้า คือเคล็ดลับทางธุรกิจที่ควรจะมี
ดังนั้นเฉินผิงอันจึงไปหาเถ้าแก่ของทั้งสองร้าน สอบถามว่าจะสามารถซื้อสำเนาภาพวาดรวดเดียวได้กี่มากน้อย จะลดราคาให้ได้หรือไม่ ร้านหนึ่งส่ายหน้าโดยตรง บอกว่าต่อให้เจ้าซื้อสินค้าคงคลังที่มีอยู่ในร้านไปจนหมดก็ลดให้ไม่ได้แม้แต่เหรียญเกล็ดหิมะเดียว ไม่เหลือพื้นที่ให้ปรึกษากันเลยแม้แต่น้อย อีกร้านหนึ่ง เจ้าของร้านคือหญิงชราหลังค่อม นางยิ้มตาหยีย้อนถามว่าลูกค้าสามารถซื้อชุดภาพเทพธิดาได้กี่ชุด เฉินผิงอันถามว่าในร้านเหลืออีกกี่ชุด หญิงชราบอกว่าสมุดภาพแบบเติมเต็มนั้นเป็นงานละเอียด กว่าสินค้าแต่ละชิ้นจะออกจำหน่ายได้ต้องใช้เวลานานมาก อีกอย่างจิตรกรที่เป็นผู้วาดสมุดภาพนี้ก็เป็นเค่อชิงผู้เฒ่าของสำนักพีหมามาโดยตลอด จิตรกรคนอื่นจึงไม่กล้าวาดแข่งกับเขา เค่อชิงผู้เฒ่าไม่ยินดีจะวาดเพิ่ม หากไม่เป็นเพราะทางฝั่งของสำนักพีหมามีกฎ ตามคำบอกของจิตรกรผู้เฒ่าท่านนี้ ทุกครั้งที่ถูกพวกอันธพาลที่มีความคิดชั่วร้ายในโลกมองหนึ่งครั้ง เขาก็จะเกิดอุปสรรคในการตวัดพู่กันหนึ่งขีด ช่างเป็นเงินที่หามาได้ด้วยความลำบากใจยิ่งนัก จากนั้นหญิงชราก็พูดอย่างตรงไปตรงมาบอกว่า ทางร้านไม่ต้องกังวลเรื่องช่องทางการขายอยู่แล้ว จึงไม่ได้เก็บเอาไว้มากนัก ตอนนี้ในร้านเหลือแค่สามสิบชุดเท่านั้น ไม่ช้าก็เร็วต้องขายหมดอยู่ดี กล่าวมาถึงตรงนี้ หญิงชราก็คลี่ยิ้ม ถามเฉินผิงอันว่าในเมื่อเป็นเช่นนี้ หากลดราคาก็เท่ากับว่าขาดทุน ใต้หล้ามีคนที่ทำการค้าเช่นนี้ด้วยหรือ?
เฉินผิงอันจนใจ แล้วก็เพราะเห็นแก่ที่หญิงชราพูดจาจริงใจ จึงจ่ายเงินเกล็ดหิมะยี่สิบเหรียญซื้อกล่องมาหนึ่งชุด ภาพเทพหญิงทั้งห้าในกล่องแบ่งออกเป็นชื่อ ‘ฉางฉิง’ ‘เป่าไก้’ ‘หลิงจือ’ ‘ชุนกวน’ และ ‘จ่านคาน’ เทพหญิงทั้งห้าแบ่งออกเป็นถือโคมดอกบัว ประคองฉัตร ในอ้อมอกกอดหลิงจือหยกขาวสมปรารถนา ร้อยบุปผาล้อมวน นกขมิ้นบินรอบ คนสุดท้ายแตกต่างไปจากคนอื่นเพราะสวมเสื้อเกราะถือขวาน มีสายฟ้าเปล่งวูบวาบ องอาจห้าวหาญมากเป็นพิเศษ
เฉินผิงอันย้อนกลับมาร้านแรกอีกครั้ง สอบถามจำนวนสมุดภาพที่มีอยู่ในร้านและเรื่องของการลดราคา เด็กหนุ่มมีท่าทางลำบากใจเล็กน้อย แต่เด็กสาวคนนั้นกลับคลี่ยิ้มทันใด ชำเลืองตามองเด็กหนุ่มที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กแล้วส่ายหน้า คงจะรู้สึกว่าลูกค้าต่างถิ่นผู้นี้หน้าเลือดไปหน่อย จึงง่วนทำงานของตัวเองต่อไป ยามเผชิญหน้ากับลูกค้าที่เข้านอกออกในร้าน ไม่ว่าจะคนแก่หรือเด็ก นางก็ยังคงไม่มีรอยยิ้มมอบให้
สุดท้ายเด็กหนุ่มค่อนข้างพูดง่าย แล้วก็อาจจะเพราะหน้าบางกว่าหน่อย ทนมองเฉินผิงอันที่ยิ้มมองเขาไม่ไหวจึงแอบพาเฉินผิงอันไปที่ห้องด้านหลังร้าน ขายกล่องไม้ให้เฉินผิงอันสิบชุด และเก็บเงินเกล็ดหิมะเฉินผิงอันน้อยกว่าเดิมสิบเหรียญ
หลังจากคิดเงินเรียบร้อย ตอนที่เฉินผิงอันออกไปจากร้านจึงมีห่อสัมภาระสะพายพาดเอียงๆ ไว้ด้านหลังเพิ่มมาหนึ่งใบ
เด็กสาวใช้ไหล่กระแทกเด็กหนุ่มเบาๆ พูดหยอกว่า “มีใครเขาทำการค้าแบบเจ้าบ้าง ลูกค้าตื๊อเจ้าไม่กี่คำ เจ้าก็พยักหน้าตอบตกลงแล้ว”
เด็กหนุ่มกล่าวอย่างจนใจ “ก็ข้าเหมือนท่านปู่ทวดนี่นา อีกอย่างข้าก็แค่มาช่วยเจ้าทำงาน ไม่ได้เป็นคนทำการค้าจริงๆ เสียหน่อย”
เด็กสาวเป็นคนแบ่งแยกเรื่องส่วนตัวและเรื่องส่วนรวมอย่างชัดเจน นางเอ่ยกำชับเขาว่า “ข้าไม่สนหรอกนะ ข้าเห็นกับตาว่าทางร้านขาดเงินเกล็ดหิมะไปสิบเหรียญ วันหน้าเจ้าไปหาทางชดเชยมาจากท่านปู่ทวดเอาเอง ขอร้องให้เขาเพิ่มภาพวาดให้ร้านข้ามากๆ หน่อย”
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “วางใจเถอะ ท่านปู่ทวดรักข้าที่สุดแล้ว คนอื่นขอร้องเขาไม่เป็นผล แต่หากเป็นข้า ท่านปู่ทวดดีใจแทบไม่ทันด้วยซ้ำ”
เด็กสาวพลันเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าได้บอกกับลูกค้าหรือไม่ว่า เดินทางอยู่นอกบ้านไม่ควรโอ้อวดทรัพย์สินของตัวเอง ในร้านมีคนเยอะหลายสายตา เขาสะพายสมุดภาพไปมากขนาดนั้น ไม่ใช่เงินก้อนเล็กๆ เลย ช่วงนี้นครปี้ฮว่ามีทั้งปลาและมังกรปะปนกัน เต็มไปด้วยมลพิษสกปรก ชอบรังแกคนต่างถิ่นมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นการต้มตุ๋นหลอกลวงแบบไหนก็ทำได้ลง เจ้าไม่ได้เตือนเขาเลยหรือ? ดูจากท่าทางที่เขาต่อรองราคากับเจ้าแล้ว หากเจ้าไม่ตกลง เขาคงอยากจะมาเป็นลูกจ้างร้านเราเต็มที แถมยังพูดสำเนียงต่างถิ่นเช่นนั้น แค่มองก็รู้แล้วว่าไม่ใช่คนที่มีเงินทองมากนัก ยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งควรต้องระวังถึงจะถูก”
เด็กสาวทำการค้าด้วยนิสัยยินดีรับคนที่พร้อมจะมาติดกับ มีเพียงเวลาอยู่กับเด็กหนุ่มเท่านั้นที่นางไม่ขี้เหนียวคำพูด คิดดูแล้วคงจะเป็นคนที่หน้าตาเย็นชา แต่ในใจอุ่นร้อนกระมัง
เด็กหนุ่มอึ้งตะลึง แล้วตบหัวตัวเองหนึ่งที พูดอย่างละอายใจว่า “ข้าลืมไปเลย!”
เด็กสาวถลึงตาใส่ กดเสียงต่ำพูดว่า “แล้วยังไม่รีบตามไปอีก! เจ้าเป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักพีหมา ใกล้จะต้องลงจากภูเขาไปหาประสบการณ์แล้ว เหตุใดยังทำอะไรไม่รอบคอบเช่นนี้”
เด็กหนุ่มร้องอ้อหนึ่งที “แล้วร้านค้าจะทำอย่างไรล่ะ?”
เด็กสาวหัวเราะอย่างฉุนๆ “ข้าอยู่ที่นี่มาตั้งแต่เด็ก ผ่านมานานหลายปีขนาดนี้แล้ว เจ้าเพิ่งจะลงเขามาช่วยแค่ไม่กี่ครั้ง แค่เจ้าไม่อยู่ ข้าก็จะเปิดร้านไม่ได้เลยหรือไง?”
เด็กหนุ่มจึงวิ่งห้อออกมาจากร้าน จนกระทั่งหาจอมยุทธพเนจรต่างถิ่นที่สวมงอบคนนั้นเจอแล้วก็พูดเรื่องที่ควรระวังให้เขาฟังเบาๆ
—
ไม่เสียทีที่เป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพ
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ ตอบกลับ “ตกลง ขอบคุณมากที่มาเตือน”
เด็กหนุ่มโบกมือ แล้วก็หมุนตัวเตรียมจะวิ่งกลับร้าน
เฉินผิงอันเอ่ยถาม “ขอละลาบละล้วงถามอะไรสักหน่อยได้ไหม?”
เด็กหนุ่มหยุดเท้าทันที หันมาพยักหน้ารับ “ถามมาได้เลย อะไรที่พูดได้ ข้าจะไม่ปิดบังแน่นอน”
เฉินผิงอันถาม “ภาพฝาผนังเทพหญิงแปดภาพนี้มีโชควาสนายิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้น เหตุใดสำนักพีหมาถึงไม่ล้อมปิดไว้? ต่อให้ลูกศิษย์ของตัวเองไม่อาจคว้าโชควาสนาไว้ได้ แต่น้ำดีไม่ไหลเข้านาของคนอื่น นี่มิใช่หลักการทั่วไปหรอกหรือ?”
เด็กหนุ่มยิ้มกล่าว “สำนักพีหมาไม่ได้ขี้เหนียวขนาดนั้น แทนที่จะยึดครองพื้นที่วิเศษ ฮุบเอาโชควาสนาไว้เพียงลำพัง ไม่สู้สร้างบุญสัมพันธ์กับพวกคนที่มีโชควาสนา ศาลบรรพจารย์ของสำนักพีหมามีประโยคหนึ่งที่สืบทอดต่อกันมา ‘คนอย่างเราฝึกตนบนมหามรรคา จงจำไว้ว่าอย่าทำตัวเหมือนพ่อค้าหาบเร่ที่แย่งชิงถนนหนทาง’”
เฉินผิงอันขบคิดประโยคนี้อย่างละเอียดแล้วก็เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “สำนักพีหมาช่างใจกว้างองอาจยิ่งนัก!”
เด็กหนุ่มหัวเราะชอบใจทันใด อย่าเห็นว่าเด็กหนุ่มตัวไม่สูง หน้าตาก็ธรรมดา เพราะแท้จริงแล้วเขาก็คือลูกศิษย์ฝ่ายในของศาลบรรพจารย์สำนักพีหมา ฝึกตนจนพอจะประสบความสำเร็จ จึงเป็นเหตุให้สามารถเก็บความคิดจิตใจไว้ภายใน แม้ว่าอายุจะยังน้อยมาก แต่ลำดับศักดิ์กลับไม่ต่ำ เพียงแต่รู้จักกับเด็กสาวของร้านในนครปี้ฮว่ามาตั้งแต่เด็ก พอมีโอกาสก็จะลงจากภูเขามาช่วยงาน เมื่อกลับไปถึงสำนักพีหมา ผู้ฝึกตนเฒ่าผมขาวโพลนที่ต้องเรียกขานเขาว่าอาจารย์อาน้อยก็มีอยู่ไม่น้อย
เอ่ยขอบคุณเด็กหนุ่มอีกครั้ง เฉินผิงอันก็เดินตรงไปยังทางเข้า ในเมื่อซื้อภาพเทพหญิงทั้งหลายมาแล้ว ในฐานะต้นทุนในการเปิดร้านทำกิจการที่อุตรกุรุทวีปแห่งนี้ก็ถือว่าไม่ได้มาเสียเที่ยว จึงไม่คิดจะเดินเที่ยวชมนครปี้ฮว่าต่ออีก อันที่จริงตลอดทางเขาก็ได้เห็นอาวุธของผู้ฝึกตนผีที่วางขายตามร้านน้อยใหญ่ ยังไม่พูดถึงว่าวัตถุเหล่านั้นดีหรือเลว แต่ราคากลับแพงมากจริงๆ คาดว่าหากจะหาของดีและของชั้นยอดจริงๆ คงต้องอยู่ที่นี่สักระยะเวลาหนึ่ง ค่อยๆ ตามหาร้านเก่าแก่ที่หลบอยู่ตามหลืบลึกของตรอกซอกซอย ถึงจะมีโอกาสได้เจอของดี ไม่อย่างนั้นเถ้าแก่หวงของเรือข้ามฟากก็คงไม่เอ่ยเตือน เพียงแต่เฉินผิงอันไม่คิดจะมาเสี่ยงดวง นอกจากนี้หุ่นเชิดวิญญาณหยินที่ยอดเยี่ยมที่สุดของนครปี้ฮว่าที่จะซื้อมาเป็นข้ารับใช้ ก็เป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นที่สุดสำหรับเฉินผิงอัน ดังนั้นเขาจึงเร่งเดินทางไปยังศาลเทพลำคลองเหยาเย่ที่ห่างจากสำนักพีหมาไปหกร้อยลี้
ออกจากนครปี้ฮว่า มองไอเมฆหมอกที่ล้อมวนเวียนอยู่บนยอดเขาบดบังสำนักพีหมาที่อยู่สูงขึ้นไป อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็นึกถึงภูเขาไท่ผิงของใบถงทวีปขึ้นมาอย่างอดไม่ได้
ตรงตีนเขาผู้คนเบียดเสียดกันแน่นขนัด จวนตระกูลเซียนที่มีผู้สืบทอดสายตรงสามสิบหกคน และฝ่ายนอกหนึ่งร้อยแปดคนแห่งนี้ สำหรับถ้ำสถิตที่มีอักษรคำว่าจงในชื่อแล้ว ผู้ฝึกตนก็ถือว่าน้อยไปหน่อยจริงๆ บนภูเขาก็คงจะเงียบสงัดวังเวงอยู่ไม่น้อย
อันที่จริงภูเขาลั่วพั่วของตนในตอนนี้ก็ไม่ได้ต่างกันสักเท่าไหร่
คนยังน้อยเกินไป
แต่ในอนาคตหากมีคนมาเพิ่ม เฉินผิงอันก็เป็นกังวลเหมือนกัน กังวลว่าจะมีกู้ช่านคนที่สองปรากฎขึ้น ต่อให้จะเป็นแค่กู้ช่านครึ่งตัว เฉินผิงอันก็น่าจะหัวโตแล้ว
ลัทธิเต๋าเคยมีเรื่องราวของคนเมืองฉี่กังวลว่าฟ้าจะถล่ม (เปรียบเปรยถึงคนที่มัวกังวลอยู่กับเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง) เฉินผิงอันเปิดอ่านอยู่หลายครั้ง ยิ่งอ่านก็ยิ่งรู้สึกว่าชวนให้ขบคิดอย่างยิ่ง
เฉินผิงอันปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลงมาดื่มเหล้า ขยับห่อสัมภาระให้เข้าที่ เก็บความคิดทั้งหมดกลับคืนแล้วออกเดินทางไกลต่ออีกครั้ง
ยังคงเดินเท้าไปเบื้องหน้า
ส่วนลมหายใจช้าเร็วและฝีเท้าที่ตื้นหรือลึก เขาจงใจคงสภาพให้อยู่ในลักษณะของผู้ฝึกยุทธห้าขอบเขตทั่วไปในโลก
ศาลเทพลำคลองหาได้ง่ายมาก ขอแค่เดินเลียบไปตามลำคลองเหยาเย่ จากนั้นก็ขึ้นเหนือไปอีกระยะทางหนึ่งก็ได้แล้ว หุบเขาผีร้ายตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของศาลแห่งนั้น จึงพอจะถือว่าไปทางเดียวกันได้
ผืนน้ำของลำคลองเหยาเย่กว้างขวางอย่างยิ่ง มองไปไม่เห็นจุดสิ้นสุด กระแสน้ำลึกไหลช้า ให้ความรู้สึกคล้ายทะเลสาบแห่งหนึ่ง
ลำคลองเหยาเย่ไม่มีสะพาน ว่ากันว่าเทพลำคลองผู้นี้ไม่ชอบให้คนมาเดินอยู่เหนือหัวของเขา ดังนั้นจึงมีท่าเรือและเรือข้ามฟากอยู่เป็นจำนวนมาก เฉินผิงอันหยุดพักเท้าที่ท่าเรือเล็กๆ แห่งหนึ่ง ดื่มชาอินเฉินของท้องถิ่นหนึ่งถ้วย โดยทั่วไปแล้วน้ำที่นำมาใช้ต้มชา น้ำในลำคลองถือว่าเป็นระดับล่างๆ ชาอินเฉินของที่นี่เอาน้ำมาจากในลำคลอง แต่น้ำชากลับหวานสดชื่น คาดว่าคงจะเกี่ยวข้องกับโชคชะตาน้ำที่เข้มข้นของลำคลองเหยาเย่เป็นแน่ โชคชะตาน้ำโชติช่วง อีกทั้งยังประทานคุณให้แก่สองฟากฝั่งโดยที่มองไม่เห็น ต้นไม้ใบหญ้าจึงเขียวชอุ่มหนาครึ้ม ต้นกกต้นอ้อกอใหญ่ขึ้นเรียงเป็นแถบ เป็นช่วงต้นฤดูหนาว แต่กลับยังคงเป็นสีเขียวสดปลั่ง เป็นเหตุให้มีนกน้ำบินมาเกาะพักพิงอยู่เป็นจำนวนมาก
ตลอดทางที่เดินมานี้ บางครั้งก็พอจะเห็นผู้ฝึกตนที่มาท่องเที่ยวได้บ้าง ข้างกายพวกเขามีผู้ติดตามวิญญาณหยินที่สวมเสื้อเกราะเสียดสีกันส่งเสียงดังเคร้งคร้าง แต่ฝีเท้ากลับแผ่วเบาแทบไม่แตะฝุ่น เหมือนยอดฝีมือในยุทธภพของแคว้นใต้อาณัติเล็กๆ ในแจกันสมบัติทวีป เสื้อเกราะที่สวมอยู่บนร่างเป็นเกราะชั้นดี สลักอักขระยันต์ของลัทธิเต๋า เส้นสีเงินสีทองตัดสลับกันส่องประกายแสงระยิบระยับ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ของธรรมดา วิญญาณหยินร่างกำยำสวมหน้ากากที่แทบจะปิดบังใบหน้าทั้งหมด ผิวพรรณที่เปิดเปลือยส่วนใหญ่ล้วนเป็นสีเขียวเข้ม
น้ำของหนึ่งพื้นที่หล่อเลี้ยงคนของหนึ่งพื้นที่ ผู้ฝึกตนของอุตรกุรุทวีป ไม่ว่าขอบเขตจะสูงหรือต่ำ เมื่อเทียบกับความระมัดระวัง สำรวมตนของผู้ฝึกตนในแจกันสมบัติทวีปยามที่เดินอยู่ตามท่าเรือใหญ่ๆ แล้ว ผู้ฝึกตนของที่แห่งนี้ล้วนมีสีหน้าไม่แยแสผู้ใด หยิ่งทระนงในตนเองอย่างยิ่ง
หากเผยเฉียนมาถึงที่นี่ คาดว่าคงจะเป็นดั่งปลาที่ได้น้ำเลยกระมัง
เฉินผิงอันสั่งน้ำชาอินเฉินมาอีกสองถ้วย ไม่ใช่ว่าเฉินผิงอันกระหายจนต้องดื่มเหมือนวัวกินน้ำเช่นนี้ แต่กฎของร้านน้ำชาคือน้ำชาสามถ้วยราคาหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ดื่มไม่ถึงสามถ้วยก็คิดเริ่มต้นที่หนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะเหมือนกัน
เฉินผิงอันไม่ได้รีบร้อนเดินทางมากนัก เขาจึงค่อยๆ ดื่มชา และโต๊ะสิบกว่าตัวในร้านก็มีคนนั่งไปแล้วเกินครึ่ง ล้วนเป็นคนที่มาพักเท้าอยู่ที่นี่ เพราะหากเดินทางไปอีกหนึ่งร้อยลี้กว่าจะมีโบราณสถานแห่งหนึ่ง ริมตลิ่งของลำคลองเหยาเย่แถบนั้นมีวัวเหล็กยุคบรรพกาลที่ล้มกองกับพื้นอยู่ตัวหนึ่ง ประวัติความเป็นมาไม่แน่ชัด ระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุด เกือบจะใกล้เคียงกับสมบัติอาคม ยังไม่ถูกเทพลำคลองของลำคลองเหยาเย่รับเข้าไปพิทักษ์โชคชะตาน้ำ แล้วก็ไม่ถูกผู้ฝึกตนใหญ่ของชายหาดโครงกระดูกเก็บเข้าไปไว้ในกระเป๋า เคยมีเซียนดินคนหนึ่งพยายามจะขโมยของสิ่งนี้ไป แต่จุดจบกลับไม่ค่อยดีนัก เทพลำคลองแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นเรื่องนี้ แล้วก็ไม่ได้ร่ายใช้วิชาอภินิหารขัดขวาง ทว่าน้ำในลำคลองเหยาเย่กลับซัดเชี่ยวไหลกรากโถมตัวกลบฟ้ากลบดิน ถึงขนาดม้วนหอบเอาเซียนดินโอสถทองผู้นั้นเข้าไปในลำคลองโดยตรง จนกระทั่งเขาจมน้ำตายทั้งเป็น หลังจากนั้นมาก็ไม่มีใครกล้าปรารถนาอยากครอบครองวัวเหล็กหนักหลายแสนชั่งตัวนี้อีกเลย
เฉินผิงอันเพิ่งจะดื่มน้ำชาถ้วยที่สองหมด ห่างไปไม่ไกลก็มีลูกค้าของโต๊ะหนึ่งทะเลาะกับลูกจ้างในร้านน้ำชาด้วยเรื่องที่ว่าน้ำชาสี่ชาม เหตุใดทางร้านถึงต้องเก็บเงินถึงสองเหรียญเงินเกล็ดหิมะ
เถ้าแก่เป็นชายฉกรรจ์ท่าทางเกียจคร้าน เห็นลูกจ้างของตัวเองทะเลาะกับลูกค้าจนหน้าดำหน้าแดงกลับรู้สึกมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น เขาฟุบตัวนอนคว่ำอยู่บนโต๊ะคิดเงินที่เต็มไปด้วยคราบน้ำมันพลางกินอาหารของตัวเองอยู่เพียงลำพัง ด้านหน้าวางจานกับแกล้มเอาไว้ นั่นคือขึ้นฉ่ายน้ำรสชาติสดใหม่ที่เก็บมาจากริมตลิ่งลำคลองเหยาเย่ ลูกจ้างหนุ่มก็เป็นคนนิสัยดื้อดึง ไม่ขอความช่วยเหลือจากเถ้าแก่ คนคนเดียวถูกลูกค้าสี่คนรุมล้อม แต่เขาก็ยังคงยืนกรานในความคิดของตัวเองว่า หากไม่ควักเงินเกล็ดหิมะสองเหรียญมาจ่ายแต่โดยดี ถ้าเช่นนั้นก็ต้องมีความสามารถมากพอจะชักดาบไม่จ่ายเงิน เพราะถึงอย่างไรทางร้านน้ำชาก็ไม่คิดจะรับเงินขาวสักแดงเดียวอยู่แล้ว
ชายฉกรรจ์เคราดกใบหน้าเป็นสีม่วง ด้านหลังมีข้ารับใช้วิญญาณหยินที่มีพลังอำนาจน่าตื่นตะลึงตนหนึ่งยืนอยู่ ด้านหลังของหุ่นเชิดที่สำนักพีหมาเป็นผู้สร้างตนนี้สะพายหีบใบใหญ่ ชายฉกรรจ์ใบหน้าม่วงเตรียมจะลงไม้ลงมือให้แตกหักกันไปข้าง แต่กลับถูกสตรีโตเต็มวัยพกดาบที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนม้านั่งยาวคนหนึ่งเอ่ยเกลี้ยกล่อม ชายฉกรรจ์จึงควักเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญออกมาตบลงบนโต๊ะอย่างแรง “สองเหรียญเงินเกล็ดหิมะใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นก็หามาทอนข้าผู้อาวุโส!”
นี่เห็นได้ชัดว่าจะสร้างความลำบากใจและความโมโหให้แก่ร้านน้ำชา
ผู้ฝึกตนบนภูเขา รวมไปถึงผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่มีฝีมือติดตัว ยามเดินทางอยู่ข้างนอก โดยทั่วไปแล้วจะเตรียมเงินเกล็ดหิมะไว้มากกว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่น่าจะขาดเงินนี้ได้ ส่วนเงินร้อนน้อยนั้น แน่นอนว่าต้องพอมีบ้าง เพราะถึงอย่างไรวัตถุนี้ก็เบากว่าเงินเกล็ดหิมะ สะดวกในการพกพามากกว่า หากเป็นเซียนดินที่พอจะมีวัตถุฟางชุ่นประเภทเนินเซียนขนาดเล็ก หรือคลังอาวุธจิ๋ว หรือได้รับสมบัติสืบทอดจากตระกูลเซียนบนภูเขาลูกใหญ่มาตั้งแต่เด็ก ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ส่วนเงินฝนธัญพืชที่ล้ำค่ามากกว่านั้น ไม่ใช่ว่ายิ่งมีมากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี เพราะสถานที่ที่สามารถใช้เงินฝนธัญพืชได้นั้น มีไม่ค่อยมาก เว้นเสียจากว่าพอลงจากภูเขามาก็ไปทำการแลกเปลี่ยนครั้งใหญ่โดยตรง
ผลคือถูกลูกจ้างหนุ่มย้อนกลับว่า “ทำไมเจ้าไม่ควักเงินฝนธัญพืชออกมาเลยเล่า?”
ชายฉกรรจ์ใบหน้าม่วงถลึงตา ยกสองมือกอดอก “อย่ามัวพูดมาก เร็วๆ เข้า อย่าถ่วงเวลาการไปจุดธูปบูชาศาลเทพลำคลองของข้าผู้อาวุโส!”
ในที่สุดชายฉกรรจ์ที่เป็นเจ้าของร้านก็เปิดปากช่วยคลี่คลายสถานการณ์ “พอเถอะ รีบหาเงินมาทอนลูกค้าเร็ว”
ลูกจ้างหนุ่มหยิบเงินร้อนน้อยเดินไปที่ด้านหลังโต๊ะคิดเงินแล้วทรุดตัวลงนั่งยอง ก่อนที่เสียงใสแจ๋วของเหรียญเงินกระทบกันจะดังขึ้นเป็นระลอก แล้วเขาก็หิ้วถุงเงินเกล็ดหิมะใบหนึ่งออกมาตบลงบนโต๊ะอย่างแรง “เอาไป!”
ชายฉกรรจ์ใบหน้าม่วงคลี่ยิ้ม กวักมือหนึ่งครั้ง ข้ารับใช้วิญญาณหยินที่อยู่ด้านหลังก็คว้าเงินเกล็ดหิมะหนักอึ้งถุงนั้นขึ้นมาใส่ไว้ในหีบด้านหลัง
ลูกจ้างหนุ่มพูดหน้าเคร่ง “โปรดอภัยที่ไม่ได้ไปส่ง ไปแล้วไปลับไม่ต้องกลับมาอีก”
ชายฉกรรจ์ใบหน้าม่วงควักเงินร้อนน้อยอีกเหรียญออกมาวางบนโต๊ะ ยิ้มเหี้ยมเอ่ยว่า “เอาชาอินเฉินมาอีกสี่ชาม”
ลูกจ้างหนุ่มพูดอย่างขุ่นเคือง “มารดาเจ้าเถอะ ไม่จบไม่สิ้นสักทีหรือไง?!”
สตรีโตเต็มวัยที่นั่งขัดสมาธิอยู่บนม้านั่งบิดกาย เดิมทีเรือนร่างของนางก็งดงามน่าหลงใหลอยู่แล้ว พอบิดตัวเช่นนี้ก็ยิ่งทำให้เห็นส่วนเว้าส่วนโค้งชัดเจนขึ้น นางยิ้มหวานเอ่ยกับลูกจ้างหนุ่ม “ในเมื่อทำการค้าที่เปิดประตูต้อนรับลูกค้า นิสัยก็อย่าได้บุ่มบ่ามเกินไปนัก แต่พี่สาวก็ไม่โทษเจ้า คนหนุ่มอารมณ์ร้อนเป็นเรื่องปกติ อีกเดี๋ยวน้ำชาถ้วยที่เป็นของพี่สาว พี่สาวจะไม่ดื่มแล้ว ถือว่ายกให้เจ้าเป็นรางวัล ดื่มดับไฟโทสะสักหน่อย”
ลูกค้าโต๊ะอื่นๆ ที่นั่งกันอยู่พากันหัวเราะครืน แล้วยังมีเสียงเฮครึกครื้น ชายฉกรรจ์บางคนถึงกับผิวปากหวือ เพ่งตามองไปยังทัศนียภาพเบื้องหน้าเรือนกายของสตรีผู้นั้น ใจนึกอยากจะใช้ดวงตาของตัวเองกวาดเอาภูเขาสองลูกกลับไปบ้านด้วย
ลูกจ้างหนุ่มอับอายจนพานเป็นความโกรธ กำลังจะอ้าปากด่านังจิ้งจอกแพศยาผู้นี้ ทว่าคนหนุ่มพกกระบี่คนหนึ่งที่อยู่ข้างกายสตรีกลับใช้ฝ่ามือลูบด้ามกระบี่ท่าทางกระเหี้ยนกระหือรือ ราวกับกำลังรอให้ลูกจ้างปากพล่อยผู้นี้เปิดปากหมิ่นเกียรตินาง
ยังดีที่ในที่สุดเถ้าแก่ร้านก็วางตะเกียบลง เอ่ยพูดกับลูกจ้างหนุ่มว่า “พอได้แล้ว ลืมไปแล้วหรือว่าข้าสอนเจ้าไว้อย่างไร? ด่าคนต่อหน้า สร้างหายนะได้มากที่สุด กฎของร้านน้ำชาสืบทอดมาจากบรรพบุรุษ จะโทษที่เจ้าดื้อดึงไม่ได้ ลูกค้าอารมณ์ไม่ดีก็ช่วยไม่ได้เช่นกัน แต่หากจะด่าคนก็อย่าดีกว่า ไม่มีใครเขาทำการค้าเช่นนี้”
จากนั้นชายฉกรรจ์ผู้เป็นเถ้าแก่ก็ยิ้มมองไปยังลูกค้ากลุ่มนั้น “การค้ามีกฎของการค้า แต่ก็เหมือนอย่างที่พี่สาวคนงามผู้นี้พูด เปิดประตูต้อนรับแขกเองนี่นะ ดังนั้นน้ำชาอินเฉินอีกสี่ชามต่อจากนี้ก็ถือเสียว่าข้าขอผูกมิตรกับชายชาตรีทั้งสี่ท่าน ไม่เก็บเงิน ตกลงไหม?”
สตรีสาวสะพรั่งปิดปากหัวเราะคิก เรือนกายประหนึ่งกิ่งบุปผาส่ายไหว
ชายฉกรรจ์ใบหน้าม่วงพยักหน้ารับ เก็บเงินร้อนน้อยเหรียญนั้นมา ดื่มน้ำชาอินเฉินสี่ถ้วยที่นำมาวางบนโต๊ะใหม่อีกครั้งโดยไม่ต้องเสียเงิน แล้วถึงได้ลุกขึ้นเดินจากไป
สตรียังไม่ลืมหันกลับมาชม้อยชม้ายชายตาให้ลูกจ้างหนุ่ม
เฉินผิงอันขมวดคิ้ว ชำเลืองตามองถ้วยขาวที่ยังเหลือน้ำชาอีกเกินครึ่งใบหนึ่งในนั้น ตรงขอบของถ้วยยังมีชาดแดงติดอยู่อย่างที่แทบสังเกตไม่เห็น
ชายฉกรรจ์เถ้าแก่ร้านยิ้มพลางส่ายหน้า เดินอ้อมออกจากโต๊ะคิดเงินมาชิงหยิบถ้วยขาวใบนั้นก่อนหน้าลูกจ้างหนุ่มแล้วโยนทิ้งไปในลำคลองเหยาเย่
เฉินผิงอันดื่มน้ำชาจนหมด วางเงินเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่งไว้บนโต๊ะแล้วลุกขึ้นยืนจากไป
ออกจากนครปี้ฮว่าแล้วผ่านท่าเรือแห่งนี้ของลำคลองจะมีทางแยกปรากฏขึ้น ทางเส้นเล็กอยู่ติดกับลำคลอง ส่วนทางเส้นใหญ่จะห่างจากริมตลิ่งไปเล็กน้อย ในเรื่องนี้ก็มีความพิถีพิถันเช่นกัน เทพลำคลองของที่นี่มีนิสัยชอบความสงบไม่ชอบความครึกครื้น ทางสายใหญ่ของชายหาดโครงกระดูกเส้นนั้น ทุกวันจะต้องมีทั้งรถและม้าวิ่งไม่ขาดสาย ว่ากันว่านั่นเป็นการรบกวนการฝึกตนอย่างสงบของท่านเทพลำคลอง ดังนั้นสำนักพีหมาจึงออกเงินสร้างถนนสองเส้นให้ผู้คนได้สัญจร คนที่ชอบชมทิวทัศน์ก็เดินบนทางสายเล็ก คนที่ทำการค้าก็เดินบนทางสายใหญ่ น้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง
ทางสายเล็กที่เฉินผิงอันเดินอยู่มีคนสัญจรบางตา เพราะถึงอย่างไรต่อให้ทัศนียภาพของลำคลองเหยาเย่ดีแค่ไหนก็เป็นแค่ลำคลองสายใหญ่ที่ราบเรียบสายหนึ่งเท่านั้น นักท่องเที่ยวทั่วไปที่ก่อนหน้านี้ออกมาจากนครปี้ฮว่า ความรู้สึกแปลกใหม่ล้วนถูกใช้หมดไปกับที่นั่นแล้ว ทางดินสายเล็กที่มีแต่หลุมบ่อ เทียบกับทางรถม้าสายใหญ่ที่ราบเรียบไม่ได้ อีกทั้งสองข้างทางยังมีร้านผ้าห่อบุญขนาดเล็กวางแผงขาย เพราะถึงอย่างไรการวางแผงขายที่นครปี้ฮว่าก็ยังต้องจ่ายเงินค่าที่ ไม่มาก แค่หนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ทว่าขายุงก็ยังถือเป็นเนื้อนี่นา
ผลคือพอเฉินผิงอันเดินเลียบทางสายเล็กริมลำคลองไปได้สิบกว่าลี้ก็ได้ยินเสียงด่าของคนที่เหมือนมีใจแต่ไร้กำลังดังออกมาจากพงต้นอ้อต้นกกพงใหญ่ห่างไปไกลแห่งหนึ่ง ก่อนที่คนสี่คนซึ่งช่วยประคองกันจะเดินออกมา ก็คือกลุ่มลูกค้าที่ก่อนหน้านี้ทะเลาะกับลูกจ้างร้านน้ำชา อยู่ดีๆ ท้องของสตรีผู้นั้นก็ส่งเสียงเหมือนฟ้าร้อง นางหอบหายใจเสียงระโหย “โอย มารดาของข้า มาอีกแล้ว” สตรีหมุนตัววิ่งเหยาะๆ โซเซกลับเข้าไปในจุดลึกของพงต้นกก ยังไม่ลืมเอ่ยเตือนว่า “บอกให้หุ่นเชิดที่เจ้าเพิ่งซื้อมาตนนั้นไสหัวไปไกลๆ หน่อย กลางป่ากลางเขาแบบนี้ ไม่ให้พวกบุรุษเห็นก้นของข้า หรือจะปล่อยให้วัตถุหยินตนหนึ่งได้ประโยชน์ไป?”
เฉินผิงอันตามองตรงไปข้างหน้า เพิ่มความเร็วฝีเท้าให้เร็วขึ้น
ชายฉกรรจ์ใบหน้าม่วงผู้นั้นชำเลืองตามองเฉินผิงอัน
บุรุษพกกระบี่ที่อยู่ข้างกายเอ่ยเบาๆ ว่า “บังเอิญขนาดนี้เชียว เจอกันอีกแล้ว คงไม่ได้เป็นพรรคพวกของร้านน้ำชากระมัง? ก่อนหน้านี้เห็นเงินแล้วเกิดความโลภ ตอนนี้ก็เลยคิดจะฉวยโอกาสมาเล่นงานพวกเรา?”
ผู้เฒ่าชุดเทาลักษณะคล้ายพ่อบ้านคนหนึ่งนวดคลึงหน้าท้องที่ยังปวดบิดไม่หายพลางพยักหน้ารับ “ระวังไว้ก่อนเป็นดี”
ชายฉกรรจ์ใบหน้าม่วงสีหน้าดำคล้ำ “คิดไม่ถึงว่าชายหาดโครงกระดูกจะไร้ขื่อไร้แปจริงๆ ร้านน้ำชาที่อยู่ติดกับที่ร้านหนึ่งกลับกล้าทำตัวต่ำทรามขนาดนี้!”
ผู้เฒ่าชุดเทากล่าวอย่างจนใจ “แต่ไหนแต่ไรมาชายหาดโครงกระดูกก็มีคนแปลกที่แปลกถิ่นเยอะอยู่แล้ว พวกเราก็ถือเสียว่าได้เรียนรู้ไว้เป็นบทเรียนแล้วกัน คิดให้มากๆ หน่อยว่าระยะทางต่อจากนี้จะเดินทางกันอย่างไร หากร้านน้ำชาร้านนั้นคิดจะเอาชีวิตพวกเราเพราะหวังชิงทรัพย์จริงๆ ระยะทางก่อนจะไปถึงศาลเทพลำคลองช่วงนี้ก็คงลำบากแล้ว”
ชายหนุ่มมองแผ่นหลังของคนหนุ่มสวมงอบผู้นั้นแล้วทำท่ามือเหมือนมีดที่สับลง “ถ้าอย่างนั้นพวกเราชิงลงมือก่อนเพื่อให้ได้เปรียบดีไหม? ถึงอย่างไรก็ดีกว่าถูกพวกเขาตรวจสอบจนรู้ตื้นลึก จากนั้นก็ลงมือกับพวกเราเหมือนจับตะพาบในไหตรงที่ใดที่หนึ่ง ไม่แน่ว่าหากเราเชือดไก่ให้ลิงดู อีกฝ่ายอาจจะไม่กล้าลงมือตามใจชอบก็ได้”
ชายฉกรรจ์ใบหน้าม่วงรู้สึกว่ามีเหตุผล ผู้เฒ่าชุดเทายังอยากจะวางแผนต่ออีกสักหน่อย ชายฉกรรจ์กลับพูดกับชายหนุ่มมือกระบี่เสียงหนักแล้วว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ลองไปหยั่งเชิงเขาดู จำไว้ว่าทำให้สะอาดเอี่ยมหน่อย ทางที่ดีที่สุดอย่าโยนเข้าไปในลำคลอง หากตกหลุมพรางจริงๆ พวกเรายังต้องพึ่งเทพลำคลองให้ช่วยปกป้อง หากโยนศพลงในลำคลอง ไม่แน่ว่าอาจเป็นการล่วงเกินเทพลำคลองท่านนี้ ต้นกกต้นอ้อพุ่มใหญ่ขนาดนี้ อย่าปล่อยให้เสียเปล่าเลย”
คนหนุ่มพกกระบี่พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็หัวเราะหึหึ “มองดูคล้ายผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่ผ่านขอบเขตหลอมเรือนกายมาแล้ว หากเป็นคนประเภทที่เก็บซ่อนตัวตนอย่างลึกล้ำ มีความกล้าแห่งวีรบุรุษ ไม่พูดถึงว่าแผนจะล่มในช่วงท้าย แต่หากคิดจะเอาตัวมาเค้นความก็คงยุ่งยากไม่น้อย”
ชายฉกรรจ์ชำเลืองตามองผู้เฒ่าชุดเทา ฝ่ายหลังพยักหน้ารับเงียบๆ
แล้วคนทั้งสองก็ทยอยกันพุ่งตัวออกไป
—
ไม่เสียทีที่เป็นคนเก่าแก่ในยุทธภพ
ครู่หนึ่งต่อมา ชายฉกรรจ์ใบหน้าม่วงนวดคลึงท้องที่เริ่มจะเหมือนแม่น้ำพลิกมหาสมุทรคว่ำอีกครั้ง เห็นว่าคนทั้งสองย้อนกลับมาทางเดิมก็ถามว่า “จบเรื่องแล้วหรือ?”
ผู้เฒ่าชุดเทาส่ายหน้า “อยู่ดีๆ ก็หายตัวไปเลย เร็วกว่ากระต่ายเสียอีก แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าเห็นท่าไม่ดีก็เลยไปแอบหลบอยู่ในพงกกพงอ้อ หาตัวเจอได้ยาก”
ชายฉกรรจ์เคราดกใบหน้าม่วงสีหน้าหนักอึ้ง กวาดตามองไปรอบด้าน “ถ้าอย่างนั้นก็หมดหนทางแล้ว เดินไปข้างหน้ากันอีกระยะหนึ่งแล้วพวกเราค่อยลงมือตามสถานการณ์ หากไม่ได้จริงๆ ก็กลับไปที่ท่าเรือ ยอมก้มหัวขอโทษชายฉกรรจ์เถ้าแก่ร้านผู้นั้น ถือเสียว่าพวกเราเป็นมังกรแข็งแกร่งที่สู้งูเจ้าถิ่นไม่ได้ก็แล้วกัน”
สตรีเอามือหนึ่งเท้าเอว เดินโผเผออกมาจากพงต้นกกต้นอ้อ พูดอย่างอิดโรยว่า “ร้านน้ำชานั่นชั่วร้ายเกินไปแล้ว เจ้าคนหน้าเนื้อใจเสือสมควรโดนแทงเป็นพันครั้ง ช่างเป็นยาถ่ายที่รุนแรงนัก ต่อให้เป็นวัววัยฉกรรจ์ตัวหนึ่งก็ยังล้มได้ ไม่รู้จักรักหยกถนอมบุปผาเอาเสียเลย”
ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันที่เดินออกมาจากทางเล็กก็หักเลี้ยวเข้าไปในพงต้นกกต้นอ้อ แล้วค้อมตัววิ่งไปข้างหน้า เพียงไม่นานร่างก็หายวับไป
เดินออกไปได้ประมาณยี่สิบกว่าลี้แล้วถึงได้ชะลอฝีเท้า วักน้ำในลำคลองหนึ่งกอบมาล้างใบหน้า ฉวยโอกาสที่รอบด้านไร้ผู้คนนำห่อสัมภาระที่บรรจุภาพเทพหญิงใส่ไว้ในวัตถุจื่อชื่อ แล้วถึงได้กระโดดขึ้นเบาๆ เหยียบลงบนยอดพงต้นกกต้นอ้อที่ใบหนาแน่น แล้วกระโดดออกไปเหมือนกบกระโดดแตะผิวน้ำ หูรับฟังเสียงลมที่ทะยานผ่าน พลิ้วกายล่องลอยไปไกล
คนในยุทธภพกลุ่มนั้น ต่อให้มีหุ่นเชิดวิญญาณหยินรับหน้าที่เป็นองค์รักษ์ประจำกาย แต่รวมกันแล้ว คาดว่าก็คงเทียบกับผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรที่มีประสบการณ์เก่าแก่คนหนึ่งไม่ได้ เฉินผิงอันไม่อยากจะรบราฆ่าฟันกับคนอื่นทั้งที่เพิ่งมาถึงอุตรกุรุทวีป แล้วนับประสาอะไรกับที่อาจจะเดือดร้อนไปถึงผู้อื่น นี่เป็นนิมิตหมายที่ไม่ดี
ขยับเข้าใกล้ศาลเทพลำคลอง บนทางเส้นเล็กก็มีคนสัญจรเพิ่มมากขึ้น เฉินผิงอันพลิ้วกายลงบนพื้น เดินออกจากพงต้นกกต้นอ้อ เดินเท้าไปเบื้องหน้า
ก่อนหน้านี้ยืนอยู่บนยอดต้นกก มองไกลๆ ไปยังศาลที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปครึ่งทวีปแห่งนั้นก็เห็นเพียงว่าควันธูปเข้มข้นระลอกหนึ่งพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า เป็นเหตุให้ไปปั่นป่วนทะเลเมฆบนท้องฟ้า เกิดเป็นภาพเจ็ดสีมหัศจรรย์เกินบรรยาย ภาพบรรยากาศเช่นนี้ไม่อาจดูแคลนได้ ต่อให้เป็นศาลเทพวารีลำคลองหมายเหอของใบถงทวีปที่เขาเคยเดินทางผ่านในตอนนั้น และจวนปี้โหยวที่ภายหลังเลื่อนขั้นเป็นตำหนักก็ยังไม่เคยมีภาพมหัศจรรย์เช่นนี้ ส่วนศาลเทพวารีทั้งหลายในแถบแม่น้ำซิ่วฮวาอันเป็นบ้านเกิดก็ยิ่งไม่มีภาพประหลาดเช่นนี้เหมือนกัน
ชาวบ้านก็มีธูปที่ชาวบ้านใช้จุด
และยังมีธูปน้ำที่มีไว้สำหรับแขกเงินหนาโดยเฉพาะ
ศาลเทพลำคลองแห่งนี้มีคุณธรรมอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่ตั้งป้ายไม้ระบุไว้ชัดเจน ยังมีเด็กเล็กคนหนึ่งคอยเฝ้าอยู่ตรงป้ายไม้เพื่อคอยแจ้งกับนักท่องเที่ยวทุกคนที่มาเชิญธูปที่นี่ด้วยน้ำเสียงอ่อนเยาว์ไร้เดียงสาว่า เข้าศาลจุดธูปกราบไหว้เทพเซียน ดูแค่ความจริงใจ ไม่ดูที่ว่าราคาควันธูปแพงหรือถูก
เฉินผิงอันไม่ได้ประหยัดเงินในส่วนนี้ เขาเชิญธูปน้ำที่เอาไว้กราบไหว้ลำคลองเหยาเย่โดยเฉพาะมากระบอกหนึ่ง ราคาของมันไม่ธรรมดา สิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ กระบอกธูปบรรจุธูปเก้าดอก เมื่อเทียบกับธูปสามดอกของศาลเทพลำคลองแคว้นชิงหลวนที่ราคาหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะแล้วก็เรียกได้ว่าแพงกว่าไม่น้อย
เฉินผิงอันคีบธูปสามดอกออกมาจากกระบอกธูปไม้ไผ่สีเหลืองที่สลักลายน้ำสีเขียว เดินตามเหล่าผู้มีจิตศรัทธาเข้าไปในศาล จุดธูปสามดอกที่ห้องโถงหลัก สองมือพนมชูธูปขึ้นสูงเหนือหัวแล้วหันหน้าไหว้จนครบทั้งสี่ทิศ แล้วจึงไปที่ห้องโถงหลักที่ตั้งบูชาร่างทองของเทพลำคลอง บรรยากาศเคร่งขรึมจริงจัง เทวรูปหลากสีองค์นั้นคล้ายเคลือบสีทองทั้งร่าง ระดับความสูงของเทวรูปก็น่าสงสัยว่าจะล้ำสถานะ เพราะเมื่อเทียบกับเทวรูปของเทพวารีแม่น้ำเถี่ยฝูในเขตการปกครองหลงเฉวียนแล้วกลับสูงกว่าถึงสามฉื่อกว่า และระดับความสูงของเทวรูปสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาแม่น้ำของราชวงศ์ต้าหลีก็ล้วนต้องเคารพตามกฎเกณฑ์ของสำนักศึกษาอย่างเข้มงวด เพียงแต่พอเฉินผิงอันคิดว่าที่นี่คืออุตรกุรุทวีปก็ไม่แปลกใจอีกแล้ว รูปโฉมของเทพลำคลองเหยาเย่ท่านนี้คือผู้เฒ่าสวมเกราะสีทองที่มือแต่ละข้างถือกระบี่และกระบอง เหยียบอยู่บนงูตัวยาวสีแดงสด อยู่ในท่าราชาสวรรค์ถลึงตา เปี่ยมไปด้วยบารมีและอำนาจ
จากนั้นลำพังแค่เดินเที่ยวทั่วศาลขนาดใหญ่โอฬารที่มีทางเข้าถึงสิบกว่าแห่งจนครบหนึ่งรอบ เดินๆ หยุดๆ ก็ใช้เวลาไปถึงครึ่งชั่วยามกว่า หลังคาเรือนล้วนเป็นกระเบื้องแก้วสีทองสะดุดตา
หนึ่งในนั้นมีตำหนักข้างแห่งหนึ่งที่สร้างขึ้นเป็นลักษณะเหมือนวังมังกรใต้น้ำ รูปปั้นมีชีวิตชีวาเหมือนจริง ล้วนเต็มไปด้วยรูปปั้นขุนพลที่เกิดจากปลาใหญ่หรือไม่ก็เจียวหลงที่จำแลงร่างมาเป็นคน อยู่ในลักษณะท่าทางที่แตกต่างกันออกไป มีผู้เฒ่าที่มากราบไหว้พูดหยอกล้อกับลูกหลานตัวเองบอกว่า นี่ก็คือตำหนักที่นอกเหนือจากตำหนักหลักของท่านเทพลำคลอง พอถึงตอนกลางคืน ขุนพลบุ๋นบู๊ใต้บังคับบัญชาทั้งหลายที่สามารถเรียกลมเรียกฝนได้พวกนี้ก็จะมีชีวิตกลับคืนมา เพียงแต่ว่าในศาลมีการห้ามเข้าออกยามวิกาล พอถึงช่วงกลางคืน ต้องเป็นเหล่าเทพเซียนที่สามารถทะยานลมขี่เมฆเท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติมาเป็นแขกของที่นี่ แล้วดื่มชาร่ำสุราร่วมกับท่านเทพลำคลอง
ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันหยุดอยู่ในตำหนักหลังครู่หนึ่ง เห็นกลอนคู่บทหนึ่งจึงคีบธูปออกมาอีกสามดอก พอจุดไฟแล้วก็ยืนอยู่บนลานกว้างหยกขาวอย่างเคารพนอบน้อม จากนั้นก็ปักธูปลงไปในกระถาง แล้วถึงได้จากมา
กลอนคู่ที่เป็นตัวอักษรสีทองเขียนบนพื้นสีดำด้านหลังเฉินผิงอันคือประโยคว่า ‘จริงใจมิต้องโขกหัว ย่อมมีบุญกุศลคอยปกป้อง’ ‘ทำชั่วต่อให้เจ้าจุดธูปมากเท่าไหร่ ก็ยังทำให้เทพวารีมีไฟโทสะได้’
หลังออกมาจากศาลเทพลำคลองแห่งนี้ เฉินผิงอันก็เดินทางขึ้นเหนือต่อ
ดวงอาทิตย์ลับภูเขาตะวันตก ท่ามกลางแสงสนธยา เฉินผิงอันมาถึงท่าเรือเล็กๆ แห่งหนึ่ง จำเป็นต้องโดยสารเรือข้ามฟากถึงจะไปยังหุบเขาผีร้ายที่อยู่ในอาณาบริเวณของชายหาดโครงกระดูกที่เฉินผิงอันอยากไปเยือนมากที่สุดได้
เพียงแต่ว่าพวกคนเรือแก่หนุ่มทั้งหลายของท่าเรือล้วนเลิกงานกันแล้ว มัดเชือกผูกเรือข้ามฟากไว้ที่ท่า แล้วพากันกลับบ้านใครบ้านมัน เฉินผิงอันอยากจะจ่ายเงินเพิ่มเพื่อข้ามลำคลองไป แต่กลับไม่มีใครยอมตกลง ต่างก็พูดกันว่าเรือข้ามฟากไม่ข้ามลำคลองตอนกลางคืน นี่คือกฎที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ไม่อย่างนั้นเทพลำคลองจะพิโรธ มีเพียงคนสามประเภทเท่านั้นที่จะได้รับการยกเว้น บัณฑิตที่เร่งเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อไปสอบ คนป่วยที่ต้องการหมอรักษา และคนที่มีชีวิตยากลำบากอยากจะกระโดดน้ำฆ่าตัวตาย
เฉินผิงอันนึกถึงความพิถีพิถันเรื่องที่ไม่สร้างสะพานข้ามผ่านลำคลองเหยาเย่ รวมไปถึงกฎเกณฑ์เหล่านี้ แม้แต่ความคิดที่จะกระโดดแตะผิวน้ำข้ามลำคลองไปก็ไม่เหลืออยู่แล้ว จึงหาสถานที่เงียบสงบใกล้กับท่าเรือก่อกองไฟ คิดว่าพรุ่งนี้เช้าตรู่ค่อยโดยสารเรือข้ามฟากไป
ม่านราตรีหนาหนัก น้ำในลำคลองไหลเนิบช้า
เฉินผิงอันหันหน้าเข้าหาลำคลอง นั่งขัดสมาธิฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู
ตลอดทั้งคืนผ่านไปอย่างราบรื่น
ฟ้าเริ่มสว่าง เฉินผิงอันก็ลุกขึ้นเดินไปทางท่าเรือ มีชาวเรือผู้เฒ่าร่างกำยำที่ผิวดำเป็นมันปลาบคนหนึ่งมานั่งยองที่ท่าเรือเพื่อรอลูกค้าอยู่ก่อนแล้ว
เฉินผิงอันตกลงราคากับผู้เฒ่าชาวเรือ ได้ราคาที่แปดเฉียน ผู้เฒ่าบอกรออีกหน่อย มีผู้โดยสารข้ามฟากไปคนเดียว ได้เงินแค่แปดเฉียน ออกจะผิดต่อกำลังกายของตัวเองไปสักหน่อย จึงถามเฉินผิงอันว่าเต็มใจจะรอไหม ขอแค่มีคนมาอีกคนหนึ่ง ได้เงินเพิ่มอีกแปดเฉียนก็สามารถถ่อเรือข้ามฟากได้แล้ว เฉินผิงอันยิ้มบอกว่าไม่เป็นไร เขารอได้ ถึงอย่างไรก็ไม่รีบร้อนเดินทางอยู่แล้ว เฉินผิงอันปลดงอบนั่งอยู่ที่ท่าเรือกับผู้เฒ่า ปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มาดื่มเหล้า น้ำเหล้าในกาล้วนมาจากเหล้าข้าวหมักเองที่ต่งสุ่ยจิ่งมอบให้ภูเขาลั่วพั่ว
ผู้เฒ่าชาวเรือได้กลิ่นเหล้า ดวงตาก็เป็นประกาย หันตัวกลับมายิ้มถามว่า “คุณชายท่านนี้ ขอเหล้าให้ข้าดื่มสักอึกได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันทำท่าจะยื่นน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ส่งให้ ผู้เฒ่าชาวเรือกลับโบกมือ ก่อนจะเอามือสองข้างประกบเข้าหากัน ยิ้มกล่าวว่า “คุณชายเป็นคนพิถีพิถัน แต่คนแก่เนื้อตัวสกปรกอย่างข้าไม่ใช่คนพิถีพิถันอะไร คุณชายแค่เทเหล้าใส่มือข้าก็พอ”
เฉินผิงอันจึงเทเหล้า ผู้เฒ่าชาวเรือยกสองมือที่ฝ่ามือเต็มไปด้วยรอยด้านขึ้น ก้มหน้าซดเหมือนวัวดื่มน้ำ ดื่มหมดก็จุ๊ปาก ยิ้มถามว่า “คุณชายจะไป ‘ไม่หันกลับ’ แห่งนั้นหรือ? อ้อ นี่เป็นภาษาถิ่นของพวกเราเอง หากเรียกตามคำกล่าวของเหล่าเทพเซียนใหญ่ทั้งหลายในสำนักพีหมาก็คือหุบเขาผีร้าย”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “อยากไปเยือนเพราะได้ยินชื่อเสียง ข้าเป็นมือกระบี่คนหนึ่ง ล้วนบอกกันว่าชายหาดโครงกระดูกมีสถานที่สามแห่งที่จำเป็นต้องไป ตอนนี้ไปนครปี้ฮว่าและศาลเทพลำคลองมาแล้ว เลยอยากจะไปเปิดหูเปิดตาที่หุบเขาผีร้ายนั่นสักหน่อย”
ผู้เฒ่าชาวเรือชูนิ้วขึ้นมาสองนิ้ว คีบชายแขนเสื้อสีเขียวของเฉินผิงอันที่นั่งขัดสมาธิอยู่ด้านข้างแล้วจุ๊ปากพูด “ข้าก็ว่าแล้วเชียว แท้จริงแล้วคุณชายก็เป็นเทพเซียนหนุ่มคนหนึ่งเหมือนกัน ตาแก่อย่างข้าอย่างอื่นไม่ขอพูดถึง แต่ต้อนรับและส่งผู้คนที่สัญจรไปมาอยู่บนลำคลองมาตลอดทั้งชีวิต ในกระเป๋าไม่มีเสียงเงินให้ได้ยิน แต่แววตานั้นยังพอมีอยู่บ้าง ชุดนี้ของคุณชายคงแพงมากเลยสินะ?”
เฉินผิงอันหัวเราะร่าเสียงดัง “ออกมาท่องเที่ยวอยู่ข้างนอกก็ต้องมีมาดกันบ้าง ก็แค่ตบหน้าตัวเองให้ดูเป็นคนอ้วนนั่นแหละ”
ผู้เฒ่าชาวเรือเอ่ย “สำเนียงต่างถิ่นนี้ของคุณชาย แค่ฟังก็รู้แล้วว่าเป็นคนจากทวีปอื่น จะต้องแก้ไขสักหน่อยนะ ป่าผืนนี้ของพวกเรากว้างใหญ่ ไม่ว่านกอะไรก็มีครบหมด ยิ่งเป็นพวกไร้ความสามารถก็ยิ่งชอบรวมกลุ่มกันรังแกคนอื่น”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที “ท่านลุงพูดถูกแล้ว”
ผู้เฒ่าชาวเรือหันหน้าไปชำเลืองมองอีกทาง “คุณชายดวงดีไม่น้อย เช้าตรู่ขนาดนี้ก็มีคนมาที่ท่าเรือแล้ว ดูเหมือนจะข้ามลำคลองกันได้แล้ว”
เฉินผิงอันถึงได้มองตามสายตาของผู้เฒ่าไป เห็นว่าเป็นหญิงชราเดินขากะเผลกคนหนึ่ง พอเพ่งสายตามองใบหน้าของหญิงชราให้ดี เฉินผิงอันก็รู้สึกจนใจเล็กน้อย
หญิงชราพอมาถึงที่ท่าเรือแล้วได้ยินว่าผู้เฒ่าชาวเรือคิดเงินแปดเฉียนก็เริ่มบ่นพึมพำ จากนั้นจึงหันหน้ามามองเฉินผิงอัน หน้าตาท่าทางของเฉินผิงอันเหมือนลูกนกที่เพิ่งหัดบินอยู่ในยุทธภพ เขาแสร้งทำเป็นไม่รู้เรื่องไม่รู้ราวอะไร กระทั่งหญิงชราหายอึ้งแล้วก็เป็นฝ่ายเปิดปากเอ่ยว่าคุณชายท่านนี้ช่วยกันหน่อยได้หรือไม่ บนตัวนางมีเงินแค่สี่ห้าเฉียน รบกวนคุณชายช่วยสมทบหน่อย ทำดีย่อมได้ดีตอบแทนแน่นอน
เฉินผิงอันเพียงแค่ส่ายหน้า
ผู้เฒ่าชาวเรือร้อนใจเล็กน้อย เขาหันมาขยิบตาแรงๆ ให้เฉินผิงอัน น่าเสียดายที่ในสายตาของผู้เฒ่าเห็นว่า เด็กรุ่นหลังที่ก่อนหน้านี้คล่องแคล่วปราดเปรียว เวลานี้กลับเหมือนหุ่นไม้ที่ไม่มีสติปัญญาไปเสียแล้ว
ถึงท้ายที่สุดหญิงชราก็พูดอย่างขุ่นเคืองว่าขอติดไว้ก่อน คราวหน้าที่ข้ามฟากค่อยคืนให้ ผู้เฒ่าชาวเรือก็ตอบตกลง
ถ่อเรือข้ามลำคลอง บรรยากาศบนเรือลำน้อยกระอักกระอ่วนนิดๆ
เฉินผิงอันเอาตามองจมูก จมูกมองใจ แสร้งทำตัวเป็นพระสงฆ์เข้าฌาน
ผู้เฒ่าชาวเรือร้อนใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่อาจพูดอะไรให้โจ่งแจ้งได้มากนัก
หญิงชราเดือดดาลมากที่สุด รู้สึกว่าคนหนุ่มผู้นี้ช่างจิตใจคับแคบขี้เหนียวเสียจริง
ยิ่งคิดนางก็ยิ่งโมโห จึงตวัดตามองใส่เฉินผิงอันอย่างดุดัน
เฉินผิงอันเพียงแค่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
ภายหลังก็คล้ายว่าจะ ‘อดไม่ไหว’ จึงเริ่มยกหลักการเหตุผลยิ่งใหญ่มาพูดจาคร่ำครึกับหญิงชรา ความหมายประมาณว่าเหตุใดถึงโทษที่เขาขี้เหนียวไม่ได้
หญิงชราฟังแล้วตบกราบเรือดังป้าบ
ผู้เฒ่าชาวเรือถึงกับกลอกตามองสูง
ผลคือพอไปถึงท่าเรือฝั่งตรงข้าม ผู้เฒ่าชาวเรือกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกหญิงชรากระตุกชายแขนเสื้อเสียก่อน
เฉินผิงอันกระโดดลงจากเรือ เอ่ยอำลาหนึ่งคำแล้วเดินจากไปทั้งอย่างนี้โดยที่ไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
ผู้เฒ่าชาวเรืออ้าปากค้าง อึ้งอยู่นาน ก่อนจะหันหน้าไปถาม ‘หญิงชรา’ ผู้นั้น “จะปล่อยไปอย่างนี้หรือ? ไม่เสียดายหรือไร?”
หญิงชราหลังค่อม เวลานี้ยืนตัวตรงแล้ว นางเอ่ยเสียงหยันว่า “ไม่อย่างนั้นจะทำอย่างไรได้อีก? จะให้ข้าเอาตัวไปแนบกับเขาเลยหรือไร? ตัวเขาคว้าโชควาสนาไว้ไม่อยู่เอง จะโทษคนอื่นไม่ได้! การทดสอบเล็กๆ สามครั้งที่แค่ต้องทำพอเป็นพิธี เจ้าหมอนี่กลับเป็นคนแรกที่ผ่านไปไม่ได้ หากเรื่องนี้แพร่ออกไป ข้าจะไม่ถูกเหล่าพี่น้องหัวเราะเยาะตายหรอกหรือ!”
ผู้เฒ่าชาวเรือรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างทะแม่งๆ
เหตุใดคนหนุ่มผู้นั้นถึงได้จงใจปล่อยให้โชควาสนาใหญ่เทียมฟ้าขนาดนี้หลุดมือไป?
การทดสอบครั้งแรก ‘หญิงชรา’ เป็นคนวางแผน จะบังคับให้ออกเรือข้ามลำคลองหรือไม่ คนหนุ่มผ่านด่านนี้มาได้ ภายหลังตนเป็นฝ่ายทดสอบเขาแทนนางพอเป็นพิธีหนึ่งครั้ง คนหนุ่มก็ผ่านด่านที่สองไปได้อย่างราบรื่น เขายอมเทเหล้าให้ดื่มอย่างใจกว้าง ดังนั้นผู้เฒ่าชาวเรือจึงรู้สึกว่าสถานการณ์ใหญ่ถูกกำหนดมาเรียบร้อยแล้ว เรื่องครั้งนี้ต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน จึงมอบน้ำใจเล็กๆ ให้แก่คนหนุ่มด้วยการจงใจถอนเวทอำพรางตาออก เผยให้เขาเห็นเบาะแสเสี้ยวหนึ่ง ในเมื่อคนหนุ่มผู้นี้เคยไปเยือนศาลเทพลำคลองมาแล้วก็ควรจะสัมผัสได้ถึงจะถูก ยิ่งควรต้องรับมือได้อย่างเหมาะสม ไม่น่าจะคิดเล็กคิดน้อยในเรื่องหยุมหยิมด้วยเงินไม่กี่เฉียนเช่นนี้ เมื่อครู่นี้ใครกันที่เพิ่งพูดว่า ‘ท่องอยู่ในยุทธภพต้องตบหน้าตัวเองให้ดูเป็นคนอ้วน’?
ไฟโทสะลุกท่วมสุมทรวงหญิงชรา นางกระทืบเท้าหนึ่งครั้ง ทั้งนาง ผู้เฒ่าชาวเรือและเรือลำนั้นต่างก็พากันจมดิ่งลงไปใต้ลำคลองเหยาเย่ด้วยกัน
สองคนกับเรือหนึ่งลำลอดทะลุไปใต้น้ำดุจกระสวย
หญิงชรากลับคืนสู่รูปโฉมที่แท้จริง ชุดกระโปรงของนางสะบัดพลิ้ว รูปโฉมงดงามล่มบ้านล่มเมือง สมกับเป็นเทพหญิงอย่างแท้จริง
ผู้เฒ่าชาวเรือถอนหายใจ รู้สึกเสียดายแทนคนหนุ่มผู้นั้นอย่างสุดซึ้ง
เฉินผิงอันออกมาจากท่าเรือแล้วก็เริ่มชักเท้าวิ่งตะบึง เสียดายก็แต่การขี่กระบี่ลอยกลางอากาศจะสะดุดตาเกินไป ไม่อย่างนั้นเขาคงวิ่งหนีได้ไกลกว่านี้แล้ว
เขาปลดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มาดื่มเหล้าอึกใหญ่เพื่อระงับความตกใจ จากนั้นเฉินผิงอันก็หัวเราะ แล้วทำท่าเดินอย่างลำพองใจเลียนแบบเผยเฉียน ข้าเฉินผิงอันคือคนเก่าแก่ในยุทธภพแล้ว!
หลังจากเสียงหัวเราะผ่านไป เฉินผิงอันก็เกิดหวาดผวาภายหลังขึ้นมาอีก ยกมือปาดเหงื่อเย็นๆ บนหน้าผาก ยังดีๆ ยังดีที่ตนมีไหวพริบ ไม่อย่างนั้นลองนับนิ้วดูแล้วจะต้องถูกแม่นางหนิงตีสักตายกี่รอบ? ต่อให้ไม่ถูกตีตาย คราวหน้าที่เจอกันยังกล้าคาดหวังว่าจะได้กอดนาง แล้วยังจะได้จุมพิตนางหนักๆ อีกหรือ…
ตรงท่าเรือฝั่งตรงข้าม เจียงซ่างเจินที่จากไปแล้ว แต่ก่อนหน้านี้จิตสัมผัสได้ถึงสัญญาณบางอย่างก็ตัดสินใจย้อนกลับคืนมาอย่างเด็ดเดี่ยว เวลานี้ยกมือกุมหน้าผาก พึมพำว่า “เฉินผิงอัน พี่น้องเฉิน นายท่านใหญ่เฉิน! ยังคงเป็นเจ้าที่ร้ายกาจ!”