บทที่ 488 ในม้วนภาพ
ผู้เฒ่าชาวเรือถ่อเรืออยู่ใต้แม่น้ำต่อไป เรือข้ามฟากประดุจปลาตัวหนึ่งที่ว่ายตรงดิ่งไปยังตอนล่างของลำคลองด้วยความเร็วราวสายฟ้าแลบ
น้ำที่ในสายตาของคนธรรมดาขุ่นมัวไม่ใสกระจ่าง สำหรับผู้เฒ่าชาวเรือแล้วกลับแจ่มชัดราวกับจุดไฟในถ้ำมืด อีกทั้งแก่นโชคชะตาน้ำที่เป็นดั่งดวงดาวดารดาษเหล่านั้นก็ยิ่งมองแล้วทำให้คนสบายตาสบายใจ
ระหว่างทางน้ำที่ไปกลับศาลเทพลำคลองสายนี้ บางครั้งก็มีผีวิญญาณเร่ร่อนว่ายผ่านไป พอเห็นผู้เฒ่าชาวเรือต่างก็เป็นฝ่ายคุกเข่าโขกหัวคำนับ
โชคชะตาน้ำของลำคลองเหยาเย่เข้มข้น บวกกับที่เทพลำคลองไม่ได้ดึงเอาไปอย่างเหิมเกริม ทุกสัดส่วนล้วนถูกรับไว้ในศาล เป็นเหตุให้โอกาสที่วิญญาณซึ่งจมน้ำตายที่นี่จะกลายเป็นผีร้ายสูญเสียสติปัญญาเกิดขึ้นน้อยมาก นี่ก็ถือเป็นการสะสมบุญอย่างหนึ่ง เพียงแต่ว่าศาลเทพลำคลองเหยาเย่ต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วยการลดระดับความเร็วในการฟูมฟักแก่นควันธูปให้ช้าลง เมื่อสะสมกันนานวันเข้า ปีนี้ขาดไปหนึ่งจิน ปีหน้าขาดไปแปดตำลึง แก่นควันธูปที่เดิมทีควรนำมาใช้สร้างและหล่อหลอมระดับของร่างทองจึงขาดจำนวนสัดส่วนที่มากพอดู หากองค์เทพวารีของสถานที่แห่งอื่นมาเห็นเข้าก็คงคิดว่าน้ำเข้าสมองเทพลำคลองท่านนี้เสียแล้ว
สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาแม่น้ำท่านหนึ่งที่อาศัยกินควันธูปในโลกมนุษย์เป็นอาหาร อีกทั้งยังไม่ใช่ผู้ฝึกตน ประเด็นสำคัญคือศาลเทพลำคลองเหยาเย่เห็นแค่ชายหาดโครงกระดูกเป็นรากฐานของตัวเองเท่านั้น ไม่ได้อยู่ในทำเนียบแม่น้ำภูเขาของราชวงศ์ใดๆ ด้วยเหตุนี้เหล่าฮ่องเต้ของราชวงศ์ใหญ่และกษัตริย์ของแคว้นใต้อาณัติทั้งหลายที่เดินทางผ่านตอนบนของชายหาดโครงกระดูกต่างก็มีท่าทีที่คลุมเครือต่อศาลที่สร้างไว้นอกอาณาเขตแห่งนี้ ไม่แต่งตั้งให้ถูกต้องตามกฎ แล้วก็ไม่ออกกฎห้าม ไม่สนับสนุนให้ชาวบ้านเดินทางลงใต้ไปจุดธูป แต่ด่านต่างๆ ที่อยู่ระหว่างทางก็ไม่มีการขัดขวาง เป็นเหตุให้เทพลำคลองเซวียหยวนเซิ่งยังถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทางน้ำของศาลต้องห้ามที่ไม่ได้รับการแต่งตั้งถูกต้องตามหลักพิธีการของแคว้น แล้วนี่เขายังจะแสวงหาการสร้างบุญกุศลที่เป็นเรื่องมายาล่องลอย ใช้ตะกร้าไม้ไผ่ตักน้ำ จะรั้งเอาไว้ได้อยู่หรือ? ปลูกต้นไม้ไว้ที่นี่ แต่ไปผลิดอกอยู่ที่อื่น มีความหมายตรงไหน?
เรื่องของการสร้างบุญกุศล ก็คือเจตนารมณ์สวรรค์ที่ยากจะคาดเดามากที่สุด หากเข้าไปอยู่ในทำเนียบสิ่งศักดิ์สิทธิ์แล้ว ก็เท่ากับว่ามีหลักฐานให้ตรวจสอบ ขอแค่โชคชะตาแห่งภูเขาแม่น้ำของพื้นที่หนึ่งมั่นคงดีแล้ว กรมพิธีการของราชสำนักก็จะทำตามขั้นตอน หลังจากตรวจสอบแล้วก็จะแต่งตั้งให้รางวัลตามลำดับ ภัยร้ายมากมายที่แฝงไว้เบื้องหลังก็จะมีราชวงศ์ของหนึ่งแคว้นช่วยต้านทานและลดทอนอุปสรรคทั้งหลายไปให้อย่างที่มองไม่เห็น นี่ก็คือข้อดีของการมีการรับรองผลเก็บเกี่ยว แต่หากไม่มีสถานะที่สำคัญนั้นก็บอกได้ยากแล้ว หากชาวบ้านคนใดคนหนึ่งขอพรได้สำเร็จ ใครจะกล้ารับประกันว่าหลังจากนั้นจะไม่มีผลกรรมที่ยุ่งเหยิงเหมือนเชือกขมวดเป็นปมพัวพันติดตัว?
เทพหญิงที่เดินออกมาจากภาพวาดผู้นั้นอารมณ์ไม่ดี สีหน้ามืดทะมึน
เกี่ยวพันกับมหามรรคาของแต่ละคน เพื่อนบ้านเก่าแก่อย่างผู้เฒ่าชาวเรือท่านนี้ไม่สะดวกจะพูดอะไรมาก คำพูดปลอบใจในตอนนี้ ไม่แน่ว่าอาจเป็นการสาดเกลือลงบนแผลสด
ภาพขุนนางเทพหญิงแปดภาพบนฝาผนังของนครปี้ฮว่าดำรงอยู่บนโลกนี้มานานมากแล้ว ถึงขั้นยาวนานยิ่งกว่าประวัติศาสตร์ของสำนักพีหมา ตอนนั้นเหล่าบรรพบุรุษของสำนักพีหมาข้ามทวีปมาถึงอุตรกุรุทวีปด้วยความยากลำบาก เลือกสถานที่ตั้งอยู่ทางทิศใต้สุดของทวีป เป็นการกระทำที่จำใจ ด้วยตอนนั้นไปมีเรื่องกับเซียนกระบี่ของทางเหนือที่นิสัยกำเริบเสิบสานหลายคน ไม่มีที่ให้หยัดยืน อีกทั้งยังพิจารณาถึงข้อที่ว่าต้องการอยู่ห่างจากสถานที่ที่เป็นปัญหา จึงขุดเจอภาพวาดฝาผนังโบราณที่ไม่อาจบอกเล่าประวัติความเป็นมาได้ชัดเจนแห่งนี้ ด้วยเหตุนี้การที่มองชายหาดโครงกระดูกเป็นสถานที่วิเศษ ก็เป็นปัจจัยที่สำคัญเช่นกัน เพียงแต่ว่าความยากลำบากที่ต้องเผชิญระหว่างนี้ไม่มีใครรู้ก็เท่านั้น ผู้เฒ่าชาวเรือมองดูสำนักพีหมาที่ค่อยๆ ถูกสร้างขึ้นทีละนิดมากับตาของตัวเอง ลำพังเพียงแค่จัดการกับขุนพลหยินทหารหยินแห่งสนามรบโบราณที่ยึดครองพื้นที่แถบนี้ตั้งตัวเป็นราชา เซียนดินของสำนักพีหมาที่ต้องตายไปเพราะสาเหตุนี้ก็มีไม่ต่ำกว่ายี่สิบคนแล้ว แม้แต่ผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบก็ยังสู้รบจนตัวตายไปสองท่าน สามารถพูดได้ว่า หากไม่เคยถูกผลักไสและบุกเบิกขุนเขาอยู่ที่ภาคกลางของอุตรกุรุทวีปได้ ก็มีความเป็นไปได้มากว่าป่านนี้สำนักพีหมาจะเลื่อนขั้นสู่สำนักใหญ่ห้าอันดับแรก และนี่ยังเป็นเพราะอยู่ใต้สถานการณ์ที่ว่าผู้ฝึกตนสำนักพีหมาไม่มีเซียนกระบี่ และไม่เคยเชื้อเชิญเซียนกระบี่ให้มารับผิดชอบเป็นผู้ถวายงานของสำนักอีกด้วย
อันที่จริงผู้เฒ่าชาวเรือก็เพิ่งจะเคยเห็นร่างจริงของเทพหญิงเป็นครั้งแรก ในอดีตบรรดาเทพขุนนางหญิงทั้งแปดท่าน เทพหญิงหนึ่งในนั้นที่มีนามว่า ‘ชุนกวาน’ สามารถเดินทางไกลในความฝัน คล้ายคลึงกับการนำจิตหยินออกจากร่างของผู้ฝึกตนใหญ่ อีกทั้งยังสามารถมองข้ามพันธนาการมากมายหลากหลายได้โดยตรง และอาศัยสิ่งนี้มาสื่อสารกับผู้ฝึกตนบนโลกมนุษย์ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ในอดีตเทพหญิงท่านนี้เคยมาเยือนศาลเทพลำคลองเหยาเย่ เพียงแต่ว่าหลังจากนั้นไม่นานเทพหญิงชุนกวานก็เป็นเหมือนเทพหญิงฉางฉิง เทพหญิงจ่านคานที่เลือกไปปรนนิบัติคนที่ตนหมายตา แล้วไปจากชายหาดโครงกระดูก ตอนนั้นสองฝ่ายตกลงกันอย่างลับๆ ว่า ผู้เฒ่าชาวเรือจะช่วยพวกนางวางแผนทำการทดสอบอย่างพอเป็นพิธีครั้งสองครั้ง เพื่อเป็นการตอบแทน พวกนางยินดีจะลงมือช่วยเหลือหากศาลเทพลำคลองเหยาเย่ตกอยู่ในอันตรายสามครั้ง หลังจากนั้นมาเป่าไก้ หลิงจือก็ทยอยกันไปจากนครปี้ฮว่า เวลาอีกห้าร้อยกว่าปีเต็มต่อมา ภาพวาดบนฝาผนังทั้งสามก็อยู่ในความเงียบงัน ตอนนี้ลำคลองเหยาเย่ผ่านด่านยากมาได้เพราะใช้โอกาสไปสองครั้งแล้ว ผู้เฒ่าชาวเรือถึงได้จริงจังขนาดนี้ เขาหวังว่าจะมีโอกาสอย่างใหม่ตกลงบนหัวของคนธรรมดาหรือผู้ฝึกตนสักคน ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ผู้เฒ่าชาวเรือยินดีจะได้เห็น
ตลอดพันปีที่ผ่านมา ลมและเมฆผันเปลี่ยน เทพหญิงในภาพวาดทั้งห้ามีคนหนึ่งที่รบตายไปเพื่อเจ้านาย สองคนเลือกจะตายดับไปพร้อมกับเจ้านายของตนเอง ตอนนี้จึงเหลือเพียงเทพหญิงจ่านคานที่เรียกภาษาชาวบ้านว่า ‘เซียนไม้เท้า’ รวมไปถึงเทพหญิงชุนกวานที่ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงหายเข้ากลีบเมฆไปผู้นั้น ในสองคนนี้ บัณฑิตยากจนที่ฝ่ายแรกเลือก ตอนนี้ได้เป็นผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินซึ่งอยู่บนยอดเขาของหนึ่งทวีปแล้ว แล้วก็เป็นหนึ่งในผู้ฝึกตนที่บรรลุมรรคาจำนวนไม่มากซึ่งอยู่ในขบวนเดียวกับกลุ่มผู้ฝึกกระบี่ที่เดินทางไปเยือนภูเขาห้อยหัวก่อนหน้านี้
เทพหญิงที่โดยสารเรืออยู่ตอนนี้ ข้างกายไม่มีกวางเจ็ดสีบนภาพวาดตัวนั้นเคียงข้างอยู่ด้วย
แล้วก็คงเพราะสาเหตุนี้ ภาพวาดบนฝาผนังถึงยังไม่ซีดจาง ไม่อย่างนั้นผู้เฒ่าชาวเรือก็คงต้องกระอักกระอ่วนจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหนเป็นเพื่อนเทพหญิงไปด้วย
ท่ามกลางการรอคอยที่ยาวนาน ไม่ง่ายเลยกว่าจะเลือกคนที่จะติดตามปรนนิบัติไปตลอดชีวิตได้ ผลกลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายตาไม่มีแววแม้แต่น้อย ไม่เพียงแต่ไม่ผ่านการทดสอบที่เล็กเท่าเมล็ดงานั่น ยังเผ่นหนีไปราวกับเท้าทาด้วยน้ำมันอีกด้วย
หากภาพวาดบนฝาผนังเปลี่ยนมาเป็นภาพเส้นเค้าโครงอีกครั้ง จะไม่ทำร้ายให้ขุนนางสวรรค์เทพหญิงอย่างนางไร้บ้านให้กลับอย่างนั้นหรือ? นี่จะต่างจากพวกผีที่จมน้ำตายจึงต้องว่ายไปว่ายมาอยู่ในน้ำของลำคลองเหยาเย่ และพวกวิญญาณหยินที่ป้วนเปี้ยนอยู่แถบหุบเขาผีร้ายของชายหาดโครงกระดูกตรงไหน?
ส่วนรากฐานที่แท้จริงของเทพหญิงทั้งแปดท่านนี้ ต่อให้ผู้เฒ่าชาวเรือจะเป็นเทพลำคลองของที่แห่งนี้ก็ยังไม่รู้เรื่องแม้แต่นิดเดียว
หากไม่ผิดไปจากที่คาด ผู้ฝึกตนของสำนักพีหมาเองก็รู้น้อยมาก มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าบรรพบุรุษสูงอายุที่ยังมีชีวิตอยู่อีกแค่สามท่านนั้นก็ยังรู้แค่ผิวเผินเหมือนกัน
จุดที่ประหลาดมากที่สุดนั้นอยู่ที่เมื่อเทพหญิงชุนกวานผู้นั้นพูดคุยเปิดใจกับผู้เฒ่าชาวเรือเป็นการส่วนตัวครั้งนั้น นางก็บอกอย่างตรงไปตรงมาว่าพวกนางเองก็ไม่มีความทรงจำเหมือนกัน ไม่รู้ว่าหลับมานานเท่าไหร่ จนกระทั่งผู้ฝึกตนของสำนักพีหมาบุกเบิกถ้ำสถิตจึงไปกระเทือนโดนค่ายกล พวกนางถึงได้ฟื้นตื่นขึ้นมา ภาพวาดบนผนังทั้งแปดภาพ มองดูเหมือนว่าต่างคนต่างยึดพื้นที่หนึ่งของนครปี้ฮว่า แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับเชื่อมติดเป็นหนึ่งเดียวกัน ตามคำบอกของผู้ฝึกตนในเวลานั้นก็คือเป็นพื้นที่ลับที่ปริแตกแห่งหนึ่ง พวกนางเองก็เคยอาศัยสิ่งของที่หลงเหลืออยู่ภายในนั้นอย่างพวกสิ่งปลูกสร้าง ต้นไม้ดอกไม้ และตำรา ฯลฯ มาอนุมาน พยายามจะไล่ตามเบาะแสเพื่อสืบหาชาติกำเนิดของตัวเองให้รู้แน่ชัด น่าเสียดายที่ยังคงมีปราการธรรมชาติกั้นขวาง ไอหมอกแห่งปริศนาล้อมวนจนมิอาจฝ่าออกไปได้
ขยับเข้าใกล้ศาลเทพลำคลองเหยาเย่ ในที่สุดผู้เฒ่าชาวเรือก็อดไม่ไหวถอนหายใจหนึ่งที
เทพหญิงที่ยืนอยู่อีกฝั่งหนึ่งของเรือก็ถอนหายใจเงียบๆ เช่นกัน เสียงถอนหายใจของนางซาบซ่านตรึงใจ ราวกับเสียงสวรรค์ที่ไม่เคยปรากฎในโลกมนุษย์มาก่อน
ผู้เฒ่าชาวเรืออดตำหนิเด็กรุ่นหลังคนนั้นไม่ได้ว่าคิดอะไรอยู่กันแน่ จากที่แอบสังเกตการณ์อย่างลับๆ ก่อนหน้านี้ก็เห็นว่าเป็นคนที่เฉลียวฉลาดคนหนึ่ง แล้วก็ให้ความเคารพกฎเกณฑ์เป็นอย่างยิ่ง ไม่เหมือนคนขี้เหนียวแม้แต่น้อย เหตุใดพอโชควาสนามาเยือนถึงได้สมองเลอะเลือนเสียได้? หรือจะเป็นเพราะในชะตาไม่ควรมี มาถึงมือแล้วก็คว้าไว้ไม่อยู่จริงๆ ? แต่ก็ไม่น่าจะใช่ สามารถทำให้เทพหญิงถูกใจ ยอมพาร่างที่ล้ำค่าดุจทองหมื่นชั่งออกมาจากภาพวาด เดิมทีก็อธิบายอะไรได้หลายๆ อย่างอยู่แล้ว
เทพหญิงท่านนี้หันหน้ามามองแวบหนึ่ง “ผู้ฝึกตนหนุ่มที่ยืนอยู่ริมลำคลองก่อนหน้านี้ไม่ใช่หนึ่งในสามบรรพบุรุษของสำนักพีหมากระมัง?”
ผู้เฒ่าชาวเรือส่ายหน้า “บรรพบุรุษทั้งสามท่านบนภูเขาข้าล้วนรู้จัก ต่อให้ลงจากเขามาปรากฎตัวก็ไม่ชอบร่ายเวทอำพรางตาให้ตัวเองดูเป็นบุคคลที่โดดเด่นสะดุดตา”
เทพหญิงคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ดูจากลักษณะท่าทางของเขาทำให้นึกถึงคนคนหนึ่งที่ในอดีตเหล่าพี่สาวน้องสาวเคยมองผ่าน คือผู้ฝึกตนโอสถทองต่างถิ่นอายุน้อยคนหนึ่ง เขาเกือบจะทำให้นางหวั่นไหวได้ เพียงแต่ว่าไร้ความรู้สึกเกินไป อยู่ข้างกายของเขา ไม่ลำบากไม่ต้องรับความอยุติธรรมก็จะเกิดความเบื่อหน่าย”
ผู้เฒ่าชาวเรืออึ้งตะลึง ถามถึงช่วงเวลาคร่าวๆ
หลังจากได้รับคำตอบ ผู้เฒ่าชาวเรือก็รู้สึกปวดหัวเล็กน้อย เขาพึมพำกับตัวเองว่า “คงไม่ใช่เจ้าคนบ้าตัณหาแซ่เจียงผู้นั้นกระมัง นั่นน่ะคือคนเลวที่เลวยันน้ำหนองจริงๆ”
คิดไม่ถึงว่าเทพหญิงจะพยักหน้ารับ “ดูเหมือนจะแซ่เจียงจริงๆ ตอนนั้นคนหนุ่มพูดจาค่อนข้างวางโต บอกว่าสักวันหนึ่ง ต่อให้เหล่าพี่สาวเทพเซียนจะดูแคลนเขา แล้วก็ไม่สนว่าจะอยู่ที่บ้านหรือไม่ เขาก็จะต้องดึงเอาภาพวาดทั้งแปดออกมาตั้งบูชาให้จงได้ เขาจะกินอาหารร่ำสุราต่อหน้าม้วนภาพทุกวัน แต่ถึงแม้คำพูดคำจาของคนผู้นี้จะเรียบง่ายเบาสบาย แต่สภาพจิตใจของเขากลับไม่ธรรมดาเลย”
ผู้เฒ่าชาวเรือถามอย่างสงสัย “ปีนั้นเจ้าหมอนี่ทำตัวเจ้าชู้เสเพลไปทั่ว เหตุใดถึงบอกว่าไร้ความรู้สึกน่าเบื่อล่ะ?”
เทพสาวส่ายหน้า “วิธีการมองคนของพวกเราตรงดิ่งไปที่จิตใจคน ไม่เพียงแต่ไม่เหมือนกับผู้ฝึกตน แม้แต่กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งแม่น้ำและภูเขาอย่างพวกเจ้าก็ไม่ค่อยเหมือนเช่นกัน นี่เป็นวิชาอภินิหารที่เกิดมาพร้อมกับพวกเรา อันที่จริงพวกเราก็ไม่ได้รู้สึกว่าเป็นเรื่องดีไปซะหมด เพราะเมื่อทอดสายตามองไปจะเห็นทะเลสาบหัวใจที่ขุ่นมัว เห็นความคิดที่สกปรก บ้างก็เป็นหลุมเป็นโพรงที่งูและแมงป่องเลื้อยเข้าออกยั้วเยี้ย บ้างก็เป็นสิ่งเย้ายวนใจที่พัวพันอยู่ทั่วร่างปีศาจที่มีหัวเป็นคน ภาพอัปลักษณ์มากมายเหล่านี้อุจาดจนแทบไม่อาจทนมอง ดังนั้นพวกเราจึงมักจะจงใจปล่อยให้ตัวเองหลับสนิท เมื่อตามองไม่เห็นจิตใจก็ไม่ต้องหงุดหงิด พอเป็นเช่นนี้ หากวันใดจู่ๆ ตื่นขึ้นมาก็พอจะรู้คร่าวๆ แล้วว่าโชควาสนามาถึง จึงจะลืมตามองไป”
ผู้เฒ่าชาวเรือจุ๊ปากชื่นชม “จักรวาลอันกว้างใหญ่ไพศาล เต็มไปด้วยความมหัศจรรย์”
เทพหญิงฉีลู่ (ขี่กวาง) ผู้นี้พลันหันขวับไปมองทางนครปี้ฮว่า นางหรี่ดวงตาทั้งคู่ลง พูดด้วยสีหน้าเยียบเย็น “เจ้าคนผู้นี้กล้าบังอาจบุกไปที่จวนเชียวรึ!”
ผู้เฒ่าชาวเรือสีหน้าไร้อารมณ์
ในใจคิดว่าไม่ต้องเดาแล้ว ต้องเป็นเจ้าเจียงซ่างเซินที่ชื่อเสียงฉาวโฉ่คาวคลุ้งไปทั่วผู้นั้นแน่นอน
—
ในม้วนภาพ
ทางฝั่งของนครปี้ฮว่า โคมไฟแถบใหญ่บนภูเขาที่ทำขึ้นด้วยวิธีลับพลันดับวูบลง โคมไฟที่เดิมทีควรส่องแสงสว่างยาวนาน ร้อยปีถึงต้องเปลี่ยนสักครั้งหนึ่งพลันเกิดปัญหา แน่นอนว่าย่อมชักนำให้เกิดความหวาดผวาพรั่นพรึง หากมีผู้ฝึกตนใหญ่ประมือกันที่นี่ก็สามารถทำร้ายไปถึงรากฐานของค่ายกลภูเขาแม่น้ำของสำนักพีหมาได้ทันที หากนครปี้ฮว่าพังถล่มลงมา ผลลัพธ์ก็ร้ายแรงจนมิอาจจินตนาการได้ถึง เป็นเหตให้ผู้ฝึกตนผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์สำนักพีหมาหลายท่านที่รับผิดชอบเฝ้าดูแลภาพวาดบนผนังทั้งสามพากันทะยานลมขึ้นกลางอากาศ มองไปยังความวุ่นวายแถบนั้น พยายามตามหาตัวการร้าย หากแน่ใจว่ามีผู้ฝึกตนพยายามทำลายนครปี้ฮว่าแล้วฉวยโอกาสนี้ขโมยภาพวาด พวกเขาก็มีอำนาจที่จะใช้กฎของที่แห่งนี้ด้วยการสังหารก่อนแล้วค่อยรายงานทีหลัง
บริเวณใกล้เคียงกับภาพเทพหญิงบนผนังแถบหนึ่ง ในขณะที่ผู้ฝึกตนที่เฝ้าพิทักษ์ของสำนักพีหมาแบ่งสมาธิทอดสายตามองจุดที่ไกลออกไปก็มีควันเขียวกลุ่มหนึ่งไต่ลามขึ้นไปบนผนังเหมือนงูวิเศษที่เลื้อยขึ้น จากนั้นก็ผลุบเข้าไปในภาพวาดในเวลาเพียงเสี้ยววินาที ไม่รู้ว่าใช้วิธีการใดถึงสามารถฝ่าพันธนาการวิชาเซียนของตัวภาพวาดบนผนังได้โดยตรง วูบเดียวก็หายวับเหมือนน้ำที่หยดลงในทะเลสาบ ความเคลื่อนไหวแผ่วเบายิ่ง แต่กระนั้นก็ยังทำให้ผู้ฝึกตนเซียนดินของสำนักพีหมาที่อยู่ใกล้ขมวดคิ้ว หันหน้าไปมอง แต่ก็มองไม่เห็นเบาะแสใดๆ ทว่าเขาก็ยังคงไม่วางใจ แจ้งบอกเทพหญิงในภาพวาดหนึ่งคำ จากนั้นก็ทะยานลมขยับเข้ามาใกล้โดยอยู่ห่างจากผนังประมาณหนึ่งจั้ง แล้วจึงร่ายใช้วิชาลับที่มีเฉพาะของสำนักพีหมา ดวงตาทั้งคู่มีแสงสีทองอ่อนจางผุดขึ้นมาชั้นหนึ่ง กวาดสายตาไล่มองไปทั่วภาพวาดบนฝาผนัง หลีกเลี่ยงไม่ให้พลาดเบาะแสใดๆ ไป ตรวจสอบซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่สองรอบ สุดท้ายก็ยังมองไม่เห็นความผิดปกติใดๆ
ภาพวาดฝาผนังที่อยู่ตรงหน้าภาพนี้คือหนึ่งในสามภาพโบราณที่มีโชควาสนาซึ่งยังหลงเหลืออยู่ คือภาพหนึ่งที่สำคัญอย่างถึงที่สุดในบรรดาภาพขุนนางหญิงแห่งสรวงสวรรค์ทั้งแปดภาพ ในเอกสารลับของสำนักพีหมา เทพหญิงที่ถูกวาดอยู่บนฝาผนังขี่กวางเจ็ดสี ด้านหลังสะพายกระบี่ไม้เล่มหนึ่งที่ตัวกระบี่สลักคำว่า ‘สายลมแห่งความสุข’ สถานะสูงศักดิ์ อยู่ในอันดับที่สอง ทว่าภาพที่สำคัญที่สุดยังคงเป็นภาพที่ชาวบ้านเรียกกันว่า ‘เซียนไม้เท้า’ แต่แท้จริงแล้วกลับถูกสำนักพีหมาตั้งชื่อว่าเทพหญิง ‘จ่านคาน’ ดังนั้นสำนักพีหมาถึงได้ให้เซียนดินโอสถทองคนหนึ่งที่มีหวังว่าจะเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนมาเฝ้าพิทักษ์อยู่ที่นี่
ผู้ฝึกตนวัยกลางคนไม่ได้คำตอบที่ต้องการ แต่กระนั้นก็ยังไม่กล้าวางใจง่ายๆ เขาลังเลอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะหันไปมองร้านค้าที่ขายภาพเทพหญิง ‘ฟ้าแลบ’ แห่งนครปี้ฮว่า ใช้ริ้วคลื่นในทะเลสาบหัวใจบอกกับเด็กหนุ่มคนนั้น ให้เขากลับไปที่ภูเขาบรรพบุรุษของสำนักพีหมาทันที เพื่อบอกกับศาลบรรพจารย์ว่าตรงภาพเทพหญิงฉีลู่ (ขี่กวาง) มีความผิดปกติบางอย่าง จำเป็นต้องเชิญบรรพบุรุษท่านหนึ่งมาตรวจสอบด้วยตัวเอง
แม้ว่าก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มที่ลงจากภูเขามาช่วยเด็กสาวที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่ยังเด็กจะไม่ฉลาดในเรื่องการขายของเท่าใดนัก แต่พอเจอเรื่องใหญ่เข้าจริงๆ สภาพจิตใจของเขากลับมั่นคงอย่างยิ่ง เขาบอกให้เด็กสาวรู้หนึ่งคำ พอเดินออกมาจากร้านแล้วก็มีสีหน้าเคร่งขรึม ประกบสองนิ้วทำมุทรา กระทืบเท้าเบาๆ หนึ่งทีก็มีเทพแห่งผืนดินท่านหนึ่งที่อยู่ในอาณาเขตของสำนักพีหมาแหวกดินออกมา ไม่นึกว่าจะเป็นเด็กสาวอายุสิบสามปีที่หน้าตางดงามคนหนึ่ง เห็นเพียงว่านางชูแขนทั้งสองข้างขึ้นสูง ในมือประคองกระบี่โบราณไร้ฝักที่ปราณกระบี่เฉียบคมเล่มหนึ่ง ทว่านับตั้งแต่ออกจากวังใต้ดินรากภูเขาที่อยู่ในจุดลึกของใต้ดินสำนักพีหมา จนกระทั่งชูกระบี่ปรากฏกาย แล้วส่งมอบกระบี่โบราณที่จำเป็นต้องผ่านการขัดเกลาอยู่ใต้ดินตลอดทั้งปีเล่มนั้นให้กับเด็กหนุ่มอย่างนอบน้อม ‘แม่ย่าแห่งผืนดิน’ ที่หน้าตางามพิสุทธิ์ผู้นี้ล้วนร่ายใช้เวทอำพรางตา คนที่มีขอบเขตต่ำกว่าเซียนดินลงไปจะไม่อาจมองเห็น
เด็กหนุ่มเอ่ยขอบคุณหนึ่งคำ แล้วประกบสองนิ้วเข้าหากัน ปาดเบาๆ หนึ่งครั้ง กระบี่โบราณสั่นสะท้านแล้วพุ่งแหวกอากาศออกไป เด็กหนุ่มเหยียบอยู่บนกระบี่ ปลายกระบี่ชี้ตรงไปยังยอดบนของนครปี้ฮว่า เขาพุ่งตัวออกไปแทบจะเป็นแนวดิ่ง ชั้นดินหลายชั้นที่ถูกค่ายกลภูเขาแม่น้ำเพิ่มความหนากลับไม่อาจสกัดกั้นการขี่กระบี่ของเด็กหนุ่มได้เลย หนึ่งคนหนึ่งกระบี่พุ่งทะยานเข้าสู่ชั้นเมฆ ระเบิดแหวกทะเลเมฆที่เป็นดั่ง ‘เข็มขัดหยกขาว’ เส้นหนึ่งซึ่งพันรอบภูเขาบรรพบุรุษสำนักพีหมามุ่งหน้าไปถึงศาลบรรพจารย์ด้วยความเร็วในรวดเดียว
ผู้ฝึกตนวัยกลางคนพลิ้วกายลงบนพื้น ลูบหนวดยิ้ม แม้ว่าศิษย์น้องเล็กผู้นี้จะอยู่คนละสายกับตนในศาลบรรพจารย์ แต่คนทั้งสำนัก มีใครบ้างที่ไม่ให้ความสำคัญและไม่ชื่นชอบเขา
สำนักพีหมามีกฎคร่ำครึอยู่เยอะมาก ยกตัวอย่างเช่นนอกจากคนไม่กี่หยิบมือแล้ว ผู้ฝึกตนคนอื่นจำเป็นต้องเริ่มลงเดินขึ้นเขาตั้งแต่ศาลาแขวนกระบี่ซึ่งตั้งอยู่กึ่งกลางภูเขา ต่อให้ฟ้าใกล้จะถล่มลงมาเต็มที เจ้าก็ยังต้องเดินขึ้นเขาไปแต่โดยดี ส่วนเด็กหนุ่มที่ถูกอาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่งยอมรับเป็นนายอย่างลับๆ มาตั้งแต่เด็กผู้นี้ก็คือหนึ่งในข้อยกเว้น ใช่ว่าผู้ฝึกตนวัยกลางคนจะใช้กระบี่บินส่งข่าวไปถึงศาลบรรพจารย์ไม่ได้ แต่การทำเช่นนั้นมีเรื่องวงในที่ซับซ้อน ต่อให้เป็นตัวเด็กหนุ่มเองก็ยังไม่รู้ นี่ก็คือความลี้ลับของการฝึกตนอยู่บนภูเขา ‘ไม่รู้ก็บอกว่าไม่รู้’ หากให้คนอื่นมาชี้บอก มองดูเหมือนว่าตนรู้แล้ว ทว่าโชควาสนาที่เดิมทีกำลังจะมาถึงมือกลับหนีหายไปเสียแล้ว
ดังนั้นทางที่ดีที่สุดก็คือให้เด็กหนุ่มไปรายงานเรื่องนี้ ให้เขาแบกรับผลกรรมบางอย่างมากขึ้น ไม่แน่เสมอไปว่าจะทำสำเร็จ แต่อย่างน้อยที่สุดก็ไม่ใช่เรื่องร้าย
แม้ว่าความใจกว้างของสำนักพีหมาจะมีมาก ไม่ถือสาหากคนนอกจะมาเอาโชควาสนาของภาพเทพหญิงทั้งแปดภาพไป แต่เด็กหนุ่มคือบุคคลที่มีความหวังมากที่สุดว่าจะอาศัยตัวเองช่วงชิงโชควาสนาบนมหามรรคาส่วนหนึ่งมาจากนครปี้ฮว่าได้นับตั้งแต่สำนักพีหมาเปิดภูเขาตั้งสำนักมา ปีนั้นขณะที่สำนักพีหมาสร้างค่ายกลใหญ่ภูเขาแม่น้ำ ขุดดินทำการก่อสร้างได้ใช้มัลละหุ่นเชิดหลายร้อยตนในการเปิดขุนเขา และยังมีวานรย้ายภูเขา สุนัขตะลุยภูเขาอีกหลายสิบตัว แทบจะพลิกแผ่นดินขุดลึกลงไปในใต้ดินของนครปี้ฮว่าอีกสิบกว่าลี้ รวมไปถึงผู้ฝึกตนใหญ่หลายท่านที่ทิ้งชื่อไว้บนทำเนียบวงศ์ตระกูลของสำนักพีหมา แต่กระนั้นก็ยังไม่สามารถหากระบี่โบราณที่บรรพบุรุษผู้บุกเบิกภูเขาทิ้งไว้เจอ และอาวุธกึ่งเซียนเล่มนี้ก็เล่าลือกันว่ามีความเกี่ยวข้องกับเทพหญิงฉีลู่ผู้นั้นอย่างแนบแน่น ดังนั้นสำนักพีหมาจึงคิดจะช่วงชิงโชควาสนาจากภาพวาดนี้ดูสักหน่อย สวรรค์ประทานให้แต่ไม่รับ กลับจะถูกสวรรค์ลงโทษ
เด็กหนุ่มที่อยู่บนทะเลเมฆขี่กระบี่ตรงดิ่งไปยังศาลบรรพจารย์
บรรพจารย์สามท่านของสำนักพีหมา บรรพบุรุษท่านหนึ่งปิดด่าน ท่านหนึ่งปักหลักอยู่ที่หุบเขาผีร้ายเพื่อบุกเบิกที่ทางต่อ
มีเพียงบรรพบุรุษท่านเดียวที่อยู่รับผิดชอบเฝ้าพิทักษ์ภูเขา เวลานี้เขายืนอยู่หน้าศาลบรรพจารย์ ยิ้มถามว่า “หลันซี รีบร้อนขนาดนี้ เกิดเรื่องขึ้นที่นครปี้ฮว่าหรือ?”
เด็กหนุ่มถือกระบี่เอ่ยถ้อยคำของศิษย์พี่โอสถทองผู้นั้นซ้ำอีกหนึ่งรอบ
บรรพจารย์ขมวดคิ้ว “ภาพเทพหญิงฉีลู่ภาพนั้นหรือ?”
เด็กหนุ่มพยักหน้ารับ
บรรพจารย์คว้าไหล่ของเด็กหนุ่ม ย่อพื้นที่พาเขามาถึงนครปี้ฮว่าในเสี้ยววินาที ส่งเด็กหนุ่มไปที่ร้านก่อน จากนั้นจึงมาที่ใต้ภาพฝาผนังแถบนั้นเพียงลำพัง สีหน้าของผู้เฒ่าเคร่งเครียด
ผู้ฝึกตนโอสถทองวัยกลางคนถึงตระหนักได้ว่าความร้ายแรงของสถานการณ์เหนือเกินกว่าที่ตนคาดการณ์เอาไว้
บรรพจารย์แค่นเสียงหยัน “เจ้าตัวดี สามารถฝ่าพันธนาการแน่นหนาสองชั้นของสองสำนักบุกเข้ามาในพื้นที่ลับได้อย่างเงียบเชียบถึงเพียงนี้”
สีหน้าของผู้ฝึกตนวัยกลางคนเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย
ผู้เฒ่าโบกมือ “ระวังว่าจะเป็นแผนล่อเสือออกจากถ้ำ เจ้าไปปกป้องหลันซี ไม่ต้องตื่นเต้นเกินไปนัก ถึงอย่างไรก็เป็นถิ่นของพวกเราเอง ข้าจะกลับศาลบรรพจารย์อีกครั้ง จะไปจุดธูปเคาะประตูตามกฎ”
ผู้ฝึกตนวัยกลางคนพยักหน้ารับ แล้วจึงไปที่ร้านแห่งนั้น
ทางฝั่งของร้านนั้น
เด็กสาวถามเบาๆ “เกิดเรื่องอะไรขึ้น?”
เด็กหนุ่มยิ้มกล่าว “ไปที่ศาลบรรพจารย์มารอบหนึ่ง”
ผู้ฝึกตนวัยกลางคนเดินเข้ามาในร้าน เด็กหนุ่มกล่าวอย่างสงสัย “ศิษย์พี่หยาง ท่านมาได้อย่างไร?”
ผู้ฝึกตนวัยกลางคนยิ้มเอ่ย “มาเดินดูของในร้านเล่นๆ”
แม้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าจะมีตบะแค่ขอบเขตถ้ำสถิต แต่กลับเป็นศิษย์น้องเล็กของเขา มีชื่อว่าผังหลันซี ท่านปู่ของเด็กหนุ่มคือเค่อชิงของสำนักพีหมาซึ่งก็คือเจ้าของผลงานสมุดคัดลอกภาพวาดเทพหญิงทั้งหมดในร้าน ผังหลันซีที่พรสวรรค์ดีเยี่ยมคือตัวอ่อนเซียนกระบี่ที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนในสำนักพีหมา และยิ่งเป็นลูกศิษย์เปิดขุนเขาของหนึ่งในบรรพบุรุษสามท่านของสำนักพีหมา ขณะเดียวกันก็เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายด้วย เพราะบรรพบุรุษขอบเขตหยกดิบที่ถูกขนานนามว่าพลังการสังหารติดสิบอันดับแรกของทิศใต้อุตรกุรุทวีปผู้นี้เคยสาบานในศาลบรรพจารย์ว่าชีวิตนี้จะรับลูกศิษย์เพียงแค่คนเดียว ดังนั้นปีนั้นบรรพบุรุษที่รับผังหลันซีซึ่งยังเป็นเพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง เดิมทีควรเป็นเรื่องน่าปิติยินดีที่สมควรเฉลิมฉลอง ทว่าบรรพจารย์ผู้มีนิสัยประหลาดกลับบอกคนทั้งสำนักพีหมาว่าอย่าได้เอะอะไป เขาเอ่ยเพียงประโยคเดียวที่สอดคล้องกับนิสัยตัวเองที่สุดว่า ‘ไม่ต้องรีบร้อน รอให้ลูกศิษย์ของข้าเลื่อนเป็นโอสถทองเสียก่อนค่อยเชิญคนทั่วทั้งแปดทิศมาเฉลิมฉลอง ถึงอย่างไรก็ต้องรออีกแค่ไม่กี่ปีเท่านั้น’
ผู้ฝึกตนวัยกลางคนมองผังหลันซีที่ไร้ทุกข์ไร้กังวล ในใจก็ได้แต่ยิ้มฝาดเฝื่อน ศิษย์น้องเล็ก ตอนนี้เป็นช่วงเวลาสำคัญบนมหามรรคาของเจ้าเชียวนะ
……
ในพื้นที่ลับลักษณะคล้ายตำหนักเซียนแห่งหนึ่ง ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งพลันเผยกาย เขาเซสะดุดหนึ่งที แล้วจึงสะบัดชายแขนเสื้อ ยิ้มเอ่ยว่า “ในที่สุดก็สมปรารถนาเสียที ได้มาเห็นท่วงท่างดงามเป็นเอกของเหล่าพี่สาวเทพธิดาทั้งหลายที่นี่แล้ว”
เขาตะโกนเรียกเบาๆ “นี่ มีคนอยู่ไหม?”
เขาสาวเท้าเดินเนิบช้า กวาดตามองไปรอบด้าน ชื่นชมทัศนียภาพแห่งดินแดนเซียน แล้วก็พลันยกมือขึ้นปิดดวงตา บ่นพึมพำว่า “ที่นี่คือห้องหับสตรีของพี่สาวเทพธิดาทั้งหลาย ข้าต้องห้ามมองอะไรที่ไม่ควรมอง”
……
ทางเหนือของชายหาดโครงกระดูก มีนักพรตหญิงคนหนึ่งออกจากสำนักบนภูเขาที่มีขนาดใหญ่ในระดับหนึ่ง ในฐานะเจ้าสำนักตระกูลเซียนที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของอุตรกุรุทวีป นางจึงขี่เรือข้ามฟากตระกูลเซียนที่ศิษย์พี่เทียนจวินมอบให้มุ่งหน้าลงใต้ไปอย่างรวดเร็ว เรือหลิวเสียที่เป็นสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่งของตระกูลเซียนมีความเร็วเหนือกว่าเรือข้ามฟาก ถึงขนาดสามารถเดินทางข้ามผ่านระหว่างเมฆหลากสีสองแห่งที่อยู่ห่างไกลกันเป็นพันลี้ เหมือนผู้ฝึกตนที่ร่ายวิชาย่อพื้นที่ วูบเดียวก็หายวับไปอย่างเงียบเชียบ
ส่วนทางชายแดนของหุบเขาผีร้ายแห่งชายหาดโครงกระดูก มือกระบี่หนุ่มสวมงอบบนศีรษะคนหนึ่งก็กำลังซื้อตำราเล่มหนึ่งซึ่งอธิบายถึงสิ่งที่ต้องระวังในหุบเขาผีร้ายไว้โดยเฉพาะมาจากร้านที่มีผู้ฝึกตนในท้องที่เฝ้าพิทักษ์ ในหนังสือบันทึกข้อห้ามต่างๆ มากมายและสถานที่อันตรายแต่ละแห่ง เขานั่งอาบแดดอยู่ข้างทางพลางพลิกเปิดตำราช้าๆ ไม่รีบร้อนจ่ายค่าผ่านทางแล้วเข้าไปหาประสบการณ์ในหุบเขาผีร้าย ด้วยถือคติที่ว่ามีดคมย่อมผ่าฟืนได้เร็วขึ้น
แสงแดดอบอุ่นในวันฤดูหนาว คนหนุ่มแหงนหน้ามองท้องฟ้าสีครามกว้างใหญ่ที่ไร้เมฆ อากาศไม่เลวเลยจริงๆ