บทที่ 495 ป๋ายอวี้จิงบนท้องฟ้า
ทว่าเพียงไม่นานพยับเมฆในใจของเฉินผิงอันก็สลายหายไป อันที่จริงตัวเขาเองก็แค่รู้สึกอัดอั้นตันใจเท่านั้น เมื่อเขาไปถึงภูเขาถงกวาน อย่าว่าแต่วานรย้ายภูเขาเลย แม้แต่สุนัขตะลุยภูเขาสักตัวก็ยังไม่เจอ
คาดว่าคงเป็นเพราะก่อนหน้านี้ที่ตู้เหวินซือที่ทะยานลมเดินทางไกลคงจะครึกโครมเกินไป ทำให้พวกภูตผีของที่นี่ตื่นตกใจ
นี่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกจนใจเล็กน้อย
หากเป็นเวลาปกติ วานรย้ายภูเขาที่นิสัยดุร้าย ขอแค่ให้มันได้กลิ่นของมนุษย์สักเล็กน้อยก็น่าจะเป็นฝ่ายปรากฏตัวด้วยตัวเองอย่างง่ายดายถึงจะถูก
เฉินผิงอันจงใจรั้งรออยู่ต่อไม่ยอมไปไหน แต่ผ่านไปเกินครึ่งวันแล้ว เขาใช้ตบะของผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้าทั่วไปเดินเตร็ดเตร่ไปทั่ว แต่ก็ยังไม่มีปลามากินเบ็ดสักตัว
เฉินผิงอันจึงได้แต่ไปหยุดพักเท้าอยู่ในสถานที่หนึ่งที่การมองเห็นเปิดกว้าง คิดว่าจะค้างแรมอยู่ที่นี่ หากถึงตอนกลางคืนแล้วยังไม่พบเจออะไรก็จะล้มเลิกความคิดแล้วเดินทางขึ้นเหนือต่อ
ไม่เชื่อหรอกว่าหลังจากนั้นจะไม่เจอพวกปีศาจหกอริยะแม้แต่ตัวเดียว
พอถึงยามค่ำคืน เฉินผิงอันก็ก่อกองไฟ นั่งฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูอยู่ทั้งคืน
แล้วก็ได้แต่ออกมาจากภูเขาถงกวาน
บนภูเขาถงกวาน ในถ้ำลับแห่งหนึ่งที่กลิ่นคาวคละคลุ้ง มีวานรย้ายภูเขาหลังเงินตัวหนึ่งที่ยังไม่เลือกจำแลงกายเป็นมนุษย์มองผ่านหน้าต่างขนาดเท่าฝ่ามือบานหนึ่งออกไปข้างนอก แม้ว่าการเดินของมันจะไม่ต่างจากมนุษย์ ทว่าใบหน้าและรูปร่างเรือนกายที่เต็มไปด้วยขนกลับยังคงสะดุดตาอย่างถึงที่สุด
มันกวักมือเรียก ด้านหลังก็มีบุรุษร่างเล็กเตี้ยหน้าตาเหมือนหนูคนหนึ่งเดินมา วานรย้ายภูเขาพูดเสียงแหบพร่า “รีบไปรายงานอริยะใหญ่ปานซานกับแขกคนนั้น บอกว่าไอ้หมอนี่มาเยือนจริงๆ แน่ใจว่าไม่ผิดตัว ก็คือเจ้าคนที่ทำให้คนของนครฟูนี่สะดุดล้มหัวทิ่มนั่น”
บุรุษร่างเล็กเตี้ยกำลังจะจากไปโดยใช้เส้นทางใต้ดินเส้นหนึ่ง
วานรย้ายภูเขาก็เอ่ยเตือนว่า “จำไว้ว่ามีไหวพริบหน่อย เลือกเส้นทางที่ลึกลับอำพราง ยอมอ้อมไปไกลดีกว่าไปเจอกับปลายกระบี่ของคนผู้นั้นแล้วต้องตาย เจ้าตายไปยังไม่นับเป็นอะไร แต่หากทำให้ธุระสำคัญของอริยะใหญ่ปานซานของพวกเราถูกถ่วงเวลาล่าช้า ข้าผู้อาวุโสจะจับลูกหนูหลานหนูรังนั้นของเจ้ามาตุ๋นเป็นน้ำแกงเสียเลย”
บุรุษยิ้มประจบ “ไม่มีทางทำให้เสียการใหญ่แน่นอน”
บุรุษเลียบเส้นทางใต้ดินเส้นนั้นออกไป พอออกจากถ้ำมาไกลแล้วก็เดินเข้าไปในร่องของหน้าผาหินแห่งหนึ่ง แล้วจึงกระโจนไปเบื้องหน้า กลับคืนสู่ร่างจริง นั่นคือหนูดำขนาดใหญ่ยักษ์เหมือนสุนัขตัวหนึ่ง จากนั้นมันก็เริ่มชักเท้าออกวิ่ง
นกมีเส้นทางของนก หนูมีเส้นทางของหนู
ภูตหนูตัวนี้มองดูเหมือนตัวอ้วนใหญ่ แต่แท้จริงแล้วกลับแข็งแรงปราดเปรียว ลอดทะลุผ่านสันเขารวดเร็วปานสายฟ้าแลบ มันห้อตะบึงไปตลอดทาง ไม่กล้าหยุดอยู่ที่ใดทั้งนั้น
พอออกมาจากอาณาเขตของภูเขาถงกวานแล้ว ภูตหนูยังมุดลงดินหายวับไป ประมาณครึ่งก้านธูปต่อมาก็แหวกผืนดินออกมาบริเวณใกล้ๆ กับรากไม้แห่งหนึ่ง มันโผล่หัวออกมาเหลียวซ้ายแลขวาก่อน หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีร่องรอยของคนอยู่จริงๆ ถึงได้มุดดำดินเดินทางต่อ
เพียงแต่ว่าไม่ว่าอย่างไรภูตหนูตนนี้ก็คิดไม่ถึงว่าด้านหลังจะมีคนแปลกหน้าคนหนึ่งเดินตามมาไกลๆ คนผู้นั้นปลดงอบ กระบี่เซียนและน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลง จากนั้นก็สวมหน้ากากของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง
ภูตหนูระมัดระวังมากพอแล้ว เพียงแต่ดูเหมือนว่าตบะของอีกฝ่ายจะสูงยิ่งกว่า
ช่วงเที่ยงวัน ลอดผ่านเส้นชายแดนที่เชื่อมต่อระหว่างอาณาเขตของสองปีศาจใหญ่ ในที่สุดภูตหนูก็มาถึงภูเขาของอริยะใหญ่ปานซานท่านนั้น หลังกลับคืนสู่ร่างคน เหงื่อก็แตกท่วมร่าง หอบหายใจหนักหน่วง
แม้จะบอกว่าอริยะใหญ่ทั้งหกท่านเป็นพี่น้องกัน ร่วมแรงร่วมใจกันต้านทานศัตรู ทว่าระหว่างสามีภรรยาและระหว่างพี่น้องกันเองก็ยังมีทะเลาะเบาะแว้ง มีความขัดแย้งกันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ลำบากก็แต่ลูกกระจ๊อกตัวเล็กตัวน้อยที่ตบะไม่เข้าขั้นอย่างพวกมันที่อยู่ดีๆ ก็มักจะกลายไปเป็นอาหารในจานของอริยะใหญ่บางท่าน เพราะถึงอย่างไรเมื่อกินพวกมันอิ่มหนึ่งมื้อก็สามารถเพิ่มพูนตบะได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกภูตครึ่งตัวที่แม้แต่จะประคับประคองร่างคนเอาไว้ก็ยังยากลำบากที่ชีวิตยิ่งต่ำต้อยด้อยค่า
ทางภูเขาเปิดกว้าง เมื่อภูตหนูมาถึงถิ่นของตัวเอง ความกล้าก็พลันเพิ่มพูน เพิ่งจะสะบัดชายแขนเสื้อเตรียมจะขึ้นเขาก็พบว่าบนทางเล็กอีกทิศทางหนึ่งมีคนที่คุ้นเคยเดินมา อีกฝ่ายหลังค่อมงองุ้ม เดินกระย่องกระแย่ง คล้ายกับชาวนาในชนบทที่ไม่แข็งแรง ภูตหนูดีใจเป็นล้นพ้น วิ่งตุปัดตุเป๋เข้าไปหาพร้อมตะโกนเสียงดัง “ข้าน้อยคารวะท่านบรรพบุรุษ!”
ตรงเอวผู้เฒ่ามีเชือกป่านหยาบๆ เส้นหนึ่งผูกไว้ สวมรองเท้าสาน หน้าตาไม่โดดเด่น หยีตาจนดวงตากลายเป็นเส้นเดียว ดูเหมือนว่าสายตาจะฟ้าฝาง หูก็ไม่ค่อยดี เขาเอียงศีรษะ ตะโกนเสียงดังถามว่า “เจ้าเป็นใครกัน? พูดว่าอะไรนะ?”
ภูตหนูคล้องแขนผู้เฒ่า “ข้าเอง มาจากทางภูเขาถงกวาน ยังเป็นญาติกับท่านบรรพบุรุษด้วยนะ”
ผู้เฒ่าร้องอ้อรับหนึ่งที แล้วก็ไม่ปฏิเสธภูตหนูที่ช่วยประคองอย่างกระตือรือร้น เดินไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็พลันหยุดเท้า สูดจมูกฟุดฟิด ถลึงตากว้าง ประกายแสงในดวงตาสาดยิงไปสี่ทิศ ไหนเลยจะมีท่าทางแก่ชราเสื่อมโทรมอย่างก่อนหน้านี้อีก เขากวาดตามองไปรอบด้าน ตวาดเสียงเฉียบว่า “ผิดปกติ ผิดปกติ มีกลิ่นคน ต้องมีกลิ่นคนแน่นอน! เจ้าตัวดี ทำตัวลับๆ ล่อๆ ยิ่งนัก อำพรางตัวได้ลึกล้ำขนาดนี้ แม้แต่ข้าก็ยังเกือบจะหลอกได้แล้ว”
สองขาของภูตหนูสั่นพั่บๆ เกือบจะทรุดลงไปกองอยู่กับพื้น
อย่าบอกนะว่าตลอดทางมานี้ ตนลากเอาเซียนกระบี่หนุ่มในตำนานตามก้นมาด้วย?
ผู้เฒ่าร้องเอ๊ะหนึ่งที “หนีไปแล้ว?”
ผู้เฒ่าหันไปคำรามเดือดดาลใส่ลูกหลานผู้นั้น “เจ้าเศษสวะ! ถูกคนสะกดรอยตามแล้วยังไม่รู้เรื่องอีก หากเป็นสายลับที่เจ้าพวกโสมมกลุ่มนั้นส่งตัวให้มาทำลายค่ายกลใหญ่ภูเขาแม่น้ำของพวกเรา เจ้ามีร้อยชีวิตก็ชดใช้ได้ไม่ไหว!”
ภูตหนูขาอ่อนแรงอย่างสิ้นเชิง ทรุดตัวลงนั่งกับพื้น สีหน้าซีดขาว ยังดีที่ไม่ได้ลืมเรื่องสำคัญ จึงบอกอีกฝ่ายให้รู้ถึงสถานการณ์ทางภูเขาถงกวาน
สีหน้าของผู้เฒ่าเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างไม่แน่นอน
ตาแก่ที่ร่อแร่ใกล้ตายตรงหน้าผู้นี้มีสถานะไม่ธรรมดา เป็นถึงหนึ่งในหกอริยะ เรียกตัวเองว่าเซียนจัวเหยา (จับปีศาจ)
ตาแก่หนังเหนียวที่เป็นปีศาจ แต่ตรงเอวกลับผูกเชือกพันธนาการปีศาจเอาไว้ ในเชือกพันธนาการปีศาจเส้นนั้นได้ซุกซ่อนหนวดเจียวหลงของปลาหลีสีเงินพันปีแห่งทะเลสาบถงลวี่เอาไว้สองเส้น หากคิดจะจับตัวภูตผีปีศาจทั่วไปก็ง่ายดายราวกับกวักมือเรียก หากศัตรูถูกพันธนาการก็จะต้องถูกเขาปั่นคว้านกล้ามเนื้อทุกชุ่น กระดูกทุกก้อนจนแตกละเอียดทั้งที่ยังมีชีวิต ผู้เฒ่าบอกว่าเนื้อที่เป็นแบบนี้ถึงจะเคี้ยวอร่อย มีเลือดสดซึมออกมาทีละนิด นั่นต่างหากถึงจะคู่ควรกับการเอามาแกล้มเหล้า
ผู้เฒ่าพลันปลดเชือกพันธนาการปีศาจเส้นนั้นลงมาแล้วโยนออกไป เชือกเหมือนงูที่เลื้อยส่ายไปทั่วทิศ ครู่หนึ่งต่อมาก็พุ่งวูบกลับมาอย่างว่องไว แล้วถูกผู้เฒ่าถือเอาไว้ในมือ “หนีไปแล้วจริงๆ”
ผู้เฒ่าบังคับเมฆทะยานหมอก ไม่ได้เดินอย่างผ่อนคลายอีกต่อไป รีบพุ่งไปยังถ้ำสถิตที่วานรย้ายภูเขาตัวนั้นเป็นผู้บุกเบิกอย่างรวดเร็ว
ห่างออกไปสิบกว่าลี้ เฉินผิงอันที่อยู่ในรูปลักษณ์ของเด็กหนุ่มกำลังซ่อนตัวเผ่นหนีอยู่ในผืนป่า
ไม่ใช่ว่ารู้จักถอยหนีเมื่อพบเจอความยากลำบาก แต่เป็นเพราะเปลี่ยนใจกะทันหัน
ก่อนหน้านี้ระหว่างติดตามภูตหนูตนนั้นไปเยือนภูเขาของอริยะใหญ่ปานซาน เขามองไกลๆ ไปเห็นภูตกลุ่มหนึ่งที่จับมัดคนมีชีวิตคนหนึ่งเอาไว้ อีกฝ่ายคือคุณชายชุดเขียวรูปร่างผอมบางสุภาพนุ่มนวล มือเขาถูกมัดไพล่ไว้กับลำไม้ไผ่ลำหนึ่ง ถูกลูกสมุนของภูตสองตนที่ยังแปลงร่างเป็นคนได้ไม่สมบูรณ์แบกลำไม้ไผ่พาดบ่า เดินแกว่งส่ายไปตลอดทาง บัณฑิตอ่อนแอที่น่าสงสารผู้นั้นถูกแกว่งจนลมหายใจรวยริน
ภูตที่เป็นผู้นำตนหนึ่งมีลักษณะรูปร่างของมนุษย์ แต่งกายเป็นชาวลัทธิขงจื๊อ ท่วงท่าสุภาพสง่างาม ในมือถือพัดพับกระดูกขาวเล่มหนึ่ง บนหน้าพัดวาดเป็นรูปกิ่งดอกท้อ กำลังโบกพัดอยู่ตรงหน้าอกช้าๆ
ด้านข้างมีผู้เฒ่าที่ไว้เคราแพะคนหนึ่งติดตามมา พวกเขาพูดคุยกันมาตลอดทาง ก่อนหน้านี้พวกเขาตั้งใจเดินทางไปรับคนโดยพาะ วิญญูชนพัดท้อผู้นี้คือขุนพลผู้เก่งกล้าสามารถที่ได้รับความเชื่อถือและโปรดปรานจากปี้สู่เหนียงเนียงของตนมากที่สุด มักจะไปจับตัวคนเป็นมาจากนครถงโช่วเป็นประจำ เพื่อที่จะนำไปทำเป็นอาหารรูปแบบใหม่ๆ ให้แก่ปี้สู่เหนียงเนียง
ผู้เฒ่าหัวเราะหึหึ “ท่านวิญญูชน บัณฑิตนับว่าเป็นของหายากจริงๆ รสชาติจะต้องดีเยี่ยมแน่นอน ท่านไปจับมาได้อย่างไร? ไหนลองเล่าให้ฟังบ้างสิ?”
ภูตถือพัดเอ่ยเนิบช้าอย่างค่อนข้างจะลำพองใจ “ใช้ความคิดไปไม่น้อย เจ้าทึ่มผู้นี้ไปเที่ยวเล่นอยู่ใกล้กับนครถงโช่ว ข้าก็เลยไปคุยเรื่องกาพย์กลอนกับเขา คุยกันถูกคออย่างมาก ก็เลยหลอกให้เขาเดินออกมาจากขอบเขตของนครถงโช่วด้วยตัวเอง ไม่มีทางสร้างปัญหาใดๆ ให้กับเหนียงเนียงของพวกเราแน่ ต่อให้หลังจบเรื่องทางฝั่งของนครถงโช่วจับได้ ข้าก็ไม่ถือว่าเป็นฝ่ายที่ไร้เหตุผล”
บัณฑิตเอ่ยเสียงสั่นอย่างอ่อนแรง “ข้าคือจิ้นซื่อคนใหม่ที่นครถงโช่วเลือกตัวมา พวกเจ้าจะกินข้าไม่ได้ กินไม่ได้นะ…หากปี้สู่เหนียงเนียงจะกินคนจริงๆ ข้าสามารถช่วยได้ ข้าจะช่วยพวกเจ้าหลอกเอาคนเป็นๆ กลับมาหลายๆ คน นายพราน คนตัดต้นไม้ หรือจะเป็นสตรีที่ชื่นชมในความสามารถของข้าก็ได้ทั้งนั้น…”
ภูตถือพัดเอ่ยเย้ยหยัน “คำพูดของบัณฑิตอย่างพวกเราเชื่อถือได้หรือ? เห็นไหม ก็เพราะว่าเจ้าเชื่อข้าไม่ใช่หรือ แล้วผลล่ะเป็นอย่างไร?”
บัณฑิตผู้นั้นหลั่งน้ำตาเงียบๆ
นครถงโช่วที่อยู่ใกล้กับเมืองชิงหลูเต็มไปด้วยความมหัศจรรย์ มีปลาและมังกรปะปนกัน คนเป็นและภูตผีล้วนอาศัยอยู่ในนั้น อีกทั้งยังสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข เมื่อเทียบกับนครแห่งอื่นของหุบเขาผีร้ายแล้ว นครถงโช่วถือว่าเป็นนครแห่งหนึ่งที่มั่นคงมากที่สุด น้อยนักที่บริเวณโดยรอบนครถงโช่วจะมีผีและภูตที่ดุร้ายปรากฏตัว และในเมืองก็มีกฎเข้มงวด ห้ามการเข่นฆ่าอย่างเด็ดขาด
นี่เกี่ยวกับข้อที่ว่ามันอยู่ใกล้กับเมืองชิงหลูด้วย หรือควรจะพูดให้ถูกว่า เกี่ยวข้องกับจู๋เฉวียนกั๋วฉือเซียนซือ
อีกทั้งยังมีคนมีชีวิตบนโลกคนเป็นอีกสองหมื่นกว่าคนที่ลงหลักปักฐานอยู่ที่นี่มาหลายชั่วอายุคน ในอดีตเคยเป็นผู้ฝึกลมปราณพลัดถิ่นที่สำนักล่มสลายกลุ่มหนึ่งซึ่งหนีภัยมาถึงที่นี่ มอบเงินเทพเซียนก้อนใหญ่ก้อนหนึ่งให้กับนครถงโช่ว จึงได้ตั้งรกรากให้กำเนิดลูกหลาน หลายร้อยปีต่อมา ทายาทมากมายของพวกเขาก็อาศัยอยู่ทั้งในและนอกนครอย่างสงบสุข ภายหลังก็มีผู้ฝึกตนอิสระมารวมตัวกันที่นครถงโช่วอย่างต่อเนื่อง คล้ายคลึงกับพวกชาวบ้านที่มาอาศัยอยู่ใกล้เคียงกับภูเขาตระกูลเซียน อยู่ร่วมกับภูตผีปีศาจในเมือง ทั้งสองฝ่ายต่างก็เห็นเป็นเรื่องปกติ
เพียงแต่ว่าคนเป็นที่อาศัยอยู่ใกล้กับนครถงโช่ว ส่วนใหญ่ล้วนอายุไม่ยืน อย่างมากมีอายุขัยได้ห้าสิบปีก็ถือว่าอายุยืนมากแล้ว ส่วนสตรีชาวโลกของนครถงโช่วที่ต่อให้ไม่มีพรสวรรค์ในการฝึกตนแม้แต่น้อย แต่ก็ยังหน้าตางดงามน่าหลงใหล ทว่ารูปโฉมกลับโรยราอย่างรวดเร็ว ส่วนใหญ่แล้วหลังจากอายุยี่สิบห้าก็ปรากฏร่องรอยว่าจะเป็นคนแก่ไข่มุกเหลืองแล้ว ทำให้คนรู้สึกเสียดายอย่างยิ่ง
ทุกปีนครถงโช่วจะต้องคัดเลือกดรุณีน้อยหน้าตางดงามอายุประมาณสิบสามปีกลุ่มหนึ่งให้หมัวมัวผู้อบรมมารยาทช่วยสั่งสอนขัดเกลา แล้วจากนั้นก็จะถูกส่งตัวให้ไปเป็นอนุภรรยาหรือสาวใช้ของจวนวัตถุหยินที่มีอำนาจในนครอื่นๆ ถือเป็นวิธีการในการผูกมิตรซื้อใจคน
เจ้านครถงโช่วมีน้องสาวคนหนึ่งที่ชื่อเสียงไม่ได้ด้อยไปกว่าเขาเลย ทุกๆ วันที่หนึ่งและวันที่สิบห้าของเดือน นางจะชอบมาโปรยเงินทองอยู่บนหัวกำแพงเมือง ซึ่งในบรรดานั้นจะมีเงินร้อนน้อยปะปนอยู่เหรียญสองเหรียญ
นครถงโช่วยังมีตำหนักจินหลวนอยู่แห่งหนึ่ง มีราชสำนักเล็กๆ ที่เจ้านครแต่งตั้งขุนนางบุ๋นบู๊รวดเดียวถึงร้อยกว่าคน ที่ว่าการของหกกรมก็มีครบถ้วน แม้จะเล็ก แต่ต่อให้เป็นนกกระจิบก็ยังมีอวัยวะภายในครบถ้วน
ทุกๆ สิบวันจะมีการเปิดท้องพระโรงว่าราชการกันครั้งหนึ่ง เข้าท่าเข้าทีอยู่ไม่น้อย
และยังมีการสอบเคอจวี่ เพียงแต่ว่าไม่มีการสอบระดับท้องถิ่นหรือการสอบระดับอำเภออะไร มีเพียงการสอบหน้าพระที่นั่ง เพราะถึงอย่างไรนครถงโช่วก็มีคนน้อยนิดแค่นั้น คนที่มีความรู้เรื่องวรรณกรรมจึงมีน้อยยิ่งกว่าน้อย
น้องสาวของเจ้านครแต่งตั้งยศ ‘อัครมหาเสนาผู้อำนวยการ’ รับผิดชอบเรื่องการออกข้อสอบเคอจวี่ด้วยตัวเอง
ภูตถือพัดที่แต่งตั้งตัวเองเป็น ‘วิญญูชน’ จึงเล่าเรื่องที่น่าสนใจทางทิศเหนือของหุบเขาผีร้ายให้ผู้เฒ่าเคราแพะฟัง
ภูตถือพัดที่เคยออกเดินทางไกลมาครั้งหนึ่งผู้นี้ได้ยินข่าวลือเล็กๆ ที่มาจากนครถงโช่ว เนื้อหาเกินจริงอย่างยิ่ง แต่กลับเล่าลือต่อๆ กันอย่างสมจริงสมจัง
เดิมทีเขาคิดว่ารอให้พบปี้สู่เหนียงเนียงก่อนแล้วค่อยเอาออกมาโอ้อวด เพียงแต่ว่าระยะทางบนภูเขายาวไกล ชวนให้อึดอัดเกินไปจึงเริ่มพูดจ้อ “ว่ากันว่ามีผู้ฝึกตนหญิงต่างถิ่นสองคนที่หน้าตางดงามจนน่าเหลือเชื่อ คนหนึ่งในนั้นมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นเทพหญิงฉีลู่ของนครปี้ฮว่า พวกนางสองคนโดยสารเรือข้ามฟากลำหนึ่ง กล้าบุกตรงไปที่นครจิงกวานอย่างไม่กลัวตาย พลังอำนาจนั้นยิ่งใหญ่น่าเกรงขาม ระหว่างทางไม่มีเจ้านครคนใดกล้าขัดขวาง จนกระทั่งใกล้จะไปถึงนครจิงกวานถึงได้มีเจ้านครท่านหนึ่งร่ายใช้อาวุธหนักพิทักษ์เมือง ปล่อยกระบี่บินออกไปหนึ่งร้อยแปดสิบเล่มเสียงดังสวบๆๆ”
ผู้เฒ่าเคราแพะคนนั้นกล่าวอย่างตื่นตะลึง “โอ้โห หากเป็นพวกเราจะไม่ถูกแทงกลายเป็นตะแกรงร่อนกันไปนานแล้วหรอกหรือ”
“อย่างเจ้าน่ะหรือ? ทุกครั้งที่คนเขาสาดยิงกระบี่ออกมา รู้หรือไม่ว่าต้องเผาผลาญเงินเทพเซียนเท่าไหร่? ต้องเปลี่ยนเป็นเหนียงเนียงของพวกเราเท่านั้นถึงจะได้รับการปฏิบัติเช่นนี้”
ภูตถือพัดหัวเราะร่า “กลับมาเข้าเรื่องกันต่อ ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวาน คิดไม่ถึงว่าจะมีทูตผู้ปกป้องบุปผางามหน้าตาอัปลักษณ์อย่างยิ่งผู้หนึ่ง เขาเรียกตัวเองว่าโจวเฝยกระมัง หน้าตาก็เหมือนชื่อนั่นแหละ ขี้เหร่จนแทบทนมองไม่ได้ ทว่าความสามารถกลับสูงนัก เขาโยนแหใหญ่สาดออกไป เล่าลือกันว่าไอ้หมอนั่นพูดเองว่า แหอันนั้นเกิดจากการหล่อหลอมของเงินเกล็ดหิมะหลายพันเหรียญ สรุปก็คือรวบเอากระบี่บินเหล่านั้นมาได้ในรวดเดียว กระบี่บินที่อยู่ในแหส่งเสียงหึ่งๆ ราวกับแมลงวันฝูงใหญ่ ทางฝั่งของนครแห่งนั้นยังไม่ยอมแพ้ ปล่อยกระบี่บินออกไปอีกชุดหนึ่ง เจ้าเดาดูสิว่าเป็นอย่างไร?”
ลูกสมุนคนหนึ่งตะโกนขึ้นมาเสียงดัง “ก็ต้องหนีน่ะสิ ยังจะทำอะไรได้อีก”
—
ป๋ายอวี้จิงบนท้องฟ้า
ภูตถือพัดยกเท้าถีบลูกสมุนผู้นั้นจนอีกฝ่ายลอยกระเด็นไปหลายจั้ง จากนั้นก็พูดพึมพำกับตัวเองว่า “บุรุษหน้าตาอัปลักษณ์ผู้นั้นโยนแหออกมาอีกหนึ่งปาก เหมือนกันอย่างไม่มีผิดเพี้ยน ยังคงเป็นสมบัติอาคมที่ได้มาจากการเผาผลาญเงินเทพเซียน แล้วยังบอกว่าความสามารถอย่างอื่นเขาไม่มี แต่ความสามารถในการนอนรับเงินนั้น ต่อให้เป็นตัวเขาเองก็ยังกลัวตัวเอง บุรุษเช่นนี้ก็ถือว่าโชคดีที่หน้าตาขี้เหร่ ไม่อย่างนั้นแม้แต่ข้าคงอยากจะฉี่รดหัวเขาด้วยอีกคน”
ปีศาจทุกตนร้องฮือฮา
รู้สึกเพียงว่าตัวเองกำลังฟังภาษาสวรรค์ที่ฟังเท่าไหร่ก็ไม่รู้เรื่อง
ผู้เฒ่าเคราแพะถามเบาๆ “หลังจากนั้นเป็นอย่างไรต่อ? ทางฝ่ายของนครจิงกวานนั่นได้ต่อสู้กันอย่างดุเดือดยิ่งกว่าเดิมหรือไม่? หากทั้งสองฝ่ายสู้กันจนปลาตายตาข่ายขาด มอดม้วยกันไปทั้งคู่ แบบนั้นถึงจะดีที่สุด!”
“เหล่าหยาง หน้าตาของเจ้าก็พอๆ กับเจ้าโจวเฝยผู้นั้น ยังจะวาดฝันสวยหรูอีก แบบนี้ไม่ดีหรอกนะ ต้องเปลี่ยนแปลงเสียบ้าง”
หลังจากภูตภูเขาเอ่ยสัพยอกแล้วก็รู้สึกเสียดายเล็กน้อย “ไม่มีเรื่องภายหลังอะไรอีก นครใต้อาณัติมากมายของนครจิงกวานที่อยู่ทางทิศเหนือเริ่มเปิดการป้องกันอย่างเข้มงวด ไม่มีข่าวลือใดๆ แพร่มาทางทิศใต้ของพวกเราอีก ข่าวของนครถงโช่วก็มีเพียงแค่นี้ เฮ้อ สตรีสองคนนั้นคงจะกลายเป็นลูกแกะที่เข้าปากเสือไปแล้ว ต่อให้สมบัติอาคมของเจ้าคนอัปลักษณ์จะร้ายกาจแค่ไหน แต่จะมีตบะสูงได้เท่าเจ้านครจิงกวานหรือ?”
เฉินผิงอันสะกดรอยตามอยู่ไกลๆ
เขารู้สึกสงสัยไม่เข้าใจ เหตุใดเจียงซ่างเจินถึงได้ย้อนกลับมาที่อุตรกุรุทวีป อีกทั้งยังจับมือกับเทพหญิงฉีลู่ที่เดินออกมาจากภาพวาดผู้นั้นบุกไปยังนครจิงกวานของหุบเขาผีร้ายด้วย?
หรือว่าหลังจากที่เทพหญิงฉีลู่ไปชนตออยู่ที่ท่าเรือลำคลองเหยาเย่ก็เลยเปลี่ยนใจหันไปเลือกเจียงซ่างเจินเป็นเจ้านายแทน?
แล้วผู้ฝึกตนหญิงอีกคนที่เดินทางไปด้วยกันล่ะ เป็นใครกันแน่?
ยังไม่ต้องสนใจเรื่องพวกนี้ เพราะต่อให้เขาอยากสนก็ไม่มีอำนาจจะไปเจ้ากี้เจ้าการอะไรได้ เพราะหากเจียงซ่างเจินลงมือต่อสู้โรมรันอยู่กับนครจิงกวานจริงๆ นั่นก็ต้องเป็นเทพเซียนตีกันที่แท้จริงครั้งหนึ่ง
ลองไปเจอกับปี้สู่เหนียงเนียงผู้นี้ก่อนดีกว่า
……
ลำธารลึกกึ่งกลางภูเขากระจกวิเศษ หยางฉงเสวียนนั่งอยู่ริมน้ำด้วยความเบื่อหน่าย เขายกมือนวดคลึงข้างแก้ม นั่งเฝ้าตอรอกระต่ายอยู่ที่นี่มานานหลายปีก็ช่างน่าเบื่อและชวนให้คนอึดอัดใจเสียจริง
หลังจากได้โชควาสนามาอยู่ในมือแล้วจะต้องเดินทางไปเยือนทิศเหนือดูให้ได้ ทางที่ดีที่สุดคือไปเปิดฉากต่อสู้อย่างสาแก่ใจบนภูเขาตี้ลี่สักหลายๆ ครั้ง
ตลอดหลายปีที่ไม่ปรากฏตัว อานุภาพของนามแฝงอีกชื่อหนึ่งก็ถูกพวกหนุ่มสาวที่โดดเด่นข่มทับไปหมดแล้ว
แล้วหยางฉงเสวียนก็ยกมือขึ้นเกาหัว เมื่อหลายปีก่อนเคยชินกับหัวที่โล้นโล่งไปแล้ว ตอนนี้จึงยังปรับตัวไม่ได้เท่าไหร่
คำทำนายประโยคนั้น สรุปว่าแม่นหรือไม่แม่นกันแน่? แม้จะบอกว่าการที่มาอยู่ที่นี่ก็ถือเป็นการฝึกตนเหมือนกัน ขอแค่มีเวลาว่างก็จะลงไปแช่ตัวอยู่ในน้ำ ซึ่งสามารถขัดเกลาจิตวิญญาณได้ แต่เมื่อเทียบกับการหล่อหลอมเรือนกายด้วยลาวาในภูเขาไฟของปีนั้น อันที่จริงยังห่างชั้นอยู่มาก แล้วนับประสาอะไรกับที่นิสัยของเขาไม่ชอบถูกพันธนาการ หากไม่เป็นเพราะทางตระกูลออกคำสั่งเข้มงวด ท่านแม่เกือบจะยกเอาหลักของความกตัญญูมาข่มเขาแล้ว ไม่อย่างนั้นหยางฉงเสวียนก็คงไม่ยินดีจะมาที่นี่ ยกหน้าที่ให้น้องชายที่รักที่ทำอะไรสุขุมรอบคอบ ขอบเขตก็ไม่ต่ำ แถมชื่อเสียงยังโด่งดังผู้นั้นไปจัดการ จะไม่ยิ่งดีกว่าหรอกหรือ? อีกอย่างต่อให้ตนได้กระจกซานซานเล่มนั้นมา สุดท้ายตระกูลก็ยังต้องมอบให้น้องชายนำไปหลอมเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตอยู่ดี
ไม่ใช่ว่าเขาเกิดยอกแสลงใจเพราะเรื่องนี้ ใช่ว่าเห็นน้องชายได้ดีกว่าไม่ได้ เพียงแต่มาอยู่บนภูเขากระจกวิเศษที่แม้แต่นกก็ยังไม่มาขี้แห่งนี้ก็น่าเบื่อเกินไป และนี่ก็เป็นหนึ่งในสาเหตุที่จิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตกตัวนั้นยังมีชีวิตอยู่รอดมาได้ เห็นอีกฝ่ายเป็นตัวตลกหาความบันเทิงก็พอจะคลายเหงาได้บ้าง
หยางฉงเสวียนเอื้อมมือไปคว้าหินกำหนึ่งจากก้อนหินใหญ่สีขาวหิมะมาอย่างง่ายๆ บีบฝ่ามือหนึ่งครั้ง ก้อนหินที่ปริแตกกลายเป็นหลายก้อนก็ถูกเขาขว้างลงไปในน้ำ
เขากับน้องชายที่ได้ดิบได้ดีมีชื่อเสียงโด่งดังคนนั้นก็แค่เป็นคู่พี่น้องที่ไม่ชอบขี้หน้ากันและกัน แต่กลับอยู่ไกลเกินกว่าจะเกลียดแค้นจนกลายเป็นศัตรูกัน
เขาที่เป็นพี่ชายทนมองดูน้องชายทำตัวแก่เกินวัยเหมือนหนอนหนังสือคนหนึ่งมาตั้งแต่เด็กไม่ได้ ส่วนอีกฝ่ายที่เป็นน้องชายก็ไม่ชอบพี่ชายที่ก่อเรื่องก่อราวมาตั้งแต่เด็กอย่างเขา
หากสองพี่น้องเปลี่ยนสถานะกัน บางทีเรื่องวุ่นวายใจอาจจะน้อยกว่านี้
มารดามันเถอะ หากรู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ตั้งแต่แรก ปีนั้นเขาออกมาจากท้องมารดาก่อนโดยไม่ทันระวัง ขอแค่ทำได้ เขาจะต้องรีบคลานกลับไปทันทีแน่นอน
หยางฉงเสวียนทอดถอนใจอย่างหดหู่ เงยหน้ามองไปทางทิศเหนือแล้วพูดระบายความในใจเสียงดัง “มารดาของข้า ชีวิตที่ยากลำบากเช่นนี้เมื่อไหร่จะถึงจุดสิ้นสุดสักที?”
ริมตลิ่งฝั่งตรงข้ามมีชายฉกรรจ์ร่างกำยำคนหนึ่งวิ่งออกมาจากผืนป่า ในอ้อมอกกอดผลไม้ป่าที่ไปเด็ดจากภูเขาลูกอื่นวิ่งตุปัดตุเป๋ตรงมาพลางตะโกนเสียงดังว่า “พี่ใหญ่หยาง ท่านเองก็คิดถึงมารดาเหมือนกันหรือ?”
หยางฉงเสวียนเอามือเท้าคาง คร้านจะพูดกับอีกฝ่าย เป็นตนนี่ต้องเหนื่อยใจทุกวันเลยสินะ
คนผู้นั้นกระโดดข้ามลำธารลึกมาหยุดอยู่ข้างกายหยางฉงเสวียน แล้วยื่นผลไม้ป่าผลหนึ่งไปให้อีกฝ่าย “พี่ใหญ่หยาง เจ้านี่น่ะกรุบกรอบ อร่อยนักล่ะ”
หยางฉงเสวียนรับผลไม้ป่าลักษณะคล้ายลูกหลีสีขาวมากัดกิน พูดเสียงอู้อี้ไม่ชัดเจน “เหวยเกาอู่ สรุปว่าพี่สาวของเจ้ามีบุรุษที่แอบชอบอยู่ในใจหรือไม่?”
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำที่หอบผลไม้มาประจบเอาใจผู้นี้ก็คือเหวยเกาอู่ บุตรชายคนเล็กของจิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตก น้องชายของเหวยไท่เจินปีศาจจิ้งจอกที่ถือร่ม ส่วนชื่อของคนทั้งสองนี้ แน่นอนว่าต้องไม่ใช่ชื่อแห่งชะตาชีวิตของพวกเขาสองพี่น้อง
เหวยเกาอู่ส่ายหน้า “ย่อมไม่มีอยู่แล้ว พี่สาวข้าสายตาสูงจะตายไป เห็นไหมล่ะ แม้แต่พี่ใหญ่หยางก็ยังไม่เข้าตาของนาง คาดว่าชั่วชีวิตนี้พี่สาวข้าคงถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องเป็นสาวแก่ขึ้นคาน”
หยางฉงเสวียนจึงไม่ซักถามต่อ
คนโง่ตัวโตที่เหมือนทึ่มทื่อเซ่อซ่าผู้นี้ เมื่ออยู่ท่ามกลางกลุ่มภูตบนภูเขากระจกวิเศษก็ถูกคนอื่นรังแกมาจนชินแล้ว ต่อให้เป็นผีลูกกระจ๊อกประเภทที่ชูธงร้องสนับสนุนเจ้านายก็ยังสามารถตวาดสั่งสอนเขาได้ หากไม่เป็นเพราะหน้าตาหล่อหลา เกรงว่าทุกวันคงต้องคอยเช็ดก้นให้คนเหล่านั้นแล้ว
แต่แท้จริงแล้วเหวยเกาอู่กลับไม่ได้โง่
ถึงขั้นพูดได้ว่าในบรรดาครอบครัวสามคนนี้ เขาคือคนที่ฉลาดที่สุด
ฉลาดจนถึงขั้นเดาออกว่าชะตาชีวิตในท้ายที่สุดของพี่สาวเขา อาจจะไม่ค่อยดีนัก
สิ่งที่สามารถทำได้ เหวยเกาอู่ล้วนทำไปหมดแล้ว อะไรที่ไม่ควรทำ เขาก็ไม่ได้ทำแม้แต่เรื่องเดียว
แต่ก็ยังคงไม่อาจเปลี่ยนแปลงจุดจบของพี่สาวเขาได้
หยางฉงเสวียนสงสัยใคร่รู้อย่างยิ่งว่า หากถึงวันนั้นจริงๆ เหวยเกาอู่จะยังแสร้งโง่ต่อไป หรือจะสู้สุดชีวิต? หรือว่าจะอดทนรับความอัปยศอย่างใหญ่หลวง มีชีวิตอยู่รอดไปวันๆ ในหุบเขาผีร้าย พยายามดิ้นรนต่อต้าน หวังว่าในอนาคตจะสามารถแก้แค้นให้กับตัวเองได้?
นี่ก็เป็นวิธีแก้เบื่ออย่างหนึ่งของหยางฉงเสวียนเช่นกัน ลองคิดเรื่องที่เล็กน้อยสำหรับตัวเอง แต่กลับเป็นเรื่องใหญ่เทียมฟ้าสำหรับผู้อื่น เป็นอะไรที่สนุกอยู่ไม่น้อย
หยางฉงเสวียนรับผลไม้ป่ามาอีกลูก ใช้ชายเสื้อที่ขาดวิ่นเช็ดพลางถามชวนคุย “ทางฝั่งของนครเฟิ่นหลางนั่นคืออย่างไรกันแน่?”
เหวยเกาอู่หัวเราะร่า “คราวก่อนหลังจากที่ใต้เท้าเจ้านครได้คุยเปิดใจกับพี่ใหญ่หยาง ข้าก็ไปเจอเขาที่วัดร้าง เขายังชมว่าข้ามีวาสนา ได้รู้จักกับวีรบุรุษผู้องอาจอย่างพี่ใหญ่หยาง แล้วยังเชิญข้าไปเป็นแขกที่นครเฟิ่นหลางด้วยนะ”
หยางฉงเสวียนยิ้มเอ่ย “นี่หมายความว่าเจ้านครเฟิ่นหยางผู้นี้คือคนคุยง่าย”
เหวยเกาอู่ยิ้มกว้าง “ข้ารู้ อันที่จริงก็ยังเป็นเพราะได้พึ่งใบบุญของพี่ใหญ่หยาง ไม่อย่างนั้นหากใต้เท้าเจ้านครไม่ทันระวังเหลือบมาเห็นข้าก็คงรู้สึกว่าสกปรกสายตาของเขา”
หยางฉงเสวียนเอ่ยถาม “ช่วงนี้สถานที่แห่งอื่นมีเรื่องน่าสนใจอะไรเกิดขึ้นหรือไม่?”
เหวยเกาอู่ก็คือคนที่ช่วยวิ่งไปสืบหาข่าวมาให้ผู้อื่น ความกล้าของปีศาจจิ้งจอกตนนี้ มองดูเหมือนเล็กยิ่งกว่ารูเข็ม ชั่วชีวิตที่ผ่านมาอาจจะไม่เคยบันดาลโทสะมาก่อน แต่อันที่จริงเขากลับใจกล้าไม่น้อย ไม่ว่าจะเป็นภูเขาใกล้เคียง นครเฟิ่นหลาง หรือแม้แต่เมืองหลันเซ่อก็ยังกล้าไป แต่ผู้ที่เหวยเกาอู่ได้สัมผัสด้วย แน่นอนว่ามีเพียงภูตผีและผู้ฝึกตนอิสระระดับล่างสุดของหุบเขาผีร้ายเท่านั้น หยางฉงเสวียนสามารถจินตนาการท่าทางต่ำต้อยของเหวยเกาอู่ที่ไม่ว่ากับใครก็ค้อมเอวก้มหัว ยิ้มซื่อๆ ส่งให้ไม่ขาดได้เลย
เหวยเกาอู่พยักหน้ารับ “มี ข้าเพิ่งจะไปเมืองหลันเซ่อมา ได้ยินมาว่าช่วงนี้ทางภูเขาตี่ลี่มีศึกดุเดือดเกิดขึ้นครั้งหนึ่ง หลิวจิ่งหลงที่พี่ใหญ่หยางเกลียดขี้หน้าคนนั้นต่อสู้กับนักพรตหญิงต่างถิ่นที่หน้าตางดงามมากจนพลิกฟ้าพลิกดินเลยล่ะ”
หยางฉงเสวียนกล่าว “หลิวจิ่งหลงถึงขั้นยินดีเข่นฆ่ากับคนอื่นด้วย? แถมยังเลือกสถานที่อย่างภูเขาตี่ลี่ที่เปิดโล่งโจ่งแจ้งที่สุด? หลิวจิ่งหลงใช้กี่กระบวนท่ากว่าจะสังหารอีกฝ่ายได้?”
เหวยเกาอู่เอ่ยเสียงเบา “ต่างก็พ่ายแพ้บาดเจ็บกันไปทั้งสองฝ่าย คนทั้งคู่ต่างก็นอนจมกองเลือดลมหายใจรวยริน นอนอยู่นานก็ลุกขึ้นมาไม่ไหว สุดท้ายถือว่าหลิวจิ่งหลงชนะไปได้อย่างฉิวเฉียด เพราะเป็นเขาที่ลุกขึ้นยืนได้ก่อน นักพรตหญิงผู้นั้นลุกช้ากว่าเล็กน้อย”
หยางฉงเสวียนขมวดคิ้ว
หลิวจิ่งหลงผู้นั้นมีชื่อเสียงยิ่งกว่าน้องชายของเขาเสียอีก
ในอุตรกุรุทวีปที่ผู้คนชอบแก่งแย่งเอาชนะกัน ไม่ว่าจะบนภูเขาหรือล่างภูเขาก็ล้วนชอบจัดเรียงลำดับ แล้วก็ด้วยเหตุนี้ ทุกครั้งที่เกิดการต่อสู้ถึงได้ดุเดือดรุนแรงมากเป็นพิเศษ
นอกเหนือจากคนสิบคนบนยอดเขาที่รวมถึงเทียนจวินเซี่ยสือแห่งลัทธิเต๋าแล้ว
ยังมีคนหนุ่มสิบคนที่มีหลิวจิ่งหลงเป็นหนึ่งในนั้น ซึ่งน้องชายของหยางฉงเสวียนอยู่ในอันดับที่สิบ
หลิวจิ่งหลงกลับอยู่สูงในอันดับที่สาม
และคนผู้นี้ก็ถูกขนานนามให้เป็นเจียวหลงพสุธาแห่งอุตรกุรุทวีป คือหนึ่งในสิบคนบนยอดเขาของทวีปอย่างจริงแท้แน่นอน
หยางฉงเสวียนรำคาญเขาก็เพราะว่าเมื่อครั้งที่ประลองฝีมือกันตอนเป็นเด็กหนุ่ม ให้ตายอย่างไรเขาก็ไม่อาจฝ่าค่ายกลง่ายๆ ของอีกฝ่ายไปได้
ต้องรู้ว่าหลิวจิ่งหลงคือผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง หาใช่อาจารย์ค่ายกลไม่
อีกทั้งสิ่งที่ทำให้เจ้าหมอนี่น่ารำคาญยิ่งกว่าน้องชายของตนก็คือหลิวจิ่งหลงชอบใช้เหตุผลมากที่สุด ไม่ใช่สัจธรรมอันเลื่อนลอยเหมือนเหยียบยืนอยู่กลางอากาศ แต่เป็นเหตุผลที่ต่ำสุดและตื้นเขินที่สุด ดังนั้นจึงยิ่งทำให้หยางฉงเสวียนอัดอั้นจนบาดเจ็บภายในได้มากที่สุด
หยางฉงเสวียนยิ้มกล่าว “หลังผ่านศึกนี้ไปก็คงทำให้สำนักฉงหลินได้เงินมาอีกไม่น้อย”
เหวยเกาอู่ถามอย่างใคร่รู้ “พี่ใหญ่หยาง สำนักฉงหลินนั่นคือสำนักอะไรกันแน่?”
หยางฉงเสวียนกล่าว “นครถงโช่วของหุบเขาผีร้ายพวกเจ้า ถือว่าหาเงินเก่งแล้วใช่ไหม หากเจอกับสำนักฉงหลินกลับต้องคุกเข่ากราบกรานยอมรับอีกฝ่ายเป็นบรรพบุรุษแล้ว”
เหวยเกาอู่สีหน้าเลื่อนลอยไปเล็กน้อย ยังคงนั่งหอบผลไม้ป่าเหล่านั้นอยู่ข้างกายหยางฉงเสวียนอย่างว่าง่าย แต่สายตาทอดมองไปยังทิศไกล
หยางฉงเสวียนกล่าว “นอกภูเขายังมีภูเขา เหนือฟ้ายังมีฟ้า แต่หากหมัดไม่แข็งพอ ไม่ว่าเจ้าเหวยเกาอู่จะเดินไปที่ใดก็ล้วนเป็นได้แค่เหวยเกาอู่แห่งหุบเขาผีร้ายเท่านั้น นอกจากตัวสูงหน่อย ในชื่อมีคำว่าเกาที่แปลว่าสูง แต่อย่างอื่นล้วนไม่มีอะไรที่สูงเลย ด้านนอกไม่มีให้ใฝ่ฝันหาหรอก ไม่สู้มีชีวิตอยู่ในหุบเขาผีร้ายของเจ้าไปยังดีเสียกว่า”
เหวยเกาอู่เรียกอีกฝ่ายเสียงเบา “พี่ใหญ่หยาง”
หยางฉงเสวียนตบไหล่กว้างของอีกฝ่าย “ไสหัวไปซะเถอะ”
เหวยเกาอู่ถอนหายใจหนักๆ หนึ่งที วางผลไม้ป่าในอ้อมอกไว้ด้านข้างเบาๆ แล้วจึงกระโดดข้ามธารน้ำไปจากที่แห่งนี้ พอไปถึงชายป่าของฝั่งตรงข้าม เจ้าคนโง่ผู้นี้ยังไม่ลืมหันหน้ากลับมาโบกมือลา
หยางฉงเสวียนยื่นฝ่ามืออกมา อ้าปากถ่มเบาๆ ฝ่ามือก็มีของเหลวสีแดงสดขนาดเท่าเมล็ดข้าวสารจุดหนึ่งโผล่มา หยางฉงเสวียนยิ้มพลางโคลงศีรษะ ยังคงไม่ฉลาดมากพอ
แม้แต่เรื่องที่ว่าตนเป็นผู้ฝึกลมปราณหรือผู้ฝึกยุทธเต็มตัวก็ยังไม่รู้แน่ชัด แล้วยังจะกล้าเล่นลูกไม้เล็กๆ พวกนี้อีกหรือ?
แต่ต่อให้ตายเหวยเกาอู่ผู้นี้ก็คงเดาความจริงไม่ออก ต่อให้จะให้โอกาสเขาสองครั้งแล้วก็ตาม
คือผู้ฝึกลมปราณ?
คือผู้ฝึกยุทธเต็มตัว?
เพราะหยางฉงเสวียนเป็นทั้งสองอย่าง อีกทั้งความสำเร็จยังสูงยิ่ง
นี่ต้องยกคุณความชอบให้กับศึกระหว่างเขากับหลิวจิ่งหลงในครั้งนั้น ตอนนั้นคนทั้งสองเป็นทั้งคนวัยเดียวกัน แล้วก็ถือว่าเป็นสหายกันครึ่งตัวด้วย
การประมือกันครั้งนั้น หลิวจิ่งหลงอาจจะไม่เก็บไปใส่ใจ แต่กลับทำให้หยางฉงเสวียนที่นิสัยง่ายๆ สบายๆ เปลี่ยนไปเป็นคนละคน
หยางฉงเสวียนคือนามแฝง
‘หยางจิ้นซาน’ ที่ใช้ยามท่องยุทธภพก็เช่นเดียวกัน
เพียงแต่ชื่อหยางฉงเสวียนนี้ คาดว่าคงไม่มีใครสนใจ เพียงแต่บนภูเขาของอุตรกุรุทวีป จอมยุทธพเนจรหยางจิ้นซาน รวมไปถึงฉายานักฆ่าหยาง ต่างก็มีชื่อเสียงเลื่องลือระบือไกลเหนือว่าชื่อแซ่ที่แท้จริงของเขา และยิ่งกระฉ่อนไปทั่วทั้งทวีป
น้องชายที่เป็นเมล็ดพันธ์เต๋ามาตั้งแต่เกิดเช่นเดียวกับเขา เกิดมาก็ใกล้ชิดกับสายน้ำ ส่วนเขาที่เป็นพี่ชายกลับเกิดมาใกล้ชิดกับภูเขา
ดังนั้นทางตระกูลถึงได้ให้เขามาเยือนภูเขากระจกวิเศษแห่งนี้
เหตุผลผายลมสุนัขกับมารดาพวกมันแบบนี้ก็ยังอ้างออกมาได้?
แล้วไอ้ธารน้ำลึกที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้งตรงหน้านี้ล่ะคืออะไร?
—
ป๋ายอวี้จิงบนท้องฟ้า
หยางฉงเสวียนปัดมือ ทิ้งตัวนอนหงายหลัง นอกจากเหตุผลระยำแล้ว ยังมีคำกล่าวอีกอย่างที่ลี้ลับเกินจะหยั่งอยู่อีก
น้องชายที่ใกล้ชิดกับสายน้ำ มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าเมื่อมาอยู่ที่ภูเขากระจกวิเศษจะเจอกับการช่วงชิงบนมหามรรคาที่เกี่ยวพันกับความเป็นความตาย นั่นจะอันตรายอย่างยิ่ง
หยางฉงเสวียนไม่เข้าใจเอาเสียเลย อยู่ในหุบเขาผีร้ายแห่งนี้ เว้นเสียแต่เจ้านครจิงกวานกับเจ้าโครงกระดูกผูหรางผู้นั้นเสียสติขึ้นมา น้องชายตนจะมีอันตรายอะไรได้? น้องชายของเขาคนนี้ไม่ใช่มะพลับนิ่มอะไรสักหน่อย ลื่นไหลอย่างกับปลาหนีชิว ก่อกำเนิดทั่วไป ไหนเลยจะจับเจ้าคนที่เชี่ยวชาญการรักษาชีวิตรอด อีกทั้งยังหนีเก่งอย่างถึงที่สุดเช่นเขาได้
จู๋เฉวียนแห่งสำนักพีหมาไม่ใช่คนโง่ ไม่แน่ว่าอาจจะยังช่วยปกป้องเขาบ้าง ยอดฝีมือนอกโลกสองท่านที่อยู่ในอารามเสวียนตูเล็กและวัดหยวนเยว่ใหญ่ก็ยิ่งไม่ใช่พวกที่ชอบหาเรื่องใคร โดยเฉพาะท่านที่อยู่ในอารามเสวียนตูเล็กผู้นั้นที่อาจจะยังโปรดปรานน้องชายของตนด้วยซ้ำ นี่จะไม่ยิ่งใช่บุญสัมพันธ์ที่ไม่ใหญ่ไม่เล็กครั้งหนึ่งหรอกหรือ?
คำทำนายประโยคนั้น รวมไปถึงคำพูดคำจาที่ลึกลับซับซ้อนทั้งหลาย ล้วนทำให้เขารู้สึกกร่อยหมดอารมณ์
อยู่ดีๆ หยางฉงเสวียนก็นึกถึงจอมยุทธพเนจรหนุ่มที่สวมงอบคนนั้นขึ้นมา
มองออกว่าแท้จริงแล้วอีกฝ่ายคือคนบนเส้นทางเดียวกับตน
แต่ตอนนั้นหยางฉงเสวียนกลับไม่มีความคิดที่จะงัดข้ออะไร
โชควาสนากำลังจะมาถึง
มีเรื่องเพิ่มขึ้นไม่สู้มีเรื่องน้อยลง คำพูดเก่าแก่ประโยคนี้ ควรจะรับฟังไว้สักหน่อย
หรือว่าจะเป็นคนผู้นี้?
หยางฉงเสวียนเริ่มใคร่ครวญอย่างลึกซึ้ง ยกสองนิ้วขึ้นทำมุทราคำนวณอยู่เงียบๆ ในเรื่องของการอนุมานนี้ แม้ว่าเขาจะเรียนมาอย่างผิวเผิน แต่เมื่อเทียบกับยอดฝีมือทั่วไปก็ยังถือว่าแข็งแกร่งกว่าระดับหนึ่ง เพราะถึงอย่างไรนี่ก็เป็นต้นกำเนิดแห่งวิชาของต้นตระกูล
เพียงแต่ผ่านไปครู่หนึ่ง หยางฉงเสวียนก็ทิ้งตัวนอนหงาย เริ่มหลับตานอนหลับ “เกี่ยวอะไรกับข้าด้วย ตะวันลอยโด่งข้าก็ยังหลับได้ ไม่สนหรอกว่าคนบนโลกจะกลุ้มกันเท่าไหร่”
หยางฉงเสวียนพึมพำกับตัวเอง “ยังคงอิจฉาฮว่อหลงเจินเหรินผู้นั้นอยู่ดี ตื่นก็ฝึกตน หลับก็ฝึกตน ไม่รู้ว่าใต้หล้านี้จะมีวิชาตระกูลเซียนที่คล้ายคลึงกันหรือไม่ หากมีล่ะก็จะต้องแอบเรียนดูสักหน่อย”
น้ำเสียงทุ้มนุ่มนวลเสียงหนึ่งดังขึ้นที่ข้างกายของหยางฉงเสวียน “มีน่ะต้องมีอยู่แล้ว หนึ่งอยู่ที่หลิวเสียทวีป สามารถบรรลุมรรคาในความฝัน เป็นเหตุให้เส้นทางการฝึกตนของเขาเหนื่อยเพียงครึ่งเดียว แต่ได้ผลเป็นเท่าตัว ตอนนี้คนผู้นี้มาเยือนอุตรกุรุทวีปแล้ว หากข้าผู้เป็นนักพรตเดาไม่ผิด ก็คือคนผู้นี้นี่แหละที่ได้โชควาสนาภาพเทพหญิงกว้าเยี่ยนในนครปี้ฮว่าไป”
“ส่วนอีกคนหนึ่ง เนื่องจากต้นสายปลายเหตุบางอย่างทำให้มีความเกี่ยวข้องกับบรรพจารย์บางท่านของสายข้าผู้เป็นนักพรตพอดี ดังนั้นจึงรู้ว่าเขามีชาติกำเนิดมาจากถ้ำสวรรค์หลีจูของแจกันสมบัติทวีป เพียงแต่ว่าตอนนี้ไปอยู่ที่ทักษินาตยทวีปแล้ว สามารถฝึกกระบี่ในความฝันตอนกลางวัน ขอแค่ไม่ตายไปก่อนวัยอันควร มหามรรคาก็มารออยู่เบื้องหน้า เพียงแต่ว่าระหว่างทั้งสองคนนี้ สักวันจะต้องมีการช่วงชิงบนมหามรรคาเกิดขึ้น”
หยางฉงเสวียนไม่ได้ลืมตา เพียงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ที่แท้ก็ท่านเจ้าอารามที่มาเยือนด้วยตัวเอง ทำไม คิดจะมาแย่งชิงโชควาสนากับเด็กรุ่นหลังอย่างข้างั้นหรือ? แบบนี้คงไม่ดีกระมัง ก็แค่กระจกใสที่สามารถส่องร่างจริงของปีศาจได้เท่านั้น หรือว่าเจ้าอารามผู้เฒ่าก็หมายตามันด้วย”
นักพรตเฒ่าคนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ใกล้กับหยางฉงเสวียน ไม่จำเป็นต้องใช้ปราณวิญญาณใดๆ แค่จิตขยับ ไอหมอกของธารน้ำก็มารวมตัวกันเป็นเบาะรองนั่งใบหนึ่งด้วยตัวเอง
เขาก็คือเจ้าอารามผู้เฒ่าของอารามเสวียนตูเล็ก
นักพรตเฒ่าไม่ได้ตอบคำถามที่ค่อนข้างจะไร้มารยาทของหยางฉงเสวียน เพียงแค่มองบ่อลึกแล้วกล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า “ได้มามองน้ำของที่นี่อีกครั้งก็ยังคงรู้สึกว่ามีโชคดีไร้ที่สิ้นสุด ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก”
หยางฉงเสวียนลุกขึ้นยืน ถอนหายใจ “คิดไม่ถึงว่าข้าเองก็มีวันที่ต้องพึ่งชาติกำเนิดของตัวเองถึงจะพอสบายใจได้บ้าง”
นักพรตเฒ่ายิ้มกล่าว “พ่อแม่มีความสามารถมาก ก็แสดงว่าตนเองมีความสามารถในการมาจุติ นี่ไม่ใช่เรื่องที่น่าอายอะไร สหายน้อยไยต้องหงุดหงิดถึงเพียงนี้”
หยางฉงเสวียนยิ้มกว้าง “เจ้าอาราม ตกลงกันก่อนว่า ข้าแค่ขอว่าท่านอย่าได้มาแย่งชิงโชควาสนาจากกระจกวิเศษบานนี้ของข้า ส่วนเรื่องดีๆ อย่างการถ่ายทอดมรรคกถาหรือผูกบุญสัมพันธ์อะไรนั่น น้องชายของข้าอาจจะไม่ปฏิเสธ แต่กับข้าผู้นี้ เจ้าอารามก็อย่าได้ทำเลย ข้าไม่รับไว้หรอก”
นักพรตเฒ่าหัวเราะเสียงดังก้องกังวาน “ข้าผู้เป็นนักพรตกลับรู้สึกว่าเจ้ามหัศจรรย์ยิ่งกว่าน้องชายของเจ้าเสียอีก”
หยางฉงเสวียนสอดสองมือหนุนใต้ท้ายทอย “จะคิดว่าเป็นคำพูดชื่นชมดีๆ ก็แล้วกัน”
ราชวงศ์ที่ใหญ่ที่สุดในภาคกลางของอุตรกุรุทวีปจัดตั้งหน่วยฉงเสวียนแห่งหนึ่งขึ้นมา เพื่อจัดการดูแลเรื่องรายนามของอารามต่างๆ บัญชีรายชื่อนักพรตที่อยู่ในเมืองหลวงและเรื่องของการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาเต๋า นอกจากนี้ก็ดูแลทำเนียบของวัดและภิกษุทั้งหมด
และผู้ที่มีอำนาจในการตัดสินใจของหน่วยฉงเสวียนก็แซ่หยาง เป็นทั้งราชครูของแคว้นหนึ่ง อีกทั้งยังได้ครอบครองตำหนักนภากาศแห่งหนึ่ง รุ่นของบรรพบุรุษเคยมีผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนปรากฏถึงสามคน เพียงแต่ว่าล้วนทยอยกันลาจากโลกนี้ไปแล้ว
ตำหนักนภากาศคือฉงหลินลูกหลาน (มาจากระบบสือฟางฉงหลิน คือระบบการดูแลวัดอย่างหนึ่ง สือฟางหมายถึงสิบทิศได้แก่ออก ตก เหนือ ใต้ ตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันตกเฉียงใต้ ตะวันตกเฉียงเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ บนและล่าง ฉงหลินเป็นคำเรียกขานวัดวาอารามหมายถึงสถานที่ที่พระสงฆ์มารวมตัวกัน สถานที่ที่ใช้ฝึกบำเพ็ญตน) แห่งหนึ่งของลัทธิเต๋า คล้ายคลึงกับจวนเทียนซือของภูเขามังกรพยัคฆ์
มีบารมีอำนาจยิ่งใหญ่ รากฐานลึกล้ำจนมิอาจจะจินตนาการได้ถึง
ในกลุ่มของคนหนุ่มสาวมีคนหนุ่มสองคนที่เป็นคู่พี่น้องแท้ๆ ตอนเป็นเด็กก็ได้รับการขนานนามว่าคือเมล็ดพันธ์เต๋าแต่กำเนิด
คนหนึ่งถูกเทียนจวินเซี่ยสือหมายตา เนื่องจากเซี่ยสือไม่สามารถรับลูกศิษย์ได้ และคนหนุ่มก็ไม่อาจรับใครเป็นอาจารย์ แต่กระนั้นเซี่ยสือก็ยังคงถ่ายทอดมรรคกถาให้กับอีกฝ่าย ส่วนอีกคนหนึ่งที่แม้จะเป็นพี่ชาย ทว่าตอนเป็นเด็กกลับชอบท่องเที่ยวไปทั่วทิศมากกว่า ทำตัวดั่งมังกรเทพเห็นหัวไม่เห็นหาง ว่ากันว่าเกิดมาก็มีดวงตาดำซ้อนเป็นคู่ ทั้งได้เปรียบที่เกิดก่อน แล้วก็ยังมีความพิเศษมากกว่าน้องชายออย่างหนึ่ง เดิมทีควรจะได้เป็นเจ้าประมุขในอนาคตอย่างถูกต้องเหมาะสม แต่น่าเสียดายที่นิสัยเอ้อระเหยลอยชายเกินไป ทางตระกูลเกลี้ยกล่อมอย่างไรก็ไม่เป็นผล จึงได้แต่ปล่อยเขาไปใช้ชีวิตตามใจชอบ
เมื่อกาลเวลาเลยผ่าน ฝ่ายแรกจึงเหมือนจะกลายมาเป็นตัวเลือกของตำแหน่งเสนาบดีอวี่อี (อวี่อีแปลว่าเสื้อผ้าที่ทำจากขนนก มักจะใช้เรียกเสื้อขนนกของนักพรตเต๋าหรือเทพเซียน และยังสามารถนำมาเรียกแทนตัวนักพรตเต๋าได้ด้วย) คนถัดไปของหน่วยฉงเสวียน ส่วนฝ่ายหลังกลับถูกเงามืดจากชื่อเสียงที่ยิ่งใหญ่ของน้องชายปกคลุม ยิ่งนานวันก็ยิ่งเก็บตัวเงียบไร้ชื่อเสียง
นักพรตเฒ่าเงยหน้าขึ้นมองไปยังทิศไกล น่าจะเป็นตรงซุ้มประตูหินทางเข้าของหุบเขาผีร้าย จากนั้นก็เบนสายตาออกไปมองยังทิศทางของเมืองหลันเซ่อ แล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “การที่ข้าเดินทางมาครั้งนี้ก็เพราะจะมาบอกเจ้าว่า โชควาสนามาถึงแล้ว”
หยางฉงเสวียนไม่สะทกสะท้าน “เหตุใดเจ้าอารามต้องวิ่งมาบอกข้าเรื่องนี้ด้วย?”
นักพรตเฒ่ามีสีหน้าเคร่งเครียด เขาเอ่ยเนิบช้าว่า “ก่อนหน้านี้ข้าผู้เป็นนักพรตลองทำนายดู ไม่นึกว่าจะได้ผลเป็นมหาฤกษ์ฆ่าคน ทว่าโชคดีมาพร้อมกับโชคร้าย นี่กลับทำให้ข้าผู้เป็นนักพรตจิตใจไม่สงบ จนเกิดจุดด่างพร้อยเสี้ยวหนึ่งขึ้นระหว่างจิตดั้งเดิมกับมหามรรคา สุดท้ายข้าจึงเลือกที่จะมอบมันให้คนอื่น ตอนนี้จึงทั้งรู้สึกโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก เพราะสามารถรักษาจิตดั้งเดิมเอาไว้ได้ แล้วก็ทั้งหมดอาลัยตายอยากกับการสูญเสีย ดูเหมือนว่าโชควาสนาจะเดินสวนไหล่กับข้าไป”
หยางฉงเสวียนพูดเหน็บแนม “ความหมายในคำพูดนี้ก็คือเจ้าอารามคิดจะยืมมีดฆ่าคน? ตัวเองมือสะอาด แต่ให้ข้ามาอยู่แนวหน้า รับบทเป็นคนโง่ที่หลอกได้ง่าย? แม้แต่เจ้าอารามยังลังเลว่าจะฆ่าหรือไม่ฆ่าเขาดี ต่อให้ข้าสามารถสังหารเขาได้ ค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายก็คงมหาศาล ข้าที่แขนขาเล็กลีบเช่นนี้จะแบกรับได้ไหวหรือ?”
นักพรตเฒ่าส่ายหน้า “เจ้าไม่รู้หรอกว่าเมล็ดพันธ์เต๋าแต่กำเนิดในสามสายของใต้หล้ามืดสลัวนั้นล้ำค่าแค่ไหน ข้าผู้เป็นนักพรตถึงได้ออกมาจากอารามเสวียนตูเล็กเพื่อพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้า”
นักพรตเฒ่าลุกขึ้นยืน “ดูแลตัวเองก็แล้วกัน”
หยางฉงเสวียนพลันถามขึ้นว่า “ข้ามีเรื่องหนึ่งที่ไม่เข้าใจ หวังว่าเจ้าอารามจะช่วยแถลงไข”
นักพรตเฒ่าพยักหน้ารับ “เชิญถามมาได้”
หยางฉงเสวียนจึงเอ่ยว่า “คนที่จำเป็นต้องเข้าใจหลักการเหตุผลมากที่สุดกลับเป็นคนที่ฟังเหตุผลไม่เข้าหูมากที่สุด คนที่ยินดีรับฟังเหตุผลจากคนอื่น กลับกลายเป็นว่าไม่ได้ต้องการเหตุผลหลักการเหล่านั้นมากขนาดนั้น นี่จะทำอย่างไร?”
นักพรตเฒ่ายิ้มตอบ “นี่คือคำถามที่ลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อสมควรขบคิดทบทวนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ส่วนเจ้านั้น คิดมากหนึ่งเรื่องก็คือภาระที่เพิ่มมากขึ้น เหตุใดจะต้องหาเรื่องหงุดหงิดใส่ตัว บนโลกใบนี้มีคนมากมายที่ชอบหาเรื่องให้ตัวเอง แค่หาความสุขกับเรื่องต่างๆ ให้ได้ก็พอ เจ้าจะไปทำเสียงดังปลุกให้พวกเขาตื่นจากความฝันอันงดงามไปทำไม? ด่าว่าเจ้าปากมากก็ถือว่านิสัยดีมากแล้ว พวกคนที่ใจแคบหน่อยยังจะมองเจ้าเป็นศัตรูคู่อาฆาตด้วย เมื่อเป็นเช่นนี้ สรุปแล้วคือพวกเขาโง่ หรือพวกเราที่โง่กันแน่?”
หยางฉงเสวียนหลุดหัวเราะพรืด เขาลุกขึ้นยืน สะบัดชายแขนเสื้ออย่างจริงจัง แล้วจึงก้มลงกราบคำนับอีกฝ่ายอย่างที่ไม่เคยทำกับใครมาก่อน “ขอบพระคุณท่านเจ้าอารามที่ช่วยไขข้อข้องใจ”
จากนั้นหยางฉงเสวียนก็หลุดปากพูดประโยคที่มาจากใจจริง “ฝึกตนอยู่บนมหามรรคา แสวงหาความจริงเท่านั้น”
นักพรตเฒ่าเผยสีหน้าชื่นชมออกมาเสี้ยวหนึ่ง เขาพยักหน้ารับเบาๆ แล้วร่างก็พุ่งวูบหายไป
เมื่อหยางฉงเสวียนคืนสติกลับมา เขาแบมือทั้งสองข้าง ก่อนจะกำเป็นหมัด “ผู้แข็งแกร่งบุกเบิกเส้นทาง ฝ่าฟันขวากหนาม ผู้อ่อนแอหลับหูหลับตาปฏิบัติตาม หวังความสงบสุขปลอดภัย”
เขาใช้ฝ่ามือลูบคลำปลายคาง ผ่านไปครู่ใหญ่ อดทนอยู่นาน รู้สึกว่าการพยายามกลั้นยิ้มค่อนข้างจะลำบากอยู่บ้าง
คำถามนั้น เขาใส่ใจเสียเมื่อไหร่ อันที่จริงมันคือปมในใจที่ตลอดหลายปีมานี้ทำให้หลิวจิ่งหลงลำบากใจมากที่สุด
แต่คำตอบของนักพรตเฒ่าแห่งอารามเสวียนตูเล็กกลับอยู่เหนือการคาดการณ์ คู่ควรรับการกราบไหว้ด้วยพิธีการใหญ่จากเขาอย่างแท้จริง
ย้อนกลับไปถึงป่าท้อ นักพรตเฒ่ากลับไม่ได้รีบร้อนตรงไปที่อาราม
เดินอยู่เบื้องใต้ต้นท้อ นักพรตเฒ่าเงยหน้ามองท้องฟ้าอยู่ตลอดเวลา
ไม่ว่าสาเหตุใดที่ทำให้จอมยุทธหนุ่มพเนจรคนนั้นปฏิเสธที่จะเข้าอารามมาดื่มชา อันที่จริงก็ยังไม่ถือว่าเป็นจุดสิ้นสุดของเรื่องราวอยู่ดี
ดังนั้นนักพรตเฒ่าถึงได้ถามภิกษุเฒ่าผู้เป็นสหายว่า จำเป็นต้องเก็บน้ำชาดอกท้อพันปีถ้วยนั้นเอาไว้หรือไม่
อันที่จริงเรื่องประเภทนี้ ไหนเลยที่อารามเสวียนตูเล็กจะต้องให้ภิกษุเฒ่าที่เป็นคนนอกคนหนึ่งมาตัดสินใจ?
และตอนนั้นภิกษุเฒ่าก็พูดเพียงประโยคเดียวว่า พูดไปสองไพเบี้ย นิ่งเสียตำลึงทอง
นี่ทำให้นักพรตเฒ่าตระหนักได้ถึงอะไรบางอย่าง สัญญาณเตือนในใจจึงดังขึ้นทันที
สุดท้ายหลังจากตัดสินใจได้อย่างเด็ดขาดแล้ว สภาพจิตใจที่ไร้มลทินของนักพรตเฒ่าก็กลับคืนมานิ่งสงบดุจสายน้ำอีกครั้ง เพียงแต่ยิ่งอนุมานก็ยิ่งรู้สึกว่าผิดปกติ ด้วยตบะของเขาในทุกวันนี้ ต่อให้เป็นเจ้านครจิงกวานของหุบเขาผีร้ายที่คิดจะมาเปิดฉากสังหารกับเขา ก็ยังไม่สามารถทำให้จิตแห่งเต๋าของเขาวุ่นวายได้แม้แต่นิดเดียว นักพรตเฒ่าจึงร่ายใช้วิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิตที่กล้าพูดว่ามีเพียงหนึ่งเดียวในใต้หล้า เผาผลาญพลังต้นกำเนิดไปมหาศาล เสียตบะไปถึงหกสิบปีเต็ม ถึงจะสามารถร่ายเวทหลุบตามองดินเงยหน้ามองฟ้าของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยุคบรรพกาลออกมาได้ และในที่สุดเขาก็จับเบาะแสบางอย่างได้
สองปลายของเส้นเส้นหนึ่ง ปลายด้านหนึ่งอยู่บนตัวของเฮ้อเสี่ยวเหลียงที่ตอนนี้อยู่ในนครจิงกวาน ส่วนปลายอีกด้านหนึ่งอยู่บนตัวของคนหนุ่มผู้นั้น
นี่แปลกประหลาดมากพอแล้ว ทว่าจุดที่ยิ่งทำให้คนตกตะลึงมากกว่าเดิมกลับอยู่บนอีกเส้นหนึ่งที่ตามมาด้านหลัง มีเฮ้อเสี่ยวเหลียงเป็นจุดเริ่มต้น เส้นนั้นออกห่างจากหุบเขาผีร้ายชายหาดโครงกระดูก ตรงไปยังม่านฟ้าของอุตรกุรุทวีป ราวกับว่าถูกใครบางคนของใต้หล้าแห่งอื่นจับดึงเอาไว้!
นี่ทำให้หลังจากเก็บวิชาอภินิหารนั้นลงไป นักพรตเฒ่าที่ได้ครอบครองเรือนกายไร้มลทินมานานแล้วถึงกับเหงื่อแตกท่วมร่าง
ในใจบังเกิดความเคียดแค้นรุนแรง
เฮ้อเสี่ยวเหลียงคือลูกศิษย์ของใคร? เหตุใดผู้ฝึกตนหญิงต่างถิ่นจากแจกันสมบัติทวีปคนหนึ่งถึงได้ลุกผงาดอยู่ในอุตรกุรุทวีปรวดเร็วขนาดนี้ อีกทั้งภายใต้การช่วยเหลือประคับประคองอย่างเต็มกำลังจากเทียนจวินเซี่ยสือยังสามารถก่อพรรคตั้งสำนักได้สำเร็จ?! อุตรกุรุทวีป ขอแค่เป็นผู้ที่ได้ยืนอยู่บนยอดเขาอย่างแท้จริง ใครบ้างที่ไม่รู้?
นักพรตเฒ่าแหงนหน้ามองฟ้าด้วยสายตาเดือดดาล ใจนึกอยากจะบุกไปเข่นฆ่ายังใต้หล้านั่นเสียเดี๋ยวนี้ บุกไปยังป๋ายอวี้จิง ไปทวงคำตอบและคำอธิบายจากเจ้าลัทธิผู้นั้น
หากสังหารคนตามผลทำนายที่ออกมา โชควาสนาอาจไม่ใช่เรื่องเท็จเสมอไป
แต่เจ้าลู่เฉินเห็นข้าเป็นหุ่นเชิดที่จะชักดึงอย่างไรก็ได้อย่างนั้นหรือ? เจ้าเห็นข้าเป็นหมาที่ส่ายหางขอความเมตตาอยู่หน้าประตูบ้านคนอื่นหรือไร?!
ใต้หล้ามืดสลัว
ป๋ายอวี้จิง
นักพรตหนุ่มคนหนึ่งนั่งอยู่บนราวระเบียงหยกขาวอย่างเกียจคร้าน ใต้ฝ่าเท้าคือทะเลเมฆหลายชั้นที่ลอยสูงต่ำไม่เท่ากัน ล้วนเป็นปราณวิญญาณอันไพศาลที่รวมตัวกันเป็นทะเล เขายิ้มตาหยี “อารามเสวียนตูเล็กใหญ่ล้วนมีวิธีการที่ดีเยี่ยม”
ก่อนหน้านี้เขาเอียงศีรษะอยู่ตลอดเวลา สองนิ้วคีบเส้นมายาบางๆ เส้นหนึ่ง เงี่ยหูตั้งใจฟัง แต่ก็ได้ยินขาดๆ หายๆ ไม่ชัดเจนเลยแม้แต่น้อย
เส้นเส้นนี้ ต่อให้เป็นเขาเองก็ไม่อยากจะไปแตะต้องมากนัก
เวลานี้เขานั่งตัวตรง ดีดนิ้วหนึ่งครั้ง เส้นนั้นก็ปริแตกไปอย่างง่ายดาย
เดิมทีก็เป็นแค่ลูกไม้เล็กๆ ที่สืบสาวตามเบาะแสมา ไม่ใช่ว่าเขามีเจตนาชั่วร้ายจริงๆ เสียหน่อย ตอนนี้เจ้าเด็กนั่นจะเป็นหรือตาย จะมีโชคหรือภัย เขาไม่คิดจะไปเหยียบน้ำขุ่นบ่อนั้น ส่วนเฮ้อเสี่ยวเหลียงก็มีอยู่เรื่องหนึ่งที่นางกล้ากระทำเองโดยพลการ แถมยังทำได้อืดอาดไม่ฉับไวแม้แต่น้อย ตัวนางเองยังไม่รู้ว่าผลลัพธ์ที่ตามมาจะเป็นอย่างไร ดังนั้นก็ได้เรียกว่าเจ้าจมูกโคหน้าเหม็นของอารามเสวียนตูเล็กผู้นั้นใส่ร้ายเขาลู่เฉินจริงๆ แล้ว บัญชีนี้จำใส่หัวของอารามเสวียนตูในใต้หล้าของตนก็แล้วกัน เดี๋ยวจะไปโวยวายที่นั่นดูสักที หากทวงความยุติธรรมมาไม่ได้วันหนึ่งก็จะยืนด่าอยู่ที่นั่นวันหนึ่ง
ลู่เฉินลูบคลำปลายคาง พึมพำกับตัวเองว่า “แต่ลูกศิษย์น้อยคนนี้ของข้าช่างมีโชควาสนาที่ยิ่งใหญ่จริงๆ ยังไม่ได้ออกกระบวนท่าอย่างแท้จริงก็เกือบจะปลิดชีพเจ้าเด็กนั่นไปโดยไม่รู้ตัวเสียแล้ว”
เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ทั้งชุดลัทธิเต๋าและกวานเต๋าที่สวมใส่ล้วนไม่ได้อยู่ในสามสายเดิมของมรรคาจารย์เต๋ามาหยุดอยู่ข้างกายลู่เฉิน ถามว่า “ศิษย์พี่สาม มีเรื่องแปลกใหม่อะไรหรือ?”
ลู่เฉินหันตัวกลับมาลูบศีรษะเด็กหนุ่ม “ศิษย์น้องเล็ก ต้องพยายามหน่อยนะ อย่าทำให้ศิษย์พี่เล็กอย่างข้าต้องแพ้ให้กับเจ้าคนแซ่ฉีอีกครั้ง ศิษย์พี่เล็กเป็นคนจดจำความแค้นได้ดีนักล่ะ รู้หรือไม่?”
รอยยิ้มบนใบหน้าของเด็กหนุ่มแข็งทื่อ พอเห็นรอยยิ้มมีเลศนัยของลู่เฉินก็หมุนตัววิ่งหนีทันที
ทว่าในใต้หล้าแห่งนี้ อยู่ที่ป๋ายอวี้จิงแห่งนี้ เด็กหนุ่มจะหนีไปไหนได้
—
ป๋ายอวี้จิงบนท้องฟ้า
แล้วก็จริงดังคาด เขาเหมือนถูกฝ่ามือข้างหนึ่งกระชากคอเสื้อด้านหลังแล้วโยนไปทางทะเลเมฆที่อยู่นอกป๋ายอวี้จิงโดยตรง ไม่เพียงเท่านี้ ยังถูกศิษย์พี่เล็กผู้นั้นกักปราณวิญญาณทั้งหมดเอาไว้ด้วย
เซียนหลายท่านรีบบินออกมาจากจุดต่างๆ ของป๋ายอวี้จิง พยามยามพุ่งเข้าไปรับร่างอาจารย์อาน้อยคนใหม่ที่ตำแหน่งสถานะสูงศักดิ์ผู้นี้
ลู่เฉินยกฝ่ามือไล่ตบเซียนทั้งหลายให้ปลิวกระเด็นไปทีละคน
เด็กหนุ่มร่วงดิ่งลงพื้นอย่างรวดเร็ว
ผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยานคนหนึ่งที่รับหน้าที่เป็นผู้ปกป้องมรรคาให้เด็กหนุ่มชั่วคราวกัดฟัน กำลังจะแข็งใจบินออกไปช่วยคน เขาจะปล่อยให้เด็กหนุ่มร่วงตกลงพื้นได้คาตาจริงๆ หรือไร?
หากพูดถึงแค่เรือนกายที่มีเนื้อหนังมังสา ต่อให้เป็นขอบเขตหยกดิบ ตกลงไปก็ต้องกลายเป็นเนื้อเละๆ กองหนึ่ง
ทะเลเมฆเหล่านั้นไม่ใช่ของธรรมดาทั่วไป
มรรคาจารย์เต๋าย่อมสามารถช่วยลูกศิษย์คนสุดท้ายผู้นี้ได้อยู่แล้ว เจ้าลัทธิลู่เองก็ช่วยได้ แต่หากเป็นเช่นนั้นผู้ปกป้องมรรคาอย่างเขาจะไม่กลายไปเป็นตัวตลกของคนทั้งใต้หล้าหรอกหรือ?
ลู่เฉินชำเลืองตามองขอบเขตบินทะยานผู้นั้นด้วยสายตาเย็นชา
จิตแห่งเต๋าของอีกฝ่ายแหลกสลายทันควัน เขารีบยืนกุมมือ รักษาจิตวิญญาณให้มั่นคง
และในขณะที่เด็กหนุ่มกำลังจะร่วงลงสู่พื้นนั้นเอง ตรงม่านฟ้าก็มีช่องโพรงขนาดใหญ่สองช่องถูกแหวกออกแทบจะเวลาเดียวกัน พลังอำนาจนั้นน่าตะลึงพรึงเพริดเป็นอย่างยิ่ง
จากนั้นก็มีสายรุ้งสองเส้นพุ่งมาทางป๋ายอวี้จิงแห่งนี้
แม้ว่าช่องโพรงทั้งสองจะถูกชดเชยเติมเต็มอย่างรวดเร็ว
ทว่าชั่ววินาทีนั้นก็มีเงาร่างหลายเงาพุ่งพรวดเข้ามาในใต้หล้ามืดสลัว จงใจอ้อมผ่านป๋ายอวี้จิง พยายามที่จะหลบซ่อนตัวตน
ลู่เฉินสีหน้าไร้อารมณ์ เพียงแค่ยกนิ้วชี้ไปทางนั้นทีทางนี้ที
เงามืดทั้งหลายเหล่านั้นเผ่นหนีแตกกระเจิงขึ้นไปด้านบน สิ่งศักดิ์สิทธิ์เกราะทองสูงพันจั้งหลายตนปรากฎขึ้นท่ามกลางความว่างเปล่า ซัดให้เงามืดเหล่านั้นแตกกระจายปั่นป่วน
ลู่เฉินกระโดดขึ้นเบาๆ พริบตาเดียวก็มาถึงด้านล่างสุดของป๋ายอวี้จิง
เด็กหนุ่มลอยตัวอยู่กลางอากาศห่างพื้นดินหนึ่งฉื่อ มือเท้าแข็งทื่อ หัวสมองว่างเปล่าไร้ความคิดใด
ลู่เฉินทรุดตัวลงนั่งยอง เอ่ยเนิบช้าว่า “ผู้ปกป้องมรรคาคือสิ่งนอกกาย สถานะลูกศิษย์ของมรรคาจารย์เต๋าก็เป็นสิ่งนอกกาย ความเป็นความตายของตนก็ยังคงเป็นสิ่งนอกกายอยู่ดี”
เด็กหนุ่มที่มีเหงื่อซึมบนหน้าผากพยักหน้ารับเบาๆ
ลู่เฉินจับศีรษะของเด็กหนุ่มแล้วกดลงด้านล่างเบาๆ หนึ่งที ลูกศิษย์คนสุดท้ายของมรรคาจารย์เต๋าตัวเป็นๆ ก็กลายมาเป็นกองเนื้อเละๆ กองหนึ่ง
ลู่เฉินยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หากไม่เคยตายอย่างแท้จริงหนึ่งครั้ง แล้วจะรู้ถึง…เต๋าที่แท้จริงได้อย่างไร?”
นักพรตวัยกลางคนร่างสูงใหญ่คนหนึ่งมาปรากฏตัวอยู่ข้างกายลู่เฉิน เขาโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เก็บเอาจิตวิญญาณทั้งหมดของเด็กหนุ่มมาแล้วก็ขมวดคิ้วกล่าวว่า “เจ้าทำตัวเป็นศิษย์พี่แบบนี้เองหรือ?”
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “ถึงอย่างไรก็ดีกว่าเจ้าในปีนั้นก็แล้วกัน”
นักพรตร่างสูงใหญ่ส่ายหน้า กระทืบเท้าหนึ่งครั้ง ทะยานตัวขึ้นจากพื้นดิน ตรงไปยังจุดที่สูงที่สุดของป๋ายอวี้จิง
ลู่เฉินพลันถูกคนผู้หนึ่งใช้แขนรัดคอ คนที่หน้าตามอมแมมผู้นั้นน่าจะตัวไม่สูง เพราะต้องเขย่งปลายเท้าเล็กน้อย เขายิ้มหน้าเป็นถามเจ้าลัทธิลู่ผู้นี้ด้วยท่าทางสนิทสนมเป็นกันเองอย่างยิ่ง “หมัดเมื่อครู่นี้ของข้าเป็นอย่างไร? องศาพอดีเลยไหม? ลูกศิษย์คนรองของเต๋าเหล่าเอ้อร์ ป่านนี้น่าจะยังเจ็บอยู่เลยกระมัง?”
ลู่เฉินพยักหน้ารับ “มาดยังคงสง่างามดังเดิม”
คนผู้นั้นเพิ่มแรงที่แขน เป็นเหตุให้ร่างของลู่เฉินเอนไปด้านหลังเล็กน้อย คนผู้นั้นหรี่ตาถามว่า “มีบัญชีเก่าค้างอยู่ พวกเราควรมาชำระกันได้แล้วไหม?”
ลู่เฉินยิ้มกล่าว “ฟ้านอกฟ้า ข้าไม่มีทางไป สู้กันที่นี่ เจ้าไม่มีกระบี่ก็ทำร้ายข้าไม่ได้ อีกอย่างตอนนี้ที่ป๋ายอวี้จิงมีเทพธิดากี่มากน้อยที่กำลังมองมายังพวกเราสองคน?”
คนผู้นั้นถึงได้คลายแขนออก ลู่เฉินจึงปัดชายแขนเสื้อด้วยความรู้สึกระอาใจเล็กน้อย
คนผู้นั้นหันหน้าไปทางจุดสูงของป๋ายอวี้จิง พยายามเบิกตากว้างมองไปให้ไกล แต่แล้วจู่ๆ ก็ก้มหน้าถ่มน้ำลายใส่ฝ่ามือของตัวเอง เอาฝ่ามือสองข้างถูกัน จากนั้นก็ชูมือทั้งสองขึ้นสูง สะบัดมือลูบเส้นผมจากหน้าไปหลังแรงๆ
เขารู้สึกว่าหากเวลานี้มีกระจกสักบานอยู่ในมือ กระจกคงต้องแตกคาที่เลยกระมัง
เขากระแอมให้ลำคอชุ่มชื้นอยู่สองสามที กำลังจะอ้าปากพูด
ลู่เฉินกลับเอ่ยขึ้นอย่างระอาใจว่า “ไม่ต้องแนะนำตัวเองแล้ว คนทั้งบนและล่างป๋ายอวี้จิงต่างก็รู้ว่าเจ้าชื่ออาเหลียง”
คนผู้นั้นยังคงแนะนำตัวเองแก่เหล่าเทพธิดาในป๋ายอวี้จิงอย่างเอาจริงเอาจัง “เหลียงที่แปลว่าดีงาม”
ลู่เฉินยิ้มถาม “ในเมื่อยืนกรานว่าตัวเองคือมือกระบี่คนหนึ่ง แล้วกระบี่ของเจ้าล่ะ?”
คนผู้นั้นย้อนถาม “มือกระบี่จะต้องมีกระบี่เสมอไปหรือ?”
เขาถามเองตอบเอง “ข้าว่าไม่แน่เสมอไปหรอก”
ลู่เฉินพยักหน้ารับ “จุดใดในฟ้าดินที่มีกลิ่นอายของความองอาจกล้าหาญ ที่นั่นก็คือจุดที่จะออกกระบี่ได้อย่างสาแก่ใจ หากทำสำเร็จจะต้องยิ่งใหญ่ตระการตาอย่างมากแน่นอน”
ชายฉกรรจ์ที่ตัวไม่สูง ส่วนหน้าตาก็…งั้นๆ กระทืบเท้าทะยานตัวขึ้นสูงเช่นกัน ไม่ได้ตรงไปหาเต๋าเหล่าเอ้อร์ แต่ใช้หมัดต่อยม่านฟ้าให้เปิดอ้าแล้วย้อนกลับไปยังฟ้านอกฟ้าอีกครั้ง
ลู่เฉินยืนสองมือไพล่หลัง แหงนหน้ามองไป เป็นนานก็ยังไม่ถอนสายตากลับคืนมา
มักจะมีคนประเภทหนึ่งที่ไม่ว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรูก็ล้วนทำให้ผู้อื่นเกิดความเลื่อมใสได้เสมอ
ข้อนี้ อาเหลียงผู้นี้ อันที่จริงทำได้ดียิ่งกว่าตนและฉีจิ้งชุนเสียอีก
ลู่เฉินพลันนึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็ยิ้มอย่างชอบใจ
บางทีฮูหยินภูเขาชิงเสินของถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ผู้นั้นอาจจะไม่ได้คิดแบบนี้กระมัง
……
ถ้ำสถิตของปี้สู่เหนียงเนียงสร้างขึ้นบนสถานที่แห่งหนึ่งที่มีชื่อว่าภูเขาโปลั่ว ตัวภูเขาไม่สูงมากนัก ไม่ถือว่าเป็นสถานที่ที่ฮวงจุ้ยดีอะไรนัก
เดิมทีนางก็เป็นหนึ่งในกองกำลังที่อ่อนแอที่สุดของหกอริยะ เพียงแต่ว่าไม่รู้ทำไม ภูเขาโปลั่วถึงได้ตั้งตระหง่านไม่ล้มลงอยู่ในหุบเขาผีร้าย
หันกลับไปมองอริยะใหญ่ปานซาน (ย้ายภูเขา) ที่ไม่เพียงแต่มีกองกำลังทหารที่แข็งแกร่ง ตบะของตัวเขาเองก็ยังสูงกว่านางอยู่หนึ่งระดับใหญ่ด้วย
อริยะใหญ่ปานซานคือวานรย้ายภูเขาที่สายเลือดไม่บริสุทธิ์ตัวหนึ่ง แม้ว่าเพิ่งจะมีอายุแค่ห้าร้อยปี แต่อาศัยเรือนกายที่แข็งแกร่งทนทานมาตั้งแต่เกิด ชอบที่จะต่อสู้ประชิดตัวกับภูตผีหรือไม่ก็ผู้ฝึกลมปราณมากที่สุด อีกทั้งยังทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อเสื้อเกราะน้ำค้างหวานที่ระดับขั้นสูงอย่างถึงที่สุดตัวหนึ่งมาไว้ติดกาย แล้วยังได้ครอบครองค้อนดาวตกที่พลังพิฆาตยิ่งใหญ่อีกเล่มหนึ่ง จึงไม่ต่างจากพยัคฆ์ติดปีก
การป้องกันของภูเขาโปลั่วกระจัดกระจายไม่เข้มงวด ทหารกล้าจับกลุ่มกันกลุ่มละสองสามคน มัวแต่ง่วนอยู่กับการเล่นพนันขันต่อ แต่ละคนจิตใจจดจ่อมีสมาธิยิ่ง
แต่ภูเขาโปลั่วมีสถานที่อยู่สามแห่งที่มีตราผนึกภูเขาแม่น้ำเชื่อมโยงติดต่อกันอย่างมหัศจรรย์ แม้จะไม่ใช่ค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาอะไร แต่ขอแค่คนนอกบุ่มบ่ามบุกเข้ามาก็ง่ายที่จะไปกระตุ้นตราผนึกรบกวนตลอดทั้งภูเขาโปลั่ว
จวนที่แขวนกรอบป้ายคำว่า ‘ตำหนักกว่างหาน’ แห่งนั้นสร้างได้อย่างโอ่อ่ามลังเมลืองยิ่ง ไม่ได้ดูยากแค้นเลยสักนิดเดียว (คำว่าหานของชื่อตำหนักสามารถแปลได้ว่าหนาวเหน็บ/ยากจน) มองดูแล้วมีแต่กลิ่นอายมงคลสูงศักดิ์ น่าจะต้องทุ่มเงินเทพเซียนไปไม่น้อย อีกทั้งภายในภายนอกล้วนปลูกต้นกุ้ยไว้ไม่น้อย แต่ก็ไม่ใช่พันธ์ที่ล้ำค่าหายากอะไร
ทางฝั่งของเรือนด้านหลัง สตรีโตเต็มวัยเรือนกายอรชรอ้อนแอ้น แต่ใบหน้ากลับเป็นหลุมเป็นบ่อคนหนึ่งกำลังยืนอยู่บนขั้นบันได นางสวมชุดชาววังที่หรูหรางดงาม พอเห็นบัณฑิตที่ถูกจับห้อยต่องแต่งอยู่บนลำไม้ไผ่ ดวงตาก็พลันเป็นประกาย เป่าปากพองแก้ม นางเช็ดน้ำลายตัวเองแล้วหัวเราะราวกับกิ่งบุปผาสั่นไหว ไม่รอให้ภูตถือพัดที่ใคร่ครวญถ้อยคำมาเรียบร้อยแล้วเอ่ยขอความดีความชอบ นางก็ขับไล่เขาไปพร้อมกับเหล่าสมุนที่เกะกะลูกตาของเขาแล้ว
ลำไม้ไผ่ถูกวางลงบนพื้น ท่วงท่าของบัณฑิตน่ากระอักกระอ่วนอย่างยิ่ง เขานอนอยู่บนพื้น ข้อมือถูกรัดจนเกิดรอยช้ำบวมเขียว เขาเปิดปากพูดเสียงสั่นอย่างยากลำบาก “ปี้สู่เหนียงเนียง?”
สตรีย่อตัวลงนั่งยอง ยื่นมือมาลูบไล้ใบหน้าของบัณฑิตผู้อ่อนแอ สายตาของนางตอนที่เอ่ยพูดเลื่อนลอยไปเล็กน้อย “ไม่เคยได้พบเจอบุรุษที่รูปงามขนาดนี้มานานมากแล้ว ดีจริงๆ พี่ชายน้อย วางใจเถอะ ข้าเป็นสตรีที่รู้จักรักและถนอมผู้อื่น อย่าไปฟังข่าวลือภายนอก คำพูดเหลวไหลทำนองว่าปี้สู่เหนียงเนียงชอบกินผัดเผ็ด ไม่ชอบกินอาหารตุ๋นรสชาติจืดชืดอะไรนั่น วิธีการกินคนของข้าซ่านสยิวที่สุดแล้ว บุรุษล้วนชื่นชอบกันมาก ภูเขาโปลั่วแห่งนี้ของข้าใช่บ่อมังกรถ้ำพยัคฆ์เสียที่ไหน เป็นสถานที่ที่ทำให้บุรุษอย่างพวกเจ้าเปรมปรีดิ์อย่างแท้จริงต่างหาก”
ระหว่างที่พูดสตรีก็อดแลบลิ้นประหลาดที่ทั้งกว้างและยาวอย่างถึงที่สุดออกมาไม่ได้ มุมปากก็ยิ่งมีน้ำลายหยดย้อยลงบนใบหน้าของบัณฑิต
บัณฑิตอยากจะร้องไห้แต่ก็ไร้น้ำตา
ราวกับว่าตกใจจนทึ่มทื่อไปแล้ว ได้แต่จ้องนางตาแข็งค้าง
ปี้สู่เหนียงเนียงผู้นี้ยิ้มหวานเอ่ยว่า “มองอะไรเล่า? อย่าได้รีบร้อน หลังจากช่วยเจ้าคลายเชือกแล้ว เจ้าก็ไปที่ตั่งยวนยางกับข้า อยากดูอะไรก็จะให้เจ้าดู”
บัณฑิตเอ่ยเนิบช้าว่า “คางคกอย่างเจ้าไม่ได้คุยโวเลย สมกับเป็นเผ่าพันธ์ของตำหนักจันทราจริงๆ ไม่เสียแรงที่เดินทางมาคราวนี้”
สตรีอึ้งตะลึง
ทันใดนั้นกลุ่มควันสีดำก็ซัดตลบอบอวล ปราณดุร้ายพุ่งทะยานสู่ท้องฟ้า กลบทับปี้สู่เหนียงเนียงผู้นี้ไว้จนมิด จากนั้นเสียงโหยหวนชวนรันทดหดหู่ของนางก็ดังออกมาระลอกหนึ่ง แต่ไม่นานก็เงียบหาย เหลือเพียงกองเลือดสดกองใหญ่ที่เป็นดั่งบุปผาเบ่งบานอยู่บนพื้นดิน
ครู่หนึ่งต่อมาก็เปลี่ยนเป็นบัณฑิตที่นั่งยองอยู่บนพื้น ปี้สู่เหนียงเนียงนอนอยู่กับพื้น เหลือเพียงโครงกระดูกขาวโครงหนึ่ง
มุมปากของบัณฑิตเต็มไปด้วยเลือดสด แล้วก็ไม่คิดจะเช็ดออก เขาส่งเสียงเรอดังเอิ้ก ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งไปจุ่มเลือดพลางหันหน้าไปมองทางกำแพง ยิ้มถามว่า “ดูเรื่องสนุกพอแล้วหรือยัง?”
ต่อให้เป็นเฉินผิงอันก็ยังตกตะลึงอย่างหนัก
ภูตผีปีศาจทำร้ายคนมีให้พบเห็นได้ไม่น้อย ภูตจิ้งจอกล่อลวงบัณฑิตก็มีให้เห็นกันบ่อยๆ
แต่ ‘บัณฑิต’ กินปีศาจ เฉินผิงอันกลับเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก
เฉินผิงอันที่นั่งยองอยู่บนหัวกำแพงรัดน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ไว้ตรงเอวเรียบร้อยแล้วก็เอ่ยถามว่า “เห็นได้ชัดว่าปี้สู่เหนียงเนียงที่ตบะธรรมดาผู้นี้มีที่พึ่งที่ยิ่งใหญ่ อีกทั้งยังไม่ใช่ปีศาจใหญ่ตนอื่นๆ ด้วย เจ้าไม่กลัวสักนิดเลยหรือ?”
บัณฑิตยิ้มกล่าว “ก็มีเจ้ามาเป็นตัวตายตัวแทนพอดีไม่ใช่หรือ?”
เฉินผิงอันก็ยิ้มเหมือนกัน “ช่วยมีคุณธรรมในยุทธภพหน่อยได้ไหม?”
กระบี่บินชูอีสืออู่พุ่งออกมาจากในน้ำเต้าอย่างรวดเร็ว ไม่ได้เข้าไปโรมรันกับบัณฑิตผู้นั้น แต่ผลุบหายลงไปในพื้นดินโดยตรง
ผิดเป็นครู รถลากที่หนีไปใต้ดินของฟ่านอวิ๋นหลัวทำให้เฉินผิงอันจดจำได้จนถึงทุกวันนี้
ทั้งสองฝ่ายเงียบงันไปพร้อมกันราวกับนัดหมายกันมา
บัณฑิตน่าจะกริ่งเกรงว่ากระบี่เล่มนั้นของเซียนกระบี่หนุ่มผู้นี้จะเร็วกว่าวิชาหลบหนีเฉพาะตนของตัวเองหรือไม่?
ส่วนเฉินผิงอันก็กลัวว่าเขาจะเผ่นหนีได้เร็วเกิน อยู่ดีๆ จะหนีหายไปทั้งอย่างนี้ แล้วบัญชีนี้จะคิดคำนวณกันอย่างไร?
ส่วนเรื่องที่จะถูกไอ้หมอนี่ป้ายสีใส่ อันที่จริงเขาไม่ได้คิดอะไรมาก ต่อจากนี้จะเกิดปัญหาอะไรขึ้นเขาก็พร้อมรับ เดิมทีก็มาที่นี่เพื่อฝึกประสบการณ์อยู่แล้ว หากมีชีวิตสงบสุขเกินไป กลับกลายเป็นว่าจะทำให้เฉินผิงอันไม่คุ้นชิน หากไม่ได้จริงๆ ก็จะใช้ยันต์ย่อพื้นที่สีทองแผ่นนั้นร่วมกับเจี้ยนเซียน ออกไปจากหุบเขาผีร้ายก่อนชั่วคราว รอให้รู้รากฐานของอีกฝ่ายคร่าวๆ เสียก่อนแล้วค่อยกลับเข้ามาในหุบเขาผีร้ายอีกครั้ง ใช้วิธีการโง่เง่าเหมือนการเฉือนเนื้อด้วยมีดทื่อ ค่อยๆ ขัดเกลากันไป ดูว่าใครจะอดทนได้ดีกว่ากัน สู้ไม่ได้ก็ค่อยหนี หนีแล้วก็ค่อยกลับมาใหม่
เฉินผิงอันกับบัณฑิตขยับปากแทบจะพร้อมกัน แต่ก็หุบปากลงพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมายอีกครั้ง
บัณฑิตเช็ดคราบเลือดที่มุมปาก “เจ้าพูดมาก่อน เซียนกระบี่นี่นะ ข้าเคารพนับถือมากที่สุดในชีวิตแล้ว”
เฉินผิงอันกล่าว “เจ้าพูดก่อน ยังคงเป็นบัณฑิตอย่างพวกเจ้าที่สูงศักดิ์ล้ำค่ามากกว่า”
บัณฑิตทำสีหน้าแปลกใจ “พวกเราสองคนจะเสียเวลากันอยู่อย่างนี้หรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ขอแค่เจ้าสบายใจก็พอ”
บัณฑิตได้แต่มองดูเจ้าหมอนั่นเรียกกระบี่ยาวอีกเล่มหนึ่งมาเพิ่มในมือ เขานั่งแปะลงกับพื้น โบกชายแขนเสื้อสองข้าง เลือดสดเหล่านั้นก็มารวมตัวกันกลายเป็นลูกกลมๆ ลูกหนึ่งที่หมุนกลิ้งช้าๆ ไปรอบกายเขา จากนั้นเขาก็ถามหยั่งเชิงว่า “ในเมื่อเจ้ายึดในหลักคุณธรรมของยุทธภพ ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะยึดหลักปรองดองก่อให้เกิดเงินทองแล้วกัน?”
เฉินผิงอันถาม “ก่อให้เกิดเงินทองด้วยวิธีใด?”
บัณฑิตชี้ไปนอกกำแพงสูง พูดด้วยท่าทางผ่าเผยน่าเลื่อมใส “ที่นี่ยังมีปีศาจอีกห้าตนไม่ใช่หรือ ไม่เหมือนกับปี้สู่เหนียงเนียงที่ยากจนข้นแค้นผู้นี้ แต่ละตนที่เหลือล้วนมีรากฐานทรัพย์สมบัติมหาศาล พวกเรามาเป็นพี่น้องที่ร่วมแรงร่วมใจกัน ก่อให้เกิดพลังยิ่งใหญ่ ร่วมกันกำจัดภัยร้ายเพื่อปวงประชา!”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ดี”
บัณฑิตพลันสบถด่าเสียงดัง “ดีกับท่านปู่เจ้าเถอะ เจ้าเก็บซ่อนปราณสังหารไว้ได้ดี แต่กระบี่เล่มนั้นของเจ้าขาดก็แค่ไม่มีปากเท่านั้น เห็นชัดๆ ว่ามันตะโกนว่าจะตีจะฆ่าข้าผู้อาวุโสแล้ว!”
เฉินผิงอันหรี่ตาลง
บัณฑิตลุกขึ้นยืนช้าๆ สีหน้าเฉยชา
แม้เขาจะเพิ่งเคยได้พบจอมยุทธพเนจรหนุ่มที่เรื่องราวแพร่ระบือไปทั่วทั้งทิศใต้ของหุบเขาผีร้ายผู้นี้เป็นครั้งแรก
ดังนั้นจึงไม่รู้เลยว่า เฉินผิงอันในเวลานี้จะทำให้ทุกคนที่สนิทคุ้นเคยกับเขา ไม่ว่ามิตรหรือศัตรูก็ล้วนรู้สึกเหมือนว่าเขาได้กลายเป็นคนแปลกหน้า
แต่บัณฑิตกลับรู้เรื่องหนึ่ง
ไอ้หมอนี่มีจิตสังหารที่เข้มข้นอย่างยิ่ง
ถึงขั้นข่มทับปราณกระบี่ของกระบี่เล่มนั้นได้!
บัณฑิตรู้สึกว่าก็ดีเหมือนกัน ไม่สู้เข่นฆ่าสังหารกันให้เต็มคราบดูสักครั้ง!
ฆ่าคนชิงสมบัติ แสวงหาความร่ำรวยท่ามกลางความเสี่ยง ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขามีโชคด้านการเสี่ยงโชคดีเยี่ยมมากเป็นพิเศษ ไม่เคยแพ้เลยสักครั้ง!
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง โคลงศีรษะ จากนั้นก็ยกมือขึ้นตบที่หน้าอก ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “ขอโทษที ข้าเมากลิ่นเลือดน่ะ”