Skip to content

Sword of Coming 496

บทที่ 496 พี่ชายคนดี

คนสองคนที่อยู่ในจวนของปี้สู่เหนียงเนียงบนภูเขาโปลั่วในเวลานี้เหมือนกำลังเดินเข้าสู่สถานการณ์หมากล้อมกระดานหนึ่งที่ยากจะคาดเดาได้ว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ

มีทางเลือกสามอย่าง ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตายไปหนึ่งรอบ มีเพียงฝ่ายเดียวที่ได้ผลประโยชน์ คนที่แพ้ก็มีความเป็นไปได้อย่างถึงที่สุดว่าจะร่างดับมรรคาสลาย

อีกฝ่ายหนึ่งยอมถอยให้ ยกตัวอย่างเช่นเฉินผิงอันเลือกที่จะแบกรับผลลัพธ์ที่ตามมาหลังจากการสังหารปี้สู่เหนียงเนียง หรือไม่บัณฑิตผู้นั้นก็ได้รับผลประโยชน์แล้วไม่ทำตัวอวดฉลาด ไม่สาดน้ำสกปรกนี้ลงบนหัวของเฉินผิงอัน

หรือไม่ทั้งสองฝ่ายต่างก็ถอยกันคนละก้าว จับมือกันเดินออกไปจากสถานการณ์หมากของภูเขาโปลั่วแห่งนี้ ซึ่งก็คือทำตามคำกล่าวของพวกเขาที่บอกว่าเจ้ายึดหลักคุณธรรมในยุทธภพ ส่วนข้าก็ยึดหลักในเรื่องความปรองดองก่อให้เกิดเงินทอง ทั้งสองฝ่ายหันหัวหอกไปหาปีศาจใหญ่ห้าตนตัวอื่นๆ พร้อมกัน

เฉินผิงอันถาม “เจ้าไม่ใช่ปีศาจ? หรือจะเป็นวิญญาณหยินของหุบเขาผีร้ายที่ทะเลาะต่อยตีกันเพื่อแย่งชิงผลประโยชน์กันเอง?”

บัณฑิตปัดชายแขนเสื้อ กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “คนมีชีวิต คนมีชีวิตตัวเป็นๆ ทั่วร่างมีแต่ปราณหยางที่บริสุทธิ์ถูกต้อง จริงแท้แน่นอน วิธีปราบมารก่อนหน้านี้ก็แค่เป็นวิชานอกรีตที่ขู่ให้เจ้าตกใจกลัวเท่านั้น ท่องอยู่ในยุทธภพ หากไม่มีวิชาอำพรางตัวตนสักหน่อย จะได้หรือ?”

เฉินผิงอันถาม “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็มาเป็นพันธมิตรกัน? ไปหาเรื่องพี่เฉินหยวนจวินที่อยู่ใกล้ที่สุดคนนั้นด้วยกัน?”

บัณฑิตทำสีหน้าประหลาด

เฉินผิงอันชำเลืองตามองโครงกระดูกขาวของปี้สู่เหนียงเนียงที่อยู่บนพื้นก็เริ่มจะเข้าใจ เป็นตนที่ไม่เป็นมืออาชีพมากพอ ถึงได้เปิดเผยพิรุธออกไปเล็กน้อย

ในเมื่อปี้สู่เหนียงเนียงตายไปแล้ว ถ้ำสถิตของภูเขาโปลั่วแห่งนี้มีหรือจะไม่มีทรัพย์สมบัติเสียเลย ไหนเลยจะมีหลักการที่เข้ามาในภูเขาสมบัติแล้วกลับไปมือเปล่า แค่มองก็รู้แล้วว่าไม่ใช่ผู้ฝึกตนที่เชี่ยวชาญด้านการปล้นชิง

เฉินผิงอันเปลี่ยนหัวข้อสนทนาด้วยการยิ้มถามว่า “เจ้าใช้ทุกวิถีทางเพื่อให้บรรลุเป้าหมายเช่นนี้ คิดดูแล้วคงจะคุ้นเคยกับคลังลับคลังสมบัติของตำหนักกว่างหานแห่งนี้เป็นอย่างดี ผลเก็บเกี่ยวที่ได้จากภูเขาลูกนี้ เจ้าและข้ามาแบ่งกันคนละครึ่ง ตกลงไหม?”

บัณฑิตส่ายหน้า “หากเป็นภูเขาโปลั่วแห่งนี้ ต้องเป็นสามกับเจ็ดส่วน เจ้าสามข้าเจ็ด เจ้าก็แค่มานั่งยองดูงิ้วบนหัวกำแพง แบ่งผลประโยชน์ให้เจ้าสามส่วนก็ถือว่าไม่น้อยแล้ว หลังจากสังหารปีศาจบนภูเขาตัวอื่นๆ ได้ค่อยดูว่าความสามารถของแต่ละคนว่าสูงหรือต่ำ ออกแรงไปมากหรือน้อย แล้วค่อยมาตัดสินใจกันอีกที”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “สี่หก”

บัณฑิตลังเลตัดสินใจไม่ได้ สุดท้ายเผยสีหน้าของคนเสียดายที่ต้องตัดใจยกของรักให้คนอื่น ชี้ไปที่โครงกระดูกบนพื้น เอ่ยว่า “แม้ว่าโครงกระดูกขาวของปี้สู่เหนียงเนียงจะไม่ใช่โครงกระดูกหยกขาวของภูตผีวัตถุหยิน แต่ก็ดูดซับแก่นตะวันจันทราในหุบเขาผีร้ายมาเกือบพันปี จึงสามารถหล่อหลอมเรือนกายกิ่งทองใบหยกที่ทัดเทียมกับเซียนดินมาได้นานแล้ว อีกทั้งยังเหนือกว่าหนึ่งระดับ ถือว่าหายากอย่างยิ่ง หลังจากมอบให้เจ้าแล้ว พวกเราค่อยมาแบ่งกันสามเจ็ดส่วน คุณธรรมในยุทธภพ มีแค่นี้ก็คงพอแล้วกระมัง?”

เฉินผิงอันเอ่ยเหน็บแนม “ของร้อนลวกมือขนาดนี้ ข้ารับเอาไว้ก็เท่ากับว่ายัดดินเหลืองใส่ในกางเกงของตัวเอง แบบนี้จะยิ่งไม่ควรแบ่งกันสี่หกหรือไร?”

อีกอย่างวัตถุที่ล้ำค่าที่สุดของภูตผีปีศาจ แน่นอนว่าต้องเป็นโอสถปีศาจ

คิดดูแล้วคงถูกบัณฑิตกลืนกิน ช่วงชิงเอาผลประโยชน์ที่ใหญ่ที่สุดไปนานแล้ว

บัณฑิตแสร้งทำท่ากระจ่างแจ้ง เขาตบศีรษะตัวเอง เอ่ยขออภัยว่า “เป็นข้าที่คำนวณผิดไป ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นก็แบ่งกันสี่หก โครงกระดูกนี้เอาไว้ที่นี่ก็แล้วกัน ไป ข้าจะพาเจ้าไปกวาดเอาสมบัติที่คลังสมบัติของภูเขาโปลั่ว ทางเข้านั้นอยู่ด้านใต้ตั่งยวนยางของปี้สู่เหนียงเนียง คางคกเพศเมียตัวนี้ตบะไม่สูง แต่อาศัยของขวัญที่ชู้รักมอบให้ บวกกับที่ปีศาจอีกห้าตนที่เหลือยอมให้หลายครั้ง จึงมีสมบัติเก็บสะสมไว้ไม่น้อย”

บัณฑิตเดินนำเข้าไปในประตูใหญ่ของห้องหลักก่อน

เฉินผิงอันสะพายเจี้ยนเซียนไว้ด้านหลัง กระโดดลงมาจากหัวกำแพง เดินตามบัณฑิตไป เพียงแต่เขาโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง เก็บเอาโครงกระดูกขาวนั้นมาไว้ในวัตถุจื่อชื่อ

บัณฑิตหยุดเดินแล้วหันหน้ากลับมามองด้วยสีหน้าตกตะลึง

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยอธิบายว่า “หากไม่ทันระวังปล่อยให้ภูตผีปีศาจของภูเขาโปลั่วมาเห็นเข้า จะไม่กลายเป็นเรื่องร้ายหรอกหรือ ถึงเวลานั้นก็เท่ากับแหวกหญ้าให้งูตื่น ส่งผลกระทบต่อการกำจัดปีศาจซึ่งเป็นงานใหญ่ของพวกเราต่อจากนี้ ข้าว่าข้าควรเก็บไว้ก่อนจะดีกว่า”

บัณฑิตหัวเราะอย่างฉุนๆ “ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงต้องขอบคุณเจ้าสินะ?”

เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เขากวาดตามองไปรอบด้าน ในห้องสตรีที่กว้างขวางอย่างถึงที่สุดแห่งนี้ไม่ขาดแคลนของแปลกหายาก แต่ว่ากลิ่นเครื่องหอมเครื่องประทินโฉมออกจะฉุนไปสักหน่อย บนผนังยังแขวนภาพวังวสันต์ (ภาพการร่วมเพศ) ที่อุจาดตาเอาไว้ ขนาดของภาพใหญ่มาก สูงถึงหนึ่งฉื่อ แต่โชคดีที่ชายหญิงที่อยู่ในภาพวาดมีขนาดเท่าเมล็ดพุทรา มีทั้งภาพของจักรพรรดิที่มั่วโลกีย์อยู่ในวัง แล้วก็มีภาพร่วมอภิรมย์ในหอโคมเขียว หนึ่งในนั้นยังเป็นภาพของชายหญิงที่สวมชุดลัทธิเต๋า บุรุษมีมาดสง่างามเต็มไปด้วยกลิ่นอายของเซียน สตรีที่มีรัศมีแห่งเทพธิดา คล้ายกับคู่รักเทพเซียนที่กำลังฝึกตนอยู่ในห้อง ในภาพวาดยังมีตัวอักษรแบบบรรจงขนาดเล็กเขียนบรรยายไว้ด้านข้างถี่ยิบ นี่คงจะเป็นตำราเทพเซียนที่จูเหลี่ยนกล่าวถึงกระมัง?

บัณฑิตยกเท้าข้างหนึ่งเหยียบลงบนตั่งยวนยางขนาดใหญ่ตัวนั้น ใช้พละกำลังที่พอเหมาะพอเจาะไถลตัวออกไปหลายจั้งโดยที่ไม่ส่งเสียงเลยแม้แต่นิดเดียว

บัณฑิตนั่งยองอยู่บนพื้น พื้นกระดานฝั่งเลื่อมเหล็กกล้าทรงกลมที่ใสแวววาวดุจกระจกไว้บานหนึ่ง ขนาดของมันใหญ่เท่าอ่างน้ำ บัณฑิตก้มหน้าลงจ้องมองไปคล้ายกับว่ากำลังไขปริศนากลไกอยู่

บัณฑิตหันหน้าไปมอง แล้วโทสะก็ไม่รู้ว่าผุดพุ่งมาจากไหน ไอ้ตัวดี ในที่สุดเขาก็ได้รู้แล้วว่าอะไรที่เรียกว่าโจรเหมือนหวีไม้ ทหารเหมือนหวีเสนียด (เปรียบเปรยว่าเวลาที่ทหารของทางการปล้นฆ่าชาวบ้านนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าฝีมือของโจรเสียอีก) จอมยุทธพเนจรชุดเขียวที่สวมงอบผู้นั้น อย่าว่าแต่ภาพเทพเซียนหกภาพที่ซุกซ่อนกลไกลับในการฝึกตนเอาไว้เลย แม้แต่ขวดกระจุกกระจิกบนโต๊ะประทินโฉมของปี้สู่เหนียงเนียงก็ยังถูกเขากวาดเอาไปจนเกลี้ยง ทำไมกัน ชีวิตนี้ไม่เคยเห็นเงินมาก่อนหรือ? เพียงแต่ว่าไม่นานบัณฑิตก็หันหน้ากลับมามองประเมินเหล็กกล้าประหลาดที่ใสสะอาดไม่มีฝุ่นเกาะสักเม็ดชิ้นนั้นต่อ หว่างคิ้วของบัณฑิตเหมือนมีพยับเมฆบางๆ เข้าปกคลุม ทั้งที่รู้ดีว่าหลังจากนี้จะได้เข้าไปในคลังสมบัติของตำหนักกว่างหาน จะได้เจอสมบัติที่แท้จริงแล้ว แต่ยังกวาดเอาสิ่งของที่ไม่มีค่าพวกนี้ไปอย่างกำเริบเสิบสาน นี่จะไม่ได้หมายความว่าเขามีวัตถุจื่อชื่อติดกายหรอกหรือ? วัตถุฟางชุ่นชิ้นหนึ่งไม่ได้กักเก็บอะไรได้มากขนาดนั้น

เฉินผิงอันยังคงพลิกลังค้นชั้นวางต่อไป พลางถามไปด้วยว่า “ก่อนหน้านี้เจ้าบอกว่าปี้สู่เหนียงเนียงคือเผ่าพันธุ์ของตำหนักจันทรา หมายความว่าอย่างไร?”

บัณฑิตเอามือข้างหนึ่งปาดริมขอบของ ‘กระจกกลม’ เบาๆ มืออีกข้างหนึ่งนับนิ้วทำมุทราอยู่ในชายแขนเสื้อ ในใจคิดคำนวณไม่หยุด ปากก็ตอบไปอย่างไม่ใส่ใจว่า “ฟ้าดินมีตะวันจันทรา จันทราคือต้นกำเนิดของแก่นหยิน เล่าลือกันว่าสรวงสวรรค์ยุคบรรพกาลมีตำหนักจันทราอยู่แห่งหนึ่งที่ชื่อว่ากว่างหาน ในตำหนักจันทราปลูกต้นกุ้ย ภูตกระต่ายและคางคกล้วนเป็นบรรพบุรุษของเผ่าพันธ์ในตำหนักจันทรา อยู่อาศัยในสถานที่ที่มีไอหมอกเย็นฉ่ำแสงเรืองรองของชั้นเมฆอาบย้อม ถูกรมไว้ด้วยปราณเซียน ต่างคนจึงต่างกลายเป็นภูตกลายเป็นเทพ ก็เหมือนกับปี้สู่เหนียงเนียงผู้นี้ที่เป็นลูกหลานของคางคกในตำหนักจันทรา เพียงแต่ว่าก็เหมือนกับเผ่าพันธุ์เจียวหลงที่มีนับพันนับหมื่นชนิด ระดับขั้นสูงต่ำไม่เท่ากัน แตกต่างกันราวฟ้ากับเหว ท่านผู้นี้ของภูเขาโปลั่วถือว่าเป็นปีศาจซึ่งเป็นเผ่าพันธุ์ในตำหนักจันทราได้อย่างถูไถ”

เฉินผิงอันเอ่ยชื่นชม “เจ้ามีความรู้กว้างขวางจริงๆ”

ตอนที่บัณฑิตผู้นั้นกำลังศึกษาวิชาลับอันเป็นกลไกของคลังสมบัติ เฉินผิงอันไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมด้วย ไม่ว่าจะเก็บกวาดเอาทรัพย์สินของมีค่าตรงจุดไหนในห้องมาก็ล้วนรักษาระยะห่างจากเขาสิบก้าว ถือเป็นการแสดงท่าทีที่ไม่โจ่งแจ้งอย่างหนึ่ง

เฉินผิงอันเลือกเก้าอี้ไม้ฮวาหลีตัวหนึ่งได้แล้วก็นั่งลง

หลังจากบัณฑิตได้ยินถ้อยคำของเขาก็เอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “ชีวิตนั้นมีขีดจำกัด แต่ความรู้กลับไร้ขีดจำกัด”

เฉินผิงอันเอ่ยตอบอย่างไม่ใส่ใจ “ใช้ชีวิตที่มีขีดจำกัดไปแสวงหาความรู้ที่ไร้ขีดจำกัด มีแต่จะเหน็ดเหนื่อย”

บัณฑิตหันหน้ามาชำเลืองตามองเฉินผิงอัน

เฉินผิงอันยกขานั่งไขว่ห้าง บิดข้อมือหนึ่งครั้งหยิบเอาพัดพับไม้ไผ่หยกที่ชุยตงซานมอบให้เล่มนั้นออกมาพัดเอาลมเย็นเข้าใส่ตัวเบาๆ

บัณฑิตหันหน้ากลับไปแล้ว เห็นเพียงว่าเขายื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาเคาะบนผิวกระจกเบาๆ บนผิวกระจกที่กลมกลึงดั่งดวงจันทร์ก็เริ่มมีจุดหนึ่งที่นูนขึ้นสูงช้าๆ

สุดท้ายเปลี่ยนมาเป็นสิ่งปลูกสร้างลักษณะคล้ายตำหนักแห่งหนึ่ง ประหนึ่งมีหอเรือนลอยขึ้นมากลางดวงจันทร์

เฉินผิงอันรีบเก็บพัดพับใส่ไว้ในวัตถฟางชุ่น ไม่มีเวลามาสนใจข้อห้ามอะไรอีก เขาขยับเข้ามาที่ข้างกายบัณฑิต จ้องนิ่งไปยังเหล็กกล้าที่เดิมทีไร้ตำหนิใดๆ ตอนนั้นที่มองดูอยู่ไกลๆ ไม่ว่าอย่างไรก็เหมือนกระจกเรียบลื่นที่ผ่านการหล่อหลอมมาเป็นร้อยเป็นพันครั้ง ไหนเลยจะคิดว่ามันจะมีความมหัศจรรย์ถึงเพียงนี้ จุดที่ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกตื่นตะลึงเป็นเท่าตัวยังอยู่ที่ว่า ต่อให้ตนรวบรวมสมาธิทั้งหมดในตอนนี้จ้องนิ่งไปยังวัตถุชิ้นนี้ แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ยังรู้สึกว่าความ ‘พอดี’ ก่อนหน้านี้ออกจะเกินจริงไปหน่อย แต่บัณฑิตกลับขมวดคิ้ว เขาลงมือครั้งแล้วครั้งเล่า ผลักให้ตำหนักที่ประตูใหญ่ปิดสนิทแห่งนั้นกลับคืนสู่สภาพของกระจกที่ราบเรียบเหมือนเดิมอีกครั้ง เฉินผิงอันมองตาไม่กะพริบ จุ๊ปากชื่นชม ไม่นึกเลยว่าบนโลกจะมีวิชาการสร้างที่มหัศจรรย์เช่นนี้ด้วย?

เฉินผิงอันเองก็ไม่มัวมาสนใจแล้วว่ายิ่งพูดจะยิ่งทำให้คนอื่นคิดว่าเขาร้อนตัวหรือไม่ เขาเอ่ยว่า “วางใจเถอะ ข้าจะไม่ลอบโจมตีเจ้าอย่างต่ำช้าแน่นอน”

บัณฑิตนั่งขัดสมาธิ เอ่ยเนิบช้าว่า “ไม่ต้องสงสัยแล้วว่าคือสมบัติอาคมชิ้นหนึ่งที่อาจารย์กลไกสำนักโม่สร้างขึ้น มีอายุหลายปีแล้ว วัตถุชิ้นนี้เป็นของเจ้า หลังเข้าไปในคลังสมบัติแล้วก็มาแบ่งกันสามเจ็ดส่วน? ตกลงไหม?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับอย่างไม่ลังเล “ได้”

บัณฑิตพลันคลี่ยิ้ม นิ้วที่เคาะผิวกระจกรัวเร็วราวกับบิน เพียงชั่วพริบตาตำหนักขนาดจิ๋วก็ลอยขึ้นมาอีกครั้ง อีกทั้งประตูใหญ่ของตำหนักยังค่อยๆ เปิดอ้า เป็นเหตุให้ตลอดทั้งสิ่งปลูกสร้างหลังนี้เริ่มมีประกายแสงไหลเวียนวน ส่องสว่างให้ใบหน้าของคนทั้งสองเรืองรอง จากนั้นเมื่อพื้นของตลอดทั้งเรือนเริ่มส่งเสียงแอดอาด บัณฑิตก็ผายมือข้างหนึ่งออกมาแล้วหมุน ในมือมีลูกกลมใสกระจ่างดุจหิมะลูกหนึ่งโผล่ขึ้นมาประดุจเทพเซียนที่ถือประคองดวงจันทร์ดวงหนึ่งไว้บนมือ จากนั้นเขาก็บิดข้อมือ เอามือทั้งสองข้างถูเข้าด้วยกัน ตำหนักที่อยู่บนพื้นผิวของดวงจันทร์ดวงนั้นเหมือนพื้นที่ลับตระกูลเซียนที่หดกลับเข้าไปในรากภูเขาใต้ดิน

ส่วนบนพื้นห้องก็ปรากฏเป็นช่องทางลับหนึ่งเส้น ไม่ได้มืดมิด เพราะมีแสงขมุกขมัวส่ายไหวเบาๆ คาดว่าน่าจะเป็นฝีมือของตระกูลเซียนที่คล้ายคลึงกับแสงโคมไฟส่องสว่างในใต้ดินของนครปี้ฮว่า

บัณฑิตส่งลูกกลมในมือให้เฉินผิงอัน “หลังจากนี้แบ่งกันสามเจ็ดส่วน ตกลงแล้วนะ”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “แน่นอน”

ท่าทางของคนทั้งสองต่างก็ติดขัดเล็กน้อย

คนหนึ่งยื่นของส่ง อีกคนหนึ่งรับของมา ล้วนใช้มือเดียวกันทั้งคู่

บัณฑิตยิ้มบางๆ ชายแขนเสื้อของมืออีกข้างหนึ่งที่ห้อยตกลงขยับเบาๆ แล้วก็ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ อีก

มือข้างที่หดไว้ในชายแขนเสื้อ กำประคำแกนลูกท้อของเฉินผิงอันก็คลายออกเบาๆ เช่นกัน

แล้วถึงได้มีการส่งและรับสมบัติชิ้นนี้ให้แก่กัน

เฉินผิงอันเก็บลูกกลมนี้ไว้ในวัตถุจื่อชื่อ แล้วเดินตามบัณฑิตเข้าไปในเส้นทางใต้ดิน

เส้นทางใต้ดินที่ยืดขยายไปยังเบื้องล่างเปียกชื้นเล็กน้อย ปราณหยินเข้มข้น ผนังมีตะไคร่ขึ้น ไม่เสียแรงที่เป็นถ้ำลับที่เผ่าพันธ์ของตำหนักจันทราตัวหนึ่งสร้างขึ้น

สุดท้ายคนทั้งสองก็มาถึงช่องโพรงหินแห่งหนึ่งที่อยู่สุดปลายทาง

มีโครงกระดูกขาวสองโครงนั่งเคียงไหล่กัน หนึ่งสูงหนึ่งต่ำ หนึ่งเรือนกายบึกบึน หนึ่งเรือนกายเพรียวบาง คล้ายกับคู่บำเพ็ญเพียรชายหญิง มือสองข้างที่อยู่ใกล้กันกุมกันเอาไว้แน่น พอจะมองออกว่าคนทั้งสองจากโลกนี้ไปอย่างสงบ

คนผู้หนึ่งบนศีรษะสวมกวานของจักรพรรดิ บนร่างสวมชุดคลุมมังกรสีเหลือง แต่อีกคนหนึ่งกลับไม่ได้สวมมงกุฎหงส์ผ้าคลุมไหล่ปักลาย เพียงแต่สวมชุดคลุมอาคมตระกูลเซียนที่ใกล้เคียงกับชุดนักพรตเต๋า แต่กลับไม่ใช่ชุดนักพรตเต๋า

นอกจากนี้แล้วตรงมุมผนังยังมีหีบสามใบวางทับซ้อนกันอยู่

บัณฑิตมองโครงกระดูกขาวทั้งสองแล้วขมวดคิ้วมุ่น

เฉินผิงอันถาม “คือจักรพรรดิบางท่านของฝ่ายที่พ่ายแพ้ในสงครามใหญ่บนซากปรักชายหาดโครงกระดูก?”

บัณฑิตพยักหน้ารับ “มีความเป็นไปได้มากว่าจะเป็นจักรพรรดิของแคว้นหล่งซาน ตอนหนุ่มเขาคือหลานที่เกิดจากอนุภรรยาซึ่งไม่ได้รับความโปรดปราน ตอนนั้นสำนักที่ใหญ่ที่สุดทางทิศใต้ของอุตรกุรุทวีปมีชื่อว่าสำนักชิงเต๋อ ผู้ฝึกตนบนภูเขาที่บรรลุมรรคาล้วนถูกขนานนามว่าเซียนผู้สันโดษ ความขัดแย้งระหว่างสองราชวงศ์ใหญ่ในครั้งนั้น เมื่อสืบสาวราวเรื่องกันไปถึงแก่นแล้ว อันที่จริงต้นตอปัญหาก็เกิดจากความขัดแย้งภายในของสำนักชิงเต๋อ เพียงแต่ว่าตระกูลเซียนรุ่นหลังต่างก็เก็บไว้เป็นความลับไม่เปิดเผยออกมา จักรพรรดิท่านนี้ตอนที่ยังเป็นหนุ่มมีปณิธานอยู่ที่การฝึกตน คือมังกรขาวที่แปลงกายเป็นปลาแหวกว่ายในบ่อ (เปรียบเปรยถึงฮ่องเต้หรือขุนนางชั้นสูงที่อำพรางฐานะของตัวเอง) ขึ้นเขาไปเยี่ยมเยียนเซียน ลูกศิษย์ผู้สืบทอดที่ถูกทางสำนักชิงเต๋อรับตัวไว้พร้อมกับเขาในปีนั้นมีทั้งหมดสามสิบคน แรกเริ่มก็ไม่โดดเด่น เป็นเพียงแค่การรับลูกศิษย์ของศาลบรรพจารย์ยอดเขาชุ่ยเวยธรรมดาๆ ครั้งหนึ่งเท่านั้น แต่ภายในระยะเวลาสั้นๆ แค่หกสิบปี ภูเขาลูกอื่นของอุตรกุรุทวีปก็เริ่มสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ คนทั้งสามสิบคนนั้นกลับมีถึงครึ่งหนึ่งที่เป็นหยกงามวัตถุดิบดีเยี่ยมในการเป็นตัวอ่อนเซียนดิน ส่วนอีกครึ่งหนึ่งก็มีโชควาสนาแตกต่างกันไป ไม่อาจดูแคลนได้ เป็นเหตุให้คนรุ่นหลังจินตนาการถึงภาพฉากที่คนทั้งสามสิบคนขึ้นเขาไปกราบไหว้อาจารย์ในปีนั้นไปอย่างหลากหลาย คนรุ่นหลังมีการแต่งกลอนไว้เป็นหลักฐานว่า ‘เสียงลั่นกลองเปิดบานประตูทอง สามสิบเซียนขึ้นเขาชุ่ยเวย’ ส่วนจักรพรรดิแคว้นหล่งซานผู้นี้ก็คือคนหนึ่งในนั้น ท่ามกลางกลุ่มของลูกรักแห่งสวรรค์ เขาก็ยังคงถือเป็นยอดฝีมือในกลุ่มคนที่มีพรสวรรค์ดีเยี่ยม น่าเสียดายที่เชื้อพระวงศ์ซึ่งมีคุณสมบัติจะสืบทอดตำแหน่งฮ่องเต้ของแคว้นหล่งซานทยอยกันตายจากไปก่อนวัยอันควร เขาจึงได้แต่ลงจากภูเขามา เขาที่กลายเป็นขอบเขตประตูมังกรแล้วก็ยังคงเลือกที่จะสะบั้นสะพานแห่งความเป็นอมตะของตนเองเพื่อรับตำแหน่งฮ่องเต้ มีเรื่องเล่าเกร็ดพงศาวดารที่สืบทอดต่อกันมาตามตรอกซอกซอยในหมู่ชาวบ้าน บอกว่าเขากับอาจารย์อาหญิงคนหนึ่งของยอดเขาเฟิ่งหมิงสำนักชิงเต๋อมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดสนิทสนมกัน เมื่อก่อนข้าไม่เชื่อ แต่ตอนนี้ดูท่าจะเป็นเรื่องจริงเสียแล้ว”

บัณฑิตถอนหายใจยาวเหยียด ไม่มองประเมินโครงกระดูกทั้งสองนั้นอีก ชุดคลุมมังกรเป็นเพียงแค่วัตถุทั่วไปบนโลกที่มองดูเหมือนหรูหราก็เท่านั้น ปราณมังกรที่ซุกซ่อนอยู่บนร่างของบุรุษก็ถูกดูดดึง หรือไม่ก็สลายหายไปเองจนสิ้นแล้ว ถึงอย่างไรเมื่อโชคชะตาแคว้นถูกสะบั้น ปราณมังกรก็จะสลายหายไป ส่วนชุดคลุมอาคมของสำนักชิงเต๋อที่อยู่บนร่างของผู้ฝึกตนหญิงคนนั้นก็ไม่ใช่ระดับขั้นสมบัติอาคมอะไร เป็นเพียงแค่ชุดคลุมอาคมทั่วไปที่ผู้ฝึกตนฝ่ายในทุกคนของสำนักชิงเต๋อได้รับมอบมาจากศาลบรรพจารย์ คาดว่าจักรพรรดิแห่งโลกมนุษย์ท่านนี้กับผู้ฝึกตนหญิงของยอดเขาเฟิ่งหมิงผู้นั้นก็แค่หวนนึกถึงเรื่องราวในอดีตเท่านั้น

พี่ชายคนดี

บัณฑิตจึงไปทยอยเปิดหีบทั้งสามใบ หีบใบหนึ่งเต็มไปด้วยเงินเกล็ดหิมะสีขาวพร่างตา มีมากถึงพันกว่าเหรียญ หีบอีกใบหนึ่งด้านในมีแค่ป้ายศิลาลักษณะโบราณแผ่นหนึ่ง ด้านบนสลักตัวอักษรไว้แน่นขนัด ส่วนหีบใบที่ก่อนหน้านี้วางไว้ด้านล่างสุดนั้นก็มีวัตถุเพียงอย่างเดียว นั่นคือครกหินขนาดเล็กใบหนึ่งที่สูงเท่าหัวเข่า ไม่ต่างจากครกที่ชาวบ้านเอามาใช้ตำข้าว

สายตาของบัณฑิตเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย เขาส่ายหน้าเบาๆ เห็นได้ชัดว่ารู้สึกว่าการคาดเดาในใจนั้นไม่น่าจะเป็นไปได้

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “คงไม่ใช่ครกหินใบที่ในตำนานบอกว่าภูตกระจ่ายใช้บดยาหรอกกระมัง?”

บัณฑิตหัวเราะร่า “ถ้าอย่างนั้นพวกเรา…มาลองเดิมพันกันดู?”

เฉินผิงอันถาม “จะเดิมพันอย่างไร?”

บัณฑิตชี้ไปยังครกหินที่อยู่ในหีบ “ของสิ่งนี้ นับเป็นเจ็ดส่วน อย่างที่เหลือนับเป็นสามส่วน แต่ข้าจะให้เจ้าเลือกก่อน”

เฉินผิงอันเลือกสามส่วนอย่างไม่ลังเล

บัณฑิตรีบเปิดปากทันที “อย่าเพิ่งเลือก ข้าเปลี่ยนใจแล้ว”

บัณฑิตยกฝ่ามือตบลงเบาๆ ครกหินใบนั้นก็แตกกระจายกลายเป็นผุยผง เผยให้เห็นเป็นหินหยกลักษณะเหมือนชามขาวก้อนหนึ่ง เขาเอ่ยอย่างเสียดายว่า “เป็นเช่นนี้จริงเสียด้วย ถ้วยหยกขาวใบนี้คือสถานที่ที่ปี้สู่เหนียงเนียงฝึกตนสำเร็จ เนื่องจากเป็นเผ่าพันธุ์ตำหนักจันทรา จึงสร้างครกหินมาห่อหุ้มมันไว้ภายใน คาดว่าคงจะเพื่อให้เป็นนิมิตหมายที่ดี”

บัณฑิตเก็บชามใบนั้นขึ้นมาวางคว่ำบนฝ่ามือ ก้นชามสลักตัวอักษรแบบบรรจงแปดตัวขนาดเล็กเท่าหัวแมลงวัน ‘เซียนผู้สันโดษแห่งชิงเต๋อ ใช้สุราเชื้อเชิญจันทรา’

คือหนึ่งในภาชนะที่ใช้ในพิธีบวงสรวงของศาลบรรพจารย์สำนักชิงเต๋อ

เป็นแค่วัตถุวิเศษชิ้นหนึ่งเท่านั้น

แต่สำหรับปี้สู่เหนียงเนียงที่ฝึกตนจนกลายเป็นภูตได้สำเร็จแล้ว แน่นอนว่าความหมายย่อมยิ่งใหญ่อย่างมาก

เฉินผิงอันถาม “เจ้าจะเลือกป้ายศิลาประตูมังกรแผ่นนั้น หรือจะเลือกหีบเงินเกล็ดหิมะ?”

หนังตาของบัณฑิตกระตุกยิกๆ

ตัวอักษรของบนโลกใบนี้ก็มีแบ่งแยกความเก่าแก่ ตัวอักษรโบราณบางตัว เว้นเสียแต่ว่าเป็นตระกูลเซียนชนชั้นสูงที่มีการสืบทอดอย่างเป็นระบบระเบียบแล้ว ก็ไม่อาจจะเข้าใจเนื้อหาของมันได้เลย

คนต่างถิ่นอายุน้อยผู้นี้รู้จักตัวอักษรโบราณสองคำว่า ‘ประตูมังกร’ ที่เป็นประโยคแรกสุดบนป้ายศิลาได้อย่างไร?

บัณฑิตหัวเราะ

ถ้ำหินใต้ดินแห่งนี้เหมาะแก่การใช้เป็นสถานที่เข่นฆ่าช่วงชิงชีวิตจริงๆ

เพียงแต่ว่าเวลานี้เอง คนผู้นั้นกลับเอ่ยประโยคหนึ่งที่อยู่เหนือการคาดคิดของเขา “ไม่เพียงแต่ป้ายศิลาประตูมังกรนี้จะเป็นของเจ้า เงินเกล็ดหิมะหนึ่งหีบนั้นแบ่งเป็นเจ้าเจ็ดข้าสาม และข้าจะยังเอาโครงกระดูกขาวสองโครงนั้นด้วย”

บัณฑิตกล่าวอย่างกังขา “โครงกระดูกขาวทั้งสองนั่นไม่มีมูลค่าจริงๆ ตอนที่ผู้ฝึกตนหญิงสำนักชิงเต๋อผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่มีตบะแค่ขอบเขตประตูมังกร ชุดคลุมอาคมก็ยิ่งเป็นชุดธรรมดาทั่วไป มีค่าแค่เงินร้อนน้อยไม่กี่เหรียญ ชุดคลุมมังกรชุดนั้น เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าแค่ยื่นมือไปสัมผัสเบาๆ ก็แหลกสลายกลายเป็นเถ้าธุลีแล้ว”

รอยยิ้มของบัณฑิตมีเลศนัย “อีกอย่าง ดึงเอาชุดของคนตายมา อีกทั้งยังเป็นชุดของผู้ฝึกตนหญิงคนหนึ่งคงไม่ค่อยเหมาะเท่าไหร่กระมัง?”

เฉินผิงอันกล่าว “ไม่ใช่เรื่องของเจ้า”

บัณฑิตพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นก็ตกลงตามนี้”

เขาม้วนชายแขนเสื้อเก็บป้ายหินนั้นไปพร้อมกับหีบไม้ ส่วนเฉินผิงอันก็เก็บโครงกระดูกขาวทั้งสองไปไว้ในวัตถุจื่อชื่อพร้อมกัน

เห็นได้ชัดว่าอย่างน้อยบัณฑิตก็ต้องมีวัตถุจื่อชื่อชิ้นหนึ่งติดกาย

ส่วนเงินเกล็ดหิมะหีบนั้น เฉินผิงอันแบ่งเอามาประมาณหนึ่งพันห้าร้อยเหรียญ

บัณฑิตได้เงินส่วนมากไปครอง แต่ก็ยังไม่ค่อยจะพอใจนัก “ปี้สู่เหนียงเนียงแห่งภูเขาโปลั่วจะต้องคอยแสดงความกตัญญูต่อที่พึ่งใหญ่ของนางเป็นประจำ ทรัพย์สมบัติจึงน้อยไปหน่อย ไม่อย่างนั้นปีศาจโอสถทองตนหนึ่งคงไม่ได้มีทรัพย์สินเพียงแค่นี้”

เฉินผิงอันกล่าว “อยู่ในหุบเขาผีร้าย ต้องคอยต่อสู้เอาเป็นเอาตายกับผู้อื่น สามารถมีชีวิตอยู่รอดมาได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว จะไปเทียบกับเซียนดินโอสถทองข้างนอกได้อย่างไร”

บัณฑิตพยักหน้ารับ “เข้าใจได้”

เฉินผิงอันถามชวนคุยว่า “เจ้ามีวัตถุวิเศษไว้ใช้กักเก็บน้ำอย่างพวกขวดดื่มน้ำหรือไม่?”

แล้วทันใดนั้น

เฉินผิงอันก็พลันชักกระบี่ออกจากฝัก กระบี่บินสองเล่มอย่างชูอีสืออู่ที่พุ่งออกมาจากใต้ดิน เล่มหนึ่งก็ยิ่งชี้ไปที่กลางกระหม่อมของบัณฑิต ส่วนอีกเล่มหนึ่งลอยอยู่ด้านหลังของอีกฝ่าย ปลายกระบี่ชี้ไปที่หัวใจทางด้านหลัง

บัณฑิตกล่าวอย่างระอาใจ “นี่เจ้าคิดจะทำอะไร? จะต่อสู้เพื่อแย่งชิงผลประโยชน์กันอย่างนั้นหรือ? จะไม่รอให้พวกเราทำลายถ้ำสถิตบนภูเขาที่เหลืออีกห้าลูกให้ราบพนาสูร ต่างคนต่างกินอิ่มจนท้องป่องแล้วค่อยลงมือปลิดชีวิตกันจริงๆ หรือไร?”

เฉินผิงอันสีหน้าหนักอึ้ง เมื่อครู่นี้เขาสัมผัสได้ถึงปราณสังหารของอีกฝ่าย

ปราณสังหารที่ผุดขึ้นมาในใจของบัณฑิตเข้มข้นยิ่งกว่าตอนที่อยู่ในสถานที่ที่ก่อนหน้านี้ปี้สู่เหนียงเนียงตายอย่างเฉียบพลันเสียอีก

เฉินผิงอันเห็นว่าบัณฑิตในเวลานี้ นับตั้งแต่สภาพจิตใจไปจนถึงสีหน้าต่างก็ไม่มีความผิดปกติ

เขาจึงบอกให้ชูอีสืออู่พุ่งกลับเข้ามาในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ แล้วเก็บเจี้ยนเซียนสอดกลับใส่ฝัก “เมื่อครู่ตาลาย เข้าใจผิดคิดว่ามีวัตถุหยินที่เฝ้าพิทักษ์ถ้ำจะลอบโจมตีเจ้า”

บัณฑิตหัวเราะร่า “คิดไม่ถึงว่าพี่ใหญ่ท่านนี้ก็มีจิตใจเมตตาอยู่เหมือนกัน เพียงแต่ว่าทั้งเมาเลือดทั้งตาลาย หากถึงเวลาที่ต้องเปิดฉากสังหารบนภูเขาลูกอื่น ก็อย่าได้เป็นตัวถ่วงของข้าเด็ดขาดเชียว”

เฉินผิงอันเพียงยิ้มรับ

คนทั้งสองออกมาจากถ้ำหินด้วยกัน เดินอยู่บนเส้นทางใต้ดินที่มีแสงขมุกขมัว ย้อนกลับไปยังเส้นทางเดิม

เดินเคียงไหล่กันไป

บัณฑิตยิ้มกล่าว “พี่ชายชื่ออะไร?”

เฉินผิงอันกล่าว “แซ่เฉิน นามคนดี”

บัณฑิตคล้ายจะสะอึกอึ้ง ชั่วขณะนั้นไม่รู้ว่าจะตอบโต้อย่างไรดี

เคยเห็นคนน่าไม่อายมามาก แต่กลับไม่เคยเห็นใครหน้าด้านหน้าทนขนาดนี้มาก่อน

เฉินผิงอันถาม “เจ้าล่ะ?”

บัณฑิตยังไม่คืนสติดี จึงกล่าวอย่างมีอารมณ์แต่ไร้กำลังว่า “แซ่คงไม่บอกแล้ว เรียกข้าว่ามู่เม่าก็ได้ มู่เม่าที่แปลว่าต้นไม้เขียวครึ้ม”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ชื่อไม่เลว”

บัณฑิตเอ่ย “ไม่ดีเท่าพี่ชายคนดีหรอก”

เฉินผิงอันตอบ “ใช่ที่ไหนกันๆ”

บัณฑิตพลันยิ้มถามว่า “เจ้ารู้รากฐานของพี่เฉินหยวนจวินหรือไม่?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “เจ้าเองก็รู้ว่าข้าเป็นคนต่างถิ่น เข้ามาหุบเขาผีร้ายครั้งนี้ก็เพื่อชมทัศนียภาพ เดินผ่านภูเขาโปลั่วมาโดยไม่ตั้งใจเท่านั้น ไหนเลยจะรู้ประวัติความเป็นมาของปีศาจเหล่านี้ แต่ปีศาจพวกนี้ก็น่าสนใจไม่น้อย กล้ารวมตัวกันแล้วเรียกตัวเองว่าหกอริยะ หากไม่ใช่เหนียงเนียงก็เป็นหยวนจวิน แม้แต่ภูตผีใต้บังคับบัญชาของตนก็ยังกล้าเรียกตัวเองว่าวิญญูชน”

บัณฑิตกล่าว “ก็ภูตผีปีศาจในพื้นที่เล็กๆ นี่นะ กลับกลายเป็นว่าพิถีพิถันในเรื่องที่ไม่สมกับฐานะตัวเอง พี่เฉินหยวนจวินผู้นั้น เดิมทีคือเตียวน้อย (สัตว์ชนิดหนึ่งของจีน ขนของมันมีค่ามาก หรือที่ภาษาอังกฤษเรียกว่าขนมิงค์) ที่ปราดเปรียวตัวหนึ่งในอารามเสวียนตูเล็ก กัดแทะเทียนหอมสองท่อนที่ใช้บูชาฟ้าดินไปแล้วก็ยังไม่ยอมเลิกรา ยังขโมยกินน้ำมันที่อยู่ในตะเกียงแก้วใบนั้น พอขโมยกินเสร็จยังทำให้ตะเกียงแก้วพลิกตกลงมาโดยไม่ทันระวัง ด้วยเหตุนี้สติปัญญาจึงเปิดโล่ง บรรลุมรรคากลายเป็นภูต ตอนนั้นถูกเซียนน้อยคนหนึ่งไปเจอเข้า ด้วยความโมโหจึงใช้แส้ปัดฝุ่นโบยมันจนเลือดอาบท่วมร่าง ลมหายใจรวยริน มีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน คิดไม่ถึงว่าเทพเซียนผู้เฒ่าจะเสียดายโชควาสนาครั้งนี้ ไม่เพียงแต่ปล่อยมันออกจากอารามและป่าท้อ ยังหยิบดินหมื่นปีกำหนึ่งที่อยู่ใต้ต้นท้อมาใส่บาดแผลให้มัน ดังนั้นเตียวตัวนี้จึงเกิดมาไม่เกรงกลัวน้ำและไฟหรืออาวุธมีคม หากเป็นอาวุธธรรมดาทั่วไปจะไม่สามารถทำอันตรายมันได้เลยแม้สักเสี้ยว”

บัณฑิตเล่าความลับเหล่านี้เจื้อยแจ้วราวกับว่าได้เห็นมากับตาของตัวเอง “เตียวน้อยตัวนี้ออกมาจากป่าท้อ นับแต่นั้นมาฟ้าสูงแผ่นดินกว้างใหญ่ มันจึงยึดภูเขาตั้งตนเป็นราชา แต่งตั้งตัวเองเป็นหยวนจวิน บุกเบิกถ้ำสถิต มีชีวิตอย่างอิสระเสรี เพียงแต่ว่ายังคงเห็นแก่ความสัมพันธ์ควันธูปของอารามเสวียนตูเล็กอันเป็นสถานที่ที่มันฝึกตนประสบความสำเร็จแห่งนั้น แล้วก็เคารพยำเกรงเทพเซียนผู้เฒ่าท่านนั้นเป็นพิเศษ จึงตั้งป้ายบูชาเทพเซียนผู้เฒ่าแห่งอารามเสวียนตูเล็กไว้บนภูเขาที่เป็นบ้านของตัวเอง คอยจุดธูปกราบไหว้อยู่ทุกวัน ภูตผีปีศาจส่วนใหญ่บนโลกล้วนเป็นเช่นนี้ ต่างก็ให้ความเคารพเลื่อมใสต่อสถานที่ที่ตนฝึกตนประสบความสำเร็จและโชควาสนาที่ทำให้ได้กลายเป็นภูตอย่างยิ่ง ปี้สู่เหนียงเนียงเป็นเช่นนี้ เตียวน้อยตัวนี้ก็เป็นเช่นเดียวกัน จะว่าไปแล้วพี่เฉินหยวนจวินผู้นี้ก็ไม่ต่างจากปี้สู่เหนียงเนียงที่ต่างก็เป็นภูตที่มีที่พึ่งยิ่งใหญ่ เจ้าไม่กลัวว่าจะทำให้เทพเซียนเจ้าอารามผู้นั้นเดือดดาลหรอกหรือ? เพราะถึงอย่างไรจะตีสุนัขก็ควรจะดูเจ้าของบ้าง”

เฉินผิงอันอ้อรับหนึ่งที “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็อย่าไปหาเรื่องพี่เฉินหยวนจวินเลย ตรงไปหาเรื่องอริยะใหญ่ปานซานผู้นั้นดีกว่า”

บัณฑิตหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ เทพเซียนผู้เฒ่าท่านนั้นก็แค่เคารพในเรื่องของโชควาสนาเท่านั้น สำหรับตัวของเตียวน้อยเอง เขาไม่ได้มีความผูกพันอะไรด้วยนัก พวกเราร่วมมือกันสังหารได้เลย”

เฉินผิงอันถาม “เจ้าเดาความคิดของเทพเซียนผู้เฒ่าแห่งลัทธิเต๋าท่านนี้อย่างกระจ่างแจ้งได้อย่างไร? ข้าเคยได้ยินมาว่าก่อนที่โชควาสนาจะมาถึงมือ ผู้ฝึกตนคาดหวังในเหตุการณ์ที่เป็นหนึ่งในหมื่นที่สุด หลังจากบรรลุมรรคาแล้ว กลับหวาดกลัวหนึ่งในหมื่นนั้นมากที่สุด”

บัณฑิตเริ่มพูดอย่างเล่นแง่ “เชื่อหรือไม่ก็ตามใจเจ้า ถึงอย่างไรภูเขาตี้หย่งของพี่เฉินหยวนจวินก็เป็นสถานที่ที่ข้าจำเป็นต้องไปเยือนอยู่แล้ว ทางฝั่งของอริยะใหญ่ปานซาน ช่วงนี้ค่อนข้างจะครึกครื้น เซียนใหญ่จัวเหยาของถ้ำสถิตจางสุ่ย ขุนพลเทพชื่อเหลยแห่งภูเขาจีเซียวน่าจะกำลังร่วมดื่มในงานเลี้ยงอยู่กับเขาพร้อมกับวางแผนการอะไรไปด้วย ไม่แน่ว่าบุตรสาวของตะพาบผู้นั้นก็น่าจะกำลังขมีขมันอยู่กับอริยะใหญ่ปานซาน มีเพียงพี่เฉินหยวนจวินเท่านั้นที่ไม่ชอบความครึกครื้นนี้ เวลานี้ก็มีความเป็นไปได้ว่าจะไม่ได้รับเชิญ หากเจ้ารู้สึกว่าชื่อเสียงของอารามเสวียนตูเล็กน่าตกใจเกินไป พวกเราก็พบเจอและแยกย้ายกันด้วยดีดีกว่าไหม? เจ้าเดินไปบนเส้นทางกว้างขวาง ข้าเดินไปบนสะพานไม้เล็กแคบของข้า เป็นอย่างไร?”

เฉินผิงอันตอบ “ถ้าอย่างนั้นก็พบเจอและแยกจากกันด้วยดี ทางใครทางมัน”

บัณฑิตรู้สึกประหลาดใจอีกครั้ง แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรมาก

คิดเสียว่าตัวเองมาเจอกับคนประหลาดที่นิสัยประหลาดเท่านั้น

หลังจากคนทั้งสองย้อนกลับมาที่ห้องของปี้สู่เหนียงเนียงอีกครั้ง บัณฑิตก็ผายฝ่ามือออกบอกเป็นนัยให้เฉินผิงอันเดินนำออกไปจากภูเขาโปลั่วแห่งนี้ก่อน หลีกเลี่ยงไม่ให้เข้าใจผิดคิดว่าตนจะหนีออกจากตำหนักกว่างหานแล้วไปตีฆ้องร้องป่าวปลุกระดมเหล่าปีศาจของภูเขาโปลั่วให้มาเล่นงานเขา

เฉินผิงอันกระโดดขึ้นบนหัวกำแพง จากไปอย่างเงียบเชียบ

บัณฑิตยืนอยู่ที่เดิม การที่เขาทำตัวมีคุณธรรมเช่นนี้ นอกจากจะไม่ต้องการแตกหักกับอีกฝ่ายจนก่อให้เกิดปัญหาแทรกซอนตามมาแล้ว เขายังยินดีที่จะให้คนผู้นี้ไปปะทะกับอริยะใหญ่ปานซาน ดึงดูดความสนใจของอีกฝ่ายมา ตนจะได้จัดการกับพี่เฉินหยวนจวินผู้นั้นได้อย่างสบายอุรา ได้กินอาหารอย่างอิ่มหนำสำราญอีกมื้อ ปีศาจเหล่านี้ตบะไม่สูง ต่างคนต่างสร้างกองกำลังขึ้นมา แต่กลับให้การสนับสนุนช่วยเหลือกันเองอย่างลับๆ นี่ต่างหากจึงจะเป็นรากฐานในการหยัดยืนอยู่ในหุบเขาผีร้ายของพวกมัน ไม่อย่างนั้นขอแค่มีก่อกำเนิดคนหนึ่งมาเยือน ทำการกวาดล้างสักรอบหนึ่ง ก็สามารถโจมตีให้พวกมันแต่ละฝ่ายแหลกลาญได้อย่างง่ายดาย ไหนเลยจะสามารถประคับประคองตัวมาได้ถึงทุกวันนี้ ในประวัติศาสตร์เคยมีวิญญาณหยินก่อกำเนิดคนหนึ่งที่อยู่ในนครทางเหนือพยายามจะใช้ขอบเขตของตนข่มกำราบกลุ่มปีศาจ แต่กลับต้องมาเสียเปรียบอย่างหนักจนเกือบจะต้องยกภูเขาจีเซียวไปให้อีกฝ่าย

บัณฑิตยกฝ่ามือขึ้น พ่นลมเบาๆ โอสถปีศาจสีชาดเม็ดหนึ่งก็ลอยอยู่กลางฝ่ามือพลางหมุนติ้วๆ แผ่ไอน้ำและไอเย็นออกมาเป็นระลอก

เขาไม่ใช่พวกภูตผีปีศาจเสียหน่อย หากกลืนกินวัตถุชิ้นนี้เข้าไป มีแต่จะทำลายมหามรรคาของตน

ในมือของบัณฑิตมีกล่องเล็กหยกขาวใสแวววาวใบหนึ่งเพิ่มขึ้นมา เขาเก็บโอสถปีศาจเม็ดนี้ผนึกไว้ด้านใน สะบัดชายแขนเสื้อ แก่นเลือดเนื้อของปี้สู่เหนียงเนียงล้วนถูกชุดคลุมบนร่างชิ้นนี้ดูดซับเอาไปหมด ชุดคลุมอาคมที่ดึงมาจากร่างของผู้ฝึกตนอิสระเซียนดินในอดีตชิ้นนี้มีชื่อว่า ‘เทาเที่ยร้อยตา’ อันที่จริงแรกเริ่มขอบเขตของมันไม่สูง ไม่ถือว่าเป็นสมบัติอาคมด้วยซ้ำ เขาสวมใส่มันไว้ นอกจากจะสามารถอำพรางตัวตนแล้ว ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือแท้จริงแล้วชุดคลุมอาคมชุดนี้ยังสามารถเติบโตได้อีก ตลอดหลายปีมานี้ทุกครั้งที่ออกจากบ้านไปผ่อนคลายอารมณ์ การกำจัดปีศาจปราบมารอย่างสาแก่ใจในแต่ละครั้งล้วนเป็นอาหารที่หล่อเลี้ยงบำรุงชุดคลุมอาคมตัวนี้ได้เสมอ

บัณฑิตพลันยื่นนิ้วออกมานวดคลึงหว่างคิ้ว พูดพึมพำกับตัวเองว่า “ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในถ้ำหิน เหตุใดถึงขัดขวางไม่ให้ข้าฆ่าคน? ต่อให้จะเป็นการทำลายคุณความชอบของเจ้าบางส่วน แต่จะถือเป็นอะไรได้เล่า? ปีหน้ายามที่เจ้าสังหารสามอสุภะ (แนวคิดของลัทธิเต๋า เริ่มต้นตั้งแต่สมัยราชวงศ์ฮั่น มีหนังสือชื่อ 《河图纪命符เหอถูจี้มิ่งฝู่》กล่าวไว้ว่า” ในร่างกายมีสามอสุภะ สามอสุภะนี้เป็นเทพผีที่อยู่ส่วนของจิตและวิญญาณ ต้องการให้มนุษย์ตายโดยไว อสุภะนี้จึงไปเกิดเป็นผี) ย่อมสามารถทำให้สิ้นสุดลงได้ เจ้าเองก็น่าสนใจนัก นักพรตคนอื่นๆ ที่ได้เป็นเซียนทอง สามอสุภะเก้าพยาธิ ตัวแรกที่สังหารก็คือข้า เจ้ากลับดีนัก ดันจงใจเก็บไว้ท้ายที่สุด”

บัณฑิตเงียบงัน สีหน้าซับซ้อน

ชายแขนเสื้อของเขาโบกสะบัดอย่างรุนแรง

ก่อนจะกลายเป็นควันดำกลิ้งหลุนๆ กลุ่มหนึ่งที่มุดผลุบหายลงไปใต้ดิน พริบตาเดียวก็หายวับไป

เรือนแห่งหนึ่งของตำหนักกว่างหาน ภูตถือพัดที่แต่งตั้งตนเองเป็นวิญญูชนแห่งสำนักศึกษากับเหล่าลูกสมุนของภูเขาโปลั่วซึ่งรวมผู้เฒ่าเคราแพะเป็นหนึ่งในนั้นกำลังดื่มสุรากันอย่างครื้นเครง

‘วิญญูชน’ ท่านนี้ท่าทางไม่สบอารมณ์นัก กำลังดื่มเหล้าดับทุกข์ พวกโง่เง่าคนอื่นๆ ก็ตาไม่มีแวว พอดื่มจนเริ่มเมามายก็พากันร้องรำทำเพลง ฝอยจนน้ำลายแตกฟอง คำพูดไร้ความยำเกรง คนนี้บอกว่าก้นของปี้สู่เหนียงเนียงกลมดิก หากได้ลูบสักครั้งต่อให้ตายก็ยินดี คนนั้นพูดว่าลูกสาวของราชันย์เฮยเหอหน้าอกใหญ่ หากมีโอกาสจะต้องมุดเข้าไปให้จงได้ แล้วยังมีบางคนที่ไม่รู้จักกลัวตายยิ่งกว่า บอกว่าอริยะใหญ่ปานซานจะนับเป็นตัวอะไรได้ ขอแค่ปี้สู่เหนียงเนียงออกคำสั่งคำเดียว หนึ่งหมัดของข้าผู้อาวุโสก็ต่อยให้หัวของวานรย้ายภูเขาตัวนั้นเละได้แล้ว…

ภูตถือพัดกระดกเหล้าในจอกดื่มจนหมด รู้สึกเพียงว่าดื่มเหล้าร่วมกับคนกลุ่มนี้ช่างทำลายบรรยากาศเสียจริง ผิดต่อสุราเลิศรสจากนครถงโช่วที่น้ำเป็นสีทองเข้มงดงามจอกนี้ยิ่งนัก

มันทอดถอนใจหนึ่งที มือหนึ่งโบกพัด อีกมือหนึ่งถือแก้วเหล้าว่างเปล่า “สุราคือสหายแห่งความปิติ ได้ทั้งดับทุกข์และนำพาความสุข ในเมื่อเจตนารมณ์สวรรค์ทำให้ชีวิตข้าไม่ราบรื่น ถ้าอย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้ ดื่มเหล้าดับทุกข์เสียเถิด…”

ภูตผีปีศาจตนอื่นๆ เห็นมาจนชิน เพียงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง นายท่านวิญญูชนผู้นี้เริ่มพล่ามอีกแล้ว

พี่ชายคนดี

ภูตถือพัดเงยหน้าขึ้นชำเลืองตามองไปยังเรือนพักของปี้สู่เหนียงเนียง แล้วก็รู้สึกเพียงคลื่นความร้อนที่พุ่งพล่านอยู่ใต้ท้องน้อย ไม่ว่าจะอย่างไร เรือนร่างของเหนียงเนียงก็งดงามมากจริงๆ

คิดถึงช่วงเวลาตลอดหลายปีที่ผ่านมาที่ตนอยู่บนภูเขาโปลั่ว คอยปรนนิบัติรับใช้อยู่ข้างกายอีกฝ่าย ผลประโยชน์ที่ได้มาอยู่ในมืออันที่จริงกลับมีไม่มาก มันอยากจะเป็นแขกผู้ได้นอนร่วมเตียงของปี้สู่เหนียงเนียงมากกว่า ในสายตาของคนเป็น บางทีเหนียงเนียงท่านนี้อาจมีรูปโฉมงดงามปานบุปผาปานจันทรา แต่สำหรับภูตแห่งภูเขาหนองบึงอย่างพวกมันแล้ว จะมัวไปพิถีพิถันกับเรื่องพวกนั้นทำไม แต่กระนั้นมันก็กลัวความสามารถบนเตียงที่แม้แต่เทพเซียนก็ยังหวาดผวาของปี้สู่เหนียงเนียง เพราะหากไม่ระวังก็อาจต้องตายใต้ดอกโบตั๋นเข้าจริงๆ

แทบจะทุกๆ ระยะเวลาสองสามปี ปี้สู่เหนียงเนียงจะต้องออกจากบ้านเพียงลำพังไปพบใครคนใด ไปทำอะไร เป็นเรื่องที่ไม่มีใครรู้เลย

ทุกคนพากันพูดไปหลากหลาย

บ้างก็บอกว่าปี้สู่เหนียงเนียงคือชู้รักของเจ้านครเฟิ่นหลาง แล้วก็มีคนบอกว่าเจ้าของภูเขาโปลั่วที่แท้จริงก็คือนายท่านผู้เฒ่าราชาผีที่ชื่อเสียงทัดเทียมกับผูหรางแห่งนครกรงขาวผู้นั้น ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคำกล่าวที่บอกว่าปี้สู่เหนียงเนียงมีความสัมพันธ์ประเภทนั้นกับบุตรสาวโทนของราชันย์เฮยเหอ

ภูตถือพัดดื่มเหล้าด้วยความรู้สึกขมขื่นเล็กน้อย

เหตุใดปี้สู่เหนียงเนียงถึงไม่ยอมเปิดใจให้ตนบ้างเลย?

มันเริ่มเมาแล้ว

คิดไปว่าไม่รู้ว่าชีวิตนี้ตนจะได้ครอบครองภูเขาหนึ่งลูก สร้างจวนที่หรูหราโอ่อ่า เรียกลมเรียกฝนอย่างเปี่ยมไปด้วยบารมีอำนาจได้เฉกเช่นปี้สู่เหนียงเนียงหรือไม่

คิดว่าในอนาคตวันใดวันหนึ่งตนจะสามารถออกไปจากหุบเขาผีร้ายแห่งนี้ ไปเยือนฟ้าดินที่กว้างใหญ่ไพศาลนอกชายหาดโครงกระดูก ไปท่องเที่ยวในสำนักศึกษาของลัทธิขงจื๊อ ไปเห็นบัณฑิตที่แท้จริง ไปลองอ่านคัมภีร์ของลัทธิขงจื๊อที่แท้จริงได้หรือไม่

……

ภูเขาตี้หย่ง

เมื่อเทียบกับภูเขาโปลั่วแล้ว ที่นี่มีการป้องกันที่เข้มงวดกว่ามาก

อีกทั้งยังสร้างค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาที่เข้าท่าเข้าทีไว้แห่งหนึ่งด้วย

ทว่าสำหรับบัณฑิตแล้วยังคงเป็นเหมือนสถานที่ที่ไร้ผู้คนอยู่ดี

แต่หากคิดจะเข้าไปสังหารปีศาจกวาดเอาสมบัติในคลังลับมาอย่างเงียบเชียบนั้นกลับยากมาก

บัณฑิตไม่รีบร้อน เขาเข้ามาในภูเขาตี้หย่งแล้วก็มายืนอยู่บนต้นสนที่พุ่มใบหนาดกต้นหนึ่ง คิดจะรอดูสถานการณ์ไปก่อน

ขอแค่ค่ายกลใหญ่ภูเขาแม่น้ำของทางอริยะใหญ่ปานซานถูกเปิดใช้งานก็หมายความว่าเจ้าหมอนั่นได้เริ่มบุกภูเขา หรือไม่ก็ร่องรอยถูกเปิดเผยแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ถึงเวลาที่ตนจะลงมือได้แล้ว

สิ่งเดียวที่ต้องระวังก็คือตะพาบเฒ่าในโพรงมังกรเฒ่าตัวนั้น รวมไปถึงตะพาบน้อยในลำคลองเฮยเหอที่สนิทสนิมกับปี้สู่เหนียงเนียง ไม่ใช่กลัวว่าพวกมันจะร่วมมือกับภูเขาตี้หย่ง แต่เป็นเพราะพ่อลูกคู่นั้นฆ่าตายได้ยากมาก หากพวกมันยืนกรานจะปกป้องพี่เฉินหยวนจวินให้ได้ก็ค่อนข้างจะยุ่งยากแล้ว บัณฑิตเดินทางมาสังหารปีศาจครั้งนี้ ถึงอย่างไรแล้วก็เป็นแค่การผ่อนคลายอารมณ์ ก็เหมือนกับการที่เขาสอบเป็นจิ้นซื่อคนใหม่ที่นครถงโช่วอะไรนั่นที่ทำไปก็เพื่อแก้เบื่อเท่านั้น

พี่เฉินหยวนจวินกับตะพาบเฒ่าราชันย์เฮยเหอ คนหนึ่งมีรากฐานอยู่ที่อารามเสวียนตูเล็ก อีกคนหนึ่งมีความเกี่ยวข้องกับวัดหยวนเยว่ใหญ่ คือตะพาบเฒ่าตัวหนึ่งที่ถูกปล่อยเลี้ยงอยู่ในบ่อของวัด ตอนที่ชายหาดโครงกระดูกยังไม่กลายเป็นซากปรักของสนามรบโบราณ จากบันทึกในตำราประวัติศาสตร์ของทางการ ก่อนที่ตะพาบเฒ่าจะกลายเป็นภูตก็เคยชูคอรับฟังพระธรรมอยู่ในบ่อน้ำของวัดเป็นประจำ ภายหลังสองราชวงศ์เปิดฉากสังหารกันครั้งใหญ่ เดือดร้อนให้แคว้นใต้อาณัติหลายสิบแคว้นติดร่างแหมาด้วย วัดจึงถูกภิกษุเฒ่าที่มีร่างอรหันต์ทองคำมานานแล้วร่ายวิชาอภินิหารใหญ่ปกป้องเอาไว้ ทำให้ผ่านพ้นภัยสงครามมาได้ สุดท้ายก็ย้ายเข้ามาในป่าท้อของหุบเขาผีร้าย กลายมาเป็นเพื่อนบ้านกับอารามเสวียนตูเล็กที่เดิมทีอยู่ห่างไกลกันหลายพันลี้

ตะพาบเฒ่าแอบออกจากวัด แต่งตั้งตนเองให้เป็นราชันย์เฮยเหอ ยึดครองถ้ำโพรงแห่งหนึ่งที่ลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง ตั้งชื่อว่าโพรงมังกรเฒ่า เลี้ยงปลาหลั่วสีทองไว้หนึ่งคู่ บอกว่าเอาไว้เป็นสินเดิมของบุตรสาว

บุตรสาวของเขาแต่งตั้งตัวเองเป็นฟู่ไห่หยวนจวิน น้อยครั้งนักที่ตะพาบเฒ่าจะปรากฎตัว ล้วนเป็นนางที่จัดการกิจธุระบนภูเขา ด้านนอกโพรงมังกรเฒ่ามีลำคลองสายใหญ่ที่น้ำไหลเชี่ยวกราก ก็ถูกนางยึดครอง ตั้งตนเป็นผู้นำภูตเผ่าน้ำ คอยสร้างมรสุมอยู่ตลอดทั้งปี ตะพาบน้อยตนนี้เกิดมามีร่างดำเมื่อมตัวใหญ่โต มีครั้งหนึ่งที่เจ้านครเฟิ่นหลางเจอกับมันโดยบังเอิญก็ได้ทิ้งถ้อยคำอาฆาตที่ทิ่มแทงจิตใจเอาไว้ บอกว่าตะพาบน้อยเกิดมาหน้าตาอัปมงคลถึงเพียงนี้ ต่อให้ข้าผู้อาวุโสกินไม่เลือกแค่ไหน แม้จะดับไฟจนห้องดำมืดก็ไม่มีทางเขมือบลงเด็ดขาด นี่ถือเป็นการหมิ่นเกียรติอย่างใหญ่หลวงสำหรับฟู่ไห่หยวนจวินท่านนี้

บัณฑิตยืนอยู่บนกิ่งไม้ เขาสูดลมหายใจเข้าหนึ่งครั้งก่อน ปราณหยินที่ซุกซ่อนอยู่ในต้นสนโบราณต้นนี้ก็ถูกดูดมาจนว่างเปล่า หลังจากนั้นบัณฑิตก็พ่นมันออกมาเบาๆ รอบด้านพลันกลายเป็นไอน้ำขมุกขมัว เขาถึงได้คลายฝ่ามือออก ใช้นิ้ววาดยันต์

มองภูเขาแม่น้ำผ่านฝ่ามือ

แกว่งฝ่ามือเบาๆ

เสกม้วนภาพภูเขาแม่น้ำของจวนบนภูเขาตี้หย่งออกมา

ทัศนียภาพในม้วนภาพวาดค่อนข้างพร่าเลือน นี่เป็นเพราะเขาไม่ยินดีจะเปิดเผยเบาะแส เพราะถึงอย่างไรพี่เฉินหยวนจวินผู้นี้ก็มาจากสายของลัทธิเต๋า อีกทั้งยังมีตบะเป็นโอสถทอง ไม่แน่ว่าจิตอาจจะสัมผัสได้

บนหอสูงแห่งหนึ่งของจวนบนภูเขาตี้หย่ง ด้านในกำลังจัดงานเลี้ยงฉลอง

บัณฑิตหัวเราะจืดเจื่อน

เห็นเพียงว่าในงานเลี้ยงบนหอสูงมีปีศาจรวมตัวกันเป็นจำนวนมาก ร่างจริงแต่ละตนเรือนกายหนาใหญ่ขุ่นมัว เมื่อปรากฎอยู่ในสายตาของบัณฑิตก็เหมือนกับองค์รักษ์ข้ารับใช้ที่เปิดเผยตัวตนอันน่ากลัวคอยปกป้องเจ้านายอยู่ด้านหลังเหล่าปีศาจ

บัณฑิตพึมพำ “เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงมารวมตัวกันอยู่ที่ภูเขาตี้หย่งครบแบบนี้? ไอ้หมอนั่นโชคดีกว่าข้าอีกหรือนี่? เขาจับผลัดจับผลูหรือว่าคาดการณ์ได้ล่วงหน้ามาก่อนแล้ว?”

ผู้ฝึกตนกับองค์เทพต่างก็มีร่างกายธรรม ส่วนภูตผีปีศาจที่จำแลงร่างกลายเป็นคนกลับมีคำเรียกขานถึงร่างจริง ยิ่งตบะสูงเท่าไหร่ ร่างจริงก็ยิ่งพร่าเลือนมากเท่านั้น หลังจากเลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดแล้ว จะสามารถเก็บร่างจริงได้อย่างสัมบูรณ์ ส่วนผู้ที่มีขอบเขตต่ำกว่าก่อกำเนิดลงมา โดยเฉพาะปีศาจโอสถทอง ร่างจริงจะหล่อหลอมได้อย่างกระชับมั่นคงมากที่สุด แล้วก็ยากจะปกปิดอำพรางได้ที่สุด

ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดที่ตบะลึกล้ำ รวมไปถึงโอสถทองในสำนักที่มีการสืบทอดมาอย่างยาวนานมักจะมองร่างจริงของปีศาจออกเสมอ

บัณฑิตรีบเก็บวิชาอภินิหารมองภาพเหตุการณ์ผ่านฝ่ามือ

มองปราดๆ ไปที่หอสูงแห่งนั้น อริยะใหญ่ปานซานที่ร่างเดิมคือวานรหลังเงินตัวหนึ่ง เซียนจัวเยาที่เป็นภูตหนูตัวอ้วนใหญ่ และขุนพลเทพชื่อเหลยที่ด้านหลังมีงูเหลือมใหญ่ห้าสีขดอยู่

แน่นอนว่ายังมีพี่เฉินหยวนจวินที่ร่างจริงคือเตียวน้อยขนสีทอง

นอกจากนี้ยังมีผีโอสถทองอีกตนหนึ่ง

นอกจากคู่พ่อลูกของโพรงมังกรเฒ่าและลำคลองเฮยเหอแล้ว ปีศาจตนอื่นๆ ล้วนมากันครบหมด เพียงแต่ว่ามีผีโอสถทองที่ชอบงัดข้อกับนครฟูนี่เพิ่มมาอีกหนึ่งตน

บัณฑิตเอ่ยอย่างจนใจ “ขออย่าให้เป็นสุนัขที่ถูกปิดประตูตีเลย โชคของข้าคงไม่แย่ขนาดนั้นหรอกกระมัง?”

ในฐานะฟ้าดินขนาดเล็กที่ดำรงอยู่มานับพันปี หุบเขาผีร้ายจึงมีการข่มกำราบอย่างไร้รูปลักษณ์ต่อผู้ฝึกลมปราณ ยิ่งขอบเขตสูงเท่าไหร่ พันธนาการก็ยิ่งหนาแน่นมากเท่านั้น

นอกจากนี้สำหรับผู้ฝึกลมปราณที่สถานะพิเศษแล้วก็ยิ่งมีแรงกดดันที่ไม่น้อย

ยกตัวอย่างเช่นเขา

คนธรรมดายังมีคำกล่าวที่ว่าปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ไม่ได้ ผู้ฝึกตนก็ยิ่งเป็นเช่นนี้

โดยเฉพาะเขาที่แปดอักษรเป็นปราณหยางบริสุทธิ์ ขัดแย้งกับแปดอักษรของหุบเขาผีร้ายแห่งนี้โดยตรง หากไม่เป็นเพราะวิชาการฝึกตนเลิศล้ำสูงส่ง เหนือกว่าที่วิชานอกรีตทั้งหลายจะเทียบเคียงได้ติด สามารถผสานน้ำและไฟในชะตาชีวิตของตนเข้าด้วยกัน หยินหยางอยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง ไม่อย่างนั้นเขาที่เข้ามาอยู่ในหุบเขาผีร้ายแห่งนี้ก็คงจะเป็นเรื่องที่ยุ่งยากอย่างมาก เหมือนโคมไฟที่แขวนลอยสูงอยู่ท่ามกลางม่านราตรีที่ดำมืดจนมองไม่เห็นนิ้วทั้งห้าของตัวเอง มีแต่จะกลายไปเป็นเป้าของเหล่าภูตผีปีศาจนับพันนับหมื่น

บัณฑิตพึมพำขึ้นมาอีกครั้ง “กลับ?”

เงียบไปครู่หนึ่ง เขาก็คลี่ยิ้มกว้าง “ถ้าอย่างนั้นก็รออีกสักหน่อย อย่าปล่อยให้ข้าตายด้วยน้ำมือคนอื่นล่ะ ไม่อย่างนั้นการฝ่าทะลุขอบเขตของเจ้าก็จะมีจุดด่างพร้อยจุดใหญ่แล้ว”

ในเมื่อตัดสินใจเด็ดขาดได้แล้ว จิตใจของบัณฑิตก็นิ่งสงบราวกับสายน้ำ

แล้วเขาก็เริ่มอยู่นิ่งๆ เพื่อรอดูการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ด้วยการหลับตาเข้าฌานมันเสียเลย

อีกทั้งยังเริ่มหลอมป้ายหินประตูมังกรแผ่นนั้น ดูว่าจะทำสำเร็จหรือไม่ หากสำเร็จก็เป็นการปักบุปผาลงบนผ้าแพร

ไอน้ำชื้นล่องลอยดุจฝนรสหวานที่พร่างพรม ท่ามกลางจวนน้ำเหมือนมีมังกรเฒ่าว่ายวนอยู่กลางกลุ่มเมฆเพื่อโปรยพิรุณ

ในจวนไฟก็มีชายฉกรรจ์ร่างสูงใหญ่ที่ทั่วร่างลุกโชนไปด้วยเปลวเพลิงเหมือนเทพแห่งอัคคีกำลังตีเหล็กหลอมมีดสั้นเล่มหนึ่ง ทุกครั้งที่เหวี่ยงแขวนทุบลงไป สะเก็ดไฟจะแตกกระจายไปทั่ว

และในช่องโพรงสำคัญอีกแห่งหนึ่งก็มีเทือกเขาสลับสล้างเขียวขจี ต้นไม้ขึ้นเขียวครึ้ม บนยอดเขามีอารามเต๋าอยู่แห่งหนึ่งที่ปูด้วยกระเบื้องแก้วสีเขียว แขวนกรอบป้ายตัวอักษรสีทอง

ส่วนในช่องโพรงอีกแห่งหนึ่งก็เหมือนสนามรบที่อบอวลไปด้วยกลิ่นอายของการเข่นฆ่าสังหาร สองกองทัพคุมเชิงกัน เสียงกีบเท้าม้าและเสียงโลหะกระทบกันดังสนั่น

และเมื่อบัณฑิตทดลองหล่อหลอมป้ายศิลาที่ได้มาจากภูเขาโปลั่วแผ่นนั้น ในจวนน้ำก็มีป้ายหินตั้งตระหง่าน แล้วค่อยๆ ลอยขึ้นกลางอากาศสูง สองตัวอักษรว่า ‘ประตูมังกร’ ที่อยู่ด้านบนสุดของป้ายศิลาก็มีประกายแสงสีทองเรืองรองออกมาในทุกขีดตัวอักษร

บัณฑิตไม่ได้หลอมป้ายศิลาทั้งแผ่นให้เสร็จในรวดเร็ว หลังจากที่สองตัวอักษรว่าประตูมังกรปรากฏแจ่มชัดแล้ว เขาก็ยุติแต่เพียงเท่านี้ เขาลืมตาขึ้น พ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาเบาๆ

บัณฑิตสะบัดชายแขนเสื้อสองข้าง มองไปยังจวนแห่งนั้น ปีศาจแต่ละตนทะยานลมลอยตัวขึ้นกลางอากาศ ค่อยๆ มุ่งหน้ามาหาเขา ส่วนค่ายกลใหญ่พิทักษ์ภูเขาที่แผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งภูเขาตี้หย่งก็ถูกเปิดใช้ในเสี้ยววินาที แต่เขากลับไม่ได้ใส่ใจมากนัก

บัณฑิตหันหน้าไปมองยังทิศทางที่ตั้งภูเขาของอริยะใหญ่ปานซานแวบหนึ่ง แล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “พี่ชายคนดีเอ๋ยพี่ชายคนดี ตอนอยู่ภูเขาโปลั่วเป็นข้าที่ได้ผลประโยชน์ไปมาก ตอนนี้ถือว่าข้าชดใช้คืนให้เจ้าส่วนหนึ่งแล้ว ถ้าถึงขนาดนี้แล้วเจ้ายังช่วงชิงผลประโยชน์มาไม่ได้ ไม่อาจกลับไปพร้อมกับสมบัติเต็มไม้เต็มมือก็คงจะทำให้ข้าผิดหวังเป็นอย่างยิ่ง”

แล้วบัณฑิตก็ชำเลืองตามองไปทางภูเขากระจกวิเศษ ไม่รู้ว่าธุระสำคัญของที่นั่นดำเนินไปอย่างไรบ้างแล้ว

ดินของห้าธาตุ กระจกซานซานจิ่วโหว

คือวัตถุแห่งชะตาชีวิตชิ้นสุดท้ายที่เกี่ยวพันกับรากฐานมหามรรคาของเขา

เรื่องใหญ่ขนาดนี้ แน่นอนว่าเขาต้องไปดูให้เห็นกับตาตัวเองสักครั้ง

หากรวบรวมธาตุทั้งห้าครบถ้วน แล้วค่อยสังหารสามอสุภะทั้งหมด ไม่เพียงแต่จะเลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดได้อย่างง่ายดาย อีกทั้งหลังจากฝ่าทะลุคอขวดของก่อกำเนิดไปได้ การกลายเป็นผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนก็จะเปลี่ยนมาเป็นราบรื่น จิตมารไม่เพียงแต่ไม่กำจัดได้ยากเหมือนของก่อกำเนิดทั่วไป กลับกลายเป็นว่าแค่จำเป็นต้องใช้เวลาที่เหมือนน้ำหยดลงหินทุกวันเท่านั้น อย่างมากสุดเวลาสองสามร้อยปีก็สามารถขัดเกลาได้อย่างสิ้นซาก แทบจะไม่มีอันตรายใดๆ อีกทั้งระหว่างขั้นตอนของการขัดเกลาจิตมารนี้ยังมีประโยชน์ต่อจิตวิญญาณของเขาด้วย

นี่ก็คือรากฐานของตระกูลเซียนอันดับหนึ่งของทวีป

……

เฉินผิงอันไม่ได้ไปยังภูเขาที่อริยะใหญ่ปานซานอยู่อาศัย แต่อ้อมเส้นทางเล็กน้อย ไปเยือนตำหนักหยางฉางของเซียนใหญ่จัวเยา

เรียกว่าตำหนัก แต่อันที่จริงแล้วไม่ได้ดีไปกว่าวัดร้างผุพังที่อยู่ตรงตีนเขาของภูเขากระจกวิเศษสักเท่าไหร่ ขนาดเท่ากับเรือนสามชั้นของที่เขตการปกครองหลงเฉวียนเท่านั้น

แล้วก็มีภูตน้อยแค่สองตนคอยเฝ้าประตูใหญ่ แต่ละตนต่างกอดทวนไม้ไว้ในอ้อมอก กำลังนั่งคุยกันอยู่บนขั้นบันได ภูตหนูหนึ่งในนั้นวางตำรากระดาษที่ขาดวิ่นไม่เหลือชิ้นดีเอาไว้บนหัวเข่า

เฉินผิงอันก็ไม่สนใจว่านี่จะเป็นเวทอำพรางตาหรือไม่ มีความเป็นไปได้มากว่าปีศาจใหญ่จัวเยาผู้นั้นจะยังอยู่บนภูเขาของอริยะใหญ่ปานซาน ปรึกษากันว่าควรจะล้อมปราบตนอย่างไร

จากนั้นภูตสองตนก็มองเห็นผู้เฒ่าสวมชุดเขียวคนหนึ่งเดินตรงมาทางหน้าประตูบ้านของตน

ภูตหนูร่างบึกบึนหนึ่งในนั้นขยี้ตา สูดจมูกดมกลิ่น “คือคนมีชีวิตจริงๆ หรือ? ข้าคงไม่ได้กำลังฝันไปหรอกกระมัง?”

ภูตหนูร่างเล็กเตี้ยอีกตนหนึ่งรีบเก็บตำรา มันเองก็ลังเลใจไม่ต่างกัน สุดท้ายก็ลุกพรวดขึ้นยืน ถือทวนไม้ไว้ในมือ คำรามอย่างเดือดดาล “บังอาจ ใครใช้ให้เจ้าบุกรุกเข้ามาในตำหนักหยางฉางบ้านข้า? บอกชื่อแซ่มา แล้วจะเว้นชีวิตเจ้า!”

เฉินผิงอันพูดด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ปี้สู่เหนียงเนียงแห่งภูเขาโปลั่วส่งข้ามาเชิญเซียนใหญ่จัวเยาให้ไปเป็นแขกที่ตำหนักกว่างหาน ท่านเซียนใหญ่ของพวกเจ้าเล่า? เร็วเข้า เหนียงเนียงของข้าเพิ่งจะจับตัวบัณฑิตคนหนึ่งของนครถงโช่วมาได้”

ภูตหนูที่อยู่ตรงหน้าประตูถึงกับน้ำลายไหลยืด วิ่งตุปัดตุเป๋มาหา “จริงหรือ?”

ภูตตัวเล็กอีกตนหนึ่งทำสีหน้ากังขา ใช้ปลายทวนชี้ไปที่เฉินผิงอันแล้วทิ่มผ่านความว่างเปล่าอยู่สองที “ท่านบรรพบุรุษของข้าเคยบอกว่า สตรีหน้าเหม็นอย่างปี้สู่เหนียงเนียงผู้นั้นชอบกินอาหารเพียงลำพังมากที่สุด เจ้าอย่าได้คิดมาหลอกพวกเรา!”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “บอกตามตรง เป็นเพราะเหนียงเนียงของข้ามีเรื่องจะขอร้อง หวังว่าข้าจะมาเรียกให้เซียนใหญ่จัวเยาไปช่วยรับมือกับเซียนกระบี่หนุ่มคนหนึ่งที่มาวางตัวโอหังอยู่บนภูเขา”

ภูตหนูที่น้ำลายไหลไม่หยุดตนนั้นเอ่ยเสียงเบา “ต้องเป็นเซียนกระบี่ร้ายกาจที่ท่านบรรพบุรุษพูดถึงแน่นอน เขามาหาเรื่องปี้สู่เหนียงเนียงแล้ว เดิมทีภูเขาโปลั่วก็อยู่ใกล้กับภูเขาถงกวาน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกแล้วที่ถูกหาเรื่อง”

ภูตหนูที่ถือทวนไม้ไว้ในมือใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้านับ “ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ไสหัวกลับไปที่ภูเขาโปลั่วได้แล้ว ข้าจะไปรายงานท่านบรรพบุรุษในตำหนัก จะไม่ถ่วงเวลาการไปช่วยเหลือปี้สู่เหนียงเนียงของพวกเจ้าอย่างแน่นอน”

ภูตหนูอีกตนหนึ่งมีท่าทางลุกลี้ลุกลน รีบหันมาขยิบตาให้อีกฝ่าย

คนตัวเป็นๆ ที่ไม่มีแรงจะจับไก่ แม้จะอายุมากไปหน่อย แต่หากลงหม้อแล้วยังกลัวว่าจะต้มได้ไม่เละอีกหรือ? สังหารเขาแล้วค่อยไปรายงานบรรพบุรุษที่อยู่กับอริยะใหญ่ปานซานก็ยังไม่สาย ในเมื่อทางฝั่งของภูเขาโปลั่วต้องการความช่วยเหลือจากตำหนักหยางฉางของพวกเรา คนเป็นตายไปแค่คนเดียวเท่านั้น คิดดูแล้วปี้สู่เหนียงเนียงคงไม่กล้าแม้แต่จะผายลมด้วยซ้ำ เมื่อเป็นเช่นนี้พวกเราสองสหายก็จะได้มีอาหารเลิศรสมื้อหนึ่งกินแล้วไม่ใช่หรือ?

ดูเหมือนว่าภูตหนูตนนั้นจะไม่เข้าใจความนัย ยังเอาทวนไม้ทิ่มมาทางเฉินผิงอันอีกครั้ง “ยังไม่รีบไสหัวไปอีก? บรรพบุรุษของข้า เจ้าคิดจะพบหน้าก็พบได้อย่างนั้นหรือ? ถูกน้ำมันหมูบดบังจิตใจ รนหาที่ตายหรือไร?”

เฉินผิงอันสังเกตเห็นว่าภูตหนูตนนี้แอบส่งสายตาให้ตน ความหมายก็คือให้ตนรีบกลับไปซะ

ส่วนภูตหนูที่อยู่ข้างๆ ตนนั้นก็แอบชักมีดสั้นปลายแหลมเล่มหนึ่งจากชายแขนเสื้อไปซ่อนไว้ด้านหลัง แล้วเดินมาหาตนพร้อมกล่าวว่า “ไปพบท่านบรรพบุรุษเสียหน่อยก็ไม่เป็นไร แต่ไหนแต่ไรมาตำหนักหยางฉางของพวกเราก็ต้อนรับขับสู้แขกทุกคนเป็นอย่างดีอยู่แล้ว”

พี่ชายคนดี

เฉินผิงอันเพียงแค่จ้องนิ่งไปยังสายตาร้อนใจของภูตหนูที่อยู่ตรงหน้าเท่านั้น หลังจากนั้นก็ยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาดีดเบาๆ หน้าผากของภูตหนูที่ซ่อนมีดไว้ด้านหลังก็ทะลุเป็นรูเลือด ร่างกระเด็นหวือไปด้านหลัง กระแทกลงตรงหน้าประตูของตำหนักหยางฉาง ตายคาที่ทันที

ภูตหนูถือไม้เท้าที่อยู่ตรงหน้าคล้ายจะมึนงงเล็กน้อย จากนั้นถึงได้ตกตะลึงขวัญผวา หมุนตัวได้ก็วิ่งหนีทันที

เพียงแต่ว่าไหล่กลับถูกมือข้างหนึ่งกดเอาไว้ ภูตหนูตนนี้ไม่กล้ากระดุกกระดิก หัวสมองขาวโพลน ในสายตามองเห็นว่าเพื่อนร่วมงานคนนั้นนอนอยู่ท่ามกลางกองเลือด ไม่รู้ว่าทำไมมันถึงตายไปทั้งอย่างนั้น

ท่านบรรพบุรุษเคยเอ่ยเองกับปากว่า มันผู้นั้นมีความหวังที่จะได้เป็นปีศาจใหญ่ ท่านบรรพบุรุษจึงชื่นชอบมันมากกว่าตนมาโดยตลอด ยังบอกอีกว่าวันหน้าเมื่อตำหนักหยางฉางมีการขยับขยาย บุกเบิกเป็นจวนใหญ่ที่ไม่เป็นรองตำหนักกว่างหานก็จะมอบให้มันไปเป็นนายท่านใหญ่ผู้เฝ้าพิทักษ์จวน ท่านบรรพบุรุษไม่ค่อยชอบตนสักเท่าไหร่ แต่มักจะประทานอาหารของกินในงานเลี้ยงบนภูเขาลูกอื่นให้แก่มันบ่อยๆ อีกทั้งยังสอนวิชาดาบกระบวนท่าหนึ่งให้แก่มัน ทว่ากับตนกลับเอาแต่ด่าทอทุบตี

เฉินผิงอันหิ้วคอเสื้อของภูตหนูตัวนี้มานั่งที่บันได หยิบตำราเหลืองเก่าคร่ำคร่าเล่มนั้นออกมาจากชายแขนเสื้อของมัน ไม่คิดว่าจะเป็นบทประพันธ์ส่วนตัวที่เสียหายอย่างหนักเล่มหนึ่ง หลังจากเปิดอ่านดูแล้วก็ยิ่งน่าสนใจ เพราะด้านในยังมีคำอธิบายบิดเบี้ยวเขียนไว้ด้านข้าง รวมไปถึงตัวอักษรเล็กบางที่เขียนด้วยถ่านดำ มองออกว่าคนเขียนตั้งใจอย่างยิ่ง แต่ก็ยังบูดเบี้ยวเหมือนไส้เดือน ตัวอักษรที่เขียนเป็นคำอธิบายนั้นมักจะมีจำนวนไม่มาก บางครั้งก็เป็นคำถามที่ค่อนข้างจะไร้เดียงสา และบางครั้งก็เป็นถ้อยคำประจบเยินยอ

เฉินผิงอันอ่านแล้วก็รู้สึกสนุก พอปิดตำราลงก็ส่งคืนให้กับภูตหนูตัวน้อยที่ใบหน้าซีดขาว ร่างสั่นเทิ้ม

เฉินผิงอันถาม “รู้สถานที่เก็บสมบัติของเซียนจัวเยาหรือไม่?”

หลังจากรับหนังสือมาด้วยมือเท้าที่แข็งทื่อ ภูตหนูก็พูดเสียงสั่นว่า “ไม่รู้…ต่อให้รู้ก็ไม่บอก…ให้ตายก็ไม่บอก”

เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด ยื่นมือออกมาโบกหนึ่งครั้ง บนมือก็มีตำราใหม่เอี่ยมเล่มหนึ่งปรากฏขึ้นมา ยังมีกลิ่นหอมของหมึกลอยโชยมาจางๆ “เก็บรักษาเอาไว้ให้ดี ทางที่ดีที่สุดคือควรขุดรูแล้วเก็บซ่อนเอาไว้ก่อน ไม่อย่างนั้นหากเซียนใหญ่จัวเยาผู้นี้โชคดีไม่ตาย เมื่อกลับมาที่ตำหนักหยางฉาง คนที่ตายก็ต้องเป็นเจ้าแล้ว จมูกของบรรพบุรุษเจ้าดีนักล่ะ ก่อนหน้านี้แม้แต่ข้าก็ยังเกือบจะถูกเขาจับได้”

ภูตหนูตะลึงตาค้าง

เฉินผิงอันวางตำราเล่มนั้นลงบนมือของมัน “จำที่บอกได้หรือยัง?”

ภูตหนูพยักหน้ารับอย่างเลื่อนลอย

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ลงมือให้เร็วหน่อย ไปซ่อนหนังสือไว้ก่อน จากนั้นข้าจะตีเจ้าให้สลบ แน่นอนว่าเจ้าจะเอาหัวโขกประตูให้ตัวเองสลบก็ได้เหมือนกัน ส่วนเรื่องคิดจะหนีนั้น อย่าได้หวังเลย”

ภูตหนูโยนทวนไม้ทิ้งแล้วไปขุดดินตรงจุดหนึ่ง เอาตำราเล่มนั้นไปซ่อนไว้ให้เรียบร้อย

จากนั้นก็วิ่งกลับมาที่ขั้นบันไดหน้าประตูใหญ่ ลังเลอยู่ชั่วครู่ก็วิ่งเอาหัวชนประตูใหญ่อย่างแรง ผลกลับกลายเป็นว่าล้มผลึ่งหงายหลังก็ยังไม่หมดสติ จึงหันหน้ามาพูดอย่างน่าสงสารว่า “เซียนซือท่านนี้ ท่านเป็นคนลงมือเถอะ ให้ดีควรจะมีเลือดออกสักหน่อย”

เฉินผิงอันโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้งตีอีกฝ่ายให้สลบ ทวารทั้งเจ็ดของภูตหนูเริ่มมีเลือดสดไหลออกมาช้าๆ แต่ก็แค่มองดูน่ากลัวเท่านั้น

เฉินผิงอันยกเท้าถีบประตูใหญ่ของตำหนักหยางฉางให้เปิดอ้าแล้วเดินข้ามธรณีประตูเข้าไปโดยตรง ก่อนจะเริ่มตามหาสถานที่ซ่อนสมบัติของเซียนใหญ่จัวเยาผู้นั้น

เขาตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งครั้ง บอกให้ชูอีกับสืออู่ช่วยตามหาเบาะแส

สุดท้ายเขาไปแงะแผ่นกระดานไม้ใต้โต๊ะตัวใหญ่ในเรือนหลักของตำหนักหยางฉาง เจอทางลับเส้นหนึ่งที่เมื่อเทียบกับเส้นทางใต้ดินที่กว้างขวางของภูเขาโปลั่วแล้วก็เรียกได้ว่าคับแคบจนชวนอึดอัด เฉินผิงอันจึงได้แต่คลานเข้าไปด้านใน บอกให้ชูอีสืออู่ช่วยระวังหลังให้ ประมาณหนึ่งก้านธูปต่อมา ในที่สุดก็มาถึงโพรงมืดมิดแห่งหนึ่งที่กว้างพอจะให้คนยืนได้คนเดียว เฉินผิงอันจุดแท่งจุดไฟก็พบว่ามีหีบเหล็กอยู่เพียงใบเดียว ตัวหีบบิดเบี้ยว แปะแผ่นยันต์ไว้เต็มไปหมด กระดาษยันต์มีปราณวิญญาณเปี่ยมล้น เซียนใหญ่จัวเยาผู้นั้นน่าจะเอามาเปลี่ยนบ่อยๆ เพียงแต่ไม่แน่ใจว่าตราผนึกพวกนี้เอาไว้เตือนคนเป็นเจ้าของหรือหากใครที่มาเปิดมันโดยพลการจะทำให้ถูกยันต์โจมตีกันแน่

เฉินผิงอันถอยหลังไปหนึ่งก้าว ให้ชูอีกับสืออู่ลงมือ ส่วนตัวเองกลั้นหายใจทำสมาธิคอยช่วยรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจเกิดขึ้น

กระบี่บินทั้งสองเล่มบินวนอยู่รอบหีบเหล็กอย่างว่องไวราวกับสายฟ้า แล้วกรีดยันต์กระดาษเหลืองเหล่านั้นให้ฉีกขาดอย่างรวดเร็ว หมายทำลายแก่นของยันต์

หลังจากปราณวิญญาณที่กระจัดกระจายส่ายไหวอย่างรุนแรงไปรอบหนึ่งก็ไม่มีความผิดปกติที่มากกว่านั้นเกิดขึ้น พอเฉินผิงอันเปิดหีบเล็กออกแล้วก็รู้สึกพูดไม่ออก ด้านในไม่ได้มีอาวุธวิเศษหรือสมบัติอะไร ยิ่งไม่มีเงินเทพเซียน แต่เป็นตำรากองกันอยู่เป็นปึกๆ

ก็จริงนะ ในหุบเขาผีร้ายแห่งนี้ สิ่งของอย่างตำรานับว่าหาได้ยากมากจริงๆ

เฉินผิงอันเปิดตำราโบราณเล่มหนึ่งในนั้น คือตำราพิชัยยุทธ

ดูท่าเซียนใหญ่จัวเยาผู้นี้ก็คือภูตที่ชอบศึกษาตำราพิชัยสงครามแล้ว

เฉินผิงอันพลันประกบสองนิ้วเข้าด้วยกัน สายฟ้าพุ่งเข้าไปหนีบตะขาบร้อยขาตัวหนึ่งที่กระโจนใส่หน้าเขา ตัวสีดำเมื่อมของมันเปล่งแสงวาบ พายุหมัดถูกปล่อยออกไปหนึ่งระลอก ตะขาบที่โดนแรงกระเทือนจากพายุลมกรดก็ตายคาที่ แล้วถูกเขาโยนไว้ด้านข้าง

ด้วยไม่มีเวลามาอ่านชื่อตำราพิชัยยุทธเหล่านี้อย่างละเอียด หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่ก็รวบเอาพวกมันไปไว้ในวัตถุจื่อชื่อทั้งหมด แล้วคลำไปตามบริเวณโดยรอบต่ออีกครั้ง เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีกลไกลับซ่อนสมบัติอย่างอื่นอยู่จริงๆ ถึงได้ย้อนกลับทางเดิม กลับไปยังตำหนักหยางฉางอีกครั้ง

เซียนใหญ่จัวเยาผู้นี้ยากจนข้นแค้นซะจริง

หลังจากนั้นต่อมา เฉินผิงอันก็ยังคงไม่ได้ไปเยือนภูเขาของอริยะใหญ่ปานซาน แต่มุ่งหน้าตรงไปยังภูเขาจีเซียวที่อยู่ค่อนไปทางเหนือสุดก่อน

ที่นั่นคือถิ่นของขุนพลเทพชื่อเหลย

ปีศาจตนนี้มักจะไปไหนมาไหนเพียงลำพัง ไม่เหมือนพวกอริยะใหญ่ปานซาน หรือราชันย์เฮยเหอที่ชอบสมัครรับรวมผู้คน แต่ความสามารถในการจับคู่สังหารศัตรูตัวต่อตัวนั้นกลับสูงสุดในบรรดาอริยะใหญ่ทั้งหก

ภูเขาจีเซียวมีเมฆและสายฟ้าล้อมวนอยู่ตลอดทั้งปี สายฟ้าแลบปลาบตัดสลับถักทอไม่หยุดนิ่ง และไม่ว่าจะภูตหรือผีก็ดี ล้วนหวาดกลัวเสียงฟ้าร้องมาตั้งแต่เกิด ดังนั้นนี่จึงเป็นสถานที่ที่ไม่ได้รับความชื่นชอบมากที่สุดในหุบเขาผีร้าย แต่กลับไม่รู้ว่าปีศาจตนนี้ไปได้ตำราวิชาอสนีที่ไม่สมบูรณ์เล่มหนึ่งมาจากที่ใด ถึงได้ฝึกตนจนหูทั้งสองข้างหนวก ดวงตาข้างหนึ่งระเบิดแตก และในที่สุดก็ฝึกวิชาอสนีได้สำเร็จในระดับหนึ่ง ยามที่ลงสนามเข่นฆ่ากับผู้อื่น จมูกจะสามารถพ่นไฟ ปากพ่นควัน ไม่ว่าจะยกมือยกเท้าหรือขยับตัวทำอะไรก็ล้วนมีสายฟ้าแลบปลาบอยู่เสมอ

คือปีศาจตนหนึ่งที่เรือนกายแข็งแกร่งแต่กลับมีเวทคาถาที่ไม่ธรรมดา และวิชาอสนีก็ยังเป็นวิชาที่กำราบเหล่าภูตผีและวัตถุหยินมาได้ตั้งแต่กำเนิด นี่จึงเป็นเหตุให้ขุนพลเทพชื่อเหลย (บงการสายฟ้า) มีตำแหน่งฐานะที่สูงส่งในบรรดาอริยะทั้งหก

ภูเขาจีเซียวไม่มีเส้นทางภูเขา แทบไม่มีต้นไม้ใบหญ้า มีแต่กลิ่นอายของความตายไร้ชีวิตชีวา

ทะเลเมฆโอบล้อมอยู่ตั้งแต่ช่วงกึ่งกลางภูเขา สายฟ้าส่องประกายวาววับ เสียงฟ้าร้องดังครืนครั่น ทัศนียภาพที่อยู่สูงยิ่งกว่านั้นของภูเขาจีเซียวก็ยิ่งมองไม่เห็นแม้แต่นิดเดียว

เฉินผิงอันบินทะยานตามก้อนหินภูเขาขึ้นสู่ที่สูง

แล้วจู่ๆ เขาก็พลันหยุดชะงัก เพราะพบว่าทางภูเขาตี้หย่งมีประกายรัศมีแสงระเบิดพร่าตา เสียงอึกทึกดังโครมครามไม่หยุด

ราวกับว่ากำลังเกิดศึกใหญ่ที่พลังอำนาจรุนแรงอย่างยิ่ง

บัณฑิตผู้นั้นเข้าไปในรังโจรแล้ว?

เฉินผิงอันจึงเพิ่มความเร็วในการขึ้นเขา

หลังจากขยับเข้าใกล้ทะเลเมฆที่โอบล้อมอยู่กึ่งกลางภูเขาก็มีสายฟ้าเป็นเส้นๆ ฟาดโบยเข้าใส่

ล้วนถูกหมัดของเฉินผิงอันต่อยให้แหลกสลาย ครึ่งก้านธูปต่อมาเขาก็ต่อยให้สายฟ้าสลายไปไม่ต่ำกว่าร้อยเส้น การมองเห็นของเฉินผิงอันที่ตอนนี้แขนเป็นเหน็บชาพลันเปิดกว้าง

กลางอากาศสูงเหนือยอดเขาจีเซียวก็มีทะเลเมฆที่หนาหนักยิ่งกว่าลอยตัวอยู่ สายฟ้าสีทองแต่ละเส้นถึงกับมีขนาดใหญ่เท่าเสาเรือน พวกมันพร้อมใจกันสาดยิงมายังจุดสูงของภูเขา เสียงฟ้าร้องดังกัมปนาทสะเทือนแก้วหูผู้คน

ต่อให้เป็นเฉินผิงอันก็ยังรู้สึกตาพร่าจิตวิญญาณแกว่งไกว ต้องสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งแล้วถึงเดินขึ้นเขาไปต่อ

ขยับเข้าใกล้ยอดเขา สายฟ้าหนากลับเหมือนกรงขัง ไม่อาจขยับเข้าใกล้ได้ เฉินผิงอันจึงได้แต่ขี่กระบี่ทะยานตัวขึ้นสูง

เหยียบอยู่บนเจี้ยนเซียน เพ่งสายตามองไปก็เห็นว่าบนยอดเขาของภูเขาจีเซียวคือบ่อสายฟ้าขนาดใหญ่เท่าบ่อน้ำเล็กๆ บ่อหนึ่ง สายฟ้าเหนียวหนืดราวกับน้ำ เกล็ดหิมะปลิวว่อนตลบอบอวล

มีป้ายหินตั้งเอียงอยู่แผ่นหนึ่ง ด้านบนเขียนตัวอักษรใหญ่ไว้หกตัวว่า ‘บ่อชำระกระบี่เรือนโต้วซู’ ล้วนเป็นตัวอักษรโบราณที่มีระบุไว้ใน ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’

คิดดูแล้วแผ่นศิลานี้คงไม่ใช่วัตถุธรรมดา ไม่อย่างนั้นก็คงไม่อาจรับสายฟ้าที่ฟาดผ่าลงมาได้ตลอดหลายปี ศิลาเพียงแค่เอนเอียงเท่านั้น แต่กลับไม่ได้มีความเสียหายใดๆ ไม่มีแม้แต่รอยร้าวด้วยซ้ำ

เฉินผิงอันหยุดกระบี่

ทั้งๆ ที่รู้ว่าบ่อสายฟ้าบ่อนี้ก็คือดินแดนเซียนน้อยแห่งหนึ่งที่ตระกูลเซียนซึ่งมีอักษรจงในชื่อปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน

แต่กลับไม่อาจลงมือทำอะไรมันได้เลย

ส่วนในบ่อสายฟ้าจะมีวัตถุดิบวิเศษแห่งฟ้าดินอะไรถูกฟูมฟักมาหรือไม่ ก็ยิ่งไม่อาจมองเข้าไปเห็น

เฉินผิงอันไม่รู้เลยว่าอะไรคือ ‘เรือนโต้วซู’ และความลับเกี่ยวกับวิชาอสนีที่แท้จริง เขาก็ยิ่งไม่มีความรู้แม้สักกระผีก

ก็เหมือนกับโชควาสนาที่ภูเขากระจกวิเศษแห่งนั้น หยางฉงเสวียนสามารถรอได้ เพราะเขาเตรียมตัวมาก่อน ตั้งท่าพร้อมจู่โจม แต่หากเปลี่ยนมาเป็นเฉินผิงอันที่ต้องเฝ้าธารลึกกลางภูเขาแห่งนั้น ต่อให้รอร้อยปีพันปีก็อาจเป็นการรออย่างเปล่าประโยชน์

เฉินผิงอันชำเลืองตามองสายฟ้าสีทองที่ลอยอยู่เหนือบ่อสายฟ้าแห่งนั้นพลางชั่งน้ำหนักระดับความแข็งแกร่งของเรือนกายตัวเอง หากให้แบกรับชั่วครู่ชั่วยาม บางทีอาจจะพอทำได้ กระโดดเข้าไปในบ่อสายฟ้า ก็อาจจะประคองตัวไว้ได้เช่นกัน แต่กลัวก็แต่ว่าเข้าไปง่ายแต่กลับออกมายาก หากไปแตะโดนพันธนาการบางอย่างที่ไม่มีใครรู้เข้า ทำให้อานุภาพของสายฟ้าเพิ่มพูนขึ้นเป็นทบทวี ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรก็ไม่อาจจินตนาการได้เลย เฉินผิงอันขยับสายตามองขึ้นไปด้านบน จะสามารถขี่กระบี่ไปปั่นป่วนทะเลเมฆแห่งนั้น เป็นเหตุให้บ่อสายฟ้าขาด ‘กองหนุน’ ไปชั่วคราวได้หรือไม่?

เจี้ยนเซียนที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าสั่นไหวเบาๆ พร้อมส่งเสียงร้องแผ่วๆ ท่าทางกระเหี้ยนกระหือรือ ราวกับอยากจะลองงัดข้อกับสายฟ้าและเสียงฟ้าร้องที่หนวกหูของที่แห่งนี้ดูสักตั้ง

ใบหน้าเฉินผิงอันเต็มไปด้วยอาการคิดไม่ตก

บ่อสายฟ้าแห่งนี้สามารถตั้งอยู่บนยอดเขาจีเซียวได้ จนถึงทุกวันนี้ก็ไม่มีใครที่สามารถแตะต้อง ผูหรางก็ดี นครจิงกวานก็ช่าง บางทีก็อาจจะทำไม่ได้เหมือนกัน เพราะถึงอย่างไรพวกมันก็คือวิญญาณวีรบุรุษที่มีชาติกำเนิดเป็นภูตผี หาใช่องค์เทพที่ได้รับการแต่งตั้งอย่างถูกต้องเหมาะสมไม่

ผู้ฝึกตนบนยอดเขาของอุตรกุรุทวีปที่อยู่ข้างนอกนั้นไม่สามารถเดินเข้ามาใน ‘บ่อชำระกระบี่’ แห่งนี้ได้อย่างราบรื่นภายใต้เปลือกตาของหุบเขาผีร้าย

ส่วนข้อที่ว่าสำนักพีหมาจะเคยมีความคิดอะไรต่อบ่อสายฟ้านี้หรือไม่ หรือมีใจแต่ไร้กำลัง ก็คงมีแค่สวรรค์เท่านั้นที่รู้

ต้องรู้ว่าภูเขาจีเซียวอยู่ห่างจากเมืองชิงหลูแห่งนั้นไม่ไกลแล้ว

จู๋เฉวียนเจ้าสำนักพีหมาไม่ได้กริ่งเกรงผูหรางหรือผู้ฝึกตนใหญ่แห่งนครจิงกวานอะไร หากว่ามีความเป็นไปได้ที่จะทำสำเร็จ นางก็น่าจะไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย

ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าความเป็นไปได้ที่ไม่สามารถย้ายบ่อสายฟ้าออกไปได้มีมากกว่า

บ่อชำระกระบี่?

สามารถหลอมกระบี่ ขัดเกลาประกายแหลมคม?

แต่เจี้ยนเซียนก็ดี กระบี่บินชูอีสืออู่ก็ช่าง ดูเหมือนว่าจะไม่มีความลิงโลดต่อบ่อสายฟ้าแห่งนี้เลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะชูอีที่เงียบงันผิดปกติ

เฉินผิงอันถอนหายใจเบาๆ

หวังว่าวันหน้าหากภูเขาลั่วพั่วมีสำนักเป็นของตัวเองจริงๆ ตอนที่เหล่าลูกศิษย์ออกจากสำนักไปหาประสบการณ์ เผยเฉียนก็ดี เฉินยวนจีก็ช่าง หรือคนที่ต่ำศักดิ์กว่านั้น เมื่อพวกเขาได้เจอกับคลังลับก่อนกำเนิดหรือสถานที่สำคัญแห่งโชควาสนาทั้งหลาย จะไม่ถึงขั้นไร้หนทางรับมือเหมือนกับตน หวังว่าพวกเขาจะสามารถอาศัยตำราที่เก็บซ่อนอยู่ในภูเขา หรือวิชาการสืบทอดมากมายบนภูเขาลั่วพั่วมารับรู้เรื่องในใต้หล้า พยายามช่วงชิงความได้เปรียบมาให้ได้มากที่สุด

เฉินผิงอันกวาดตามองรอบด้าน พบว่าภูเขาจีเซียวที่อยู่ด้านใต้บ่อสายฟ้า นอกจากจะไม่มีต้นไม้ใบหญ้าถือกำเนิดแล้ว ยังมีหน้าผาหินอยู่อีกสองสามจุด เมื่อถูกสายฟ้าสาดส่อง ประกายแสงก็เปล่งระยิบระยับเหมือนสะเก็ดดาว

เฉินผิงอันพลิ้วกายลงไป เจี้ยนเซียนกลับเข้าฝักด้วยตัวเอง

เฉินผิงอันมาที่หน้าผาหินแห่งหนึ่งก็พบว่ามีเส้นสีทองเล็กบางยาวเท่าแขนคนอยู่เส้นหนึ่ง เขายื่นนิ้วออกไปลูบ ไม่เพียงแต่เจ็บปวดเหมือนถูกแทงคว้านถึงกระดูก ยังเป็นเหตุให้จิตวิญญาณของเขาแกว่งไกวด้วย

เฉินผิงอันตกใจมาก ชักเจี้ยนเซียนออกมาแล้วเริ่มกรีด แงะ ขุด ‘เส้นเอ็น’ เส้นนั้นออกมาจากหน้าผาหิน สุดท้ายเส้นสีทองก็นอนอยู่ในร่องเว้าของหน้าผาหินอย่างสงบนิ่ง เหมือนแส้ไม้ไผ่สีทองเส้นหนึ่งที่ด้านในส่องประกายแสงสีทองวิบวับ

เฉินผิงอันยื่นมือไปคว้าแส้ไม้ไผ่สีทองนี้เอาไว้ ฝ่ามือก็เหมือนถูกถ่านร้อนๆ ลวก ครู่หนึ่งต่อมา เฉินผิงอันคลายมือออก เหงื่อก็แตกเต็มศีรษะของเขา เริ่มรู้สึกตาลายเล็กน้อย

เฉินผิงอันปาดเหงื่อที่หน้าผากทิ้ง ใช้นิ้วทั้งสองคีบมันขึ้นมาแล้วเก็บไว้ในวัตถุจื่อชื่ออย่างว่องไว

จากนั้นก็ขี่กระบี่ลอยขึ้นกลางอากาศ ตามหาจุดอื่นที่มี ‘แส้ไม้ไผ่’ ซึ่งแฝงเร้นสัจธรรมแห่งสายฟ้าอยู่ต่อไป

ขี่กระบี่วนอยู่ห่างๆ ยอดเขาของภูเขาจีเซียวไปรอบหนึ่งก็หาเจอว่าตำแหน่งที่มีแสงสีทองไหลรินมีอยู่แค่สี่จุดเท่านั้น จากนั้นก็พลิ้วกายลงมาครั้งแล้วครั้งเล่า ประหนึ่งชาวไร่ที่มานะขันแข็งมาขุดเอาแส้ไม้ไผ่น้อยใหญ่ทั้งหลายออกไป ท่อนที่เล็กที่สุดยาวเท่านิ้วมือ ท่อนที่ยาวที่สุดก็สูงถึงครึ่งตัวคน หากสามารถนำไปหล่อหลอมได้ ก็สามารถเอาไปทำไม้เท้าเดินป่าได้หนึ่งอัน

เฉินผิงอันขี่กระบี่วนซ้ำอีกหนึ่งรอบ หลังจากแน่ใจแล้วว่าไม่มีแสงสีทอง เส้นสีทองอยู่จริง ถึงได้ขี่กระบี่ลดระดับลงเบื้องล่างเป็นแนวดิ่ง ทะลุผ่านทะเลเมฆ ต่อยให้สายฟ้าทั้งหลายที่พุ่งเข้ามาชนอย่างสะเปะสะปะแตกกระจาย ลงจากภูเขาจีเซียวมาได้สำเร็จ

เฉินผิงอันเก็บเจี้ยนเซียนสอดเข้าฝัก เงยหน้ามองไป นึกถึงบ่อสายฟ้าบ่อนั้นก็ให้รู้สึกเสียดายเล็กน้อย แต่พอนึกขึ้นได้ว่าในวัตถุจื่อชื่อยังมีแส้สายฟ้าสีทองอยู่ห้าเส้นก็อารมณ์ดีขึ้นมาได้เล็กน้อย

คิดคำนึงถึงผลได้ผลเสีย?

เฉินผิงอันส่ายหน้า พูดกับตัวเองเบาๆ ว่า “ลืมแล้วหรือ? อะไรที่ไม่ควรเป็นของเจ้า ก็อย่าได้คิดมาก”

เฉินผิงอันหันหน้าไปมองทางภูเขาตี้หย่ง ความเคลื่อนไหวของที่นั่นรุนแรงยิ่งกว่าเดิม มีประกายแสงของสมบัติอาคมเปล่งวูบวาบระเบิดพร่างพราวอยู่กลางอากาศสูงไม่หยุด

ท่ามกลางความมืดมิด คล้ายจะมีเสียงหนึ่งดังก้องขึ้นในใจ

ฆ่าเขาซะ

เสียงนี้ไร้ซึ่งความทุกข์ความสุข ไม่แบ่งแยกว่าดีหรือเลว

แต่กลับทำให้เฉินผิงอันตื่นตะลึงและหวาดกลัวสุดขีด

เขาคนนั้น เฉินผิงอันแน่ใจยิ่งกว่าใครว่าเป็นบัณฑิตผู้นั้น

เฉินผิงอันหลับตาลงอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อลืมตาขึ้น ดวงตาก็กลับคืนสู่ความแจ่มชัดมีสติ ไม่มีความลังเลเหลืออยู่แม้สักเสี้ยว มุ่งหน้าพุ่งทะยานไปยังภูเขาตี้หย่งอย่างว่องไว

ไปฆ่าหรือไปช่วย

ถึงอย่างไรก็ดีกว่าหนี

นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่เขาได้ยินเสียงในใจของตัวเองซึ่งไม่รู้ว่าดังมาจากจุดใด

ครั้งแรกคือตอนเป็นเด็กที่หลังจากลงเขากลับเข้าไปในตรอกหนีผิงแล้วนอนกลิ้งทุรนทุรายอยู่บนพื้น

ครั้งนั้นก็เป็นคำสามคำเหมือนกัน หัวใจเต้นราวกับฟ้าผ่า รัวเร็วราวกับตีกลอง เสียงดังดุจเทพร้องคำราม

ตายไม่ได้

พี่ชายคนดี

แถบอาณาเขตของภูเขากระจกวิเศษ

คนหนุ่มเสื้อผ้าเก่าปอนขาดวิ่นคนหนึ่งเปี่ยมไปด้วยความฮึกเหิม

เพราะข้างกายของเขาคือเทพหญิงท่านหนึ่งที่เดินออกมาจากภาพวาดขุนนางสวรรค์ของนครปี้ฮว่า

เทพเซียนหญิงที่สูงส่งเหนือผู้ใดกลับไม่อาจเดินเคียงไหล่กับเขาได้ ได้แต่ทิ้งระยะห่างไปทางด้านหลังของเขาหนึ่งก้าว

เพื่อรักษาสถานะสูงต่ำที่แตกต่างกัน!

นางเป็นถึงเทพหญิงโปรยพิรุณเชียวนะ!

ไม่เพียงเท่านี้ นางยังบอกกับเขาว่าชื่อของนางคือซูสื่อ ไม่มีแซ่ ภายในระยะเวลาหกสิบปีจะพยายามสุดความสามารถเพื่อช่วยให้เขาเดินขึ้นสู่ที่สูงได้

บุรุษหนุ่มชอบความรู้สึกที่ได้เป็นจุดรวมสายตาของผู้คนมากมาย นับตั้งแต่เดินออกมาจากนครปี้ฮว่าจนกระทั่งเทพหญิงสิงอวี่บอกกับเขาว่าในหุบเขาผีร้ายมีโชควาสนาอย่างหนึ่งที่เป็นของเขารอคอยอยู่ ตอนที่เดินผ่านซุ้มป้ายหินมา ทุกคนต่างก็กำลังมองเขา อีกทั้งยังเป็นสายตาที่มองด้วยความเลื่อมใสอีกด้วย

ในที่สุดเขาก็ไม่ใช่แมลงน่าสงสารที่แบกรับแค้นเลือดไว้กับตัว แต่กลับเรียกฟ้าฟ้าไม่ขาน เรียกดินดินไม่ตอบอีกต่อไปแล้ว

เขาถึงขั้นรู้สึกด้วยว่าความแค้นนั้น เมื่อมีเทพหญิงสิงอวี่คอยติดตามรับใช้ตนแล้ว ก็ดูเหมือนว่าจะไม่หนักหนาเช่นเดิมอีกต่อไป

เทพหญิงที่เรียกตัวเองว่าซูสื่อผู้นี้บอกกับตนว่า ตบะและพลังการต่อสู้ของนางในตอนนี้เท่ากับโอสถทองของผู้ฝึกลมปราณ แต่หากพูดถึงในด้านการป้องกันและรักษาชีวิตสามารถมองเป็นขอบเขตก่อกำเนิดได้

นี่ทำให้เขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ ดังนั้นต่อให้นางจะบอกกับเขาอย่างชัดเจนว่า โชควาสนาที่ภูเขากระจกวิเศษยากจะคาดการณ์ได้ว่าจะดีหรือร้าย เขาก็ยังมั่นคงไม่คลอนแคลน เพราะตอนนี้สวรรค์อยู่ข้างข้าแล้ว!

ตลอดทางล้วนเป็นเขาที่ถาม นางที่ตอบ ทุกเรื่องที่นางรู้นางล้วนพูดอย่างหมดเปลือก

มีเพียงคำถามที่ว่าหญิงสาวที่ยืนอยู่ใต้ภาพวาดฝาผนังผู้นั้นเป็นใครกันแน่เท่านั้น ที่เทพหญิงเลือกจะปิดปากเงียบไม่เอ่ยอะไรแม้แต่คำเดียว

หลังจากขยับเข้าใกล้ภูเขากระจกวิเศษ เทพหญิงสิงอวี่ก็พลันหยุดฝีเท้า สีหน้าเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียด เงยหน้ามองไปยังกึ่งกลางภูเขา ก่อนจะใช้เสียงในใจบอกกับเขาอย่างช้าๆ ว่า “โชควาสนาครั้งนี้อาจไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป เจี่ยงชวีเจียง หวังว่าเจ้าจะพิจารณาอย่างรอบคอบ”

ความตกตะลึงเสี้ยวหนึ่งวูบผ่านใบหน้าของบุรุษหนุ่มไป เพียงแต่ว่าไม่นานสายตาของเขาก็กลับมาเด็ดเดี่ยว กัดฟันเอ่ยว่า “สวรรค์ติดค้างข้ามากมายถึงเพียงนี้ ก็ควรจะคืนกำไรกลับมาให้ข้าบ้าง!”

ส่วนลึกในใจของเทพหญิงมีเพียงเสียงถอนหายใจเบาๆ

ตอนที่พวกเขาเดินผ่านศาลาผุพังแห่งนั้น จิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตกที่ถือไม้เท้าไว้ในมือก็ปรากฏตัวอีกครั้ง

สำหรับบุรุษหนุ่มที่สภาพไม่ต่างจากขอทานหยางสักเท่าไหร่นั้น จิ้งจอกเฒ่ามองเมินไปโดยตรง เขาพยายามเบิกตากว้างมองเทพหญิงที่ล่องลอยดุจเซียนผู้นั้น ใต้หล้านี้มีสิ่งมีชีวิตสมควรตายที่รูปโฉมพอจะงัดข้อกับบุตรสาวของตนได้อยู่ด้วยหรือ? ทำไมไม่ไปตายซะ? ขอให้สตรีผู้นี้รีบไสหัวไปที่ลำธารดูดวิญญาณกึ่งกลางภูเขานั่นซะ แล้วก็หัวทิ่มตกลงไปในน้ำ ตายๆ ไปเสียทีเถิด!

จิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตกพลันสังเกตเห็นรายละเอียดอย่างหนึ่ง จึงยิ้มถามนางว่า “เทพธิดาท่านนี้ เจ้ากับคุณชายผู้นี้จะขึ้นไปบนภูเขาหรือ?”

แผนการในใจของจิ้งจอกเฒ่าตนนี้ เทพหญิงสิงอวี่มองเห็นได้อย่างชัดเจน

เจี่ยงชวีเจียงยิ้มบางๆ

จิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตกพลันกระจ่างแจ้งอยู่ในใจ

คือปลาอ้วนตัวใหญ่ที่โง่เขลาเบาปัญญาตัวหนึ่งจริงๆ ด้วย เทียบกับบุรุษใจดำสวมงอบก่อนหน้านี้แล้วก็รับมือง่ายกว่ามาก

แต่ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็ถือว่าเจ้าเด็กโง่นี่มีโชคของคนโง่ ผู้ฝึกตนตกอับทั่วไป ไหนเลยจะมีสตรีที่งดงามโดดเด่นถึงเพียงนี้คอยติดตามอยู่ข้างกาย อีกทั้งยังสามารถเดินทางมาถึงภูเขากระจกวิเศษนี่ได้อย่างปลอดภัยด้วย? เอาเถอะ ถ้าอย่างนั้นก็ให้บุตรสาวของตนเป็นภรรยาหลวงของเจ้าเด็กนี่ ให้สตรีผู้นี้เป็นอนุ…เป็นสาวใช้ได้ยิ่งดี!

จิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตกยิ้มกล่าว “คุณชายท่านนี้ เจ้าอาจจะไม่รู้ว่าข้าผู้อาวุโสก็คือเทพแห่งผืนดินของภูเขากระจกวิเศษลูกนี้ แต่บุตรสาวของข้ากลับเป็นแม่ย่าลำคลองของธารลึกบนภูเขา คิดจะได้โชควาสนาของที่แห่งนี้ไปครองก็ห้ามขาดพวกเราสองพ่อลูกเด็ดขาด เจ้ารอสักครู่ ข้าผู้อาวุโสไปจะไปเรียกบุตรสาวมาเดี๋ยวนี้ คุณชายเป็นมังกรในกลุ่มคน ก็สมควรได้รับโชควาสนานั้นไป หากโชควาสนามีสติปัญญาก็อาจถึงขั้นกระโดดเข้ามาในอ้อมอกของคุณชายด้วยตัวเอง ไม่อย่างนั้นแม้แต่สวรรค์ก็ไม่อาจทนสิ่งนี้ได้ แม้แต่สวรรค์ก็ไม่อาจทนสิ่งนี้ได้…คุณชายรอสักครู่ ข้าผู้อาวุโสไปแปบเดียวเดี๋ยวก็กลับมา บุตรสาวคนนั้นของข้ารูปโฉมงดงามล่มบ้านล่มเมือง นางเลื่อมใสบุรุษผู้หล่อเหลาดุจต้นไม้หยกรับลมอย่างคุณชายมากที่สุดแล้ว…”

เจี่ยงชวีเจียงอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย

เทพหญิงสิงอวี่เอ่ยถาม “จะขึ้นเขาไปหาสมบัติจริงๆ หรือ?”

เจี่ยงชวีเจียงขมวดคิ้ว นี่เป็นการเตือนครั้งที่สามของนางแล้ว?

เจี่ยงชวีเจียงถามเสียงเบา “ซูสื่อ หากโชคดีและพิบัติภัยยากจะแยกแยะจริงๆ ในเมื่อเจ้าเชี่ยวชาญวิชาการอนุมาน จะมีโชคกี่ส่วนและภัยกี่ส่วน?”

เทพหญิงตอบกลับ “ค่อนข้างจะแปลกประหลาด ตอนที่ออกมาจากนครปี้ฮว่า โชคและภัยคือเก้าต่อหนึ่ง พอเดินผ่านซุ้มประตูหินทางเข้าหุบเขาผีร้ายมา โชคและภัยเปลี่ยนเป็นเจ็ดต่อสาม ตอนนี้กลายเป็นว่าห้าต่อห้าเท่ากันแล้ว”

เจี่ยงชวีเจียงมองเทพหญิงสิงอวี่ที่มีท่าทางเย็นชาอยู่ตลอดเวลา เวลานี้พอนางขมวดคิ้วน้อยๆ กลับทำให้จิตวิญญาณของคนแกว่งไกวได้ถึงเพียงนี้ สายตาของเขาเลื่อนลอยไปเล็กน้อย เพียงแต่ว่าตลอดทางที่ต้องระหกระเหิน อุปสรรคที่พบเจอระหว่างการหนีภัยมา ความทุกข์ยากลำบากแสนเข็ญที่ล้วนเผชิญมาทุกรูปแบบ ทำให้เขาสามารถเก็บอารมณ์ได้อย่างรวดเร็ว จึงยิ้มกล่าวว่า “ห้าต่อห้า? ถ้าอย่างนั้นก็ดีมากแล้ว ขึ้นเขา!”

ตอนนั้นเพราะแผ่นหยกสืบทอดจากบรรพบุรุษแผ่นนั้นทำให้ถูกเซียนซือบนภูเขาหมายตาอยากครอบครอง ตระกูลจึงพบเจอกับหายนะและโศกนาฎกรรมที่มาเยือนอย่างเฉียบพลัน ตระกูลที่เดิมทีมีชื่อเสียงมีบรรดาศักดิ์ กลับกลายเป็นว่าเหลือเพียงเขาคนเดียวที่รอดชีวิต เขาหนีหัวซุกหัวซุนลงใต้มาตลอดทาง ต่อให้ตายก็ต้องมาตายอยู่ที่ชายหาดโครงกระดูก นี่เพื่ออะไร ก็เพื่อเดิมพันหนึ่งในหมื่นนั้น แค่หนึ่งในหมื่นเท่านั้น!

เพียงไม่นานจิ้งจอกเฒ่าก็พาสตรีที่กางร่มคันเล็กสีเขียวมรกตอย่างเหวยไท่เจินกลับมา

เด็กสาวภูตจิ้งจอกเห็นบุรุษหนุ่มผู้นั้นแล้วก็เหมือนโดนฟ้าผ่า พวงแก้มขึ้นสีเลือดแดงปลั่ง

แม้แต่ตัวนางเองก็ยังรู้สึกประหลาดใจ

ในใจของจิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตกลอบดีใจ มีลุ้นแล้ว!

บุรุษหนุ่มคนนั้นพอเห็นบุตรสาวของตนก็อึ้งตะลึงไปเหมือนกัน

เฮ้อ แต่เจ้าเด็กนี่ออกจะโง่ไปสักหน่อย

ทว่าพอจิ้งจอกเฒ่ามาคิดดูอีกที นี่ก็เป็นเรื่องดีที่ใหญ่เทียมฟ้าเลยนี่นา

บุตรเขยในอนาคตโง่สักหน่อย มีเงินมากอีกหน่อย ถึงอย่างไรก็ดีกว่าเจ้าผีฉลาดสวมงอบผู้นั้นกระมัง?

คนเรามักจะกลัวการเปรียบเทียบเสมอ เมื่อจิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตกมองคนหนุ่มผู้นี้อีกครั้งก็รู้สึกสบายตาขึ้นเยอะ

และเวลานี้เอง คนหนุ่มร่างกำยำผู้หนึ่งก็วิ่งตะบึงเข้ามา มือสองข้างของเขาแยกกันจับจิ้งจอกเฒ่าและเหวยไท่เจิน ส่ายหน้าอย่างแรงพลางเอ่ยว่า “อย่าไปนะ ไปไม่ได้! หยางฉงเสวียนอาจจะกำลังรอวันนี้อยู่! คำทำนายเรื่องดวงแต่งงานที่นักพรตซึ่งเดินทางผ่านมามอบให้แก่พี่สาวข้าในปีนั้นอาจไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป! ผู้ฝึกตนบนภูเขาเหล่านั้น แต่ละคนล้วนมีอุบายลึกล้ำไม่ด้อยไปกว่ากัน…”

จิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตกเดือดดาลอย่างหนัก เขาสะบัดมือสองข้างของอีกฝ่ายทิ้งก่อน จากนั้นก็เตะเจ้าลูกโง่ผู้นี้จนปลิวออกไป “อย่ามาทำตัวขัดเรื่องสำคัญในชีวิตของพี่สาวเจ้าอยู่ตรงนี้”

เหวยเกาอู่ดิ้นรนลุกขึ้นยืน ยังคิดจะขัดขวางไม่ให้พี่สาวขึ้นเขา แต่กลับถูกจิ้งจอกเฒ่าโยนไม้เท้าเข้ากลางหน้าผาก สองตาของเขาเหลือกขึ้น ผงะล้มแล้วลุกไม่ขึ้นอีก มีเพียงเสียงที่ดังแผ่วราวกับเสียงยุง “ขึ้นเขาไม่ได้นะ…”

เทพหญิงสิงอวี่มองจิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตกและเด็กสาวถือร่มที่ความรักผลิบานผู้นั้น

ไม่รู้ว่าเหตุใด นางถึงได้รู้สึกว่าเวลาที่มองพวกเขาแล้วเหมือนตัวเองคือคนที่อยู่สูงหลุบตามองต่ำ จิตใจราบเรียบไร้ริ้วคลื่นกระเพื่อมได้ถึงเพียงนี้

ถ้าอย่างนั้นสตรีที่ยืนอยู่ใต้ภาพวาดแล้วชี้นิ้วบงการตน ยามที่นางมองตนก็รู้สึกแบบนี้เหมือนกันใช่หรือไม่?

นางเป็นใครกันแน่?

เหตุใดถึงสามารถทำให้ตนเกิดความเคารพยำเกรงได้ถึงเพียงนี้? ราวกับว่านั่นคือสัญชาตญาณอย่างหนึ่งที่มีมาตั้งแต่เกิด?

คนสองกลุ่มจับมือกันเดินขึ้นเขา

แม้ว่าเจี่ยงชวีเจียงจะพยายามข่มใจไว้แล้ว แต่ก็ยังอดไม่ไหวชำเลืองตามองเด็กสาวผู้นั้นอยู่หลายที

งดงามจนทำให้จิตวิญญาณของคนสั่นคลอนจริงๆ

เทพหญิงโปรยพิรุณนามจริงว่าซูสื่อที่อยู่ด้านหลังทำให้ตนรู้สึกละอายที่สู้ไม่ได้ ทำให้เขาเกิดความรู้สึกว่าได้แต่มองอยู่ไกลๆ ไม่อาจหยอกเล่นอย่างไม่เคารพได้

ทว่าเด็กสาวที่ถือร่มคันเล็กสีเขียวมรกตผู้นี้กลับไม่เหมือนกัน

ทุกเวลาทุกนาทีล้วนทำให้คนรู้สึกรักและทะนุถนอม ทำให้จิตใจของเขาเต้นกระหน่ำ

ทางฝั่งของธารลึก หยางฉงเสวียนลุกขึ้นยืน สายตาฉายประกายเร่าร้อน เอ่ยเนิบช้าว่า “ดีมาก เทพหญิงแห่งนครปี้ฮว่าที่พลังการต่อสู้ธรรมดาคนหนึ่ง สามารถนำมาฝึกปรือฝีมือได้พอดี”

ไม่เหลือสีหน้าผ่อนคลายเกียจคร้านอีกต่อไป กระดูกทั่วร่างของหยางฉงเฉวียนลั่นแตกไปทีละข้อต่อ

พายุลมกรดที่พลานุภาพยิ่งใหญ่ประหนึ่งน้ำตกสายหนึ่งที่พุ่งทะลักออกมาจากทั่วร่าง

นาทีถัดมา ปณิธานหมัดก็ถูกเก็บไปจนเล็กเหมือนเมล็ดงา หยางฉงเสวียนนั่งกลับไปบนหินใหญ่สีขาวหิมะ กลับคืนสู่ท่าทางเฉื่อยชาเกียจคร้านอีกครั้ง

บนร่างของเด็กสาวปีศาจจิ้งจอกคนนั้นมีตราผนึกยาวนานที่ถ่ายทอดสู่ร่างของนางมารุ่นแล้วรุ่นเล่า สอดคล้องกับคำทำนายประโยคหนึ่งที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษ ‘เจอปิ่นเปิดประตู ถือไข่มุกเดินขึ้นสู่ที่สูง’

ขอแค่นางเจอกับคนที่ถูกใจซึ่งบุพเพเชื่อมโยงอยู่ด้วยกัน อารมณ์รักของนางก็จะผลิบาน เมื่อบุรุษพบเจอปิ่น ภูตจิ้งจอกพบเจอเขา ดวงตาข้างหนึ่งของนางจะกลายมาเป็นกุญแจที่ไขบ่อลึกบ่อนี้

ถึงเวลานั้นหยางฉงเสวียนก็จะควักดวงตาข้างนั้นของนางออกมา เดินขึ้นสู่ยอดเขาของภูเขากระจกวิเศษ ในเมื่อเป็นกระจกซานซาน (สามขุนเขา) ถ้าอย่างนั้นจุดที่ใช้เปิดประตูก็ไม่ใช่ก้นบึ้งของบ่อลึกอะไร แต่เป็นตำแหน่งหัวมังกรแห่งหนึ่งบนยอดเขาของภูเขากระจกวิเศษ เจ้านครจิงกวานผู้นั้นพบเจอวิธีเอากระจกมาจากใต้น้ำได้อย่างไร? ความลับยิ่งใหญ่เทียมฟ้าข้อนี้ เป็นโชควาสนาที่ตำหนักนภากาศของพวกเขาถ่ายทอดจากพ่อสู่ลูก สืบทอดต่อกันมาเป็นพันปี ทว่าต่อให้เป็นเมื่อหนึ่งพันปีก่อนที่ท่านบรรพบุรุษห้าขอบเขตบนของตระกูลตนยังมีชีวิตอยู่ ก็ได้รู้คำทำนายนี้มาก่อนแล้ว แต่กระนั้นก็ยังได้แค่รอคอย อีกทั้งจนตายโอกาสนั้นก็ยังไม่มาถึง ไม่ใช่ว่ารุ่นบรรพบุรุษจะไม่อยากใช้พละกำลังช่วงชิงเอากระจกวิเศษมา ก็แค่ทำไม่ได้เท่านั้น รวมไปถึงภายหลังที่นครเซียงซื่อเผาผลาญทั้งพลังคนและพลังทรัพย์สินจนหมดสิ้นเพื่อจะย้ายภูเขา นั่นก็มีตำหนักนภากาศคอยบงการอยู่ลับๆ น่าเสียดายที่ก็ไม่ได้ผลเหมือนกัน โชควาสนาใหญ่บางอย่างบนโลกใบนี้ก็มักจะไร้เหตุผลเช่นนี้

เพราะคำทำนายประโยคนั้น และยังมีคำกล่าวที่ว่า ‘ใกล้ชิดภูเขาได้สมบัติ’ ที่เจ้าประมุขสกุลหยางซึ่งเป็นเสนาบดีอวี่อีกันมาทุกยุคทุกสมัยไม่อาจไขปริศนาได้ จนกระทั่งเขาและน้องชายถือกำเนิด เมื่อเขาเผยพรสวรรค์ที่ใกล้ชิดกับภูเขามาตั้งแต่เกิดออกมา ตำหนักนภากาศถึงได้กระจ่างแจ้ง

หยางฉงเสวียนนั่งขัดสมาธิ เอามือข้างหนึ่งเท้าคาง รอคอยที่จะได้พบกับอีกฝ่าย

คนกลุ่มหนึ่งปรากฏตัวเป็นคู่อยู่ฝั่งตรงข้าม

จิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตกที่อารมณ์เบิกบาน

เหวยไท่เจินปีศาจจิ้งจอกที่ยังคงไม่รู้ว่าชีวิตตัวเองตกอยู่ในอันตราย ควักดวงตาข้างนั้นออกมาก็เท่ากับว่าควักจิงชี่เสินทั้งหมดของนางไป แล้วจะยังมีเหตุผลที่นางจะรอดชีวิตอีกได้อย่างไร?

เจี่ยงชวีเจียงที่ใบหน้าประดับรอยยิ้ม

เทพหญิงสิงอวี่ผู้มีสีหน้าเครียดขรึม

หยางฉงเสวียนกระตุกยิ้มมุมปาก

ต่อให้เปลี่ยนมาเป็นเทพหญิงกว้าเยี่ยนแห่งนครปี้ฮว่าที่เชี่ยวชาญการต่อสู้ แล้วจะอย่างไร?

ตอนนั้นตนเลื่อนขั้นจากขอบเขตหกที่แข็งแกร่งที่สุดในใต้หล้ามาเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองเชียวนะ

เทพหญิงสิงอวี่ทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่พูด

เจี่ยงชวีเจียงยืนอยู่ริมฝั่ง ก้มหน้ามองไปยังธารน้ำกลางภูเขาแห่งนั้น เห็นเพียงว่ามีแสงสีทองเส้นหนึ่งว่ายวนอย่างช้าๆ มันลอยขึ้นสูงมาอย่างต่อเนื่อง ยิ่งนานก็ยิ่งชัดเจน ลักษณะคล้ายกับปิ่นปักผมของสตรีจริง เขาชี้แล้วเอ่ยว่า “คือปิ่นทองชิ้นนั้นหรือ?”

เด็กสาวเหวยไท่เจินยกมือปิดปาก น้ำตาคลอดวงตาเจียนจะหยด คำว่าน่าสงสารน่าทะนุถนอมคงหนีไม่พ้นท่าทางของนางในเวลานี้

เป็นเขาจริงๆ ด้วย!

เขาก็คือสามีที่ถูกลิขิตมาของตน

เด็กสาวพลันรู้สึกเจ็บแปลบ นางกะพริบตาตามจิตใต้สำนึก ดวงตาที่เปี่ยมไปด้วยความมีชีวิตชีวาคู่นั้นของนาง ข้างหนึ่งในนั้นเริ่มดึงรวบเอาแสงสีทองมาจากช่องโพรงแห่งต่างๆ ทั่วทั้งร่าง นางเจ็บปวดจนเกินจะทานทน ยกมือขึ้นปิดใบหน้าครึ่งหนึ่ง เหงื่อเย็นๆ ไหลลงมาเป็นสาย แล้วก็มีเลือดสดหลั่งออกมาจากร่องนิ้วของนาง

เด็กสาวมองดูเหมือนอ่อนแอบอบบาง แต่แท้จริงแล้วนางกลับมีนิสัยดื้อดึง แกร่งกร้าวอย่างถึงที่สุด นางกัดฟันทรุดตัวลงนั่งยอง ต่อให้เจ็บจนเรือนกายสะโอดสะองสั่นเทิ้มเหมือนตะแกรงร่อนก็ยังคงไม่พูดอะไรสักคำ

บนโลกใบนี้จะมีสตรีคนใดที่ยินดีให้บุรุษที่ตัวเองหลงรักตั้งแต่แรกพบได้มาเห็นสภาพน่าสังเวชเช่นนี้ของตน?

หยางฉงเสวียนเหลียวซ้ายแลขวา ไม่เห็นเจ้าโง่ผู้นั้น เขาจึงรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย

เมื่อเขาลุกขึ้นยืน

เจี่ยงชวีเจียงและจิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตกก็ก้าวถอยหลังแทบจะเวลาเดียวกัน

ประหนึ่งมีขุนเขาสูงตระหง่านลูกหนึ่งกดทับลงมาเหนือศีรษะ

ในที่สุดเทพหญิงสิงอวี่ก็เปิดปากเอ่ยว่า “พวกเราไม่ต้องการโชควาสนานี้ เจ้าเอาไปได้เลย!”

เมื่อหยางฉงเสวียนไม่จงใจระงับลมปราณของตัวเองเอาไว้อีกต่อไป ลำธารทั้งสายก็เริ่มสั่นไหวโยกคลอนตามไปด้วย

หยางฉงเสวียนยืดแขนบิดขี้เกียจแล้วก็จ้องเขม็งไปยังเทพหญิงผู้เป็นขุนนางสวรรค์คนนั้นแล้วหัวเราะหยันเอ่ยว่า “นี่ก็ต้องดูที่อารมณ์ของข้าแล้ว!”

เทพหญิงสิงอวี่จ้องนิ่งไปยังบุรุษฝั่งตรงข้ามที่อันตรายอย่างถึงที่สุดตาไม่กะพริบ พูดเสียงหนักว่า “พวกเจ้าหนีไปก่อน ไม่ต้องลังเล! ยิ่งหนีไปไกลได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดี ตรงไปที่เมืองชิงหลู!”

“เชิญหนีได้ตามสบาย”

หยางฉงเสวียนพูดกลั้วหัวเราะ “ข้าก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าหมัดของข้าจะเร็ว หรือขาของพวกเจ้าที่เร็วกว่ากันแน่”

เทพหญิงสิงอวี่ยกมือขึ้นเบาๆ น้ำในลำธารตลอดทั้งสายก็เหมือนได้รับคำสั่งจึงสั่นกระเทือนไม่หยุด จากนั้นผิวน้ำก็ทะยานตัวขึ้นสูงพร้อมเสียงดังสนั่น ระหว่างนางกับหยางฉงเฉวียนมีกำแพงน้ำแข็งตั้งตระหง่านสูงหลายสิบจั้งกั้นขวางเอาไว้

โชคดีที่ต่อสู้กันใกล้น้ำ นางจึงได้เปรียบด้านชัยภูมิ

หนึ่งหมัดต่อยให้กำแพงน้ำนั้นปริแตกได้อย่างง่ายดาย

เทพหญิงประกบสองนิ้วปาดเบาๆ ลำธารอันเป็นต้นกำเนิดของธารลึกกลางภูเขาเส้นนี้ก็จำแลงร่างกลายเป็นเจียวน้ำตัวหนึ่งที่กระโจนเข้าใส่หยางฉงเสวียนที่กระโดดลอยตัวอยู่กลางอากาศอย่างดุดัน

หยางฉงเสวียนลอยตัวนิ่ง ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาง่ายๆ พายุลมกรดพัดกระโชกกระแทกชนเข้ากับเจียวน้ำตัวนั้น ทั้งสองฝ่ายต่างก็แหลกสลายไปตามๆ กัน ภายใต้แสงอาทิตย์สาดส่อง กึ่งกลางภูเขากระจกวิเศษกลับมีสายรุ้งพาดผ่าน

หยางฉงเสวียนก้าวออกไปก่อน หมายจะเดินไปยังฝั่งตรงข้าม เทพหญิงสิงอวี่ถอยหลังหนึ่งก้าว มือทั้งสองบิดหมุน ด้านหน้าก็ปรากฏกระจกน้ำใสกระจ่างขนาดใหญ่เท่าปากบ่อบานหนึ่ง ริมขอบของกระจกมีอักษรโบราณส่องแสงสีทองรายล้อม

พี่ชายคนดี

หยางฉงเสวียนเอ่ยเหน็บแนม “ดีนักนะ นับว่าพอจะมีกลเม็ดเด็ดพรายอยู่บ้าง แต่เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าแซ่อะไร? เรื่องของการเขียนยันต์และค่ายกล ตลอดทั้งอุตรกุรุทวีปแห่งนี้ สกุลหยางของพวกเราคือต้นตำรับแท้อย่างสมชื่อ!”

มารดามันเถอะ พอคิดถึงเรื่องนี้ หยางฉงเสวียนก็อดนึกถึงหลิวจิ่งหลงผู้นั้นขึ้นมาอีกไม่ได้ แล้วจู่ๆ ก็ไม่รู้ว่าโทสะผุดพุ่งมาจากไหน เขาจึงไม่ใช้วิชาที่ถ่ายทอดจากตระกูลมาทำลายค่ายกลแห่งนี้ แต่หมุนตัวหนึ่งรอบพลางออกหมัดรัวเร็ว ปล่อยพายุหมัดให้ระเบิดไปสี่ด้านแปดทิศ หยางฉงเสวียนพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังลั่น “ข้าอยากจะรู้นักว่าเจ้าจะประคับประคองดินแดนมายาอำพรางตาแห่งนี้ได้นานแค่ไหน!”

ท่าทางของหยางฉงเสวียนเหมือนปีศาจที่บ้าคลั่ง ประหนึ่งเทวบุตรมารที่เยื้องกรายมาเยือนโลกมนุษย์ ไหนเลยจะมีภาพบรรยากาศที่ผู้ฝึกยุทธขอบเขตโอสถทองทั่วไปสมควรมีอยู่อีก?

ริมตลิ่งของธารน้ำลึก เจี่ยงชวีเจียงเห็นเพียงว่าเทพหญิงสิงอวี่เดินลงน้ำทีละก้าวไปอย่างเชื่องช้า กระจกน้ำด้านหน้าส่ายไหวโงนเงน ปริแตกอย่างต่อเนื่อง แต่ก็ถูกนางใช้น้ำในลำธารลึกมาซ่อมแซมผิวกระจกอย่างต่อเนื่องเช่นกัน

เทพหญิงสิงอวี่พยายามประคับประคองกระจกน้ำอย่างยากลำบาก ในใจร้องโอดครวญไม่หยุด นางไม่ได้เร่งให้คนทั้งสามที่อยู่เบื้องหลังออกไปจากภูเขากระจกวิเศษอีกแล้ว เพราะนางแน่ใจอย่างถึงที่สุดว่าพวกเขาต้องหนีไม่รอดอย่างแน่นอน

ต่อให้ออกไปจากภูเขากระจกวิเศษได้ ก็ยังต้องถูกเจ้าคนบ้าผู้นี้ไล่ตามไปอยู่ดี

จุดจบถูกกำหนดมาเรียบร้อยแล้ว

ต่อให้ดึงดูดเอาโชคชะตาน้ำของธารลึกกลางภูเขากระจกวิเศษมาอย่างกำเริบเสิบสาน อย่างมากสุดนางก็ประคับประคองตัวอยู่ได้แค่ครึ่งก้านธูปเท่านั้น หรืออาจจะสั้นยิ่งกว่านั้นด้วยซ้ำ

เจี่ยงชวีเจียงสีหน้าซีดขาว พึมพำว่า “เหตุใดถึงเป็นเช่นนี้? ไม่ควรเป็นเช่นนี้นี่นา”

ในที่สุดจิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตกก็สังเกตเห็นสภาพอันน่าสังเวชของบุตรสาวตน เขานั่งยองอยู่ข้างกายนาง แต่กลับไม่อาจช่วยเหลืออะไรได้เลย จิ้งจอกเฒ่าร้อนใจราวกับถูกไฟเผา ในที่สุดก็เริ่มเสียใจภายหลังที่ไม่ยอมเชื่อคำของบุตรชายโง่ผู้นั้น

หยางฉงเสวียนยืนนิ่งอยู่ในเขตมายากระจกน้ำ “อุ่นเครื่องเสร็จแล้ว ไม่เล่นแล้ว”

สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งแล้วตั้งท่าหมัด ประหนึ่งขุนพลสวรรค์องค์เทพบรรพกาลที่เตรียมจะผ่าสายน้ำ นี่ก็คือกระบวนท่าหมัดของภาพองค์เทพประลองยุทธ์ที่สืบทอดมาจากตระกูลซึ่งเขาบรรลุมาได้ตอนเป็นเด็กหนุ่ม

กระจกน้ำแตกกระจาย เหมือนตะเกียงแก้วดวงหนึ่งที่หล่นพื้นแล้วกระจัดกระจายไปสี่ทิศ

เทพหญิงสิงอวี่จึงได้แต่เปลี่ยนวิชาอภินิหาร บังคับโชคชะตาน้ำของธารน้ำลึกให้กลายมาเป็นเสื้อเกราะตัวหนึ่งที่ห่มอยู่บนร่าง พยายามจะขัดขวางการบุกรุดหน้าของบุรุษผู้นั้นอย่างสุดกำลัง

เพียงแต่ว่าชั่วพริบตาเดียวคนผู้นั้นก็มาหยุดอยู่ตรงหน้านาง ปล่อยหนึ่งหมัดต่อยทะลุหน้าท้องของนางแล้วชักแขนออกช้าๆ จากนั้นมืออีกข้างหนึ่งก็อ้อมมาด้านหลัง จับกระชากศีรษะของนางแล้วโยนร่างนางทิ้งลงบนพื้น สุดท้ายยกเท้ากระทืบลงบนหน้าผากของนาง ก้มหน้ามองไปพลางจุ๊ปากยิ้ม “ไม่เสียแรงที่เป็นเทพหญิง พอๆ กับร่างทองของสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาแม่น้ำพวกนั้นจริงๆ ขนาดเลือดสดก็ยังเป็นสีทอง อีกทั้งหากเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วไป เมื่อเจอกับหมัดนี้ของข้า ร่างก็น่าจะแหลกเป็นจุลไปแล้ว ไม่เลวๆ รอให้ข้าเอากระจกวิเศษมาได้เมื่อไหร่ ข้าค่อยปล่อยให้เจ้าฟื้นคืนพลังต้นกำเนิด แล้วเจ้ากับข้ามาต่อสู้กันอีกครั้ง วางใจเถอะ หากทำเรื่องสำคัญเสร็จสิ้นเมื่อไหร่ ข้าจะออกหมัดให้ช้ากว่าเดิมสามส่วน พละกำลังก็น้อยกว่าเดิมสามส่วน จะไม่รีบรบรีบจบแบบนี้แน่นอน บุรุษหากเร็วเกินไปก็ไม่ค่อยเข้าท่าสักเท่าไหร่”

คำพูดที่ออกจากปากของหยางฉงเสวียนฟังดูแล้วเกรงอกเกรงใจ แต่จู่ๆ เขากลับเพิ่มพละกำลังฝีเท้า กดให้ศีรษะของเทพหญิงสิงอวี่จมหายไปในหินสีขาวหิมะ เป็นเหตุให้นางไม่สามารถดึงเอาโชคชะตาน้ำมาจากธารลึกกลางภูเขาได้อีก

หยางฉงเสวียนค้อมตัวลง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หากยังถ่วงเวลาการทำธุระสำคัญของข้าอยู่อีก ข้าจะกระทืบให้คอของเจ้าหัก”

เทพหญิงสิงอวี่พยายามดิ้นรนอย่างสุดแรง นิ้วของนางขยับน้อยๆ ยังคงพยายามจะดึงเอาโชคชะตาน้ำที่อยู่ในธารลึกนั้นออกมา

เทพหญิงทั้งเก้าท่านในนครปี้ฮว่า หลังเดินออกมาจากม้วนภาพวาดแล้ว ขอแค่เจอกับเส้นแบ่งความเป็นความตายก็ล้วนใจเด็ดเช่นนี้ ไม่เคยกล่าวโทษตำหนิใคร

และในขณะที่หยางฉงเสวียนคิดจะจัดการกับเทพหญิงอย่างเด็ดขาดนั้นเอง

น้ำเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นมาบนยอดเขาของภูเขากระจกวิเศษเบาๆ

“เป็นเศษสวะจริงๆ เสียด้วย”

หยางฉงเสวียนแหงนหน้ามองไป แล้วยื่นนิ้วข้างหนึ่งชี้มาที่ตัวเอง “คงไม่ได้หมายถึงข้าหรอกกระมัง?”

สตรีอ่อนโยนผู้หนึ่งที่หน้าตาไม่นับว่างดงามสักเท่าไหร่ ตรงเอวห้อยตราประทับสิงห์ชิ้นหนึ่งกระโดดลงมาจากยอดเขาเบาๆ

ความคิดของหยางฉงเสวียนแล่นเร็วจี๋ กำลังจะกระทืบเทพหญิงสิงอวี่ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าให้ตายไป

หญิงสาวผู้นั้นกลับชิงยิ้มเอ่ยขึ้นว่า “ข้าแนะนำเจ้าว่าอย่าทำแบบนั้นดีกว่า”

ต่อให้เห็นความสามารถอันเลิศล้ำค้ำฟ้าในด้านการต่อสู้ประชิดตัวของหยางฉงเสวียนมากับตาตัวเอง แต่สตรีก็ยังคงเดินเข้าหาหยางฉงเสวียนช้าๆ

ไม่เพียงเท่านี้ นางยังดีดนิ้วสองครั้งทำให้เจี่ยงชวีเจียงและจิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตกกระเด็นออกไปต่อหน้าหยางฉงเสวียนด้วย

สตรีชำเลืองมองเทพหญิงสิงอวี่ที่มีสภาพอเนจอนาถแวบหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยสีหน้าที่เปี่ยมไปด้วยแววเยาะหยัน “วสันต์ฤดูเก้าปี วันที่สิบเดือนสามตามปฏิทินราชวงศ์โจว ฝนตกฟ้าผ่าลงมาเนิ่นนานแล้ว ในชุนชิวบันทึกวันเริ่มต้น (ซูสื่อหมายถึงวันเริ่มต้นของการบันทึก) ตั้งชื่อนี้มาอย่างเสียเปล่าจริงๆ”

หยางฉงเสวียนยิ่งประหลาดใจมากกว่าเดิม เก็บพละกำลังตรงเท้ากลับมา ถามว่า “เจ้าคือ?”

สตรีเอ่ย “หลี่หลิ่ว”

หยางฉงเสวียนยกฝ่ามือขึ้นลูบคลำปลายคาง “ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”

สีหน้าของหลี่หลิ่วกึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง เอ่ยช้าๆ ว่า “เกี่ยวกับคำทำนายของกระจกบานนี้ เป็นข้าที่บอกแก่บรรพบุรุษบุกเบิกขุนเขาคนนั้นของตระกูลเจ้าเอง เวลานั้นเขายังสวมกางเกงเปิดก้นอยู่เลยนะ ตอนนั้นตระกูลหยางของพวกเจ้ายังยากจน กางเกงของเจ้าเด็กน้อยนั่นมีแต่รอยปะชุน ปิดไอ้จ้อนเอาไว้ไม่อยู่ แล้วก็ปิดก้นไม่ได้ด้วย”

หยางฉงเสวียนหัวเราะร่าเสียงดัง อีกนิดเดียวก็เกือบจะน้ำตาไหลอยู่แล้ว

มารดามันเถอะ ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขายังไม่เคยได้ยินเรื่องตลกที่ชวนหัวขนาดนี้มาก่อน

หลี่หลิ่วเองก็หัวเราะ ดวงตาทั้งคู่โค้งลงราวกับกิ่งหลิว ดูอ่อนโยนนุ่มนวล น่ามองอย่างถึงที่สุด

อยู่ดีๆ หยางฉงเสวียนก็นึกถึงคนคนหนึ่งขึ้นมา

เขาจึงหัวเราะไม่ค่อยออกสักเท่าไหร่

หยางฉงเสวียนถามหยั่งเชิง “ที่สี่? แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับทำให้แม้แต่หลิวจิ่งหลงก็ยังจนปัญญาผู้นั้น?”

สตรีผู้นั้นเอียงศีรษะน้อยๆ ยิ้มจนตาหยี ถามกลับไปหนึ่งประโยคว่า “หลิวจิ่งหลง? ไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย”

หยางฉงเสวียนเบิกตากว้าง

โอ้โหแหะ สตรีผู้นี้ใช้ได้เลยนี่นา เสแสร้งเก่งกว่าตนเสียอีก ของชอบเขาเลย!

เพียงแต่ว่าหยางฉงเสวียนก็อดรู้สึกสับสนนิดๆ ไม่ได้ ครั้งนั้นก่อนจะเลื่อนสู่ขอบเขตร่างทอง มียอดฝีมือคนหนึ่งช่วยทำนายให้ตนบอกว่าช่วงสิบปีนี้ให้ระวังตัวสักหน่อย เพราะจะถูกสตรีทำร้าย

ตอนนั้นเขายังเข้าใจผิดคิดว่าตัวเองจะเจอชะตาดอกท้อ ดังนั้นทุกครั้งที่เจอสาวงาม เขาก็จะต้องกลัดกลุ้มทุกที

ถึงอย่างไรก็ยังเป็นผู้ฝึกตนครึ่งตัว หากตกอยู่ในกับดักทัณฑ์รักก็ค่อนข้างจะยุ่งยากอยู่บ้าง

แต่คำทำนายนั้นคงไม่ได้หมายความว่าตนจะถูกสตรีตรงหน้าผู้นี้ทำร้ายจนบาดเจ็บหรอกกระมัง?

คนทั้งสองอยู่ห่างกันแค่ห้าก้าว ในที่สุดนางก็หยุดยืนนิ่ง

นางเอ่ยว่า “คิดจะฆ่าเจ้าค่อนข้างยาก เพราะค่าตอบแทนค่อนข้างมาก”

ดูเหมือนว่านางจะกำลังกลุ้มใจ

ทว่าหยางฉงเสวียนกลับทำท่าเหมือนเผชิญศัตรูตัวฉกาจ

ต่อให้เผชิญหน้ากับเทพเซียนผู้เฒ่าของอารามเสวียนตูเล็ก เขาก็ยังไม่เคยระแวดระวังขนาดนี้มาก่อน

……

เฉินผิงอันแฝงตัวเข้ามาในอาณาเขตของภูเขาตี้หย่งได้ไม่นานเท่าไหร่

คนต่างถิ่นคนหนึ่งที่มาจากหลิวเสียทวีปและเทพหญิงกว้าเยี่ยนที่เป็นผู้ทำให้ภาพวาดสีสันบนฝาผนังของนครกลายเป็นเค้าโครงลายเส้นก่อนใคร หลังจากที่ออกมาจากนครปี้ฮว่าแล้วก็ขึ้นเขาไปด้วยกัน พวกเขาไปที่ศาลบรรพจารย์ของสำนักพีหมามาก่อนรอบหนึ่ง ดื่มน้ำชาอินเฉินไปหนึ่งถ้วย พูดคุยกับเซียนซือผู้เฒ่าหนึ่งในสามบรรพจารย์ของสำนักพีหมาอย่างถูกคอ จากนั้นก็อาศัยการช่วยเหลือจากวิชาลับของสำนักพีหมาตรงดิ่งมาที่เมืองชิงหลู หลังจากเดินเที่ยวอยู่หนึ่งรอบ จิตของเทพหญิงกว้าเยี่ยนขยับไหวน้อยๆ แล้วจึงขอร้องให้เจ้านายไปเยือนภูเขาจีเซียว

ตามคำอนุมานของเทพหญิงชุนกวานในปีนั้น หากจะพูดถึงโชควาสนาของภูเขากระจกวิเศษ ก็คือของขวัญพบหน้าชิ้นหนึ่งที่เทพหญิงสิงอวี่จัดเตรียมไว้ให้กับเจ้านาย ถ้าอย่างนั้นบ่อสายฟ้าขนาดเล็กบนภูเขาจีเซียวก็คือของในกระเป๋าของเทพหญิงกว้าเยี่ยน

แม้จะบอกว่าไม่ว่าจะเป็นขนาดหรือระดับขั้นก็ล้วนอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบเคียงกับบ่อสายฟ้าของภูเขาห้อยหัวได้ติด แต่ก็เทียบเท่ากับโชควาสนาใหญ่เทียมฟ้าประหนึ่งอาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่ง

ขณะเดียวกันเทพหญิงชุนกวานยังอนุมานว่าโชควาสนาของสองสถานที่นี้ ไม่ว่าจะเป็นกระจกของภูเขากระจกวิเศษหรือบ่อสายฟ้า หากคว้าเอาไว้ได้ หลังจากนี้ยังจะมีโชควาสนาบนมหามรรคาอย่างอื่นตามมาอีก นี่ต่างหากจึงจะเป็นความลี้ลับที่สำคัญอย่างแท้จริง

เพียงแต่ว่ารูปธรรมคืออะไร ก็เหมือนกับตัวตนที่แท้จริงของพวกนางที่ราวกับว่ายังมีสิ่งกีดขวางหนาชั้นวางอยู่เบื้องหน้า ไม่อาจฝ่าทะลุไปได้

ทั้งสองคนที่ถือว่าเป็นคู่บำเพ็ญเพียรกันแล้วทะยานลมเดินทางไกลไปด้วยกัน

เทพหญิงกว้าเยี่ยนมีนิสัยตรงไปตรงมา นางยิ้มกล่าวว่า “ข้าโชคดีกว่าพี่หญิงสิงอวี่เยอะเลย ไปเจอกับเจ้าคนที่สภาพจิตใจไม่ได้เรื่องเช่นนั้น แถมยังต้องติดตามเขาไปอีกหกสิบปี หากเปลี่ยนมาเป็นข้า คงกลุ้มใจตายเป็นแน่ คนหนุ่มผู้นั้นเมื่อเทียบกับนายท่านแล้วก็ห่างชั้นไกลหนึ่งแสนแปดพันลี้จริงๆ”

บุรุษระอาใจเล็กน้อย แต่กลับเอ่ยเสียงเบาด้วยสีหน้าอ่อนโยน “ฮว่อหลิง อย่าเอาตัวไปเปรียบเทียบกับผู้อื่น นับแต่โบราณมา คนที่เอาชนะตัวเองได้ ยอดเยี่ยมกว่าชนะผู้อื่น”

เทพหญิงกว้าเยี่ยนผงกศีรษะรับพลางยิ้มบางๆ “ทราบแล้ว นายท่าน”

พอขยับเข้าใกล้ภูเขาจีเซียว อารมณ์ของนางก็ลิงโลดอย่างถึงที่สุด โดยไม่มีเหตุผล นางแค่มองไปยังทะเลเมฆที่ล้อมวนอยู่ตรงกึ่งกลางภูเขาก็รู้สึกอารมณ์ดีแล้ว พอมองทะเลเมฆที่อยู่ตรงจุดสูงเหนือยอดเขาก็ยิ่งปิติยินดีเข้าไปใหญ่

นางดึงมือของบุรุษแล้วบินทะยานเหนือทะเลเมฆที่ลอยตัวอยู่ชั้นล่างไปอย่างรวดเร็ว สายฟ้าที่แลบแปลบปลาบเชื่องและว่าง่ายผิดปกติเมื่อพบเจอนาง ไม่ได้เปิดฉากการโจมตีใดๆ กลับกันยังกระโดดเด้งเบาๆ อยู่บนพื้นผิวของทะเลเมฆ แสดงความใกล้ชิดสนิทสนมกับนางอย่างถึงที่สุด

พอขยับเข้าใกล้ยอดเขาของภูเขาจีเซียว คนทั้งสองก็หยุดลอยตัวอยู่กลางอากาศ เทพหญิงกว้าเยี่ยนชี้ไปยังแผ่นหินที่อยู่บนยอดเขาแล้วยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “นายท่าน อ่านตัวอักษรพวกนั้นออกหรือไม่?”

บุรุษมองแวบหนึ่งแล้วก็พยักหน้ารับ “บ่อชำระกระบี่เรือนโต้วซู คือสถานที่สำคัญแห่งหนึ่งที่ขุนพลเทพกรมสายฟ้าในยุคบรรพกาลใช้ชำระล้างอาวุธ เรือนโต้วซูถือเป็นหนึ่งในหนึ่งจวนสองเรือนสามกอง เคยมีค่ำคืนหนึ่งที่ข้าเหมือนถอดจิตหยินเดินทางไกลอยู่ในความฝัน แล้วก็ได้ผ่านซากปรักของสองเรือนหนึ่งกอง เพียงแต่ว่าพอตื่นจากฝันกลับจดจำภาพที่ได้เห็นไม่ค่อยได้เท่าไหร่ แต่ก็ยังรู้สึกว่ามันลี้ลับมหัศจรรย์อย่างมาก”

เทพหญิงกว้าเยี่ยนเบิกบานใจสุดขีด

นางหลุบตามองลงต่ำ แต่แล้วจู่ๆ ก็พลันขมวดคิ้ว

บุรุษถามอย่างสงสัย “เป็นอะไรไป?”

ไอสังหารผุดท่วมร่างของเทพหญิงกว้าเยี่ยน “นายท่าน แส้สายฟ้าหายไปหลายเส้นเลย! ไม่รู้ว่าเป็นโจรชั่วคนไหนที่ขโมยไป หรือว่ามีปีศาจของสถานที่แห่งนี้ยึดครองไปเป็นของส่วนตัวแล้ว!”

บุรุษส่ายหน้า “ในเมื่อเป็นโชควาสนา ไม่ว่าจะเป็นคนอื่นที่ขโมยไปหรือปีศาจของที่นี่ที่ยึดครองไปเป็นของตน ก็ล้วนถือเป็นชะตาฟ้าลิขิต ไม่จำเป็นต้องโมโหหรอก”

เทพหญิงกว้าเยี่ยนร้องอ้อหนึ่งที

จากนั้นก็คลี่ยิ้มกว้าง นางปลดจานฝนหมึกขนาดเล็กที่สลักคำว่า ‘ฟ้าแลบ’ ตรงเอวลงมาแล้วโยนไปเบื้องหน้า

บนยอดเขาของภูเขาจีเซียวก็พลันปรากฏภาพเหตุการณ์อันยิ่งใหญ่ตระการตาน่าตื่นตะลึง

เห็นเพียงว่าบ่อสายฟ้าทั้งบ่อทะยานขึ้นสูง ทั้งทะเลเมฆและสายฟ้าต่างก็พุ่งหายเข้าไปในจานฝนหมึก

ประมาณหนึ่งเค่อต่อมา เทพหญิงกว้าเยี่ยนก็ตวาดเบาๆ ว่า “กลับมา”

จานฝนหมึกพุ่งกลับเข้ามาในมือของนาง แล้วนางก็ยื่นส่งให้กับบุรุษ “นายท่านเชิญดู”

บุรุษก้มหน้าลงมอง ในจานฝนหมึกโบราณบรรจุบ่อสายฟ้าที่เหมือนกับน้ำหมึกสีทองหนึ่งอ่างไว้จนเต็ม

ไม่พูดว่าอัศจรรย์ใจไม่ได้

บุรุษบอกให้นางเก็บจานฝนหมึกโบราณเอาไว้ แล้วทอดสายตามองไปยังทิศไกล “ควรกลับบ้านเกิดได้แล้ว”

เทพหญิงกว้าเยี่ยนเอ่ยสัพยอกอย่างซุกซน “แบบนี้จะถือว่านายท่านสวมชุดผ้าแพรกลับคืนสู่บ้านเกิดได้หรือไม่? ถ้าอย่างนั้นก็ต้องขอบคุณข้านะ จะขอบคุณอย่างไร ง่ายมากเลย ได้ยินมาว่าม่านฟ้าของหลิวเสียทวีปสูงมาก เป็นเหตุให้มีอสนีทั้งห้าอยู่ครบถ้วน นายท่านจะต้องพาข้าไปกินให้อิ่ม!”

บุรุษหลุดหัวเราะพรืด นับว่าหาได้ยากที่นางก็มีช่วงเวลานิสัยซุกซนเป็นเด็กแบบนี้เหมือนกัน

……

ทางฝั่งของภูเขาตี้หย่ง

บัณฑิตถูกปีศาจโอสถทองกลุ่มใหญ่ไล่ฆ่าจนมีสภาพกระเซอะกระเซิง เขาเผ่นหนีไปรอบด้าน และยิ่งมีภูตผีโอสถทองที่ได้ครอบครองค่ายกลใหญ่ปกป้องขุนเขาตี้หย่ง มันถึงขนาดยอมให้รากภูเขาปริแตกและโชคชะตาน้ำถูกทำลาย ก็ต้องฝืนรักษาเขตอาคมที่อยู่ใต้ดินและอยู่บนจุดสูงให้มั่นคงให้จงได้ เพื่อป้องกันไม่ให้บัณฑิตใช้วิชาประหลาดหนีหายไป หากมีแค่อาคมเล็กน้อยนี่ อันที่จริงบัณฑิตก็คงเผ่นหนีไปได้นานแล้ว คิดไม่ถึงว่าผีโอสถทองที่แขวนชื่อไว้ในนครกรงขาวจะยังมีสมบัติประหลาดน่าเหลือเชื่ออีกชิ้นหนึ่งที่สามารถตามติดร่างของบัณฑิต ทั้งไม่ทำลายดวงวิญญาณของเขา แต่ก็สามารถตามติดเขาได้ดั่งเงา ไม่ว่าจะขับไล่อย่างไรก็ไล่ไปไม่พ้น

บัณฑิตกลิ้งตัวกลางอากาศหนึ่งตลบ หลบพ้นสมบัติอาคมชิ้นหนึ่งที่ถูกโยนเข้าใส่มาได้อย่างหวุดหวิด ฝุ่นผงตลบคลุ้งอยู่กลางอากาศ

เขาพลันยิ้มกว้าง พุ่งตัวไปยังทิศทางหนึ่งพร้อมกับตะโกนเสียงดัง “พี่ชายคนดี!”

เฉินผิงอันที่ปรากฏตัวด้วยรูปโฉมของผู้เฒ่ากระตุกมุมปาก เอ่ยเบาๆ ว่า “พี่มู่เม่า”

ภาพเหตุการณ์ต่อมาทำให้ปีศาจทุกตนมึนงงจนต้องหันมามองหน้ากันเอง แต่ละคนถึงกับหยุดการไล่ฆ่า

บัณฑิตผู้นั้นใช้สองนิ้วคีบยันต์สีทองแผ่นหนึ่งออกมา

แล้วขว้างเข้าใส่พันธมิตรที่ดูเหมือนว่าจะมาช่วยเหลืออย่างกะทันหัน

ส่วนคนผู้นั้นก็ชักกระบี่ออกจากฝัก เงื้อกระบี่ฟันฉับเข้าใส่ยันต์ที่ระเบิดแสงสีทองเหมือนดวงอาทิตย์ลอยขึ้นกลางมหาสมุทร

ริ้วคลื่นลมปราณระลอกยักษ์ซัดกระจายไปสี่ด้านแปดทิศ

ประหนึ่งมีภูเขาลูกหนึ่งถูกขว้างลงในทะเลสาบ

ในขณะที่แสงกระบี่สลายหายไปเหมือนกับยันต์

นาทีนั้นพลังอำนาจทั่วร่างของบัณฑิตก็เปลี่ยนแปลงไป ดวงตาของเขาฉายประกายเจิดจ้า ถึงขั้นจงใจเก็บปราณวิญญาณทั้งหมดไป นี่คือการกระทำที่ยอมให้คนอื่นปลิดชีพตนได้ตามใจปรารถนา บัณฑิตกระโจนเข้าใส่เฉินผิงอันพลางเอ่ยเบาๆ ว่า “ฟันเงามืดที่ตามติดร่างข้าทิ้งไปก่อน จากนั้นก็หนีไปด้วยกัน”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับเบาๆ ส่งหนึ่งกระบี่ออกไป ฟันเงามืดเสี้ยวนั้นทิ้งได้อย่างพอดิบพอดี

หนึ่งหมัดก็พุ่งมาถึง

ดวงตาสองข้างมืดดำ

ท่านปู่เจ้าเถอะ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version