บทที่ 497 นับแต่โบราณมาเซียนกระบี่ล้วนต้องดื่มสุรา
รอจนบัณฑิตฟื้นตื่นขึ้นมาก็รู้สึกปวดหัวราวกับหัวจะแตก เขาพบว่าตัวเองอยู่ริมหน้าผาแห่งหนึ่ง ห่างไปไม่ไกลก็คือสะพานเหล็กแขวนเส้นยาวที่ส่ายไหวเบาๆ ไปตามสายลมภูเขาเหมือนงูยาวตัวหนึ่งที่หัวกับหางแยกกันห้อยอยู่ระหว่างกิ่งไม้สองกิ่ง
ชุดคลุมบนร่างของตนที่มีชื่อว่าเทาเที่ยร้อยตาตัวนั้นไม่อยู่แล้ว ยันต์ที่ทำขึ้นด้วยวิชาลับของตระกูลซึ่งเดิมทีเก็บไว้ในชายแขนเสื้อแน่นอนว่าหายเข้าไปในกระเป๋าของคนอื่นเช่นกัน
อีกทั้งยังถูกเชือกพันธนาการปีศาจสีทองเส้นหนึ่งมัดเอาไว้ ก้มหน้าลงมองก็เห็นว่าเป็นเชือกที่ระดับขั้นไม่ต่ำ ถึงขนาดทำมาจากหนวดยาวของเจียวสองเส้น อายุของเจียวเฒ่าตัวนั้นต้องไม่ใช่น้อยๆ แน่นอน หนวดเจียวหลงของปลาหลีสีเงินในทะเลสาบถงลวี่ เมื่อเทียบกับมันแล้วก็คาดว่าคงเหมือนเผ่าพันธุ์ตำหนักจันทราอย่างปี้สู่เหนียงเนียงที่มาเจอกับคางคกตัวจริงของตำหนักกว่างหานกระมัง? บางทีอาจไม่เกินจริงขนาดนั้น แต่ก็คงไม่หนีกันสักเท่าไหร่
บัณฑิตหลุดหัวเราะพรืดอย่างอดไม่อยู่
เขาไม่ได้ดิ้นรนแต่อย่างใด
เพราะทั้งหว่างคิ้วและด้านหลังหัวใจของตนต่างก็มีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตเล่มหนึ่งลอยอยู่
ยังดี ขอแค่ไม่ได้ตื่นขึ้นมาท่ามกลางตะเกียงบงกชคืนวิญญาณในศาลบรรพจารย์ของตนดวงนั้นก็ถือว่าไม่ใช่ผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุดแล้ว
บัณฑิตถอนหายใจ “พี่ชายคนดี ของที่ยืมไป ไม่ช้าก็เร็วต้องคืนข้ามาด้วยนะ”
ห่างไปไม่ไกล จอมยุทธพเนจรหนุ่มสวมงอบคนหนึ่งกำลังนั่งขัดสมาธิฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูอยู่ที่ริมหน้าผา
คนผู้นั้นไม่เอ่ยวาจา
บัณฑิตจึงเอ่ยต่อว่า “พี่ชายคนดี นิสัยที่ชอบปอกลอกเสื้อผ้าของคนอื่นนี้ของเจ้าไม่ค่อยดีเท่าไหร่เลยนะ ชุดคลุมอาคมที่จักรพรรดิกระดูกขาวในคลังสมบัติของปี้สู่เหนียงเนียงสวมใส่ไว้ก็เป็นอย่างที่ข้าพูด แค่แตะก็สลายเป็นฝุ่นผงไม่ใช่หรือ? ชุดคลุมอาคมของผู้ฝึกตนหญิงสำนักชิงเต๋อคนนั้น ข้าก็ไม่ได้โกหกเจ้าจริงๆ ระดับขั้นของมันธรรมดาอย่างถึงที่สุด ก็เหมือนกับถ้วยเหล้าภาชนะที่ใช้บวงสรวงของศาลบรรพจารย์สำนักชิงเต๋อนั่นแหละ ต่างก็เป็นแค่สมบัติวิเศษเท่านั้น ขายก็ได้ราคาไม่ดี เว้นเสียแต่ว่าเจอกับผู้ฝึกตนที่ชอบเก็บสะสมชุดคลุมอาคมถึงจะพอได้กำไรอยู่บ้าง”
เฉินผิงอันยังคงไม่มีปฏิกิริยาตอบรับ
บัณฑิตไม่มีความรู้สึกอับอายจนพานเป็นโกรธแม้แต่น้อย ก็แค่ไม่มีชุดคลุมอาคมที่เอาออกมาโอ้อวดใครไม่ได้ก็เท่านั้น ไม่ได้เนื้อตัวเปลือยเปล่าสักหน่อย แต่ยันต์กระดาษสีทองสามแผ่นนี่แหละที่ค่อนข้างจะเสียดาย แผ่นหนึ่งเป็นสายรองของยันต์ภูเขา มีชื่อว่ายันต์จวนปี้เซียว สามารถจำแลงเป็นจวนของอ๋องในนครเหลยเฉิงของจริงได้ เมื่อผู้ฝึกตนอยู่ในนั้นจะสามารถต้านทานการโจมตีจากสมบัติอาคมแห่งชะตาชีวิตของก่อกำเนิดได้หลายครั้ง หากเปลี่ยนมาเป็นโอสถทอง คาดว่าเวลาครึ่งก้านธูปก็อย่าหวังว่าจะเปิดประตูจวนได้ อีกแผ่นหนึ่งคือยันต์แสงสว่างอวี้ชิง เมื่อถูกผู้ฝึกตนโยนออกไปจะสาดส่องความมืดมิด สยบขวัญผีและปีศาจ กินอาณาบริเวณกว้างขวางยิ่ง ปกคลุมฟ้าดินในรัศมีหลายลี้ ไม่ได้มีไว้ใช้รับมือกับผู้ฝึกตนใหญ่ แต่เอาไว้ใช้ฝ่าวงล้อมโดยเฉพาะ
แผ่นสุดท้ายมีค่ามากที่สุด ทำขึ้นจากวิชาลับของตระกูลที่สืบทอดต่อกันมา คือยันต์นภากาศพิฆาต แก่นของยันต์ซ่อนแสงเทพที่มีมูลค่าควรเมืองไว้สี่เส้น หากลงมือเมื่อไหร่ก็จะมีองค์เทพบรรพกาลสี่ท่านอย่างเทพสายฟ้า เจ้าแม่ฟ้าแลบ พ่อปู่วาโย เทพพิรุณปรากฏตัวอย่างพร้อมเพรียงกัน แล้วรวมพลังกันโจมตีศัตรู
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในเรือนหลังของตำหนักกว่างหานบนภูเขาโปลั่ว ยันต์ที่บัณฑิตคีบไว้ในชายแขนเสื้อก็คือยันต์ประเภทนี้
เพียงแต่ว่าตอนนั้นอีกฝ่ายก็เจ้าเล่ห์ ทำท่าทางราวกับว่าซุกซ่อนอะไรบางอย่างไว้ในชายแขนเสื้อเหมือนกัน บัณฑิตไม่แน่ใจในความตื้นลึกของอีกฝ่าย อีกทั้งคนทั้งคู่ยังอยู่ใกล้กันมาก พลานุภาพของยันต์ยิ่งใหญ่เกินไป หากใช้งานขึ้นมาครึ่งหนึ่งของภูเขาโปลั่วก็ต้องถูกปาดทิ้ง เขาไม่อยากจะสังหารศัตรูหนึ่งพันตัวเองเสียหายแปดร้อย และไม่แน่ว่าอาจจะยังเป็นการเปิดเผยร่องรอยของตัวเอง ถึงได้ข่มปราณสังหารเอาไว้
ส่วนยันต์ที่ภายหลังถูกคนผู้นี้ใช้กระบี่ฟันทิ้งก็มีพลังพิฆาตไม่น้อยเหมือนกัน เพียงแต่ว่าไม่ยิ่งใหญ่ทรงพลังเท่ากับยันต์นภากาศพิฆาต อีกทั้งยังไม่ได้เขียนขึ้นจากวิชาลับของตระกูลด้วย แต่เป็นความสามารถติดตัวของสำนักยันต์แห่งหนึ่งในอุตรกุรุทวีป เอาไว้ใช้กำราบผู้ฝึกกระบี่บนโลกโดยเฉพาะ ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่าแม้จะเป็นนาทีนั้น แต่บัณฑิตก็ยังไม่ถูกกลุ่มปีศาจบีบบังคับจนถึงขั้นที่ต้องใช้ความสามารถประจำตระกูล เพียงแค่มองดูแล้วสภาพกระเซอะกระเซิงไปหน่อยเท่านั้น
ก่อนหน้านี้ความคิดที่แท้จริงของเขาก็คือจงใจจะสร้างความเคลื่อนไหวครึกโครมที่กลุ่มภูเขาทั้งหลายต่างก็มองเห็น เพราะบัณฑิตแน่ใจว่าคนผู้นั้นก็ต้องแอบกลับมาอย่างเงียบเชียบแล้วซ่อนตัวอยู่ในมุมใดมุมหนึ่งอย่างแน่นอน จากนั้นไม่แน่ว่าเมื่อวิเคราะห์สถานการณ์ได้อย่างแม่นยำแล้วก็จะลอบฆ่าตน
บัณฑิตหรือจะไม่มีความคิดที่หมายแสดงความอ่อนแอเพื่อฉวยโอกาสนี้สังหารอีกฝ่าย?
น่าเสียดายก็แต่สวรรค์ไม่ทำให้คนสมปรารถนา
สมกับคำว่าธรรมะสูงหนึ่งฉื่อ อธรรมสูงหนึ่งจั้งจริงๆ
กระบี่เล่มนั้นของอีกฝ่ายประหลาดอย่างมาก มหัศจรรย์เกินไป ยันต์พันธนาการกระบี่กระดาษสีทองของตำหนักตี้จู่แผ่นหนึ่งกลับไม่สามารถกักขังกระบี่ยาวของอีกฝ่ายได้สำเร็จ ดังนั้นวิชาการหลบหนีที่ตนเตรียมเอาไว้ และยันต์พิฆาตแผ่นที่สองที่ซ่อนไว้ในชายแขนเสื้อของตนจึงเป็นดั่งวีรบุรุษที่ไร้ที่ให้แสดงฝีมือ ไม่อย่างนั้นหากใช้ยันต์แล้วเขาหลบหนีไปได้สำเร็จ อีกฝ่ายไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บสาหัส เหลือไว้ให้กลุ่มปีศาจช่วยกันจัดการเก็บกวาด จะยังมีชีวิตรอดได้อีกหรือ?
ยังมีเจ้าหมอนั่นอีกคนที่ยิ่งอืดอาดยืดยาด ถึงเวลาคับขันกลับเลอะเลือน บังคับแย่งเอาอำนาจในการเป็นผู้นำของดวงวิญญาณไปเสียเกินครึ่ง ปลดการป้องกันทั้งหมดที่มีต่อคนผู้นี้ลง แล้วผลล่ะเป็นอย่างไร? ก็ยังถูกอีกฝ่ายปล่อยหมัดต่อยใส่อย่างไม่ลังเลเลยไม่ใช่หรือ? สุดท้ายตนก็ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้
แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีโชคดี เพราะอีกฝ่ายไม่ได้สังหารคนชิงทรัพย์ ทำลายศพกลบร่องรอยอย่างอำมหิต
ไยนี่จะไม่ใช่ความโชคดีเสี้ยวหนึ่งที่อีกฝ่ายสะสมไว้จากการใจอ่อนมีเมตตา
ไม่อย่างนั้นรอจนตนฟื้นตื่นขึ้นมาในตระกูล แม้ว่าจะพอรักษาชีวิตเอาไว้ได้ แต่กลับต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาลเป็นหนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณ รากฐานมหามรรคาถูกทำลาย ต่อให้ตระกูลมีวิชาลับที่สามารถชดเชยได้ แต่อย่างน้อยก็ถ่วงเวลาการเลื่อนขอบเขตไปร้อยปี ถึงเวลานั้นมีหรือตระกูลจะยอมละเว้นคนผู้นี้ไปง่ายๆ อย่าว่าแต่ไล่ฆ่าหมื่นลี้เลย ต่อให้เจ้าเป็นผู้สืบทอดสายตรงของสำนักที่มีคำว่าจงในชื่อของทวีปอื่นก็ยังจะถูกไล่ฆ่าข้ามทวีป สิบปีไม่สำเร็จก็ร้อยปีอยู่ดี
สกุลหยางตำหนักนภากาศที่อยู่ในหน่วยฉงเสวียนของราชวงศ์ต้าหยวนได้รับการยอมรับจากคนทั้งทวีปมาโดยตลอดว่าเห็นแก่บุญคุณความแค้นเป็นสำคัญ การตอบแทนบุญคุณเป็นเรื่องใหญ่ การจดจำความแค้นก็ยาวนาน การแก้แค้นก็ยิ่งอำมหิตมาดร้าย
ยันต์แห่งศาลบรรพจารย์กระดาษทองสามแผ่นที่เหลืออยู่ไม่ได้ถูกนำมาใช้งานก็ดี หรือชุดคลุมอาคมเทาเที่ยร้อยตาตัวนั้นก็ช่าง ต่อให้จะมีมูลค่ามากแค่ไหน แต่จะมีมูลค่าได้เท่าชีวิตและมหามรรคาของผู้ฝึกตนหรือ?
ดังนั้นสำหรับเรื่องนี้บัณฑิตจึงปล่อยวางได้
บิดากำชับกับตนมาโดยตลอดว่า บนเส้นทางของการฝึกตนต้องเสียเปรียบเล็กๆ น้อยๆ ให้มากหน่อย
บัณฑิตยิ้มถาม “พี่ชายคนดี เจ้าพาข้าฝ่าจากวงล้อมของกลุ่มปีศาจมาได้อย่างไร? คงเปลืองแรงมากเลยกระมัง?”
โคจรปราณกระบี่สิบแปดหยุดเสร็จสิ้น เฉินผิงอันก็เก็บท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูแล้วเอ่ยว่า “ไม่ได้เปลืองแรงสักเท่าไหร่ กลุ่มปีศาจเข่นฆ่ากับเจ้ามานานเกิน เรี่ยวแรงจึงหดหายกันไปหมด อีกทั้งยังกลัวว่านอกจากข้าแล้วยังมีกองหนุนคนอื่นอีก แต่ละตนจึงหวาดกลัวไม่ยอมบุกรุดหน้า การล้อมสังหารก็เป็นแค่การวางท่าพอเป็นพิธีเท่านั้น แต่ก็ยังโรมรันกันอยู่พักหนึ่ง สุดท้ายข้าฉวยจังหวะหาช่องว่างได้ก็เลยหนีลงใต้มาถึงที่แห่งนี้ของหุบเขาผีร้าย เพียงแต่ว่าชุดคลุมบนร่างเจ้าถูกอีกฝ่ายดึงเอาไป ข้าขวางไม่ทัน ละอายใจอย่างมาก”
บัณฑิตยิ้มเฝื่อนเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นเชือกพันธนาการปีศาจเส้นนี้กับกระบี่บินทั้งสองเล่มล่ะ?”
เฉินผิงอันเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “เพื่อปกป้องเจ้าอย่างไรล่ะ สถานที่แห่งนี้มีปีศาจใหญ่สองตนกำลังจ้องเขม็งมาที่เจ้าจากสะพานเหล็กนั่น ตัวหนึ่งคือภูตงูเหลือม อีกตัวหนึ่งคือภูตแมงมุม เจ้าเองก็น่าจะมองเห็นแล้ว ข้ากลัวว่าในขณะที่ข้าตั้งใจฝึกตน ชีวิตเจ้าจะมีอันตราย”
บัณฑิตชำเลืองตามองไปทางสะพานเหล็กแขวนเส้นนั้น มีภูตที่น่าสงสารอยู่สองตนก็จริง แต่นั่นเรียกว่า ‘ปีศาจใหญ่’ ได้ด้วยหรือ? แม้แต่ร่างมนุษย์ยังจำแลงออกมาไม่ได้ เห็นเชือกพันธนาการปีศาจที่กำราบพวกมันได้ตั้งแต่กำเนิดเส้นนี้บนร่างของตนแล้วไม่ได้ตกใจขวัญหาย เผ่นหนีไปไกลหลายสิบลี้ก็ถือว่าดีมากแล้ว
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ก็เพราะกลัวว่าเมื่อเจ้าฟื้นแล้วจะไม่ฟังคำอธิบายของข้าแม้แต่ครึ่งคำ ลืมตาได้ก็จะตีรันฟันแทงกับข้า ถึงเวลานั้นจะไม่ยิ่งเข้าใจผิดกันหรอกหรือ? ตอนนี้พวกเราทั้งสองฝ่ายก็ถือว่าได้พูดคุยกันอย่างเปิดอกแล้วไม่ใช่หรือ?”
บัณฑิตพยักหน้ารับ “พี่ชายคนดีไม่เพียงแต่มีจิตใจของจอมยุทธ ที่ยิ่งมีค่าและหาได้ยากยังคงเป็นเรื่องของความรอบคอบละเอียดอ่อน ข้าหาข้อตำหนิไม่เจอเลยจริงๆ !”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “พี่มู่เม่า ตอนนี้สามารถบอกแซ่ของตัวเองได้แล้วกระมัง? เป็นพี่น้องที่ร่วมทุกข์ ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน หากยังปกปิดอยู่ก็คงไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่”
บัณฑิตยิ้มกว้างสดใส กล่าวอย่างจริงใจอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ “ข้าแซ่หยาง นามมู่เม่า นับตั้งแต่เด็กก็มีชาติกำเนิดมาจากหน่วยฉงเสวียนของราชวงศ์ต้าหยวน เนื่องจากพรสวรรค์ไม่เลว อาศัยความสัมพันธ์จากการที่บรรพบุรุษเป็นขุนนางอยู่ในหน่วยฉงเสวียนมาทุกยุคทุกสมัย จึงโชคดีได้เป็นลูกศิษย์ฝ่ายในที่เสนาบดีอวี่อีของตำหนักนภากาศตั้งชื่อให้ด้วยตัวเอง ออกเดินทางไกลมาครั้งนี้ก็ลงใต้มาตลอดทาง ก่อนจะมาถึงหุบเขาผีร้าย เงินเทพเซียนบนร่างก็เหลืออยู่อีกไม่มากแล้ว จึงคิดจะเข้ามากำจัดปีศาจปราบมารเพื่อสะสมบุญในหุบเขาผีร้ายพลางหาเงินเล็กๆ น้อยๆ ไปด้วย ปีหน้าพอถึงงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของชินอ๋องบางท่านในราชวงศ์ต้าหยวนที่สนิทสนมกับหน่วยฉงเสวียนจะได้หาของขวัญที่เข้าท่าเข้าทีไปมอบให้ได้”
ในเมื่อคนผู้นี้อ่านสองคำว่า ‘ประตูมังกร’ บนแผ่นศิลาออก ถ้าอย่างนั้นก็มีความเป็นไปได้ว่าเขาจะมองรากฐานของยันต์ทั้งสามแผ่นออกเช่นกัน
ดังนั้นบัณฑิตจึงไม่เห็นอีกฝ่ายเป็นคนโง่อีก หลีกเลี่ยงไม่ให้อีกฝ่ายอับอายจนพานเป็นความโกรธแล้วปล่อยหมัดใส่ตนอีกครั้ง
เฉินผิงอันกึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง “หน่วยฉงเสวียนของราชวงศ์ต้าหยวนนี้ ขนาดข้าที่เป็นคนต่างถิ่นจากทวีปอื่นก็ยังเคยได้ยินชื่อเสียงที่ยิ่งใหญ่ดุจฟ้าผ่าข้างหูมาก่อน ไม่ทราบว่าพี่มู่เม่ารู้จักหยางหนิงซิ่งที่เกิดมาก็เป็นเมล็ดพันธ์แห่งเต๋าผู้นั้นหรือไม่?”
บัณฑิตกลอกตามองบน “ในฐานะลูกศิษย์ฝ่ายในของตำหนักนภากาศ จะไม่รู้จักเทพเซียนน้อยที่มีชื่อเสียงผู้นี้ได้อย่างไร ไม่เพียงแต่รู้จักเขา ข้ายังรู้จักหยางหนิงเจินคุณชายใหญ่ที่ชอบท่องเที่ยวเตร็ดเตร่ไปทั่วทิศผู้นั้นด้วย อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับพวกเขา แน่นอนว่าทายาทผู้สืบทอดของสกุลหยางที่สูงส่งเหนือใครสองท่านนี้ ข้าก็แค่รู้จักพวกเขาสองพี่น้องอย่างผิวเผิน ไม่ถือว่าเป็นเพื่อนรักเพื่อนสนิทอะไร”
บัณฑิตเห็นว่าเขาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งก็จนปัญญา ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็คงไม่ถึงขั้นสอบปากคำตนอย่างเข้มงวดหรอกกระมัง? แต่หากอีกฝ่ายจะทำเช่นนั้นจริง เชือกพันธนาการปีศาจที่เป็นสมบัติอาคมหนึ่งเส้น กับกระบี่บินสองเล่มก็ยังไม่แน่สมอไปว่าจะกักขังตนเอาไว้ได้
เฉินผิงอันพลันเอ่ยถาม “ก่อนหน้านี้เจ้าจูงฝูงหมากลุ่มหนึ่งเที่ยวเล่น ก็เพราะต้องการให้ข้าเข้าใจผิดคิดว่ามีโอกาสตีหมาที่ตกน้ำ แล้วก็ฉวยโอกาสนี้สังหารข้า?”
บัณฑิตคิดจะหาข้ออ้างส่งเดช แต่จู่ๆ ก็พลันขมวดคิ้ว เพราะหว่างคิ้วของเขาปวดแปลบๆ ได้แต่ทอดถอนใจไม่หยุด นาทีถัดมา ร่างทั้งร่างของบัณฑิตก็เปลี่ยนมามีสภาพการณ์แบบใหม่ เหมือนเมื่อตอนแรกสุดที่เขาได้รู้จักเฉินผิงอันแล้วบอกว่าตัวเองมี ‘ปราณหยางบริสุทธิ์เต็มตัว’ ผู้ฝึกลมปราณก็ดี ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวก็ช่าง ลมปราณล้วนสามารถอำพรางเอาไว้ได้ พลังอำนาจก็เปลี่ยนแปลงได้ มีพียงภาพบรรยากาศที่คนผู้หนึ่งฟูมฟักออกมาเท่านั้นที่ยากจะเสแสร้งแกล้งทำได้
เฉินผิงอันขมวดคิ้วกล่าว “เจ้ามีโรคจิตวิญญาณแตกแยกงั้นหรือ? ทั้งสองฝ่ายต่างก็กำลังช่วงชิงจิตวิญญาณกัน?”
นี่ก็เหมือนกับการที่สองพี่น้องทะเลาะถกเถียง ต่อยตีกันอยู่ในบ้านหลังหนึ่ง
สำหรับผู้ฝึกลมปราณทั่วไปแล้ว นี่นับว่าเป็นข้อต้องห้ามใหญ่
และหากเป็นเช่นนี้ เส้นทางการฝ่าทะลุขอบเขตของผู้ฝึกลมปราณก็จะเหมือนคนขาเป๋ที่เดินขึ้นเขา ยากยิ่งกว่ายาก เลื่อนขั้นเป็นเซียนดินโอสถทองได้ก็ถือว่าเป็นความโชคดีที่ใหญ่เทียมฟ้าแล้ว คิดจะฝ่าทำลายจิตมารของก่อกำเนิดไปให้ได้ก็เรียกได้ว่าเป็นเรื่องเพ้อฝันโดยสิ้นเชิง
บัณฑิตนั่งตัวตรง สายตากระจ่างใส ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เพื่อช่วยข้าออกมา เจ้าบาดเจ็บไม่น้อย แล้วก็เผาผลาญพลังไปเยอะมาก ยันต์ย่อพื้นที่กระดาษสีทองที่เจ้าเรียกออกมาช่วงสุดท้ายนั้น ไม่เพียงแต่ล้ำค่า ยังน่าจะมีความเกี่ยวข้องบางอย่างกับสายยันต์ของตระกูลข้า ดังนั้นชุดคลุมอาคม ‘เทาเที่ยร้อยตา’ และยันต์สามแผ่นที่อยู่ในชายแขนเสื้อก็ถือเสียว่าเป็นของขวัญขอบคุณจากข้าก็แล้วกัน ส่วนข้า แน่นอนว่าไม่ได้ชื่อหยางมู่เม่าอะไรทั้งนั้น แต่มีชาติกำเนิดมาจากหน่วยฉงเสวียนราชวงศ์ต้าหยวนจริง เพียงแต่ว่าคงไม่บอกชื่อแซ่ที่แท้จริงกับเจ้าแล้ว เจ้าเชิญเดาได้ตามสบาย”
เฉินผิงอันกล่าวอย่างสงสัย “หลังจากที่ ‘เขา’ หมดสติอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กอย่างร่างกาย อันที่จริง ‘เจ้า’ ก็จะคืนสติมามองฟ้าดินใหญ่ภายนอกได้?”
บัณฑิตพยักหน้ารับ เพียงแต่ว่าไม่ได้อธิบายอะไรเพิ่มเติม
เฉินผิงอันกล่าว “แต่เรื่องที่คิดจะฆ่าข้า คือเจตจำนงดั้งเดิมของเจ้า”
บัณฑิตยิ้มกล่าว “แล้วไยจะไม่ใช่เจตจำนงดั้งเดิมของเจ้าเช่นกันเล่า?”
เฉินผิงอันเงียบงันเป็นคำตอบ
บัณฑิตจึงเอ่ยต่อ “ในเมื่อสุดท้ายแล้วเจ้าเลือกจะช่วยข้า ไม่ใช่ฆ่าข้า ข้ารู้สึกว่าจำเป็นต้องออกมาพบเจ้าสักครั้ง การช่วงชิงบนมหามรรคาในความคิดของข้า ควรจะเปิดเผยตรงไปตรงมา หากเจ้าก็เห็นด้วยในคำกล่าวนี้ พวกเราสามารถเลือกวันเวลาหนึ่ง รอให้ต่างฝ่ายต่างฝึกประสบการณ์สิ้นสุดแล้ว ในอนาคตก็มาต่อสู้ตัดสินเป็นตายกันที่ภูเขาตี่ลี่ดีไหม? ใช่แล้ว จำเป็นต้องเตือนเจ้าสักครั้ง ข้ามักจะรู้สึกว่ามีใครบางคนในหุบเขาผีร้ายลอบมองเจ้าอยู่ไกลๆ ตลอดเวลา แต่แค่เป็นพักๆ ไม่ได้มองนานนัก ข้าแค่พอจะสัมผัสได้ว่าอยู่มุมใดมุมหนึ่งทางทิศเหนือ ตบะสูงส่งลึกล้ำ เจ้าต้องระวังให้มาก”
เฉินผิงอันไม่ตอบรับและไม่ปฏิเสธ
บัณฑิตยิ้มกล่าว “หลังจากนี้ข้าจะต้องตั้งใจหลอมแผ่นหินประตูมังกรชิ้นนั้น ไม่อาจเสียสมาธิได้ เวลาที่เจ้าพูดคุยกับ ‘ข้า’ อีกคนหนึ่งนั้น รบกวนช่วยดูแลเขาหน่อย จะพูดอย่างไรดีล่ะ เขาเหมือนกับเป็นความเลวร้ายในใจของข้า แม้ว่าความคิดทั้งหมดจะถูกข้าย่อส่วนจนเล็กเหมือนเมล็ดงา มองดูเหมือนเล็กมาก แต่แท้จริงแล้วกลับใหญ่มาก อีกทั้งยังบริสุทธิ์อย่างถึงที่สุด ความเลวก็คือความเลวที่แท้จริง ไม่จำเป็นต้องปกปิด เพราะเกิดมาก็มีนิสัยที่ชอบกระทำการอย่างกำเริบเสิบสาน แต่ทุกครั้งที่ข้าแบ่งสมาธิออกมามอบหน้าที่ควบคุมเนื้อหนังร่างนี้ให้แก่เขาก็จะต้องตั้งกฎเกณฑ์สามข้อกับเขา ไม่ให้เขาละเมิดกฎมากเกินไป ใช่แล้ว ก่อนที่เขาจะทำอะไร ข้าจะมองดูอยู่ข้างๆ ล้วนเห็นทุกอย่างอยู่ในสายตา ถือเป็นการอาศัยโอกาสนี้มาพิศมรรคา ขัดเกลาจิตดั้งเดิม แต่เวลาที่ข้าพูด เขากลับทำได้เพียงหลับสนิท”
—
นับแต่โบราณมาเซียนกระบี่ล้วนต้องดื่ม
ระหว่างนี้เฉินผิงอันค้นพบว่าขณะที่บัณฑิตกำลังหลุบตาลง คล้ายจะมองไปยังมุมหนึ่งที่อยู่ด้านข้าง
เมื่อเขาลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็กลับมาเป็นบัณฑิตบนภูเขาโปลั่วที่เฉินผิงอันคุ้นเคยแล้ว บนใบหน้าของเขามีสีหน้ากระอักกระอ่วนเหมือนคนอึราดเต็มกางเกง
คนทั้งสองต่างก็เงียบงันกันไป ครู่หนึ่งต่อมา
เฉินผิงอันก็เปิดปากเอ่ยว่า “หยางหนิงซิ่ง เจ้าใช้ได้เลยนี่นา ได้อยู่ในอันดับสิบคนของมังกรในกลุ่มคนของอุตรกุรุทวีป คือเทียนจวินน้อยของตำหนักนภากาศ ชื่อเสียงที่ทรงพลานุภาพเช่นนี้ เหตุใดต้องหลบๆ ซ่อนๆ ด้วยเล่า?”
บัณฑิตมีสีหน้ามึนงง
เฉินผิงอันหลุดหัวเราะพรืด
บัณฑิตรู้สึกว่า ‘ตนเอง’ ผู้นั้นไม่น่าจะพูดจาเปิดใจกับคนอื่นขนาดนี้ จึงแสร้งทำเป็นไขสือต่อไปด้วยการเอ่ยอย่างจนใจว่า “คำพูดประโยคนี้หากให้เทียนจวินน้อยแห่งหน่วยฉงเสวียนของตระกูลข้าได้ยินเข้า คงจะโกรธน่าดู หยางหนิงซิ่งผู้นี้มีนิสัยคร่ำครึมากที่สุด รับฟังคำหยอกเย้าไม่ได้แม้แต่ครึ่งคำ คู่พี่น้องหยางหนิงเจินหยางหนิงซิ่งนี้ ข้าชอบจะอยู่กับหยางหนิงเจินมากกว่า และยังมีนักพรตหญิงที่รับผิดชอบด้านการไปมาหาสู่กับหน่วยฉงเสวียนและราชสำนักผู้นั้น คือคนมีความสามารถที่มีเสน่ห์จริงๆ ข้าออกเดินทางไกลครั้งนี้ เสี่ยงอันตรายเข้ามาในหุบเขาผีร้ายก็เพราะอยากจะสร้างชื่อเสียงให้ตัวเอง นางจะได้หันมามองข้าบ้าง พี่ชายคนดี ชื่อของเจ้าดี ความสามารถก็สูง วันหน้าเมื่อไปถึงราชวงศ์ต้าหยวนต้องไปพบนางให้ได้ ปีนั้นนางเพิ่งจะเป็นดรุณีน้อยก็จัดงานพิธีกรรมใหญ่ของลัทธิเต๋าได้แล้ว ฉลาดเฉลียวที่สุดเลยล่ะ หากเจ้าได้พบนางก็น่าจะชื่นชอบนาง แต่ผลกลับกลายเป็นว่านางก็ไม่ชอบเจ้าเหมือนกัน ถึงเวลานั้นพวกเราสองพี่น้องก็สามารถดื่มเหล้าดับทุกข์ร่วมกันได้แล้ว คู่พี่น้องร่วมทุกข์ร่วมยาก มิตรภาพก็ยิ่งยืนยาวตราบชั่วฟ้าดินสลาย!”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ไม่สนใจคำพูดที่เบี่ยงประเด็นของคนผู้นี้ เขากวาดตามองไปรอบด้าน แล้วบังคับเชือกพันธนาการปีศาจเส้นนั้นให้เข้ามาอยู่ในมือ ชูอีสืออู่ก็พุ่งกลับเข้ามาในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ตรงเอว
การชำเลืองตามองแวบหนึ่งก่อนที่จิตของบัณฑิตคนเมื่อครู่นี้จะเงียบหายไป เป็นการกระทำที่เสแสร้งเพื่อจงใจให้ตนเกิดความสงสัยคาดเดาไปส่งเดช? หรือเป็นเพราะบริเวณใกล้เคียงกับภูเขาลูกนี้มีความลี้ลับอยู่จริงๆ ? มียอดฝีมือมาเยือน โดยที่ตนมองไม่เห็น? หากเป็นเช่นนี้จริง หรือจะเป็นจิตหยินของผูหรางก่อกำเนิดขั้นสูงสุดที่ออกเดินทางไกลมาซ่อนตัวอยู่ในมุมใดมุมหนึ่งของบริเวณโดยรอบ? หรือว่าเป็นยอดฝีมือนอกโลกที่ขอบเขตสูงยิ่งกว่า? คืออารามเสวียนตูเล็ก วัดหยวนเยว่ใหญ่ที่ไม่ได้มีบันทึกไว้ใน ‘รวมเล่มวางใจ’? หรือว่าเป็นวิญญาณวีรบุรุษที่อยู่ทางทิศเหนือของหุบเขาผีร้าย?
ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางเป็นเจียงซ่างเจินแน่นอน
หากจะบอกว่าเจียงซ่างเจินมองภูเขาแม่น้ำผ่านฝ่ามือ จับจ้องความเคลื่อนไหวของตนที่อยู่ตรงนี้มาจากที่ไกลๆ ก็นับว่าเป็นเรื่องปกติอย่างมาก แต่การที่เขาแอบมาที่นี่แล้วไม่ปรากฏตัว ย่อมไม่ใช่ลักษณะนิสัยของเจียงซ่างเจินอย่างแน่นอน
เกี่ยวกับแผนการที่สำนักกุยหยกมีต่อทะเลสาบซูเจี่ยน ก่อนหน้านี้ตอนอยู่นครปี้ฮว่า เจียงซ่างเจินได้เปิดเผยความลับสวรรค์ส่วนหนึ่งอย่างตรงไปตรงมา
เฉินผิงอันเชื่อเขาถึงเจ็ดแปดส่วน
ดังนั้นเจียงซ่างเจินจึงถือว่าเป็นมิตรหาใช่ศัตรูได้ชั่วคราวจริงๆ ต่อให้ไม่ใช่มิตร อีกฝ่ายก็ไม่มีทางวางแผนทำร้ายตนอย่างแน่นอน
พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย หากเจียงซ่างเจินคิดจะสังหารตนจริงๆ จะไม่ง่ายดายยิ่งกว่าโครงกระดูกชุดเขียวที่มองตนเองเป็นมือกระบี่ผู้นั้นหรอกหรือ?
เพราะตอนนี้หากเขาเฉินผิงอันเผชิญหน้ากับก่อกำเนิดคนหนึ่งก็มีสิทธิ์แค่เผ่นหนีเอาชีวิตรอดเท่านั้น
แต่เจียงซ่างเจินกลับเป็นห้าขอบเขตบนที่มีชื่อเสียงว่าชื่นชอบการฆ่าก่อกำเนิดของใบถงทวีป
เฉินผิงอันถอนหายใจอยู่ในใจ
บอกกับตัวเองเงียบๆ ว่า อย่ารีบร้อน
การฝึกตนมิใช่การดื่มเหล้าที่ไม่ว่าจะดื่มคำเล็กหรือคำใหญ่ก็ล้วนไม่ส่งผลใดๆ
แต่ข้าวต้องกินไปทีละคำ ทางต้องเดินไปทีละก้าว และเงินก็ต้องค่อยๆ หามาทีละเหรียญ
บัณฑิตลุกขึ้นตาม เขาบิดขี้เกียจยืดเส้นยืดสาย “พี่ชายคนดี นี่คือกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่มของเจ้าหรือ? เดิมทีผู้ฝึกกระบี่ก็เป็นอาชีพที่กินเงินเขมือบทองของใต้หล้าอยู่แล้ว ตัวอ่อนกระบี่ทั่วไปอาศัยสำนักคอยมอบเงินมอบของให้ เลี้ยงกระบี่บินให้มีชีวิตรอดได้หนึ่งเล่มก็ถือว่าเป็นขีดจำกัดแล้ว เจ้าทำได้อย่างไรกัน? อาศัยการปล้นทรัพย์ผู้อื่นระหว่างเดินทางหมื่นลี้นี่น่ะหรือ? ดูท่าก็คงเหมือนคนที่อาศัยชาติกำเนิดเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูล แต่การอบรมปลูกฝังของสำนักไม่ดีมากพอก็เลยอาศัยข้ออ้างว่าออกหาประสบการณ์มาทำตัวเป็นผู้ฝึกตนอิสระเพื่อเติมเต็มทรัพย์สมบัติของตัวเองครั้งแล้วครั้งเล่า?”
เฉินผิงอันไม่ได้ตอบคำถามนี้ เขามองไปทางทิศเหนือแล้วเอ่ยว่า “ก่อนหน้านี้เพื่อช่วยเจ้าออกมา ข้าขาดทุนไปมาก ตอนนี้จะว่าอย่างไร?”
บัณฑิตถูมือหัวเราะร่า “ชุดคลุมอาคมและยันต์สามแผ่นของข้าตกอยู่ในมือของศัตรู แน่นอนว่าต้องไปทวงคืนกลับมา”
เฉินผิงอันชำเลืองตามองเขาแวบหนึ่ง “มีเหตุผล ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็ยังคงแยกย้ายกันไปทางใครทางมัน เจ้าไปทวงคืนของที่สูญหายไป ขออวยพรล่วงหน้าให้พี่มู่เมาสร้างชื่อเสียงระบือไกลในหุบเขาผีร้าย ส่วนข้าก็จะอยู่เก็บตกของดีของข้าต่อไปนี่แหละ”
บัณฑิตร้องโอ้ยหนึ่งที “แบบนั้นจะได้ที่ไหน ข้ากับกลุ่มปีศาจผูกปมแค้นกันแล้ว หากข้าโผล่หน้าไปจะไม่ถูกล้อมวงโจมตีหรอกหรือ แต่ละคนเสียสติเข่นฆ่าจนตาแดงก่ำ ถึงเวลานั้นสภาพการณ์ของข้ามีแต่จะยิ่งอนาถ ไม่ได้ๆ ไม่มีพี่ชายคนดีช่วยคุมท้ายขบวนให้ข้า ในใจข้าก็ไม่มั่นใจ จะว่าไปแล้วก็แปลก พอมีพี่ชายคนดีอยู่ข้างกาย ความกล้าของข้าก็เพิ่มพูน จะขึ้นฟ้าลงดิน บุกบ่อมังกรถ้ำพยัคฆ์ ข้าก็ล้วนไม่หวาดกลัว!”
เฉินผิงอันถาม “ตอนนี้เจ้าไม่มียันต์กับชุดคลุมอาคมติดตัวแล้ว ข้าพาเจ้าไปจะมีความหมายอะไร? เอาไปเป็นตัวถ่วงอย่างนั้นหรือ?”
บัณฑิตชูฝ่ามือขึ้นก็มีวัตถุชิ้นหนึ่งลอยขึ้นมา จากนั้นมืออีกข้างหนึ่งของเขาก็รีบสะบัดชายแขนเสื้อ ใช้ปราณวิญญาณปกคลุมวัตถุชิ้นนี้เอาไว้ นั่นคือกระบี่บินขนาดเล็กสีม่วงเล่มหนึ่ง เขายิ้มเอ่ยว่า “คนบนภูเขาย่อมมีสมบัติอาคมเก็บซ่อนไว้ก้นกรุ กระบี่เล่มนี้มีชื่อว่าจื่อจือ สร้างเลียนแบบกระบี่บินของเซียนกระบี่ใหญ่ท่านหนึ่งในอุตรกุรุทวีปเรา ไม่ใช่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของผู้ฝึกกระบี่ แต่พลังอำนาจกลับเหนือกว่ากระบี่บิน เอาไว้ใช้แสร้งทำเป็นเซียนกระบี่ใหญ่ข่มขู่คนอื่นได้อย่างดีเยี่ยม! คือสุดยอดเคล็ดวิชาของภูเขาชังกระบี่ สุดยอดทักษะที่มีเฉพาะในใต้หล้าไพศาล ชื่อเสียงของมันยิ่งใหญ่ไม่เป็นรองเสื้อเกราะวิเศษปกป้องกายที่ศาลซานหลางสร้างขึ้นเลย!”
เฉินผิงอันชี้ไปยังกระบี่ยาวที่อยู่ด้านหลังตัวเอง “ข้าต้องให้เจ้าข่มขู่คนอื่นด้วยหรือ? ช่วยแสดงความจริงใจให้เห็นหน่อยได้ไหม?”
บัณฑิตเก็บจื่อจือที่มีอำนาจน่าตะลึงเล่มนั้นไปอย่างขุ่นเคือง จากนั้นก็พลิกฝ่ามืออีกครั้ง บนฝ่ามือก็มีวัตถุชิ้นเล็กลักษณะเหมือนตราประทับทองแดงที่นูนขึ้นมาเป็นรูปชือหลงชิ้นหนึ่ง เขาพูดด้วยสีหน้าที่แฝงไว้ด้วยความเศร้าสร้อยระคนฮึกเหิม “นี่เป็นของก้นกรุชิ้นสุดท้ายและท้ายสุดแล้วจริงๆ เมื่อทุบมันให้แตกก็จะมีชือหลงที่พลังการต่อสู้น่าตะลึงตัวหนึ่งเยื้องกรายลงมา พลิกภูเขาคว่ำมหาสมุทรก็เป็นเรื่องที่สบายมาก เพียงแต่ว่าใช้ได้แค่ครั้งเดียว นี่ยังเป็นอาวุธหนักในคลังสมบัติของตำหนักนภากาศที่ข้าเชื่อมาจากศิษย์น้องหญิงที่ดูแลเรื่องเงินทองในหน่วยฉงเสวียนด้วย”
เฉินผิงอันมองพี่มู่เม่าคนนี้
บัณฑิตยิ้มบางๆ ในขณะที่ประสานสายตากับเขา
เฉินผิงอันรู้สึกใคร่รู้ไม่น้อย หากจะต้องเข่นฆ่าช่วงชิงชีวิตกันขึ้นมาจริงๆ ตนจะมีโอกาสชนะสักกี่ส่วน?
ตอนอยู่ที่ตำหนักกว่างหานของปี้สู่เหนียงเนียง เขารู้สึกว่ามีเจ็ดแปดส่วน แต่ตอนนี้ลองดูแล้ว มากที่สุดก็แค่ห้าต่อห้า?
เหตุผลนั้นง่ายดายมาก จื่อจือเล่มนั้นเป็นของเลียนแบบก็จริง ไม่ใช่วัตถุแห่งชะตาชีวิตของเซียนกระบี่บนยอดเขาอะไร นำมาใช้ข่มขู่ผู้ฝึกตนก่อกำเนิดก็นับว่าเหมาะสมอย่างถึงที่สุด
แต่หากนำมาใช้สังหารผู้ฝึกตนโอสถทอง กลับจะเหมาะสมยิ่งกว่า
บวกกับตราประทับรูปชือหลงที่ไม่รู้ตื้นลึกชิ้นนั้น หากมอบให้บัณฑิตตัวจริงเป็นผู้ใช้ เมื่อต้องเข่นฆ่ากัน อีกฝ่ายมีครบทั้งการป้องกันและโจมตี หากอีกฝ่ายได้ครอบครองสมบัติอาคมที่ระดับขั้นดียิ่งกว่าอีกชิ้นหนึ่ง แล้วสวมเสื้อเกราะวิเศษที่ปกคลุมไปทั่วร่างจากเม็ดเสื้อเกราะของสำนักการทหารอีกชิ้น? เพราะถึงอย่างไรชุดคลุมอาคมเทาเที่ยร้อยตาตัวนั้นก็เป็นแค่การอำพรางตัวที่บัณฑิตตรงหน้าผู้นี้ใช้ปิดบังหูตาของคนอื่นเท่านั้น ผู้สืบทอดที่แท้จริงของหน่วยฉงเสวียนผู้หนึ่งที่มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นเมล็ดพันธ์เต๋ามาตั้งแต่กำเนิด ลงจากภูเขามาฝึกประสบการณ์ จะไม่มีเสื้อเกราะวิเศษหรือชุดคลุมอาคมที่สืบทอดจากบรรพบุรุษไว้ใช้ป้องกันกายเลยได้อย่างไร?
สายตาของบัณฑิตแฝงแววตำหนิ พูดด้วยสีหน้าน้อยเนื้อต่ำใจว่า “เหตุใดพี่ชายคนดีไม่พูดแล้วเล่า หรือว่าเห็นทรัพย์สินก็เลยเกิดความโลภ? ถึงอย่างไรข้าก็สู้เจ้าไม่ได้ ก็คงต้องได้แต่ควักชุดคลุมอาคมและเสื้อเกราะวิเศษออกมาเพิ่มเพื่อใช้ปกป้องชีวิตแล้ว”
“ไหนบอกว่าตราประทับทองแดงคือสมบัติก้นกรุชิ้นสุดท้ายของเจ้าแล้วอย่างไรเล่า?”
เฉินผิงอันกล่าว “มีเงินก็ร้ายกาจจริงๆ ข้าล่ะกลัวเจ้าแล้ว”
บัณฑิตถอนหายใจหนึ่งที “ศิษย์น้องหญิงคนนั้นของข้าเคยบอกว่า ออกจากสำนักมาฝึกประสบการณ์ ในเมื่อมีความสามารถธรรมดาสามัญ ยามพูดจาก็ยิ่งไม่ควรมอบใจให้ผู้อื่นไปหมดเสียทุกเรื่อง”
เฉินผิงอันกล่าว “ไปกันเถอะ”
บัณฑิตถูฝ่ามือ “ไปที่ภูเขาของอริยะใหญ่ปานซาน หรือว่าไปกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนมาที่ภูเขาตี้หย่ง?”
เฉินผิงอันกล่าว “เลียบลำคลองเฮยเหอ ไปหาโพรงมังกรเฒ่า”
บัณฑิตถามอย่างกังขา “ทำไมล่ะ?”
เฉินผิงอันเริ่มเดินเลียบสันเขาลงไปด้านล่างแล้ว ปากก็เอ่ยเนิบช้าว่า “ค่ายกลใหญ่ปกป้องภูเขาของภูเขาตี้หย่งถูกเจ้าปั่นป่วนจนเละหมดแล้ว ตอนนี้กลุ่มปีศาจต้องไปรวมตัวกันอยู่ที่ภูเขาของวานรย้ายภูเขาตัวนั้นแน่ ไม่แน่ว่าพี่เฉินหยวนจวินของภูเขาตี้หย่งผู้นั้นหากไม่นำทรัพย์สมบัติไปซ่อนไว้เป็นอย่างดีแล้ว ก็คงจะถือโอกาสพกติดตัว ย้ายไปอยู่กับพันธมิตรเสียเลย จะไปกินลมตะวันตกเฉียงเหนืออยู่ที่ภูเขาตี้หย่งหรือ? หรือว่าจะไปปะทะกับวานรย้ายภูเขา? แล้วค่อยถูกพวกมันล้อมรุมตีอีกรอบ?”
บัณฑิตใช้หมัดทุบฝ่ามือ เอ่ยชื่นชมว่า “จริงด้วย พี่ชายคนดีมีแผนการที่ดีจริงๆ ท่ามกลางศึกใหญ่บนภูเขาตี้หย่งนั้น เจ้าตะพาบทั้งสองต่างก็ไม่ได้โผล่หัวออกมา หากใช้คำพูดของพี่ชายคนดีก็คือไม่มีคุณธรรมในยุทธภพเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นต่อให้พวกเราไปหาเรื่องพวกมัน กลุ่มปีศาจที่อยู่กับวานรย้ายภูเขาน่าจะอาฆาตแค้นอยู่ในใจ ให้ตายก็ไม่มีทางไปช่วยเหลือ”
เฉินผิงอันหัวเราะหยันเอ่ยว่า “ตอนนี้ข้ากังวลมากกว่าว่าที่พึ่งของปี้สู่เหนียงเนียงที่ถูกเจ้าฆ่าและกินไปจะตามมาหรือไม่ ไหนลองบอกมาสิว่าอีกฝ่ายเป็นเทพเซียนของที่ใด?”
บัณฑิตหัวเราะหึหึ “คือวิญญาณหยินก่อกำเนิดผู้เฒ่าตนหนึ่งของหุบเขาผีร้าย ค่อนข้างมีชื่อเสียงในกลุ่มของนครมากมายทางแถบทิศเหนือ เขาถึงขนาดกล้าไม่ฟังคำสั่งของเจ้านครจิงกวาน ตอนมีชีวิตอยู่คือแม่ทัพใหญ่ของแคว้นเสิ่นเช่อ คุณูปการยิ่งใหญ่เกริกก้อง ตอนมีชีวิตอยู่ไม่เคยถูกใครชื่นชมว่าคุมทัพได้เก่งกาจดุจเทพเจ้า แต่พอตายไปแล้วกลับถูกสำนักการทหารรุ่นหลังขนานนามให้ว่าคุมทัพใช้กลยุทธได้อย่างแม่นยำ คำวิจารณ์ในประวัติศาสตร์ดีเยี่ยมอย่างมาก หากไม่เป็นเพราะฮ่องเต้ผู้โง่เขลาที่เขาภักดีด้วยถูกคนใช้แผนยุแยงให้แตกแยก สั่งให้เขานำทัพออกไปโจมตี ทำให้คนสามสิบชีวิตไม่ว่าจะเด็กแก่หรือหนุ่มฉกรรจ์ในครอบครัวเขาต้องรบตายพร้อมกันบนสนามรบ กระตุกผมเส้นเดียวสั่นสะเทือนไปทั้งร่าง นั่นคือจุดหักเหที่ค่อนข้างจะสำคัญ ไม่อย่างนั้นผลลัพธ์สุดท้ายของศึกที่ชายหาดโครงกระดูกก็คงบอกได้ยากจริงๆ”
บัณฑิตหยุดชะงักไปชั่วครู่ก็เอ่ยอย่างค่อนข้างกลัดกลุ้ม “ส่วนข้อที่ว่าปี้สู่เหนียงเนียงไปตีสนิทกับวิญญาณวีรบุรุษท่านนี้ได้อย่างไร ข้าไม่ใช่เทพเซียนที่ล่วงรู้อดีตและอนาคตเสียหน่อย แน่นอนว่าย่อมไม่รู้แล้ว”
คนทั้งสองเดินอยู่บนทางสายเล็กบนหลังเขาด้วยกัน เฉินผิงอันหันหน้ามามองเขา มองใบหน้าแถบที่หันไปทางหน้าผาแล้วเอ่ยว่า “อย่าได้คิดจะไปหาเรื่องปีศาจสองตนนั้น”
บัณฑิตกล่าวอย่างประหลาดใจ “เจ้าสนิทกับพวกมันหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่สนิท”
บัณฑิตยิ่งไม่เข้าใจ “ถ้าอย่างนั้นเจ้าจะปกป้องพวกมันทำไม? เก็บไว้ก็มีแต่จะเป็นภัย…ก็ถูกนะ ตอนนี้ตบะยังน้อยนิด ต่อให้ผ่านไปอีกหลายร้อยปีก็ถูกกำหนดมาแล้วว่ายังออกไปจากหุบเขาผีร้ายไม่ได้ ไม่อาจไปทำร้ายใคร”
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “ทุกชีวิตที่มีสติปัญญาล้วนฝึกตนได้ไม่ง่าย”
บัณฑิตมองประเมินเฉินผิงอันแวบหนึ่ง “บาดเจ็บจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “วัตถุหยินโอสถทองตนนี้คิดจะใช้กลยุทธเดิมอีกครั้ง หมายจะร่ายวิชาเงาดำสิงกระดูกใส่ร่างข้า พอข้าใช้กระบี่ฟันไป วานรย้ายภูเขาตัวนั้นก็ฉวยโอกาสได้ เหวี่ยงค้อนทุบลงมา จากนั้นก็ตามมาด้วยสมบัติอาคมอีกหลายชิ้น ข้าจึงได้แต่ใช้ยันต์แผ่นหนึ่งที่มูลค่าเท่าทองหมื่นชั่ง จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังเสียดายไม่หาย”
อารมณ์ของเฉินผิงอันอัดอั้น ไม่เพียงแค่เสียดายเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะเขาไม่เพียงแต่ใช้ยันต์ย่อพื้นที่กระดาษสีทองที่เหลือเพียงแผ่นเดียว นั่นยังทำให้เขาเปิดเผยวิชาเอาตัวรอดของตัวเอง วันหน้าหากคิดจะใช้ยันต์ย่อพื้นที่กระดาษสีทองติดต่อกันสองแผ่น รวมไปถึงใช้เจี้ยนเซียนฟันตราผนึกของฟ้าดินขนาดเล็กระหว่างหุบเขาผีร้ายและชายหาดโครงกระดูกก็อาจจะมีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น
บัณฑิตค้นพบว่าเวลาคนผู้นี้เอ่ยถึงวานรย้ายภูเขา น้ำเสียงจะมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย แต่กลับถูกเขาจับสังเกตได้อย่างเฉียบไว จึงยิ้มถามว่า “ทำไม มีความแค้นกับวานรย้ายภูเขาหรือ?”
เฉินผิงอันตอบด้วยสีหน้าเป็นธรรมชาติ “ถูกมันใช้ค้อนดาวตกทุบมาทีหนึ่งจะไม่แค้นได้หรือ?”
บัณฑิตเอาสองมือไพล่หลัง เดินอาดๆ พลางยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “หรือว่าทำให้พี่ชายคนดีเมากลิ่นเลือดอีกแล้ว?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “หากเจ้ารู้สึกผิดจริงๆ อีกอย่างข้าเองก็ไม่ถือสาเลยถ้าเจ้าจะคิดว่าติดค้างน้ำใจข้า ไม่อย่างนั้นก็ไม่สู้มอบกระบี่บินที่ข่มขู่คนได้เล่มนั้น กับตราประทับทองแดงให้กับข้า ถือเป็นการชดเชย?”
บัณฑิตโบกมือเป็นพัลวัน พลางร้องโวยวายไปด้วย “พี่ชายคนดี ถือว่าข้าขอร้องเจ้าล่ะ เลิกคิดถึงทรัพย์สมบัติน้อยนิดนั่นของข้าเสียทีได้ไหม? หากเจ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป ในใจข้าคงไม่เป็นสุขแล้ว”
เฉินผิงอันทอดสายตามองไปทางทิศเหนือแวบหนึ่ง “พอไปถึงลำคลองเฮยเหอ ยังคงอิงตามกฎเดิม สามต่อเจ็ด?”
บัณฑิตค่อนข้างจะประหลาดใจ กล่าวอย่างขัดเขินว่า “แบบนั้นจะดีหรือ”
เฉินผิงอันหัวเราะหึหึ
บัณฑิตเข้าใจความนัยในคำพูดเมื่อครู่นี้ของอีกฝ่ายทันที จึงรีบยิ้มหน้าเป็นส่งไปให้ “ยังคงเป็นห้าต่อห้าดีกว่า ปรองดองก่อให้เกิดเงินทอง ปรองดองก่อให้เกิดเงินทอง หากไม่ได้จริงๆ ก็แบ่งสี่ต่อหก พี่ชายคนดีหก ส่วนข้าแค่สี่ส่วนก็พอ”
คนทั้งสองเดินทางขึ้นเหนือกันต่อ พวกเขาเลือกทางเส้นเล็กในผืนป่า ข้ามเขาลงห้วย เฉินผิงอันบินแผล็วไปตลอดทางเหมือนกระต่ายกระโดดนกกระเรียนโฉบ ส่วนบัณฑิตก็ทะยานลม ไม่เร็วไม่ช้า เพียงแค่เคียงไหล่ไปกับเฉินผิงอันเท่านั้น
เมื่อเฉินผิงอันมายืนอยู่บนกิ่งไม้สูงกิ่งหนึ่งแล้วทอดสายตามองไปไกล
บัณฑิตก็ถามชวนคุยว่า “ตอนที่ข้าสังหารปี้สู่เหนียงเนียงในตำหนักกว่างหาน เหตุใดเจ้าถึงไม่ขัดขวาง เผ่าพันธ์ตำหนักจันทราตัวนี้สามารถฝึกตนจนเป็นโอสถทองได้ ไม่ถือว่ายากยิ่งกว่าหรอกหรือ?”
เฉินผิงอันแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน
จากนั้นเฉินผิงอันก็เป็นคนนำทาง คนทั้งสองผ่านทะเลสาบถงลวี่ แล้วค่อยอ้อมผ่านภูเขาถงกวานไปอย่างระมัดระวัง ประหนึ่งทหารลาดตระเวนที่ปากคาบไม้เดินทัพอย่างว่องไว (การเดินทัพสมัยโบราณ หากมีปฏิบัติการลับพิเศษ แม่ทัพจะให้ทหารทั้งหลายเอาปากคาบไม้ลักษณะคล้ายตะเกียบเอาไว้ ป้องกันไม่ให้ทหารส่งเสียงและข้าศึกจะได้ไม่รู้ตัว) เส้นทางที่ใช้หลบซ่อนอำพราง เงียบเชียบไร้เสียง
บัณฑิตรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย นี่คือผู้เชี่ยวชาญแท้ๆ เลย
เดินทางตามภูเขาแม่น้ำมาจนเคยชินแล้วหรือ?
แต่เหตุใดกลับไม่เหมือนพวกผู้ฝึกตนอิสระตามป่าเขาเหล่านั้นเลยเล่า?
—
นับแต่โบราณมาเซียนกระบี่ล้วนต้องดื่มสุรา
มาถึงริมตลิ่งลำคลองเฮยเหอ เฉินผิงอันก็ปลดงอบ รวมไปถึงเจี้ยนเซียนและน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ หันมาสวมหน้ากากของผู้เฒ่า แล้วยังบอกให้บัณฑิตเปลี่ยนการแต่งกายเสียใหม่ ก่อนจะโยนหน้ากากเด็กหนุ่มที่จูเหลี่ยนเป็นคนทำขึ้นให้กับอีกฝ่าย
บัณฑิตไม่มีความลังเลใดๆ ไม่มีท่าทีต่อต้าน กลับกันยังรู้สึกว่าน่าสนใจอย่างถึงที่สุด
ลำคลองเฮยเหอยาวสองร้อยกว่าลี้ ไม่ถือว่าเป็นแม่น้ำลำคลองสายใหญ่อะไร เพียงแต่ว่าเมื่ออยู่ในหุบเขาผีร้ายที่ภูเขาเยอะสายน้ำน้อยก็ถือว่าไม่เลวแล้ว
ตะพาบสองตัวที่มีชาติกำเนิดมาจากวัดหยวนเยว่ใหญ่ยึดครองลำคลองสายนี้วางอำนาจบารมีมาเนิ่นนาน
กระแสน้ำในลำคลองเฮยเหอเชี่ยวกราก
ตอนบนของลำน้ำยังสร้างศาลเจ้าแม่แห่งหนึ่งตั้งเอาไว้ แน่นอนว่าต้องเป็นศาลเทพวารีของฟู่ไห่หยวนจวินผู้นั้น เพียงแต่ว่าศาลแห่งนั้นไม่เพียงแต่เป็นศาลเถื่อนอย่างจริงแท้แน่นอน ตะพาบน้อยก็ยิ่งไม่ได้สร้างร่างทอง แค่แกะสลักเทวรูปของตัวเองเอาไว้องค์หนึ่งให้พอเป็นพิธี แต่คาดว่าต่อให้มันได้กลายเป็นเทพวารีที่สร้างร่างทองได้สำเร็จจริงๆ ก็ไม่กล้าเอาเทวรูปร่างทองนี้ตั้งไว้ในศาล เพราะแค่วิญญาณหยินก่อกำเนิดสักตนที่เดินทางผ่านมาโจมตีอย่างง่ายๆ หนึ่งที ไม่ว่าเรื่องอะไรก็อย่าได้วาดฝันอีก หากร่างทองแหลกสลาย สภาพการณ์จะน่าอนาถยิ่งกว่ารากฐานมหามรรคาของผู้ฝึกตนได้รับความเสียหายเสียอีก ในความเป็นจริงแล้วเมื่อร่างทองปรากฎรอยปริแตกตามธรรมชาติเส้นแรกก็คือช่วงเวลาที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาสายน้ำทั้งหมดบนโลกหัวใจเหน็บหนาว เพราะนั่นหมายความว่าคำว่าอมตะมิเสื่อมสลายได้เกิดลางว่าจะเสื่อมโทรมแล้ว ไม่ใช่สิ่งที่แก่นควันธูปกี่จินกี่สิบจินในโลกมนุษย์จะสามารถชดเชยได้แล้ว ส่วนอรหันต์ร่างทองของพระพุทธศาสนานั้น หากเจอกับหายนะเช่นนี้ก็จะเรียกว่า ‘ความเสื่อมแห่งธรรม’ และจะยิ่งหวาดกลัวดุจเจอกับพยัคฆ์
ก็เหมือนกับเทพเซียนลัทธิเต๋าที่ผ่านความทุกข์ยากนับพันนับหมื่นกว่าจะฝึกตนบรรลุร่างแก้วใสไร้มลทินได้ ผลกลับกลายเป็นว่าถึงท้ายที่สุด ความไร้มลทินกลับมีจุดด่างพร้อย ไม่ว่าจะเช็ดถูสภาพจิตใจอย่างไรก็ไม่อาจเช็ดออก แล้วจะไม่กลัวได้อย่างไร?
สำหรับเรื่องนี้บัณฑิตเข้าใจอย่างลึกซึ้ง
ท่านทั้งหลายในประวัติศาสตร์ของหน่วยฉงเสวียนก็ลาลับจากโลกนี้ไปด้วยเหตุนี้ หาใช่ได้หลุดพ้นอย่างแท้จริงไม่
ท่ามกลางม่านราตรี คนทั้งสองเดินเข้าไปในศาลแห่งนั้น
ในศาลกลับไม่มีใครอยู่สักคน ไม่มีใครมาคอยขัดขวาง
บัณฑิตเอาสองมือไพล่หลัง กวาดตามองไปรอบด้านแล้วยิ้มกล่าวว่า “ดีนักนะ ทำตัวเป็นเต่าหดหัวอย่างแท้จริงแล้ว แบบนี้จะทำอย่างไรกันดี?”
เฉินผิงอันถาม “เจ้าไม่มีวิชาคาถาแหวกน้ำผ่าคลื่นสักนิดเลยหรือ?”
บัณฑิตพยักหน้ารับ “มีก็มีอยู่หรอก ปีนั้นเก็บไข่มุกหลบน้ำที่ปริแตกไปเกินครึ่งมาได้ลูกหนึ่งระหว่างทาง เพียงแต่ว่าอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบกับกงฟู่ (ลูกมังกรลำดับที่ 6 เป็นมังกรในตำนานที่มีเอกลักษณ์โดดเด่น เพราะมันคือมังกรแห่งสายน้ำ มีความผูกพันอยู่กับน้ำและชอบน้ำเป็นชีวิตจิตใจ) แหวกน้ำที่ศิษย์น้องหญิงคนนั้นของข้าเลี้ยงเอาไว้ได้ หากมีกงฟู่ตัวนี้ ต่อให้เป็นวังมังกรที่ซ่อนอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของแม่น้ำลำคลองสายใหญ่ก็ยังสามารถหาเจอได้อย่างง่ายดาย ตัวมันใหญ่แค่เท่าก้น เขาคู่นั้นก็ยาวแค่หนึ่งนิ้วเท่านั้น แต่แค่ส่ายหัวทีเดียวก็สามารถก่อให้เกิดคลื่นยักษ์สูงร้อยจั้งได้แล้ว ช่างน่าอิจฉาจริงๆ”
เฉินผิงอันร้องอ้อหนึ่งที “ถ้าอย่างนั้นข้าจะอยู่ที่นี่รอให้เจ้าเรียกศิษย์น้องหญิงของเจ้ามา?”
บัณฑิตหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง เขาสะบัดชายแขนเสื้อ กลางฝ่ามือก็ถือประคองไข่มุกใสแวววาวเหมือนเกล็ดหิมะเม็ดหนึ่ง ตบไข่มุกลูกนั้นเข้าปาก จากนั้นก็กลายร่างเป็นควันดำกลุ่มหนึ่งที่พุ่งไปทางผิวน้ำของลำคลอง ไม่ได้ทำให้สะเก็ดน้ำแตกกระจายเลยแม้แต่น้อย
เฉินผิงอันเดินเตร็ดเตร่อยู่ในศาลแห่งนี้ต่อไป ลักษณะและขนาดไม่ต่างจากศาลเทพวารีที่ได้เสวยสุขอยู่กับควันธูปของราชวงศ์ในโลกมนุษย์สักเท่าไหร่ ถือว่าไม่ได้ทำอะไรที่เกินขอบเขตของตัวเอง
ไปถึงตำหนักหลักที่อยู่กลางศาล ข้ามผ่านธรณีประตูเข้าไป แหงนหน้าไปมองก็เห็นเทวรูปของฟู่ไห่หยวนจวินที่ตั้งอยู่บนแท่นบูชา ไม่สูงมาก สร้างขึ้นตามหลักพิธีการที่เทพลำคลองระดับกลางสมควรมี
เทวรูปของสตรีมีเรือนกายบึกบึน ในมือถือขวานด้ามใหญ่ รูปโฉมของนางไม่ถือว่าน่ามองเท่าไหร่จริงๆ
เฉินผิงอันเดินออกมาจากตำหนักหลัก ไปเดินเที่ยวที่ตำหนักหลัง ไม่มีความผิดปกติใดๆ จึงย้อนกลับไปยังประตูใหญ่ของศาล นั่งลงบนขั้นบันได รอคอยให้บัณฑิตผู้นั้นกลับมาด้วยความอดทน
ทว่าสิ่งที่คิดในใจกลับเป็นบันทึกในตำราที่เกี่ยวข้องกับตำหนักนภากาศแห่งหน่วยฉงเสวียนของราชวงศ์ต้าหยวน
ก็เหมือนกับศาลซานหลางที่ต่างก็เป็นจวนตระกูลเซียนที่มีชื่อเสียงอยู่ในอุตรกุรุทวีปมาอย่างยาวนาน เพียงแต่ว่าตำหนักนภากาศยังได้มีชื่อเป็นหน่วยฉงเสวียน ดังนั้นจึงเกี่ยวข้องกับเรื่องทางโลกลึกซึ้งยิ่งกว่า
ลัทธิพุทธในอุตรกุรุทวีปเจริญรุ่งเรือง อีกทั้งราชวงศ์ต้าหยวนยังเป็นราชวงศ์ใหญ่เพียงหนึ่งเดียวในภาคกลางของทวีป การช่วงชิงของลัทธิพุทธย่อมดุเดือดมากอยู่แล้ว
แต่ในเมื่อราชวงศ์ต้าหยวนเลื่อมใสลัทธิพุทธศรัทธาลัทธิเต๋าจนถึงขั้นที่ต้องจัดตั้งหน่วยฉงเสวียนขึ้นมาเพื่อให้ดูแลวัดวาอารามในพื้นที่โดยเฉพาะ นอกจากฮ่องเต้สกุลหลูแห่งต้าหยวนจะมีใจศรัทธาในลัทธิเต๋ามาโดยตลอดแล้ว รากฐานที่ลึกล้ำของตำหนักนภากาศก็เป็นกุญแจสำคัญเช่นกัน
ในเขตการปกครองหลงเฉวียน เว่ยป้อมักจะคอยต้อนรับขับสู้แขกทั้งหลายที่ท่าเรือตระกูลเซียนบนภูเขาหนิวเจี่ยวเป็นประจำ อีกทั้งยังรู้ว่าเฉินผิงอันจะเดินทางมาท่องเที่ยวที่อุตรกุรุทวีป ดังนั้นจึงจัดเตรียมตำรา เอกสารคดีความที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มอิทธิพลตระกูลเซียนของอุตรกุรุทวีปเอาไว้ไม่น้อย ตำหนักนภากาศก็คือหนึ่งในกองกำลังใหญ่หลายแห่งที่ต้องให้ความสำคัญ เพราะเฉินผิงอันยังเคยพูดถึงว่าจะต้องเดินทางไปเยือนแม่น้ำใหญ่ที่ไหลลงสู่ทะเลสักครั้ง และราชวงศ์ต้าหยวนก็เป็นทางผ่านของแม่น้ำใหญ่สายนั้นพอดี ไม่เพียงเท่านี้ ราชวงศ์ต้าหยวนยังให้ความสำคัญกับแม่น้ำใหญ่สายนี้เป็นอย่างยิ่ง เป็นเหตุให้ในอาณาเขตของหลายแคว้นที่แม่น้ำสายใหญ่ไหลผ่านซึ่งไม่ได้มีแค่แคว้นใต้อาณัติของตัวเองเท่านั้น แต่ในอาณาเขตของทุกแคว้น ราชวงศ์ต้าหยวนต่างก็ไปจัดตั้งหน่วยตรวจตราสายน้ำ หน่วยขุนนางทางน้ำขึ้นมาโดยเฉพาะ ตำแหน่งขุนนางค่อนข้างสูง เทียบเท่าได้กับรองเจ้ากรมของหกกรมและแม่ทัพบู๊ระดับสาม ในประวัติศาสตร์ใช่ว่าจะไม่มีราชสำนักของแคว้นที่ความสัมพันธ์ห่างเหินกับราชวงศ์ต้าหยวนพยายามคัดค้านสุดกำลัง ปล่อยให้ขุนนางของแคว้นอื่นมาอยู่บนแผ่นดินของแคว้นตนเอง นี่ถือเป็นความอัปยศอย่างใหญ่หลวง ทว่าราชวงศ์ต้าหยวนเคยยกทัพมาปราบปรามอยู่สามครั้ง ยอมให้คนตลอดทั้งเหนือและใต้ด่าว่าทุ่มกำลังทัพจับศึกพร่ำเพื่อ อีกทั้งยังขัดเคืองกับสำนักศึกษาลัทธิขงจื๊อก็ด้วยสาเหตุนี้
ระหว่างที่หน่วยฉงเสวียนของตำหนักนภากาศถูกก่อตั้งก็เรียกได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์ช่วงหนึ่งที่กองกำลังของลัทธิพุทธและระบบเต๋าสายอื่นของราชวงศ์ต้าหยวนเสื่อมถอย
รื้อถอนตำหนักชิ่งซิน ตำหนักเทียนกวานก็เพื่อสร้างตำหนักเทียนหยวนของหน่วยฉงเสวียน นำต้นไม้ยักษ์วัสดุของอารามเจียหลิงมาสร้างเป็นโถงเหล่าจวินของตำหนักนภากาศ ทุบเอาวัสดุของตำหนักเป่าหัวในวัดทะเลเมฆมาสร้างเป็นซุ้มป้ายของหน่วยฉงเสวียน แล้วก็รื้อถอนเอาวัสดุของวัดน้ำค้างหวานมาทำเป็นศาลตระกูลของตำหนักนภากาศ มากมายหหลายอย่าง ช่วงก่อนหน้าที่ราชวงศ์ต้าหยวนจะก่อตั้งแคว้น ทุกยุคทุกสมัยล้วนมีเรื่องของการใช้อำนาจบาตรใหญ่มาข่มขู่ทำนองนี้เกิดขึ้น ทว่าหลังจากนั้นฮ่องเต้สกุลหลูของราชวงศ์ต้าหยวนทุกท่านก็ยังคงรังเกียจคิดว่าหน่วยฉงเสวียนมอซอเกินไป ในประวัติศาสตร์จึงมีการออกคำสั่งให้ชินอ๋องเชื้อพระวงศ์หลายท่านเป็นผู้ดูแลงานก่อสร้างด้วยตัวเอง เพื่อขยับขยายอาณาเขตให้กับหน่วยฉงเสวียนและตำหนักนภากาศครั้งแล้วครั้งเล่า ในเมืองหลวง ไม่ว่าสิ่งปลูกสร้างใดที่ขัดขวางฮวงจุ้ยของหน่วยฉงเสวียนล้วนถูกรื้อถอนทั้งหมด และบนซากปรักทั้งหลายก็จะกระจายกันสร้างอารามสายรองของตำหนักนภากาศ เพื่อใช้สยบโชคชะตา ชื่อเรียกของอารามเต๋าล้วนเป็นชื่อรัชศกที่ราชวงศ์ต้าหยวนเคยใช้ในประวัติศาสตร์ ล้วนมอบให้นักพรตเต๋าของตำหนักนภากาศเป็นผู้ดูแลหลัก ไม่ว่าในอารามน้อยใหญ่จะมีความขัดแย้งใดๆ ที่ว่าการของทางราชสำนักก็จะไม่มีทางยื่นมือเข้าแทรกเด็ดขาด
ตำหนักนภากาศของหน่วยฉงเสวียนราชวงศ์ต้าหยวนนี้จึงเรียกได้ว่าเป็นผู้นำสายลัทธิเต๋าของทวีป
แต่ในความเป็นจริงแล้ว เทียนจวินเซี่ยสือที่เดินทางลงใต้ไปอยู่ที่แจกันสมบัติทวีปมานานหลายปีแล้วต่างหากที่ถึงจะเป็นผู้นำของระบบเต๋าในหนึ่งทวีปอย่างแท้จริง
เฉินผิงอันใคร่รู้เล็กน้อยว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายคือต่างฝ่ายต่างรังเกียจกัน เพียงแต่ว่ากองกำลังทัดเทียมกัน ดังนั้นต่อให้ตายก็ไม่คิดจะไปมาหาสู่กัน? หรือว่าต่างมองอีกฝ่ายเป็นตะปูที่ทิ่มอยู่ในเนื้อ จะต้องกำจัดทิ้งให้ได้จึงจะสบายใจ?
เฉินผิงอันเงยหน้ามองไป น้ำในลำคลองยังคงไหลซัดตลบ เสียงน้ำดังมาก
บัณฑิตผู้นั้นยังคงไม่กลับมา
แต่จู่ๆ เฉินผิงอันก็ลุกขึ้นยืน พุ่งตัวไปยังริมลำคลอง
กระแสน้ำเริ่มเปลี่ยนมาเป็นใกล้เคียงกับคำว่าอันตราย เพราะมีน้ำขึ้นล้ำมาบนริมฝั่ง
กลิ่นคาวเลือดช่างเข้มข้นยิ่งนัก
ครู่หนึ่งต่อมา บัณฑิตก็กระโดดพ้นผิวน้ำมาจากจุดที่ห่างไปไกล มือหนึ่งกระชากลำคอของสตรีร่างกำยำคนหนึ่งมาด้วย สตรีผู้นั้นเส้นผมกระเซอะกระเซิง เกราะเหล็กที่สวมอยู่บนร่างแตกพังไม่เหลือชิ้นดี
บัณฑิตเดินเหยียบมาบนน้ำเหมือนเดินอยู่บนพื้นเรียบ พอเห็นเฉินผิงอันก็ยกมือขึ้นโบก “พี่ชายคนดี ปล่อยให้เจ้ารอนานแล้ว”
พอขยับเข้ามาใกล้ศาลแล้ว บัณฑิตก็โยนสตรีที่หายใจรวยรินอยู่ในมือขึ้นไปบนฝั่ง อีกฝ่ายกลิ้งตลบอยู่พักหนึ่ง ก่อนที่สตรีผู้นั้นจะนอนหงายแหงนหน้า เผยให้เห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยคราบเลือด
บัณฑิตเดินมาอยู่ข้างกายเฉินผิงอันแล้วยิ้มเอ่ยว่า “ตามหาอยู่ตั้งนาน เมื่อครู่เปิดศึกใต้น้ำไปรอบหนึ่ง อันตรายรายล้อมอยู่รอบด้าน โชคดีที่ข้าท่องประโยคว่าขอให้พี่ชายคนดีช่วยคุ้มครองอยู่หลายครั้ง ถึงได้เปลี่ยนเรื่องร้ายให้กลายเป็นดี ไม่อย่างนั้นอีกนิดเดียวข้าก็เกือบจะถูกสตรีผู้นี้ลักพาตัวไปเป็นฮูหยินรังโจรแล้ว”
เฉินผิงอันชำเลืองตามองฟู่ไห่หยวนจวินที่หลับตาแกล้งตายผู้นั้น
บัณฑิตโบกชายแขนเสื้อออกไป ตบให้ตะพาบน้อยตัวนั้นหล่นลงไปในหลุมใหญ่โดยตรง
บัณฑิตจุ๊ปากพูด “เจ้าแม่เทพวารีผู้นี้ช่างมีอารมณ์สุนทรียิ่งนัก ด้านหน้าถ้ำสถิตใต้น้ำได้สร้างสถานที่อย่างแท่นบูชารักที่สมชื่อเอาไว้ ด้านบนวางโครงกระดูกขาวไว้หลายโครง ล้วนเป็นพวกแมลงน่าสงสารที่โชคดีเคยเป็นสามีของนาง ข้างกายโครงกระดูกทุกโครงล้วนจุดตะเกียงวิญญาณไว้ดวงหนึ่ง ช่างเป็นภาพบรรยากาศยิ่งใหญ่ที่แสงไฟสว่างโชติช่วง ช่างเป็นชายรักหญิงมีใจที่ยาวนานไปได้ร้อยปีพันปี หากไม่เป็นเพราะข้ายืนอยู่ด้านนอกถ้ำสถิต พูดขู่ว่าจะทุบแท่นสูงนี้ให้แหลก ก็คงไม่แน่เสมอไปว่าเจ้าแม่เทพวารีผู้นี้จะออกมาพบข้า ในความเป็นจริงแล้ว ต่อให้ข้าบุกเข้าไปข้างใน แล้วนางตัดสินใจเด็ดขาดว่าจะหลบซ่อนตัว ข้าก็อาจจะหาตัวนางไม่เจอจริงๆ”
เฉินผิงอันถาม “ตะเกียงวิญญาณแห่งชะตาชีวิตเหล่านั้น เจ้าดับไปแล้วหรือยัง?”
บัณฑิตพยักหน้าพลางตอบด้วยรอยยิ้ม “แน่นอน นี่ก็ถือเป็นการทำบุญกุศลที่ไม่เล็กครั้งหนึ่ง เมื่อเทียบกับการสังหารปี้สู่เหนียงเนียงผู้นั้นแล้ว ก็ถือว่าดีกว่ามาก พี่ชายคนดี เจ้าช่างเป็นดาวนำโชคของข้าจริงๆ”
เฉินผิงอันนั่งยองอยู่ข้างหลุมใหญ่ สตรีที่อยู่ด้านในลุกขึ้นมานั่งแล้ว นางเงยหน้ากรีดร้องเสียงแหลม “นภากาศแบกรับดวงตะวันจันทราและดวงดารา ปฐพีแบกรับน้ำและฝุ่นดิน สรรพชีวิตที่มีอารมณ์ความรู้สึกย่อมต้องแบกรับความทุกข์ยาก! นี่ก็คือเคราะห์กรรมที่ควรมีอยู่ในชะตาของบุรุษ!”
บัณฑิตได้ยินแล้วก็หัวเราะเสียงดังลั่น เขายกนิ้วโป้งให้นาง “พูดคล่องน่าฟังเสียจริง ทำเอาข้าเกือบจะเชื่อซะแล้ว”
เฉินผิงอันมองสตรีคนนั้นแล้วถามว่า “แล้วเคราะห์กรรมของตัวเจ้าเองเล่า เคยคิดถึงหรือไม่?”
สตรีพูดเสียงกร้าว “พวกเราสองพ่อลูกมีความสัมพันธ์กับวัดหยวนเยว่ใหญ่ พวกเจ้ากล้าฆ่าข้าหรือ?!”
เฉินผิงอันเงียบงันไม่เอ่ยคำใด
บัณฑิตใช้เสียงในใจบอกกล่าว “ไม่ต้องรีบร้อนลงมือ พวกเราเอานางมาล่อตัวใหญ่กว่า เจ้าแม่เทพวารีผู้นี้ยังนับว่าหาได้ง่าย โพรงมังกรเฒ่าแห่งนั้น เล่าลือกันว่าวกวนอ้อมค้อม ยากเกินกว่าจะเจอร่องรอยของตะพาบเฒ่า”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับเบาๆ รวมเสียงให้เป็นเส้นถามว่า “ได้กวาดค้นรังของนางแล้วหรือยัง?”
บัณฑิตยังคงใช้ริ้วคลื่นในใจพูดคุยกับเฉินผิงอัน เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเสียดายว่า “สตรีผู้นี้ก็อำมหิตพอตัว พอเห็นว่าท่าไม่ดี ก่อนจะถูกข้าจับตัวก็โคจรวิชาอภินิหารปิดประตูใหญ่ของถ้ำสถิตโดยตรง คิดจะบุกทลายเข้าไปก็ได้อยู่ เพียงแต่ว่าจะเสียเวลาเกินไป หากมีเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็ยากที่จะเปิดออกได้ แต่ไหนแต่ไรมาวังมังกรน้อยใหญ่ใต้น้ำ หายากแล้วก็เปิดได้ยาก ผู้ฝึกตนกลัวในเรื่องนี้มากที่สุด นั่นเป็นเพราะเกี่ยวพันกับโชคชะตาน้ำและรากภูเขาลึกล้ำเกินไป ง่ายมากที่จะเอาสมบัติมาไม่สำเร็จแล้วไม่ทันระวังฟ้าถล่มดินทลายลงมา หากโชคชะตาน้ำระเบิด น้ำในแม่น้ำซัดตลบ กลับจะกลายเป็นการหาหายนะใส่ตัว หากเป็นสถานที่ที่มีคนอยู่เยอะ นั่นก็จะก่อให้เกิดโศกนาฎกรรมที่ผู้คนเรือนพันเรือนหมื่นต้องจมน้ำตาย ที่นี่แน่นอนว่าไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้ รออีกเดี๋ยวหากล่อตะพาบเฒ่าตัวนั้นออกมาได้ พวกเราสองพี่น้องค่อยลงน้ำไปหาสมบัติกันใหม่ มีศาสตราวุธเทพชิ้นนั้นของพี่ชายคนดี ก็มีแต่จะเปิดประตูได้เร็วขึ้น”
เฉินผิงอันจ้องนิ่งไปยังภูตของลำคลองเฮยเหอตนนั้นอยู่ตลอดเวลา แต่ปากก็ยิ้มเอ่ยไปว่า “ข้าอยู่ใต้น้ำได้ไม่นานเท่าไหร่ ไม่เหมือนเจ้าที่มีสมบัติหลบน้ำอยู่ติดกาย ปราณวิญญาณของข้าจะเผาผลาญอย่างรวดเร็ว หากออกแรงเต็มกำลังเงื้อกระบี่ฟันประตูถ้ำสถิต แล้วเจ้าแอบใช้กระบี่บินจื่อจือลอบแทงข้าสองสามที ขว้างตราประทับทองแดงเข้าใส่อีกสองครั้ง จากนั้นก็เรียกยันต์พิฆาตของตำหนักนภากาศออกมาอีกหลายๆ แผ่น จะไม่กลายเป็นว่าข้าต้องพาตัวไปตายอยู่ในท้องปลาหรอกหรือ พี่มู่เม่า เจ้าว่าถูกหรือไม่?”
บัณฑิตกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “พี่ชายคนดีอย่าได้ใช้ความคิดของคนถ่อยมาวัดใจของวิญญูชน!”
เฉินผิงอันกล่าว “อีกเดี๋ยวเชิญเจ้าไปค้นหาสมบัติในจวนใต้น้ำได้ตามสบาย ในเมื่อข้าไม่ได้ออกแรงแม้สักเสี้ยว ถ้าอย่างนั้นก็สามต่อเจ็ด เจ้าเจ็ดข้าสาม”
บัณฑิตพึมพำ “ยังจะแบ่งไปสามส่วนอีกหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ ตอบกลับ “ข้าจะช่วยดูต้นทางให้เจ้าที่ผิวน้ำ เจ้าไม่ต้องคอยพะวงหลังก็จะค้นหาสมบัติได้อย่างสบายใจ แต่บอกไว้ก่อนว่า เจ้ามีวัตถุจื่อชื่ออยู่กับตัว ข้าไม่อาจรู้ได้ว่าเจ้าเจอสมบัติและเงินทองกี่มากน้อย การแบ่งสินทรัพย์หลังจากนั้นก็ล้วนต้องขึ้นอยู่กับมโนธรรมในใจเจ้าแล้ว”
บัณฑิตถาม “ถ้าอย่างนั้นก็แบ่งกันแปดต่อสอง ตกลงไหม?”
เฉินผิงอันตอบรับ “ได้สิ”
เห็นว่าเฉินผิงอันตอบรับอย่างรวดเร็วฉับไวเช่นนี้ กลับกลายเป็นว่าทำให้บัณฑิตรู้สึกสงสัยแทน จึงถามหยั่งเชิงว่า “คงไม่ใช่ว่าพอเจ้าเอาทรัพย์สมบัติของถ้ำสถิตใต้น้ำไปเปรียบเทียบกับคลังใต้ดินของตำหนักกว่างหานคร่าวๆ ถึงเวลานั้นกลับรู้สึกว่าของที่ได้มาน้อยเกินไป เจ้าก็จะโมโห ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง แตกหักกับข้าขึ้นมาหรอกนะ?”
เฉินผิงอันยิ้มอย่างเข้าใจ “นี่เจ้าเป็นคนพูดเองนะ”
บัณฑิตทรุดตัวนั่งยองอยู่บนพื้น ทอดถอนใจเฮือกๆ
สตรีผู้นั้นเห็นว่าบุรุษทั้งสองคล้ายจะสื่อสารกันด้วยเสียงในใจ มองดูแล้วไม่เหมือนว่าจะฆ่านางทันทีก็ยิ่งเกิดความโอหัง พูดอย่างเดือดดาล “ยังไม่รีบปล่อยข้าไปอีก แล้วข้าจะเว้นชีวิตพวกเจ้า! ไม่อย่างนั้นรอให้ท่านพ่อของข้ามาถึง ก็จะทำให้พวกเจ้ารู้ว่าอะไรคือตายโดยไร้ที่ฝัง! แท่นบูชารักของข้าที่ถูกเจ้าทำลายไป วันใดที่ถูกสร้างขึ้นมาใหม่ก็จะจับเอาพวกเจ้ามาแทงพันครั้ง แล้วนำมาจุดตะเกียงน้ำ!”
เฉินผิงอันมองไปยังบัณฑิตที่อารมณ์ดีสุดขีดแล้วเปิดปากเอ่ยว่า “เจ้าหลอกคนประเภทนี้ให้ออกมาจากบ้านได้ก็ไม่น่าจะมีอะไรให้ภาคภูมิใจหรอกกระมัง?”
บัณฑิตโบกมือ “ข้าไม่ได้ภาคภูมิใจอะไรหรอก ก็แค่รู้สึกสนุกเท่านั้น หากเปลี่ยนมาเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งภูเขาแม่น้ำที่แท้จริง ต่อให้ระดับขั้นจะต่ำแค่ไหน แต่ขอแค่มีชีวิตอยู่มาจนปูนนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่มีทางพูดจาน่าขันเช่นนี้ ใช้ชีวิตอยู่ในหุบเขาผีร้ายอย่างไม่เอาไหน ให้ตายอย่างไรก็ออกไปข้างนอกไม่ได้ เพราะถูกสำนักพีหมาที่มีคนน้อยนิดแค่นั้นข่มกำราบให้อยู่ในเปลือกหอยเล็กๆ แห่งนี้ ไม่เคยได้เห็นเดือนเห็นตะวัน ดูท่าแล้วก็น่าจะมีเหตุผลอยู่จริงๆ”
เฉินผิงอันกับบัณฑิตหันไปมองจุดหนึ่งบนผิวลำคลองแทบจะเวลาเดียวกัน
บัณฑิตยิ้มกล่าวว “มีแขกมาแล้ว”
—
นับแต่โบราณมาเซียนกระบี่ล้วนต้องดื่มสุรา
ภูตน้ำลักษณะคล้ายผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งโผล่หัวออกมาจากผิวน้ำ ลังเลอยู่นานกว่าจะขยับเข้ามาใกล้อย่างขลาดกลัว
ยังคงไม่กล้าขึ้นฝั่งเข้ามาใกล้คนทั้งสอง เพียงยืนอยู่ในลำคลอง เอ่ยเสียงสั่น “ราชันย์เฮยเหอให้ข้านำความมาบอกเซียนซือทั้งสองท่านว่า ขอแค่ปล่อยตัวฟู่ไห่หยวนจวินไป เซียนซือทั้งสองก็เอาสมบัติที่อยู่ในถ้ำสถิตของฟู่ไห่หยวนจวินไปได้ตามสบาย ถือเสียว่าเป็นการผูกบุญสัมพันธ์ต่อกันครั้งหนึ่ง”
สตรีที่อยู่ในหลุมก้มหน้าลง
บัณฑิตเอ่ยสัพยอกว่า “พ่อของเจ้าคนนี้ไม่กังวลเรื่องความเป็นความตายของเจ้าเลยจริงๆ แค่ส่งทหารกุ้งหอยปูปลาให้มารับมือกับพวกเราเนี่ยน่ะ?”
สตรีเพียงแค่ก้มหน้าไม่พูดจา ความจองหองและโทสะก่อนหน้านี้ล้วนไม่เหลืออยู่เลย
ภูตตนนั้นเอ่ยอย่างกล้าๆ กลัวๆ ว่า “สองแคว้นเปิดศึกกันล้วนไม่สังหารทูตที่มาช่วยเจรจา ไม่ว่าเซียนซือทั้งสองท่านจะตอบรับหรือไม่ก็ควรปล่อยให้ข้านำความกลับไปแจ้งที่โพรงมังกรเฒ่า”
บัณฑิตหลุดขำกับคำพูดของอีกฝ่าย เขาหันหน้ามามองเฉินผิงอัน “เอาอย่างไร?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็กลับไปเถอะ บอกไปว่าพวกเรายอมตอบรับเงื่อนไขนี้”
บัณฑิตเอ่ยเสริมไปว่า “แต่ฟู่ไห่เทียนจวินท่านนี้ต้องอยู่ต่อก่อน”
ภูตผู้นั้นร้องโอดครวญ “ราชันย์เฮยเหอบอกข้าว่าต้องพาหยวนจวินเหนียงเนียงกลับไปด้วยกันให้ได้”
เฉินผิงอันกล่าว “ทำงานได้ไม่ดีพอก็อาจจะมีโอกาสตายด้วยน้ำมือของราชันย์เฮยเหอ แต่ถึงอย่างไรก็คงดีกว่าต้องมาตายที่นี่อย่างแน่นอนกระมัง?”
ภูตตนนั้นหดคอ รีบหันหลังกลับแล้วเผ่นหนีไปในน้ำทันที
บัณฑิตเอ่ย “ข้าจะไปบุกประตูใหญ่ของจวนใต้น้ำตอนนี้เลยนะ?”
เฉินผิงอันชี้ไปยังสตรีที่อยู่ในหลุมพลางพยักหน้ารับ “ข้าจะเฝ้าอยู่ที่ผิวน้ำใกล้กับถ้ำสถิตแห่งนั้น เจ้าพานางไปไว้ข้างกายด้วยเลย ไม่แน่ว่าระหว่างทางอาจถูกเจ้าพูดเกลี้ยกล่อมได้สำเร็จ และนางยอมเปิดประตูใหญ่ให้ด้วยตัวเอง จะช่วยลดปัญหาความยุ่งยากไปได้มาก”
ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่ได้มัวอืดอาดชักช้า บัณฑิตกุมลำคอของสตรีเรือนกายกำยำผู้นั้นอีกครั้งแล้วกระชากนางมาไว้ในมือ เฉินผิงอันก็ติดตามบัณฑิตมุ่งหน้าไปยังลำคลองตอนบนด้วยกัน
สุดท้ายบัณฑิตก็ผลุบหายลงไปใต้น้ำ
เฉินผิงอันยืนอยู่ข้างลำคลอง
หนึ่งเค่อต่อมา
เฉินผิงอันหัวเราะหยันอยู่ในใจ ตะพาบเฒ่าตัวนี้ตัดสินใจได้เด็ดขาดและอำมหิตเสียจริง ถึงขนาดไม่สนใจชีวิตของบุตรสาวเลยหรือ?
เห็นเพียงว่าตลอดทั้งลำคลองเฮยเหอ น้ำในลำคลองที่เดิมทีขุ่นมัวพลันเปลี่ยนมาเป็นสีหมึก จากนั้นกระแสน้ำนับตั้งแต่ตอนบนของลำคลองที่ห่างไปไกลเป็นต้นมาก็จับตัวกลายเป็นน้ำแข็งอย่างรวดเร็ว
ดูท่าคงจะตัดสินใจแล้วว่าจะสังหารบัณฑิตที่ลงน้ำไปหาสมบัติให้ตายอยู่ในลำคลอง
ไม่เพียงเท่านี้ ม่านฟ้าที่ห่างไปไกลยังมีชายร่างกำยำที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยสายฟ้าตัดสลับถักทอกันพุ่งบุกมาสังหารอย่างดุดัน
คือขุนพลเทพชื่อเหลยแห่งภูเขาจีเซียว
ทว่านอกจากท่านนี้แล้ว ดูเหมือนว่าจะไม่มีปีศาจตนอื่นมาเข้าร่วมและล้อมโจมตีอีก พวกปีศาจที่รวมถึงอริยะใหญ่ปานซานนั้น หากไม่ไปหลบอยู่ไกลยิ่งกว่าก็คงเลือกที่จะอยู่เฉยรอดูสถานการณ์ไปก่อน
เฉินผิงอันรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย หรือว่าปีศาจแห่งภูเขาจีเซียวตนนี้รู้ว่ามีคนไปขุดเอาแส้สายฟ้าสีทองพวกนั้นมา ไม่มีที่ให้ระบายไฟโทสะ พอได้รับการแจ้งข่าวจากตะพาบเฒ่าก็เลยทิ้งพันธมิตรคนอื่นๆ บุกมาสังหารศัตรูที่นี่เพียงลำพัง?
ตะพาบเฒ่าร่ายวิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิต ผนึกน้ำในลำคลองเฮยเหอให้กลายเป็นน้ำแข็งในระยะร้อยลี้ ความผิดปกติเช่นนี้ ต่อให้เฉินผิงอันมีใจแต่ก็ไร้กำลังจะรับมือ
ทว่าถึงอย่างไรก็ควรจะต้องขัดขวางปีศาจแห่งภูเขาจีเซียวตนนั้นไว้สักหน่อย
ดูท่าปีศาจที่ตั้งบรรดาศักดิ์ให้ตัวเองเป็นขุนพลเทพชื่อเหลยผู้นี้จะโมโหจริงๆ ตอนนั้นที่อยู่บนภูเขาตี้หย่ง รอบกายยังมีแค่แผ่นป้ายสองแผ่นล้อมวน ตอนนี้กลับเพิ่มมาเป็นสามแผ่น ด้านบนเขียนคำสั่งวิชาอสนีเอาไว้ มีความเป็นไปได้มากว่าจะหลอมมาจากแส้สายฟ้าสีทอง
เขาหยุดลอยตัวอยู่กลางอากาศ คำรามกร้าว “เจ้าโจรชั่ว เป็นเจ้าที่ขโมยบ่อสายฟ้าของข้าไปใช่หรือไม่?!”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง ก่อนจะยิ้มเอ่ยว่า “หากข้ามีความสามารถเทียมฟ้าเช่นนั้นจริง พวกเจ้าที่อยู่ภูเขาตี้หย่งจะยังมีชีวิตรอดกันอีกหรือ?”
เขาเหมือนจะเสียสติไปแล้ว เอาแต่คำรามไม่หยุด บนร่างก็ปลดปล่อยประกายแสงสายฟ้าออกมาอย่างต่อเนื่อง “เจ้าโจรชั่วสมควรตาย กล้าทำลายรากฐานของข้า ข้าจะต้องทำให้เจ้าถูกแล่เนื้อเถือหนังเป็นพันเป็นหมื่นครั้ง ข้าจะดึงเอาจิตวิญญาณของเจ้าออกมาแล้วให้รับทัณฑ์สายฟ้าร้อยปีพันปี!”
เขากระโจนมายังริมตลิ่งลำคลองเฮยเหอแห่งนี้ ขณะเดียวกันก็เผยร่างจริงของภูตครึ่งตัวอยู่กลางอากาศ มีศีรษะเป็นอินทรีสีทอง และมีร่างคนสูงจั้งกว่าๆ
ป้ายคำสั่งทั้งสามแผ่นแยกกระจายตัวกันออกไป
เขาปล่อยหมัดต่อยเข้าใส่เฉินผิงอัน
เฉินผิงอันไม่ได้ชักกระบี่ แค่ใช้หมัดต้านรับ
ไม่เสียแรงที่ปีศาจขึ้นชื่อเรื่องเรือนกายที่แข็งแกร่งทนทาน เฉินผิงอันที่ยืนอยู่บนพื้นไถลออกไปหลายจั้ง ปีศาจอินทรีทองตนนั้นก้าวยาวๆ มาข้างหน้า แผ่นป้ายคำสั่งทั้งสามต่างก็มีสายฟ้าสีทองเชื่อมโยงพวกมันไว้ด้วยกัน เวลานี้ก็มีสายฟ้าขนาดเท่าแขนคนสาดยิงเข้าหาเฉินผิงอันอย่างต่อเนื่อง วิถีการโคจรยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ ไม่แยกแยะศัตรูหรือคนกันเอง เพียงแต่ว่าเมื่อสายฟ้าตกกระทบลงบนร่างของปีศาจตนนั้นกลับไม่เพียงแต่ไม่สามารถหยุดยั้งเรือนกายของมันไว้ได้ กลับกันยังแผ่ลามไปทั่วกายภายในเสี้ยววินาที สุดท้ายไปรวมตัวกันอยู่ที่แขน หมัดแรกของมัน บนหมัดเต็มไปด้วยแสงสีทอง ตลอดทั้งลำแขนก็เหมือนมีงูตัวเล็กสีทองหลายสิบตัวนอนขดอยู่
เฉินผิงอันคิดจะต่อสู้ประชิดตัวกับอีกฝ่าย เขาไม่เพียงแต่ไม่ใช่เจี้ยนเซียน แม้แต่ชูอีสืออู่ที่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ก็ยังไม่เรียกออกมาด้วย
หมัดของทั้งสองฝ่ายปะทะกันเนื้อต่อเนื้อ
ปีศาจตนนั้นฮึกเหิมพร้อมเข่นฆ่า มันหัวเราะเสียงเหี้ยมไม่หยุด ทุกครั้งที่ออกหมัดจะต้องมาพร้อมกับพลานุภาพของสายฟ้าที่ดังครืนครั่น แสงสีทองบนร่างก็ยิ่งระเบิดพร่างตา
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่บนภูเขาตี้หย่ง ยามที่คนผู้นี้เผ่นหนีอย่างกระเซอะกระเซิงได้ถูกวานรย้ายภูเขาเหวี่ยงค้อนทุบหนึ่งครั้งก็กระอักเลือดไม่หยุด สีหน้าซีดขาว ร่างโซซัดโซเซ เรือนกายที่อ่อนแอถึงเพียงนี้ก็ยังกล้าจะมาวัดด้านความแข็งแกร่งทนทานของเรือนกายกับข้าผู้อาวุโสอย่างนั้นหรือ?
เตียวน้อยตัวนั้นพูดไม่ผิดเลยจริงๆ ไอ้หมอนี่คือผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง แต่บางทีอาจเป็นเพราะกระบี่ยาวที่สะพายไว้ด้านหลังมีระดับขั้นสูงเกินไป จึงไม่อาจควบคุมได้อย่างสมบูรณ์ ทุกครั้งที่ใช้จึงต้องเผาผลาญปราณวิญญาณไปอย่างมหาศาล อีกทั้งในช่วงเวลาสั้นๆ นี้ก็ต้องไม่มีทางชดเชยกลับมาให้เต็มพร้อมได้แน่นอน
มิน่าเล่าทั้งก่อนและหลังถึงได้กล้าแค่ไปหาเรื่องตำหนักกว่างหานและตะพาบน้อย!
แต่หากเปลี่ยนมาเป็นบัณฑิตที่มีวิชาคาถามากมายผู้นั้น มันก็คงไม่กล้าประมาทมาต่อสู้ประชิดตัวกับอีกฝ่ายเช่นนี้
บุรุษร่างกำยำปล่อยหมัดคู่ออกไปพร้อมกับคำรามเสียงแหบแห้ง “คืนบ่อสายฟ้าข้ามา!”
เฉินผิงอันใช้สองฝ่ามือต้านรับสองหมัด คราวนี้ร่างของเขาแน่นิ่งไม่กระดุกกระดิก
ท่ามกลางสายฟ้าที่แลบแปลบปลาบและลมพายุที่พัดกระหน่ำ ปีศาจที่มีศีรษะเป็นอินทรีทองตนนั้นเห็นใบหน้าที่ถูกเปลี่ยนรูปโฉมใหม่ รวมไปถึงสายตาที่เดิมทีควรคุ้นเคย แต่กลับไม่คุ้นเคย
หัวใจของเขาบีบรัดตัวแน่น รีบร้อนถอยหนี
เฉินผิงอันยกเท้ากระทืบลงบนพื้นหนักๆ หนึ่งทีก็มาอยู่ด้านหน้าปีศาจในเสี้ยววินาที หมัดหนึ่งถูกปล่อยออกไปอย่างเบาสบาย
ปีศาจตนนั้นประเมินน้ำหนักหมัดของอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว ครั้นจึงปล่อยหมัดออกไปเต็มกำลัง เห็นได้ชัดว่าคิดจะใช้บาดแผลแลกบาดแผลกับเจ้าหมอนี่!
หมัดของอีกฝ่ายไม่เจ็บไม่คันอย่างที่คาดไว้จริงๆ น่าจะเทียบเคียงได้กับพละกำลังของผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้าของนอกหุบเขาผีร้ายเท่านั้น ทว่าหมัดนี้ของตนกลับกระแทกลงบนใบหน้าของอีกฝ่ายอย่างจัง
แต่เหตุใดศีรษะของอีกฝ่ายถึงไม่เคลื่อนขยับเลยเล่า?
ผิดปกติ!
หมัดที่สองพุ่งมาถึงแล้ว
เร็วเกินไป
ปีศาจกัดฟันแลกเปลี่ยนหมัดกับอีกฝ่ายต่ออีกครั้ง
หลังจากหลายหมัดผ่านปี ขุนพลเทพชื่อเหลยผู้นี้ก็ค้นพบด้วยความตะลึงพรึงเพริดว่า การที่ตนคิดจะแลกเปลี่ยนอาการบาดเจ็บกับอีกฝ่ายกลายเป็นเรื่องที่เพ้อฝันเสียแล้ว
ไม่ว่าจะเป็นหลายหมัดก่อนหน้านี้ หรือการกระแทกใส่ของสายฟ้าจากป้ายคำสั่งแห่งชะตาชีวิตสามเส้น คนผู้นี้ก็ยังคงไม่รู้สึกรู้สา หรือเขาจะเป็นคนบ้าที่ไม่รู้จักหวาดกลัวความเจ็บปวด?
หลายสิบหมัดผ่านไป
ศีรษะของปีศาจก็ถูกหมัดหนึ่งต่อยจนเละ
ร่างสูงหนึ่งจั้งกว่าที่ไร้ศีรษะถอยกรูดไปด้านหลัง
ไม่รู้ว่าเป็นการโจมตีสุดท้ายที่ดิ้นรนก่อนตายหรือไม่ แสงสีทองที่ป้ายคำสั่งทั้งสามปลดปล่อยออกมาถึงได้ทำให้รัศมีสิบจั้งรอบกายเฉินผิงอันมีแต่สายฟ้า ประหนึ่งอยู่ในบ่อสายฟ้าขนาดเล็กบนยอดเขาจีเซียวแห่งนั้น
เฉินผิงอันถูกสายฟ้านับไม่ถ้วนพันธนาการกักขังไว้ภายใน ชั่วขณะนั้นยังไม่อาจหลุดพ้นออกมาได้ ชุดคลุมอาคมสีเขียวบนร่างปรากฎรอยฉีกขาดเป็นเส้นๆ
แต่สายตาของเฉินผิงอันกลับจ้องมองไปยังศพนั้น
แล้วก็จริงดังคาด ศพที่หัวแหลกเละนั้นแนบติดไปกับพื้นดินแล้วพุ่งถอยไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ลุกขึ้นยืนอยู่ใกล้กับป้ายคำสั่งป้ายหนึ่ง บิดหมุนลำคอไม่กี่ทีก็มีศีรษะของอินทรีทองงอกขึ้นมาใหม่อีกหัวหนึ่ง
มือข้างหนึ่งของเขาทำมุทรา มืออีกข้างหนึ่งพลันเอื้อมไปกุมป้ายคำสั่งแผ่นนั้น เอ่ยเสียงทุ้มหนักว่า “เจ้าตัวดี ที่แท้ตอนอยู่ภูเขาตี้หย่งเจ้าก็แสร้งทำตัวเป็นเศษสวะอยู่ตลอดเวลา! ไม่เสียแรงที่เป็นผู้ฝึกกระบี่ที่สมควรตายมากที่สุด เรือนกายไม่แพ้ให้กับผู้ฝึกยุทธเลย”
ทะเลเมฆใกล้เคียงกับภูเขาจีเซียวซัดตลบกลิ้งหลุนๆ จากนั้นก็หยุดนิ่งไปในทันใด
นาทีถัดมากลางอากาศเหนือบ่อสายฟ้านี้ก็มีสายฟ้าเส้นหนาเท่าปากบ่อผ่าเปรี้ยงลงมาใส่เฉินผิงอัน
เฉินผิงอันปล่อยหนึ่งหมัดออกไป
สายฟ้าแหลกสลาย ทว่าสายฟ้าแต่ละเส้นที่ปริแตกแยกตัวออกมากลับพุ่งเข้าไปวิ่งชนอยู่ในบ่อสายฟ้าอย่างสะเปะสะปะ เป็นเหตุให้แก่นสายฟ้าเข้มข้นขึ้นอีกหลายส่วน
ปีศาจตนนั้นพุ่งมายังจุดที่มีป้ายคำสั่งแผ่นที่สอง คว้ามันไว้ในมืออีกครั้งแล้วหัวเราะหยันเอ่ยว่า “ผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง อย่างอื่นไม่เรียน กลับมาเรียนวิชาหมัดอะไรนี่ จงออกหมัดต่อไป ออกหมัดได้ตามสบาย ข้าอยากจะรู้นักว่าเรือนกายที่มีเนื้อหนังมังสานี้ของเจ้าจะสามารถประคับประคองตัวอยู่ในบ่อสายฟ้าของข้าได้นานแค่ไหน!”
แล้วสายฟ้าหนาใหญ่อีกเส้นหนึ่งก็ร่วงดิ่งลงมาเหนือหัว
เฉินผิงอันที่ถูกกักตัวให้อยู่ที่เดิมยังคงปล่อยหมัดขึ้นสู่ที่สูง
สายฟ้าที่ถูกต่อยจนแตกกระจายก็ยังคงซัดไหลกรากกรูเข้ามาในบ่อสายฟ้าอย่างบ้าคลั่ง
ปีศาจมาถึงจุดที่ตั้งของป้ายคำสั่งแผ่นที่สามแทบจะเวลาเดียวกัน
หลังจากบังคับให้สายฟ้าเส้นที่สามในทะเลเมฆเหนือภูเขาจีเซียวผ่าลงมาด้านล่างแล้ว
ในมือของเขาก็มีทวนยาวสายฟ้าเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งลำ
ขณะที่คนผู้นั้นใช้มือข้างหนึ่งออกหมัดไปต้านทานสายฟ้าที่อยู่เหนือศีรษะ เขาก็ขว้างทวนสายฟ้าในมือออกไป
จิตใจของปีศาจพลันสั่นสะท้าน
เห็นเพียงว่าคนผู้นั้นยื่นฝ่ามือออกมาเบื้องหน้า ต้านรับปลายแหลมของทวนสายฟ้าเอาไว้ทั้งอย่างนั้น
ทวนยาวบุกรุดหน้าไปอย่างต่อเนื่อง แสงสีทองสาดกระจาย ปริแตกไปทีละชุ่น ส่วนฝ่ามือของคนผู้นั้นก็เพียงแค่ยกค้างอยู่ที่เดิม
สุดท้ายเฉินผิงอันกำหมัด กำทวนสายฟ้าที่สุดท้ายเหลือแค่ท่อนเล็กๆ ไว้ในฝ่ามือ โยนเข้าไปในบ่อสายฟ้าแล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “มาอีก”
ปีศาจอินทรีทองพลันตะโกนก้อง “ตะพาบเฒ่า! อย่าเพิ่งไปสนใจเจ้าเด็กที่อยู่ใต้น้ำนั่น รีบออกมาช่วยข้าสังหารศัตรูก่อน! ค่อยๆ ฆ่าไปทีละคน!”
ทางฝั่งของต้นน้ำลำคลองเฮยเหอ น้ำในลำคลองเกาะตัวเป็นน้ำแข็ง มีผู้เฒ่าสวมชุดดำคนหนึ่งยืนอยู่บนผิวน้ำ ยกฝ่ามือข้างหนึ่งตั้งตรงวางไว้เบื้องหน้าเลียนแบบภิกษุ มืออีกข้างหนึ่งงอนิ้วสองข้างแล้วเคาะเบาๆ ก็มีเสียงเคาะปลาไม้ของในวัดดังออกมาเป็นระลอก ลมปราณแผ่กระเพื่อมเป็นริ้วคลื่นแล้วกระจายตัวออกไปเป็นวงๆ
ทุกครั้งที่เคาะก็จะมีตัวอักษรในพระคัมภีร์ที่เป็นสีดำเรียงเป็นแถวพากันผลุบหายเข้าไปในน้ำแข็งของลำคลองเฮยเหอตามริ้วคลื่นเหล่านั้น
ตอนที่ปีศาจแห่งภูเขาจีเซียวตะโกนเรียก ผู้เฒ่าชุดดำก็ท่องบทสวดบทหนึ่งเสร็จพอดี
เขาลังเลอยู่เล็กน้อย น่าจะเป็นเพราะรู้สึกว่าขุนพลเทพชื่อเหลยผู้นั้นพูดถูกแล้ว ดังนั้นจึงสะบัดไหล่หนึ่งที จำแลงร่างจริงออกมา เป็นตะพาบเฒ่าที่ตัวโตราวกับขุนเขาตัวหนึ่งจริงๆ
ตะพาบเฒ่าวิ่งตะบึงเข้าหาเฉินผิงอัน ทุกครั้งที่เท้าทั้งสี่เหยียบพื้นก็ถึงกับทำให้แผ่นดินไหวภูเขาโยกคลอน
เฉินผิงอันหัวเราะเสียงเย็น “พี่มู่เม่า หากยังมัวนั่งดูไฟชายฝั่งอยู่อีกก็คงทำลายความสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องแล้วจริงๆ”
เสียงหัวเราะดังกังวานสะเทือนฟ้าดังขึ้นทันใด
บัณฑิตแหวกผิวลำคลองที่เป็นน้ำแข็งออกมา ลอยตัวอยู่กลางอากาศสูง เขาสะบัดเศษน้ำแข็งจำนวนนับไม่ถ้วนที่ติดกายทิ้งประหนึ่งเกล็ดหิมะที่พร่างพรม
บัณฑิตขว้างตราประทับทองแดงรูปชื่อหลงเข้าใส่ตะพาบเฒ่าที่เผยร่างจริง ตราประทับชิ้นเล็กๆ กลับมีความเร็วราวกับสายฟ้า วูบเดียวก็พุ่งหาย จากนั้นเสียงเพี๊ยะก็ดังกังวานใสแจ๋ว ตราประทับแนบติดอยู่กลางกระดองสีดำขนาดมหึมาที่เหมือนขุนเขาของตะพาบเฒ่า เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ทั้งสองอย่างนี้มีขนาดต่างกันราวฟ้ากับเหว
แต่ไม่รู้ว่าทำไม ตะพาบเฒ่าร้องโหยหวนหนึ่งครั้งก็พลันรู้สึกเหมือนว่าแบกภูเขาลูกยักษ์ไว้บนกระดอง
น้ำหนักมหาศาลจนไม่อาจแบกรับไว้ได้ พริบตานั้นขาทั้งสี่ก็กางแบะออก หน้าท้องแนบติดกับพื้นผิวลำคลอง น้ำแข็งปริแตกดังสนั่นหวั่นไหว
บัณฑิตตบมือ “สร้างคุณความชอบนำไปก่อน พี่ชายคนดี ถึงตาเจ้าแล้ว”
เจี้ยนเซียนที่อยู่ด้านหลังเฉินผิงอันออกจากฝักเสียงดังเคร้ง ไหนเลยจะมีเวลามามัวสนใจสายฟ้าที่ถักทออยู่รอบกาย เขาเหมือนเซียนที่กุมกระบี่แล้วยกขึ้นฟันฉับออกไป ผ่าจากหัวจรดเท้าจนร่างของปีศาจอินทรีทองตัวนั้นแบะออกเป็นสองท่อน
โอสถทองขนาดเท่ากำปั้นที่เกิดจากการรวมตัวกันของวิญญาณทั้งหมดพุ่งออกมาจากเลือดเนื้อครึ่งร่างแล้วเผ่นหนีไปอย่างรวดเร็ว
ป้ายคำสั่งอสนีสามแผ่นก็หายวับไปในชั่วพริบตา กลายเป็นแสงสีทองสามจุดที่ผสานรวมกับโอสถทองเม็ดนั้น
เสียงเคร้งดังขึ้น
เสียงร้องโหยหวนของดวงวิญญาณที่อยู่ในโอสถทองก็พลันดังกึกก้องไปทั่วทั้งผิวน้ำแข็งของลำคลองเฮยเหอ
เพียงแต่ว่าโอสถทองไม่ได้แหลกสลายไปเพราะเหตุนี้ ความเร็วในการหลบหนีของมันหยุดชะงักเล็กน้อย หลังจากกระบี่บินชูอีกระแทกชนโอสถทองแล้วก็ถูกดีดกลับมา หมุนคว้างเป็นวงอย่างรวดเร็วหนึ่งรอบ ปลายกระบี่ชี้ไปยังโอสถทองเม็ดนั้นของปีศาจอีกครั้ง จากนั้นกระบี่บินชูอีก็พุ่งวูบหายไป ลากเส้นยาวๆ สีขาวหิมะแสบตาทิ้งไว้กลางอากาศ
โอสถทองจำต้องเปลี่ยนวิถีการโคจร เบี่ยงไปด้านข้างหลายองศาถึงจะหลบเส้นสีขาวนั่นมาได้พ้น
หลังจากปะทะกันสองครั้งก็สามารถทิ้งระยะห่างช่วงหนึ่งกับกระบี่บินที่แสงกระบี่ประหนึ่งหิมะขาวได้อย่างพอดิบพอดี
ในที่สุดก็สู้สุดใจจนมองเห็นโอกาสรอดเสี้ยวหนึ่ง มองเห็นแสงสว่างหลังจากรอดพ้นหายนะมาได้
ทว่าแสงกระบี่สีเขียวกลับพุ่งตรงดิ่งลงมาจากกลางอากาศสูง
แทงทะลุโอสถทองเม็ดนั้น
บัณฑิตปรบมือหัวเราะชอบใจ “สองกระบี่ร่วมมือกันช่างสมบูรณ์แบบไร้ช่องโหว่ ช่างเป็นกระบวนท่าที่เยี่ยมยอดจริงๆ”
โอสถทองเม็ดนั้นกำลังจะปริแตก และก่อนที่บัณฑิตจะเอ่ยประโยคนี้ก็ได้โยนกระดาษที่มีคุณลักษณะคล้ายผ้าฝ้ายอ่อนนุ่มแผ่นหนึ่งออกมาห่อหุ้มโอสถทองไว้ภายนอก จากนั้นก็ยื่นมือมาคว้าทั้งกระดาษและโอสถทองไว้ในมือ
เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง เจี้ยนเซียนกลับคืนสู่ฝัก ราวกับว่ายังไม่สาแก่ใจมากพอ ท่าทางของเจี้ยนเซียนจึงไม่ใคร่จะยินดีนัก
ชูอีกับสืออู่ก็ทยอยกันบินกลับเข้ามาในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่อยู่ในมือของเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันผูกน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ให้เรียบร้อย เขย่งปลายเท้าดีดตัวไปใกล้กับตะพาบเฒ่าที่นอนพังพาบแน่นิ่งไม่ขยับ
บัณฑิตเองก็พลิ้วกายลงที่ริมตลิ่ง
—
นับแต่โบราณมาเซียนกระบี่ล้วนต้องดื่มสุรา
ร่างของเฉินผิงอันหยุดชะงักกะทันหัน
บัณฑิตพลันทอดถอนใจ “ดีนักน่ะ เล่นงานเด็กแล้ว ก็มาเจอคนแก่ พอเล่นงานคนแก่ ก็มาเจอคนที่แก่ยิ่งกว่า พี่ชายคนดี ทีนี้จะเอาอย่างไร? คราวนี้ล่ะเป็นปัญหายุ่งยากจริงๆ แล้ว”
ภิกษุเฒ่าร่างผอมแห้งราวกับท่อนฟืนมาปรากฎตัวอยู่ข้างกายตะพาบเฒ่า
เมื่อเทียบกับตะพาบเฒ่าที่ตัวใหญ่โตราวขุนเขาแล้ว ก็สามารถมองข้ามร่างของภิกษุเฒ่าไปได้เลย
แต่เมื่อปรากฏอยู่ในสายตาของเฉินผิงอัน ภาพบรรยากาศที่แผ่มาจากร่างของภิกษุเฒ่ากลับยิ่งใหญ่สูงตระหง่าน ตะพาบเฒ่าต่างหากที่เล็กจ้อยดุจเมล็ดงา
ภิกษุเฒ่ายกสองมือขึ้นพนม ท่องภาษาพระธรรมหนึ่งประโยคแล้วก็ถามว่า “ประสกทั้งสองท่านจะปล่อยให้ข้านำตะพาบตัวนี้กลับไปที่วัดหยวนเยว่ใหญ่ได้หรือไม่?”
บัณฑิตยิ้มกล่าว “ข้ายังไงก็ได้ ต้องฟังพี่ชายท่านนี้ ต้องให้เขาตกลงเท่านั้น”
ตะพาบเฒ่าเอ่ยปากวิงวอน “หลวงพ่อช่วยข้าด้วย ช่วยข้าด้วย ข้าผิดไปแล้ว วันหน้าจะต้องสงบใจฝึกพระธรรมอยู่ในวัด พันปีหมื่นปีก็ไม่กล้าออกมาโดยพลการอีกแน่นอน”
ภิกษุเฒ่ามองมาทางเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันเองก็ทำเพียงแค่มองประสานสายตากับภิกษุเฒ่า ถามว่า “สำนึกผิดหรือไม่ ข้าไม่สนใจ ข้าแค่อยากจะแน่ใจว่าตะพาบเฒ่าตัวนี้จะสามารถชดเชยแก้ไขความผิดบาปที่ทำมาตลอดหลายปีนี้ได้”
ตะพาบเฒ่าอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่กลับพบว่าตนไม่อาจส่งเสียงได้เลย
ภิกษุเฒ่าพนมมืออยู่ตลอดเวลา พยักหน้าเอ่ยว่า “อาตมาสามารถรับรองแทนได้ว่าการฝึกตนของตะพาบเฒ่าหลังจากนี้จะเป็นการชดเชยแก้ไขความผิด จะกระทำแต่เรื่องดี สร้างบุญกุศล มีแต่จะเป็นประโยชน์ต่อฟ้าดินแห่งนี้ยิ่งกว่าการสังหารมันให้จบเรื่องตั้งแต่ตอนนี้”
เฉินผิงอันไม่เอ่ยอะไรอีก
ภิกษุเฒ่าคลี่ยิ้ม ผงกศีรษะ จากนั้นก็มองไปยังฝั่งตรงข้าม ท่องคาถาธรรมประโยคว่ากลับใจคือฝากฝั่งเบาๆ
เมื่อภิกษุเฒ่าที่ร่างกายเล็กเตี้ยแต่กลับสวมจีวรตัวหนาใหญ่ผู้นี้หมุนตัวกลับ ทั้งร่างของตะพาบเฒ่าและเขาต่างก็ไม่อยู่แล้ว
ส่วนบัณฑิตก็ควบคุมให้ตราประทับทองแดงที่เมื่อไม่มี ‘พื้นที่ให้หยัดยืน’ จึงร่วงตกลงเบื้องล่างกลับมา
เฉินผิงอันยืนอยู่ที่เดิม จมอยู่ในภวังค์ความคิด
บัณฑิตยิ้มกล่าว “พี่ชายคนดี เจ้าช่างใจกล้ายิ่งนัก รู้รากฐานของภิกษุสมณะสูงผู้นี้หรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่รู้ ใน ‘รวมเล่มวางใจ’ ไม่ได้มีบันทึกไว้ และข้าเองก็ตอนที่ผ่านป่าท้อแถบนั้นถึงจะเพิ่งรู้ว่าหุบเขาผีร้ายมีวัดหยวนเยว่ใหญ่อยู่ด้วย
บัณฑิตใช้มือสองข้างนวดคลึงซีกแก้ม กล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า “หากในบันทึกลับของหน่วยฉงเสวียนเขียนไว้ไม่ผิด ภิกษุเฒ่าผู้นี้ก็คืออันดับที่สองของอรหันต์ร่างทอง และอันที่หนึ่งของไม่สั่นคลอนดุจขุนเขาในอุตรกุรุทวีปเรา ภิกษุเฒ่ายืนนิ่งไม่หลบไม่เลี่ยง ต่อให้เจ้าจะเป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่ใช้กระบี่แห่งชะตาชีวิตแทงเขาเป็นเวลาหนึ่งก้านธูป ก็ต้องเจอจุดจบที่ภิกษุไม่ตาย กระบี่หักก่อนอยู่ดี หากเปลี่ยนมาเป็นข้าคงไม่กล้าต่อรองกับภิกษุเฒ่าเช่นนี้ เขาปรากฏตัว ข้าก็เตรียมพร้อมไว้แล้วว่าจะยกตะพาบเฒ่าให้แต่โดยดี แต่โชคในการเดิมพันของพี่ชายคนดีไม่แย่เลยจริงๆ ภิกษุเฒ่าถึงขั้นไม่โกรธ กลับกันยังหัวเราะ นี่ก็ถือว่าพวกเราสองพี่น้องไม่ได้ผูกปมแค้นกับวัดหยวนเยว่ใหญ่เพราะสาเหตุนี้”
เฉินผิงอันเอ่ยเนิบช้า “สามารถบรรลุผลเช่นนี้ ก็ควรจะมีใจเช่นนี้”
บัณฑิตให้รู้สึกปวดหัว ร้องโอ้โหแหะหนึ่งที “พี่ชายคนดีอย่าได้พูดเรื่องพวกนี้เลย ข้าคือลูกศิษย์ของลัทธิเต๋า ทนฟังเรื่องพวกนี้ไม่ได้ที่สุดแล้ว”
เฉินผิงอันพลันกระอักเลือดหนึ่งคำ เดินไปบนผิวน้ำแข็งที่เมื่อไม่มีวิชาของตะพาบเฒ่าประคับประคองก็เริ่มเกิดลางว่าจะละลาย แล้วนั่งขัดสมาธิ หยิบน้ำแข็งก้อนหนึ่งขึ้นมาถูไปบนใบหน้าลวกๆ
ยังคงมีเลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด
เฉินผิงอันเหม่อลอย แต่บนใบหน้ากลับมีรอยยิ้ม
บัณฑิตนั่งยองอยู่ห่างไปไม่ไกล เบิกตากว้าง ถามเสียงเบา “พี่ชายคนดี อยู่ในสภาพที่จิตวิญญาณสั่นสะเทือน เส้นเอ็นและกระดูกโยกคลอนอย่างนี้ก็ยังไม่รู้สึกเจ็บสักนิดเลยหรือ?”
เฉินผิงอันกระตุกมุมปาก ทอดสายตามองไปไกล “หากข้าบอกว่าแค่คันๆ เจ้าจะเชื่อไหม?”
บัณฑิตพยักหน้ารับอย่างแรง “เชื่อ!”
ทว่าในใจกลับนินทาไม่หยุด ข้าเชื่อเจ้ากะผีน่ะสิ
บัณฑิตเริ่มนับเวลาอยู่เงียบๆ อยากรู้ว่าเลือดสดบนใบหน้าของเจ้าหมอนี่จะหยุดไหลเมื่อไหร่
เฉินผิงอันหันหน้ามาถาม “ฟู่ไห่หยวนจวินผู้นั้นล่ะ?”
บัณฑิตยิ้มกล่าว “ถูกข้ากักตัวไว้บนเชือกกักปีศาจ เรียกเมื่อไหร่ก็มาหาได้ทันที”
เฉินผิงอันมีสีหน้าประหลาด
บัณฑิตยิ้มตาหยี “จะให้พี่ชายคนดีมีเชือกพันธนาการปีศาจได้คนเดียว ไม่อนุญาตให้ข้าหยางมู่เม่ามีเชือกกักปีศาจบ้างเลยหรือ?”
บัณฑิตยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา บนมือมีก็มีเชือกสีขาวหิมะเส้นหนึ่งลอยขึ้น เขาสะบัดเบาๆ สตรีร่างกำยำก็ถูกกระชากออกมาจากเบื้องใต้ผิวน้ำของลำคลองที่กลายเป็นน้ำแข็งซึ่งอยู่ห่างไปไกล จากนั้นก็เหมือนถูกคนจิกหัวกระชากผมแล้วพาวิ่งตะบึงมา เวลาเพียงแค่ไม่กี่พริบตาก็ถูกบัณฑิตกระชากมาไว้ที่ข้างฝ่าเท้า
เฉินผิงอันหนังตากระตุกเบาๆ
บนร่างของไอ้หมอนี่มีสมบัติอาคมที่เป็น ‘สมบัติก้นกรุ’ กี่ชิ้นกันแน่?
บัณฑิตถาม “จะจัดการนางอย่างไร? พี่ชายคนดีเจ้าบอกมาได้เลย ข้าพร้อมจะปฏิบัติตาม!”
เฉินผิงอันกล่าว “ขอแค่นางยินดีเปิดถ้ำสถิตด้วยตัวเองก็สามารถมีชีวิตรอดได้”
บัณฑิตพยักหน้า หันไปยิ้มพูดกับตะพาบน้อยตัวนั้น “ได้ยินแล้วหรือยัง?”
แต่สตรีกลับทำท่าทางที่ประหลาดอย่างมาก นางมองเฉินผิงอันแวบหนึ่ง แล้วถึงได้หันมามองบัณฑิต “ข้าต้องการให้เจ้าเอ่ยคำสาบานที่รุนแรงเสียก่อน ข้าถึงจะไปเปิดประตู”
บัณฑิตหัวเราะร่าไม่หยุด เขาชูนิ้วขึ้น เก็บเสียงหัวเราะ กระแอมสองสามทีแล้วพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ได้ๆๆ ข้าหยางมู่เม่าขอสาบานต่อสวรรค์ว่า…”
แต่แล้วจู่ๆ สตรีก็แผดเสียงร้องไห้ดังลั่น “ข้ารู้ว่าตัวเองต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย พวกเจ้ามันคนโกหก! คนหลอกลวง!”
เฉินผิงอันหรี่ตาลง
บัณฑิตหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย แต่จู่ๆ ก็คลี่ยิ้ม “ช่างเถิด ปล่อยนางไปเถอะ เก็บชีวิตน้อยๆ นี้ของนางไว้ ข้าย่อมมีหนทางอื่นให้เอาไปใช้งาน ราชวงศ์ต้าหยวนกำลังขาดแม่ย่าลำคลองผู้หนึ่งอยู่พอดี หากข้าแนะนำนางได้สำเร็จก็ถือว่าเป็นคุณความชอบครั้งหนึ่ง เทียบกับการฆ่านางเพื่อสะสมผลบุญแล้วก็คุ้มค่ามากกว่า”
เฉินผิงอันยื่นฝ่ามือออกมา
บัณฑิตหน้านิ่วคิ้วขมวด หยิบหน้ากระดาษที่ห่อโอสถทองซึ่งใกล้จะปริแตกออกมาจากในชายแขนเสื้อ “กระดาษแผ่นนี้มีค่ามากนักล่ะ ไม่อาจยกให้พี่ชายคนดีได้จริงๆ แต่หากเปิดกระดาษออก โอสถทองของขุนพลเทพชื่อเหลยเม็ดนี้ก็จะระเบิดแตกทันที อานุภาพนั้นมหาศาล บางทีอาจเทียบเท่ากับการโจมตีครั้งหนึ่งของก่อกำเนิดเลยทีเดียว นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กแล้ว พวกเราสองพี่น้องอยู่ใกล้ขนาดนี้อาจต้องเป็นฝ่ายที่เสียเปรียบแทน”
เฉินผิงอันกล่าว “ผลเก็บเกี่ยวในถ้ำสถิต เปลี่ยนจากสามต่อเจ็ดมาเป็นห้าต่อห้า ส่วนหนึ่งคือที่ข้าช่วยเจ้าต้านรับหายนะนี้ อีกส่วนหนึ่งก็คือทดแทนโอสถทองที่ปริแตกเม็ดนี้”
บัณฑิตลังเลอยู่พักใหญ่
เฉินผิงอันกล่าว “สี่ต่อหกส่วน ข้าหกเจ้าสี่ ต่อให้โอสถทองเม็ดนี้จะแตกแล้ว แต่ก็ยังเป็นโอสถทอง…”
บัณฑิตเก็บแผ่นกระดาษและโอสถทองมา ก่อนจะกล่าวอย่างเด็ดเดี่ยวว่า “แบ่งกันห้าต่อห้า!”
เฉินผิงอันเอ่ย “ข้าบาดเจ็บหนักเกินไป เดินไม่ไหว เจ้าไปเอาสมบัติมาเถอะ”
บัณฑิตร้องอ้อหนึ่งที ยิ้มบางๆ กล่าวว่า “เอ๊ะ? ทำไมพี่ชายคนดีถึงไม่เมาเลือดแล้วเล่า?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เลือดของตัวเอง ไม่เมาหรอก”
บัณฑิตทำท่ากระจ่างแจ้ง
จากนั้นบัณฑิตก็บอกให้สตรีนั่งคุกเข่า ตัวเขายืนอยู่ด้านหน้านาง เอามือข้างหนึ่งไพล่หลัง สองนิ้วประกบกันวาดเป็นยันต์บนหน้าผากของนาง แต่ละขีดแต่ละเส้นล้วนทำให้ผิวหนังตรงหน้าผากของนางปริแตก เป็นบาดแผลลึกจนเห็นไปถึงกระดูก
ถึงอย่างไรสตรีก็เป็นคนรู้จักหนักเบา จึงกัดฟันแน่น ไม่กล้าส่งเสียง
บัณฑิตเก็บมือมาแล้วก็ยกเท้าถีบเข้าไปที่ศีรษะของนาง “นำทาง”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “รีบไปรีบกลับ หากจะไปแล้วไปลับไม่กลับมาก็ย่อมได้”
บัณฑิตหัวเราะเสียงดังกังวาน สตรีผู้นั้นโคจรวิชาอภินิหารหลอมละลายน้ำแข็ง แล้วก็ดำน้ำว่ายลงไปในรังของตัวเองพร้อมกับบัณฑิต
หลังห่างจากเฉินผิงอันมาไกลมากแล้ว
นางก็พลันเอ่ยขึ้นเบาๆ อย่างระมัดระวังว่า “เหตุใดเซียนซือไม่ฉวยโอกาสที่คนผู้นั้นกำลังอ่อนแอสังหารเขาให้สิ้นเรื่องไปซะ?”
บัณฑิตเกร็งห้านิ้วไปตะขอจิกหัวของนาง พูดอย่างขุ่นเคือง “ข้าผู้เป็นนักพรตยังต้องให้เจ้ามาสอนว่าควรทำอย่างไรงั้นหรือ?!”
สตรีที่รู้สึกเพียงว่าหัวใกล้จะระเบิดเต็มทีร้องโหยหวน อ้อนวอนอย่างน่าเวทนาไม่หยุด
บัณฑิตเหวี่ยงนางทิ้ง พูดพึมพำว่า “มารดามันเถอะ หากสามารถสังหารเจ้าหมอนั่นได้ ต่อให้ต้องจ่ายค่าตอบแทนเป็นครึ่งชีวิตนี้ของข้า ข้าก็ยินดี…แต่หากเกินครึ่งชีวิตล่ะก็ คงบอกได้ยากแล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่…อาจตายได้เล่า?”
เพราะจิตใจที่เริ่มวุ่นวายหงุดหงิด บัณฑิตจึงยกฝ่ามือขึ้นตบให้ฟู่ไห่หยวนจวินที่นำทางอยู่เบื้องหน้าล้มหน้าทิ่ม แล้วยังเตะซ้ำจนอีกฝ่ายกระเด็นไปด้านหน้าอย่างแรง
สตรีกลิ้งตลบอยู่ในน้ำ กว่าจะหยุดร่างไว้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่กระนั้นนางก็ไม่กล้าลุกขึ้นยืน รู้สึกเพียงว่าอยู่ไม่สู้ตาย
บัณฑิตถึงได้ยอมเลิกรา เอ่ยว่า “ยังไม่รีบเดินทางต่ออีก!”
บัณฑิตยกมือขึ้นตบศีรษะตัวเอง ยิ้มจืดเจื่อน ก่อนที่บนฝ่ามือจะมีไข่มุกหลบน้ำลูกหนึ่งซึ่งยังไม่ถูกเขาอมไว้ในปากโผล่มา
เผยพิรุธซะแล้ว
แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก
ถึงอย่างไรตั้งแต่ต้นจนจบไอ้หมอนั่นก็ไม่คิดจะตามตนลงมาในน้ำ ตนจะต้องเก็บซ่อนวิชาอภินิหารแห่งชีวิตที่ใกล้ชิดกับน้ำไว้หรือไม่ก็ไม่มีความหมายอะไรแล้ว
ชั้นน้ำแข็งในลำคลองหลอมละลายเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน ย้อนกลับไปที่ริมฝั่ง
กวาดตามองไปรอบด้าน
ช่วงฤดูหนาว ฟ้าดินหนาวเย็นเงียบสงัด
เฉินผิงอันทำสมาธิช้าๆ ปรับสภาพร่างกายของตัวเองให้เข้ากับสภาพแวดล้อม
ประมาณเกือบครึ่งชั่วยามต่อมา บัณฑิตก็ย้อนกลับมาเพียงลำพัง เฉินผิงอันเองก็ไม่ถามว่าฟู่ไห่หยวนจวินผู้นั้นไปอยู่ไหน
“คนชัดเจนไม่พูดจาคลุมเครือ นางแพศยานั่นต้องเก็บรวบรวมทรัพย์สินของตัวเอง เป็นวัตถุที่ไม่อาจเคลื่อนย้ายได้ อีกทั้งยังไม่มีมูลค่าราคาใด อีกอย่างข้าก็บอกให้นางไปรีดไถพวกลูกสมุนของตัวเองมาด้วย อยู่กับพี่ชายคนดีนานวันเข้า ข้าเองก็ควรเรียนรู้วิธีการหาเงินมาจากพี่ชายคนดีบ้าง”
บัณฑิตยิ้มกล่าว “ไป พวกเราสองพี่น้องไปแบ่งสมบัติที่ศาลกัน อยู่ที่นี่ไม่ค่อยได้บรรยากาศสักเท่าไร”
เฉินผิงอันไม่มีความเห็นต่าง
คนทั้งสองเดินเข้าศาลมาแล้วก็นั่งตรงข้ามกันบนขั้นบันไดนอกตำหนักหลัก บัณฑิตโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง วัตถุน้อยใหญ่ก็ร่วงพรูลงมา มากมายละลานตา กองทับถมกันเป็นภูเขา
บัณฑิตพูดขอความดีความชอบ “รู้ว่าพี่ชายคนดีคือวีรบุรุษที่ต่อให้ห่านบินผ่านก็ยังไม่ลืมจะจับมาถอนขน (เปรียบเปรยถึงคนที่ไม่ยอมปล่อยให้โอกาสในการช่วงชิงผลประโยชน์ใดๆ หลุดไปจากมือ) ข้าก็เลยไม่แยกแยะว่าเป็นของดีเลว ขอแค่พอจะมีราคาอยู่บ้างก็ล้วนเอากลับมาด้วยทั้งหมด ในนั้นมีสมบัติอาคมหนึ่งชิ้น วัตถุวิเศษสิบสองชิ้น ส่วนเงินเทพเซียน ข้าไม่ได้โกหกจริงๆ ล้วนอยู่ที่โพรงของตะพาบเฒ่าทั้งหมด ตะพาบน้อยที่ได้เป็นเจ้าแม่เทพวารีอย่างสมเหตุสมผลผู้นี้ยากจนจนทำให้คนโมโหขนตั้งชัน ทั้งหมดที่ข้ารวบรวมมาได้ก็มีแค่เงินเกล็ดหิมะหนึ่งหมื่นแปดพันเหรียญเท่านั้น พี่ชายคนดี ข้าตั้งใจมากแล้วจริงๆ เจ้าไม่รู้อะไร อีกนิดเดียวข้าก็เกือบจะรื้อถอนฉากกั้นคู่ใหญ่นั้นออกมาด้วยแล้ว ทำเอาสตรีผู้นั้นจ้องมองจนตาแทบถลน”
บัณฑิตชี้ไปยังปิ่นปักผมหยกมรกตที่ส่องแสงแวววาวชิ้นหนึ่ง “นี่ก็คือสมบัติอาคมเพียงหนึ่งเดียวที่มี เมื่อผู้ฝึกตนปักไว้บนมวยผม จะทั้งสามารถหลบเลี่ยงน้ำ แล้วก็สามารถป้องกันความหนาว แต่ค่อนข้างจะฉูดฉาดไปสักหน่อย ระดับขั้นของมันในกลุ่มของสมบัติอาคมไม่สูงนัก แต่หากฝึกวิชาน้ำ วัตถุชิ้นนี้ก็พอจะถือว่าไม่เลว วัตถุวิเศษชิ้นอื่นๆ ข้าคงไม่ไล่แนะนำไปทีละอย่างแล้ว ราคาของพวกมันไม่ได้ต่างกันสักเท่าไหร่ ถึงอย่างไรหากแบ่งกันคนละครึ่งก็ได้กันคนละหกชิ้นพอดี พี่ชายคนดีเจ้าเลือกก่อนก็แล้วกัน ส่วนปิ่นชิ้นนี้ กับเงินเกล็ดหิมะกองนั้นที่ข้าไม่ได้เอาออกมา ก็ให้พี่ชายคนดีเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งก่อนอีกเหมือนกัน ส่วนของกระจุกกระจิกอย่างอื่นที่เหลือก็ล้วนยกให้พี่ชายคนดี”
เฉินผิงอันม้วนชายแขนเสื้อกวาดเอาวัตถุกองใหญ่ที่ไม่มีค่าที่สุดในสายตาของบัณฑิตเก็บไปไว้ในวัตถุจื่อชื่อทั้งหมดก่อน
จากนั้นก็โน้มตัวมาด้านหน้า เลือกวัตถุวิเศษสิบสองชิ้นอย่างพิถีพิถัน
สุดท้ายเลือกออกมาหกชิ้นแล้วเก็บไป
เฉินผิงอันกล่าว “ปิ่นเป็นของเจ้า ข้าต้องการเงินเกล็ดหิมะ”
ดูเหมือนบัณฑิตจะกังขาเล็กน้อย แต่ก็ยังยกชายแขนเสื้อขึ้น เงินเกล็ดหิมะก็ร่วงหล่นลงบนพื้นราวกับสายฝน
ส่วนเฉินผิงอันก็โบกชายแขนเสื้อเก็บเอาเงินเกล็ดหิมะทั้งหมดไปราวกับมังกรสูบน้ำ
หลังจากบัณฑิตเก็บปิ่นหยกสีเขียวมรกตชิ้นนั้นไปแล้วก็เอามือทั้งสองข้างวางไว้บนหัวเข่า “หลังจากนี้จะเอายังไงต่อ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “พี่มู่เม่า ข้าปฏิบัติต่อเจ้าด้วยความจริงใจ แต่เจ้ากลับใช้ปิ่นที่ผ่านการเล่นตุกติกมาแล้วมาหยั่งเชิงข้า เจ้าว่าควรจะเอายังไงดีล่ะ?”
บัณฑิตพูดด้วยสีหน้าไร้เดียงสา “ในเมื่อจะใส่ความ ไยต้องกลัวที่จะหาข้ออ้าง พี่ชายคนดี แบบนี้คงไม่ค่อยดีกระมัง? เจ้าและข้าต่างก็เป็นวิญญูชนผู้เที่ยงตรงอันดับหนึ่ง อย่าได้เลียนแบบพวกผู้ฝึกตนอิสระที่พอแบ่งทรัพย์สินกันได้ไม่เท่าเทียมก็แตกหักกลายเป็นศัตรูกันเลย”
เฉินผิงอันกล่าว “เจ้าเอาปิ่นวางไว้บนพื้น ข้าจะใช้กระบี่ฟันหนึ่งที แค่ลองก็จะรู้เอง”
บัณฑิตถาม “หากพี่ชายคนดีใส่ร้ายข้า แล้วยังจะทำลายปิ่นปักผมของข้า ไม่ใช่ว่าข้าจะต้องเสียใจ อีกทั้งยังต้องสูญเสียทรัพย์สินเงินทองอย่างนั้นหรือ? แล้วควรจะทำอย่างไรกันดี?”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็เอ่ยว่า “หากข้าเข้าใจเจ้าผิด ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะมอบวัตถุวิเศษหกชิ้นเป็นของชดใช้”
สีหน้าของบัณฑิตเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างเอาแน่เอานอนไม่ได้
บัณฑิตจ้องมองเฉินผิงอันอยู่ตลอดเวลา จากนั้นก็เอาปิ่นวางไว้บนพื้นระหว่างคนทั้งสองเบาๆ
เฉินผิงอันหยุดนิ้วที่เคาะลง
กระบี่บินชูอีพลันพุ่งพรวดออกมาจากน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่
บัณฑิตเอ่ยขึ้นกะทันหันว่า “รอเดี๋ยว”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “เอาอย่างไร? จะเก็บปิ่นหยกไว้ หรือจะมอบวัตถุวิเศษหกชิ้นนั้นมาให้ข้า?”
บัณฑิตหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังอย่างมีความสุข สองนิ้วคีบตราประทับทองแดงชิ้นนั้นออกมาแล้วขว้างใส่ปิ่นหยกอย่างแรง ปิ่นหยกพลันหักออกเป็นสองท่อน
ปราณวิญญาณที่เข้มข้นระลอกหนึ่งแผ่กระจายไปทั่วทิศ
จากนั้นประกายแสงของปิ่นหยกก็ค่อยๆ หม่นหมองลง
ไม่เหลือความลี้ลับใดๆ อีก
แรงของปราณวิญญาณที่แผ่กระเพื่อมพัดให้เส้นผมและเสื้อผ้าของคนทั้งสองปลิวสะบัดไม่หยุด
—
นับแต่โบราณมาเซียนกระบี่ล้วนต้องดื่มสุรา
เฉินผิงอันขมวดคิ้ว
บัณฑิตยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “พี่ชายคนดี เอาชนะเจ้าได้หนึ่งครั้ง ช่างไม่ง่ายเลยจริงๆ”
เฉินผิงอันกล่าว “เจ้ารังเกียจว่าเงินมากจะหนักมือเกินไปหรือ?”
บัณฑิตยิ้มพลางส่ายหน้า “ก็แค่ไม่อาจทำใจให้สงบได้เท่านั้น อัดอั้นมานาน ก่อนจะจากไป หากไม่เอาชนะสักครั้ง ข้ากลัวว่าจิตแห่งเต๋าจะได้รับความเสียหาย”
เฉินผิงอันจุ๊ปากพูด “เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลอย่างพวกเจ้าไม่เห็นเงินเป็นเงินก็แล้วไปเถิด ยังไม่เห็นสมบัติอาคมเป็นสมบัติอาคมอีกด้วยหรือ”
บัณฑิตถอนหายใจ “ข้าต้องไปแล้ว หากไม่เป็นเพราะเพื่อการเดิมพันเล็กๆ น้อยๆ นี่ ก่อนหน้านั้นข้าก็คงไปแล้วไม่กลับมาจริงๆ หันหลังได้ก็หนีไปแล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ไม่ส่ง”
บัณฑิตลุกขึ้นยืน พูดเสียงเบาว่า “พี่ชายคนดี หวังว่าจะมีวาสนาได้พบกันอีก”
เฉินผิงอันสีหน้าซับซ้อน เขาเองก็ลุกขึ้นยืน ทำท่าจะพูด แต่สุดท้ายก็ไร้คำพูดใดๆ
ดูเหมือนบัณฑิตจะเดาความคิดของเฉินผิงอันได้จึงหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “สมกับเป็นพี่ชายคนดีจริงๆ !”
พอกล่าวจบ บัณฑิตก็กลายร่างเป็นควันดำระลอกหนึ่งที่มุดหายไปใต้ดิน
บัณฑิตไปจากที่แห่งนี้จริงๆ อย่างปากว่า
เฉินผิงอันอยู่ต่อในศาล ฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู
ตั้งแต่ม่านราตรีดำมืดไปจนฟ้าสาง
เฉินผิงอันลืมตาขึ้น
บนพื้นยังมีปิ่นหยกสีมรกตที่หักออกเป็นสองท่อนนั้นวางอยู่
เฉินผิงอันไม่ได้ไปแตะต้องมัน
เขาลุกขึ้นยืน กระโดดขึ้นไปบนหัวกำแพง แล้วพุ่งตัวจากไป
ทิ้งปิ่นที่ต่อให้หักเป็นสองท่อน ไม่มีปราณวิญญาณหลงเหลือแล้ว แต่กลับยังเป็นวัสดุของสมบัติอาคมชิ้นนั้นเอาไว้ที่เดิม
มุ่งหน้าไปยังเมืองชิงหลู
ไม่ได้ไปหาสมบัติหรือเก็บตกของดีที่โพรงมังกรเฒ่าซึ่งตอนนี้ได้กลายเป็นฝูงมังกรที่ไร้หัวไปแล้วแต่อย่างใด
แน่นอนว่าเป็นเพราะเขาไม่เชื่อบัณฑิตผู้นั้น
ส่วนฟู่ไห่หยวนจวินที่ตอนนี้ได้กลายเป็นสาวใช้ของเขาแล้ว ก่อนหน้านั้นตอนที่บัณฑิตกลับมาที่ศาลเพียงลำพัง นางจะไปอยู่ที่ไหน? ทำอะไร? ก็เห็นได้ชัดเจนอย่างยิ่ง
ต่อให้ความจริงจะไม่เป็นอย่างนั้น
แต่เฉินผิงอันก็ยังคงเลือกจะกระทำเรื่องนี้โดยอิงตามการคาดเดาที่เลวร้ายที่สุดอยู่ดี
เพียงแต่ว่าจู่ๆ เขาก็เปลี่ยนเส้นทาง เปลี่ยนไปอีกทิศทางหนึ่ง
หลังจากผ่านไปนานมากแล้ว บัณฑิตที่จากไปก็ย้อนกลับมา มายืนอยู่บนขั้นบันได ก้มหน้ามองปิ่นที่หักออกเป็นสองท่อนแล้วส่ายหน้า “น่าเสียดายนัก ทำไมถึงไม่เก็บเอาไปนะ ไม่อย่างนั้นก็คงจะระเบิดวัตถุจื่อชื่อของเจ้าให้เละได้แล้ว”
เขาหยิบปิ่นหยกสองท่อนใส่ไว้ในชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง ไม่ใช่ใส่ไว้ในวัตถุจื่อชื่อ แล้วถึงได้จากไปอย่างแท้จริง
คราวนี้บัณฑิตไม่ได้มุดหายไปใต้ดิน แต่เดินอาดๆ ทะยานลมอยู่บนลำคลองเฮยเหอ กระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวกรากถูกผ่ากลาง เนิ่นนานก็ยังไม่ประสานตัวกลับเข้าด้วยกัน
ชายแขนเสื้อใหญ่ทั้งสองข้างของบัณฑิตโบกสะบัดโพงป่อง ส่งเสียงดังฟึ่บฟั่บไปตามสายลม เขาพึมพำเบาๆ ว่า “คนเราอย่าได้อยู่ว่างมากเกินไป เพราะความคิดที่วุ่นวายจะบังเกิดเหมือนวัชพืชที่งอกงาม ยุ่งมากเกินไปก็จะทำให้สันดานที่แท้จริงถดถอย กลุ่มคนแตกกระเจิดกระเจิง ดังนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่า คนที่พอจะมีความสามารถสักหน่อยจะไม่ยอมให้กายและใจเหน็ดเหนื่อยเกินไป และไม่ยอมลุ่มหลงอยู่ในอบายมุขทั้งวันทั้งคืน”
เขาทะยานลมเลียบลำคลองเฮยเหอลงใต้ไปตลอดทาง ระหว่างทางก็แค่ชำเลืองมองไปยังทิศทางของภูเขากระจกวิเศษแวบหนึ่ง แต่กลับไม่ขยับเข้าไปใกล้แถบนั้น
นี่คือข้อเรียกร้องเพียงอย่างเดียวที่ทางตระกูลมีต่อการออกเดินทางของเขาในครั้งนี้
ห้ามเข้าใกล้ภูเขากระจกวิเศษ
บัณฑิตสะบัดข้อมือ ในมือก็ปรากฏเชือกกักปีศาจเส้นนั้น ที่แท้ปลายอีกด้านหนึ่งของมันก็มัดฟู่ไห่หยวนจวินเอาไว้ และเวลานี้เขาก็กระชากสตรีร่างกำยำออกมาจากใต้น้ำ
บัณฑิตบิดหมุนข้อมืออีกครั้ง เหวี่ยงให้อีกฝ่ายกระแทกลงไปในน้ำของลำคลองเฮยเหออย่างแรง
ก่อให้เกิดคลื่นสูงหลายสิบจั้งน่าตกใจ
บัณฑิตพลิ้วกายลงไปที่ปลายสุดทางทิศใต้ของลำคลองเฮยเหอ เก็บเชือกกักปีศาจเส้นนั้นมา สตรียืนโงนเงนอยู่ด้านข้าง
บัณฑิตเริ่มสาวเท้าเดินไปทางใต้ต่ออีกครั้ง ส่วนนางก็ตามติดไปด้านหลังอย่างอกสั่นขวัญผวา
ฝีเท้าของบัณฑิตไม่หยุดนิ่ง เพียงแค่หันหน้ามายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้ามีบิดาที่ไม่เห็นแก่ความผูกพันพ่อลูก แต่ก็ยังดีที่ได้ติดตามเจ้านายที่มีคุณธรรมแห่งยุทธภพเป็นที่สุดอย่างข้า ดังนั้น เอาของมาหรือยัง?”
สตรีรีบหยิบภาชนะบรรจุน้ำซึ่งเป็นเครื่องกระเบื้องขนาดเล็กสีทองแดงออกมาจากชายแขนเสื้อ พูดเสียงสั่นว่า “ข้าทำตามคำสั่งด้วยการไปที่โพรงมังกรเฒ่ามาหนึ่งรอบ นำปลาหลั่วคู่นี้ที่พ่อข้าตั้งใจเลี้ยงมาแปดร้อยปีออกมา และยังออกคำสั่งแก่คนสนิทของพ่อข้าว่า ขอแค่คนผู้นั้นแอบแฝงตัวเข้าไปในโพรงมังกรเฒ่า ไปกระตุ้นโดนกลไกก็จะปล่อยผนังตรวจมังกรสี่ด้านออกมากักขังคนผู้นี้ไว้ทันที ต่อให้เขาหลุดรอดไปได้ กลุ่มปีศาจที่ได้รับข่าวลับก็จะต้องไปเฝ้าตอรอกระต่ายอยู่ที่นั่น คิดดูแล้วต่อให้ไอ้หมอนั่นไม่ตายก็น่าจะต้องหนังหลุดไปหนึ่งชั้น”
บัณฑิตรับภาชนะบรรจุน้ำขนาดเล็กไป ถือไว้ในมือแล้วส่ายเบาๆ ก้มหน้ามองอยู่ครู่หนึ่งก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “นี่ต่างหากจึงจะเป็นทรัพย์สินโดยไม่คาดคิดที่ข้าอยากได้มากที่สุดในการเดินทางครั้งนี้”
บัณฑิตหันหน้าไปมองทางโพรงมังกรเฒ่าของลำคลองเฮยเหอ “ส่วนทางด้านนั้น มีความเป็นไปได้มากว่าจะสิ้นเปลืองความคิดเปล่าๆ แล้ว ไม่มีทางไป ใช่ไหม พี่ชายคนดี?”
สตรีกลืนน้ำลายอย่างอดไม่อยู่
ผู้ฝึกตนที่อยู่นอกหุบเขาผีร้ายล้วนมีจิตใจน่ากลัวแบบนี้หมดเลยหรือ?
บัณฑิตชำเลืองตามองนางแวบหนึ่ง หลังจากเก็บภาชนะบรรจุน้ำใส่ไว้ในชายแขนเสื้อแล้วก็เอ่ยว่า “วางใจเถอะ ไม่ใช่ทุกคนที่เป็นเหมือนพวกเรา แต่เจ้าเองก็โง่ไปสักหน่อย วันหน้าจะทำแบบนี้อีกไม่ได้แล้ว จะเอาแต่ให้อายุเพิ่มขึ้นโดยที่สมองไม่เพิ่มตามไม่ได้ ได้เป็นแม่ย่าลำคลองแล้วจะสามารถเป็นเจ้าแม่เทพวารีที่ถูกต้องตามระบบได้หรือไม่ ยังต้องพึ่งตัวเจ้าเอง ข้าไม่เลี้ยงเศษสวะ ใช่แล้ว นอกจากปลาหลั่วคู่นี้ เจ้าไม่มีไหวพริบคิดจะหยิบอะไรติดไม้ติดมือมาบ้างหรือ?”
สตรีพยักหน้ารับรัวๆ ราวกับไก่จิกเมล็ดข้าวเปลือก ก่อนจะรีบหยิบเอากล่องหยกขนาดเท่าฝ่ามือใบหนึ่งออกมา “มีเจ้าค่ะ มี ท่านพ่อข้าบอกว่านี่คือเหรียญบรรพบุรุษเตียวหมู่ที่ฮ่องเต้องค์สุดท้ายของหนึ่งในราชวงศ์ยุคนั้นจ้างให้เซียนสันโดษท่านหนึ่งของสำนักชิงเต๋อสร้างขึ้น”
นางหน้าม่อย “กลัวว่านายท่านจะรอนาน ข้าเลยรีบร้อนกลับมา คลังลับแห่งนั้นของท่านพ่อข้าก็มีแค่สมบัติสองชิ้นนี้เท่านั้น เอาปลาหลั่วที่อยู่ในภาชนะบรรจุน้ำมาแล้วก็หยิบกล่องใบนี้มาเพิ่ม จากนั้นข้าก็รีบกลับออกมา ไม่กล้าไปเอาของอย่างอื่นที่อื่นอีก”
บัณฑิตรับกล่องหยกมาเปิดออกดูแล้วจุ๊ปากพูด “เป็นสมบัติที่ไม่ธรรมดาจริงๆ คือวัตถุแห่งชะตาชีวิตชั้นเยี่ยมที่ไม่ว่าผู้ฝึกตนสำนักการค้าคนใดก็ล้วนปรารถนาแม้ในยามหลับฝัน”
บัณฑิตยิ้มกล่าว “ดีมาก นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เจ้าก็คือเทพลำคลองที่ได้รับสืบทอดตามระบบที่ถูกต้องของราชวงศ์ต้าหยวนอย่างแน่นอนแล้ว ขาดก็แค่หนังสือแต่งตั้งอย่างเป็นทางการจากทางราชสำนักก็เท่านั้น ไม่เป็นไร ในบ้านของข้ามีพระราชโองการที่ประทับตราหยกลัญจกรเรียบร้อยแล้วเก็บไว้เยอะมาก ผ่านไปปีแล้วปีเล่าจึงสะสมกลายเป็นกองใหญ่”
นางไม่กล้าเชื่อว่าหลังจากผ่านหายนะใหญ่มาได้จะได้เจอกับข่าวดีกะทันหัน รู้สึกเพียงเหมือนอยู่กันคนละโลก
บัณฑิตหันตัวกลับแล้วออกเดินทางต่ออีกครั้ง พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “ขอแค่ข้ายินดี จะให้เจ้าเป็นเจ้าแม่เทพแม่น้ำ จะมีอะไรยาก?”
ฝีเท้าของนางแผ่วเบาล่องลอย มองแผ่นหลังนั้นด้วยความซาบซึ้งใจแทบจะหลั่งน้ำตา
ใบหน้าของบัณฑิตประดับรอยยิ้มบางๆ ท่าทางเกียจคร้าน ชมนกชมไม้ไปเรื่อยเปื่อย
ให้นางเลื่อนขั้นจากแม่ย่าลำคลองเป็นเทพลำคลอง
ไม่ได้เป็นเพราะเหรียญบรรพบุรุษเตียวหมู่อะไรทั้งนั้น
ไม่ใช่ว่ามันมีมูลค่าไม่สูง
แต่เป็นเพราะทรัพย์สมบัติของสาวใช้ก็ไม่ควรเป็นทรัพย์สมบัติของเจ้านายอย่างสมเหตุสมผลหรอกหรือ? ยกสองมือประคองส่งให้ ได้รับคำชมไม่กี่คำก็ถือเป็นของรางวัลที่ยิ่งใหญ่แล้ว หากยังกล้าไม่เป็นฝ่ายส่งมอบให้ ถ้าอย่างนั้นต่อให้ถูกตีจนร่อแร่ใกล้ตาย ตากฝนฟ้าผ่าก็ล้วนถือเป็นพระคุณที่ยิ่งใหญ่เทียมฟ้า
จะว่าไปแล้วยังเป็นเพราะเขาเห็นแก่หน้าของวัดหยวนเยว่ใหญ่ ถือเป็นการผลักเรือไปตามกระแสน้ำ จะว่าไปแล้วก็เป็นเพราะวันหน้ามีความเป็นไปได้อย่างยิ่งที่ตะพาบเฒ่าตัวนั้นจะเดินลงน้ำ…ภายใต้เปลือกตาของสกุลหยางพวกเขา
มีบุญสัมพันธ์นี้ปูเอาไว้เป็นพื้นฐาน แผนการต่างๆ มากมายของเขาก็สามารถผลักดันให้สำเร็จไปได้อย่างเป็นธรรมชาติและสมเหตุสมผล
เพียงแต่ว่าพอคิดมาถึงตรงนี้
ใบหน้าของเขาก็มืดทะมึนลงในชั่วพริบตา
แผนการ?
สรุปว่าเป็นแผนการที่มีไว้เพื่อใครกันแน่? ตนหรือ?
พอนึกถึงสายตาสุดท้ายของไอ้หมอนั่นตอนอยู่ในศาล เขาก็ยิ่งไม่สบอารมณ์
สายตาเช่นนี้ไม่ใช่มีความสุขบนความทุกข์ของคนอื่น ถึงขั้นไม่ใช่สายตาของความสงสารเวทนา
แต่เป็นสายตาที่บอกไม่ได้ อธิบายไม่ถูก
ทำให้เขาทั้งคิดไม่ตกแล้วก็ทั้งเจ็บแค้นหงุดหงิด!
เพราะเขาถึงขั้นเริ่มรู้สึกว่าตัวเองน่าสงสาร!
จู่ๆ เขาก็นึกถึงสะพานเหล็กแขวนที่อยู่ระหว่างหน้าผาของภูเขาสองลูก รวมไปถึงปีศาจสองตัวที่ไม่ต่างจากมดตัวน้อยในสายตาของเขาขึ้นมา
ฆ่าพวกมัน!
ถือเป็นของขวัญก่อนจากลาที่มอบให้แก่พี่ชายคนดีผู้นั้น
และเวลานี้เอง เขาพลันหยุดฝีเท้า ใบหน้าบิดเบี้ยวเหยเก
จากนั้นสีหน้าก็ค่อยๆ ผ่อนคลายลง
“ใช้ได้ รู้ไว้เถอะว่ากฎสามข้อไม่ใช่เรื่องเล่น”
ที่แท้หยางหนิงซิ่งตัวจริงก็กลับมาแล้ว เขายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ออกเดินทางไกลหมื่นลี้ ได้ผลเก็บเกี่ยวมาค่อนข้างมาก ถอยกลับมาได้สำเร็จ ยังจะมีอะไรให้ไม่พอใจอีก?”
ฟู่ไห่หยวนจวินผู้นั้นก็สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของคนตรงหน้า นางหยุดยืนนิ่งไม่ขยับ ในใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัว
เห็นเพียงว่าคนผู้นั้นหันตัวกลับมา สีหน้าอ่อนโยน บุคลิกของตลอดทั้งร่างเมื่อปรากฎอยู่ในสายตาของนางก็แตกต่างไปจากก่อนหน้านี้อย่างยิ่ง เห็นเพียงเขายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เจ้าไม่ต้องกลัว ข้าจะแนะนำตัวเองสักหน่อย ข้าชื่อหยางหนิงซิ่ง มาจากหน่วยฉงเสวียน ตำหนักนภากาศของราชวงศ์ต้าหยวน”
สตรีทำท่าจะคุกเข่าโขกหัวตามจิตใต้สำนึก
บัณฑิตยกมือขึ้นทำให้นางไม่อาจคุกเข่าลงได้
เขาเอ่ยเสียงเบาว่า “อยู่บนเส้นทางของการฝึกตนเหมือนกัน เจ้าและข้าต่างก็ถือเป็นสหายนักพรต วันหน้าเจ้าไม่ควรจะโอหังหยิ่งผยอง แล้วก็ไม่ควรจะดูแคลนตัวเอง”
สตรีร้องไห้ พูดเสียงสะอึกสะอื้นแทบไม่เป็นคำ “บ่าวจดจำเอาไว้แล้ว! จะไม่กล้าลืมคำสั่งสอนของนายท่านแน่นอน!”
บัณฑิตหลุดหัวเราะพรืด ส่ายหน้าแล้วก็ไม่ได้พูดอะไรให้มากความอีก
พานางออกเดินทางต่อด้วยกันอีกครั้ง
บัณฑิตมองไปยังทิศทางของภูเขากระจกวิเศษแวบหนึ่ง ไม่รู้ว่าเหตุการณ์ของที่แห่งนั้นเป็นอย่างไรบ้างแล้ว
……
ทางฝั่งของภูเขากระจกวิเศษ
หยางฉงเสวียนเลือดไหลโซมกาย ตั้งแต่หัวจรดเท้าเหลือเนื้อหนังที่สภาพดีแค่ไม่กี่จุดแล้ว เขาหอบหายใจเสียงดัง นั่งขัดสมาธิอยู่ริมลำธารลึก สองหมัดวางไว้บนหัวเข่า สายตายังคงนิ่งสงบสุขุมอยู่ดังเดิม
สตรีหน้าเหม็นชื่อหลี่หลิ่วที่อยู่ฝั่งตรงข้ามผู้นั้นก็แค่ทำลายตราประทับรูปสิงโตตรงเอวและดาบอาคมเล่มหนึ่งเท่านั้น
ส่วนสมบัติอาคมชิ้นอื่นๆ ของนางที่ถูกตนต่อยจนเละต่างก็อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบกับสองชิ้นนี้ติด ไม่มีค่าพอให้พูดถึงเลย
เจี่ยงชวีเจียงถูกเทพหญิงสิงอวี่พาไปที่วัดร้างตีนเขานานแล้ว
จิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตกและปีศาจจิ้งจอกสาวเหวยไท่เจินถูกหลี่หลิ่วยกมือวาดวงกลมสีทองง่ายๆ หนึ่งวง กักตัวพวกเขาไว้ภายใน ทำให้มองไม่เห็นแล้วก็ไม่ได้ยินสิ่งที่เกิดขึ้นด้านนอกวงล้อมเลยแม้แต่น้อย
อาณาเขตตรงนั้นคือพื้นที่ที่สมบูรณ์แบบที่สุดในบริเวณใกล้เคียงกับลำธารลึกแห่งนี้แล้ว
ใช่ว่าหยางฉงเสวียนจะไม่เคยคิดว่าจะปล่อยหมัดต่อยทำลายพันธนาการ เพียงแต่ว่าทุกครั้งล้วนถูกนางขัดขวางไว้ได้สำเร็จ อีกทั้งทุกครั้งที่ทำเช่นนี้ หยางฉงเสวียนจะต้องเสียเปรียบเล็กๆ พอถึงช่วงหลังๆ ก็ราวกับว่ามีหลุมกับดักอยู่หลุมหนึ่งที่รอให้หยางฉงเสวียนกระโดดลงไปเอง
การท้าทายสามครั้งที่หยางฉงเสวียนเป็นฝ่ายเปิดฉากอย่างขาดๆ หายๆ พักๆ หยุดๆ ล้วนต้องกลับมามือเปล่าอย่างไม่มีข้อยกเว้น อีกทั้งทุกครั้งยังมีสภาพอเนจอนาถมากขึ้นเรื่อยๆ
แม้ว่าอีกฝ่ายก็ถือว่าเสียหายอย่างหนักเหมือนกัน เพราะเสียสมบัติอาคมไปหลายชิ้น แต่กลับมีสีหน้าผ่อนคลายสบายอารมณ์ ยังคงมีพละกำลังเหลือเฟือ
แต่หยางฉงเสวียนกลับเป็นม้าตีนปลายจริงๆ แล้ว
หยางฉงเสวียนถาม “สตรีน่ารังเกียจ! เจ้ารู้จักบรรพบุรุษตระกูลหยางของข้าจริงๆ หรือ? โชควาสนาในภูเขากระจกวิเศษนี้ก็เป็นเจ้าที่จงใจจัดวางไว้? มารดามันเถอะ เจ้าต้องมีความคิดแบบไหนกันแน่? ถึงได้วางแผนเอาไว้ยาวนานขนาดนี้?”
หยางฉงเสวียนเหมือนจะสะอึกอึ้งไปกับคำพูดของอีกฝ่าย เขาลังเลอยู่นาน สุดท้ายก็ไม่กล้าพูดจาหยาบคายอีกแม้แต่คำเดียว
มารดามันเถอะ สตรีตัวเล็กที่เห็นชัดๆ อยู่ว่าแค่ลมพัดมาก็ปลิวกลับมีมือเท้าที่เปี่ยมด้วยพละกำลัง มีสมบัติอาคมที่ทรงอำนาจ แล้วก็ยังมีวิชาอภินิหารที่แม่งเรียกใช้ได้ไม่หมดสิ้นอีก!
หลี่หลิ่วถาม “จะถามเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย ยอมแพ้หรือไม่?”
หยางฉงเสวียนชูสองมือขึ้น “ยอมแล้ว”
หลี่หลิ่วถึงได้เดินไปทางวงกลมสีทองนั้น ใช้มือต่างมีดฟันลงเบาๆ แสงสีทองก็สลายหายไปในเสี้ยววินาที
ทำให้หยางฉงเสวียนที่มองดูอยู่เกือบอดไม่ไหวด่าพ่อล่อแม่อีกครั้ง
เด็กสาวและจิ้งจอกเฒ่าที่อยู่ด้านในตัวสั่นสะท้าน ฟันกระทบกันดังกึกๆ
หลี่หลิ่วยกฝ่ามือตบให้จิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตกสลบไป
อีกมือหนึ่งก็ยกขึ้นกลางอากาศเบาๆ กระชากเด็กสาวปีศาจจิ้งจอกให้ลอยขึ้นจนมีระดับความสูงเท่ากับนางพอดี
บุรุษร่างกำยำคนหนึ่งวิ่งตะบึงมาจากทิศไกล หลี่หลิ่วไม่แม้แต่จะชายตามอง เพียงแค่โบกชายแขนเสื้อสะบัดเขาให้ลอยกระเด็นออกไป
หลี่หลิ่วยื่นนิ้วสองข้างพุ่งไปด้านหน้าอย่างว่องไวราวสายฟ้าแลบ ควักเอาดวงตาสีทองข้างนั้นของเหวยไท่เจินออกมาโดยตรง ปีศาจจิ้งจอกเด็กสาวดิ้นรนสุดชีวิต มือเท้าโบกสะเปะสะปะ เจ็บปวดทรมานอย่างถึงที่สุด แต่กลับไม่มีเสียงใดๆ เล็ดรอดออกมา
หลี่หลิ่วดีดปลายเท้าทะยานขึ้นไปยังยอดเขา ครู่หนึ่งต่อมาตลอดทั้งภูเขากระจกวิเศษก็เริ่มส่ายไหวไม่หยุด
มือข้างหนึ่งของหลี่หลิ่วถือกระจกทองแดงโบราณ นางย้อนกลับมาที่ริมน้ำ แล้วโยนกระจกให้กับบุรุษที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างไม่ใส่ใจ เมื่ออีกฝ่ายรับไว้ในมือแล้ว หลี่หลิ่วก็เอ่ยว่า “หยางหนิงเจิน สกุลหยางของพวกเจ้าติดค้างน้ำใจข้าอีกครั้งหนึ่งแล้ว ส่วนน้ำใจสองครั้งนี้หน่วยฉงเสวียนและตำหนักนภากาศควรจะชดใช้ให้เมื่อไร ถึงเวลานั้นพวกเจ้าก็จะรู้เอง”
หยางฉงเสวียนแสยะยิ้มกว้าง “ข้าแค่อยากรู้ว่าสกุลหยางของพวกเราจะชดใช้คืนได้ไหวหรือไม่ ต้องมีคนตายไปอีกกี่มากน้อย!”
หลี่หลิ่วทำท่าครุ่นคิดแล้วส่ายหน้า “คืนได้ไหว ไม่จำเป็นต้องมีคนตาย”
นางเอ่ยเสริมมาอีกประโยคว่า “แต่ก่อนจะเป็นเช่นนั้น พวกเจ้าต้องไม่รนหาที่ตายเองซะก่อน”
หยางฉงเสวียนพยักหน้ารับ “ตกลง!”
หยางฉงเสวียนเก็บกระจกโบราณบานนั้นไป สุดท้ายถามว่า “นอกจากน้ำใจที่ติดค้างแล้ว รอจนข้าเลื่อนขั้นเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเก้าและเซียนดินก่อกำเนิดเมื่อไหร่ จะไปหาเจ้าแล้วต่อสู้กันอีกครั้งได้หรือไม่?”
หลี่หลิ่วพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “ขอแค่ถึงเวลานั้นเจ้ายังมีความกล้า ข้าก็พร้อมเล่นด้วยทุกเมื่อ”
เลือดเนื้อทั่วร่างของหยางฉงเสวียน หรือควรจะเรียกว่าหยางหนิงเจินประหนึ่งสิ่งมีชีวิตที่เปลี่ยนจากบาดแผลลึกจนกระดูกขาวโผล่มาเป็นประสานตัวเข้าด้วยกันอย่างว่องไว
เขาไม่เพียงแต่เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขอบเขตร่างทองเท่านั้น
ยังมีโอกาสเสี้ยวหนึ่งที่จะช่วงชิงขอบเขตร่างทองที่แข็งแกร่งที่สุดด้วย
เขาก้าวยาวๆ ออกไปจากภูเขากระจกวิเศษ ไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง
หลี่หลิ่วมองปีศาจจิ้งจอกเด็กสาวที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศ ในกรอบดวงตาข้างหนึ่งของนางมีเลือดสดไหลรินไม่หยุด
ประหนึ่งตาน้ำพุเล็กๆ แห่งหนึ่ง
หลี่หลิ่วพลันถามว่า “อยากจะตายให้เร็วหน่อยใช่ไหม?”
เด็กสาวใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีส่ายหน้าเบาๆ ริมฝีปากขยับน้อยๆ คงจะอยากพูดว่านางอยากมีชีวิตอยู่ต่อ ไม่อยากตาย
หรือไม่ก็อยากพูดว่า ก่อนจะจากโลกนี้ไป อยากจะเห็นบุรุษผู้นั้นเป็นครั้งสุดท้าย
แม้แต่ตัวนางเองก็ยังไม่เข้าใจว่า เหตุใดเพียงแค่เห็นเขาครั้งเดียวก็รู้สึกอาลัยอาวรณ์ตัดใจไม่ลงขนาดนี้
บนโลกใบนี้มีรักแรกพบอยู่จริงๆ เสียด้วย
ช่างงดงามเหลือเกิน
ทำให้นางที่ต่อให้เจอกับเคราะห์กรรมเช่นนี้ก็ยังไม่รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจเลยสักนิด
—
นับแต่โบราณมาเซียนกระบี่ล้วนต้องดื่มสุรา
หลี่หลิ่วพลันหัวเราะ ราวกับคิดถึงเรื่องอะไรบางอย่างที่ทำให้อารมณ์ดีขึ้นมาได้ นางในเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นสายตาหรือสีหน้ากลับอ่อนโยนดุจสายน้ำได้ถึงเพียงนี้
แม้แต่น้ำเสียงของนางก็ยังนุ่มนวลตามไปด้วย ดวงตาคู่นั้นที่เดิมทีมีเพียงความเย็นชาถูกหลี่หลิ่วที่คลี่ยิ้มทำให้กลายเป็นวงโค้งพระจันทร์เสี้ยว “คาดว่าอีกไม่นานน้องชายของข้าก็คงใกล้จะได้ออกจากสำนักศึกษาไปฝึกประสบการณ์แล้ว ข้างกายยังขาดสาวใช้ที่ช่วยยกชาส่งน้ำให้พอดี ถ้าอย่างนั้นก็เป็นเจ้าแล้วกัน”
นางยื่นนิ้วที่ประกบกันออกมาปาดตรงกรอบตาข้างนั้นของปีศาจจิ้งจอกเบาๆ
เหวยไท่เจินรู้สึกเพียงความเยียบเย็นเสียดลึกถึงกระดูก จิตวิญญาณสะท้านไหว ทว่าเพียงชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น ความเจ็บปวดตลอดทั้งร่างของนางกลับปลาสนาการหายไป
หลี่หลิ่วเอ่ยเสียงเบา “ก่อนหน้านี้ไม่ทันนึกเรื่องนี้ก็เลยบีบดวงตาเดิมข้างนี้ของเจ้าแหลกเละไปแล้ว ตอนนี้ก็ได้เปลี่ยนลูกตาใหม่ชดเชยให้ หวังเพียงว่าน้องชายข้าคนนั้นจะไม่รังเกียจเจ้าที่มีดวงตาแตกต่างกัน”
เหวยไท่เจินพลันร่วงลงสู่พื้น โชคดีที่ลอยพ้นพื้นมาไม่สูงนัก นางลุกโงนเงนอยู่เล็กน้อยก่อนจะยืนได้มั่นคง ลองกระพริบตาแรงๆ ถึงแน่ใจว่าอาการเจ็บปวดไม่หลงเหลืออยู่อีกแล้วจริงๆ
เหวยเกาอู่ผู้นั้นวิ่งตะบึงมาอีกครั้ง พออยู่ห่างจากหญิงสาวอีกสิบกว่าก้าวก็พลันคุกเข่าลงหมอบกราบอยู่กับพื้น พูดเสียงสะอื้นไห้ “ขอเทพธิดาโปรดถ่ายทอดมรรคกถาให้แก่ข้า! เหวยเกาอู่ยินดีเป็นวัวเป็นม้าให้กับเทพธิดา วันหน้าเมื่ออยู่บนเส้นทางการฝึกตน ไม่ว่าขอบเขตจะสูงหรือต่ำ แม้ตายเหวยเกาอู่ก็ไม่เสียดาย!”
หลี่หลิ่วหัวเราะ “เจ้าก็คู่ควรจะเป็นวัวเป็นม้าให้ข้าด้วยหรือ?”
น้ำตาไหลนองอาบหน้าเหวยเกาอู่ โขกหัวไม่หยุด เอาแต่วิงวอนให้นางถ่ายทอดวิชาให้
เด็กสาวปีศาจจิ้งจอกขยับปากจะพูด หลี่หลิ่วกลับคว้าใบหน้าเล็กๆ ของนางเอาไว้ บนใบหน้าของฝ่ายหลังก็พลันมีรูเลือดปรากฏห้ารู หลี่หลิ่วเอ่ยอย่างเฉยชาว่า “ในเมื่อมีชีวิตรอดแล้วก็ต้องหัดรู้จักทะนุถนอมเอาไว้ให้ดี”
หลี่หลิ่วเหวี่ยงตัวเด็กสาวปีศาจจิ้งจอกให้ลอยคว้างไปกระทบกับหน้าผาหินที่ห่างไปไกล ร่างของนางอ่อนยวบนอนพังพาบอยู่กับพื้น นางยกสองมือปิดหน้าเอาไว้แน่น เลือดสดไหลซึมออกมาจากร่องนิ้วไม่หยุด แต่นางก็ยังไม่กล้าส่งเสียงเล็ดรอดออกมาแม้แต่น้อย
หลี่หลิ่วมองเหวยเกาอู่ผู้นั้นแล้วถาม “เจ้าอยากจะฝึกตน?”
เหวยเกาอู่ไม่ได้เงยหน้าขึ้น กลับกันยังโขกศีรษะลงกับพื้นหินแรงยิ่งกว่าเก่าหนึ่งครั้ง จากนั้นก็แนบหน้าผากที่เลือดโชกติดกับพื้น ตะโกนตอบเสียงดังว่า “อยาก!”
หลี่หลิ่วกล่าว “ง่ายมาก เจ้าไปฆ่าปีศาจจิ้งจอกเฒ่าตัวนั้น แล้วข้าจะถ่ายทอดมรรคกถาที่เป็นระบบสืบทอดที่แท้จริงซึ่งทำให้เจ้ามีหวังเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนได้ให้หนึ่งวิชา เจ้าน่าจะรู้ว่าข้าไม่มีอารมณ์จะมาล้อเล่นกับเจ้า”
ร่างของเหวยเกาอู่แข็งทื่อ จมสู่ความเงียบงัน
หลี่หลิ่วยิ้มเอ่ย “เสียใจภายหลังตอนนี้ก็สายไปแล้ว หากเจ้าไม่ฆ่า ก็ต้องเปลี่ยนมาเป็นเจ้าที่ตาย หนึ่งคือชีวิตด้อยค่าแก่ๆ ที่ใกล้ตายเต็มทีชีวิตหนึ่ง กับอีกหนึ่งที่เป็นเส้นทางอนาคตยาวไกลบนมหามรรค เจ้าเลือกเอาเอง อยู่แค่ที่ความคิดเดียวของเจ้าเท่านั้น”
เหวยเกาอู่พลันลุกขึ้นยืนด้วยน้ำตาอาบหน้า หันหน้ากลับไปมองจิ้งจอกเฒ่าภูเขาตะวันตกที่ยังคงสลบไสลแวบหนึ่ง แล้วค่อยหันไปมองเด็กสาวปีศาจจิ้งจอกที่ส่ายหน้าอย่างแรงคนนั้น สุดท้ายเขาก็หัวเราะทั้งน้ำตา “หากข้าตาย ท่านพ่อของข้าและไท่เจินสามารถมีชีวิตรอดได้หรือไม่?”
หลี่หลิ่วพยักหน้ารับ
เหวยเกาอู่หัวเราะเสียงดังอย่างเศร้ารันทด หันหน้าไปถ่มน้ำลายแรงๆ อีกทาง “สวรรค์ชาติสุนัข!”
เขาหันหน้าไปมองทางหน้าผาหินอีกครั้ง ทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไป เดิมทีเขาอยากจะบอกนางว่าบุรุษผู้นั้นไม่ใช่คนดีอะไร อย่าไปชอบเขา อย่าได้ไปชอบเขาเด็ดขาด
แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้พูดมันออกมา
เหวยเกาอู่มองสตรีที่สูงส่งยิ่งกว่าหยางฉงเสวียนแล้วพูดเสียงสั่น “เทพเซียนที่สูงส่งอย่างพวกเจ้า ผู้ฝึกตนอย่างพวกเจ้า คือมนุษย์…อย่าได้หลอกข้าอีกเลย อย่าได้หลอกข้าอีกเลย ข้าก็แค่มดตัวน้อยตัวหนึ่ง ไม่มีค่าพอให้พวกเจ้ามาหลอกลวงหรอก…”
น้ำตาของเหวยเกาอู่ไหลไม่หยุด ทว่าสายตาพลันฉายประกายเด็ดเดี่ยว ควักเอามีดกระดูกขาวปลายแหลมเล่มหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้อ เดิมทีคิดจะเอามาใช้ต่อสู้แลกชีวิตกับหยางฉงเสวียน แต่เวลานี้กลับถูกเขาแทงเข้าที่หัวใจของตัวเองเต็มแรง
เหวยไท่เจินกรีดร้องเสียงดัง “ไม่นะ!”
หลี่หลิ่วคลี่ยิ้มมีเลศนัย พึมพำกับตัวเองว่า “วิธีที่โง่ที่สุด การเลือกที่ถูกต้องที่สุด”
……
ภูเขาโปลั่วและภูเขากระจกวิเศษในวันนี้ต่างก็เกิดเรื่องสะท้านสะเทือนจนภูเขาโยกคลอนพื้นดินแตกแยก
บนเส้นทางลงใต้
หญิงสาวผู้หนึ่งทอดสายตามองไปเบื้องหน้า พูดเบาๆ กับเด็กสาวปีศาจจิ้งจอกที่อยู่ด้านหลังว่า “น้องชายคนนั้นของข้าเป็นคนซื่อที่สุดแล้ว มักจะปฏิบัติกับคนอื่นด้วยความใจดีมีเมตตา แล้วก็ไม่ซุกซนเกเรเลยสักนิด…สรุปก็คือ วันหน้าเมื่อเจ้าเป็นสาวใช้ติดตามอยู่ข้างกายเขาก็ต้องคอยปกป้องเขาให้ดี อีกเดี๋ยวข้าจะถ่ายทอดวิชาลับอย่างหนึ่งให้กับเจ้า พอไปถึงยอดเขาสิงโต ขอบเขตของเจ้าจะทะยานสูงขึ้นเร็วสักหน่อย ดังนั้นถึงเวลานั้นก็ไม่ต้องกลัวตัวเอง”
ปีศาจจิ้งจอกพยักหน้ารับอย่างแรงพลางรับคำว่าอืมๆ
จากนั้นเด็กสาวปีศาจจิ้งจอกก็หันไปมองด้านหลังแล้วเม้มปากยิ้ม
บุรุษร่างกำยำที่เดินโผเผตามมาด้านหลังนางผู้นั้น แม้จะมีใบหน้าซีดขาว แต่ก็สามารถเดินเหินได้เป็นปกติ ก็แค่ตรงหัวใจยังมีเลือดสดไหลซึมทะลุผ้าออกมาเล็กน้อยเท่านั้น
เขาคลี่ยิ้มกว้าง
แต่เขาก็ยังอดไม่ไหวหันหน้ากลับไป มองไม่เห็นเงาร่างของบิดาแล้ว คาดว่าคงไม่กล้าติดตามมาไกลขนาดนี้
ด้านหลังของเขาก็คือบุรุษที่ชื่อว่าเจี่ยงชวีเจียงและเทพหญิงสิงอวี่
เด็กสาวเหวยไท่เจินที่อยู่ด้านหน้าในเวลานี้รู้สึกประหลาดใจ ประหลาดใจอย่างมาก สายตาของนางเต็มไปด้วยความสงสัย
เพราะเมื่อนางมองบุรุษผู้นั้นอีกครั้งก็ราวกับว่าจะไม่เหลืออารมณ์ใดๆ ล้อมวนเวียนอยู่ในห้องหัวใจอีกเลย
หลี่หลิ่วที่เดินอยู่ด้านหน้าสุดเอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งแกว่งส่ายเบาๆ อยู่ด้านหน้า ปลายนิ้วมีเส้นด้ายสีแดงกลุ่มหนึ่งรัดพัน และเวลานี้มันกำลังค่อยๆ สลายหายไป
เมื่อด้ายแดงเสี้ยวสุดท้ายหายไปสิ้น
หลี่หลิ่วก็หลุบตาลงต่ำ ถอนหายใจอยู่ในใจ ความรักระหว่างชายหญิงบางคู่บนโลกใบนี้ที่สัญญาว่าจะอยู่เคียงข้างกันไม่ว่าเป็นหรือตาย แท้จริงแล้วกลับไม่อาจทนรับแรงกระทบกระเทือนได้เลยแม้แต่น้อย
หลี่หลิ่วไม่ได้หันหน้ากลับไป เพียงเอ่ยกับเทพหญิงสิงอวี่ว่า “พวกเจ้าไม่ต้องตามมาแล้ว ซูสื่อ จำไว้ว่าเจ้ามีสัญญาหกสิบปี อย่าได้ตายไปง่ายๆ เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นข้าก็ย่อมมีวิธีที่จะทำให้เจ้าอยู่ก็ไม่ได้ตายก็ไม่ดี ต้องทนรับกับความทุกข์ทรมานที่เจ้าไม่อาจจินตนาการได้ถึงเลย”
เดิมทีเทพหญิงสิงอวี่ไม่ควรมีความหวาดกลัวต่อความเป็นความตาย ทว่าเวลานี้ในใจนางกลับหวาดผวาเป็นที่สุด ความตื่นตระหนกทบทวี แต่ขณะเดียวกันก็คล้ายจะโล่งอก หลังจากที่นางผงกศีรษะ ‘รับคำสั่ง’ แล้วก็คว้าไหล่ของเจี่ยงชวีเจียงที่ท่าทางหมดอาลัยตายอยากทะยานลมจากไป
……
ณ ตำหนักหยางฉาง
ตรงประตูใหญ่ที่เดิมทีมีแค่ภูตลูกกระจ๊อกสองตนที่กอดทวนไม้ไว้ในอ้อมอก เวลานี้เหลือเพียงตนเดียวแล้ว
เฉินผิงอันยิ้มพลางเดินเข้าไปหาช้าๆ
ภูตหนูตนนั้นอึ้งตะลึงอยู่กับที่ ก่อนจะรีบลุกขึ้นยืน มือถือทวน พูดเสียงดัง “เจ้าเป็นใคร จงบอกชื่อแซ่มาเดี๋ยวนี้!”
อันที่จริงมันจำคนตรงหน้าผู้นี้ได้แล้ว แต่ก็ยังต้องตวาดถามพอเป็นพิธี
เฉินผิงอันโบกมือบอกเป็นนัยกับมันว่าไม่ต้องแสร้งทำแล้ว เขาถามว่า “ตำราพิชัยยุทธของบรรพบุรุษเจ้าหายไปทั้งหีบ เขาไม่ได้มาระบายความโกรธใส่เจ้าหรือ?”
หากเซียนใหญ่จัวเยาตนนั้นยังกล้าอยู่ที่ตำหนักหยางฉาง เฉินผิงอันก็ยินดีที่จะเรียกมันว่าเซียนใหญ่ด้วยความเลื่อมใสจากใจจริง
ความเคลื่อนไหวที่ริมลำคลองเฮยเหอไม่ใช่เล็กๆ จุดจบอันน่าสงสารของขุนพลเทพชื่อเหลยก็น่าจะทำให้ผู้คนที่ผ่านทางรับรู้กันถ้วนทั่วแล้ว
แม้ว่าลูกสมุนผู้นี้จะจำแลงใบหน้าของมนุษย์ได้แล้ว แต่กลับยังพอจะมองร่างเดิมที่เป็นภูตหนูออกอย่างเลือนราง ถึงอย่างไรตบะของอีกฝ่ายก็ยังตื้นเขินเกินไป
มันเกาหัว “เรียนนายท่านผู้เฒ่าเซียนกระบี่ บรรพบุรุษของข้ากลับมาช้า ตอนนั้นข้าฟื้นขึ้นมาด้วยตัวเองแล้ว กลัวว่าท่านบรรพบุรุษจะเคลือบแคลงก็เลยเอาหัวกระแทกประตูใหญ่แรงๆ อีกสองครั้งกว่าจะทำให้ตัวเองสลบไปได้ คิดไม่ถึงว่าพอฟื้นขึ้นมาอีกครั้ง ท่านบรรพบุรุษก็ยังคงไม่กลับมา ข้าก็เลยตัดสินใจเอาหัวพุ่งชนอีกครั้ง คราวนี้ในที่สุดท่านบรรพบุรุษก็กลับมาได้สักที พอเขาเอาเท้าเตะให้ข้าตื่น ข้าก็บอกไปว่าไม่รู้ว่าทำไมอยู่ดีๆ ถึงได้สลบไป ท่านบรรพบุรุษจึงรีบวิ่งไปตรวจสอบในเส้นทางใต้ดินโดยไม่สนใจข้าอีก ข้าเลยรีบหนีไปขุดดินหลบอยู่ใต้ดินห่างจากตำหนักหยางฉางไปไกล พอท่านบรรพบุรุษหาข้าไม่เจอก็ขี่เมฆทะยานหมอกจากไป”
เฉินผิงอันนั่งลงบนขั้นบันได ภูตหนูลังเลเล็กน้อย ก่อนจะนั่งตามไป เพียงแต่ว่าอยู่ห่างมาค่อนข้างไกล
มันเองก็อยากนั่งใกล้ๆ สัมผัสกลิ่นอายเซียนของนายท่านผู้เฒ่าเซียนกระบี่ผู้นี้บ้าง แต่ไม่กล้าขนาดนั้น
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตำราเล่มที่ให้เจ้าไปเล่า?”
ภูตหนูชี้ไปยังตำแหน่งที่ฝังตำราแล้วยิ้มอย่างอารมณ์ดี “เรียนนายท่านผู้เฒ่าเซียนกระบี่ ยังซ่อนอยู่ตรงนั้นเป็นอย่างดี ข้าไม่กล้าเอาออกมา คิดว่ารอให้ผ่านไปสักหลายๆ วันหน่อยค่อยไปเอาออกมาอ่าน ก็เหมือนอย่างที่นายท่านผู้เฒ่าเซียนกระบี่พูดนั่นแหละ หากให้ท่านบรรพบุรุษของข้าเห็นเข้า ย่อมต้องกลายเป็นปัญหาใหญ่ ในตำราก็บอกไว้แล้วว่า นี่เรียกว่าไม่อดทนข่มกลั้นต่อเรื่องเล็กน้อยจะทำให้แผนการใหญ่วุ่นวาย นายท่านผู้เฒ่าเซียนกระบี่ คำกล่าวนี้น่าจะเอามาใช้แบบนี้ได้กระมัง?”
เฉินผิงอันกลั้นยิ้มพยักหน้ารับ “สามารถใช้แบบนี้ได้”
ภูตหนูที่กอดทวนไม้ไว้ในอ้อมอกจึงหัวเราะอย่างโง่งม
คงจะรู้สึกว่าตัวเองได้ทำเรื่องที่ร้ายกาจมากกระมัง?
เฉินผิงอันเอาสองมือสอดไว้ในชายแขนเสื้อ ก้มตัวลงน้อยๆ หันหน้ามาถาม “หากเป็นไปได้ เจ้าอยากออกไปดูโลกภายนอกหรือไม่?”
ภูตหนูพยักหน้ารับ “ต้องอยากอยู่แล้ว ท่านบรรพบุรุษของข้าบอกไว้ว่าตำราของด้านนอก ไม่ต้องสนว่าเขียนถึงเรื่องอะไร หรือเป็นอริยะคนใดที่เขียน ก็ล้วนสามารถซื้อมาได้ในราคาที่ถูกมากๆ ราวกับยกให้เปล่าอย่างไรอย่างนั้น ข้าก็เลยอยากจะไปซื้อตำราบางอย่างกลับมา”
เฉินผิงอันจึงถามอีก “ยังจะกลับมาอีกหรือ?”
ภูตหนูร้องอืมรับหนึ่งที สีหน้าเขินอายเล็กน้อย “ก็บ้านข้าอยู่ที่นี่นี่นา”
มันไม่กล้านั่งเลียนแบบนายท่านผู้เฒ่าเซียนกระบี่ แต่นั่งงอเข่า เอาสองแขนวางไว้บนหัวเข่า นั่งห่อตัวอยู่อย่างนั้น
มันพูดเสียงเบาว่า “ข้ารู้ว่านายท่านผู้เฒ่าเซียนกระบี่ไม่ค่อยชอบท่านบรรพบุรุษของข้า ไม่แน่ว่าเมื่อได้เจออาจจะยังสังหารเขา ดังนั้นนายท่านผู้เฒ่าเซียนกระบี่มาเยือนที่ตำหนักหยางฉางสองครั้ง แต่กลับไม่ได้เจอกับท่านบรรพบุรุษของข้าเลยสักครั้ง ข้าดีใจอย่างมาก”
เฉินผิงอันหัวเราะ แล้วหยิบเหล้ากาหนึ่งออกมาจากในวัตถุจื่อชื่อ “ดื่มหรือไม่?”
ภูตหนูส่ายหน้าเบาๆ “หากท่านบรรพบุรุษมาเจอเข้าต้องแย่แน่”
เฉินผิงอันกล่าว “ช่วงนี้อย่างน้อยสิบวันครึ่งเดือน เซียนใหญ่จัวเยาผู้นี้ไม่มีทางกล้ากลับมาแน่”
ภูตหนูโบกมือเป็นพัลวัน “ขอบคุณที่นายท่านผู้เฒ่าเซียนกระบี่หวังดี ข้าน้อยไม่ดื่มเหล้าอยู่แล้ว ก็คือ…ข้าได้ยินมาว่าดื่มเหล้าแล้วจะแผดเผาลำไส้”
กล่าวมาถึงตรงนี้ สีหน้าของภูตหนูก็หม่นหมองลงเล็กน้อย
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ เขาเปิดผนึกดินออก จิบเหล้าคำเล็กหนึ่งคำแล้วหรี่ตาลง เพียงแต่ครั้งนี้เฉินผิงอันรู้สึกถึงเพียงความผ่อนคลายอันอบอุ่น นั่งอาบแดด จิบเหล้าคำเล็กๆ ข้างกายมีภูตน้อยแห่งหุบเขาผีร้ายที่ชอบอ่านหนังสือ แล้วยังรู้จักเขียนบันทึกลงไป เวลานี้เฉินผิงอันกลับรู้สึกว่าตัวเองมีชีวิตดุจดั่งเทพเซียน
ภูตหนูปลุกความกล้าถามอย่างระมัดระวัง “นายท่านผู้เฒ่าเซียนกระบี่มาฝึกประสบการณ์ที่หุบเขาผีร้ายเราหรือ?”
เฉินผิงอันอืมรับหนึ่งที “แล้วก็ยังมาเพื่อหารายได้ด้วย”
สามปีใหม่สามปีเก่า ปะชุนซ่อมแซมก็ผ่านไปอีกสามปี
วันเวลาเช่นนี้ช่างเป็นวันเวลาที่ดีจริงๆ
แล้วนับประสาอะไรกับที่หุบเขาผีร้ายแห่งนี้ช่วยให้เขาหาเงินเทพเซียนมาได้ไม่น้อยจริงๆ
เฉินผิงอันดื่มเหล้าอีกสองสามอึกก็เก็บไป ลุกขึ้นยืนเอ่ยว่า “ไปล่ะ”
หยิบงอบขึ้นมาสวมบนศีรษะ ปลดหน้ากากคนแก่ที่สวมอยู่ออก เผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริง
ภูตหนูมองแวบหนึ่งแล้วก็รีบลุกขึ้นยืนตัวตรง “ข้าขอน้อมส่งนายท่านผู้เฒ่าเซียนกระบี่ที่ยังอ่อนเยาว์!”
กล่าวประโยคที่ออกมาจากใจจริงนี้จบ
ภูตหนูก็พลันรู้สึกว่าตัวเองช่างมีไหวพริบเสียจริง!
เฉินผิงอันไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอาใจ “คำประจบนี้ของเจ้าใช้เรียกผู้เฒ่าเซียนกระบี่มากี่มากน้อยแล้ว? อันที่จริงความสามารถในการยกยอคนอื่นของเจ้ายังไม่เก่งกาจพอ ดังนั้นวันหน้าต้องอ่านหนังสือให้มาก”
ภูตหนูมึนงง ในใจคิดว่าตนไม่ได้ประจบสอพลอสักหน่อย แต่ว่าเรื่องที่ต้องอ่านหนังสือให้มากนั้นแน่นอนอยู่แล้ว
ตอนนี้สมบัติของตนเปลี่ยนจากตำราหนึ่งเล่มมาเป็นตำราสองเล่ม ร่ำรวยใหญ่แล้ว!
เฉินผิงอันยิ้มถาม “เคยเห็นผู้ฝึกกระบี่ขี่กระบี่หรือไม่?”
ภูตหนูส่ายหน้าอย่างแรง “เรียนนายท่านผู้เฒ่าเซียนกระบี่! ชีวิตนี้ไม่เคยมาก่อนเลย!”
เฉินผิงอันกลับถามขึ้นกะทันหัน “นอกจากอ่านตำรา ยังชอบฝึกตนไหม?”
ภูตหนูกำทวนไม้ในมือแน่น หลุดปากพูดไปว่า “ชอบ!”
เฉินผิงอันลังเลเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะเอ่ยประโยคหนึ่งที่อ่านเจอมาจากในตำรา เจ้าจะฟังหรือไม่?”
ภูตหนูสูดลมหายใจเข้าลึก ยืดอกตั้ง พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “นายท่านผู้เฒ่าเซียนกระบี่โปรดกล่าวถ้อยคำล้ำค่าดุจทองคำนี้!”
เฉินผิงอันเกือบจะกลืนคำพูดประโยคนั้นกลับลงท้องไปทันควัน
เมื่อเป็นเช่นนี้เขาก็ไม่มีความฮึกเหิมใดๆ หลงเหลืออยู่แล้ว ดังนั้นเฉินผิงอันจึงยิ้มพูดด้วยท่าทางที่ผ่อนคลายคล้ายคุยเรื่องทั่วๆ ไป “ในตำราบอกไว้แล้วว่า ผู้ฝึกตนฝึกพละกำลังเพื่อปกป้องจิตแห่งมรรคาของตน หาใช่ตั้งใจฝึกตนแสวงหามรรคาอย่างยากลำบากเพียงแค่เพื่อเพิ่มพูนพละกำลัง”
ภูตหนูกึ่งเข้าใจกึ่งไม่เข้าใจ
เฉินผิงอันประคองงอบ เตรียมจะออกเดินทางต่อ
ภูตหนูเอ่ยขึ้นว่า “คราวหน้าหากได้พบกับนายท่านผู้เฒ่าเซียนกระบี่อีกครั้ง ข้าจะต้องดื่มเหล้าอย่างแน่นอน”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่มีปัญหา เจ้าคงไม่รู้กระมัง อันที่จริงตอนนี้ข้ายังไม่ใช่เซียนกระบี่ เป็นแค่มือกระบี่ ทว่าแต่ไหนแต่ไรมามือกระบี่ก็มักต้องดื่มเหล้าถึงจะสามารถกลายเป็นเซียนกระบี่ได้”
เฉินผิงอันกลั้นยิ้ม เจี้ยนเซียนที่อยู่ด้านหลังออกจากฝักมาลอยอยู่ด้านหน้าเขาด้วยตัวเองแล้ว
เฉินผิงอันกระโดดหนึ่งก้าวขึ้นไปยืนบนเจี้ยนเซียนแล้วขี่กระบี่จากไปไกล พลังอำนาจน่าครั่นคร้าม ปราณกระบี่ท่วมทะยานฟ้า ท่องเดินทางอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน