Skip to content

Sword of Coming 498

บทที่ 498 ข้าก็ใช้กระบี่แหวกม่านฟ้าได้เหมือนกัน

เฉินผิงอันออกมาจากอาณาเขตของตำหนักหยางฉางได้ไม่นานก็เก็บกระบี่เจี้ยนเซียนสอดเข้าฝัก พลิ้วกายลงบนสันเขาของภูเขาฉงซานที่มีไอพิษสกปรกอบอวล ก่อนหน้านี้ที่ก้มหน้ามองผืนดินก็เห็นว่าขอแค่เดินออกไปจากภูเขาแถบนี้ได้แล้วเดินลงใต้ไปอีกประมาณห้าสิบกว่าลี้ก็น่าจะถึงเมืองถงโช่วที่เป็นนครสูงกว้างใหญ่แห่งนั้นแล้ว และเมืองชิงหลูที่ผู้ฝึกตนสำนักพีหมามาปักหลักตั้งถิ่นฐานอยู่ก็ห่างไปอีกไม่ไกลแล้ว

การขี่กระบี่เลียนแบบเซียนเป็นเรื่องที่น่าสนใจมากอย่างหนึ่ง ทะเลเมฆบนโลกใบนี้สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้สารพัดรูปแบบ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่รู้สึกเบื่อ นอกจากนี้ยังสามารถทำเรื่องบางอย่างที่ช่วยคลายความกลัดกลุ้มได้ ก่อนหน้านี้ตอนที่ออกมาจากตำหนักหยางฉาง เฉินผิงอันก็จงใจเลือกเข้าไปในชั้นล่างสุดของทะเลเมฆจุดหนึ่งที่เมฆทั้งผืนราบเรียบเหมือนถูกมีดปาดผ่าน เอาหัวทิ่มเข้าไปในชั้นเมฆ จากนั้นก็บังคับกระบี่ให้ล่องลอยไปอย่างเชื่องช้า หากใต้ฝ่าเท้ามีภูตผีปีศาจตามป่าเขาเงยหน้ามองมาเห็นภาพนี้เข้า คาดว่าคงรู้สึกว่า…ผู้ฝึกตนที่มองไม่เห็นหัวผู้นี้สมองมีปัญหาหรือไม่? นอกจากการหาความบันเทิงให้ตัวเองเหมือนเด็กที่ชวนให้ขบขันแบบนี้แล้ว เฉินผิงอันก็ยังชอบผลุบหายเข้าไปในทะเลเมฆทั้งร่าง แต่โผล่มาแค่หัวอย่างเดียว จากนั้นก็ตวัดแขนสองข้างขึ้นลงคล้ายว่ายน้ำ

อันที่จริงนี่ค่อนข้างคล้ายคลึงกับการที่เผยเฉียนเอาหัวตัวเองวางพาดบนโต๊ะคิดเงินในร้านตรอกฉีหลงอยู่มาก ไม่เสียแรงที่เป็นอาจารย์และศิษย์กัน

ท่ามกลางสันเขาที่ไร้เงาผู้คน รอบด้านเงียบสงัด ต้นไม้ในป่าส่วนใหญ่ล้วนรัดพันกันเหมือนเป็นโรค เฉินผิงอันเดินผ่านหน้าผาแห่งหนึ่งก็เงยหน้าขึ้น เห็นต้นเหมยลำต้นเล็กบางต้นหนึ่งเติบโตจากร่องหินหน้าผา มีไอเมฆล้อมวน ด้านล่างหน้าผามีกระดูกขาวแตกหักกองกันเป็นพะเนิน นี่น่าจะเป็นเพราะภูตต้นไม้ที่พอจะมีความหวังในการฝึกตนตนนี้เริ่มเกิดสติปัญญา จึงเรียนรู้ที่จะจับนกหรือสัตว์ตัวเล็กๆ กินเป็นอาหารแล้ว

โดยทั่วไปแล้ว ต้นไม้ใบหญ้าบนโลกกลายเป็นภูตได้ยากมากที่สุด ภูตประเภทนี้ส่วนใหญ่เมื่อจำแลงร่างกลายเป็นคนได้ก็ถือว่าเดินมาสุดทางบนมหามรรคแล้ว ก็เหมือนกับภูตจิ๋วน่ารักที่ยืนอยู่บนกิ่งต้นป่ายในกระถางของหอชิงฝูที่ท่าเรือแคว้นซูสุ่ยเหล่านั้นที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าไร้ความหวังบนเส้นทางการฝึกตน ได้แต่อาศัยอายุขัยยาวนานที่มีมาตั้งแต่กำเนิดของพืชหญ้าใช้เวลาที่เหลืออยู่ไปอย่างเปล่าประโยชน์ ส่วนใหญ่มักจะถูกผู้ฝึกตนนำมาเลี้ยง เก็บไว้ชื่นชมให้เพลิดเพลินเจริญตา รู้สึกเป็นมงคลก็เท่านั้น

นี่จึงเป็นเหตุให้ตอนที่ถ้ำสวรรค์หลีจูยังไม่ร่วงลงมา พวกคนเฒ่าคนแก่ที่นั่งอยู่ใต้ต้นไหวถึงได้ชอบเล่าเรื่องภูตผีปีศาจตามป่าเขาลำนำไพรที่สมมติขึ้นมาเอง จงใจเอามาหลอกให้พวกเด็กๆ กลัว แต่พวกผู้เฒ่าส่วนใหญ่ก็มักจะพูดแทรกมาหนึ่งประโยคว่า พวกเราเกิดมาเป็นมนุษย์ได้นั้นก็ถือว่าไม่ง่ายแล้ว ต้องรู้จักเห็นค่าแล้วเห็นค่าอีก ไม่อย่างนั้นชั่วชีวิตนี้หากไม่ทำตัวเป็นคนให้ดี ชาติหน้าก็อาจเกิดไปเป็นหมูเป็นหมา ตอนเด็กเฉินผิงอันก็ชอบไปนั่งฟังเรื่องเล่าของที่นั่นอยู่ไกลๆ ส่วนหลิวเสี้ยนหยางที่ไม่เคยกลัวฟ้าไม่เกรงดินกลับไม่ชอบฟังเรื่องพวกนี้ มักจะบอกว่าพวกภูตผีปีศาจหรือเทพเจ้าแห่งเตาไฟอะไรทั้งหลายล้วนเป็นเรื่องหลอกเด็ก ดังนั้นส่วนใหญ่จึงจะเป็นกู้ช่านที่ไปนั่งรับลมเย็นอยู่ใต้ร่มเงาต้นไหวเป็นเพื่อนเฉินผิงอัน จากนั้นก็รอให้สตรีแต่งงานแล้วในตรอกหนีผิงเปิดประตูตะโกนเรียกกู้ช่านกลับบ้านไปกินข้าว ไปนอน เขาถึงจะลุกขึ้นยืนแล้วกลับไป

เฉินผิงอันทะยานตัวขึ้นไปไต่หน้าผาหิน กางนิ้วทั้งห้าเป็นตะขอปักเข้าไปในหน้าผา แขวนตัวห้อยอยู่กลางอากาศอย่างนั้น จากนั้นก็หยิบเอาเงินเกล็ดหิมะสามเหรียญมากำไว้ในมือ ใช้วิชาหลอมวัตถุที่เจ้าแม่เทพวารีลำคลองหมายเหอถ่ายทอดให้หลอมปราณวิญญาณที่อยู่ในเงินเกล็ดหิมะให้กลายเป็นหยดน้ำสีเขียวมรกตหลายหยด ปล่อยให้หยดน้ำไหลจากร่องนิ้วหยดลงไปตรงจุดเชื่อมต่อของรอยแยกระหว่างต้นเหมยโบราณกับหน้าผาหิน เมื่อทำทุกอย่างนี้เสร็จ เฉินผิงอันก็ใช้ฝ่ามือตบลงบนหน้าผาเบาๆ พลิ้วกายลงบนพื้นแล้วออกเดินทางต่อ

หากตกอยู่ในสภาวะลำบากคับขันจำเป็นต้องรีบใช้เงินเทพเซียนที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นเงินต่อชีวิตเหมือนอย่างคู่รักคู่นั้น ไม่แน่ว่าพอเห็นต้นเหมยที่มีลักษณะผิดแผกไปจากต้นเหมยทั่วไปต้นนี้ ความคิดแรกก็คงจะเป็นใคร่รู้ว่ามันจะมีราคาเท่าไหร่ จากนั้นก็ปลุกความกล้าเสี่ยงอันตรายไต่หน้าผาหินขึ้นมาฟันเอามันไป ส่วนเรื่องที่ว่าโชควาสนาของต้นเหมยจะขาดสะบั้นหรือไม่ ไหนเลยจะมัวมาสนใจอยู่อีก แต่หากเป็นคนที่มีตบะสูงสักหน่อย อีกทั้งกระเป๋าเงินยังฟีบแบน เจอกับภูตสองตัวที่อยู่บนสะพานเหล็กก็คงต้องเปิดฉากเข่นฆ่าที่อันตรายไม่ต่างจากการช่วงชิงบนมหามรรคาเหมือนกันไม่ใช่หรือ?

เฉินผิงอันไม่เคยมีอคติต่อการเข่นฆ่าเพื่อเดินขึ้นสู่ที่สูงของผู้ฝึกตน ต่อให้วิธีการจะโหดเหี้ยมไปหน่อย เฉินผิงอันก็ยังพอจะเข้าใจได้ คนประเภทเดียวที่เฉินผิงอันไม่ชอบ หรืออาจถึงขั้นรังเกียจก็คือพวกเทพเซียนบนภูเขาที่อยู่บนที่สูงมานานแล้ว ยึดครองเอาผลประโยชน์ทั้งหมดไป สูงส่งเหนือผู้ใดประหนึ่งเจียวหลงที่ซ่อนตัวอยู่ในทะเลเมฆ แต่กลับไม่มีความเมตตากรุณาต่อคนบนโลกมนุษย์เลยแม้แต่น้อย ขอแค่เป็นผู้ที่ขอบเขตสู้ตนไม่ได้ก็ล้วนถือว่าชีวิตไร้ค่าในสายตาของพวกเขา คิดจะสยบกำราบอย่างไรก็ได้ และเมื่อสังหารคนที่รกนัยน์ตาได้สำเร็จกลับยังพูดอย่างง่ายๆ ว่าเมื่อไร้ปราณีบนมหามรรคา จิตแห่งการฝึกตนจึงจะแข็งแกร่งประดุจหินผา

นี่คือการฝึกตนบนมรรคาแบบใดกัน?

ในขณะที่เดินอยู่ท่ามกลางป่าเขาเพียงลำพัง เฉินผิงอันก็พึมพำกับตัวเองว่า “ตนเองไม่ชอบก็จะต้องผิดเสมอไปหรือ? เจ้าเฉินผิงอันเผด็จการเกินไปหน่อยหรือไม่? เจ้าคิดว่าตัวเองเป็นใครกัน?”

แล้วถามตัวเองอีกว่า “คนใจดีมีเมตตาไม่เหมาะคุมกองทัพ คนมีคุณธรรมไม่เหมาะทำการค้า?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า

เขารู้สึกว่าคนโบราณชอบพูดอย่างครึ่งๆ กลางๆ ไม่ถือเป็นถ้อยคำที่กลั่นจากแก่นคัมภีร์ที่แท้จริง หากถ้อยคำที่เกิดจากการดึงข้อมูลแค่บางส่วนมาบิดเบือนถูกคนบนโลกยึดถือปฏิบัติตาม มองเป็นกฎเกณฑ์อันดีงามในการอยู่ร่วมกันในสังคม ก็จะสามารถลดทอนปัญหามากมายในชีวิตคนไปได้จริงๆ ไม่ใช่บอกว่าไม่ดี แต่ถึงอย่างไรก็เป็นความบกพร่องในความสมบูรณ์แบบ

ยกตัวอย่างเช่นในตำราก็บอกไว้อีกว่า

คนใจดีมีเมตตาไม่เหมาะคุมกองทัพ หลังจากกุมอำนาจใหญ่ไว้ในมือแล้วก็ควรต้องมีความกรุณาปราณี

คนมีคุณธรรมไม่เหมาะทำการค้า หลังจากร่ำรวยเป็นเศรษฐีแล้วก็ควรจะมีศีลธรรมน้ำใจ

เฉินผิงอันหยุดเดิน กระโดดขึ้นไปบนกิ่งไม้สูงแล้วนั่งลง หยิบเอามีดแกะสลักและแผ่นไม้ไผ่ที่ไม่ได้แตะมานานออกมา แล้วสลักสองประโยคนี้ลงไปบนแผ่นไม้ไผ่

คิดดูแล้วก็เอาประโยคที่พูดกับภูตหนูในตำหนักหยางฉางเกี่ยวกับการฝึกจิตใจฝึกพละกำลังนั้นสลักลงไปบนแผ่นไม้ไผ่อีกแผ่นหนึ่งด้วย

เฉินผิงอันเก็บมีดแกะสลัก มือข้างหนึ่งถือแผ่นไม้ไผ่ชูขึ้นสูง ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “คราวนี้ก็ถือว่ามาจาก ‘ในตำรา’ (คำว่าแผ่นไม้ไผ่ในเรื่องนี้ส่วนใหญ่จะใช้คำว่าจู๋เจี่ยน แต่ประโยคด้านบนใช้คำว่าซูเจี่ยนซึ่งสามารถแปลเป็นแผ่นไม้ไผ่ได้เหมือนกัน และซูก็หมายถึงหนังสือ/ตำรา) อย่างแท้จริงแล้ว!”

ดีนักนะ

ที่แท้ล้วนเป็นหลักการที่เฉินผิงอันพูดขึ้นอย่างส่งเดชเองทั้งนั้น

คาดว่าตลอดทั้งใต้หล้าแห่งนี้ก็คงมีแต่พวกคนขี้ประจบบนภูเขาลั่วพั่วเท่านั้นกระมังที่ยินดีจะเห็นเป็นจริงเป็นจังกับคำกล่าวพวกนี้?

เฉินผิงอันเก็บไม้ไผ่ทั้งสองแผ่นไปอย่างระมัดระวัง อารมณ์เบิกบานเป็นอย่างยิ่ง

หลังจากนั้นเฉินผิงอันก็ไม่ได้รีบร้อนเดินทางต่อไปยังนครถงโช่ว

แต่ดื่มเหล้าต่ออีกนิด ในกาเหล้าที่เอาออกมาตอนอยู่ตำหนักหยางฉางก่อนหน้านี้ยังเหลือเหล้าอยู่อีกไม่น้อย

เฉินผิงอันเริ่มคิดคำนวณทรัพย์สมบัติของตัวเองอยู่ในใจอย่างละเอียด การเดินทางจากชายหาดโครงกระดูกเข้ามาฝึกประสบการณ์ในหุบเขาผีร้ายครั้งนี้ได้รับผลเก็บเกี่ยวอุดมสมบูรณ์ยิ่ง

แต่ว่าความเสียหายของชุดคลุมอาคมหญ้าเขียวบนร่างตัวนี้ก็ถือว่าไม่เบา คิดจะซ่อมแซมให้กลับคืนมาเป็นเหมือนเดิม คาดว่าอย่างน้อยคงต้องจ่ายด้วยเงินเกล็ดหิมะห้าถึงหกพันเหรียญ

ตอนนั้นที่หนีออกจากวงล้อมกลุ่มปีศาจบนภูเขาตี้หย่งมาพร้อมกับบัณฑิต เพื่อแสดงความอ่อนแอให้ศัตรูเห็นจึงไม่กล้าเปิดเผยรากฐานของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวออกไปมากนัก จึงได้แต่จงใจกดปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ในกายเฮือกนั้นเอาไว้ อาศัยแค่ชุดคลุมอาคมมาต้านรับค้อนที่วานรย้ายภูเขาตัวนั้นทุบลงมาเต็มแรง ภายหลังตอนเปิดฉากเข่นฆ่ากับขุนพลเทพชื่อเหลยแห่งภูเขาจีเซียวที่ริมตลิ่งลำคลองเฮยเหอ ร่างตกอยู่ท่ามกลางบ่อสายฟ้า ชุดคลุมอาคมหญ้าเขียวก็ยิ่งถูกสายฟ้าฟาดผ่าจนได้รับความเสียหายรุนแรงกว่าเดิม ค่าใช้จ่ายที่ไม่เล็กก้อนนี้ทำให้เฉินผิงอันรู้สึกเข็ดฟันนัก

เฉินผิงอันจึงได้แต่ปลอบใจตัวเองว่า “การค้าขายของร้านผ้าห่อบุญที่เล็กที่สุดบนโลกใบนี้ก็ยังต้องใช้เงินทุน เจ้าจะมีความคิดที่ไม่อยากลงทุนแต่ได้กำไรมหาศาลแบบนี้ไม่ได้”

อีกทั้งตอนที่อยู่กลางบ่อสายฟ้า จิตวิญญาณและเนื้อหนังมังสาของตนที่เหมือนต้องทนทุกข์ทรมานดั่งการถูกไฟแผดเผาก็ยิ่งเป็นการฝึกประสบการณ์ในหุบเขาผีร้ายอย่างแท้จริง

แม้จะบอกว่าเมื่อเทียบกับการโดนซ้อมบนเรือนไม้ไผ่ภูเขาลั่วพั่วแล้วจะถือว่าเบาไปสักหน่อย แต่ก็ได้ผลประโยชน์ไม่น้อย อีกทั้งเดิมทีบ่อสายฟ้าก็เป็นกรงขังที่ทรมานคนได้ดีที่สุดบนโลกใบนี้ การทนรับความทุกข์ยากนี้ยังมีความมหัศจรรย์อีกข้อหนึ่ง เพราะอันที่จริงเฉินผิงอันเองก็สัมผัสได้นานแล้วว่าเส้นเอ็น กระดูกและจิตวิญญาณของตนคล้ายจะยืดหยุ่นทนทานขึ้นอีกหลายส่วน

ตอนอยู่สันเขาอีกาแย่งชุดคลุมอาคมเกล็ดหิมะตัวหนึ่งมาจากป๋ายเหนียงเนียงของนครฟู่นี่ได้ ตามคำบอกของฟ่านอวิ๋นหลัว ราคาตลาดของมันก็คือสองสามเหรียญเงินฝนธัญพืช

หากขายให้แก่นครฟูนี่ก็น่าจะเพิ่มราคาได้อีกหนึ่งถึงสองเหรียญเงินฝนธัญพืช

เพียงแต่ว่าพอคิดถึงป๋ายเหนียงเนียงที่ชอบเสแสร้งหลอกลวงผู้คนตนนั้น เฉินผิงอันก็ให้รู้สึกอึดอัดใจขึ้นมา

ตอนนั้นนางจำแลงใบหน้าหนึ่งออกมา ใช้ใบหน้านี้มาล่อลวงใจคน ทำให้เฉินผิงอันเจ็บแค้นอย่างมาก ขณะเดียวกันก็รู้สึกใจคอไม่ดีด้วย

นอกจากจะบอกให้คู่บำเพ็ญตนห้าขอบเขตล่างคู่นั้นแบกโครงกระดูกขาวห้าโครงออกไปจากหุบเขาผีร้ายแล้ว ในวัตถุจื่อชื่อของเขายังมีโครงกระดูกขาวที่แวววาวราวกับหยกของนางกำนัลหญิงแห่งนครฟูนี่อีกสิบกว่าโครง

ส่วนหลังจากฝึกประสบการณ์จบแล้วได้ออกไปจากหุบเขาผีร้าย จะนำไปขายที่ชายหาดโครงกระดูกได้เงินเท่าไหร่ เฉินผิงอันไม่แน่ใจนัก

เฉินผิงอันคิดมาถึงตรงนี้ก็อดหันไปมองทางทิศใต้แวบหนึ่งไม่ได้ ไม่รู้ว่าคู่รักคู่นั้นเอาไปขายได้ราคาสูงหรือไม่

คำที่บอกว่าสัญญาหนึ่งเดือนนั้น

อันที่จริงเฉินผิงอันไม่ได้เห็นเป็นจริงเป็นจังมาตั้งแต่แรก เขาแค่อยากให้อีกฝ่ายรับเงินไปอย่างสบายใจเท่านั้น คู่รักที่หาเงินอยู่ในหุบเขาผีร้ายได้อย่างยากลำบากคู่นั้นจะรอครบหนึ่งเดือนตามสัญญาหรือไม่ เฉินผิงอันไม่สนใจแม้แต่น้อย

เพราะหากคู่รักขายโครงกระดูกหยกขาวห้าโครงของนครฟูนี่ได้สำเร็จ ไม่ว่าจะรอถึงหนึ่งเดือนหรือไม่ เฉินผิงอันก็ไม่มีทางไปปรากฏตัวที่ตลาดด่านไน่เหอ หากพวกเขาไม่รอ ได้เงินแล้วเผ่นหนีไปทันที พวกเขาก็ต้องคอยเป็นกังวลว่าหลังจบเรื่องจะถูกเขาไล่ตามไปเอาผิด นั่นก็เป็นปัญหาของพวกเขาแล้ว แต่หากรอได้ครบเดือนก็จะดียิ่งกว่า เพราะพวกเขาจะสามารถจากไปได้อย่างสบายใจ ทำให้ผู้ฝึกตนหญิงขอบเขตห้าคนนั้นฝ่าทะลุคอขวดเลื่อนสู่ขอบเขตถ้ำสถิตอันเป็นห้าขอบเขตกลางได้สำเร็จ คิดว่าเงินเทพเซียนก้อนนั้นก็น่าจะเหลือเฟือ อีกทั้งยังมากพอจะช่วยให้นางทำให้ขอบเขตถ้ำสถิตมั่นคงอีกด้วย ส่วนเงินที่เหลืออยู่จะช่วยให้ผู้ฝึกตนชายฝ่าทะลุขอบเขตไปได้สำเร็จด้วยหรือไม่ ก็คงต้องดูที่เจตนารมสวรรค์และวาสนาของเขาเองแล้ว

เหตุใดเฉินผิงอันถึงทำเช่นนี้

เหตุผลนั้นง่ายดายมาก

ก็เหมือนตอนที่เฉินผิงอันอยู่ในคลังใต้ดินของปี้สู่เหนียเนียงที่จะต้องเก็บเอาโครงกระดูกขาวที่จับมือกันเผชิญหน้ากับความตายสองโครงนั้นมาให้ได้ นี่ไม่ใช่เพราะเขาหวังเงินทอง เฉินผิงอันไม่เพียงแต่ไม่ปรารถนาในโครงกระดูกขาวของจักรพรรดิแคว้นหล่งซีและผู้ฝึกตนหญิงทำเนียบวงศ์ตระกูลสำนักชิงเต๋อ หรือแม้แต่ชุดคลุมมังกรชุดคคลุมอาคมของพวกเขา ความคิดเพียงอย่างเดียวของเขาก็คืออยากจะไปเยือนมาตุภูมิของพวกเขาแล้วเอาโครงกระดูกของพวกเขาไปฝังไว้ท่ามกลางภูเขาเขียวน้ำใสเคียงคู่กัน

หวังให้คนมีรักทุกคนบนโลกใบนี้ได้อยู่เคียงคู่ ครองรักกันตลอดไป หวังว่าคนที่จากโลกนี้ไปแล้วซึ่งแม้จะเส้นผมขาวโพลนก็ยังไม่เคยทรยศกันได้อยู่ด้วยกันไปทุกชาติภพ

มหามรรคาทอดยาว เส้นทางของความเป็นอมตะยาวไกล ท่ามกลางการฝึกตน นอกจากจะขยันฝึกกระบี่ออกหมัด ไม่หวาดกลัวที่จะต้องต่อกรกับศัตรูผู้แข็งแกร่งแล้ว การที่ได้ทำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่คนอื่นไม่ยินดีจะทำ แต่ข้ากลับยินดีจะหยุดเดินเพื่อไปทำเหล่านี้ ไยจะไม่ใช่ความสุขยิ่งใหญ่ในชีวิตคนอย่างหนึ่ง?

ตอนอยู่ตำหนักกว่างหานบนภูเขาโปลั่ว นับตั้งแต่ห้องส่วนตัวของปี้สู่เหนียงเนียงไปจนถึงคลังสมบัติของนาง ล้วนได้รับผลเก็บเกี่ยว

แบ่งเงินเกล็ดหิมะพันกว่าเหรียญมาจากบัณฑิต

แต่เฉินผิงอันรู้สึกว่าสิ่งที่มีค่ามากที่สุดยังคงเป็นเหล็กเย็นที่ใช้เป็น ‘บานประตู’ ซึ่งถูกอาจารย์กลไกของสำนักโม่สร้างตำหนักจันทราไว้ด้านบนอย่างประณีตตั้งใจ

ส่วนขวดไหต่างๆ นาๆ ที่อยู่ในห้องส่วนตัวของเผ่าพันธุ์ตำหนักจันทราผู้นั้น เฉินผิงอันก็ให้ความสำคัญอย่างมาก วันหน้าเมื่อออกจากชายหาดโครงกระดูกเดินทางขึ้นเหนือต่อ สวรรค์เท่านั้นที่จะรู้ว่าจะได้เจอกับคุณหนูตระกูลใหญ่หรือเทพธิดาบนภูเขาที่มีเงินแต่ไม่มีที่ให้ใช้เงินหรือไม่? ไม่แน่ว่าพวกนางอาจโดนน้ำมันหมูบังตาทำให้ขายได้ราคาสูงก็เป็นได้? จูเหลี่ยนเคยพูดจาอย่างน่าเชื่อถือว่า ใต้หล้านี้ไม่มีสตรีคนใดที่ไม่อยากให้ตัวเองงดงามมากกว่าเดิม ต่อให้มีนั่นก็เพียงแค่เพราะยังไม่เจอบุรุษถูกใจที่มีค่าพอจะให้พวกนาง ‘ประทินโฉมเพื่อคนที่รัก’ เท่านั้น

ส่วนตำราพิชัยสงครามหีบใหญ่ของเซียนใหญ่จัวเยาที่ซ่อนไว้สุดปลายทางของเส้นทางใต้ดินตำหนักหยางฉาง

เฉินผิงอันยังไม่มีเวลาได้อ่านอย่างละเอียด เขาคิดไว้ว่ารอให้ไปถึงเมืองชิงหลูเมื่อไหร่ค่อยไล่อ่านไปทีละเล่ม น่าจะเป็นตำราที่สองราชวงศ์ใหญ่และแคว้นใต้อาณัติหลายสิบแคว้นในอดีตเหลือทิ้งไว้บนชายหาดโครงกระดูก ถูกตำหนักหยางฉางเก็บสะสมมานานเป็นพันปี และก็สามารถกลายมาเป็นหนึ่งในเงินทุนของร้านผ้าห่อบุญเล็กๆ ของเฉินผิงอันได้พอดี แต่ก็ยังจำเป็นต้องคัดเลือกอย่างตั้งใจ เลือกส่วนที่ดีที่สุดแล้วเอาไปเก็บไว้ในหอเก็บตำราของบ้านตัวเองบนภูเขาลั่วพั่ว

พอคิดถึงว่าในอนาคตจะมีลูกศิษย์ของภูเขาลั่วพั่วเข้าหอไปยืมตำราเหล่านี้มาอ่าน แล้วผู้เฒ่าคนเฝ้าหอตำราก็จะเล่าว่านี่คือผลเก็บเกี่ยวที่เจ้าขุนเขาของพวกเราได้มาจากการเดินทางไปเยือนชายหาดโครงกระดูกของอุตรกุรุทวีปในปีนั้น และผู้เฒ่ายังพูดเสริมเติมแต่งไปเองอีกว่าเวลาอ่านตำราพวกนี้จะต้องระวังสักหน่อย เพราะนี่คือสมบัติที่พบเจอมาจากบ่อมังกรถ้ำพยัคฆ์เชียวนะ…

ตอนที่ยืมตำรากลับไปอ่าน ลูกศิษย์คนนั้นก็จะรู้สึกว่าต้องตั้งใจและระมัดระวังมากกว่าเดิม และหลังจากอ่านจนล้าแล้วจึงปิดไฟ ก็จะอดรู้สึกนับถือ ‘เจ้าขุนเขา’ ที่อายุยังน้อยแต่กลับเดินทางผ่านพันภูเขาหมื่นสายน้ำมาแล้วไม่มากก็น้อย บ้างหรือไม่?

เฉินผิงอันที่นั่งอยู่บนกิ่งไม้สูงหลุดหัวเราะอย่างอดไม่อยู่

แล้วจึงคำนวณบัญชีของตัวเองต่ออีกครั้ง

นักบัญชีที่สวมชุดเขียวเหมือนกัน ตอนอยู่ทะเลสาบซูเจี่ยนได้แค่คิดว่าจะแพ้ให้น้อย ขาดทุนให้น้อยได้อย่างไร

แต่พอมาอยู่หุบเขาผีร้ายกลับสามารถคิดว่าจะหาเงินให้ได้มากๆ ได้อย่างไร

ชีวิตดีขึ้นในทุกๆ วันจริงๆ

ตอนอยู่บนภูเขาจีเซียวถิ่นของขุนพลเทพชื่อเหลย ขุดเอาแส้สายฟ้าสีทองขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากันออกมาได้ห้าท่อน

มูลค่าที่แท้จริงของแส้ไม้ไผ่สายฟ้าสีทองที่เป็นสมบัติซึ่งเกิดขึ้นตามธรรมชาติเหล่านี้คือเท่าใด ตอนนี้ยังไม่อาจรู้ได้

แต่เหตุใดก่อนหน้านี้ปีศาจที่มีหัวอินทรีทองสองหัวตนนั้นถึงได้บอกว่าตนขโมยบ่อสายฟ้าของมันไป?

แล้วก็ด้วยเหตุนี้ เฉินผิงอันถึงได้กังวลว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงไม่คาดฝันบนภูเขาจีเซียว หลังออกมาจากลำคลองเฮยเหอ เขาถึงได้จงใจอ้อมผ่านภูเขาจีเซียว

อันที่จริงภูเขาจีเซียวก็เหมือนกับโพรงมังกรเฒ่าที่หากว่าไม่กลัวตายจริงๆ แล้วไปสำรวจให้ถึงที่สุดก็ไม่แน่ว่าอาจจะยังได้รับผลเก็บเกี่ยวที่ไม่คาดฝัน

แน่นอนว่าการทำเช่นนั้นก็จะไม่ต่างจากคู่รักขอบเขตไม่สูงคู่นั้นที่หาเงินโดยเอาหัวไปผูกไว้บนสายเข็มขัดรัดกางเกง เอาชีวิตไปวางเดิมพัน

ในศาลริมลำคลองเฮยเหอ นั่งแบ่งทรัพย์สินที่บัณฑิตได้มาจากคลังสมบัติถ้ำสถิตที่สร้างขึ้นใต้น้ำของฟู่ไห่หยวนจวิน

วัตถุวิเศษหกชิ้น

เฉินผิงอันทิ้งปิ่นที่เป็นสมบัติอาคมชิ้นนั้นไป เอามาแค่เงินเกล็ดหิมะแปดร้อยเหรียญของคลังสมบัติจวนน้ำที่น้อยนิดจนน่าสงสาร รวมไปถึง ‘ของผุพัง’ กองหนึ่งที่บัณฑิตถือโอกาสกวาดเอามาจากในจวนของตะพาบน้อยซึ่งคล้ายคลึงกับของจุกจิกของเผ่าพันธุ์จันทราตนนั้น

ต่อให้หลังจากที่ออกจากทะเลสาบซูเจี่ยนกลับคืนมายังภูเขาลั่วพั่วแล้วจะรู้ว่ามหามรรคาของตนใกล้ชิดกับน้ำ แต่เฉินผิงอันก็ยังปฏิเสธสมบัติอาคมที่มีประโยชน์เฉพาะกับผู้ฝึกตนที่ฝึกวิชาทางน้ำชิ้นนั้นไป

บางครั้งก็มีขนมเปี๊ยะหลายชิ้นร่วงจากท้องฟ้ามาใส่หัวจริงๆ

แต่เฉินผิงอันไม่เชื่อใจ ‘บัณฑิต’ หยางหนิงซิ่งแห่งหน่วยฉงเสวียนที่ใช้มรรคกถาอันลี้ลับมหัศจรรย์มาหลอมย่อส่วนให้ความชั่วร้ายทั้งหมดในสันดานเดิมกลายเป็น ‘เมล็ดงา’ ที่บริสุทธิ์เมล็ดหนึ่งผู้นั้น

ทว่าเฉินผิงอันก็ใคร่รู้เป็นอย่างยิ่งว่าวิชาเฉพาะของเสนาบดีอวี่อีแห่งตำหนักนภากาศวิชานี้สามารถหล่อหลอมจิตใจได้เหมือนหล่อหลอมวัตถุได้อย่างไร

เฉินผิงอันคิดบัญชีทุกอย่างเสร็จถึงได้ค้นพบว่าที่แท้การเดินทางมาเยือนหุบเขาผีร้ายของตนในครั้งนี้หาทรัพย์สินมาเพิ่มได้มากขนาดนี้

แม้จะบอกว่าระหว่างที่กำลังเดินทางได้สังเกตเห็นภาพเหตุการณ์ภูเขาส่ายน้ำโยกคลอนมาจากทางฝั่งของภูเขากระจกวิเศษ มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าในที่สุดหยางฉงเสวียนก็ได้ครอบครองโชควาสนาจากกระจกบานนั้น และบ่อสายฟ้าภูเขาจีเซียวที่ถูกคนย้ายหนีไปกลางอากาศก็ยิ่งเป็นโชควาสนาครั้งใหญ่

แต่เฉินผิงอันกลับไม่รู้สึกว่าผลเก็บเกี่ยวที่อุดมสมบูรณ์ของคนอื่นเหล่านี้จะทำให้ตนรู้สึกตาแดงน้ำลายสอด้วยความอิจฉาได้

ในความเป็นจริงแล้วหากย้อนกลับไปดูผลเก็บเกี่ยวของบัณฑิตที่คอยปัดแข้งปัดขาและแพ้ให้กับเฉินผิงอันทุกเรื่อง ยามที่ออกไปจากหุบเขาผีร้าย ต่อให้ไม่พูดถึงกระจกซานซานที่หยางหนิงเจินลำบากลำบนหามาให้เขา พูดถึงแค่ปลาหลั่วสีทองที่ถูกเลี้ยงอยู่ในภาชนะบรรจุน้ำขนาดเล็กของโพรงมังกรเฒ่า กับเงินบรรพบุรุษเตียวหมู่ที่เซียนสันโดษบางท่านของสำนักชิงเต๋อสร้างขึ้นกับมือตัวเอง ลำพังแค่ของสองชิ้นนี้ก็ถือว่าเขากลับไปพร้อมของเต็มไม้เต็มมือแล้ว

แต่ต่อให้รู้ความจริงแล้ว เฉินผิงอันก็ยังไม่เก็บเอามาใส่ใจอยู่ดี

เจ้าเดินบนเส้นทางกว้างใหญ่ของเจ้า ข้าเดินบนทางสะพานไม้เล็กแคบของข้า

พวกเจ้าเอาโชควาสนาใหญ่ของพวกเจ้าไปครอง ข้าก็เก็บของผุพังชิ้นเล็กชิ้นน้อยของข้าไป

ข้าก็ใช้กระบี่แหวกม่านฟ้าได้เหมือนกัน

เฉินผิงอันพลันหัวเราะ เรียกได้ว่าหน้าบานเป็นกระด้ง พูดกลั้วหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “ของผุพังเช่นนี้ยิ่งมากก็ยิ่งดีจริงๆ !”

จากนั้นเฉินผิงอันก็สะบัดชายแขนเสื้อ “อีกอย่างพวกเจ้าก็ไม่ได้ผุพังสักหน่อย ล้วนเป็นเงินเทพเซียนก้อนใหญ่ทั้งนั้น”

แล้วนับประสาอะไรกับที่ในชายแขนเสื้อใหญ่ของชุดคลุมอาคมเทาเที่ยร้อยตาที่ถอดมาจากตัวของหยางหนิงซิ่งยังซ่อนยันต์อีกสามแผ่นที่แค่มองก็รู้แล้วว่าต้องแพงมากเอาไว้

เฉินผิงอันกระโดดลงมาจากกิ่งไม้สูง ฝีเท้าว่องไวไปตามอารมณ์อันเบิกบาน เขาเลียนแบบชุยตงซานที่เดินจนชายแขนเสื้อโบกสะบัด และยังเลียนแบบฝีเท้าของเผยเฉียน มองดูแล้วเหมือนทั้งรูปลักษณ์และจากแก่นแท้ของภายใน

เฉินผิงอันรู้สึกว่าตัวเองหลงระเริงตนไปจริงๆ

แต่แล้วจะอย่างไรเล่า ก็ตอนนี้ข้าอารมณ์ดีนี่นา

เฉินผิงอันหิ้วกาเหล้าใบนั้นมา หลังจากดื่มหมดแล้ว แม้แต่กาเหล้าก็ยังตัดใจทิ้งไม่ลง เขาเก็บไว้ในวัตถุจื่อชื่อ รู้สึกเสียดายเล็กน้อยเพราะตลอดทางมานี้กลับไม่เจอพวกภูตผีปีศาจอะไรเลย สภาพการณ์ไม่ต่างจากตอนอยู่บนภูเขาถงกวานสักเท่าไหร่ ทว่าตอนที่เขากำลังจะออกไปจากภูเขา จู่ๆ กลับสังเกตเห็นว่าตรงตีนเขาแห่งหนึ่งที่ห่างไปไกลมีคนสองกลุ่มกำลังทะเลาะวิวาทกัน ทั้งสองฝ่ายหันอาวุธเข้าหากัน กำลังคุมเชิงกันอยู่

เฉินผิงอันแฝงตัวเข้าไปใกล้อย่างว่องไว เก็บลมปราณทั้งหมดแล้วเลือกจะไปซ่อนตัวอยู่ในมุมที่ลับตา

บนรถลากคันมหึมาที่ประกอบขึ้นอย่างหยาบๆ แม้จะบอกว่าเป็นรถลาก แต่รอบด้านกลับไม่มีวัตถุใดปกปิด จึงมองดูเหมือนแพไม้ไผ่ที่วางที่นั่งเอาไว้มากกว่า ด้านบนมีชายฉกรรจ์ร่างกำยำกล้ามเป็นมัดนั่งกางขาอยู่ ร่างของเขาสูงสองจั้ง หมัดใหญ่ราวกับบาตร มือข้างหนึ่งกำลังถือถ้วยเหล้าขนาดยักษ์ที่สร้างขึ้นให้พอดีกับตัวของเขา กำลังแหงนหน้าดื่มเหล้า สุราไหลหกเลอะเทอะ ขนหน้าอกที่รกหนาเหมือนต้นไม้ในผืนป่าจึงเหมือนเจอกับฝนเทกระหน่ำ ข้างเท้าของชายฉกรรจ์วางกาเหล้าที่ว่างเปล่าไว้สองกา ด้านข้างคือสตรีที่เป็นภูตมีสองหูตั้งแหลมนั่งขดตัวอยู่ สองมือของนางถือถ้วยใหญ่ที่บรรจุเหล้าไว้จนเต็ม คอยแอบเหลือบมองไปยังใครบางคนใน ‘ทัพของศัตรู’ อยู่เป็นระยะ สายตาเยิ้มหวานดึงดูดใจคน

รถลากคันนั้นถูกภูตน้อยที่เป็นลูกสมุนแปดตนแบกไว้บนไหล่

บริเวณใกล้กับตัวรถมีภูตสวมเกราะเหล็กอีกสิบกว่าตนที่ถือทวนถือดาบไว้ในมือ ท่าทางโอหังอย่างถึงที่สุด

ฝ่ายที่ภูตในภูเขากลุ่มนี้คุมเชิงอยู่ด้วยคือผีร่างสูงใหญ่หลายสิบตนที่สวมชุดเหมือนทหารกล้า พกดาบสะพายธนู ประหนึ่งพลทหารบนสนามรบในโลกมนุษย์

ผู้ที่เป็นหัวหน้าคือผีแม่ทัพที่สวมเสื้อเกราะสีเงิน ใบหน้าเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง ข้างกายมีบุรุษคนเป็นที่เตี้ยกว่าเขาหนึ่งช่วงศีรษะยืนอยู่ แม้จะอยู่ท่ามกลางกลุ่มของภูตผีและปีศาจ เขาก็ยังคงมีสีหน้าทระนง ไร้ซึ่งความเกรงกลัว เขาสวมชุดขุนนางบุ๋นสีแดงสดที่ตรงหน้าอกปักภาพไก่ฟ้าหลังขาว ด้านในสวมชุดตัวในผ้าบางสีขาว สวมถุงเท้าขาวรองเท้าดำ ตรงเอวรัดเข็มขัดหยก ‘ขุนนาง’ ที่น่าจะอายุไม่มากผู้นี้กำลังชี้นิ้วด่าไปทางรถลากคันนั้น

ชายฉกรรจ์ที่ร่างกำยำใหญ่โตเหมือนภูเขาลูกย่อมได้ยินเสียงพร่ำด่าของคนผู้นั้นก็ยกเท้าเตะสตรีข้างกายเบาๆ ไปหนึ่งที ถามเสียงเบาว่า “ไอ้หมอนี่มันพูดว่าอะไร?”

สตรีหน้าตางดงามยิ้มเอ่ย “กำลังด่าว่านายท่านไม่ใช่คนเจ้าค่ะ”

ชายฉกรรจ์อึ้งตะลึงไปเล็กน้อย “แล้วข้าผู้อาวุโสเป็นคนตั้งแต่เมื่อไหร่? พวกเรากับเจ้าพวกโครงกระดูกแห่งนครถงโช่วพวกนี้ มีใครที่เป็นคนบ้าง? ไม่ใช่เจ้าบัณฑิตหน้าขาวอย่างเขาหรอกหรือที่เป็นคน?”

สตรีก้มหน้าปิดปากหัวเราะคิกๆ เมื่อชายฉกรรจ์โยนถ้วยเหล้าในมือทิ้ง นางก็รีบชูถ้วยเหล้าในมือตัวเองขึ้นมา พออีกฝ่ายรับไปแล้ว สตรีก็ทุบขาให้เขาพลางยิ้มเอ่ย “นายท่าน บัณฑิตนครถงโช่วผู้นั้นก็พูดจาไปเรื่อยเปื่อยหาแก่นสารไม่ได้ ท่านฟังไม่เข้าใจนั่นแหละดีแล้ว หากฟังเข้าใจ หรือจะยังต้องไปเป็นขุนนางในนครถงโช่วด้วย?”

ชายฉกรรจ์แสยะยิ้ม “ข้าก็อยากจะลองเป็นขุนนางน้อยของอัครมหาเสนาผู้อำนวยการหญิงอะไรนั่นดูเหมือนกัน ตอนกลางวันพูดเรื่องคร่ำครึในตำรากับนาง ตอนกลางคืนก็เปิดศึกกันให้เต็มคราบ ฟังนางส่งเสียงร้องอิ๊อ๊ะเหมือนครวญเพลง แค่คิดก็ซ่านสยิวแล้ว”

แม่ทัพผีตนนั้นได้ยินอย่างชัดเจน เขาเอามือกดด้ามดาบ ตวาดเดือดดาลด้วยสีหน้ามืดทะมึน “ใต้เท้าอัครเสนาบดีของข้าเป็นดั่งเทพธิดา สัตว์เดรัจฉานที่ขนยังหลุดไม่เกลี้ยงอย่างเจ้าบังอาจใช้คำพูดดูแคลนนางได้หรือ?!”

ชายฉกรรจ์ไม่สนใจ ดื่มเหล้าไปครึ่งถ้วย ที่เหลือล้วนหกหมด จากนั้นก็ขว้างถ้วยไปนอกรถ ยกมือเช็ดปาก โน้มตัวมาด้านหน้า ด้านหนึ่งก็ยื่นมือไปแคะฟันตัวเอง อีกด้านหนึ่งก็ยิ้มเอ่ยว่า “ข้ากับต้าถงจื่อลูกน้องของเซียนใหญ่จัวเยาคือพี่น้องที่ตัดหัวไก่เผากระดาษเหลืองร่วมสาบานกัน และยิ่งเป็นหนึ่งในลูกบุญธรรมของอริยะใหญ่ปานซาน กินคนตัดต้นไม้ในถิ่นของเจ้านครถังพวกเจ้าไปแค่ไม่กี่คน เป็นเรื่องใหญ่ตรงไหน”

บุรุษที่เป็นขุนนางบุ๋นผู้นั้นตวาดเสียงดัง “เจ้าหมาแก่ เจ้าเลิกแกล้งโง่เสียทีเถอะ พวกเรามาที่นี่ก็เพื่อต้องการตัวท่านจิ้นซื่อคนใหม่! คนผู้นี้คือบัณฑิตที่ใต้เท้าอัครเสนาบดีให้ความสำคัญมากที่สุด เจ้าจงรีบมอบตัวเขาออกมา ไม่อย่างนั้นนครถงโช่วของพวกเราจะยกทัพประชิดชายแดน ไม่คิดถึงความสัมพันธ์ฉันเพื่อนบ้านอะไรอีก! จงประเมินความหนักเบาของเรื่องนี้ดูให้ดี ดูสิว่าสุนัขอย่างเจ้าจะดวงแข็ง หรือดาบและทวนของกองทัพใหญ่นครถงโช่วของพวกเราที่แหลมคมกว่ากันแน่!”

เฉินผิงอันพอจะมองออกว่าด้านหลังของชายฉกรรจ์ที่นั่งอยู่บนรถลากมีร่างเดิมเป็นลักษะของสุนัขตะลุยภูเขาตัวหนึ่งนอนหมอบอยู่

เพียงแต่ว่าใบหน้าพร่าเลือนอย่างยิ่ง อีกทั้งบางครั้งก็ลอยขึ้นมา บางครั้งก็วาบหายไป

ต้าถงจื่อลูกน้องของเซียนใหญ่จัวเยา? คงไม่ใช่ภูตหนูหน้าประตูจวนหยางฉางที่แอบซ่อนมีดปลายแหลมเอาไว้ แล้วถูกตนดีดตายด้วยนิ้วเดียวหรอกกระมัง?

เฉินผิงอันมองรถลากคันนั้น สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการถูกเปรียบเทียบ เมื่อเทียบกับรถลากสมบัติหนักของฟ่านอวิ๋นหลัวแห่งนครฟูนี่แล้ว รถลากคันนี้ก็ดูโกโรโกโสไปหน่อยจริงๆ มิน่าเล่าถึงได้ไปสาบานเป็นพี่น้องกับภูตหนูของตำหนักหยางฉางได้

บัณฑิตที่เป็นจิ้นซื่อคนใหม่ซึ่งทางนครถงโช่วขึ้นเขามาขอตัวคืนคนนี้ก็ต้องเป็นหยางหนิงซิ่งที่ถูก ‘วิญญูชน’ ถือพัดจับตัวไปขอความดีความชอบจากที่ภูเขาโปลั่วแน่นอน

ความสนใจของเฉินผิงอันส่วนใหญ่ยังคงอยู่ที่ตัวของบุรุษผู้เป็นขุนนางบุ๋น

มองออกว่าครั้งนี้เขาออกมาจากนครถงโช่วก็เพราะมีหน้าที่ติดตัว แต่ดูจากสีหน้ามีความสุขบนความทุกข์คนอื่นที่เขาหลุดเผยออกมาเล็กน้อยนั่นแล้ว ส่วนลึกในใจคงจะหวังให้เพื่อนร่วมงานที่อาจจะมาแย่งชิงความโปรดปรานไปจากตนผู้นั้นถูกสุนัขตะลุยภูเขากินลงท้องและกลายไปเป็นปุ๋ยบนภูเขาลูกนี้แล้วจึงจะดี

ด่าคนไม่ด่าข้อด้อยของเขา ชายฉกรรจ์ที่ถูกแฉตัวตนที่แท้จริงพลันเดือดดาลอย่างหนัก เริ่มเปิดปากด่าบุรุษที่เป็นขุนนางของนครถงโช่วว่าเป็นคนชีวิตสั้นตายไว จะไม่ได้เสพสุขจนน้ำลายกระเด็นแตกฟอง

ทั้งสองฝ่ายปะทะฝีปากกันอยู่นาน

เฉินผิงอันไม่เห็นว่าใครจะชักดาบลงมือก่อนเสียที

สุดท้ายกลับกลายเป็นว่าต่างคนต่างกลับบ้านใครบ้านมันซะอย่างนั้น

เฉินผิงอันรู้สึกนับถือพวกเขาจริงๆ

ตบน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งครั้งแล้วกระโดดลงมาจากกิ่งไม้ ติดตามกลุ่มผีของนครถงโช่วไปไกลๆ

บนรถลาก ชายฉกรรจ์นั่งนิ่งไม่ขยับ คล้ายกับว่าต้านฤทธิ์สุราไม่ไหวจึงต้องงีบหลับพักผ่อน

รอจนมาถึงถ้ำสถิต รถลากค่อยๆ ลดระดับลงแตะพื้น สตรีหน้าตางดงามผู้นั้นก็พลันกรีดร้องเสียงแหลมขึ้นมา

ที่แท้นายท่านของตัวเองที่เก่งกล้าไร้ผู้ใดทัดเทียมก็ตายไปอย่างเฉียบพลันโดยที่ไม่รู้สาเหตุ ชายฉกรรจ์ภูตสุนัขตะลุยภูเขาแห่งภูเขาถงกวานที่สามารถกลายร่างเป็นคนได้ตนนี้ มีเพียงตรงหว่างคิ้วเท่านั้นที่มีเลือดสดเม็ดหนึ่งผุดออกมา

หลังจากขยับเข้ามาใกล้นครถงโช่ว เฉินผิงอันก็หยิบแผ่นป้ายของสำนักพีหมามาห้อยไว้ตรงเอว

ทั้งยังสะพายห่อสัมภาระใบใหญ่ ด้านในบรรจุขวดไหที่ได้มาจากห้องลับของเผ่าพันธ์ตำหนักจันทราบนภูเขาโปลั่วและของจวนน้ำลำคลองเฮยเหอเอาไว้

ส่วนข้อที่ว่าการแลกเปลี่ยนสิ่งของเหล่านี้จะทำให้เผยพิรุธหรือไม่ เฉินผิงอันย่อมไม่สนใจอยู่แล้ว เขานึกอยากจะให้กลุ่มปีศาจสืบสาวเบาะแสมาตามล่าแก้แค้นด้วยซ้ำ

เพียงแต่ว่าเซียนใหญ่จัวเยาตนนั้นแม้แต่ตำหนักหยางฉางที่เป็นบ้านของตัวเองยังไม่กล้าอยู่นาน ไหนเลยจะกล้าพาตัวมาตายที่นครถงโช่วแห่งนี้

ก่อนหน้านี้ดูเหมือนชูอีที่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่จะไม่ค่อยเต็มใจเผยตัวออกมาสังหารปีศาจสักเท่าไหร่

จึงเป็นกระบี่บินสืออู่ที่สังหารภูตตนนั้น

เฉินผิงอันจับประคองงอบ จากนั้นก็สวมหน้ากากของคนแก่

ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่ศาลเทพวารีบนลำคลองเฮยเหอ บัณฑิตบอกว่าอยากจะขอเก็บหน้ากากเด็กหนุ่มผืนนั้นเอาไว้เป็นของที่ระลึกเล็กๆ น้อยๆ

แต่เฉินผิงอันไม่ตกลง

บัณฑิตยอมถอยหนึ่งก้าว บอกว่าเขายินดีจ่ายเงินก้อนใหญ่ซื้อมา

เฉินผิงอันบอกว่าหากจะซื้อก็ย่อมได้ ราคาคือสิบเหรียญเงินฝนธัญพืช ในเมื่อทั้งสองฝ่ายคือพี่น้องที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมา พูดเรื่องเงินจะเป็นการทำลายความสัมพันธ์ ถ้าอย่างนั้นก็สามารถลดราคาให้ได้สิบเอ็ดส่วน (การลดราคาของจีนจะตรงข้ามกับการลดราคาแบบเปอร์เซ็นต์ที่คนไทยคุ้นเคย ยิ่งตัวเลขมากจะยิ่งลดน้อย เช่นลดเก้าส่วนเท่ากับลดสิบเปอร์เซ็นต์ ลดสิบส่วนคือไม่ได้ลด ส่วนลดสิบเอ็ดส่วนก็หมายความว่าไม่ได้ลดแถมยังอาจต้องจ่ายเพิ่มด้วย)

บัณฑิตถึงได้ยอมมอบหน้ากากผืนนั้นกลับคืนมาให้อย่างอาลัยอาวรณ์

ถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่าพี่น้องที่ดีที่มีคุณธรรมน้ำใจอย่างพี่ชายคนดีนี้หาได้ยากบนโลกใบนี้จริงๆ

นครถงโช่วคือหนึ่งในนครมากมายทางทิศใต้ของหุบเขาผีร้ายที่ขนาดถือว่าไม่เล็ก กำแพงเมืองสูงใหญ่ ประตูเมืองมีสามจุด เพราะทางทิศเหนือของนครมีพื้นที่แถบใหญ่ที่ถูกบุกเบิกให้เป็นลักษณะคล้ายวังหลวงของจักรพรรดิในโลกมนุษย์มีพวกเสนาบดี ขุนนางบุ๋นบู๊กลุ่มใหญ่ที่เจ้านครแต่งตั้งให้อาศัยอยู่ในบริเวณใกล้เคียง ในเมืองมีตลาดน้อยใหญ่อยู่สิบกว่าแห่ง การค้าเจริญรุ่งเรือง ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนมีบันทึกไว้ใน ‘รวมเล่มวางใจ’ ของสำนักพีหมา ด้านในนั้นก็มีเขียนไว้ว่าผู้ที่ห้อยป้ายหยกของสำนักพีหมา หากเข้ามาในนครถงโช่ว ไม่เพียงแต่เข้าออกได้อย่างไร้พันธนาการ การค้าขายแลกเปลี่ยนทั้งหมดที่เกิดขึ้นในเมืองก็ยังจะได้รับสิทธิพิเศษเพิ่มมาด้วย

นี่จึงแสดงให้เห็นว่าเจ้านครถงโช่วที่ปักหลักอยู่ใกล้กับเมืองชิงหลู แต่กลับสามารถทำให้กิจการรุ่งเรืองใหญ่โตได้ถึงเพียงนี้ เป็นผีที่…เข้าใจเป็นคน

หลังจากที่ผีสวมเกราะพกดาบที่เฝ้าประตูมองเห็นแผ่นหยกตรงเอวของเฉินผิงอัน อย่าว่าแต่ทักทายปราศรัยหลังจากเก็บเงินเลย ยังเปลี่ยนมามีสีหน้านอบน้อม แต่ละตนค้อมเอวก้มหัว คลี่ยิ้มต้อนรับ ไม่เพียงเท่านี้ยังพร้อมใจกันอวยพรด้วยประโยคว่า ‘ขอให้เซียนซือมีเงินทองไหลมาเทมา’ อีกด้วย ทำเอาเฉินผิงอันรับมือไม่ทัน หลังจากครุ่นคิดเล็กน้อยก็ไม่ได้รีบก้าวเร็วๆ จากไป แต่วางท่าของนายท่านใหญ่จากต่างถิ่นที่มาท่องเที่ยวในเมืองชิงหลูดีดเงินเกล็ดหิมะหนึ่งเหรียญให้กับแม่ทัพผีผู้บัญชาการตนหนึ่งที่รับผิดชอบเฝ้าประตูเมือง ฝ่ายหลังรีบใช้สองมือรับเงินเกล็ดหิมะเหรียญนั้นเอาไว้ ใช้ปากกัดเบาๆ แล้วก็พลันยิ้มกว้างจนหุบปากแทบไม่ลง

ในนครถงโช่วมีพื้นที่สามแถบใหญ่ที่มีชื่อเสียงอยู่ในหุบเขาผีร้าย หนึ่งคือตรอกบุตรสาว มีหอโคมเขียวที่กลิ่นเครื่องประทินโฉมลอยฟุ้งตลบอบอวลตั้งอยู่มากมาย เพราะถึงอย่างไรสตรีที่เป็นมนุษย์ของนครถงโช่วก็มีรูปโฉมงดงาม นอกจากกิจการเนื้อหนังแล้ว ตรอกบุตรสาวยังขายประชากร จะคัดเลือกเด็กหญิงที่หน้าตางดงามส่วนหนึ่งมา แล้วตั้งราคาไว้อย่างชัดเจน ในประวัติศาสตร์ใช่ว่าจะไม่มีเซียนซือต่างถิ่นที่ถูกใจในฐานกระดูกของเด็กหญิงนครถงโช่วแล้วพาออกไปจากหุบเขาผีร้าย เล่าลือกันว่าเด็กหญิงคนหนึ่งในนั้นยังเป็นหยกงามในการฝึกตนที่อักษรแปดตัวคือธาตุหยินบริสุทธิ์อีกด้วย และนางก็ได้จับมือกับผู้มีพระคุณที่ช่วยนางจากหายนะเลื่อนขั้นไปอยู่ในอันดับเซียนดินด้วยกัน จวนตระกูลเซียนบนภูเขาลงจากภูเขามาคัดเลือกลูกศิษย์จะทดสอบพรสวรรค์ของคนผู้นั้น ส่วนใหญ่แต่ละคนจะมีข้อดีและก็ข้อเสียแตกต่างกันไป ยากนักที่จะมองใครได้อย่างทะลุปรุโปร่ง แล้วนับประสาอะไรกับที่เรื่องของโชควาสนาฐานกระดูกนั้นเปลี่ยนแปลงไปได้ร้อยพัน เป็นลูกอมน้ำผึ้งของข้าแต่เป็นสารหนูของคนอื่น เป็นหยกงามของข้าแต่เป็นหินภูเขาของคนอื่น สถานการณ์เช่นนี้มีมากมายจนนับไม่ถ้วน

สำหรับเรื่องนี้เฉินผิงอันมีประสบการณ์อย่างลึกซึ้ง ครั้งนั้นที่ออกจากทะเลสาบซูเจี่ยนเดินทางขึ้นเหนือ เขาได้ผ่านร้านแลกเงินทองในตลาดของอำเภอแห่งหนึ่งโดยบังเอิญ มีเด็กหนุ่มที่เป็นลูกจ้างร้านสองคนที่ตอนนั้นไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ท่ามกลางโชค เพราะว่ามีเทพเซียนผู้เฒ่าสองคนที่อำพรางตัวตนมาเดินทางท่องเที่ยวอยู่ในโลกมนุษย์กำลังจับตามองพวกเขาอยู่ ผู้ฝึกตนเฒ่าคนหนึ่งในนั้นที่ตบะลึกล้ำยิ่งกว่าเลือกเด็กหนุ่มที่มองดูเหมือนซื่อจนไร้ไหวพริบให้เป็นผู้ที่เขาจะถ่ายทอดมรรคาให้ ส่วนผู้ฝึกตนที่ขอบเขตต่ำกว่ากลับเลือกลูกจ้างเด็กหนุ่มที่ฉลาดเฉลียวคล่องแคล่วเป็นลูกศิษย์

และยังมีตรอกม้าวิ่งที่ส่วนใหญ่จะเป็นการแลกเปลี่ยนสิ่งของกัน พวกแร่ธาตุหินหยก ดอกไม้วิเศษพืชหญ้าประหลาด กระดูกหยกขาวทั้งหลาย รวมไปถึงสิ่งของของราชวงศ์ชนิดต่างๆ ที่ได้มาโดยบังเอิญในหุบเขาผีร้าย ล้วนสามารถนำมาซื้อขายได้ที่นี่ ต่างคนต่างแลกเปลี่ยนในสิ่งที่ตัวเองต้องการ เพราะถึงอย่างไรการฝึกตนของผีก็มีข้อที่ต้องพิถีพิถันมากมาย บนเส้นทางของการฝึกตน ทุกครั้งที่ขอบเขตขยับขึ้นสูงก็จะหมายความว่าสามารถมีชีวิตอยู่บนโลกได้นานยิ่งขึ้น

สุดท้ายคือตรอกผงทอง เป็นสถานที่ที่เอาไว้ซื้อขายแลกเปลี่ยนสมบัติอาคมที่อัครเสนาบดีผู้อำนวยการท่านนั้นเก็บสะสมเอาไว้ แน่นอนว่าเซียนซือต่างถิ่นที่มาท่องเที่ยวก็สามารถเอาสมบัติของตัวเองออกมาขายให้แก่น้องสาวของเจ้านครผู้นั้นได้เช่นกัน

นี่ก็คือเป้าหมายที่เฉินผิงอันเดินทางมาเยือนนครถงโช่วครั้งนี้ เขาต้องการมาเปิดร้านผ้าห่อบุญที่นี่ เพราะถึงอย่างไรก็ต้องหัดฝึกปรือฝีมือ เรียนรู้ที่จะทำตัวหน้าด้านสักหน่อยจึงจะได้

ตลอดทางมีพวกผีเดินอยู่บนถนนกลางวันแสกๆ ได้อย่างไม่มีปัญหา ชายหญิงเด็กหรือคนชราที่เป็นคนมีชีวิตก็ไม่หวาดกลัว ต่างคนต่างเดินจับจ่ายซื้อของ ทำธุระหาความสุขของตัวเองกันไป

น่าจะเป็นเพราะฟ้าดินขนาดเล็กอย่างหุบเขาผีร้ายแห่งนี้ได้ทำการหล่อหลอมแสงของตะวันจันทราในใต้หล้าไพศาลไว้แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งแสงแดดที่ไม่ทำร้ายพวกผีเลย

ตรอกผงทองไม่ใหญ่ นอกจากร้านค้าที่เรียงรายอยู่หนึ่งถนนแล้ว ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกบัณฑิตที่ยังไม่ทันได้สอบติดก็มีชื่อเสียงระบือไกลมาเช่าพักอาศัย

ความคิดของสตรีที่เป็นอัครเสนาบดีผู้อำนวยการท่านนั้นช่างบรรเจิดโลดแล่นไปไกลเสียจริง

เฉินผิงอันมายังร้านค้าร้านแรกที่อยู่ตรงหัวมุม เถ้าแก่คือผีสาวอายุน้อยที่แต่งกายหรูหรางดงาม และยังมีผีน้อยที่เป็นเด็กชายเด็กหญิงใบหน้าซีดขาวราวหิมะอีกสองตน

เห็นเฉินผิงอันที่ห้อยป้ายหยกต้องห้ามของสำนักพีหมา เจ้าตัวน้อยทั้งสองก็มีท่าทางหวาดกลัวเล็กน้อย

หายนะส่วนใหญ่ในประวัติศาสตร์ของนครถงโช่วก็มักจะมาจากพวกเทพเซียนต่างถิ่นเหล่านี้เสมอ ยามที่พวกเขาเปิดฉากสังหารใหญ่อยู่ในนคร จะต้องมีคนบาดเจ็บล้มตายกันไปนับไม่ถ้วน

ผีที่เป็นเด็กสาวกลับมีสีหน้าเป็นปกติ นางถามอย่างมีมารยาทว่า “เทพเซียนผู้เฒ่า จะซื้อของหรือว่าขายของ? ในเมื่อร้านของข้าสามารถเปิดที่หัวถนนได้ แน่นอนว่าสิ่งของต้องไม่แย่ และยิ่งไม่ใช่ของปลอม”

เฉินผิงอันเปลี่ยนน้ำเสียงใหม่ เขายิ้มพลางเอ่ยเสียงแหบพร่าว่า “หากข้าเดินมาจากทางนั้น ร้านของเจ้าก็จะไม่อยู่ปลายถนนหรอกหรือ?”

เด็กสาวคลี่ยิ้มหวานอย่างไม่เห็นเป็นสำคัญ ถึงอย่างไรกิจการร้านค้าของที่นี่ แต่ไหนแต่ไรมาก็ขึ้นอยู่กับลูกค้า อยากซื้อก็ซื้อ ไม่อยากซื้อก็ไม่เป็นไร

เจ้าตัวน้อยทั้งสองที่เดิมทีมีท่าทางหวาดกลัวหันมายิ้มให้กัน ที่แท้เทพเซียนผู้เฒ่าที่สวมงอบคนนี้ก็พูดล้อเล่นเป็นด้วย

เฉินผิงอันมองของสะสมโบราณทั้งหลายที่วางไว้บนชั้นเก็บสมบัติมากมายในร้าน ส่วนที่มีปราณวิญญาณไหลรินนั้นมีน้อยมาก ส่วนใหญ่ล้วนเป็นของตกทอดจากอดีตราชวงศ์ที่ขุดเจอจากสนามรบโบราณบนชายหาดโครงกระดูก ไม่ต่างจากเสื้อเกราะและอาวุธในสันเขาอีกาสักเท่าไหร่ เว้นแต่ฝ่ายหนึ่งเก็บรักษาไว้อย่างเหมาะสมจึงส่องแสงแวววาวเหมือนใหม่ ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งตกหล่นอยู่ตามป่าเขาจึงมีสนิมเกาะเขรอะ อีกทั้งของมีค่าบนภูเขาที่กักเก็บปราณวิญญาณเอาไว้ได้ก็ไม่ได้หมายความว่าจะสามารถถูกเรียกว่าของวิเศษได้เสมอไป ต้องเป็นวัตถุที่ผู้ฝึกตนตั้งใจหล่อหลอมขึ้นมา สามารถย้อนกลับมาหล่อเลี้ยงผู้ฝึกลมปราณ บำรุงช่องโพรงลมปราณให้อบอุ่นได้ นั่นถึงจะพอถือว่าเข้าขั้นเป็นระดับของวัตถุวิเศษ นอกจากนั้นก็จำเป็นต้องสามารถดูดซับปราณวิญญาณฟ้าดินได้ด้วยตัวเอง อีกทั้งยังสามารถหลอมปราณวิญญาณให้บริสุทธิ์ได้ นี่ก็คือความยากอีกอย่างหนึ่ง ต่อให้เป็นสิ่งของมากมายที่ถูกเก็บรักษาอย่างเป็นความลับอยู่ในวังหลวงซึ่งถูกขนานนามว่า ‘ฟ้าดินประทานรูปร่าง วัตถุมีวิญญาณ’ ที่แม้จะมีมูลค่าควรเมืองในสายตาของมนุษย์ธรรมดาทั่วไป แต่กลับไม่อาจเข้าตาของยอดฝีมือบนภูเขาได้ ถูกมองว่าเป็นรองเท้าขาดๆ (คำพูดที่แสดงถึงการดูถูกอย่างถึงที่สุด) ก็ด้วยสาเหตุนี้

ข้าก็ใช้กระบี่แหวกม่านฟ้าได้เหมือนกัน

แต่ว่าสมบัติพิทักษ์ร้านชิ้นนั้นถือว่าเป็นวัตถุวิเศษสมชื่ออย่างแท้จริง คือลูกธนูเหล็กมีน้ำหนักที่ไร้ขนนกลูกหนึ่ง คิดดูแล้วตอนที่เจ้าของวัตถุชิ้นนี้ยังมีชีวิตอยู่จะต้องมีพละกำลังแขนที่น่าตะลึงมากเป็นแน่ เขาน่าจะเป็นขุนพลผู้ห้าวหาญคนหนึ่งบนสนามรบ บนปลายของลูกธนูมีคราบเลือดเกาะกระดำกระด่าง จนถึงวันนี้ก็ยังไม่เลือนหายไปไหน และได้แทรกซึมเข้าไปในลูกธนูแล้ว

ผีสาวที่เป็นเถ้าแก่ร้านเห็นว่าคนผู้นี้ก้มหน้าจ้องมองลูกธนูก็ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เซียนซือผู้เฒ่าสายตาดีจริงๆ วัตถุชิ้นนี้มีชื่อว่า ‘ศรแหวกภูผา’ เคยเป็นสิ่งของของแม่ทัพใหญ่หมื่นศัตรูบนสนามรบของแคว้นหล่งซีท่านหนึ่ง ท่านผู้นั้นมีชาติกำเนิดเป็นผู้ฝึกตนสำนักการทหาร วัตถุแห่งชะตาชีวิตคือธนูแหวกภูผาคันหนึ่ง บวกกับศรแหวกภูผาอีกสิบสองดอก เมื่อธนูลูกหนึ่งยิงออกไปสามารถระเบิดยอดเขาให้เป็นจุล พลังอำนาจน่าครั่นคร้ามเป็นอย่างยิ่ง และศรแหวกภูผาชิ้นนี้ก็ยิ่งเป็นของหายาก เพราะเลือดสดที่อาบย้อมอยู่บนปลายลูกธนูมาจากการยิงทะลุดวงตาแม่ทัพบู๊ของสำนักการทหารอีกคนหนึ่งที่เป็นฝ่ายศัตรู นี่จึงเป็นเหตุให้คราบเลือดสามารถดำรงอยู่ได้เป็นพันปีก็ไม่เลือนหาย ดังนั้นเจ้าประมุขตระกูลข้าจึงตั้งชื่อให้มันอีกอย่างหนึ่งว่า ‘ศรทะลวงตา’ หากเป็นพวกผีในเมืองถงโช่วหรือภูตกลางภูเขาทั่วไปจ้องมองลูกธนูลูกนี้ก็จะรู้สึกว่าดวงตาแสบพร่า หากเซียนซือผู้เฒ่าซื้อไป ยามที่ขึ้นเขาลงห้วยแล้วพกลูกธนูนี้ติดตัวเดินทางไปด้วยก็จะช่วยปัดเป่าเสนียดสิ่งอัปมงคล ผีร้ายมิอาจกล้ำกราย”

เฉินผิงอันยิ้มถาม “แล้วตอนนี้ธนูแหวกภูผาคันนั้นอยู่ไหน?”

ผีสาวเถ้าแก่เอ่ยอย่างเสียดาย “ท่ามกลางสงครามอันดุเดือดบนชายหาดโครงกระดูกครานั้น ถูกนายท่านดึงรั้งจนขาดผึงกลางสนามรบ ไม่เพียงสายเท่านั้นที่ขาด แม้แต่ตัวคันธนูก็ยังเป็นเช่นนี้ด้วย”

เฉินผิงอันเอ่ยอย่างปลงอนิจจัง “ช่างเป็นการเข่นฆ่าที่โหดเหี้ยมทารุณนัก”

ผีสาวยิ้มเอ่ย “หากไม่เป็นเช่นนี้ ผีที่ตายไปแล้วอย่างพวกเราจะมีโอกาสฟื้นคืนชีพได้อย่างไร นี่ต้องขอบคุณเหล่านักสู้บนสนามรบที่ไม่เสียดายชีวิตเหล่านั้นถึงจะถูก”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ขอข้าเดินดูอีกหน่อย”

ผีสาวเองก็ไม่บังคับ ปล่อยให้ผู้เฒ่าสวมงอบคนนั้นเดินออกไปจากร้าน

เฉินผิงอันเดินไปตามร้านรวงทั้งหลายที่อยู่บนถนนเส้นนี้จนครบ เขาค้นพบว่าสถานการณ์ของแต่ละร้านไม่ต่างกันสักเท่าไร นั่นคือแต่ละร้านจะต้องเก็บรักษาวัตถุวิเศษเอาไว้หนึ่งชิ้น ยกตัวอย่างเช่นร้านที่ตั้งอยู่สุดปลายตรอกนั้นมีผีผาเหล็กชิ้นหนึ่งวางอยู่ สภาพยังดีอยู่มาก

ส่วนของสะสมโบราณชิ้นอื่นๆ ล้วนไม่ค่อยเข้าขั้นสักเท่าใด ต่อให้เฉินผิงอันอยากจะซื้อมาในราคาต่ำแล้วค่อยนำไปขายต่อที่อื่นก็ยังเลือกไม่ได้แม้แต่ชิ้นเดียว คิดดูแล้วของดีที่แท้จริงคงจะถูกสตรีที่เป็นอัครเสนาบดีผู้อำนวยการผู้นั้นเก็บไปไว้ใน ‘วังหลวง’ ทั้งหมดแล้วเป็นแน่

ในเรื่องของการเก็บตกของดีและแววตาการมองของ เฉินผิงอันเรียนรู้มาจากผีผู้เฒ่าแห่งทะเลสาบซูเจี่ยนพร้อมกับหม่าตู่อี๋จนพอจะมีความรู้อย่างงูๆ ปลาๆ

แต่เมื่อได้เห็นของดีมามากแล้ว วัตถุชิ้นหนึ่งเป็นของดีหรือไม่ดี เฉินผิงอันก็ยังพอจะมีความมั่นใจอยู่บ้าง แต่ดีมากแค่ไหนกันแน่ ถึงอย่างไรเขาก็ยังขาดการฝึกปรือในด้านนี้

สุดท้ายเฉินผิงอันย้อนกลับไปยังร้านที่เดินเหยียบเข้าไปเป็นร้านแรก เด็กน้อยสองคนไม่ค่อยกลัวเขาเท่าไรแล้ว ตอนที่เขาเดินไป ทั้งสองกำลังนั่งอาบแดดอยู่บนธรณีประตูร้านด้วยซ้ำ เพียงแค่ขยับก้นเปิดทางให้เขาเท่านั้น

ผีสาวที่เป็นเถ้าแก่ยิ้มถาม “เซียนซือผู้เฒ่าได้ผลเก็บเกี่ยวที่ไม่คาดฝันมาจากตรอกผงทองของพวกเราบ้างหรือไม่?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “หาวัตถุที่ราคาเหมาะสมทั้งยังถูกใจไม่ได้เลย”

นางชำเลืองตามองห่อสัมภาระใบใหญ่บนหลังของเฉินผิงอัน แล้วถามว่า “เซียนซือผู้เฒ่าคิดจะตัดใจขายของรักของตัวเองหรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “มาลองเสี่ยงดวงดูสักหน่อย เพียงแต่ไม่รู้ว่าเถ้าแก่จะถูกใจหรือไม่”

นางยิ้มกล่าว “ขอดูก่อนแล้วค่อยว่ากัน หากเป็นของที่ถูกตาต้องใจจริงๆ ร้านของข้าก็ไม่กลัวที่จะต้องจ่ายเงิน”

เฉินผิงอันจึงปลดห่อสัมภาระลงมาวางบนโต๊ะคิดเงินเบาๆ แล้วค่อยๆ หยิบของออกมาวางไว้ด้านนอกทีละชิ้น

นี่เป็นเพียงแค่สิ่งของสามส่วนจากห้องส่วนตัวของปี้สู่เหนียงเนียงและจวนน้ำของฟู่ไห่หยวนจวินเท่านั้น

มากพอจะแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการรื้อค้นของเฉินผิงอันก่อนหน้านี้ว่า คู่ควรกับคำว่าทุกที่ที่ผ่าน แม้แต่หญ้าสักต้นก็ไม่เหลือ

แรกเริ่มผีสาวก็มีสีหน้าปั้นยาก

เพราะของหลายชิ้นก่อนหน้านั้นล้วนเป็นของใช้ในห้องหับของสตรี ไม่ว่าจะเป็นโถใส่ผงแป้ง กระจกแต่งหน้า ตลับเงินสลักลวดลาย เครื่องประดับผมของสตรีที่ใหญ่เท่ากำปั้น แต่กลับทำขึ้นอย่างประณีต อีกทั้งยังเป็นบุปผาหลายร้อยดอกรวมช่อห้อมล้อมดอกโบตั๋น…

เซียนซือผู้เฒ่าต่างถิ่นคนนี้นี่มันคนบ้าตัณหา แก่แล้วก็ยังหน้าไม่อายจริงๆ !

ดูเหมือนว่าเจ้าคนที่สวมงอบผู้นี้ก็จะรู้สึกว่าไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าไร จึงไม่เอาแต่หยิบของออกมาวางข้างนอกท่าเดียวอีกต่อไป ในที่สุดก็เริ่มพลิกๆ ค้นๆ หยิบเอาของมีค่าที่พอจะปกติออกมา

สีหน้าที่อับอายจนพานเป็นโกรธของเถ้าแก่ผีสาวถึงได้ดีขึ้นมาเล็กน้อย

เมื่อเฉินผิงอันหยิบตะเกียบทองคู่หนึ่งออกมา สายตานางก็แปรเปลี่ยนไปเล็กน้อย

เมื่อเทียบกับตอนเห็นเครื่องประดับศีรษะที่สร้างขึ้นด้วยฝีมืออันเลิศล้ำแล้ว ยังดูมีท่าทางสนใจยิ่งกว่า

สุดท้ายเฉินผิงอันก็หยิบของออกมาแค่เพียงครึ่งหนึ่งของห่อสัมภาระ ทุกอย่างวางเรียงกันแน่นขนัดอยู่เต็มโต๊ะคิดเงิน เขาถามว่า “เถ้าแก่ถูกใจชิ้นไหนบ้างหรือไม่?”

เถ้าแก่ผีสาวกวาดตามองไปทั่วสิ่งของทั้งหลายอย่างคร่าวๆ รอบหนึ่ง จากนั้นสายตาก็หยุดนิ่งอยู่บนขวดกระเบื้องบรรจุผงสีใบหนึ่ง ราวกับว่าสนใจอยู่บ้างเล็กน้อย แต่โดยภาพรวมแล้วกลับผิดหวังเสียมากกว่า

เฉินผิงอันทอดถอนใจ “ในเมื่อเจ้าและข้าต่างก็ไม่อาจเอาของที่ทำให้อีกฝ่ายถูกใจออกมาได้ การมาเยือนนครถงโช่วครั้งนี้คงต้องเสียเที่ยวแล้ว”

ผีสาวเห็นว่าผู้เฒ่าเริ่มเก็บข้าวของลงห่อสัมภาระถึงได้ยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมากดลงบนขวดกระเบื้องบรรจุผงสีใบนั้นเบาๆ กล่าวว่า “เซียนซือผู้เฒ่า ไม่ทราบว่าขวดกระเบื้องใบเล็กนี้ราคาเท่าไร? ข้าเห็นว่ามันกะทัดรัดน่ารัก อยากจะซื้อเอาไว้”

เฉินผิงอันชำเลืองตามองขวดกระเบื้องใบเล็กสีสันสดใสแล้วจงใจแสดงสีหน้าดูแคลนออกมาเสี้ยวหนึ่ง ยิ้มเอ่ยว่า “มันน่ะหรือ ไม่มีราคาค่างวดที่สุดในบรรดาสมบัติเหล่านี้ของข้าแล้ว ยกให้เถ้าแก่ก็แล้วกัน”

เฉินผิงอันแน่ใจว่ามันไม่มีราคาจริงๆ บางทีคุณหนูตระกูลใหญ่หรือสตรีแต่งงานแล้วชนชั้นสูงอาจจะชื่นชอบ แต่ก็ขายได้แค่ไม่กี่สิบหรือไม่กี่ร้อยตำลึงเท่านั้น การที่เถ้าแก่ผีสาวถูกใจมันแค่ชิ้นเดียวก็เป็นแค่เพียงหนึ่งในวิธีการที่จะใช้กดราคาสิ่งของเป็นทอดๆ เท่านั้น ต่อให้เฉินผิงอันจะทำการค้าไม่เป็นแค่ไหน แต่แววตาแค่นี้ เขาก็ยังพอมีอยู่บ้าง หากจะพูดถึงความเจ้าเล่ห์ว่ามีมากหรือน้อย กลอุบายว่าตื้นหรือลึก เถ้าแก่ผีสาวแห่งนครถงโช่วผู้นี้จะทัดเทียมกับบัณฑิตผู้นั้นได้จริงๆ หรือ?

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงเริ่มยัดสิ่งของทั้งหลายที่อยู่บนโต๊ะคิดเงินกลับไปในห่อสัมภาระ ท่าทางบอกชัดว่าในเมื่อเถ้าแก่อย่างเจ้าตาบอด ข้าผู้อาวุโสก็ตัดสินใจเด็ดขาดแล้วว่าจะเดินจากไป

แล้วก็จริงดังคาด

สายตาของผีสาวปกปิดความร้อนรนเอาไว้ไม่อยู่ นางถามอีกว่า “เซียนซือผู้เฒ่า ร้านของข้าไม่มีค่าใช้จ่ายมานานแล้ว เอาอย่างนี้แล้วกัน หากข้าเหมาของในห่อสัมภาระของเจ้าทั้งหมด ให้ราคาเก้าสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ เป็นอย่างไร?!”

เฉินผิงอันเหล่ตามองผีสาวที่ทำหน้าเสียดายเงินเกล็ดหิมะแวบหนึ่ง ยื่นมือมาผลักขวดกระเบื้องหลากสีใบนั้นออกไปให้อีกฝ่าย แล้วก็ยังไม่หยุดมือที่เก็บข้าวของ ปากก็พูดอย่างไม่สบอารมณ์ไปด้วย “ข้าไม่ใช่ขอทานที่ขอข้าวคนอื่นกินเสียหน่อย ของชิ้นนี้ยกให้เจ้าเปล่าๆ ได้ แต่สมบัติที่แท้จริงชิ้นอื่นๆ หากข้าไปหาคนซื้อที่มีเงินอยู่ในกระเป๋าจริงๆ ข้าก็ไม่เชื่อหรอกว่าในนครถงโช่วที่กว้างใหญ่นี้จะไม่มีคนที่ตามีแววเลยสักคนเดียว”

ดูเหมือนผีสาวจะอับอายจนพานเป็นโกรธ แล้วก็ไม่หยิบขวดกระเบื้องสีสันสดใสใบนั้นไป ทั้งไม่เอ่ยรั้งตาเฒ่าผู้นี้เอาไว้ ปล่อยให้เขาเก็บข้าวของทั้งหมดใส่กลับไปในห่อสัมภาระ หลังจากสะพายขึ้นหลังแล้ว เห็นว่านางไม่หยิบขวดกระเบื้องไป ตาเฒ่าก็ไม่เกรงใจ คว้ามาไว้ในมือ ไม่เอาก็เรื่องของเจ้า สุดท้ายก็เดินข้ามธรณีประตูจากไปทั้งอย่างนี้

รอจนตาเฒ่าที่ค่อนข้างจะมีนิสัยเจ้าอารมณ์ผู้นั้นออกไปจากร้าน เถ้าแก่ผีสาวนับอยู่ในใจได้สิบกว่าครั้ง ถึงได้รีบกวักมือเรียกผีเด็กหญิงให้ไปหาที่โต๊ะคิดเงิน แล้วกล่าวว่า “ตามคนผู้นั้นไป หากเขาเดินย้อนกลับมาที่ร้านเรา เจ้าก็ไม่ต้องสนใจ แต่หากทำท่าเหมือนว่าจะไม่กลับมาตรอกผงทองอีก เจ้าก็ไปพูดกับเขาว่าร้านเรายินดีตกลงเรื่องราคากับเขาให้ดีๆ”

ประมาณหนึ่งเค่อต่อมา ผีเด็กหญิงก็วิ่งหน้าม่อยกลับมาถึงร้าน ใบหน้าเล็กยับยู่ ใกล้จะร้องไห้ออกมาเต็มทีแล้ว นางเอ่ยว่า “พี่หญิงเจินก้วน ข้าแอบติดตามท่านปู่คนนั้นไปตลอดทาง เขาไม่สังเกตเห็นข้าจริงๆ ตามไปนานมาก ผลกลับกลายเป็นว่าพอเดินไปใกล้ตรอกบุตรสาว เขาก็เลี้ยวเข้าไปในตรอกเล็กๆ ข้าไม่กล้าตามเขาเร็วเกินไป กลัวว่าเขาจะหันมาเห็นเข้า แต่พอข้ายื่นหน้าออกไป รอว่าเขาออกไปจากตรอกเมื่อไหร่ ข้าก็จะค่อยวิ่งไปหา แต่เขากลับหายตัวไปแล้ว พี่หญิงเจินก้วน ท่านปู่คนนั้นแวบเดียวก็หายตัวไปแล้ว ข้าวิ่งกลับไปกลับมาอยู่ในตรอกเส้นนั้นตั้งหลายรอบ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็หาตัวเขาไม่เจอ…”

ผีน้อยเด็กหญิงยกสองมืออุดหน้า พอพูดถึงจุดที่ตัวเองเสียใจก็เริ่มสะอึกสะอื้น

เถ้าแก่ผีสาวทั้งเป็นกังวลและทั้งสงสารนาง รีบเดินอ้อมออกมาจากโต๊ะคิดเงิน ย่อตัวลงนั่งยอง ลูบศีรษะเจ้าตัวน้อย เอ่ยเสียงอ่อนโยน “เอาน่าๆ ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรสักหน่อย อย่าร้องนะ อย่าร้อง”

เด็กชายที่ยืนอยู่ด้านข้างทำหน้าทะเล้นอย่างมีความสุขบนความทุกข์คนอื่น เอ่ยว่า “พี่หญิงเจินก้วน เมื่อครู่นี้หากให้ข้าเป็นคนตามไป ตาแก่นั่นต้องหนีไปไหนไม่รอดแน่ เชวี่ยยาโถว (ยาโถวเป็นคำเรียกเด็กผู้หญิงด้วยความเอ็นดู ภาษาไทยอาจเทียบได้กับคำว่ายายหนู แม่หนู นังหนู) โง่จะตายไป ใช่ว่าพี่หญิงเจินก้วนจะไม่รู้เสียหน่อย”

กว่าที่ผีเด็กหญิงจะหยุดร้องไห้ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย คราวนี้กลายเป็นว่าแผดเสียงร้องไห้โฮทันใด

เถ้าแก่ผีสาวหันมาถลึงตาใส่เจ้าผีน้อยตนนั้นแวบหนึ่ง จากนั้นก็เดินไปที่ด้านหลังโต๊ะคิดเงิน หยิบกระดิ่งสีเงินลูกหนึ่งออกมาโยนให้ผีน้อย “ข้าปลีกตัวออกไปจากร้านไม่ได้ เจ้าเก็บของแทนตัวชิ้นนี้เอาไว้ให้ดี อย่าทำหายเด็ดขาด จากนั้นรีบไปที่ประตูวังทางทิศเหนือ บอกกับแม่ทัพฉู่คนเฝ้าประตูสักคำว่า ก่อนหน้านี้ตรอกผงทองมีเซียนซือผู้เฒ่าต่างถิ่นคนหนึ่งมาเยือน มีสมบัติดีๆ มากมายอยู่กับตัว บอกให้เหนียงเนียงอัครเสนาบดีอย่าได้พลาดเด็ดขาด ทางที่ดีที่สุดควรออกมาพบเซียนซือด้วยตัวเองสักครั้ง”

ผีเด็กชายพยักหน้ารับอย่างแรง “ได้เลย พี่หญิงเจินก้วน วางใจเถอะ ข้าทำงานได้น่าเชื่อถือว่าเชวี่ยยาโถวมากนัก!”

เด็กหญิงยิ่งร้องไห้หนักกว่าเก่า

เถ้าแก่ผีสาวชี้ไปที่นอกประตู พลางจ้องมองเจ้าเด็กกวนประสาทที่ราดน้ำมันลงบนกองไฟครั้งแล้วครั้งเล่าผู้นั้น “รีบไสหัวไปเดี๋ยวนี้เลย!”

“รับคำสั่ง!”

เด็กชายวิ่งปรู๊ดจากไปทันที

ครู่หนึ่งต่อมา เถ้าแก่ที่กำลังนั่งปลอบใจเด็กหญิงตัวน้อยด้วยถ้อยคำอ่อนหวานน่าฟังหันหน้ากลับไป แล้วก็ต้องปากอ้าตาค้าง

นอกร้าน สตรีร่างสูงโปร่งผู้หนึ่งหิ้วตัวเด็กชายที่ทำตัวแข็งไม่กระดุกกระดิกเดินยิ้มแป้นเข้ามาในร้าน “เจินก้วน ไม่ต้องไปตามหาข้าแล้ว ช่วงนี้นครถงโช่วมีการตรวจสอบอย่างเข้มงวด การเข้าออกของคนน่าสงสัยทุกคน เจ้านครท่านนั้นของเราล้วนบอกให้จับตาดูอย่างละเอียด ดังนั้นพอเซียนซือผู้เฒ่าต่างถิ่นคนนั้นเดินเข้ามาในตรอกผงทอง ข้าก็ได้ข่าวทันที”

สตรีวางผีเด็กชายไว้บนพื้น นางสูดจมูกฟุดฟิด ใบหน้าเต็มไปด้วยความเคลิบเคลิ้ม จุ๊ปากยิ้มกล่าวว่า “โอ้โห ช่างเป็นกลิ่นอายของแสงอัญมณีที่เข้มข้นยิ่งนัก เจินก้วนเอ๋ย เจ้าพลาดการค้าที่ใหญ่เทียมฟ้าครั้งหนึ่งไปแล้ว”

ผีเด็กสาวเอ่ยอย่างละอายใจ “บ่าวอยากจะช่วยต่อรองราคาให้เหนียงเนียงได้เยอะๆ คิดไม่ถึงว่าตาเฒ่าผู้นั้นจะเจ้าอารมณ์ จากไปพร้อมกับโทสะเสียอย่างนั้น”

สตรีโบกมือ “ไม่เป็นไร ขอแค่ยังอยู่ในนครถงโช่วของพวกเรา ถึงอย่างไรก็ต้องหาเจอ ข้าส่งคนไปเชิญตัวเขามาแล้ว”

สตรีก็คือน้องสาวแท้ๆ ของเจ้านครถังแห่งนครถงโช่ว มีชื่อว่าถังจิ่นซิ่ว ท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนาน ก็คือนางที่ทำเหมือนการเล่นพ่อแม่ลูกของเด็กๆ ด้วยการสร้างราชสำนักแห่งหนึ่งขึ้นมาในนคร อีกทั้งยังตั้งตนเป็นอัครเสนาบดีผู้อำนวยการที่จัดการสอบเคอจวี่อีกด้วย

ถังจิงฉีเจ้านครคือผีโอสถทองผู้เฒ่าคนหนึ่ง แต่แทบไม่เคยเข่นฆ่าสังหารกับใครมาก่อน นี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก นครสิบกว่าแห่งทางทิศใต้ พลังการต่อสู้ของผูหรางคืออันดับหนึ่ง หากไม่สร้างเวรสร้างกรรมให้ตัวเอง ป่านนี้ก็คงได้เป็นผีผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบที่สะท้านโลกาไปนานแล้ว เจ้านครคนอื่นๆ นอกจากวิญญาณวีรบุรุษของนครไท่ฟู่ที่อยู่ติดกับเมืองหลันเส่อซึ่งยังไม่เลื่อนสู่ขอบเขตก่อกำเนิด อีกทั้งยังไม่อาจกล่าวได้ว่า ‘มีหวัง’ แล้ว ขยับขึ้นเหนือไปอีกหน่อยก็ถึงเพิ่งจะมีเจ้านครก่อกำเนิดคนหนึ่ง ซึ่งก็คือที่พึ่งลับๆ ของปี้สู่เหนียงเนียง วิญญาณวีรบุรุษที่แข็งแกร่งของนครมิพ่ายแห่งนั้น ในอดีตก็คือหนึ่งในสามขุนพลผีใต้บังคับบัญชาของแม่ทัพใหญ่เสาหลักที่รบตายในสนามรบของแคว้นเสินเช่อ และยิ่งเป็นเจ้าของธนูแหวกภูผาแห่งนครถงโช่ว ในอดีตเคยมาเยือนตรอกผงทองด้วยตัวเอง เพียงแต่ว่าตอนที่ได้เห็นศรแหวกภูผาที่วางอยู่ในร้านแห่งนั้น เขาก็ไม่เพียงแต่ไม่ช่วงชิงเอากลับไป กลับกันเจ้านครถงโช่วจะมอบกลับคืนไปให้ ขุนพลผีโอสถทองผู้นั้นก็ไม่รับเอาไว้

ถังจิ่นซิ่วยิ้มกล่าว “รอเขามาเมื่อไหร่ ก็บอกไปว่าข้าคือเจ้าของตรอกผงทองแห่งนี้ เป็นคนที่ดูแลเงินทองอย่างแท้จริง เพราะหากบอกสถานะของข้าออกไป ถึงเวลานั้นเซียนซือผู้เฒ่าก็อาจจะโก่งราคาอย่างเอาเป็นเอาตายก็เป็นได้”

เถ้าแก่ผีสาวพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม

ถังจิ่นซิ่วชำเลืองตามองผีน้อยเด็กชายเด็กหญิงแวบหนึ่งแล้วด่ายิ้มๆ “เจ้าโง่ทั้งสอง ไปเล่นที่อื่นไป”

เด็กน้อยทั้งสองจึงรีบวิ่งออกไปนอกร้านทันที

เงาร่างเพรียวยาวสายหนึ่งปรากฏตัวในร้าน ปราณหยินรอบด้านแผ่กระเพื่อมเป็นริ้วคลื่น

ถังจิ่นซิ่วอึ้งตะลึงไป ก่อนจะยิ้มกล่าวว่า “ท่านพี่ ท่านมาได้อย่างไร? หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ นี่เป็นครั้งแรกที่ท่านมาเยือนตรอกผงทองของข้าเลยนะ”

ผีเด็กสาวที่ถูกนางเรียกว่าเจินก้วนลงไปคุกเข่าหมอบกราบอยู่กับพื้นแล้ว ยามนี้ก็เอ่ยเสียงสั่นว่า “คารวะท่านเจ้านคร”

บุรุษวัยกลางคนผู้นั้นเอ่ยว่า “ข้ามาที่นี่ก็เพื่อมาบอกเจ้าว่า นอกจากจะทำการค้ากับคนผู้นั้นแล้ว ทางที่ดีที่สุดเจ้าอย่าได้มีความคิดอย่างอื่นอีก”

ถังจิ่นซิ่วยิ้มกล่าว “ก็แค่ตาแก่คนหนึ่งไม่ใช่หรือ ทำไม ท่านกลัวว่าข้าจะถูกใจเขาหรือไร? ไม่ใช่คุณชายหนุ่มหล่อสักหน่อย ข้าไม่คิดเป็นอื่นหรอกน่า”

ถังจิงฉีเอ่ยอย่างระอาใจ “คนผู้นี้ก็แค่ใช้เวทอำพรางตาเท่านั้น หากรายงานของสายลับไม่ผิดพลาด เขาน่าจะเป็นเซียนกระบี่หนุ่มที่ทำให้ฟ่านอวิ๋นหลัวและกลุ่มปีศาจบนภูเขาเสียเปรียบครั้งใหญ่ นี่ข้าก็เพิ่งได้ข่าวมาว่าสุนัขตะลุยภูเขาตัวนั้นตายไปแล้ว ถูกกระบี่บินแทงทะลุศีรษะตาย ลงมืออย่างเงียบเชียบโดยที่ไม่ได้ปรากฏตัวด้วยซ้ำ”

ถังจิ่นซิ่วเลียริมฝีปาก

ถังจิงฉีเอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “การเล่นสนุกยามปกติ ข้าไม่ถือสาเจ้า แต่เรื่องนี้สำคัญมาก หากไม่ระวังก็อาจเกิดโศกนาฎกรรมที่ทำให้นครถงโช่วหายไปเกือบครึ่ง หากเจ้ากล้าทำตัวเหลวไหลก็อย่ามาโทษหากข้าจะจับเจ้าขังร้อยปี!”

ถังจิ่นซิ่วกล่าวอย่างน้อยใจ “ในเมื่อเป็นเรื่องที่ใหญ่เทียมฟ้า ท่านพี่ก็น่าจะออกหน้าเองไม่ใช่หรือ”

ถังจิงฉีหัวเราะอย่างฉุนๆ “ให้ข้าออกหน้า? ออกมาทำอะไร? หากเรื่องนี้แพร่ออกไปจะไม่กลายเป็นว่าข้าวางแผนลับคิดกำจัดปีศาจใหญ่ตนอื่นๆ หรอกหรือ? หรือมีจิตใจทะเยอทะยานอยากจะฮุบกลืนนครที่อยู่รอบด้าน? หรือจะให้ข้านั่งแทะเมล็ดแตงอยู่ในร้าน รอให้เขามาแล้วต่อรองราคากัน? ในเมื่อเขาไม่คิดจะป่าวประกาศ เพียงแค่จะมาทำการค้าในนครของเราเท่านั้น แม้แต่เจ้าก็ยังรู้ว่าควรจะปิดบังสถานะ หลีกเลี่ยงไม่ให้อีกฝ่ายโก่งราคา แล้วข้าอยู่ที่นี่จะหั่นราคาเขาได้อย่างไร? อีกฝ่ายมีสิ่งของราคาหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อย ข้าก็จะใช้เงินหนึ่งเหรียญฝนธัญพืชซื้อมา? เพราะถ้าไม่ทำอย่างนั้นก็เท่ากับว่านครถงโช่วของพวกเราไม่ให้เกียรติเซียนกระบี่หนุ่มผู้นี้?”

ถังจิงฉียื่นนิ้วมาชี้หน้าน้องสาวที่ใบหน้าเต็มไปด้วยความอับอาย “ต่อจากนี้เจ้าจงจำไว้อย่างเดียวว่า นี่เป็นการค้าขายอย่างหนึ่งเท่านั้น ทั้งไม่ต้องวาดงูเติมขา แล้วก็ไม่ต้องจงใจประจบเอาใจ แต่หากอีกฝ่ายบีบคั้นกันมากเกินไปก็ไม่ต้องหวาดกลัวจนเกินไป นครถงโช่วของพวกเราลงนามเป็นพันธมิตรกับนครชิงหลู ผู้ฝึกตนสำนักพีหมาเหล่านั้นต้องไม่มีทางนิ่งดูดายอย่างแน่นอน”

สายตาของถังจิ่นซิ่วไม่ใคร่จะพอใจนัก “ทราบแล้วน่า”

ถังจิงฉีหันหน้าไปมองผีเด็กสาวคนนั้นแล้วเอ่ยกำชับว่า “จำไว้ว่าต้องคอยเตือนนาง ถึงเวลานั้นอย่าให้นางทำตัวบ้าผู้ชายขึ้นมาอีก อัครเสนาบดีผู้อำนวยการของนครถงโช่วของพวกเราไม่คู่ควรกับเซียนกระบี่หนุ่มคนหนึ่งจริงๆ นั่นแหละ”

ถังจิ่นซิ่วกระทืบเท้า “ท่านพี่ มีใครเขาว่าน้องสาวตัวเองอย่างท่านบ้าง?!”

ทว่าวิญญาณวีรบุรุษเจ้านครที่มาเยือนอย่างรีบร้อนผู้นั้นกลับจากไปอย่างรีบร้อนอีกครั้งแล้ว

ประมาณครึ่งชั่วยามต่อมา ผีสาวโตเต็มวัยที่จงใจไม่สวมชุดแต่งกายของชาววังก็พาเซียนซือผู้เฒ่าคนนั้นมายังร้านตรงหัวมุมของตรอกผงทอง

ผีสาวเจินก้วนตั้งท่าเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจ

ข้าก็ใช้กระบี่แหวกม่านฟ้าได้เหมือนกัน

ถังจิ่นซิ่วไปยืนรออยู่หน้าประตูร้านนานแล้ว นางเอาสองมือไพล่หลัง มือข้างหนึ่งกดลงบนความว่างเปล่าเบาๆ เป็นการบอกเป็นนัยแก่เถ้าร้านตัวจริงที่อยู่ด้านหลังว่าไม่ต้องตื่นเต้น

หลังจากที่สตรีโตเต็มวัยอธิบายสถานการณ์ทุกอย่างอย่างชัดเจน

ถังจิ่นซิ่วก็มองไปยัง ‘ผู้เฒ่า’ ที่สวมงอบ สะพายห่อสัมภาระไว้ด้านหลังผู้นั้นแล้วยิ้มตาหยีกล่าวว่า “เซียนซือผู้เฒ่า ขนาดผ่านตรอกบุตรสาวแล้วก็ยังไม่ยอมเข้าไป แต่ดันไปหลบดื่มเหล้าอยู่ ทำเอาพวกเราหากันแทบแย่”

จากนั้นถังจิ่นซิ่วก็เริ่มแนะนำตัวเอง “ข้าน่ะ คือเถ้าแก่ใหญ่ของร้านค้าทั้งหมดในตรอกผงทอง เจินก้วนนางตาถั่ว อีกทั้งในกระเป๋ายังมีเงินอยู่แค่ไม่กี่แดง ดังนั้นก็ขอให้ข้าเป็นคนที่ทำการค้ากับอาจารย์ผู้เฒ่าก็แล้วกัน”

เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ตกลง หวังว่าพวกเจ้าจะไม่เป็นร้านใหญ่ที่รังแกลูกค้า กระดูกแก่ๆ ของข้าทนรับแรงกระแทกกระทั้นใดๆ ไม่ไหว แม้แต่ถ้อยคำข่มขวัญก็ยังฟังไม่ได้แม้สักครึ่งคำ”

ถังจิ่นซิ่วนินทาในใจไม่หยุด ทว่ารอยยิ้มบนใบหน้ากลับยิ่งกดลึก “ร้านในตรอกผงทองแห่งนี้ อายุน้อยที่สุดก็ยังเป็นร้านเก่าแก่ที่เปิดมาสี่ห้าร้อยปีแล้ว แต่ละร้านล้วนมีป้ายอักษรทอง (เปรียบเปรยถึงร้านเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงดีงาม) ลูกค้าที่กลับมาเยือนซ้ำมีมากมาย เซียนซือผู้เฒ่าวางใจได้เลย”

เฉินผิงอันเดินเข้าไปในร้าน ทั้งถังจิ่นซิ่วและเจินก้วนผีสาวตนนั้นยืนเคียงไหล่กันอยู่ด้านหลังโต๊ะคิดเงิน

ส่วนสตรีโตเต็มวัยที่หาตัวเฉินผิงอันพบนั้นยืนเฝ้าอยู่หน้าประตูร้าน

เฉินผิงอันปลดห่อผ้าลง หยิบของแต่ละชิ้นออกมาวางบนโต๊ะคิดเงิน

ยังคงหยิบออกมาแค่สามส่วนก่อนเหมือนเดิม

แต่กระนั้นก็ยังมากมายละลานตา ส่องประกายแสงระยิบระยับ

ถังจิ่นซิ่วหยิบขึ้นมาทีละชิ้นแล้วไล่วางลงทีละชิ้น เมื่อนางมองเห็นเครื่องประดับผมที่เป็นดอกโบตั๋นสีทองร้อยดอกรวมช่อกันซึ่งงามประณีตชิ้นนั้น จิตใจก็สั่นสะท้านเบาๆ เอ่ยพร้อมยิ้มบาง “ช่างเป็นสิ่งของที่งดงามจริงๆ ต่อให้เอาไปวางไว้ในราชวงศ์ของโลกมนุษย์ด้านนอก ลำพังเพียงแค่ฝีมือการรังสรรค์ที่ยอดเยี่ยมซึ่งต้องมาจากฝีมือของเทพเซียนบนภูเขาอย่างแน่นอนนี้ ก็น่าจะมีมูลค่าถึงหมื่นตำลึงเงินแล้ว เพราะถึงอย่างไรวัตถุชิ้นนี้ก็มีประวัติความเป็นมา เคยเป็นของรักของฮองเฮาที่งามล้ำท่านหนึ่งของแคว้นอันถิง ขอแค่บดเงินเกล็ดหิมะให้แหลกละเอียดเหมือนน้ำค้างเหมือนเม็ดฝน แล้วหยดลงไปในเกสรดอกไม้ทุกดอก ว่ากันว่าก็จะทำให้เกิดภาพปรากฎการณ์ที่มหัศจรรย์ อืม ข้าให้ราคาที่หนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อย”

ระหว่างนี้ถังจิ่นซิ่วก็หยิบตะเกียบทองคู่นั้นขึ้นมา หลังจากพิศดูอย่างละเอียดแล้วก็เอามาเคาะเข้าด้วยกัน นางเงี่ยหูตั้งใจฟัง จากนั้นจึงพยักหน้าเอ่ยว่า “เป็นมันจริงๆ ด้วย วัตถุชิ้นนี้มีพูดถึงในตำราประวัติศาสตร์ คือวัตถุที่ฮ่องเต้องค์สุดท้ายของแคว้นเชวี่ยซานพระราชทานให้แก่ขุนนางที่มีนามว่าซ่งจิ้งในงานเลี้ยงฉลองครั้งหนึ่ง เพื่อสรรเสริญถึงการเป็นขุนนางมือสะอาดและสุจริตของซ่งจิ้ง เขาได้สั่งให้ผู้ถวายงานตระกูลเซียนสร้างตะเกียบคู่นี้ขึ้นมาโดยเฉพาะ ไม่ได้ทำมาจากทองคำทั่วไป แต่เพิ่มวัสดุลับบางอย่างบนภูเขาเข้าไป เสียงยามที่กระทบกันจะเหมือนว่ามีคนมาพูดสองคำว่า ‘ซื่อสัตย์’ และ ‘เที่ยงตรง’ อยู่ข้างหูเบาๆ และซ่งจิ้งผู้นี้ก็ไม่ผิดต่อวัตถุชิ้นนี้ เขาใช้สถานะของขุนนางบุ๋นนำทัพลงสนามรบ แล้วก็สามารถสร้างคุณูปการที่ยิ่งใหญ่มาได้ ถือว่าประสบความสำเร็จในสมรภูมิเป็นอย่างยิ่ง น่าเสียดายก็แต่กำลังของคนคนเดียวจะต้านทานกองกำลังใหญ่ได้อย่างไร”

เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ของชิ้นนี้ข้าไม่ขายแล้ว”

ถังจิ่นซิ่วอึ้งตะลึง “เหตุใดเซียนซือผู้เฒ่าถึงทำเช่นนี้? ข้ายินดีจะให้ราคาหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อยเท่ากัน แล้วนับประสาอะไรกับที่ตะเกียบทองคู่นี้ เมื่อไปอยู่ที่อื่นย่อมไม่มีทางขายได้ราคาสูงขนาดนี้แน่นอน ในเมื่อนอกจากจะซื้อของแล้ว ก่อนที่เซียนซือผู้เฒ่าจะเสนอราคามา ข้ายังเป็นฝ่ายเล่าประวัติความเป็นมาของพวกมันให้ฟัง แค่นี้ก็บอกได้แล้วว่าตรอกผงทองของพวกเราปฏิบัติต่อท่านด้วยความจริงใจอย่างแท้จริง”

“ความจริงใจแน่นอนว่ามีอยู่เต็มเปี่ยม”

เฉินผิงอันพยักหน้า ยิ้มกล่าว “แต่ข้าคิดว่าจะนำตะเกียบทองคู่นี้ไปมอบให้ผู้อื่น”

ถังจิ่นซิ่วจึงได้แต่เลิกตื๊อ หากเป็นเวลาปกติ แม้นางจะอยากได้ตะเกียบทองคู่นี้จริง แต่ก็คงจะให้ราคาแค่ห้าสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะเท่านั้น ถือซะว่าอีกฝ่ายช่วยประหยัดเงินให้นางก็แล้วกัน

สุดท้ายสิ่งของสามส่วนในห่อผ้า ถังจิ่นซิ่วก็รับซื้อไปประมาณครึ่งหนึ่งซึ่งรวมถึงเครื่องประดับศีรษะดอกไม้ทองชิ้นนั้นด้วย เป็นเงินทั้งหมดเก้าเหรียญเงินร้อนน้อย หากคิดจากเงินร้อนน้อยเป็นเงินเกล็ดหิมะก็เท่ากับเงินเกล็ดหิมะเก้าร้อยยี่สิบสามสิบเหรียญ

หนึ่งในนั้นคือกระถางธูปเคลือบทองเก่าแก่ที่เฉินผิงอันมองเบาะแสอะไรไม่ออก แต่มันกลับมีราคาสูงที่สุด และถังจิ่นซิ่วก็ไม่ได้อธิบายประวัติความเป็นมาของมันให้ฟังอย่างละเอียด เพียงเอ่ยว่านางยินดีจ่ายด้วยเงินร้อนน้อยสี่เหรียญ เฉินผิงอันจึงขอราคาเพิ่มไปอีกหนึ่งเหรียญ ถังจิ่นซิ่วก็ยังคงตอบรับอย่างอิดออด รอจนกระทั่งนางบอกให้ผีสาวเจินก้วนที่ยืนอยู่ข้างกายเก็บกระถางธูปใบเล็กนั้นไป ถังจิ่นซิ่วก็พลันหัวเราะร่าเสียงดังด้วยความลำพองใจ เฉินผิงอันถึงได้รู้ว่าตัวเองขายราคาต่ำเกินไปแล้ว แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะกำไรที่อีกฝ่ายได้ไปก็เป็นเพราะมีแววตาในการดูของมากกว่า

ในความเป็นจริงแล้ว ราคาโดยประมาณของขวดไหทั้งหลายที่เหลืออยู่ในวัตถุจื่อชื่อ ซึ่งรวมถึงในห่อผ้าใบนี้ด้วยนั้น เฉินผิงอันประมาณการณ์ไว้ว่า อย่างมากที่สุดก็คงขายได้แค่ห้าร้อยเหรียญเงินเกล็ดหิมะเท่านั้น

หากสามารถขายได้สามร้อยเหรียญเงินเกล็ดหิมะ อันที่จริงก็ถือว่าได้กำไรมากแล้ว

เดิมทีการมาเป็นร้านผ้าห่อบุญของตนในครั้งนี้ก็เป็นการกระทำที่เหมือนผ่าเอาเนื้อมาจากขานกกระจอก กรีดเอามันมาจากท้องของยุงอยู่แล้ว เขาไม่คาดหวังว่าตัวเองจะร่ำรวยเป็นมหาเศรษฐี อาศัยแค่การสะสมทีละน้อยจนมากประหนึ่งน้ำเส้นเล็กที่ไหลยาวเท่านั้น

ถังจิ่นซิ่วอดทนอยู่นาน ในที่สุดก็ทนไม่ไหวหยิบกระถางธูปใบเล็กมาจากมือของเจินก้วน ใช้สองมือลูบคลึงช้าๆ รักจนวางมือไม่ลงอย่างแท้จริง ก่อนจะเงยหน้ามอง ‘ท่านผู้เฒ่า’ สวมงอบที่อยู่ฝั่งตรงข้าม แล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ประวัติความเป็นมาของกระถางธูปใบเล็กนี้ถือว่าไม่ธรรมดาเลย เคยเป็นวัตถุในการฝึกตนที่อยู่เคียงข้างเซียนใหญ่ผู้สันโดษท่านหนึ่งของสำนักชิงเต๋อตอนที่ยังเป็นหนุ่ม เพียงแต่ว่าตัวอักษรที่สลักอยู่ก้นกระถางไม่แสดงให้รู้ถึงสถานะของสำนักชิงเต๋อก็เท่านั้น แต่เซียนใหญ่ผู้สันโดษท่านนี้เคยมีบันทึกการท่องเที่ยวฉบับหนึ่งตกทอดมายังคนรุ่นหลัง แต่ไม่แพร่หลายมากนัก บังเอิญที่ข้าเก็บสะสมไว้เล่มหนึ่งพอดี เวลาปกติมักจะเอามาอ่านบ่อยๆ จนจดจำเนื้อหาได้แม่นยำ ถึงได้รู้ประวัติความเป็นมาของวัตถุชิ้นนี้ แม้ว่ากระถางธูปจะไม่ใช่สมบัติอาคม เป็นเพียงแค่สมบัติวิเศษชิ้นหนึ่ง แต่ราคาที่แท้จริงก็น่าจะเป็นหนึ่งเหรียญเงินฝนธัญพืช ผู้ที่มีขอบเขตต่ำกว่าเซียนดินลงมา ไม่ว่าจะผีหรือภูต ขอแค่จุดธูปน้ำหรือธูปภูเขาหนึ่งก้าน เพียงไม่นานก็จะสามารถสงบจิตใจรวบรวมสมาธิแล้วเข้าสู่สภาวะของการเข้าฌานลืมตนได้อย่างรวดเร็ว นับว่าหาได้ยากยิ่ง”

ผีสาวเจินก้วนมีท่าทางร้อนรนเล็กน้อย กระตุกชายแขนเสื้อของนางเบาๆ

ถังจิ่นซิ่วถึงได้เงียบเสียงลงอย่างไม่ใคร่จะพอใจนัก ไม่โอ้อวดความรู้ที่ตนเองศึกษามาอีก

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “นั่นก็หมายความว่าวัตถุชิ้นนี้ไร้วาสนากับข้า แต่กลับมีวาสนากับเจ้าของตรอก”

ถังจิ่นซิ่วยื่นกระถางธูปให้เจินก้วนถือไว้ เอ่ยว่า “อาศัยความตรงไปตรงมานี้ของท่านผู้เฒ่า ข้าก็จะใจกว้างสักครั้ง เพิ่มเงินให้อีกหนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อย รวมเป็นหนึ่งเหรียญเงินฝนธัญพืชพอดี!”

ถังจิ่นซิ่วคีบเงินฝนธัญพืชเหรียญหนึ่งออกมาจากถุงเงินห้อยเอว ยื่นส่งให้เฉินผิงอัน “ของมาเงินไป ถือว่าหมดกันแล้ว”

เฉินผิงอันรับเงินเทพเซียนเหรียญนั้นมา ใช้สองนิ้วถูเบาๆ ชั่งน้ำหนักอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถึงได้เก็บใส่ไว้ในชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายต่างก็ปิติยินดี นับว่าหาได้ยาก หาได้ยาก วันหน้าหากได้ของหายากมาอีก จะต้องเอามาอวดให้เจ้าของตรอกดูอย่างแน่นอน”

ถังจิ่นซิ่วชี้ไปที่ห่อผ้าใบนั้นแล้วปิดปากยิ้ม “หรือเซียนซือผู้เฒ่าลืมไปแล้วว่าในห่อผ้ายังมีของอีกหกส่วนที่ไม่ได้เอาออกมา?”

เฉินผิงอันตบหน้าผากตัวเอง “ชีวิตนี้ยังไม่เคยสัมผัสเงินเกล็ดหิมะกับมือมาก่อนเลย ทำให้เจ้าของตรอกเห็นเรื่องตลกแล้ว ข้าจะค่อยๆ เอาของที่เหลือออกมาทีละชิ้น เจ้าของตรอกเชิญพิศดูอย่างละเอียดได้เลย”

ถังจิ่นซิ่วเพียงยิ้มไม่เอ่ยคำใด ท่าทางเข้าอกเข้าใจผู้อื่นเป็นอย่างดี

เพียงแต่ว่าในใจของนางหัวเราะเสียงเย็นไม่หยุด

แสดง แสดงละครของเจ้าต่อไป

ส่วนผีสาวอายุน้อยที่ถือประคองกระถางธูปเอาไว้ผู้นั้นกลับรู้สึกเหมือนได้เปิดโลกกว้าง เซียนกระบี่หนุ่มที่ใช้เวทอำพรางตาด้วยการแปลงโฉมหน้าผู้นี้ช่างเป็นคนที่เกิดมาเพื่อทำการค้าจริงๆ

ตอนที่เฉินผิงอันหยิบของออกมาจากห่อผ้า ถังจิ่นซิ่วก็ไม่ได้อยู่ว่างๆ เริ่มเอาของที่ตัวเองชื่นชอบซึ่งเพิ่งจ่ายเงินซื้อมาเหล่านั้นไปวางไว้บนชั้นเก็บสมบัติด้านหลังชั่วคราวก่อน ส่วนของที่ยังไม่ได้ซื้อขายกันกลับถูกนางย้ายไปวางไว้ด้านข้างโต๊ะคิดเงิน ท่าทางของนางคล่องแคล่วคุ้นเคย จะจับจะวางล้วนเบามือ ไม่ทำให้เกิดการกระแทกกระทบกันเลยแม้แต่น้อย ดังนั้นต่อให้เฉินผิงอันจะหยิบของมาเพิ่มอีกสามส่วนแล้ว บนโต๊ะคิดเงินก็ยังไม่ดูแน่นจนเกินไป

ถังจิ่นซิ่วทยอยเลือกของมาได้อีกสามชิ้น เพียงแต่ว่าคราวนี้นางให้ราคาแค่สองเหรียญเงินร้อนน้อยเท่านั้น ชิ้นหนึ่งคือหยกมันแพะแกะสลักที่เอาไว้ถือเล่น อีกชิ้นคือปลายทวนที่สลักลายสีทอง ต่างก็เป็นสิ่งของตกทอดจากสองราชวงศ์ใหญ่เหมือนกัน นางถึงได้ให้ราคานี้ แต่ถังจิ่นซิ่วก็กล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า ปลายทวนชิ้นนั้นหากเอาไปขายที่อื่นแล้วเจอกับผู้ฝึกตนสำนักการทหารที่มองของออก บางทีมันเพียงชิ้นเดียวก็อาจจะขายได้ราคาสองเหรียญเงินร้อนน้อยเหมือนกัน เพียงแต่ว่าในหุบเขาผีร้ายแห่งนี้ ราคาตั้งต้นของวัตถุชิ้นนี้ไม่สูง จึงได้แต่เอามาวางเป็นของประดับตกแต่งให้พอเป็นพิธีเท่านั้น นี่จึงไม่แปลกที่ตรอกผงทองของนางจะให้ราคาไม่มาก

เฉินผิงอันไม่ถือสา ยังคงเลือกจะขายของให้แก่ตรอกผงทอง

ชั้นวางไม่เหลือพื้นที่ให้วางสิ่งของแล้ว ถังจิ่นซิ่วจึงบอกให้เจินก้วนนำกระถางธูปไปเก็บไว้ให้ดี จากนั้นให้ไปย้ายสิ่งของที่วางไว้บนชั้นเก็บสมบัติที่อยู่ด้านหลังเซียนซือผู้เฒ่าออก

คราวนี้ถังจิ่นเซิ่วเลือกของชิ้นเล็กๆ มาสี่ชิ้น หนึ่งคือถ้วยเงินที่มีลวดลายเป็นเป็ดป่าและห่าน ม้วนภาพที่วาดภาพดอกโบตั๋นสองดอกหนึ่งม้วน กรงขังจิ้งหรีดสีทองใบเล็ก รวมไปถึงรองเท้าหุ้มข้อขนาดเล็กหนึ่งข้าง…

ตอนที่ถังจิ่นซิ่ววางม้วนภาพลงและหยิบรองเท้าหุ้มข้อเล็กข้างนั้นขึ้นมา

สีหน้าเฉินผิงอันยังคงเป็นปกติ ทุกอย่างล้วนคือเงินนี่นะ

สุดท้ายถังจิ่นซิ่วก็จ่ายเงินร้อนน้อยสี่เหรียญ ดอกโบตั๋นสองดอกที่วาดอยู่บนม้วนภาพซึ่งแพงที่สุดนั้นอิงแอบแนบชิดกัน มีชื่อว่า ‘เสี่ยวหวงเจียวเหนียง’ กับ ‘ป๋ายอีเซียงกง’ คือสองในสิบดอกโบตั๋นที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของแคว้นเสินเช่อ ภาพวาดม้วนนี้มีราคาสามเหรียญเงินร้อนน้อย อีกสามชิ้นที่เหลือก็แค่ถังจิ่นซิ่วมองแล้วถูกชะตาเท่านั้น อาศัยว่ามีเอ่ยถึงในตำราประวัติศาสตร์บางเล่มของหลายแคว้นบนชายหาดโครงกระดูก ไม่อย่างนั้นก็คงมีค่าแค่ไม่กี่เหรียญเงินเทพเซียนเท่านั้น ขายให้นางถังจิ่นซิ่วแห่งนครถงโช่วก็ถือว่า ‘ท่านผู้เฒ่า’ ตรงหน้าผู้นี้มาหาคนถูกแล้ว

ส่วนจะเป็นภาพวาดก็ดี เครื่องประดับผมดอกไม้สีทองก่อนหน้านี้ก็ช่าง หรือแม้กระทั่งกระถางธูปที่ถือว่านางและนครถงโช่วเก็บตกของดีได้นั้น ขอแค่ไม่ใช่ ‘คนเฒ่าคนแก่’ ของชายหาดโครงกระดูกและหุบเขาผีร้ายแล้วล่ะก็ ต่อให้เจ้าเป็นผู้ฝึกตนเซียนดินที่สายตาดีแค่ไหนก็ล้วนต้องปล่อยให้พลาดหลุดมือไปทั้งนั้น

คิดราคาสองครั้ง แยกจ่ายงินร้อนน้อยหลายเหรียญของทั้งสองรอบไปให้

เฉินผิงอันก็เริ่มเก็บห่อสัมภาระ การเป็นร้านผ้าห่อบุญในนครถงโช่วของตนครั้งนี้ ถือว่าได้เจอกับเรื่องไม่คาดฝันที่น่ายินดีจริงๆ

นั่นมันเงินฝนธัญพืชหนึ่งเหรียญ บวกกับเงินร้อนน้อยอีกหกเหรียญเชียวนะ

ของที่เหลืออีกกองใหญ่ในห่อผ้าที่ยังขายออกไปไม่ได้ ไม่ใช่ของผุพังอะไรจริงๆ เสียหน่อย เมื่อออกไปจากหุบเขาผีร้ายและชายหาดโครงกระดูกก็ยังมีโอกาสจะเอาไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินขาวและทองคำมาได้

เฉินผิงอันตัดสินใจแล้วว่าอีกเดี๋ยวตอนที่ออกจากนครถงโช่วไปด้วยเส้นทางเดิมจะต้องตกรางวัลให้กับผีผู้บังคับบัญชาที่เฝ้าประตูเมืองผู้นั้นอีกหนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ปากเจ้าหมอนั่นต้องเป็นมงคลมากแน่ๆ เพราะตนที่มาเยือนตรอกผงทองครั้งนี้ก็มีเงินทองไหลมาเทมาจริงๆ ไม่ใช่หรือ?

สะพายห่อผ้าเรียบร้อย เฉินผิงอันก็หยิบงอบมาสวมอีกครั้ง หยิบขวดกระเบื้องสีสันสดใสใบนั้นออกจากชายแขนเสื้อมาวางไว้บนโต๊ะคิดเงิน มองไปทางผีเด็กสาวแล้วยิ้มเอ่ยว่า “ถือว่าเป็นของรางวัลที่มอบให้ แสดงถึงความจริงใจ ขออวยพรให้กิจการของเถ้าแก่เจริญรุ่งเรือง”

เถ้าแก่ที่ชื่อว่าเจินก้วนผู้นั้นเหลือบตามองถังจิ่นซิ่วอย่างว่องไวแวบหนึ่ง เห็นว่าฝ่ายหลังไม่มีปฏิกิริยาใดๆ ผีเด็กสาวถึงได้รับมาด้วยรอยยิ้ม

เฉินผิงอันออกจากตรอกผงทอง เดินออกจากนครถงโช่วทางประตูเมืองแห่งเดิม โยนเงินเกล็ดหิมะหนึ่งเหรียญให้กับผู้บัญชาการคนเฝ้าประตู ฝ่ายหลังดีใจเป็นกำลัง ค้อมตัวเอ่ยขอบคุณไม่หยุดปาก

เฉินผิงอันมุ่งหน้าไปยังเมืองชิงหลู

หาที่พักแรมที่นั่น นอกจากจะเพื่อพักผ่อนแล้ว ยังเป็นเพราะต้องวาดยันต์ย่อพื้นที่กระดาษสีทองอีกสองแผ่น

เพราะถึงอย่างไรในหุบเขาผีร้ายนี้ สถานที่ที่พอจะเรียกได้ว่าปลอดภัยนั้น ขนาดเมืองหลันเซ่อก็ยังไม่อาจนับรวม มีเพียงเมืองชิงหลูที่มีจู๋เฉวียนเจ้าสำนักพีมานั่งบัญชาการณ์อยู่เท่านั้น

เมืองชิงหลูอยู่ห่างจากนครถงโช่วไปไม่ไกล เพียงแต่ว่าระยะทางค่อนข้างจะอ้อมสักหน่อย และเฉินผิงอันก็ไม่ได้ขี่กระบี่ เพียงเดินเท้าไปเรื่อยๆ พอเริ่มจะมองเห็นเค้าโครงของเมืองชิงหลูได้รางๆ แล้ว เฉินผิงอันถึงพอจะโล่งอกได้บ้าง

หลังจากที่เฉินผิงอันออกมาจากร้าน

ถังจิ่นซิ่วก็ใช้นิ้วเคาะลงบนโต๊ะคิดเงินเบาๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม

ต่างก็บอกว่าเชิญเทพมาง่าย ส่งเทพกลับยาก ทว่าตนไม่เพียงแต่เชิญเทพมาได้สำเร็จ ยังพอจะได้กำไรมาด้วย อีกทั้งยังเป็นเงินที่หามาได้ด้วยวิธีการที่ถูกต้องเหมาะสม

แต่ถังจิ่นซิ่วก็อดพึมพำกับตัวเองไม่ได้ ด้วยกลัวว่าพี่ชายที่น้อยครั้งจะสั่งสอนตนอย่างเข้มงวดผู้นั้นจะด่าว่าตน ‘วาดงูเติมขา’

นาทีที่เฉินผิงอันเดินออกไปจากประตูเมือง ถังจิงฉีก็มาที่ร้านในตรอกผงทอง

สายตาของถังจิ่นซิ่วล่อกแล่กไม่อยู่นิ่ง

ถังจิงฉียิ้มเอ่ย “ดีมาก รับมือได้อย่างเหมาะสม ถึงขนาดสามารถทำการค้าที่ดีได้อย่างราบรื่น หาได้ยากๆ หัดรู้จักหาเงินให้นครถงโช่วแล้ว”

ถังจิ่นซิ่วรู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก

ก่อนจะเอ่ยถามอย่างลำพองใจ “ท่านพี่ ท่านว่าเจ้าหมอนั่นจะรู้ถึงตัวตนของข้าหรือไม่?”

ถังจิงฉีกระตุกมุมปาก “ตอนแรกอาจจะยังไม่แน่ใจ แต่ตอนที่ออกไปจากร้าน เขาก็น่าจะมั่นใจแล้ว”

ถังจิ่นซิ่วถามอย่างสงสัย “ข้าเผยพิรุธอะไรหรือ? เจ้าตรอกผงทองคนหนึ่งรู้ประวัติศาสตร์มากมายก็ไม่ถือว่าเผยช่องโหว่อะไรหรอกกระมัง? นางกำนัลหญิงหลายคนที่อยู่ข้างกายข้า อ่านหนังสือเป็นเพื่อนข้ามาหลายร้อยปีก็สามารถจดจำเนื้อหาในตำราได้เหมือนสมบัติในบ้านตัวเองเช่นกัน”

ถังจิงฉีชำเลืองตามองไปยังผีสาวเจินก้วนแล้วชี้ไปที่นาง

ผีสาวอายุน้อยที่เดิมทีผิวพรรณก็ขาวซีดอยู่แล้วตกใจจนหน้ายิ่งซีดเผือดไร้สี คุกเข่าลงกับพื้นดังตุ้บ

ถังจิ่นซิ่วร้องว่าโธ่เอ้ยหนึ่งที แล้วกล่าวอย่างคนความรู้สึกช้าว่า “ตอนนั้นที่เจ้าหมอนั่นมอบขวดกระเบื้องหลากสีใบเล็กมาให้ก็เพราะจงใจจะหยั่งเชิงเจินก้วน?”

ดูเหมือนว่าถังจิงฉีจะอารมณ์ไม่เลว จึงยิ้มกล่าวว่า “เจ้าลุกขึ้นเถอะ ไม่ได้ทำความผิดมหันต์อะไรสักหน่อย เดิมทีก็เป็นเรื่องที่ปิดไม่อยู่ สำหรับผู้ฝึกลมปราณแล้ว ความจริงเป็นอย่างไร ส่วนใหญ่มักจะไม่ใช่เรื่องสำคัญ เพราะอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบกับความกังขาในใจของพวกเขาได้ติด นอกจากนี้ผู้ฝึกตนบนโลกที่มาจากต่างถิ่นไม่ว่าจะคนใดก็ตาม ขอแค่มีขอบเขตเช่นนี้ได้ เวลาหลายปีที่ใช้ชีวิตมาจนแก่เฒ่าล้วนไม่ได้เสียเวลาเปล่า การกระทำและคำพูดของพวกเจ้าสองคน กับผลลัพธ์ในท้ายที่สุด ถือว่าออกมาดีที่สุดแล้ว ข้าที่เป็นเจ้านครและพี่ชาย ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะมาเข้มงวดใส่พวกเจ้าอีก”

ก่อนถังจิงฉีจะจากไป ก็ได้หันมาพูดกับน้องสาวว่า “จำไว้ว่ามอบเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญให้นางเป็นรางวัล เจ้าน่ะ ทีกับพวกบุรุษในนครถงโช่วกลับใจกว้างและทุ่มเงินทองให้ได้มากมาย หากแบ่งมาให้พวกผู้หญิงบ้างก็น่าจะดี”

ถังจิ่นซิ่วกลอกตามองบน

ข้าก็ใช้กระบี่แหวกม่านฟ้าได้เหมือนกัน

ทางฝั่งนั้น

เฉินผิงอันปลดหน้ากากลงแล้ว เดินเข้าไปในเมืองชิงหลู เมืองแห่งนี้มีขนาดไม่ใหญ่ ถึงขั้นเทียบกับตลาดของด่านไน่เหอไม่ได้ด้วยซ้ำ

มีแค่ถนนใหญ่สองเส้นตัดกันเท่านั้น คาดว่าหากรวมสิ่งปลูกสร้างทั้งหมดเข้าด้วยกันคงไม่ถึงร้อยกว่าหลัง อีกทั้งยังไม่มีจวนที่หรูหราโอ่อ่าใดๆ

คนเดินเท้าก็มีบางตา ทว่าพอจะมีร้านน้ำชาและเหลาสุราอยู่บ้าง คนที่ขายน้ำชาและสุรากลับเป็นเด็กสาวหรือไม่ก็สตรีโตเต็มวัยที่หน้าตางดงาม คิดดูแล้วคงจะเป็นสตรีของนครถงโช่วที่มาทำมาหากินอยู่ที่นี่ อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าน่าจะมีฐานกระดูกในการฝึกตน แต่ก็น่าเสียดายที่ไม่สามารถกลายมาเป็นผู้ฝึกตนสำนักพีหมาได้

เมืองชิงหลูมีโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนอยู่สองแห่ง หนึ่งอยู่เหนือ หนึ่งอยู่ใต้ ทางฝั่งทิศเหนือนั้นราคาแพงสักหน่อย หนึ่งวันหนึ่งคืนต้องจ่ายถึงสิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ทว่าทางฝั่งทิศใต้กลับต้องจ่ายแค่เหรียญเดียว

เฉินผิงอันถามว่านี่เกี่ยวข้องกับความต่างของปราณวิญญาณหรือไม่ คิดไม่ถึงว่าสตรีที่อยู่ในโรงเตี๊ยมทางทิศเหนือจะคลี่ยิ้มหวานแล้วเอ่ยอย่างตรงไปตรงมาว่าไม่มีความต่างใดๆ เพียงแต่ว่าโรงเตี๊ยมทางเหนืออยู่ใกล้กับกระท่อมที่เจ้าสำนักท่านนั้นมาปลูกไว้เพื่อฝึกตน เซียนซือที่มีเงินต่างก็ยินดีที่จะมาปักหลักกันอยู่แถวนี้ อีกทั้งตู้เซียนซือยังมักจะมาอาศัยอยู่ที่โรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็นประจำ ดังนั้นจึงอาจจะได้เจอหน้ากัน

เฉินผิงอันจึงหมุนตัวเดินไปทางทิศใต้ทันที

สตรีผู้นั้นกะพริบตาปริบๆ คล้ายจะประหลาดใจอยู่บ้าง

ผู้ฝึกตนและผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่สามารถเดินทางมาถึงเมืองชิงหลูได้นั้น แต่ละคนล้วนเป็นพวกมือเติบใจกว้าง ไม่มีใครที่เป็นพวกขาดเงินจริงๆ มีแค่ว่ามีเงินหรือมีเงินมากกว่าเท่านั้น หน้าตาที่แพงที่สุดในใต้หล้านี้ เมื่อตัวเองทำตกลงบนพื้นแล้วจะไม่ยอมเก็บกลับมาเพียงเพราะเงินเกล็ดหิมะเก้าเหรียญต่อหนึ่งวันนี้ได้หรือ?

เฉินผิงอันเช่าห้องพักมาหนึ่งห้องแล้วเริ่มเทสิ่งของพรวดออกจากวัตถุจื่อชื่อและห่อผ้าใบนั้น เปลี่ยนเอาสิ่งของอย่างใหม่ใส่เข้าไปในห่อผ้า

คิดว่าเดี๋ยวอีกสักสองสามวันจะไปที่ตรอกผงทองนครถงโช่วใหม่อีกรอบ

นี่เรียกว่าเมื่อจับแกะตัวอวบอ้วนมาได้แล้วก็ต้องจับถอนขนอย่าให้เหลือ

ผ่านหมู่บ้านนี้ไปก็ไม่มีร้านนี้อีกแล้ว

ทำทุกอย่างนี้เสร็จ เฉินผิงอันก็ใช้เงินเกล็ดหิมะซ่อมแซมชุดคลุมอาคมหญ้าเขียวที่อยู่บนร่างไปทีละเหรียญ

เวลาผ่านไปประมาณหนึ่งถ้วยชา เฉินผิงอันก็หยุดการซ่อมแซมลง

เรื่องของการซ่อมชุดคลุมอาคมนั้นหาใช่ว่าแค่ทุ่มเงินอย่างเดียวก็พอ แต่เป็นงานที่ละเอียดอ่อนอย่างหนึ่ง

เฉินผิงอันเริ่มฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลู โคจรปราณกระบี่สิบแปดหยุดที่ยังคงไม่สามารถฝ่าทะลุด่านทั้งหมดในร่างไปได้อย่างสมบูรณ์

หนึ่งชั่วยามต่อมา เฉินผิงอันก็ดื่มน้ำในลำธารลึกบนภูเขาที่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่อึกใหญ่ แล้วจึงเริ่มหลอมแก่นไอน้ำเต็มเติมจวนน้ำของตน

เพียงแต่ว่าผ่านไปหนึ่งชั่วยามกว่าแล้วถึงเพิ่งจะกลั่นหลอม ‘น้ำพุ’ ออกมาได้สามหยด แล้วส่งต่อให้เด็กจิ๋วชุดเขียวสามคนในจวนน้ำมารับช่วงทำต่อ

ขนาดการฝึกตนอย่างตื้นเขินเช่นนี้ เฉินผิงอันยังเปลืองเวลาไปมากขนาดนี้ หากต้องปิดด่านขึ้นมาก็ยิ่งไม่สามารถหันมาสนใจกับเรื่องทางโลกได้เลย ดังนั้นถึงได้มีคำกล่าวหนึ่งบอกว่า คนบนภูเขาไม่รู้ร้อนหนาวในโลกมนุษย์

เมื่อเฉินผิงอันฉวยโอกาสช่วงพักปล่อยจิตวิญญาณให้จมดิ่งลงไป จิตหยินจำแลงร่างกลายเป็นเมล็ดงาที่ไปตรวจตราจวนน้ำ ผลกลับกลายเป็นว่าต้องเจอกับสายตาตำหนิของเจ้าตัวน้อยทั้งหลาย

คงจะต้องการบอกว่าในเมื่อมีพรสวรรค์ธรรมดาสามัญก็ควรจะยิ่งขยันฝึกตน เป็นดั่งนกโง่ที่หัดบินก่อน เหตุใดหลังจากสร้างจวนใหญ่อันเป็นช่องโพรงสำคัญเช่นนี้ขึ้นมาแล้ว ตลอดหลายปีมานี้อย่าว่าแต่สามวันตกปลาสองวันตากแหเลย ต้องบอกว่าหนึ่งวันตกปลาหนึ่งปีตากแหด้วยซ้ำ

เฉินผิงอันรู้สึกผิดอย่างถึงที่สุด รีบเผ่นหนีออกมาจากจวนน้ำอย่างกระเซอะกระเซิง

มังกรเพลิงที่เกิดจากการรวมตัวของปราณแท้จริงที่บริสุทธิ์ของผู้ฝึกยุทธจ้องมองเฉินผิงอันนิ่งๆ อยู่ตรงทางแยกจุดหนึ่งนอกจวนน้ำ

เฉินผิงอันเงียบงันไม่เอ่ยอะไร

มันจึงส่ายหัวสะบัดหางเลื้อยจากไปอย่างรวดเร็ว

ในอดีต บนหัวของมันเคยมีคนจิ๋วสีทองสวมชุดลัทธิขงจื๊อสะพายกระบี่ยืนอยู่

คอยตรวจตราทั่วทิศไปพร้อมกับมัน ร่วมกันบุกเบิกแผ่นดินอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ บุกรุดไปเบื้องหน้าไม่หยุดยั้ง ประหนึ่งขุนนางบุ๋นบู๊ในราชสำนักที่ช่วยขับดันกันและกันให้โดดเด่น

เฉินผิงอันเก็บความคิด ดึงเอาวิชาการมองภายในกลับมา หลังจากคืนสติ เขาที่นั่งอยู่ข้างโต๊ะก็หลุบตาลงต่ำ เหม่อลอยไร้คำพูด

ในเรื่องของการใช้เหตุผลนี้ คิดจะโน้มน้าวคนอื่นนั้นไม่ง่าย และคิดจะโน้มน้าวตัวเองก็ยากมากเหมือนกัน

แล้วเหตุใดถึงยังต้องใช้อีกเล่า

ข้าวหนึ่งถ้วย วิชาหมัดหนึ่งเล่ม

คุ้มค่าแล้วหรือ?

ค่าตอบแทนที่ต้องจ่ายไปเพราะสิ่งนี้ ต่อให้จะมหาศาลถึงขั้นเสียหายไปถึงรากฐานมหามรรคา แต่การเลือกนั้นของตน ถูกแล้วจริงๆ หรือ แล้วถ้าผิดล่ะ?

ไม่ใช่ว่าเฉินผิงอันยังคงคิดไม่ตกกับคำถามที่ได้คำตอบมานานแล้ว รวมไปถึงคำถามที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าตอนนี้ยังไม่อาจรู้ได้ว่าถูกหรือผิด

แต่เฉินผิงอันกำลังกลัว ยังหวาดผวาอยู่ไม่คลาย เพราะเขาไม่รู้ว่าเหตุใดตัวเองถึงได้คิดเรื่องพวกนี้

เฉินผิงอันพลันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง พอลุกขึ้นยืนก็เดินออกจากโต๊ะ พลิกร่างกลับหัว ชายแขนเสื้อชุดเขียวโบกสะบัด หลับตาลง เริ่มเดินกลับหัวด้วยท่าฟ้าดิน

……

เหนือทะเลสาบถงลวี่มีแพไม้ไผ่สีเขียวมรกตลำหนึ่งลอยนิ่งอยู่ หยวนเซวียนเด็กหนุ่มจากศาลซานหลางยังคงตกปลา คราวนี้ไม่มีคนนอก บรรยากาศจึงมีแต่จะผ่อนคลายสบายอารมณ์มากกว่า ผู้ฝึกยุทธหญิงที่เป็นข้ารับใช้กับผู้เฒ่าผู้ฝึกกระบี่โอสถทองต่างก็ถือเบ็ดตกปลาไว้คนละคัน

เด็กหนุ่มเพิ่งจะกลับมาที่นี่ได้ไม่นานเท่าไหร่ อีกทั้งยังรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย เพราะจอมยุทธพเนจรหนุ่มที่ว่ากันว่าได้สร้างชื่อเสียงยิ่งใหญ่ไว้ในหุบเขาผีร้ายผู้นั้น ไม่ได้มา

หยวนเซวียนชำเลืองตามองผิวทะเลสาบที่ยังคงสงบนิ่งไร้ความเคลื่อนไหว หันหน้ามาถามว่า “พี่หญิงฝาน ท่านปู่หลิว ไหนพวกท่านบอกว่าคนผู้นั้นคือผู้ฝึกยุทธเต็มตัวอย่างไรล่ะ เหตุใดทุกคนที่อยู่ในเมืองชิงหลูถึงได้พากันบอกว่าเขาคือผู้ฝึกกระบี่ที่ขอบเขตยากจะคาดเดาคนหนึ่ง เพียงแต่ทุกคนกำลังเดากันว่าจะเป็นเซียนกระบี่ที่มีหรือไม่มีหวังจะเลื่อนเป็นโอสถทอง หรือไม่ก็ก่อกำเนิดที่อำพรางตนอย่างลึกล้ำน่าหวาดกลัวกันแน่?”

สีหน้าของสตรีแซ่ฝานกระอักกระอ่วน “เขาน่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธคนหนึ่งถึงจะถูก”

ผู้เฒ่ามีความรู้กว้างขวางมากกว่าจึงยิ้มเอ่ยว่า “อันที่จริงการคาดเดาของเสี่ยวฝานกับผู้ฝึกตนของเมืองชิงหลูก็ใช่ว่าจะผิดเสมอไป บนโลกนี้มีคนประหลาดบางคนที่สามารถเป็นได้ทั้งผู้ฝึกยุทธเต็มตัวและผู้ฝึกลมปราณ เพียงแต่ว่าลูกรักแห่งสวรรค์ประเภทนี้ ยิ่งเป็นช่วงหลังก็ยิ่งพละกำลังถดถอย ยกตัวอย่างเช่นเส้นทางของการฝึกวรยุทธได้เลื่อนสู่ขอบเขตเดินทางไกลแล้ว หรือเส้นทางของการฝึกตนที่ในที่สุดก็เลื่อนสู่ขอบเขตกำเนิด เวลานี้จะต้องเจอกับปัญหาที่ใหญ่เทียมฟ้า เว้นเสียแต่มีปณิธานความเด็ดเดี่ยวและความกล้าหาญตัดใจทอดทิ้งเส้นทางใดเส้นทางหนึ่งได้อย่างเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นก็ยากที่จะเดินขึ้นสู่จุดสูงได้อย่างแท้จริง มีแต่จะกลายเป็นว่าตัวเองทะเลาะกับตัวเอง บนเส้นทางทั้งสองต่างก็เดินไปถึงทางตันที่ทางให้เดินต่อ”

หยวนเซวียนเดาะลิ้น “หากเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกลที่ขาดอีกแค่ก้าวเดียวก็จะเป็นขอบเขตยอดเขาอย่างที่เล่าลือกันจริง อีกทั้งยังได้ครอบครองวิชาอภินิหารของผู้ฝึกตนก่อกำเนิด จะไม่กลายเป็นผู้ไร้ศัตรูทัดเทียมในหนึ่งทวีปเลยหรือ?”

“ไร้ศัตรูทัดเทียม? ยังห่างชั้นอีกไกลนัก”

ผู้เฒ่าส่ายหน้ายิ้มกล่าว “เทพเซียนขอบเขตหยกดิบทั่วไป ขอแค่ไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ เมื่อเจอกับคนประหลาดที่หายากเหมือนขนหงส์เขากิเลนประเภทนี้ จะต้องปวดหัวมากก็จริง แต่หากเปลี่ยนมาเป็นเซียนหรือกระบี่หรือผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหริน คิดจะจัดการก็มีกำลังเหลือเฟือ”

ความคิดของหยวนเซวียนเปี่ยมไปด้วยจินตนาการอันบรรเจิด กระโดดเปลี่ยนหัวข้อไปไกลหนึ่งแสนแปดพันลี้ เขายิ้มถามว่า “ท่านปู่หลิว ท่านคือผู้ฝึกกระบี่ ลองเล่าให้ฟังหน่อยเถอะว่า เหตุใดศาสตราวุธนับพันนับหมื่นของผู้ฝึกตนบนโลกใบนี้ มีเพียงคนใช้กระบี่อย่างพวกท่านเท่านั้นที่สามารถนำมาใช้ได้อย่างเก่งกาจ อีกทั้งยังถูกขนานนามว่ามีพลังพิฆาตเป็นอันดับหนึ่งอีกด้วย? ท่านปู่หลิว ท่านห้ามพูดหลอกข้าเชียวนะ ข้าน่ะรู้ว่าผู้ฝึกกระบี่กินเงินเก่งที่สุด อีกทั้งตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดยังเป็นหนึ่งในหมื่นของบรรดาผู้ฝึกลมปราณอย่างเราๆ เหตุผลสองข้อนี้ไม่ถือว่าเป็นสาเหตุทั้งหมด”

ผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ “นี่ก็คือปฏิทินเหลืองที่เก่าแก่มากๆ เล่มหนึ่งแล้ว”

ผู้เฒ่าไม่เอ่ยอะไรอีก เพียงชี้ไปยังจุดสูงเหนือศีรษะ

หยวนเซวียนมองตามไปแล้วก็พยักหน้า เด็กหนุ่มแห่งศาลซานหลางที่ชื่นชอบซักไซ้ไล่เรียงคนอื่นเป็นที่สุด เวลานี้กลับไม่สอบถามอะไรอีก เพียงหันไปเริ่มตกปลาของตนอย่างเงียบๆ

แต่ในใจของหยวนเซวียนก็ยังคันยิบๆ ลังเลอยู่เล็กน้อยก็ชูนิ้วสามนิ้วให้ผู้เฒ่า

ผู้เฒ่าส่ายหน้า ยื่นนิ้วออกมาอีกครั้ง คราวนี้ชี้ไปยังจุดที่อยู่สูงยิ่งกว่า

หยวนเซวียนหุบสองนิ้วลง ให้เหลือเพียงนิ้วเดียว

ผู้เฒ่ายิ้ม แต่ก็ยังคงส่ายหน้า

ในที่สุดหยวนเซวียนก็สงบใจตกปลาได้แล้ว

กลับกลายเป็นสตรีผู้ฝึกยุทธที่มีอายุมากกว่าเด็กหนุ่มที่มึนงงสับสนคล้ายในสมองมีแต่แป้งเปียก ไม่เข้าใจว่าคนแก่คนหนุ่มคู่นี้กำลังเล่นทายคำปริศนาอะไรกันอยู่

ครึ่งชั่วยามต่อมาก็ยังคงตกปลาอะไรไม่ได้

หยวนเซวียนโยนเหยื่อกำหนึ่งลงไปในทะเลสาบ น้ำก็มีเส้นสายของน้ำ มองดูเหมือนผิวน้ำทะเลสาบนิ่งสงบ แต่ในความเป็นจริงแล้วด้านล่างนั้นมีที่จุดต้องพิถีพิถันมากมาย เด็กหนุ่มไม่ได้โยนเหยื่อไปอย่างส่งเดช เขาถามชวนคุยว่า “ได้ยินมาว่าตะพาบเฒ่าของลำคลองเฮยเหอเลี้ยงปลาหลั่วสีทองคู่หนึ่งที่อย่างน้อยก็มีชีวิตอยู่มาแล้วหนึ่งพันห้าร้อยปี ท่านปู่หลิว หากข้าบอกกับท่านอาตู้สักคำ พวกเราจะสามารถบุกไปหาตะพาบเฒ่า เอาเงินขอซื้อมันมาจากเขาได้ไหม?”

ผู้เฒ่าอธิบายอย่างมีน้ำอดน้ำทน “นอกเสียจากฆ่ามันให้ตายแล้ว ไม่อย่างนั้นวัตถุวิเศษชิ้นนี้ก็ถูกกำหนดมาแล้วว่าไม่มีทางซื้อมาได้แน่นอน แต่การที่ตะพาบเฒ่าสามารถมีชีวิตอยู่รอดในหุบเขาผีร้ายมานานขนาดนี้ คิดจะฆ่ามันให้สำเร็จก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เว้นเสียแต่ว่าเจ้าสำนักจู๋เฉวียนลงมือด้วยตัวเอง หาไม่แล้วหากตะพาบเฒ่าเข้าไปหลบอยู่ในจุดลึกของโพรงมังกรเฒ่าก็ยากที่จะหาตัวพบได้อีก ต่อให้เป็นท่านอาตู้ของเจ้าก็ต้องจนใจมากเหมือนกัน”

หยวนเซวียนถอนหายใจหนึ่งที “เรื่องฆ่านั้นอย่าดีกว่า ต่อให้ข้าทำได้ก็ไม่ทำ สรรพชีวิตที่เกิดมาบนโลกใบนี้ย่อมต้องมีหลักการเหตุผลเป็นของตัวเอง ผู้ฝึกตน เดิมทีก็เป็นการกระทำที่ขัดต่อเจตนารมณ์สวรรค์อยู่แล้ว หากยังก่อกรรมอีก ก็คงไม่ใช่เรื่องดีอะไร ไม่รู้จริงๆ ว่าเหตุใดผู้ฝึกตนสำนักการทหารเหล่านั้นถึงได้สามารถฆ่าคนตาไม่กะพริบ แถมยังไม่ต้องมีผลกรรมติดตัวด้วย”

ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “ขอแค่สามารถกลายเป็นคนของหนึ่งลัทธิหนึ่งสำนักได้ แน่นอนว่าต่างก็ต้องมีรากฐานมหามรรคาเป็นของตัวเอง สามารหยัดยืนอยู่ท่ามกลางฟ้าดินแห่งนี้ได้นิ่ง ยืนได้มั่นคง”

หยวนเซวียนเกาหัว พูดอย่างน่าสงสารว่า “แต่ท่านปู่หลิว ปลาสวยของพวกเราสามคนยืนได้นิ่ง ยืนได้มั่นคงเสียยิ่งกว่าเทพทวารบาลอีกนะ”

ผู้เฒ่าหัวเราะฮ่าๆ อย่างเบิกบานใจ

สตรีก็หลุดหัวเราะตามไปด้วย

……

โรงเตี๊ยมทางทิศเหนือของเมืองชิงหลู ตู้เหวินซือยืนอยู่หน้าประตู

สตรีที่มีชาติกำเนิดมาจากนครถงโช่ว แต่กลับมาเติบโตอยู่ที่นี่คุ้นหน้าคุ้นตาผู้ฝึกตนโอสถทองของสำนักพีหมาผู้นี้เป็นอย่างดี ตู้เหวินซือนั้นมีชื่อเสียงในด้านการมีมาดของวิญญูชนผู้สง่างาม ดังนั้นสตรีที่รับผิดชอบเฝ้าประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยมจึงไม่ได้ระมัดระวังตัวมากเกินไป เห็นว่าตู้เหวินซือมายืนอยู่หน้าประตูพักใหญ่แล้วจึงถามอย่างประหลาดใจว่า “เซียนซือตู้ ท่านมารอใครหรือ?”

ตู้เหวินซือส่ายหน้า ยิ้มตอบ “แค่รู้สึกอุดอู้ก็เลยออกมาสูดอากาศภายนอก”

สตรีไม่รู้จะเอ่ยต่อคำอย่างไร และไม่นานนางก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ คราวก่อนตู้เซียนซือก็ทำเช่นนี้ มายืนเหม่อลอยอยู่หน้าประตูเพียงลำพัง

เมื่อหลายปีก่อนเคยมีนักพรตหญิงที่ขอบเขตสูงมากคนหนึ่งกระทำการอย่างกำเริบเสิบสาน ถึงขนาดไม่เข้ามาในหุบเขาผีร้ายผ่านซุ้มประตู แต่ใช้กระบี่หนึ่งแหวกม่านฟ้าเข้ามาโดยตรง พอปรากฏตัวแล้วก็หมุนตัวกลับทันที จากนั้นก็ยังฟันผ่าปราการฟ้าดินที่ว่ากันว่าแข็งแกร่งมิอาจทำลายอีกสองครั้ง ครั้งสุดท้ายอยู่ห่างจากเมืองชิงหลูไม่ไกลพอดี นักพรตหญิงถึงได้หยุดมือ แล้วพลิ้วกายลงในเมืองชิงหลู จากนั้นก็เข้ามาพักในโรงเตี๊ยมแห่งนี้ และก็เป็นตู้เซียนซือที่เป็นผู้รับรอง ภายหลังแม้แต่เจ้าสำนักจู๋ก็ยังมาด้วย

การที่นางบุกเข้ามาในหุบเขาผีร้ายโดยพลการหลายครั้งได้ชักนำให้วิญญาณวีรบุรุษหลายตนไปดักรอสังหาร

ครั้งสุดท้ายก็ยิ่งเป็นฝีมือของเจ้าสำนักที่ฟันดาบออกไป เพียงแต่ว่านักพรตหญิงสามารถต้านรับไว้ได้ก็เท่านั้น

และเจ้าสำนักจู๋ก็แค่แสดงบารมีไปแค่พอเป็นพิธี ไม่ได้ทุ่มสุดกำลัง

หลังจากพูดคุยกันพักหนึ่งจู๋เฉวียนก็ตรงกลับไปที่กระท่อมของตัวเอง ปล่อยให้นักพรตหญิงเข้ามาในอาณาเขต ถือว่าผ่านด่านของสำนักพีหมามาได้แล้ว

นักพรตหญิงต่างถิ่นผู้นั้นพักอยู่ในโรงเตี๊ยมแค่วันเดียว ตอนที่จากไปก็ยังคงใช้หนึ่งกระบี่ฟันม่านฟ้า โอหังไร้เหตุผลอย่างถึงที่สุด

แต่ก็ถือว่าสำรวมกว่าตอนที่มาอยู่เล็กน้อย เพราะนางขี่กระบี่ขึ้นไปกลางอากาศเหนือเมืองทางทิศเหนือนี้ก่อน แล้วจากนั้นถึงได้ฟันตราผนึกฟ้าดินแล้วจากไปอย่างอิสระเสรี

ภายหลังตู้เซียนซือก็มายืนอยู่ตรงหน้าประตูนี้ ยืนอยู่นานมาก ตนถามเขาก็ยังคงได้คำตอบเหมือนก่อนหน้า เพราะอุดอู้ก็เลยออกมาสูดอากาศภายนอก

ตู้เซียนซือสมกับเป็นวิญญูชนจริงๆ แม้แต่จะพูดโกหกก็ยังทำไม่เป็น

ภายหลังได้ยินลูกค้าเทพเซียนที่มาพักในโรงเตี๊ยมพูดว่า นักพรตหญิงต่างถิ่นที่เดินทางท่องเที่ยวมาถึงที่นี่ผู้นั้นคือผู้ฝึกตนหญิงที่มาจากใบถงทวีป นางกับอัจฉริยะในการฝึกตนของภูเขาตี่ลี่ที่มีนามว่าหลิวจิ่งหลง นั่นคืออัจฉริยะในอัจฉริยะคนหนึ่ง ต่อให้เป็นผู้ฝึกตนอิสระตัวเล็กๆ ที่มีหน้าที่เฝ้าประตูอย่างนางก็ยังเคยได้ยินชื่อเสียงอันโด่งดังของหลิวจิ่งหลง เขากับนักพรตหญิงต่างทวีปผู้นั้นเปิดฉากต่อสู้กันอยู่บนภูเขาตี่ลี่ และต่างก็บาดเจ็บยับเยินกันไปทั้งสองฝ่าย

สตรีพกดาบหน้าตาธรรมดาผู้หนึ่งเดินช้าๆ มาบนถนน

ผู้ฝึกตนหญิงที่เฝ้าประตูรีบกลั้นหายใจรวบรวมสมาธิ รอจนคนผู้นั้นเดินเข้ามาใกล้โรงเตี๊ยมก็เรียกเสียงสั่นว่าท่านเจ้าสำนัก

สตรีพกดาบยิ้มผงกศีรษะตอบรับ

จากนั้นก็เรียกตู้เหวินซือหนึ่งคำ แล้วบอกว่าไปเดินเล่นด้วยกัน

ตู้เหวินซือจึงเดินเคียงไหล่ไปกับเจ้าสำนักจู๋เฉวียน

จู๋เฉวียนยิ้มพูดสัพยอก “เอาน่า หวงถิงผู้นั้นเคยบอกว่าตอนที่นางย้อนกลับทางทิศใต้จะมาเยือนเมืองชิงหลูอีกรอบ แต่นางจะมาหรือไม่มา มาเมื่อไหร่ เจ้าไปยืนรอหน้าประตูแล้วจะต้องได้เจอเสมอไปหรือ?”

ตู้เหวินซือหน้าแดงน้อยๆ

จู๋เฉวียนเอ่ยต่อว่า “ได้ยินมาว่าผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่สร้างเรื่องอึกทึกครึกโครมผู้นั้นเข้ามาพักในเมืองเล็กแล้ว?”

ตู้เหวินซือพยักหน้ารับ “เพิ่งจะกลับมาจากนครถงโช่ว แล้วก็มาพักในโรงเตี๊ยมทางทิศใต้ของพวกเรา”

จู๋เฉวียนยิ้มเอ่ย “เจ้าหมอนี่น่าสนใจนัก ครั้งแรกที่เทพหญิงฉีลู่เดินออกจากม้วนภาพวาดได้ตรงไปหาเขาก่อนเลย ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่สำเร็จ ไม่รู้ว่าใครที่ไม่เข้าตาใครกันแน่ แต่สรุปก็คือสุดท้ายแล้วเทพหญิงฉีลู่ก็ติดตามเจ้าสำนักที่มีอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของอุตรกุรุทวีป นังหนูน้อยผู้นี้บังอาจมาแย่งสิทธิ์ของข้าไป หากไม่ได้อยู่ในหุบเขาผีร้าย แต่ไปเจอกับนางที่อื่น ข้าจะต้องประมือกับนางสักครั้งให้จงได้ หากข้าชนะ ฟ้ารู้ดินรู้ ข้ารู้นางรู้ แต่หากข้าแพ้ ไม่จำเป็นต้องให้นางปล่อยข่าว ข้านี่แหละจะป่าวประกาศแก่ใต้หล้า สร้างชื่อเสียงให้นางเอง”

ตู้เหวินซือยิ้มอย่างเข้าใจ

นี่ก็คือนิสัยของเจ้าสำนักพวกเขาแล้ว

ข้าก็ใช้กระบี่แหวกม่านฟ้าได้เหมือนกัน

จู่ๆ จู๋เฉวียนก็เอ่ยขึ้นว่า “ภูเขากระจกวิเศษพินาศอย่างสิ้นเชิงแล้ว การต่อสู้ครานั้นสร้างความครึกโครมไม่ใช่น้อย เพียงแต่ว่าข้าไม่มีหน้าจะไปแอบดู ก็เลยไม่รู้รายละเอียดของเหตุการณ์ คนหนุ่มผู้นั้นน่าจะเป็นอย่างที่เจ้าบอก ก็คือนักฆ่าหยางที่ชื่ออยู่ในอันดับล่างสุด ดูจากท่าทางแล้วเหมือนว่าจะได้โชควาสนาของภูเขากระจกวิเศษไปครองแล้ว ไม่ว่าจะอย่างไร ในเมื่อเขาไม่ได้ก่อเรื่องอยู่ในหุบเขาผีร้ายก็ปล่อยให้เขากลับไปพร้อมสมบัติเถอะ แต่แถบของภูเขาโปลั่วกับภูเขาจีเซียวนั้น เพราะคนหนุ่มที่เข้าเมืองเล็กมา บวกกับบัณฑิตที่ไม่รู้ประวัติความเป็นมาคนหนึ่ง สองคนร่วมมือกัน ถูกพวกเขารื้อค้นเสียจนพลิกคว่ำคะมำหงาย จุ๊ๆ ความสามารถไม่น้อย แผนการก็ยิ่งสูงล้ำ ปั่นหัวเหล่าปีศาจเล่นอยู่ในกำมือ สุดท้ายแล้วเป็นอย่างไร เจ้าลองเดาดูสิ?”

ตู้เหวินซือยิ้มจืดเอ่ยว่า “เจ้าสำนัก เรื่องแบบนี้ข้าจะไปเดาถูกได้อย่างไร”

จู๋เฉวียนกล่าวอย่างระอาใจ “นิสัยนี้ของเจ้าช่างน่าเบื่อเสียจริง ก็ไม่แปลกที่จนถึงทุกวันนี้ยังเป็นชายโสด ไม่ใช่ว่าข้าตำหนิเจ้าหรอกนะ หากเจอกับหวงถิงผู้นั้นอีกครั้ง ชอบนางก็บอกนางไปตามตรง หากนางจะจากไป เจ้าก็รีบคุกเข่าโขกหัวอ้อนวอน ไอ้หน้าตาศักดิ์ศรีพวกนั้นน่ะจะนับเป็นอะไรได้ พอถูกเจ้าหลอกมาอยู่ในมือได้แล้ว ถึงเวลานั้นจะอยู่บนเตียงหรือล่างเตียง ควรจะจัดการกับเมียตัวเองอย่างไรยังต้องให้คนอื่นมาคอยสอนเจ้าอีกหรือ? ข้าไม่เชื่อหรอกว่าต่อให้อยู่ล่างเตียงเจ้าจะสู้นางไม่ได้ แต่อยู่บนเตียงเจ้าจะยัง…ช่างเถิดๆ นับแต่โบราณมายามอยู่บนเตียงบุรุษก็สู้สตรีไม่ได้อยู่แล้ว เฮ้อ เมื่อเป็นอย่างนี้ หากข้าจะดูแคลนเจ้าก็ถือว่าถูกต้องแล้ว เดิมทีข้ายังอยากจะทำตัวเป็นผู้เฒ่าจันทราช่วยร้อยด้ายแดงให้สักครั้ง ตอนนี้ดูแล้วก็อย่าดีกว่า ต้องโทษเจ้านั่นแหละที่ไม่ได้เรื่อง ไหนบอกมาสิว่าทำไมเจ้ายังไม่เลื่อนขั้นเป็นก่อกำเนิดเสียที คลานอยู่ขอบเขตโอสถทองเป็นเต่าไปได้ สนุกนักหรือ? คิดว่าตัวเองเป็นญาติของตะพาบเฒ่าตัวนั้นจริงๆ หรือไร ถ้าคิดอย่างนั้นทำไมเจ้าไม่ไปขอลูกสาวตะพาบเฒ่ามาเป็นเมียเสียเลยเล่า?”

ตู้เหวินซือหน้าแดงก่ำ นึกอยากจะขุดดินแล้วมุดลงไป กล่าวอย่างอับอายจนพานเป็นโกรธ “เจ้าสำนัก!”

“ก็ได้ๆๆ ไม่พูดแทงใจดำเจ้าแล้ว ก็ข้าร้อนใจกับตบะของเจ้านี่นา เวลาปกติพวกเจ้าชอบบอกว่าข้าเป็นเจ้าสำนักที่เกียจคร้าน นี่ข้าก็เพิ่งจะให้ความใส่ใจเจ้าอยู่ไม่ใช่หรือ แล้วดูสิเป็นยังไง เจ้าก็ดันไม่พอใจเสียอีก สรุปแล้วข้าต้องทำอย่างไรกันแน่เล่า”

ตู้เหวินซือเริ่มยื่นมือออกมาขยี้ใบหน้า

จู๋เฉวียนตบไหล่ของตู้เหวินซือ “หักอกหักใจเสียบ้างเถอะ ข้าแนะนำเจ้าว่าควรตัดใจซะ หากหวงถิงผู้นั้นกลับมาที่เมืองชิงหลูของพวกเรา เจ้าก็อย่ามาขอให้ข้าช่วยตีนางให้สลบ แล้วทำเรื่องชั่วๆ ประเภทที่ว่าข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกก็แล้วกัน แม้ว่าข้าจะเป็นเจ้าสำนักของเด็กน้อยอย่างพวกเจ้า แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่พ่อแม่ของพวกเจ้า แต่ว่านะเหวินซือ ถึงอย่างไรข้าก็ถูกชะตากับเจ้ามากกว่าหยางหลินผู้นั้น ไหนเจ้าลองเรียกข้าว่าท่านแม่ดูสิ ไม่แน่ว่าข้าที่เป็นทั้งเจ้าสำนักทั้งมารดาอาจจะเปลี่ยนใจกะทันหันก็ได้”

ขนาดเป็นคนนิสัยดีอย่างตู้เหวินซือก็ยังอดมุมปากกระตุกไปไม่ได้

จู๋เฉวียนหัวเราะร่าเสียงดัง กลั้นอยู่นานก็ยังหยุดหัวเราะไม่ได้ กว่าจะหยุดได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย ผลคือนางพึมพำตามมาอีกประโยคว่า ให้ตายเถอะ มารดาข้าเกือบจะหัวเราะจนปากฉีกเสียแล้ว เดิมทีก็หน้าตาธรรมดา หากปากฉีกอีก แล้วอย่างนี้วันหน้าจะหาหนุ่มน้อยหน้าละอ่อนมาอยู่เคียงข้างได้อย่างไร

ตู้เหวินซือจำต้องเอ่ยเตือนว่า “เจ้าสำนัก พวกเรากลับมาคุยเป็นการเป็นงานกันดีไหม?”

“เรื่องใหญ่ในชีวิตของเจ้าจะไม่เรียกว่าเรื่องเป็นการเป็นงานได้อย่างไร?”

จู๋เฉวียนกระแอมหนึ่งที ก่อนจะพยักหน้าเอ่ยว่า “หลวงจีนเฒ่าแห่งวัดหยวนเยว่ใหญ่และนักพรตของอารามเสวียนตูเล็กต่างก็ออกไปจากป่าท้อแล้ว ส่วนจะไปที่ไหน ข้ายังคงทำตามกฎเดิม นั่นคือไม่ไปสืบเสาะแอบดู แต่เจ้าลองคำนวณดูเถอะ หากบวกกับเจ้าสำนักสาวที่มีเรือหลิวเสียผู้นั้น เทพหญิงฉีลู่ รวมไปถึงเจ้าตะพาบชั่วที่หว่านแหเก็บกระบี่บินไปสองรอบ และยังมีการที่จู่ๆ ผูหรางก็ปรากฏตัว บวกกับท่าทางกระเหี้ยนกระหือรือของนครใหญ่ทั้งหลายที่อยู่ส่วนกลางของหุบเขาผีร้าย เอาทุกอย่างนี้มาเชื่อมโยงกัน เหวินซือ เจ้าคิดว่านี่กำลังบ่งบอกถึงอะไร?”

ตู้เหวินซือส่ายหน้าถอนหายใจ “เจ้าสำนัก ท่านก็รู้ว่าข้าไม่เชี่ยวชาญเรื่องการวางแผน”

จู๋เฉวียนพยักหน้ารับหนักๆ ยกมือขึ้นตบไหล่ตู้เหวินซือจนเขาเซถลาท่าทางคล้ายปลาบปลื้มเป็นอย่างมาก “ดีมาก เหมือนกับเจ้าสำนักอย่างข้าเลย เพราะมองออกแค่ว่าต้องมีเรื่องสนุกเท่านั้น!”

เดินกันไปจนถึงสุดปลายถนน จู๋เฉวียนก็หมุนตัวเดินกลับโรงเตี๊ยมแห่งนั้นไปก่อน

ตู้เหวินซือหมุนตัวตามไป

จู๋เฉวียนไม่เอ่ยอะไรอีก จนกระทั่งไปถึงหน้าประตูโรงเตี๊ยมถึงได้เอ่ยเนิบช้าว่า “เจ้าอยู่ในช่วงเวลาสำคัญที่กำลังจะฝ่าไม่ฝ่าคอขวดของโอสถทอง ดังนั้นต่อจากนี้หากมีการต่อสู้เกิดขึ้น เจ้าก็กลับไปที่ศาลบรรพจารย์ทันที ไม่ต้องมีความลังเลใดๆ อีก คำพูดอย่างอื่นของตาแก่ที่นั่งดื่มเหล้ารับลมอยู่บนเรือข้ามฟากตลอดทั้งปีผู้นั้นล้วนเหลวไหลหาแก่นสารไม่ได้ แต่บางทีอาจมีเพียงประโยคที่ว่าสำนักพีหมาของพวกเราควรจะเปลี่ยนเจ้าสำนักคนใหม่ที่ใช้สมองเป็นที่เขากล่าวได้ถูกต้อง ดังนั้นหากคนอื่นรบตายไป แม้แต่ตัวข้าด้วย ก็ล้วนไม่เป็นไร ความรับผิดชอบเล็กน้อยเพียงเท่านี้ ผู้ฝึกตนสำนักพีหมายังพอจะมีอยู่บ้าง มีเพียงเจ้าตู้เหวินซือคนเดียวเท่านั้นที่ต่อจะให้ตายก็ต้องไม่มาตายอยู่ในหุบเขาผีร้ายที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายสกปรกนี้ ทางที่ดีที่สุดก็ไม่ควรตายอยู่ที่ชายหาดโครงกระดูกด้วย ไปตายอยู่ทางเหนือ และเหนือยิ่งกว่าจึงจะดี”

ตู้เหวินซือส่ายหน้า “เจ้าสำนัก เรื่องนี้ข้าทำไม่ได้ หลบหนียามเจอสงคราม ถอยร่นทั้งที่ยังไม่ได้ต่อสู้ ต่อให้ข้าตู้เหวินซือต้องสละมหามรรคาและชีวิตก็ไม่มีทาง…”

จู๋เฉวียนพลันยกฝ่ามือขึ้นผลักศีรษะของตู้เหวินซือเบาๆ สีหน้าของนางเป็นปกติ น้ำเสียงก็เรียบเฉย “อย่าโง่ ตู้เหวินซือ ข้าจะขอวางมาดเจ้าสำนักพูดความในใจประโยคหนึ่งกับเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย บนโลกใบนี้ อย่างน้อยในสายตาของข้าจู๋เฉวียน ชายชาตรีที่สามารถค้ำฟ้ายันดินได้อย่างแท้จริงนั้น ต้องอดทนกับความยากลำบากอันยิ่งใหญ่ และยิ่งต้องทนรับความอัปยศอันยิ่งใหญ่ได้ ต่อให้เจ้าจะเป็นขุนเขาที่กดทับลงมาบนตัวข้า กระดูกสันหลังของข้าก็ยังคงเหยียดตรงอยู่เสมอ!”

ตู้เหวินซือยืนอยู่ที่เดิม

ส่วนจู๋เฉวียนนั้นเดินหน้าต่อไปอย่างเชื่องช้า

……

บนหัวกำแพงเมืองของนครจิงกวานอันเป็นนครที่สูงตระหง่านเสียดแทงทะลุชั้นเมฆ

บุรุษวัยกลางคนที่รูปโฉมประดุจต้นไม้หยกรับลมคนหนึ่งกำลังเดินทอดน่องอย่างผ่อนคลาย

ห่างออกไปไกลมีสตรีสองคนกับหนึ่งโครงกระดูกขาวยืนอยู่บนทางเดินม้า ทอดสายตามองไปทางทิศใต้ด้วยกัน

เฮ้อเสี่ยวเหลียงเจ้าสำนักลัทธิเต๋า เทพหญิงฉีลู่ และยังมีเจ้านครของนครแห่งนี้ เกาเฉิงเจ้านครจิงกวาน วิญญาณหยินที่แข็งแกร่งที่สุดในประวัติศาสตร์ของชายหาดโครงกระดูกและหุบเขาผีร้าย เมื่อนั่งบัญชาการณ์อยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้ เขาก็แทบจะสามารถทัดเทียมได้กับผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหรินที่เชี่ยวชาญการเข่นฆ่าคนหนึ่ง

แต่ภูมิหลังตอนที่เกาเฉิงยังมีชีวิตอยู่นั้นกลับไม่มีบันทึกไว้ในตำราประวัติศาสตร์ของคนรุ่นหลังเลยแม้แต่น้อย

ไม่ใช่ว่าสำนักประวัติศาสตร์และผู้ฝึกตนบนภูเขาไม่อยากสืบสาวไปถึงต้นกำเนิดของเขา แต่เป็นเพราะไม่สามารถหาบันทึกใดๆ จากในเอกสารคดีของสองราชวงศ์ใหญ่และแคว้นใต้อาณัติสิบกว่าแห่งเจอจริงๆ ไม่มีเลยสักประโยคเดียว มีเพียงในทะเบียนราษฎร์ระดับล่างสุดของกรมกลาโหมแคว้นหนึ่งเท่านั้นที่มีชื่อเกาเฉิงบันทึกไว้ เพียงแค่นี้เท่านั้น

พลทหารราบเกาเฉิง

ราวกับว่าผีที่ปีนั้นหยัดยืนขึ้นมาท่ามกลางกองกระดูกขาวโพลนเกือบล้านโครงบนชายหาดโครงกระดูก เคยเป็นแค่ทหารน้อยไร้ชื่อแซ่ที่นอนอยู่ท่ามกลางกองคนตายบนสนามรบจริงๆ

ราวกับว่าหลังจากที่ปีนั้นเขาหยัดยืนขึ้นด้วยรูปลักษณ์ของผีโครงกระดูก ก็ถึงเพิ่งจะเริ่มลุกผงาดขึ้นมาทีละก้าว

เกาเฉิงตัวไม่สูง ยังคงปรากฏกายบนโลกในลักษณะของโครงกระดูกผอมแห้งสีขาวหิมะ เขาสวมเสื้อเกราะเหล็กผุพังที่ธรรมดาที่สุด ดาบที่พกไว้ตรงเอวก็ยิ่งเป็นของธรรมดาทั่วไป

เกาเฉิงถาม “เฮ้อเสี่ยวเหลียง หลังจากที่เจ้ามาถึงนครจิงกวานของข้าแล้วก็พูดแค่ว่าขอดูหน่อย แล้วตอนนี้ดูเสร็จหรือยัง?”

นักพรตหญิงที่สวมชุดคลุมลัทธิเต๋า บนศีรษะสวมกวานดอกบัวยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “นี่ท่านเจ้านครจะไล่คนแล้วหรือ?”

เกาเฉิงกล่าว “จะให้เวลาเจ้าอีกสามวัน หากยังไม่ไป จะไม่ใช่ไล่คน แต่เป็นฆ่าคนแล้ว”

เทพหญิงฉีลู่ที่อยู่ด้านข้างรู้สึกอกสั่นขวัญผวาเล็กน้อย

ปราณดุร้ายในนครจิงกวานเข้มข้นเกินไป กวางเทพห้าสีที่เป็นสิ่งมีชีวิตมีสติปัญญาซึ่งถือกำเนิดมาจากโชคชะตาฟ้าดินตัวนั้นไม่อาจทนรับการกัดกินจากปราณพวกนี้ได้มากที่สุด จึงถูกนางเก็บไปนานแล้ว

เทพหญิงท่านนี้ไม่สงสัยในคำพูดของเจ้านครผู้นั้นแม้แต่น้อย นี่ต้องไม่ใช่แค่คำขู่อย่างแน่นอน

เฮ้อเสี่ยวเหลียงยิ้มบางเอ่ยว่า “สามวันก็สามวัน เมื่อถึงเวลา ข้าต้องไปจากนครจิงกวานอย่างแน่นอน”

เกาเฉิงชำเลืองตามอง ‘โจวเฝย’ ที่เดินอยู่บนหัวกำแพงผู้นั้น “เจียงซ่างเจินผู้นี้ ทางที่ดีที่สุดอย่าให้เขาโดยสารเรือหลิวเสียของเจ้าจากไป ไม่อย่างนั้นข้ากลัวว่าข้าจะอดชักดาบไม่ไหว”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงไม่ยอมรับและไม่ปฏิเสธ

เกาเฉิงเดินลงไปจากหัวกำแพงเมือง

เจียงซ่างเจินเดินกลับมาหยุดอยู่ใกล้เฮ้อเสี่ยวเหลียงและเทพหญิงฉีลู่ เขากระโดดลงมาจากหัวกำแพง ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ขอแค่เจ้าสำนักเฮ้อยังคงไม่พูดอะไร ไม่ทำอะไร เพียงแค่มองดูเฉยๆ อยู่เหมือนเดิมจริงๆ ถึงเวลานั้นไม่พาข้ากลับไปด้วยก็ไม่มีปัญหา อย่างมากข้าก็แค่ถูกเกาเฉิงผู้นี้รั้งตัวไว้ในนครจิงกวาน พวกสาวงามโครงกระดูกขาวเหล่านั้นก็มีรสชาติต่างไปอีกแบบ”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงใช้เสียงในใจเอ่ยถาม “เจ้าคิดว่าหุบเขาผีร้ายแห่งนี้ขาดอะไรมากที่สุด”

เจียงซ่างเจินฟุบตัวนอนคว่ำอยู่บนหัวกำแพง เอามือนวดก้นตัวเอง ใช้เสียงในใจตอบกลับไปอย่างเกียจคร้าน “แน่นอนว่าต้องเป็นคนมีชีวิต อันที่จริงปราณวิญญาณในฟ้าดินขนาดเล็กไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลงสักเท่าไหร่ ต่อให้เปลี่ยนก็ไม่เปลี่ยนไปยังไง ต่อสู้เอาเป็นเอาตายกันมาหลายปีขนาดนี้ก็หนีไม่พ้นถูกเกาเฉิงเอาไปฝากไว้บนร่างของพวกคนอย่างผูหราง แต่คนมีชีวิตที่มีปราณหยางนั้นมีน้อยเกินไปจริงๆ พื้นที่ฮวงจุ้ยพิเศษอย่างนครถงโช่วแห่งนั้นก็ถูกเมืองชิงหลูและจู๋เฉวียนจับตามองเขม็ง วางท่าอย่างชัดเจนแล้วว่าหากเจ้าเกาเฉิงกล้าไปแย่งชิงคนมา นางก็กล้าจะเปิดสงครามครั้งใหญ่ให้แตกหักกันไป”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงยิ้มน้อยๆ เอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นหากเกาเฉิงสามารถสร้างวัฎจักรสังสารขึ้นมาได้ด้วยตัวเองเล่า? ทำให้เทพและเซียนมากมายในหุบเขาผีร้ายไม่อาจรวบรวมปราณหยินของดวงวิญญาณทั้งหลายที่กระจัดกระจายมาได้อีก และพวกดวงวิญญาณก็สามารถกลับไปจุติใหม่เกิดเป็นมนุษย์อยู่ในหุบเขาผีร้าย? ร้อยปีให้หลัง หยินหยางเท่าเทียม หุบเขาผีร้ายสามารถกระโดดขึ้นบันไดไปได้อีกสองขั้นใหญ่ หรืออาจถึงขั้นเรียกได้ว่ากลายเป็นฟ้าดินแห่งใหม่ กลายมาเป็นสถานที่วิเศษที่มีทั้งถ้ำสวรรค์และพื้นที่มงคลอยู่ด้วยกัน เช่นนั้นจะเป็นอย่างไร?”

แรกเริ่มเจียงซ่างเจินมีสีหน้าเคร่งเครียด ทว่าไม่นานก็ส่ายหน้าอย่างโล่งอก “ตบะของเกาเฉิงสูง อยู่ในหุบเขาผีร้าย ขนาดข้าก็ยังสู้ไม่ได้ ข้อนี้ข้าพอจะฝืนยอมรับได้ ขนาดมังกรผู้แข็งแกร่งก็ยังมิอาจกดหัวงูเจ้าถิ่นนี่นะ แต่หากจะบอกว่าเกาเฉิงได้รับวิชาลับต้องห้ามของยุคบรรพกาลอันห่างไกลมาวิชาหนึ่ง รู้วิชาการจุติกลับมาเกิด แต่เพียงแค่ไม่อาจควบคุมได้ ข้าเจียงซ่างเจิน…ก็สามารถฝืนใจยอมรับได้ แต่หากจะบอกว่าเจ้านครจิงกวานท่านนี้มีวัตถุอาคมสูงส่งไร้ทัดเทียมที่สามารถแบกรับผลกรรมของฟ้าดินประเภทนี้อยู่ในมือพอดี สามารถสร้างอาณาเขตที่เหมือนกับนครเฟิงตู (เมืองผี/เมืองคนตาย) ขึ้นมาในหุบเขาผีร้ายที่ยังเป็นโลกคนเป็นแห่งนี้ได้ ตีให้ตายข้าก็ไม่เชื่อ!”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงยังคงยิ้มอ่อนๆ อยู่ดังเดิม “ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็มาลองตั้งตารอดูกันดีไหม?”

สีหน้าของเจียงซ่างเจินมืดทะมึน

นี่เป็นครั้งแรกที่อารมณ์ของเขาหนักอึ้ง

เฮ้อเสี่ยวเหลียงพลันยิ้มกล่าว “เจียงซ่างเจิน อันที่จริงเจ้าเดาผิดไปเรื่องหนึ่ง”

เจียงซ่างเจินกลับมามีรอยยิ้มอีกครั้ง “ขอเจ้าสำนักเฮ้อโปรดบอก”

แต่เฮ้อเสี่ยวเหลียงกลับไม่พูดอะไรอีก

สีหน้าของนางซับซ้อน

เจียงซ่างเจินเริ่มอนุมานอยู่ในใจเงียบๆ

น่าเสียดายก็แต่ยังมีปริศนาอีกสองจุดที่ยังไม่สามารถไขได้กระจ่าง นี่จะเป็นปัญหาอย่างมาก

ในความเป็นจริงแล้ว พลาดไปนิดเดียวก็อาจผิดไปเป็นโยชน์

เพราะนักพรตเต๋าอารามเสวียนตูเล็กและภิกษุเฒ่าวัดหยวนเยว่ใหญ่เคยทยอยกันออกไปจากป่าท้อจริง ต่างคนต่างก็ร่ายใช้วิชาอภินิหารที่สามารถบดบังเจตนารมณ์สวรรค์

คนหนึ่งมาปรากฏตัวอยู่ที่ริมหน้าผาทางทิศใต้ที่ตอนนี้มีสะพานเหล็กเส้นหนึ่งห้อยอยู่ ยืนอยู่ตรงนั้นตลอดทั้งคืน

คนหนึ่งมาปรากฎตัวอยู่ริมลำคลองหมายเหอที่ใกล้กับศาลเทพวารี เพียงแต่เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ภิกษุเฒ่าค่อนข้างจะไปมาอย่างรีบร้อน

ทว่าหลังจากที่เฉินผิงอันมาถึงเมืองชิงหลูแล้วก็ไม่อาจตรวจสอบมองดูได้อีก เจียงซ่างเจินเป็นเช่นนี้ คาดว่าเฮ้อเสี่ยวเหลียงก็คงไม่ใช่ข้อยกเว้น ส่วนเกาเฉิงผู้นั้นกลับบอกได้ยาก

……

ทางฝั่งของโรงเตี๊ยมที่เมืองชิงหลู แม้เฉินผิงอันจะอยู่ในสภาวะที่จิตใจไม่สงบสุขซึ่งดำรงอยู่ค่อนข้างยาวนาน แต่ก็พอจะฝืนข่มกลั้นอารมณ์ให้สงบลงได้บ้าง เพราะคิดจะวาดยันต์ย่อพื้นที่กระดาษสีทองสองแผ่นในยามค่ำคืน

เพียงแต่ว่าพอยกพู่กันขึ้นมาถึงได้ค้นพบว่าตนเองไม่อาจขยับพู่กันได้เสียที เพราะเขารู้ดีอยู่แก่ใจว่าหากฝืนจรดพู่กันลงไปบนกระดาษสีทองนี้ เขาก็คงวาดยันต์ออกมาไม่ได้ หากเป็นกระดาษยันต์ธรรมดาทั่วไป บางทีอาจจะยังทำได้

เฉินผิงอันวางพู่กันลง ลุกขึ้นยืนฝึกท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูหนึ่งชั่วยาม แต่กระนั้นก็ยังไม่อาจสงบใจได้อย่างแท้จริง

จึงผลักประตูเปิดออก ไปเดินเที่ยวรอบเมืองชิงหลูตอนกลางคืน พอกลับมาถึงห้องในโรงเตี๊ยมก็หยิบแผ่นไม้ไผ่บางส่วนออกมา พลิกกลับไปกลับมาท่ามกลางแสงตะเกียง อ่านอยู่นานมาก

แล้วเฉินผิงอันก็ต้องนั่งเสียเวลาเฝ้าตะเกียงไปอย่างนี้ตลอดทั้งคืน

ยามฟ้าสาง เฉินผิงอันสวมหน้ากาก สะพายห่อสัมภาระ ไปที่เมืองถงโช่วอีกครั้ง ไม่ได้เจอกับผีผู้บัญชาการณ์คนเฝ้าประตูที่คุ้นหน้าคุ้นตาก็อดเสียดายนิดๆ ไม่ได้

ไปถึงตรอกผงทอง ที่นั่นก็เพิ่งจะเปิดร้านพอดี เถ้าแก่ผีสาวอึ้งตะลึงอยู่นาน ก่อนจะบอกให้ผีเด็กชายที่ในมือมีกระดิ่งเงินไปตาม ‘เจ้าของตรอก’ มา ผีน้อยฉลาดเฉลียวมากจริงๆ เพียงแค่พยักหน้ารับ ไม่พูดไม่จาก็ไปหาแม่ทัพเทพทวารบาลที่ประตูวังทางทิศเหนือทันที และไม่นานถังจิ่นซิ่วก็หิ้วมันกลับมาที่ตรอกผงทองด้วยกัน เข้ามาในร้าน ถังจิ่นซิ่วก็เห็นว่าบนโต๊ะคิดเงินวางของไว้เต็มแน่นแล้ว

ถังจิ่นซิ่วยิ้มกล่าว “เซียนซือผู้เฒ่า มาอีกแล้วหรือ? เหตุใดหุบเขาผีร้ายของพวกเราถึงได้มีสมบัติกลาดเกลื่อนขนาดนี้นะ แค่ตามเก็บคืนเดียวก็ได้กลับมาเต็มถุงแบบนี้แล้วหรือ?”

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ก็นั่นน่ะสิ เป็นสถานที่ที่ดีจริงๆ”

ถังจิ่นซิ่วบื้อใบ้พูดต่อไม่ถูก จากนั้นทั้งสองฝ่ายก็เริ่มทำการค้าขายตามกติกาเดิม

เพียงแต่ว่าสิ่งของที่อยู่ในห่อผ้าครั้งนี้ ถังจิ่นซิ่วตรวจดูรอบหนึ่งแล้วกลับซื้อมาแค่สองชิ้น ให้เงินสองเหรียญเงินร้อนน้อย

ไม่ใช่ว่านางขี้เหนียวเงินเทพเซียน แต่เพราะเป็นเช่นนี้จริงๆ หากไม่ใช่เพราะเห็นแก่สถานะ ‘เซียนกระบี่หนุ่ม’ ของอีกฝ่าย จ่ายด้วยเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญก็ถือว่านางไม่รังแกเด็กและคนชราแล้ว

เฉินผิงอันเก็บเงินแล้วก็ออกมาจากนครถงโช่ว

แล้วก็ไม่ได้รู้สึกว่ามาเสียเที่ยวด้วย

เงินร้อนน้อยสองเหรียญ ถือว่าไม่น้อยแล้ว

กลับมาถึงเมืองชิงหลู เฉินผิงอันก็ฝึกท่าฟ้าดินอยู่ในห้องของโรงเตี๊ยมต่อ

เขาคิดว่านอกจากฝึกเดินแล้วก็จะต้องฝึกกระบวนท่าหมัดที่ท่วงท่าแปลกประหลาดนี้ให้ครบหนึ่งล้านครั้งด้วย

วันนี้กินข้าวไปแค่มื้อเดียว ยามสนธยาก็ไปซื้อเหล้าหนึ่งกาที่เหลาสุรา ลูกค้าในร้านบางตา เฉินผิงอันนั่งดื่มเหล้าอยู่ที่นั่นจนหมด พร้อมกับกินกับแกล้มไปหนึ่งจาน

แต่กระนั้นก็ยังไม่อาจวาดยันต์ได้ตลอดทั้งคืน เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับวันก่อนก็ถือว่าดีขึ้นมากแล้ว ครึ่งคืนหลังเฉินผิงอันไม่ฝึกท่าฟ้าดินอีก แต่ไปนอนบนเตียง หลับตาพักผ่อน คิดถึงเรื่องราวในอดีตมากมาย คิดไปคิดมา กาลเวลาก็ยิ่งถอยกลับไปในอดีต จนกระทั่งไปถึงตอนเป็นเด็กที่ขึ้นไปเก็บสมุนไพรบนภูเขาครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ เฉินผิงอันถึงได้หลับสนิทไป

ข้าก็ใช้กระบี่แหวกม่านฟ้าได้เหมือนกัน

หลังจากฟ้าสาง เฉินผิงอันก็พลันตื่นขึ้นมา รู้สึกเพียงว่าสดชื่นปลอดโปร่ง เลือกเอาสิ่งของใส่ห่อผ้าใบใหม่แล้วเดินทางไปเยือนนครถงโช่วอีกครั้ง คราวนี้ในที่สุดก็ได้เจอกับผีผู้บัญชาการณ์คนนั้นเสียที เฉินผิงอันร้อนใจยิ่งกว่าอีกฝ่ายเสียอีก เขารีบโยนเงินเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่งออกไป และภายใต้การนำของแม่ทัพผีคนเฝ้าประตู ก็ได้ยินคำพูดมงคลที่บอกว่าขอให้ ‘เงินทองไหลมาเทมา’ อีกครั้ง เฉินผิงอันตรงดิ่งไปที่ตรอกผงทองทันใด คราวนี้ถังจิ่นซิ่วมารออยู่ที่หน้าประตูร้านก่อนแล้ว

พอเห็นเฉินผิงอัน นางก็ยิ้มกล่าวว่า “เซียนซือผู้เฒ่า ท่านช่วยบอกข้าให้แน่ใจทีเถอะว่า วันพรุ่งนี้จะยังมาอีกหรือไม่ หากยังมา วันนี้ข้าจะได้ปูผ้านอนอยู่ในร้าน!”

เฉินผิงอันพูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “หลังจากวันนี้ไปคงยังไม่มีสมบัติอะไรมาขายอีกชั่วคราวแล้วจริงๆ ต้องโทษข้า เมื่อคืนวานดื่มเหล้าเข้าไป พอหัวถึงหมอนก็หลับทันที นี่ถึงทำให้ตอนกลางคืนข้าไม่ได้ออกจากโรงเตี๊ยมไปหาเก็บของดีอย่างไรล่ะ คำกล่าวที่ว่าความเมานำพาความผิดพลาดก็หนีไม่พ้นเช่นนี้เอง”

วันนี้หลังจากถังจิ่นซิ่วตรวจดูของทุกชิ้นเสร็จแล้วก็เลือกออกมาหกชิ้น ให้เงินห้าเหรียญร้อนน้อย

แม้ว่าจะไม่อาจเทียบได้กับวันแรก แต่เมื่อเปรียบกับเมื่อวานที่ทั้งสองฝ่ายได้แต่จ้องตากันไปมาอยู่ในร้าน สภาพการณ์ชวนกระอักกระอ่วนที่คนหนึ่งสายตาสอบถามว่าจะไม่ซื้อจริงๆ หรือ? ส่วนอีกคนหนึ่งสายตาตอบกลับครั้งแล้วครั้งเล่าว่าข้าซื้อไม่ลงจริงๆ แล้วล่ะก็ การค้าขายของสองฝ่ายในวันนี้ก็เรียกได้ว่าชื่นมื่นกว่ามากนัก

เฉินผิงอันเก็บเงินร้อนน้อยและห่อผ้าไปแล้ว ถังจิ่นซิ่วที่เดินมาส่งเขาหน้าประตูก็พูดสัพยอกว่า “เซียนซือผู้เฒ่า พรุ่งนี้ไม่มาอีกจริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันจับประคองงอบ หันหน้ามายิ้มให้นาง “พรุ่งนี้เหนียงเนียงเสนาบดีนอนหลับให้สบายใจเถิด”

ถังจิ่นซิ่วอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มกล่าว “ตกลง”

เฉินผิงอันคิดแล้วก็ยังคงหันตัวกลับมา กุมหมัดเอ่ยลา “รบกวนแล้ว”

ถังจิ่นซิ่วเองก็ยอบกายคารวะกลับ พูดพร้อมยิ้มหวาน “ผู้อาวุโสเซียนกระบี่เดินทางปลอดภัย หากมีเวลาว่างก็เชิญมาอีก”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ

จู่ๆ ถังจิ่นซิ่วก็อดกลั้นไม่ไหว ยิ้มเอ่ยว่า “เซียนกระบี่ท่านนี้ วันหน้าอย่าได้บุกไปกวาดค้นสิ่งของในห้องหับของสตรีอีกเลย จะเป็นการลดสถานะตัวเองเสียเปล่าๆ”

คราวนี้เฉินผิงอันไม่ได้หันกลับมา เพียงสาวเท้าเร็วๆ ก้าวจากไป

ถังจิ่นซิ่วเอามือหนึ่งกุมท้อง อีกมือหนึ่งปิดปาก ถึงอย่างไรนางก็ไม่กล้าส่งเสียงหัวเราะออกมา นางกลัวว่าเซียนกระบี่หนุ่มที่ทั้งหน้าหนาและหน้าบางในเวลาเดียวกันผู้นั้นจะปล่อยกระบี่บินใส่ตน

ตอนที่เฉินผิงอันเดินออกจากประตูเมืองก็ไม่ลืมมอบเงินเกล็ดหิมะอีกหนึ่งเหรียญให้กับผู้บัญชาการณ์ที่เฝ้าประตูคนนั้น เขาเดินออกจากประตูเมืองมาได้ไม่กี่ก้าว อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็หยุดฝีเท้า หันหน้ากลับไปมองพลางพึมพำกับตัวเอง จากนั้นก็ควักเอาเงินเทพเซียนอีกเหรียญออกมาแล้วโยนให้อีกฝ่ายอย่างไม่ลังเล คราวนี้ไม่ใช่เงินเกล็ดหิมะอะไรแล้ว แต่เป็นเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญ เฉินผิงอันพูดกลั้วหัวเราะเสียงกังวานว่า “ท่านแม่ทัพสามารถเอาเงินนี้ไปเลี้ยงสุราที่ดีที่สุดในนครแก่เหล่าพี่น้องได้”

ผีผู้บัญชาการณ์ตนนั้นรู้สึกเหมือนกำลังฝันไป หันกลับมามองเงินร้อนน้อยที่อยู่ในมือเหรียญนั้นซ้ำหลายรอบ จากนั้นก็ฉีกปากกว้างหัวเราะเสียงดัง “ประเสริฐยิ่งนัก! ในนครถงโช่วของพวกเรา เจ้าของสิ่งนี้คือบรรพบุรุษของเงินเทพเซียนอย่างแท้จริง มีค่ามากกว่าสิ่งใดทั้งนั้น!”

ระหว่างทางที่เฉินผิงอันย้อนกลับไปเมืองชิงหลู ด้วยอยู่ว่างไม่มีอะไรทำก็เลยเริ่มเดินนิ่งหกก้าว เพราะถึงอย่างไรท่าฟ้าดินนั้นก็แปลกประหลาดเกินไป

ยิ่งเดินนิ่ง จิตใจก็ยิ่งสงบ

โดยไม่ทันรู้ตัวเฉินผิงอันก็มาถึงเมืองชิงหลูแล้ว เขาหัวเราะกับตัวเอง แล้วเดินนิ่งหกก้าวต่อไปจนถึงโรงเตี๊ยม เพราะเหลือระยะทางอีกแค่ไม่กี่ก้าวแล้ว

ไปถึงห้องในโรงเตี๊ยมก็เก็บห่อผ้าเข้าไปไว้ในวัตถุจื่อชื่อ

ร้านผ้าห่อบุญในหุบเขาผีร้ายนี้ นับว่าทำได้พอสมควรแล้ว

พอนึกถึงเงินร้อนน้อยเหรียญสุดท้ายที่มอบให้ไป เฉินผิงอันก็สูดลมหายใจเข้าลึก

เฉินผิงอันนั่งอยู่ข้างโต๊ะ สูดหายใจเข้าลึกอีกครั้งราวกับว่าตัดสินใจจะทำบางอย่างได้อย่างเด็ดขาดแล้ว จึงไม่เหลือความคิดวุ่นวายอื่นใด ครั้นจึงหยิบพู่กันหมึกและกระดาษยันต์สีทองสองแผ่นออกมาจากวัตถุฟางชุ่นอีกครั้ง เริ่มเขียนยันต์ย่อพื้นที่

เขียนเสร็จในรวดเดียว

หลังจากพักผ่อนครู่หนึ่งก็สะบัดข้อมือ ลุกขึ้นเดินนิ่งหกก้าวอยู่ในห้องต่อ พอนั่งลงก็เขียนยันต์ย่อพื้นที่แผ่นที่สองอีกครั้งในรวดเดียว

เมื่อเขียนยันต์ย่อพื้นที่ทั้งสองแผ่นเสร็จก็เก็บเข้าไปไว้ในชายแขนเสื้ออย่างระมัดระวัง

เฉินผิงอันหลับตาลง เริ่มทบทวนประสบการณ์ทั้งหมดนับตั้งแต่ที่ตนเข้ามาในหุบเขาผีร้ายอย่างรวดเร็วหนึ่งรอบ

ตั้งแต่ซุ้มประตูหินที่ตนเดินผ่านมาพร้อมกับพวกกลุ่มของหยวนเซวียนศาลซานหลางและคู่บำเพ็ญตนคู่นั้น มาจนถึงสันเขาอีกา ภูเขากระจกวิเศษ ป่าท้อ ภูเขาโปลั่ว…สุดท้ายคือที่ริมตลิ่งลำคลองเฮยเหอ

หลวงจีนผู้นั้นเคยกล่าวว่า กลับใจคือฝั่ง

ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่หน้าประตูเมือง อยู่ดีๆ เฉินผิงอันก็นึกถึงสี่คำนี้ขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ แล้วถึงได้มอบเงินร้อนน้อยเหรียญนั้นออกไป

หลังจากลืมตาขึ้น เฉินผิงอันก็หรี่ตาลงเล็กน้อย ครู่หนึ่งต่อมาก็หยิบสิ่งของใหม่ๆ จากในวัตถุจื่อชื่อมาใส่ไว้ในห่อผ้า ยกตัวอย่างเช่นภาพเทพเซียนตีกันหลายแผ่นที่อยู่ในห้องของปี้สู่เหนียงเนียง รวมไปถึงแส้ไม้ไผ่สีทองห้าเส้นนั้น!

พอออกจากโรงเตี๊ยม เฉินผิงอันไม่ได้ตรงดิ่งไปที่เมืองถงโช่ว แต่ไปที่ร้านเหล้าในเมืองเล็ก สั่งเหล้ามาดื่มอีกหนึ่งถ้วย

ตอนที่ผู้เฒ่าซึ่งเป็นเถ้าแก่ร้านนำถ้วยเหล้ามาวางไว้บนโต๊ะก็อดไม่ไหวเอ่ยว่า “เซียนกระบี่น้อยท่านนี้ ทำไมหรือ เพิ่งจะทำการค้าที่เมืองถงโช่วเสร็จก็จะกลับไปหาเงินอีกแล้วหรือ?”

เฉินผิงอันยิ้มบางเอ่ยว่า “เงินเทพเซียนไม่มีขา อยู่ในกระเป๋าของคนอื่นก็ยิ่งไม่มีทางย้ายรัง ก็ได้แต่ต้องวิ่งไปวิ่งมาด้วยตัวเองแล้ว”

ก่อนหน้านี้ผู้เฒ่าเถ้าแก่ร้านเคยรับรองคนผู้นี้มาก่อนแล้ว ดังนั้นจึงรู้ว่าเซียนกระบี่หนุ่มตรงหน้าผู้นี้ยังมีโฉมหน้าอีกอย่างหนึ่ง จึงเอ่ยสัพยอกว่า “ได้พบกับถังจิ่นซิ่วน้องสาวเจ้านครถังหรือยัง? หากอยากจะได้เงินมาจากนางมากๆ ข้าก็แนะนำเจ้าว่าอย่าสวมหน้ากากคนแก่นี่เลย”

เฉินผิงอันดื่มเหล้าหนึ่งอึกแล้วพูดล้อเล่นว่า “อย่าดีกว่า ไม่อย่างนั้นหากนางถูกใจขึ้นมาจะไม่กลายเป็นปัญหาหรอกหรือ”

เถ้าแก่ผู้เฒ่าหัวเราะร่าอย่างชอบใจ “ก็จริงนะ”

ผู้เฒ่าเห็นว่าเฉินผิงอันยังคงค่อยๆ จิบเหล้าคำเล็กอยู่อย่างนั้นจึงถามอีกว่า “เจ้าเป็นถึงเซียนกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่ แต่กลับไปทำตัวเป็นร้านผ้าห่อบุญเหมือนพวกผู้ฝึกตนอิสระที่เมืองถงโช่วมากี่รอบแล้ว? ไม่กลัวว่ากลิ่นสาบทองแดงจะติดตัวหรือไร?” (ถงโช่วคือกลิ่นเหม็นของทองแดง บนร่างเหม็นกลิ่นทองแดงจึงเปรียบเปรยถึงการกระทำของคนที่เห็นแก่ผลประโยชน์ เห็นแก่เงินอย่างเดียว)

เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ครั้งนี้น่าจะได้มาเยอะหน่อย หลายครั้งก่อนหน้านั้นก็แค่อุ่นมือ ลองหยั่งเชิงดูรสนิยมของนางก็เท่านั้น”

เฉินผิงอันดื่มเหล้าหมดแล้วก็ตรงไปที่นครถงโช่ว ผลกลับกลายเป็นว่าแม่ทัพผีผู้นั้นไม่ได้อยู่ที่หน้าประตู

เฉินผิงอันคล้ายจะผิดหวังอย่างมาก ถามทหารผีคนหนึ่งที่เฝ้าหน้าประตูว่าแม่ทัพคนนั้นไปไหน พลทหารผีจึงบ่นให้ฟังว่า “เรียนเซียนซือผู้เฒ่า ก็เพราะว่าท่านมอบเงินเกล็ดหิมะให้เขาใช่ไหมล่ะ ใต้เท้าแม่ทัพก็เลยไปหาความสำราญที่ตรอกบุตรสาวแล้ว พวกเราต้องทำหน้าที่ ก็เลยไม่ได้ดื่มเหล้ากับเขาเลย”

เฉินผิงอันทำสีหน้าพูดไม่ออก ทอดถอนใจหนึ่งครั้ง หมุนตัวได้ก็เดินจากไปทันที แต่จากนั้นก็หันกลับมาอีกครั้ง โยนเงินเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่งให้พลทหารผีผู้นั้นพลางกำชับว่า “จำไว้ว่าไปบอกแม่ทัพของพวกเจ้าสักคำว่าพรุ่งนี้ข้าจะยังกลับมาที่นครถงโช่วของพวกเจ้าอีก เขาต้องอยู่ด้วยนะ”

พลทหารผีรับเงินไปแล้วก็ดีใจเป็นกำลัง รีบพยักหน้าค้อมเอว พูดเสียงดังว่า “เซียนซือผู้เฒ่าวางใจได้เลย พรุ่งนี้ต่อให้ต้องจับท่านแม่ทัพมัด ข้าน้อยก็จะพาเขามาให้ได้”

เฉินผิงอันกลับไปถึงโรงเตี๊ยมเมืองชิงหลูแล้วก็ปิดประตูไม่ออกไปไหนอีก

……

นครจิงกวานทางทิศเหนือของหุบเขาผีร้าย เกาเฉิงเจ้านครที่นั่งอยู่บนบัลลังก์กระดูกขาวตัวสูงค่อยๆ หุบฝ่ามือเข้าด้วยกัน หลังจากที่คนหนุ่มผู้นั้นไม่ได้พบกับผีเฝ้าหน้าประตูที่เป็นดั่งดาวนำโชคของเขาก็หวนกลับไปที่เมืองชิงหลูด้วยความผิดหวัง ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้เจ้านครจิงกวานคลี่ยิ้มหยัน

เวลานี้เกาเฉิงไม่ได้อยู่ในสภาพของโครงกระดูกขาวโพลนอีกต่อไป แต่กลับคืนมามีสภาพเหมือนตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ เพียงแต่ว่ารูปโฉมของเขาก็ยังคงธรรมดาสามัญ

พรุ่งนี้จะไปที่นครถงโช่วอีก?

เกาเฉิงหวนนึกถึงน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ที่คนหนุ่มห้อยไว้ตรงเอว

เขากดด้ามดาบเบาๆ แล้วเริ่มรอคอยให้สตรีเจ้าสำนักผู้นั้นจากไป

ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมืองชิงหลูนี้ เกาเฉิงสามารถมองดูได้บางส่วน หรือควรจะพูดได้ว่าสามารถมองดูได้สองจุด แต่ทุกครั้งที่ลอบแอบมองจำเป็นต้องระมัดระวังแล้วระมัดระวังอีก หนึ่งเพราะหากว่ากันตามความหมายที่เข้มงวดแล้ว อันที่จริงเมืองชิงหลูไม่ถือว่าเป็นของฟ้าดินขนาดเล็กอย่างหุบเขาผีร้ายนี้ สองเพราะมีจู๋เฉวียนคอยจับตามองดูอยู่ อีกทั้งนางยังมีสมบัติหนักชิ้นหนึ่งของสำนักพีหมาคอยช่วยคุมหลังให้ ดังนั้นเมื่อร่ายใช้วิชาอภินิหารมองภาพเหตุการณ์ผ่านฝ่ามือ ภาพที่เห็นจึงค่อนข้างจะพร่าเลือนและติดๆ ขัดๆ ได้แค่พอมองเห็นภาพรวมคร่าวๆ อย่างถูไถเท่านั้น

แต่ต่อให้หมากสองตัวนั้นจะเปิดเผยร่องรอยของตนเองด้วยสาเหตุนี้ก็ยังถือว่าคุ้มค่าอย่างยิ่ง

อันที่จริงเกาเฉิงหวังให้คนหนุ่มผู้นั้นเดินออกไปจากเมืองชิงหลูแล้วขึ้นเหนือมาอีกหน่อย

และดูจากท่าทางแล้ว ไอ้หมอนั่นต้องเดินทางขึ้นมาทางเหนือต่ออย่างแน่นอน

ตอนนี้ก็ได้แค่รอให้นักพรตหญิงแซ่เฮ้อผู้นั้นไปจากหุบเขาผีร้ายก็พอ

นางอยู่ในนครจิงกวาน

บวกกับเจ้าเจียงซ่างเจินที่ชื่อเสียงเหม็นโฉ่ระบือไกลผู้นั้น

สถานการณ์จะเปลี่ยนมาเป็นซับซ้อนอย่างยิ่ง

เกาเฉิงหลับตาลง มือสองข้างวางลงบนพนักวางแขนบัลลังก์ที่เป็นศีรษะของฮ่องเต้สิ้นชาติสองคนเบาๆ

ม่านรัตติกาลเยื้องกรายมาเยือน

เรือหลิวเสียค่อยๆ ลอยขึ้นกลางอากาศ

เกาเฉิงลุกขึ้นยืน พริบตาเดียวก็มาอยู่บนเรือวิเศษลำนั้น

เฮ้อเสี่ยวเหลียงมองเจ้านครจิงกวานท่านนี้ด้วยสีหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง

เกาเฉิงพลันเข้าใจความจริงข้อหนึ่งที่เดิมทีพร่าเลือนขึ้นมาได้ จึงระเบิดเสียงหัวเราะดังลั่น ใช้หมัดทุบอก พูดเสียงทุ้มหนักว่า “แม้จะไม่รู้ว่าเหตุใดเจ้าถึงทำเช่นนี้ แต่ข้าก็ไม่สนใจวิธีการที่วกวนอ้อมไปอ้อมมาเหล่านี้ ขอแค่ทำสำเร็จ วันหน้านครจิงกวานของข้าจะต้องตอบแทนให้อย่างงามแน่นอน!”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงไม่สนใจแม้แต่น้อย

นางยังคงไม่ทำอะไรและไม่พูดอะไรอยู่เหมือนเดิม

เกาเฉิงไม่ถ่วงเวลาการเดินทางออกจากหุบเขาผีร้ายของเรือวิเศษลำนั้นอีก เพียงไม่นานก็ย้อนกลับไปที่บัลลังก์ในนครจิงกวาน ครั้นจึงยกมือใหญ่ขึ้นโบกหนึ่งครั้ง ช่วยเปิดประตูบานใหญ่ระหว่างหุบเขาผีร้ายกับชายหาดโครงกระดูกไว้ตรงม่านฟ้าทิศทางที่เรือหลิวเสียลำนั้นมุ่งหน้าไป

บนกำแพงเมือง เจียงซ่างเจินไม่ได้โดยสารเรือหลิวเสียลำนั้นกลับไปด้วยจริงๆ แต่เดินเล่นอยู่บนหัวกำแพงเมืองต่อ แหงนหน้ามองม่านฟ้าที่เป็นช่องโหว่เหมือนมีประตูบานหนึ่งเปิดอ้า

เรือหลิวเสียพุ่งวาบหายไป

ย้อนกลับไปถึงชายหาดโครงกระดูกอีกครั้ง ประตูใหญ่ด้านหลังก็ปิดลงในเสี้ยววินาที

เทพหญิงฉีลู่เอ่ยถามอย่างระมัดระวังว่า “นายท่าน ทำแบบนี้เพื่ออะไร?”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงกล่าวอย่างเฉยเมย “คู่บำเพ็ญตนบนโลกใบนี้มักจะต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขกันเสมอ แต่ข้าเฮ้อเสี่ยวเหลียงกลับมีโชควาสนาที่ลึกล้ำ จนถึงขั้นมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั้งสองทวีป ดังนั้นไม่ว่าข้าจะอยู่ที่ไหน หากข้ามีคู่บำเพ็ญเพียร ถ้าเช่นนั้นเขาก็ย่อมมีโชควาสนาพุ่งมาหาไม่ขาดสาย ยิ่งทั้งสองฝ่ายอยู่ใกล้กันก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ แต่เมื่อข้าอยู่ในนครจิงกวานที่ขัดแย้งต่อโชคชะตา กัดกินตบะของข้าแล้ว แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่เรื่องดีอะไร”

เทพหญิงฉีลู่พูดตะกุกตะกัก “ดังนั้นข้าถึงได้เดินออกมาจากภาพวาด? ดังนั้นนายท่านถึงได้จงใจมาเยือนหุบเขาผีร้าย แล้วก็จงใจจากมาในคืนนี้?”

เฮ้อเสี่ยวเหลียงไม่เอ่ยอะไรสักคำ

เทพหญิงฉีลู่ใบหน้าซีดเผือด

……

เฮ้อเสี่ยวเหลียงที่อยู่กลางทะเลเมฆเหนือชายหาดโครงกระดูกพลันหันขวับกลับไป อ้าปากค้างน้อยๆ ใบหน้าของนางไม่รู้ว่าเป็นสีหน้าแบบใด สุข ทุกข์ โมโหหรือปลื้มปิติ ทว่าสุดท้ายแล้วก็กลับคืนมามีสีหน้าเรียบเฉย จ้องมองไปทางทิศใต้ด้วยสายตาล้ำลึก

เทพหญิงฉีลู่ตัวสั่นอย่างพรั่นผวา

เฮ้อเสี่ยวเหลียงหันหน้ากลับมา เอ่ยประโยคเดียวว่า “ไป”

ในนครจิงกวาน หลังจากได้เห็นภาพที่น่าเหลือเชื่อนั้นแล้ว เจียงซ่างเจินก็ขยี้หน้าตัวเองแรงๆ

คราวนี้ข้าผู้อาวุโสยอมซูฮกให้เจ้าแล้วจริงๆ

เรื่องแบบนี้ก็คิดได้ ทำได้ด้วยหรือไร?

เกาเฉิงพลันลุกพรวดขึ้นยืน โทสะพุ่งทะยานเทียมฟ้า คำรามอย่างเดือดดาล “กระบี่บินอย่าไป!”

ในวัดหยวนเยว่ใหญ่ ภิกษุเฒ่าเงยหน้าขึ้น ยกสองมือประนม ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ประเสริฐยิ่ง”

ทางฝั่งของเมืองชิงหลู

บนสันหลังคาโรงเตี๊ยมทางทิศใต้ หลังจากแสงสีทองเปล่งวาบอยู่สองครั้ง มือกระบี่หนุ่มที่เปลี่ยนมาสวมชุดคลุมอาคมจินหลี่ก็มาถึงจุดที่ห่างม่านฟ้าแถบนั้นไปไม่ไกลในชั่วพริบตา ในมือของเขาถือกระบี่เงื้อขึ้นฟันม่านฟ้า แล้วจึงขี่กระบี่พุ่งตรงไปยังศาลบรรพจารย์ของสำนักพีหมา

จู๋เฉวียนเอามือกดด้ามดาบ ลอยตัวอยู่กลางอากาศ สายตามองไปทางทิศเหนือ

เจ้าสำนักพีหมาท่านนี้ไม่เพียงแต่ไม่ขัดขวาง กลับกลายเป็นว่ายังช่วยจับตามองความเคลื่อนไหวทางทิศเหนือให้กับเซียนกระบี่หนุ่มที่ก่อนหน้านี้แอบมาหานาง แล้วทั้งสองฝ่ายก็ทำการค้ากันเล็กๆ อีกด้วย

ในนครจิงกวาน มือดาบโครงกระดูกขาวที่ร่างสูงพันกว่าจั้งพลันเผยกาย คิดจะใช้หนึ่งดาบฟันปราการฟ้าดินเพื่อไล่ตามไปฆ่าเซียนกระบี่หนุ่มผู้นั้นที่นอกชายหาดโครงกระดูก

เจียงซ่างเจินหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง โยนแหที่ใหญ่กว่า ‘แหเงินเกล็ดหิมะ’ สองปากที่เคยโยนออกไปก่อนหน้านี้ แหสองปากนั้นก็เป็นแค่แหลูกหลานเท่านั้น ปากนี้ต่างหากที่ถึงจะเป็นแหบรรพบุรุษ

แหใหญ่พลันพุ่งเข้ารัดพันข้อเท้าของโครงกระดูกขาวที่ร่างใหญ่ดุจขุนเขาแล้วกระชากอีกฝ่ายลงมาแรงๆ ส่วนตัวเจียงซ่างเจินก็ทะยานขึ้น ใช้ใบหลิ่วใบหนึ่งเปิดฟ้าดิน ถึงขนาดยอมตัดใจทิ้งสมบัติหนักอย่างแหใหญ่ที่มีมูลค่าหลายสิบเหรียญเงินฝนธัญพืชปากนั้นไปได้ ส่วนตัวเองที่ระหว่างบินออกไปจากช่องโพรงม่านฟ้าก็ยังหันหน้ากลับมายิ้มกล่าวว่า “เจ้าโครงกระดูกผู้นี้ มาฆ่าข้าสิ มาฆ่าข้าสิ มาสิ หากไม่มาจะถือว่าเจ้าเป็นหลานคนดีของข้านายท่านโจวเฝย…”

เจียงซ่างเจินทิ้งถ้อยคำชวนให้อาฆาตได้อย่างคล่องปากไม่ถ่วงเวลาการเผ่นหนีของตัวเองแม้แต่น้อย

ในหุบเขาผีร้าย จู๋เฉวียนออกดาบ สายรุ้งสีขาวเส้นหนึ่งก็พุ่งจากใต้ขึ้นเหนือ ฟันเข้าที่หน้าท้องของกระดูกขาวร่างยักษ์นั้น

และยังมีแสงกระบี่ที่มีจุดเริ่มต้นมาจากนครกรงขาว ฟันฉับเข้าที่ศีรษะของกระดูกขาว

จู๋เฉวียนร้องเอ๊ะหนึ่งที ก่อนจะถามว่า “โครงกระดูกผู นี่เจ้าทำอะไร? อันที่จริงเจ้าปรารถนาในความงามของข้ามานานแล้ว พอภรรยาร้องสามีก็เลยรับอย่างนั้นหรือ?”

โครงกระดูกขาวตนนั้นเอ่ยอย่างเฉยเมย “มือกระบี่อย่างข้าไม่ว่าทำอะไรก็ล้วนไร้พันธนาการจากฟ้าดิน”

จู๋เฉวียนและผูหรางคนหนึ่งออกดาบ คนหนึ่งออกกระบี่สกัดขวางการผ่าปราการม่านฟ้าของโครงกระดูกขาวที่ร่างใหญ่โตราวขุนเขาผู้นั้น

เฉินผิงอันที่ขี่กระบี่มุ่งหน้าไปยังศาลบรรพจารย์บนภูเขาของสำนักพีหมาปาดเหงื่อบนหน้าผากแล้วยิ้มกว้าง

ข้าก็คือคนที่ใช้หนึ่งกระบี่ผ่าม่านฟ้ามาก่อนเหมือนกัน

สะใจจริง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version