บทที่ 509 แม่นางน้อยคนดี
แคว้นไหวหวงคือแคว้นเล็กทางทิศเหนือ คือสถานที่แร้นแค้นแห่งหนึ่ง นับตั้งแต่บนจรดล่างราชสำนักล้วนยากจน เป็นเหตุให้กษัตริย์ไม่สามารถส่งขุนนางไปบวงสรวงองค์เทพห้าขุนเขาได้ตรงตามเวลา ดังนั้นจึงมีคำกล่าวที่บอกว่าขุนนางสองกรมอย่างกรมพิธีการ กรมการคลังไม่ขึ้นเขา
อาจเป็นเพราะราชสำนักไม่ให้ความเคารพแก่เจ้าของขุนเขาทั้งห้ามากพอ บวกกับที่ศาลประจำท้องถิ่นก็บางตา ควันธูปไม่โชติช่วง ตามหมู่บ้านร้านตลาดหรือชนบทของแคว้นไหวหวงจึงมักจะมีภูตผีปีศาจออกอาละวาดอยู่เสมอ เป็นเหตุให้มักจะมีเจินเหริน ภิกษุสมณศักดิ์สูงของต่างถิ่นที่เดินทางท่องเที่ยวผ่านมา คอยมาช่วยชาวประชาให้พ้นทุกข์ เพียงแต่ว่ายอดฝีมือที่ค่อนข้างจะได้รับความนิยมตามพื้นที่ต่างๆ เหล่านี้ไม่เคยเดินเข้าไปในจวนของชนชั้นสูงที่มีอำนาจอย่างแท้จริงของ แคว้นไหวหวง ภายหลังก็เลือกจะเดินทางอ้อมผ่านเมืองหลวงไปเสียเลย หลีกเลี่ยงไม่ให้ต้องไปชนตอเข้า
วันนี้ตรงด่านชายแดนของแคว้นไหวหวงที่เชื่อมติดอยู่กับแคว้นอิ๋นผิงมีบัณฑิต ชุดขาวสวมงอบคนหนึ่งยื่นส่งเอกสารผ่านทาง พอเข้าเมืองมาได้ก็เดินเที่ยวชมเมือง ไปรอบหนึ่ง ก่อนจะมานั่งอยู่บนหีบไม้ไผ่บนสะพานลอยของตลาดแห่งหนึ่ง กำลังกินขนมแป้งย่างโรยต้นหอมที่เพิ่งซื้อมา นั่งฟังเรื่องราวลึกลับแปลกประหลาดทั้งหลายที่นักเล่านิทานเล่าให้ฟังพร้อมกับพวกชาวบ้านในพื้นที่และพ่อค้าเดินเท้าที่ทำการค้า ไม่ใหญ่นัก นักเล่านิทานอายุมากแล้ว วัยประมาณเจ็ดสิบปี ทว่ากำลังวังชากลับ เปี่ยมล้น เสียงที่เขาตะเบ็งพูดออกมาสามารถสะเทือนท้องฟ้าได้ กำลังพูดจ้อ จนน้ำลายแตกฟอง บอกว่าก่อนหน้านี้เมืองปู้เหยามีปีศาจใหญ่ที่ดุร้ายตนหนึ่ง ปรากฏตัว ยึดครองภูเขาเป็นของตัวเอง พอถึงช่วงค่ำคืนก็จะกลายร่างเป็นควันดำ แฝงตัวเข้าไปในเมืองเพื่อลักพาตัวคุณหนูสาวๆ โดยเฉพาะ ทางการไม่สามารถขัดขวางได้เลย ผลกลับถูกเจินเหรินผู้เฒ่าคนหนึ่งที่ท่านเจ้าเมืองเชื้อเชิญมาตั้งปะรำ ทำพิธีชักนำอสนีบาต
เห็นเพียงว่ากลางดึกที่แสงจันทร์สว่างดวงดาวบางตาพลันมีฟ้าร้องและฝนฟ้า ตกกระหน่ำ ภูเขาที่ปีศาจใหญ่ตนนั้นซ่อนตัวอยู่เกิดเสียงดังเปรี้ยงหนึ่งครั้งก็มี สายฟ้าเส้นหนึ่งผ่าลงไปกลางภูเขาลึก หลังจบเรื่องมีคนตัดฟืนที่ใจกล้าไล่ตาม ความเคลื่อนไหวขึ้นภูเขาไปดู ก็พบว่าเป็นงูใหญ่ที่ขนาดเท่าปากบ่อตัวหนึ่งถูกสายฟ้าผ่าตายทั้งเป็น น่าเสียดายก็แต่หญิงสาวทั้งหลายได้กลายเป็นโครงกระดูกขาวโพลนที่กระจายเกลื่อนอยู่ท่ามกลางภูเขา ดูจากลักษณะแล้วน่าจะเป็นสตรีที่โชคร้ายเหล่านั้น
คนที่ฟังผู้เฒ่าเล่าต่างก็พากันสูดลมเย็นๆ เข้าปอดดังเฮือก ขนลุกขนชัน เสียวไปทั้ง สันหลัง
บัณฑิตสวมชุดขาวหิมะที่มาทัศนศึกษาผู้นั้นก็ทำท่าตกตะลึงไปพร้อมกับคน ข้างกายด้วย
ติ๊งๆๆ มีคนฟังบางคนนำพาคนอื่นโยนเงินให้เป็นของรางวัล คนที่อยู่ด้านหลัง ก็ทยอยกันควักกระเป๋าเงิน โยนเงินเหรียญทองแดงส่วนหนึ่งใส่ลงในถ้วยสีขาวใบใหญ่ นักเล่านิทานชำเลืองตามองผลเก็บเกี่ยวในถ้วยแล้วก็ลูบหนวดยิ้ม พอให้ซื้อเหล้าได้สองกาแล้ว
สุดท้ายนักเล่านิทานก็เล่าอีกว่าที่เมืองอวี้ฮู่ก็มีปีศาจอาละวาดเช่นกัน ปีศาจตนนั้น ไร้ขื่อไร้แป แต่น่าเสียดายที่เจ้าเมืองเป็นพวกยึดติดในทรัพย์สิน ทั้งไม่มีเส้นสาย คอยช่วยเหลือ แล้วก็ไม่ยินดีทุ่มเงินก้อนใหญ่จ้างเจินเหรินหรือเซียนซือให้ลงจากภูเขามาปราบปีศาจ ชาวบ้านของเมืองอวี้ฮู่น่าสงสารยิ่งนัก ถูกเล่นงานจนไก่บิน หมากระโดด โชคดีที่ถึงแม้ปีศาจที่ออกอาละวาดจะกำเริบเสิบสานไร้ความยำเกรง แต่ตบะของมันก็ไม่สูง อยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบกับปีศาจงูในเมืองปู้เหยาที่ถูกฟ้าผ่า ตัวนั้นได้ติด ไม่อย่างนั้นคงกลายเป็นโศกนาฎกรรมในโลกมนุษย์จริงๆ
พวกชาวบ้านชอบเรื่องสนุกครึกครื้น จึงมีชายฉกรรจ์ถามว่าปีศาจของเมืองอวี้ฮู่ตนนั้นเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากฝ่ายใดกันแน่ นักเล่านิทานพูดจ้อไม่หยุด บอกว่าที่เมืองแห่งนั้น มีผีชุดขาวที่ผูกคอตายชอบไปหลอกให้คนตีระฆังบอกเวลาตกใจกลัว กลางดึก ก็จะชอบไปเคาะประตูบ้านคน เป็นเหตุให้ยามค่ำคืนไม่มีใครในเมืองนั้นกล้าออกมาข้างนอก และในสุสานร้างอันเป็นที่อยู่ของกระต่ายและหมาป่าก็มักจะมีสตรีหน้าตางดงามแต่งกายเฉิดฉันมาล่อลวงบุรุษเพื่อดูดดึงแก่นพลังชีวิตของพวกเขา และยังมี ผีร้ายอำมหิตกลุ่มหนึ่งที่ขับไล่ภิกษุในวัดออกไป แล้วทำตัวเป็นนกพิราบที่ยึด รังนกกางเขน รวมไปถึงเด็กสาวชุดเขียวที่ท่าเรือซึ่งใช้น้ำในลำคลองต่างเรือนนอน คอยสร้างปัญหาและบ่อนทำลายผู้คนในเมือง
มีบางคนไม่เชื่อ บอกว่าแคว้นอิ๋นผิงและแคว้นไหวหวงของพวกเราปลอดภัย สงบสุขมาโดยตลอด ไม่มีภูตผีปีศาจปรากฏตัวให้เห็นหลายร้อยปีแล้ว ทำไมวันนี้ จู่ๆ ถึงพากันโผล่มาเยอะขนาดนี้ คงไม่ใช่พวกที่กินอิ่มแล้วอยู่ว่างไม่มีงานทำเลย จงใจแกล้งทำเป็นผีหลอกเอาเงินคนกระมัง นักเล่านิทานเป่าหนวดถลึงตา บอกว่า ตนเห็นศพของปีศาจงูเมืองปู้เหยาและใบหน้าขาวซีดของผีพรายชุดเขียวที่ท่าเรือ ด้วยตาตัวเอง
ทุกคนที่ได้ฟังหลุดหัวเราะพรืด ล้วนไม่มีใครเชื่อ
ผู้เฒ่าอายุเจ็ดสิบกวาดตามองไปรอบด้าน สุดท้ายมองไปยังบัณฑิตชุดขาวที่เพิ่งกินขนมแป้งโรยต้นหอมเสร็จแล้วยื่นมือชี้ไปที่เขา “บัณฑิตต่างถิ่นที่เดินทาง มาท่องเที่ยวผู้นี้ เชื่อว่าคงต้องอ่านตำรามามาก มีความรู้กว้างขวางอย่างแน่นอน พวกเจ้าลองถามเขาดูสิว่า ในโลกใบนี้มีภูตผีปีศาจหรือไม่ บัณฑิตหนุ่ม ต่อให้เจ้า ไม่เคยเห็นเองกับตามาก่อน แต่แค่เคยได้ยินมาก็นับรวมได้เหมือนกัน”
ทุกคนพร้อมใจกันหันไปมองคนหนุ่มสวมงอบ คนผู้นั้นส่ายหน้ากล่าว “ไม่เคยเห็นมาก่อน แล้วก็ไม่เคยได้ยินมาก่อนด้วย”
เสียงฮือฮาดังขึ้นจากรอบทิศ
นักเล่านิทานเห็นว่าท่าไม่ดีจึงรีบเก็บถ้วยขาวใบใหญ่ แล้วเก็บแผงของตัวเอง มารดามันเถอะ ไอ้พวกบัณฑิตนี่ไม่มีสักคนที่เป็นคนดี ไม่ช่วยโยนเงินให้ก็แล้วไปเถิด นี่ยังไม่ช่วยให้ความร่วมมืออีก แค่มองก็รู้แล้วว่าไม่มีหวังจะสอบติดกระดานทองคำแม้แต่น้อย
พอแผงถูกเก็บ คนฟังคนดูทุกคนก็แยกย้ายกันไป
นักเล่านิทานถลึงตาใส่บัณฑิตต่างถิ่นที่สะพายหีบไม้ไผ่ออกทัศนศึกษาผู้นั้นดุๆ
เฉินผิงอันคลี่ยิ้ม ลุกขึ้นยืน สะพายหีบไม้ไผ่ให้เรียบร้อย เจี้ยนเซียน น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่และพัดพับหยกถูกเขาเก็บใส่ไว้ในหีบไม้ไผ่ตั้งแต่ก่อนหน้านี้แล้ว ในมือจึงมีเพียงแค่ ไม้เท้าสีเขียวปลั่งราวกับจะเค้นน้ำออกมาได้ชิ้นนั้น ระหว่างที่เดินทางมาที่นี่ เขาได้หลอมไม้เท้าเสร็จสิ้นแล้ว ขณะเดียวกันในชายแขนเสื้อก็ซ่อนยันต์ กระดาษเหลืองธรรมดาเอาไว้หลายแผ่น ล้วนเป็นยันต์ระดับต้นทั่วไปใน ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ อย่างเช่นยันต์ปราณหยางส่องไฟ ยันต์กำจัดสิ่งสกปรกและ ยันต์ทำลายสิ่งกีดขวาง ฯลฯ
เฉินผิงอันเดินไปหยุดอยู่ข้างกายผู้เฒ่า “ท่านผู้เฒ่า ข้าจะเลี้ยงเหล้าท่าน อยากดื่มหรือไม่”
นักเล่านิทานชำเลืองตามองเขา ดูแล้วเป็นพวกไม่มีแม้แต่แรงจะจับไก่ ไม่เหมือนคนเลวที่ชอบจี้ปล้นคนอื่น เพียงแต่ว่าเส้นทางในยุทธภพนั้นเดินได้ไม่ง่าย สวรรค์เท่านั้นที่จะรู้ว่าวันใดบนทางจะมีบ่อน้ำขนาดเล็กที่มองดูเหมือนน้ำตื้น แต่กลับทำให้คนสะดุดล้มขาแผลงอยู่หรือไม่ ดังนั้นต่อให้จะอยากกินมากแค่ไหนก็ยังฝืน กลืนน้ำลายลงคง ปฏิเสธไปด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องๆ ความหวังดีของคุณชายข้ารับ ไว้แล้ว แต่ข้ายังต้องรีบเดินทางต่อเพื่อผ่านด่านไปหาเลี้ยงชีพที่แคว้นอิ๋นผิง โรงเตี๊ยมในเมืองแห่งนี้เก็บเงินเหมือนฆ่าหมู แต่หากไปนอนตามถนนก็ยุ่งยากอีก ไม่สู้ผ่านด่านไปนอนตามป่าเขา ฟ้าไม่สนดินไม่ใยดี”
เฉินผิงอันพูดอย่างเสียดาย “ก็ได้ ถ้าอย่างนั้นข้าคงไม่รั้งตัวท่านผู้เฒ่าไว้แล้ว จะถือเสียว่าได้ประหยัดเหล้าอิ๋งฝู (ปัดแมลงวัน/ปัดหนอน) ของหอปี้ซานไปหนึ่งกา”
ผู้เฒ่าวัยเจ็ดสิบดวงตาเป็นประกาย หนอนขี้เหล้าในท้องเริ่มก่อกบฏ รีบเปลี่ยน สีหน้าใหม่ เงยหน้ามองสีท้องฟ้า พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “ดูจากสีท้องฟ้ายังเช้า อยู่มาก ไม่รีบร้อนๆ ให้พวกพี่น้องเงินทองที่รออยู่ในแคว้นอิ๋นผิงรอไปก่อนแล้วกัน คุณชายอุตส่าห์เชื้อเชิญอย่างกระตือรือร้นเช่นนี้ ข้าคงไม่ปฏิเสธแล้ว ไป ไปหอปี้ซานกัน เหล้าอิ๋งฝูนี้ข้ายังไม่เคยกินมาก่อน อาศัยใบบุญของคุณชาย วันนี้คงจะได้ดื่มดีๆ กับเขาสักจอก”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “ท่านผู้เฒ่าไม่เรียกลูกศิษย์ไปด้วยกันหรือ?”
ผู้เฒ่าทำหน้าแหย ก่อนจะหันหน้าไปกวักมือเรียกคนที่เป็นคนนำให้ชาวบ้าน โยนเงินมาอยู่ข้างกาย พูดเสียงเบาว่า “คุณชายช่างสายตาดีนัก”
ไปถึงเหลาสุราที่ใหญ่ที่สุดในเมือง ภายใต้การนำทางอย่างขันแข็งของลูกจ้างร้าน คนทั้งสามคนก็ได้ขึ้นไปนั่งบนชั้นสอง เฉินผิงอันสั่งอาหารมาเต็มโต๊ะและเหล้าอิ๋งฝู สามกา ผู้เฒ่ารอจนเหล้าทั้งสามกาถูกนำมาวางลงบนโต๊ะแล้ว ถึงได้แอบเอาเหล้าอิ๋งฝูกาที่บัณฑิตวางไว้ข้างกายลูกศิษย์มาวางไว้ตรงหน้าตัวเองเงียบๆ เขายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เมื่อครู่นี้ลืมบอกคุณชายไปว่าลูกศิษย์คนนี้ของข้าไม่ดื่มเหล้า ทำให้คุณชายต้องสิ้นเปลืองแล้ว สิ้นเปลืองแล้ว”
เฉินผิงอันทำท่าเหมือนเพิ่งกระจ่างแจ้ง “ถ้าอย่างนั้นข้าจะบอกให้เสี่ยวเอ้อร์ของร้านเอาเหล้าอิ๋งฝูที่เกินมากานี้กลับไป ตั้งสองตำลึงเงินเชียวนะ”
ผู้เฒ่ารีบใช้แขนโอบกาเหล้าทั้งสองเอาไว้ “คุณชายช้าก่อน ไหนเลยจะมีหลักการที่เหล้าดีขึ้นโต๊ะแล้วยังเอาคืนกลับไปอีก นี่จะต่างอะไรจากการให้สาวงามปลดอาภรณ์ขึ้นเตียงแล้วไล่ให้ไสหัวกลับไป เป็นการทำลายบรรยากาศอย่างยิ่ง จะทำอย่างนี้ ได้อย่างไร”
เฉินผิงอันแกะผนึกดินเหนียว รินเหล้าให้ตัวเองหนึ่งถ้วย ยิ้มถาม “ท่านผู้เฒ่าคงไม่ใช่คนแคว้นเมิ่งเหลียงกระมัง?”
ผู้เฒ่าส่ายหน้า “ข้าผู้อาวุโสมาจากแคว้นชิงจิงที่อยู่ทางทิศตะวันตกสุด นับตั้งแต่อายุยี่สิบหกก็เริ่มมาเป็นนักเล่านิทาน เดินทางผ่านหลายสิบแคว้นมาเกินครึ่งแล้ว แคว้นเมิ่งเหลียงเคยไปเยือนมาครั้งหนึ่ง เป็นแดนสุขาวดีที่หาได้ยากยิ่งบนโลกมนุษย์อย่างแท้จริง ข้าคิดว่าสถานที่ที่จะไปใช้ชีวิตในช่วงบั้นปลายก็คงเป็นแคว้นเมิ่งเหลียง นี่แหละ ถึงอย่างไรที่บ้านเกิดก็ไม่มีญาติมิตรเหลืออยู่แล้ว ไม่มีใครให้ต้องพะวงถึง หากลูกศิษย์ของข้าเอาถ่านเสียหน่อย หาเงินขาวหาทองคำมาได้ รอวันใดที่ข้าหลับตาไปชั่วนิรันดร์แล้ว ก็อาจจะให้เขาเอาศพไปฝังที่บ้านเกิด”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ถ้าอย่างนั้นก็ดื่มเหล้าให้เต็มที่”
เฉินผิงอันเพียงแค่มองออกว่านักเล่านิทานตรงหน้าผู้นี้คือผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสามคนหนึ่ง แต่นี่ก็หมายความว่าผู้เฒ่าตรงหน้า หากไม่ใช่ผู้ฝึกตนห้าขอบเขตล่างที่เดินทางท่องไปทั่วทิศอย่างแท้จริง ก็ต้องมีตบะและขอบเขตที่เหนือกว่าโอสถทองกระดาษเปียกอย่างเย่หานและฟ่านเหวยหรานสองคนนั้นแน่นอน บนอาณาเขต ของหลายสิบแคว้น นอกจากผู้บงการสองคนที่อยู่เบื้องหลังแล้ว เย่หานและ ฟ่านเหวยหรานก็ถือว่าเป็นผู้ฝึกตน ‘บนยอดเขา’ ที่สมศักดิ์ศรีแล้ว
ก่อนหน้านี้มีอยู่วันหนึ่งปราณวิญญาณริมชายแดนของหลายสิบแคว้นสั่นสะเทือนไม่หยุดเหมือนเกิดฟ้าผ่าในฤดูใบไม้ผลิ เป็นเหตุให้จิตของเฉินผิงอันสัมผัสได้ จึงขี่กระบี่ทะยานขึ้นกลางอากาศทันที แล้วก็เห็นเพียงว่ามีเส้นยาวสีทองที่ยาวมากเส้นหนึ่ง โผล่พรวดขึ้นบนพื้นดิน จากนั้นก็เหมือนเถ้าธุลีที่ถูกเผาจนมอดไหม้ น่าจะเป็นหนึ่งในผู้ฝึกตนใหญ่สลายตราผนึกอันเป็นวิชาสูงส่งค้ำฟ้าที่ใช้วาดอาณาเขตเป็นกรงขังทิ้งไป มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะเป็นคนเบื้องหลังที่ได้สมบัติประหลาดของเมืองสุยเจี้ยไปครอง ส่วนผู้ฝึกตนใหญ่อีกคนหนึ่งที่ตอนนี้รู้แค่ว่าชื่อเซี่ยเจินนั้น จนถึงตอนนี้ก็ยัง ไม่เคยปรากฏตัวมาหาเรื่องตน ตามหลักแล้วนี่เป็นเรื่องที่ผิดปกติอย่างมาก
ดินแดนเซียนเป่าต้งของฟ่านเหวยหราน นครหวงเยว่ของเย่หาน ภูเขาทั้งหมด ที่กองกำลังทั้งสองฝ่ายเป็นผู้นำ มีความเป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นดั่งนกในกรง ปลาในบ่อที่คนผู้นี้เลี้ยงเอาไว้ ในเมื่อเสียหายมากขนาดนี้ แต่กลับไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ก็มีความเป็นไปได้อยู่สองอย่าง สิงโตจับกระต่ายใช้กำลังทั้งหมดที่มี ตอนนี้ เซี่ยเจินกำลังวางแผนบางอย่างเพื่อรอคอยตนอยู่ หรือไม่…ก็เป็นเจียงซ่างเจินที่ช่วยเก็บกวาดเรื่องเละเทะครั้งนี้ให้ตั้งแต่ก่อนจะไปปรากฏตัวที่เมืองสุยเจี้ย บางทีเซี่ยเจินอาจจะตายไปแล้ว หรือไม่ก็โชคดีหนีรอดอันตรายไปได้ แต่พลังต้นกำเนิดกลับเสียหายอย่างหนัก ไม่เหลือเรี่ยวแรงให้มาโจมตีตนถึงชีวิตอีก
หากนักเล่านิทานที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้คือยอดฝีมือแคว้นเมิ่งเหลียงที่ตั้งใจวิ่งมา พบหน้าตนโดยเฉพาะ เฉินผิงอันก็คร้านจะเล่นทายปริศนาธรรมให้หนักสมอง แค่ม้วนชายแขนเสื้อแล้วเปิดฉากสังหารกันอีกครั้งก็สิ้นเรื่อง
ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “ทำไม คุณชายมีคนรู้จักอยู่ที่แคว้นเมิ่งเหลียงหรือ? เป็นศัตรูที่ ไม่อาจอยู่ร่วมฟ้า หรือว่าเป็นญาติสนิทมิตรสหายที่ผูกพันกันล่ะ? หากเป็นฝ่ายหลัง รอให้ข้าเดินทางท่องไปในแคว้นอิ๋นผิงเสร็จเมื่อไหร่ วันหน้าเมื่อไปท่องเที่ยวแคว้น เมิ่งเหลียงพร้อมกับลูกศิษย์ก็สามารถช่วยนำความไปบอกต่อแทนคุณชายได้ ก็แค่…”
ผู้เฒ่าหัวเราะร่าพลางยื่นนิ้วสองนิ้วมาถูกันเบาๆ
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่มีความแค้นลึกล้ำใดๆ น้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลอง ก็แค่เลื่อมใสในฝีมือที่เลิศล้ำ ความคิดที่ละเอียดรอบคอบของยอดฝีมือของแคว้น เมิ่งเหลียงคนหนึ่งมานานแล้ว อยากจะเลี้ยงเหล้าเขาสักกาด้วยความจริงใจ ถึงอย่างไรตอนนี้สถานการณ์ใหญ่ก็มั่นคงดีแล้ว ก็เหมือนกับการทบทวนกระดานหมากล้อม ปีนั้นยอดฝีมือท่านนี้ได้เล่นก่อน มีพละกำลังมหาศาล ตอนเดินอยู่บนกระดานก็ หนักแน่นมั่นคง ตอนปิดกระดานก็ยังวางหมากที่มหัศจรรย์ไว้หลายตัวขนาดนั้น แต่กลับไม่มีใครเข้าใจ ไม่มีใครช่วยร้องสนับสนุนสักคำ ก็เหมือนท่านผู้เฒ่าเล่าเรื่องแล้วคนฟังเงียบสนิท ต่อให้ท้ายที่สุดจะได้เงินเหรียญทองแดงมาถ้วยใหญ่ แต่นั่น ก็ยังถือว่าเป็นเรื่องน่าเสียดายไม่ใช่น้อยอยู่ดีไม่ใช่หรือ?”
ผู้เฒ่าดื่มเหล้า แล้วเอ่ยว่า “แม้จะไม่รู้ว่าคุณชายกำลังพูดเรื่องอะไร แต่ฟังดูแล้วเหมือนจะเป็นเหตุผลนี้ ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็มาชนกันสักครั้ง?”
เฉินผิงอันหยิบถ้วยเหล้าขึ้นมาชนกับผู้เฒ่า แล้วต่างคนก็ต่างดื่มเหล้าในถ้วยของตัวเองไป ไม่ใช่ว่าต้องดื่มสุรากลมกล่อมกับคนที่ถูกชะตาเท่านั้น สุราจึงจะยิ่งมีรสชาติ
ท่ามกลางแสงดาบเงากระบี่ ประลองกลอุบายปัดแข้งปัดขาอยู่กับพวกคนที่ มองกันและกันเป็นศัตรูคู่แค้น ปราณสังหารไหลเวียนวนอยู่ในถ้วยบนโต๊ะสุรา ล้วนถือเป็นการฝึกตน
ส่วนภาพเหตุการณ์ประหลาดแปลกใหม่ที่เกิดขึ้นในแคว้นไหวหวงแคว้นเล็กๆ ทางเหนือแห่งนี้ การที่อยู่ดีๆ ปีศาจก็เพิ่มพรวดขึ้นมา ก็มีความเกี่ยวข้องกับ ปราณวิญญาณที่ไหลทะลักจากด้านนอกมายังอาณาเขตของหลายสิบแคว้นเช่นกัน ไม่มีบ่อสายฟ้าที่สยบหมื่นสรรพสิ่งนั้นอยู่ แน่นอนว่าพวกมันต้องลิงโลด หลังจาก การจำศีลในฤดูหนาวผ่านพ้นไป ทั้งงูและแมลงล้วนพากันกระเหี้ยนกระหือรือ อยากแหวกดินออกมา
เพียงแต่ว่าเฉินผิงอันกับผู้ฝึกตนเบื้องหลังซึ่งเป็นยอดฝีมือของแคว้นเมิ่งเหลียง กับคนที่มีนามว่าเซี่ยเจินนี้ ตอนนี้ยังไม่ถือว่าแตกหักกันอย่างสิ้นเชิง เหนือโอสถทองขึ้นไป ก่อกำเนิดยังพูดได้ง่าย จะตีกันหรือไม่ก็ยังหนีได้ แต่ขอแค่มีคนหนึ่งเป็น ขอบเขตหยกดิบ ไม่จำเป็นต้องทั้งสองคน สำหรับตนก็ถือเป็นปัญหาใหญ่เทียมฟ้าแล้ว เฉินผิงอันไม่มีฟ้าอำนวยดินอวยพรหรือคนสามัคคีใดๆ เลย หากอีกฝ่ายคิดจะ สังหารตนโดยไม่สนค่าตอบแทนจริงๆ ด้วยนิสัยของผู้ฝึกตนอุตรกุรุทวีปแล้ว ย่อมไม่มีความลังเลอย่างแน่นอน อยู่ในอุตรกุรุทวีปที่เซียนกระบี่เป็นข้อยกเว้นแห่งนี้ ผู้ฝึกตนต่างถิ่นที่เบื้องหลังมีที่พึ่งตายไปอย่างกะทันหันไม่ได้มีแค่คนสองคนแล้ว
ไม่อย่างนั้นด้วยปราณวิญญาณที่เหมือนกระแสน้ำขึ้นไหลทวนสู่ตอนบนของแม่น้ำลำคลองนี้ หากเฉินผิงอันมีใจอำมหิตเสียหน่อย ก็สามารถใช้หยกของอริยะ แผ่นนั้นมาเก็บรวบรวมเป็นของตัวเองได้เลย เพียงแต่ว่าข้ามทวีปมาใช้แผ่นหยก ที่แม้แต่หลิวเหล่าเฉิงแห่งทะเลสาบซูเจี่ยนก็ยังหวาดกลัวแผ่นนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ใช้อยู่ในกุรุทวีป จะกลายเป็นภาพเหตุการณ์ที่แตกต่างออกไป เพราะมีข้อต้องห้าม อยู่มาก ไม่แน่ว่าอาจทำให้สำนักศึกษาทั้งทวีปรู้สึกอคติและตำหนิเอาโทษ
คนเบื้องหลังสองคน เมื่อเทียบกับเซี่ยเจินแล้ว เฉินผิงอันกริ่งเกรงผู้ฝึกตนใหญ่ ที่มีความเกี่ยวข้องกับแคว้นเมิ่งเหลียงคนนั้นมากกว่า อีกฝ่ายวางแผนการทุกก้าวย่างด้วยความระมัดระวัง ไม่จำเป็นต้องให้คนผู้นั้นลงมือเองแม้แต่น้อย เพียงแค่ส่ง ลูกน้องมาสองคนก็ได้รับสมบัติหนักของเมืองสุยเจี้ยชิ้นนั้นไปครอง ถึงท้ายที่สุด หากไม่เป็นเพราะตนฝ่าค่ายกลบุกเข้าไปในวังมังกรของทะเลสาบชางอวิ๋น ผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองที่จงใจทำตัวเป็นหลานในกลุ่มของผู้ฝึกลมปราณแคว้นเมิ่งเหลียง คนนั้นก็ต้องยังอำพรางตนต่อไปแน่
ได้เห็นตู้อวี๋เพียงคนเดียวก็พอจะรู้สถานการณ์ของตำหนักขวานผีคร่าวๆ เห็น เจ้าแห่งคูน้ำจ่าวซีและฮูหยินแห่งคูน้ำเสาซีก็พอจะเข้าใจขนบธรรมเนียมของทะเลสาบชางอวิ๋นได้พอประมาณ เห็นเยี่ยนชิงก็รู้สภาพการณ์ของดินแดนเซียนเป่าต้ง เห็นเหอลู่ก็รู้ถึงพฤติการณ์ของนครหวงเยว่ ล้วนเป็นหลักการเดียวกันนี้ทั้งสิ้น แน่นอนว่าอาจมีส่วนที่ผิดพลาดไปบ้าง แต่ขอแค่อยู่ด้วยกันนานวันเข้า ได้เห็นผู้ฝึกตนมากขึ้นเรื่อยๆ ก็จะยิ่งขยับเข้าใกล้เรื่องจริงและความจริงมากขึ้น หนึ่งในหมื่นนั้น ก็จะเล็กลงตามไปด้วย บางครั้งยังพอจะมองหนึ่งส่วนก็เห็นภาพทั้งหมด นี่คือพูดถึงเทพอภิบาลเมืองประจำศาลของเมืองสุยเจี้ย ฟ่านเหวยหรานและเย่หาน เพราะว่าพวกเขาล้วนเป็นผู้นำของสถานที่หนึ่ง ขนบธรรมเนียมประจำบ้านเป็นอย่างไร ส่วนใหญ่ก็ล้วนเป็นพวกเขาที่เป็นผู้ตัดสินใจ
หนึ่งมองขึ้น หนึ่งมองลง สองอย่างรวมกันก็เหมือนหัวและท้ายสองด้านของเส้นเส้นหนึ่ง หากถูกคนจับปลายทั้งสองด้านขึ้นมา ต่อให้เจ้าจะซุกซ่อนเส้นสายนั้นไว้ได้ยาวเป็นพันลี้ก็ยังยากจะหลบพ้นสายตาของคนผู้นั้นไปได้อยู่ดี
วิถีทางโลกซับซ้อน หากอยากจะใช้ชีวิตได้อย่างผ่อนคลาย ถ้าไม่เอาแต่ก้มหน้าก้มตาใช้ชีวิตของตัวเองไป เสวยสุขหรือประสบทุกข์ก็ล้วนยอมรับชะตากรรม ก็ต้องได้แต่มองให้มากคิดให้มาก ทว่าอย่างหลังนี้กลับเหนื่อยกายเหนื่อยใจ ภูเขาลูกหนึ่งมักจะสูงกว่าอีกลูกเสมอ ต่อให้เป็นอริยะของแต่ละฝ่ายที่เฝ้าพิทักษ์ฟ้าดินขนาดเล็กเหมือนเทวดาของแต่ละที่ ขอแค่วันใดเดินออกมาจากฟ้าดินขนาดเล็กที่เป็นบ้านของตัวเองก็ต้องเหมือนถูกมัดมือมัดเท้า ไปอาศัยอยู่ใต้ชายคาของคนอื่นอยู่ดี เพราะยังคงต้องทอดสายตามองไปยังเส้นสายมากมายและกฎเกณฑ์ยิบย่อยในโลกมนุษย์
การใช้เหตุผล อาจไม่มีประโยชน์เสมอไป
การเข้าใจกฎเกณฑ์ ย่อมไม่ใช่เรื่องร้ายอย่างแน่นอน
อินโหวเจ้าแห่งทะเลสาบมีเหตุผลหรือไม่? แต่เขากลับเข้าใจหลักการการหากฎเกณฑ์ของผู้อื่น คว้าจับเส้นสายในการกระทำของเฉินผิงอันไว้ได้ ดังนั้นเหนือทะเลสาบชางอวิ๋นถึงได้มีเมฆมืดทะมึนหนาชั้นแผ่ปกคลุมไปทั่วบริเวณ เฉินผิงอันจึง ไม่กล้าฆ่าเขา ด้วยกลัวว่าน้ำในหนึ่งทะเลสาบสามลำคลองและสองคูจะไหลทะลัก เกิดน้ำท่วมกลายเป็นภัยพิบัติสำหรับชาวบ้านที่บริสุทธิ์จำนวนนับไม่ถ้วน ตอนอยู่ใน วังมังกร เขาไม่ได้สมควรตายน้อยไปกว่าเย่หานหรือฟ่านเหวยหรานเลย แต่เขา เป็นฝ่ายให้คำสัญญาด้วยตัวเองว่าในอนาคตยินดีจะปกป้องปวงประชาในอาณาเขต ชดเชยซ่อมแซมชะตาแห่งภูเขาแม่น้ำ ทำความดีชดใช้ความผิด ดังนั้นไม่ว่าจะ หนึ่งหมัดหรือหนึ่งกระบี่ของเซียนกระบี่ชุดเขียวก็ล้วนไม่ได้ร่วงใส่หัวเขา
จากนั้นนักเล่านิทานกับลูกศิษย์ของเขาก็สวาปามกินอาหารกันอย่างหิวโหย
เฉินผิงอันเพียงแค่ดื่มเหล้าในถ้วยตัวเองไปช้าๆ ไม่ได้ขยับตะเกียบมาตั้งแต่แรก
นักเล่านิทานส่งเสียงเรอดังเอิ้ก ก่อนจะยิ้มแต้เอ่ยว่า “คุณชายไม่กินอะไรเลยสักคำ เอาแต่ดื่มเหล้าอย่างเดียว ไม่หิวเลยหรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ไม่หิวจริงๆ แล้วนับประสาอะไรกับที่ข้ารู้สึกว่าอาหารมื้อนี้สมควรเป็นของท่านผู้เฒ่า”
ผู้เฒ่ากล่าวอย่างจนใจ “เหตุใดข้าถึงได้รู้สึกว่าคำพูดของคุณชายเหมือนลาหัวโล้นที่ท่องพระคัมภีร์ ทำให้คนฟังไม่เข้าใจเอาเสียเลย”
เฉินผิงอันถาม “ท่านผู้เฒ่าจะผ่านด่านไปที่เมืองอิ๋นผิงเมื่อไหร่หรือ?”
ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “จะไปเดี๋ยวนี้เลย กินดื่มอิ่มหนำแล้ว ใช่แล้ว ข้าเรียนวิชาการ ดูรูปลักษณ์มาบ้าง คุณชายเลี้ยงข้าวข้ามื้อนี้ ไม่อย่างนั้นก็ให้ข้าช่วยดูดวงแทนคุณชายดีไหม? คุณชายวางใจเถอะ ไม่เก็บเงินแน่นอน”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนท่านผู้เฒ่าแล้ว”
ผู้เฒ่าหยิบเหรียญทองแดงสองสามเหรียญที่ได้มาก่อนหน้านี้ออกมาจากชายแขนเสื้อ แล้วจึงโยนลงบนโต๊ะ จากนั้นก็ลูบหนวดใช้ความคิด เงียบงันไปครู่ใหญ่
เฉินผิงอันเพียงยิ้มไม่เอ่ยอะไร
ผู้เฒ่าใช้นิ้วขยับเหรียญทองแดงบนโต๊ะเบาๆ ขมวดคิ้วเอ่ยว่า “คุณชายมีจิตใจที่ดีงาม คือคนที่มีโชควาสนาลึกล้ำ แต่ก็ต้องจำไว้ว่า คนมีโชคไม่ไปเยือนสถานที่อับโชค คำพูดเก่าแก่โบราณไม่ใช่แค่คำพูดจากปากเปล่าไร้หลักฐาน คนฟังไม่ควรมองข้าม ข้าว่าคุณชายเดินทางมาเที่ยวแคว้นไหวหวงทางทิศเหนือครั้งนี้ สามารถไปได้ทุกที่ มีเพียงภูเขาจี้หวนที่อยู่ห่างไปข้างหน้าร้อยกว่าลี้เท่านั้นที่ไม่ควรไป สำหรับคุณชายแล้ว ที่นั่นก็คือสถานที่อับโชค ไปเยือนอาจไม่ได้มีอันตรายใหญ่หลวงอะไรเสมอไป แต่หากเจอพวกคนชั่วมาขวางทางเข้าจริงๆ เกิดปัญหาแทรกซ้อนขึ้นมา ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องดี”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ตกลง ข้าจะเชื่อท่านผู้เฒ่า จะอ้อมผ่านภูเขาจี้หวนไป”
ผู้เฒ่าเงยหน้า “คุณชายเชื่อจริงๆ หรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “คำพูดของคนเฒ่าคนแก่ จะไม่เชื่อได้อย่างไร ถึงอย่างไร การเดินทางมาเยือนแคว้นไหวหวงครั้งนี้ แค่ต้องเดินอ้อมไกลไปไม่กี่ก้าวก็ไม่อาจนับเป็นอะไรได้”
ผู้เฒ่าลุกขึ้นยืนพลางทอดถอนใจ “ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่รบกวนคุณชายแล้ว ขอตัวลาไปก่อน จะรีบออกจากด่าน เรื่องของการทำนายนี้เป็นการเปิดเผยเจตนารมณ์สวรรค์ มักทำให้คนไม่เป็นสุขเสมอ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้าดื่มเหล้ากานี้หมดก็จะเดินอ้อมขึ้นเหนือไปเหมือนกัน จะไม่ไปหาเรื่องซวยใส่ตัวที่ภูเขาจี้หวนเด็ดขาด”
ผู้เฒ่าจึงพาลูกศิษย์ที่เงียบขรึมออกไปจากหอปี้ซานด้วยกัน
เฉินผิงอันดื่มเหล้าอิ๋งฝูซึ่งเป็นเหล้าที่ผลิตในท้องถิ่นกานั้นหมด ตอนที่ลงจากหอไปคิดเงินก็ต้องอึ้งตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็ส่ายหน้ายิ้มๆ เขาต้องจ่ายค่าอาหารพร้อมสุราไปถึงยี่สิบตำลึงเงินเต็มๆ ที่แท้ตอนที่นักเล่านิทานคนนั้นลงจากหอมาได้แอบเอาเหล้าหมักยี่สิบปีซึ่งเป็นสมบัติประจำหอปี้ซานไปด้วยสองกา บอกว่าเพื่อนที่นั่งอยู่ ชั้นบนจะจ่ายเงินแทนเขาเอง เฉินผิงอันไม่ได้เก็บมาใส่ใจมากนัก เพราะว่า เขาไม่จำเป็นต้องคาดเดาสถานะของคนผู้นี้ให้มากความแล้ว เรื่องวุ่นวายใจลดน้อยลงไปเรื่องหนึ่ง ไม่ต้องแบ่งสมาธิจนถ่วงเวลาการฝึกตน ควักเงินแค่ไม่กี่สิบตำลึง ก็นับว่าคุ้มค่ามากแล้ว
สุดท้ายเฉินผิงอันก็เดินอ้อมภูเขาจี้หวนลูกนั้นไปจริงๆ ในภูเขามีน้ำตกหลายชั้น เดิมทีคือสถานที่ที่ธรรมชาติงดงามซึ่งเขาอยากจะไปเที่ยวชมดูสักครั้ง
กลางภูเขาจี้หวน
ในศาลาพักเท้าแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่กึ่งกลางภูเขา
บุรุษหนุ่มที่ตรงเอวมีเข็มขัดหยกเขียวรัดพันสีหน้าเขียวคล้ำ ข้างกายคือเย่หาน ฟ่านเหวยหรานและสตรีผู้เป็นบรรพจารย์รองของดินแดนเซียนเป่าต้ง
เขาก็คือเซี่ยเจินที่โชคดีรอดพ้นความตายมาได้
เซี่ยเจินคำรามอย่างเดือดดาล “เจ้าแก่ เหตุใดเจ้าถึงต้องทำลายการใหญ่ของข้า?! ข้าบอกกับเจ้าอย่างชัดเจนแล้วว่าได้ส่งจดหมายไปให้เซียนกระบี่ใหญ่ที่อยู่ภาคกลาง คนผู้นี้เป็นพวกเดียวกับเจียงซ่างเจิน ต่อให้เจียงซ่างเจินหลบอยู่ในมุมมืดก็ยังต้อง อกสั่นขวัญผวา กริ่งเกรงหวาดกลัวอยู่ดี! คราวนี้เจ้าทำให้เหยื่อล่อตกใจหนีไป หากเซียนกระบี่ใหญ่โกรธกริ้วขึ้นมา เจ้าคิดว่าตัวเองหลอมเม็ดกระบี่ก่อนกำเนิดได้สำเร็จก็เลื่อนขั้นเป็นห้าขอบเขตบนแล้วจริงๆ งั้นหรือ?! เจ้าโง่หรือไร? ข้าให้คำสัตย์สาบานแล้วว่าอาวุธกึ่งเซียนเล่มนั้นจะเป็นของเจ้า ข้าแค่ต้องการของชิ้นอื่นๆ บนร่างเขา เจ้ายังไม่พอใจอีกหรือ?! หรือจะต้องให้พวกเราทั้งสองฝ่ายไม่ได้ ผลเก็บเกี่ยวอะไรมาเลยถึงจะมีความสุข?”
บนภูเขาลูกหนึ่งที่ห่างไปไกล ผู้เฒ่าสวมชุดลัทธิขงจื๊อคนหนึ่งยิ้มบางๆ นักเล่านิทานและชายฉกรรจ์ร่างกำยำที่สีหน้าเฉยชาปรากฎตัวอยู่ข้างกายเขา จากนั้นเรือนกาย ก็ทับซ้อนกันกลายเป็นคนคนเดียว
น่าจะเป็นวิชาตระกูลเซียนที่ให้ร่างจริงจิตหยางและจิตหยินออกจากช่องโพรงเดินทางไกลไปพร้อมกัน
ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “อย่าได้ใช้คำลวงแบบนี้มาขู่ให้ข้ากลัวเลย ด้วยนิสัยของ เซียนกระบี่ใหญ่คนนั้น ต่อให้ได้รับจดหมายแล้วก็ยังดูแคลนที่จะทำเรื่องแบบนี้ นี่เจ้ายังคิดจะตกปลาอีก เจ้าคิดว่านี่เป็นแค่การตีกันเล็กๆ น้อยๆ ของพวกเรา หลายสิบแคว้นจริงๆ หรือ หากตีกันเล็กๆ น้อยๆ จริง ต้องเปลืองแรงขนาดนี้ ไปทำไม?”
ผู้เฒ่าก็คือราชครูแห่งแคว้นเมิ่งเหลียง สองนิ้วของเขาคีบกระบี่บินส่งข่าวเล่มหนึ่งเอาไว้แล้วบีบมันให้แตกเบาๆ “แล้วนับประสากับที่เซียนกระบี่ไม่เคยได้รับ จดหมายลับฉบับนี้ของเจ้า”
เซี่ยเจินสีหน้ามืดทะมึน โกรธจัดจนกลายเป็นขำ “นี่เจ้าคิดจะผูกปมแค้นกับข้าเซี่ยเจินอย่างนั้นรึ?!”
ราชครูเฒ่ายิ้มอ่อน “อาณาเขตของหลายสิบแคว้นนี้ ตอนนี้มีปราณวิญญาณเพิ่มขึ้น มาไม่น้อย คือสถานที่แห่งหนึ่งที่ไม่ดีและไม่เลว เจ้าและข้าเป็นเพื่อนบ้านกันมานานหลายปี เจ้าเซี่ยเจินมีชื่อเสียงด้านการรับมือได้ยาก แม้จะบอกว่าตอนนี้รากฐาน มหามรรคาเสียหาย แต่ข้าก็ยังไม่อาจฆ่าเจ้าได้ เจ้าคิดจะฆ่าข้าก็ยิ่งยาก พวกเรา สองคนแข่งกันแค่ว่าใครจะเลื่อนขึ้นเป็นห้าขอบเขตบนได้ก่อน ดังนั้นเหตุใดข้าต้องทนมองดูเจ้าส่งข่าวไปถึงจวนตระกูลเซียนของผู้ฝึกกระบี่ใหญ่ที่อยู่ภาคกลางคนนั้น หากเซียนกระบี่ใหญ่เกลียดแค้นเจียงซ่างเจินมากอย่างแท้จริง จนถึงขั้นยอมลดตัวมาลงมือกับผู้ฝึกกระบี่เล็กๆ คนหนึ่ง ถึงเวลานั้นก็เท่ากับว่าเจ้าได้กอดขาใหญ่เอาไว้แล้ว หากคนเขาจดจำน้ำใจนี้ของเจ้าได้ขึ้นมา ในอนาคตต่อให้ข้าเลื่อนเป็นขอบเขตหยกดิบ ยังจะกล้ามาแย่งชิงเขตอิทธิพลหลายสิบแคว้นนี้กับเจ้าได้อย่างไร? เซี่ยเจิน น่าเสียดายนัก เจ้าร้อนใจจนเสียกระบวน ยอมลดความเร็วในการเขมือบกลืนปราณวิญญาณ ของชายแดน แต่ก็ต้องมาเสียเวลายี่สิบวันนำพาสุนัขสามตัวมาที่ภูเขาจี้หวนเพื่อ จัดวางค่ายกลย้ายภูเขาอย่างประณีตบรรจงให้จงได้ แต่ถึงท้ายที่สุดแล้วดูเหมือนว่า จะไม่มีโอกาสได้นำมาใช้?”
เซี่ยเจินหัวเราะเสียงเย็น “เจ้าเองก็อยู่ในนี้เหมือนกันไม่ใช่หรือ?”
ผู้เฒ่าแสร้งทำเป็นกระจ่างแจ้ง “ก็จริงนะ เพียงแต่ไม่รู้ว่าตัวอ่อนเม็ดกระบี่ที่ข้าหลอมเล็กสำเร็จแล้วนี้ ยามที่เจอกับค่ายกลย้ายภูเขาของเจ้า พลังสังหารของใคร จะมากกว่ากัน หรืออานุภาพของใครจะยิ่งใหญ่กว่า ระหว่างเจ้าและข้าไม่ช้าก็เร็ว ย่อมต้องเปิดฉากต่อสู้กัน หากเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิดไว้ก็ถือว่าประหยัดเวลาไป
ตอนนี้ไม่ใช่อย่างในอดีตที่เจ้าแข็งแกร่งข้าอ่อนแออีกแล้ว ลมและน้ำหมุนเวียนเปลี่ยนผ่าน แม้แต่สถานการณ์เล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้เจ้าเซี่ยเจินก็ยังมองไม่ออกหรือ?”
ราชครูแคว้นเมิ่งเหลียงท่านนี้ส่ายหน้ายิ้ม “แต่ก็ไม่ใช่ว่าข้าดูแคลนเจ้าเซี่ยเจินหรอกนะ ค่ายกลนี้สามารถทำร้ายเขาได้ก็จริง แต่ไม่แน่เสมอไปว่าจะสามารถกักตัวเขาไว้ได้ ข้าที่มาที่นี่ก็เพื่อช่วยเจ้ารั้งม้าหยุดริมหน้าผา (เปรียบเปรยว่าหยุดกระทำที่ ดึงดันได้ทันเวลา ไม่ให้สายเกินแก้) เจ้าเซี่ยเจินไม่ควรเห็นความหวังดีของข้า เป็นประสงค์ร้ายเช่นนี้ อาศัยจดหมายลับฉบับหนึ่งที่ไม่รู้ว่าจะกลายเป็นวัวดินปั้น จมลงสู่มหาสมุทรหรือไม่ ก็กล้าเล่นลูกไม้พินาศวอดวายทั้งสองฝ่ายอะไรนั่นกับ เจียงซ่างเจิน ข่าวคราวตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมานี้ เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าสืบสาวเบาะแสมาพบ การข่าวของข้าจึงติดขัดไม่ว่องไวเหมือนเจ้า แต่เรื่องเก่าก่อนในอดีต ข้ากลับรู้มากกว่าเจ้าเซี่ยเจิน หากเจ้าส่งจดหมายลับไปให้เซียนกระบี่ใหญ่ที่อยู่ ทางเหนือ ข้าก็ไม่มีทางขวางกระบี่บินเล่มนี้หรอก”
ผู้เฒ่ากลั้นยิ้ม มองไปทางเซี่ยเจินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยแววดูแคลนและเวทนา “เพราะนั่นคือเซียนกระบี่ที่เป็นบุรุษคนหนึ่ง บุตรสาวคนเดียวที่เขารักทะนุถนอม ถูกเจียงซ่างเจินทำร้าย ถ่วงเวลาบนมหามรรคา ยามฆ่าเจียงซ่างเจินย่อมไม่กักเก็บพลังไว้อย่างแน่นอน แต่ท่านที่เจ้าส่งจดหมายไปให้ นางเป็นสตรีนี่นา ดูท่าเจ้า คงไม่ค่อยรู้แน่ชัดว่าบุญคุณความแค้นระหว่างนางกับเจียงซ่างเจินในปีนั้น ที่นางแค้น หาใช่ว่านางเสียใจที่ตัวเองไปหลงรักเจียงซ่างเจินอย่างที่โลกภายนอกเล่าลือกันไม่ แต่เป็นเพราะนางเคียดแค้นที่คนผู้นี้มากรักหลายใจ ไปที่ไหนก็เด็ดดอมบุปผาไปทั่ว หากเจอหน้ากันจริงๆ เจียงซ่างเจินใช้ปากนั้นของเขาพูดจาเกลี้ยกล่อมกรอกน้ำแกงลวงใจให้นางสักสองสามคำ ถึงเวลานั้นเจ้าไม่กลัวหรือว่าเซียนกระบี่หญิงผู้นั้น จะแว้งกลับมาประทานกระบี่ให้ข้าและเจ้าเป็นรางวัลคนละที? ดังนั้นถึงได้บอกอย่างไรล่ะว่าเจ้าเซี่ยเจินไม่ถือว่าเป็นพันธมิตรที่ดีอะไรเลยจริงๆ หากปีนั้นคนหนุ่ม ผู้นั้นตบะสูงสักหน่อย เป็นก่อกำเนิดเหมือนกับพวกเรา ไม่แน่ว่าข้าอาจร่วมมือกับเขาสังหารเจ้าแล้วก็ได้ ส่วนตอนนี้น่ะหรือ เรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์ ข้าเองก็ไม่คิดจะสู้สุดชีวิตกับเจ้า เผาผลาญตบะโดยไม่จำเป็น
เจ้าเองก็ค่อยๆ ดูดซับปราณวิญญาณให้ฟื้นคืนกลับมาเถอะ ช้าไปหนึ่งก้าว ก็ช้าเสียทุกก้าว ตามการอนุมานของข้าในปีนั้น คอขวดก่อกำเนิดของเจ้า เดิมที ก็ต้องมาถึงช้ากว่าข้าหกสิบปีอยู่แล้ว ตอนนี้ดูท่าแล้ว อันที่จริงจิตแห่งเต๋าของเจ้า ยังไม่มั่นคง เมื่อมาถึงขอบเขตของเจ้าและข้านี้ หากยังทำตัวเหมือนผู้ฝึกตนอิสระ ที่ไม่ว่าเรื่องใดก็อยากยึดเอาความได้เปรียบทั้งหมดไปครองอย่างในอดีต ย่อมต้อง เจอกับความยากลำบากอย่างสุดแสน”
ศาลาที่เซี่ยเจินยืนอยู่พลันระเบิดเป็นผุยผง เย่หาน ฟ่านเหวยหรานและ บรรพจารย์รองของดินแดนเซียนเป่าต้งล้วนถูกบีบให้ต้องพุ่งตัวออกมา ทะยานลมหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศ สีหน้าของแต่ละคนเต็มไปด้วยความตื่นตกใจ
ผู้เฒ่าแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น “จะดีจะชั่วเจ้ากับข้าก็เคยเป็นพันธมิตรกันมา ครั้งหนึ่ง แม้จะบอกว่าข้าปิดบังชื่อแซ่อยู่ในแคว้นเมิ่งเหลียง แรกเริ่มนั้นมีแผนการ อยู่จริง แต่เมื่อผ่านประสบการณ์สัมผัสกับโลกีย์วิสัยกลับมีประโยชน์ต่อจิตเต๋าของข้าอย่างแท้จริง ดังนั้นจึงสามารถกดข่มเจ้าได้ในทุกๆ เรื่อง ได้กำไรมากกว่าเจ้าเสมอ เจ้าคิดว่าเป็นเพียงแค่แผนการเล่นงานอย่างหนึ่งเท่านั้นหรือ? ไม่ใช่เลย แต่เป็นเพราะข้าคว้าจับโอกาสที่จะผสานมรรคาก่อกำเนิดก่อนเจ้ามาได้แล้ว หากเจียงซ่างเจิน เป็นสหายของคนผู้นั้นจริง มีหรือจะจงใจทิ้งภัยร้ายเอาไว้เบื้องหลัง เว้นเสียแต่ว่า จะมองการณ์ไกลไปยิ่งกว่าข้าและเจ้า คิดคำนวณได้นานแล้วว่าจะต้องมีวันนี้ เจ้าไม่กลัว? แต่ข้ากลัว เพราะนี่คือแผนการอย่างโจ่งแจ้ง ข้ายินดีพาตัวเองลงไห ทำลายเรื่องดีๆ ของเจ้าก็คือการลงมือเพื่อขยับขยายอาณาเขตไปในหลายสิบแคว้นสำหรับการก่อตั้งสำนักของข้าในอนาคต สำหรับเจ้าเซี่ยเจินแล้ว แน่นอนว่า ต้องเป็นแผนในมุมมืด ทุกสิ่งที่ลงแรงไปกลายเป็นความว่างเปล่าครั้งแล้วครั้งเล่า ข้าถึงขั้นเดาออกเลยว่า กระบี่บินส่งข่าวที่ถูกข้าดักไว้เล่มนี้ เป็นเจียงซ่างเจินที่จงใจ ทิ้งไว้ให้ข้า”
เซี่ยเจินเก็บพลังอำนาจขุมนั้นมา ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ทำลายงานใหญ่ของข้า ยังจะทำให้จิตใจของข้าวุ่นวายอีก โจรเฒ่าอย่างเจ้าช่างดีดลูกคิดรางแก้วมาได้ดีจริงๆ”
ผู้เฒ่ากล่าวอย่างปลงอนิจจัง “เซี่ยเจิน จริงๆ เท็จๆ ดีๆ เลวๆ ไม่ว่าความตั้งใจแรกของข้าจะเป็นอะไร จริงใจหรือลวงหลอก ตามคำสัญญาที่มีก่อนหน้า ข้าจะไม่ จงใจขัดขวางการดูดดึงปราณวิญญาณจากฟ้าดินของเจ้า เพียงแต่ว่าข้าแค่เดินนำ ไปก่อนหนึ่งก้าว ไม่ใช่สิ น่าจะเป็นสองก้าวแล้ว ดังนั้นในอนาคตยามที่ข้าเลื่อนสู่ ห้าขอบเขตบน ข้าค่อยให้ทางเลือกเจ้าอีกครั้ง จะหนีไปจากที่นี่ ทำตัวเป็นผู้ฝึกตนอิสระที่ไม่มีที่พักเป็นหลักแหล่งต่อไป หรือจะเป็นผู้ถวายงานอันดับหนึ่งของสำนักข้า เจ้าและข้าไม่จำเป็นต้องช่วงชิงกันบนมหามรรคาซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นในพื้นที่เล็กๆ เช่นนี้อีก? หากสามารถมีหยกดิบสองคนในหนึ่งสำนัก มีสุขร่วมเสพมีทุกข์ร่วมต้าน สนิทสนมแนบแน่น เจ้าและข้าต่างก็มีชาติกำเนิดมาจากผู้ฝึกตนอิสระที่ใครเห็น ก็รังเกียจ นี่จะไม่กลายเป็นเรื่องเล่างดงามที่ผู้คนทั้งอุตรกุรุทวีปเล่าขานกันไปเป็น พันปีหรอกหรือ?”
เซี่ยเจินเงียบงันไม่เอ่ยตอบโต้ เพียงแค่เงยหน้าจ้องนิ่งไปยังผู้เฒ่าชุดลัทธิขงจื๊อที่ยืนอยู่บนยอดเขา
สุดท้ายเซี่ยเจินถึงถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าพูดจาวางโตอย่างนี้ตั้งแต่ต้น เพราะคิดจะซื้อใจข้าให้ไปเป็นผู้ถวายงานของสำนักเจ้าอย่างนั้นหรือ?”
ผู้เฒ่าส่ายหน้า “ต่ำกว่าห้าขอบเขตบนลงไป ต่อให้เจ้าเป็นเซียนดินพสุธาในสายตาของคนบนโลก แต่ละคนก็ยังได้แต่ทำตัวลอยไปตามกระแส หลังจากที่ได้สมบัติมีบุญบารมีชิ้นนั้นมาครอบครอง ตอนนี้สภาพจิตใจของข้าจึงเริ่มเข้าสู่สภาวะ สมบูรณ์แบบ ถึงได้มีความใจกว้างและวิสัยทัศน์เช่นนี้ คาดว่านี่คงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมหลังจากเจียงซ่างเจินทำร้ายให้เจ้าได้รับบาดเจ็บแล้ว ถึงได้ไม่มีความคิดที่จะ ตีหมาตกน้ำซ้ำเติม ไม่อย่างนั้นในเมื่อข้าดักกระบี่บินไว้ได้แล้ว จะยังยอมทนดูเจ้า มายึดครองภูเขาจี้หวนไม่ยอมไปไหนคาตาของตัวเองหรอกหรือ? ใช้บาดแผล แลกบาดแผล ก็ต้องตัดรากถอนโถนให้จงได้ มีผู้ฝึกตนอิสระคนใดบ้างที่จะไม่ทำ?”
เซี่ยเจินใช้สองมือกดไว้บนร่างงูเขียวมีเขางอกที่กำลังอยู่ในสภาวะหลับลึกตัวนั้น แล้วกระตุกมุมปาก “ถ้าอย่างนั้นเจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า กระบี่บินที่ข้าส่งไป ไม่ได้มีแค่เพียงเล่มเดียว? เล่มที่เจ้าได้ไปครอง เป็นเพียงแค่เวทอำพรางตาเท่านั้น? เป็นข้าที่ จงใจปล่อยให้เจ้าดักไปได้? เจ้าไม่ลองคำนวณดูเสียหน่อยเล่า นับตั้งแต่ที่เจียงซ่างเจินออกจากเมืองสุยเจี้ยเดินทางกลับลงใต้ กับวันที่ข้าปรากฏตัวในภูเขาจี้หวน เป็นเพราะข้าเซี่ยเจินคำนวณไว้เรียบร้อยแล้วว่าเขากับเซียนกระบี่ทางทิศเหนือมีหวังที่จะ ปรากฎตัวพร้อมกันหรือไม่?”
ผู้เฒ่าถอนหายใจหนึ่งที “พูดถึงขนาดนี้แล้ว เจ้าอยากเดิมพันก็ตามใจเจ้า ถึงอย่างไรเจ้าเซี่ยเจินก็เดิมพันจนคลั่งไปแล้ว พูดมากไปก็ไร้ประโยชน์”
เซี่ยเจินแสยะยิ้มดุดัน “ใช่ ตอนนี้ข้าเดิมพันจนคลั่งไปแล้ว หากเจ้ายังมาทำตัวยืนพูดไม่ปวดเอวอยู่ตรงนี้ ก็อย่ามาโทษที่ข้ายอมทุ่มสุดชีวิตให้ตัวเองบาดเจ็บอีกครั้ง แต่ก็ต้องทำให้เจ้าหลอมเม็ดกระบี่เม็ดนั้นช้าขึ้นให้จงได้!”
ผู้เฒ่าโบกมือ “ช่างเถิด ถือเสียว่าสำนักของข้าในอนาคตขาดผู้ถวายงาน ขอบเขตหยกดิบไปคนหนึ่งแล้วกัน”
เซี่ยเจินโบกชายแขนเสื้อเป็นวงกว้าง ตวาดกร้าว “เจ้าสุนัขแก่ไสหัวไปเสียที เห็นหน้าเจ้าแล้วรำคาญตา!”
ผู้เฒ่าเพียงยิ้มรับ ก่อนที่ร่างจะหายวับไป
เซี่ยเจินยืนอยู่ท่ามกลางซากปรักของศาลาเหมือนสัตว์ที่ติดกับ เขาเดินวน เป็นวงกลม จากนั้นก็โบกชายแขนเสื้อทั้งสองข้าง ยอดเขาน้อยใหญ่สิบกว่าแห่ง ซึ่งรวมถึงภูเขาจี้หวนเป็นหนึ่งในนั้นเหมือนถูกมีดตัดเข้าที่ฐานภูเขา พากันลอยขึ้นกลางอากาศ แล้วจึงถูกเซี่ยเจินบังคับค่ายกลย้ายภูเขา ทำให้ยอดเขาชี้ลงดินห้อย กลับหัว แล้วจึงพากันร่วงกระแทกพื้น ทุกครั้งที่กระแทกลงในบริเวณสายน้ำภูเขาใกล้เคียงจะต้องมีฝุ่นคลุ้งกระจายมืดฟ้ามัวดิน
พลานุภาพที่ยอดเขาทุกลูกกระแทกลงบนพื้นล้วนมีพลังพิฆาตอันน่าตะลึง ที่อยู่ระหว่างขอบเขตโอสถทองกับขอบเขตก่อกำเนิด น่าเสียดายก็แต่ยันต์ค่ายกลประเภทนี้เป็นสิ่งไร้ชีวิต หากเสียเวลาอยู่กับมันนานเกินไปจะขยับเคลื่อนไปไหนไม่ได้ เซียนกระบี่หนุ่มที่สมควรโดนแทงเป็นพันเป็นหมื่นครั้งคนนั้นถูกเจ้าตะพาบเฒ่า แหวกหญ้าให้งูตื่น จึงไม่เดินเข้ามาในอาณาเขตของภูเขาจี้หวน ค่ายกลย้ายภูเขา ที่พลังอำนาจมหาศาลเพราะต้องทุ่มเงินไปก้อนใหญ่จึงกลายมาเป็นเรื่องตลกและ ของประดับตกแต่งอย่างหนึ่งเท่านั้น เวลานี้จึงถูกเซี่ยเจินเอามาระบายไฟโทสะที่ อัดแน่นอยู่ในอก
ในรัศมีพันลี้โดยรอบต่างก็สัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวอันน่าตะลึงเป็นระลอก ราวกับวัวดินกำลังพลิกตัว
ทำให้พวกเย่หานสามคนที่มองดูอยู่หัวใจหดรัดเกร็ง
สุดท้ายเซี่ยเจินก็เตรียมจะกระชากเอารากภูเขาของภูเขาจี้หวนลูกนี้ขึ้นมาแล้วบังคับให้ไปกระแทกอยู่กลางอากาศสูงเหนือทะเลเมฆด้วย
เพียงแต่ว่าเซี่ยเจินขมวดคิ้ว
บนเส้นทางของสันเขามีคนเดินลงมาสองคน หรือจะพูดให้ถูกคือสามคน
ชายหญิงคู่หนึ่งที่ลักษณะคล้ายคู่บำเพ็ญเพียรเดินเคียงไหล่กันมาพลางพูดคุยหยอกล้อกันอย่างสนุกสนานไปด้วย ในอ้อมอกของสตรียังอุ้มห่อผ้าที่ห่อเด็กทารกเอาไว้ สีหน้าของนางอ่อนโยนยิ่ง
ตรงเอวของสตรีห้อยกระบี่ยาวสีขาวหิมะที่ยาวมากเล่มหนึ่ง
เซี่ยเจินรู้สึกชาไปทั้งหนังศีรษะ
ส่วนบุรุษคนนั้นก็ยิ่งทำให้เซี่ยเจินเสียววาบไปทั้งแผ่นหลัง
บุรุษคนนั้นบ่นว่า “เอะอะอะไรกันนี่ เสียงดังหนวกหูลูกของข้ากับพี่หญิงลี่แล้ว เดี๋ยวก็ต้องทำหน้าผีหลอกให้นางอารมณ์ดีอีก นางถึงจะหยุดร้องไห้”
คราวนี้เซี่ยเจินสิ้นหวังจริงๆ แล้ว
สตรีที่ถูกบุรุษผู้นั้นเรียกอย่างสนิทสนมว่าพี่หญิงลี่
หากเป็นท่านผู้นั้นที่ตนเดาไว้จริง วันนี้ต่อให้ทุ่มสุดชีวิตก็อย่าหวังว่าจะหนีรอดไปได้
เซียนกระบี่หญิงภาคกลางของอุตรกุรุทวีปมีนามว่าลี่ไฉ่
กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตมีนามว่าเกล็ดหิมะ
กระบี่ประจำกายมีนามว่าซวงเจียว
คือหนึ่งในเซียนกระบี่ที่ยังไม่เคยเดินทางไปเยือนภูเขาห้อยหัว และตอนนี้ ยังคงอยู่ที่อุตรกุรุทวีป
เพื่อแสดงถึงความเคารพ ดังนั้นเซียนกระบี่จึงกลายเป็นเซียนกระบี่ใหญ่
ฟังดูเหมือนฝืนใจอย่างมาก
แต่พลังสังหารของนางนั้น เป็นของจริงแท้แน่นอน
เซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนทุกคนของอุตรกุรุทวีปล้วนไม่มีใครที่ไร้ฝีมือ ผู้ฝึกตนขอบเขตหยกดิบ ยกตัวอย่างเช่นท่านผู้นั้นของสำนักฉงหลิน ต่อให้เป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดก็ยังไม่อยากจะไปท้าทาย เอาชนะมาได้ก็ยังรังเกียจว่าน่าอับอาย แต่หาก มีเซียนกระบี่คนใหม่เลื่อนขั้นเป็นขอบเขตหยกดิบ ก็แทบจะต้องประลองกระบี่สู้ตายกับเซียนกระบี่อีกหลายคน หากตายไป แน่นอนว่าเป็นเพราะโชคไม่ดี ความสามารถไม่สูงยังกล้าทำตัวอวดเก่ง แบกรับบรรดาศักดิ์ของเซียนกระบี่เอาไว้ไม่อยู่
ตายไปก็ไม่นับเป็นอะไรได้ แต่หากสามารถรอดตายมาได้ก็จะมีคุณสมบัติที่จะหยัดยืนอยู่บนแผ่นดินของอุตรกุรุทวีป
เซี่ยเจินกัดฟัน หันหน้าไปคารวะยังทางภูเขาแล้วเอ่ยว่า “คารวะเซียนกระบี่ใหญ่ลี่ คารวะผู้อาวุโสเจียง”
เจียงซ่างเจินผู้นั้นยิ้มตาหยี “โอ้ เวลานี้รู้จักเรียกข้าว่าผู้อาวุโสแล้วรึ”
สตรีผู้นั้นขมวดคิ้ว “หากไม่เป็นเพราะเห็นว่าเจ้ายังพอจะรู้กาลเทศะ รู้จัก ส่งกระบี่บินมาแจ้งข่าวข้า เวลานี้เจ้าคงตายไปแล้ว ผู้ฝึกตนอิสระอย่างเจ้านี่ ไม่รู้จักมารยาทเลยหรือไร เปลี่ยนลำดับทักทายเสียใหม่”
เซี่ยเจินเกือบจะศีรษะระเบิดหลังจากได้ยินคำของอีกฝ่าย ได้แต่พูดเสียงสั่นว่า “คารวะผู้อาวุโสเจียง คารวะเซียนกระบี่ใหญ่ลี่!”
เจียงซ่างเจินตบแขนของเซียนกระบี่หญิง “เจ้าอย่าทำแบบนี้สิ เจียงหลางเป็นคนอย่างไร พี่หญิงลี่ยังไม่รู้อีกหรือ? ข้าไม่เคยถือสามารยาทจอมปลอมพวกนี้หรอก”
สตรีแค่นเสียงเย็น “บัญชีของเจ้า รออีกเดี๋ยวค่อยมาคิดกัน จะไปช่วยเจ้า สำแดงบารมีอยู่ที่ทะเลสาบซูเจี่ยนหรือไม่ ข้ายังไม่ได้รับปากเจ้าหรอกนะ”
เจียงซ่างเจินค้อมเอวลง เลิกมุมหนึ่งของผ้าอ้อมขึ้นด้วยสีหน้าปกติ พูดเสียงอ่อนโยนด้วยรอยยิ้ม “เสี่ยวนีเอ๋อร์ (นีเอ๋อร์เป็นคำเรียกเด็กหญิง) เจ้าอย่าโกรธท่านแม่ที่เจ้าเพิ่งรับมาเลยนะ รีบโตเร็วๆ เข้า พอพูดเป็นแล้วจะได้ช่วยพ่อขอความเมตตา”
มุมปากของสตรีกระดกขึ้นแล้วถูกกดลงไปอีกครั้ง
เซี่ยเจินที่น่าสงสารใกล้จะเป็นบ้าเต็มทีแล้ว
เจียงซ่างเจินหันหน้ามามองเซี่ยเจิน “เจ้าน่ะ เหมือนข้าในอดีต ต่อสู้เป็นแล้วก็หนีได้ นับว่าหาได้ยากยิ่ง เพราะฉะนั้นข้าถึงได้เหลือชีวิตสุนัขของเจ้าไว้ครึ่งหนึ่ง คิดว่าขอแค่ข้าได้พบกับพี่หญิงลี่ ยามที่จับมือกันลงใต้แล้วเจ้าสามารถทำตัวสงบเสงี่ยมได้ สักหน่อย ข้าก็จะไม่ถือสาหาความเจ้าให้มากเกินไป ช่วยไม่ได้ที่ความสามารถในการเผ่นหนีของเจ้ามีเหมือนข้าในปีนั้นครึ่งหนึ่ง แต่สมองกลับเหลวเป็นแป้งเปียก ราชครูแคว้นเมิ่งเหลียงผู้นั้นพูดจาอย่างจริงใจกับเจ้าไปมากมายขนาดนั้น แต่ละประโยค ล้วนเห็นเจ้าเป็นดั่งบุตรชายแท้ๆ ของเขาเอง แต่เจ้ากลับดีนัก ดันฟังไม่เข้าหู แม้แต่ครึ่งคำ ปีนั้นข้าเจียงซ่างเจินอยู่ในอุตรกุรุทวีปของพวกเจ้าเห็นพวกคนบนภูเขาที่มีใจนึกอยากตายอยู่อย่างเดียว แล้วข้าก็ทำให้พวกเขาสมปรารถนามานักต่อนักแล้ว แต่คนที่เปลี่ยนลูกไม้หาที่ตายอย่างเจ้า กลับมีให้เห็นได้ไม่บ่อยนัก”
เซี่ยเจินกล่าวเสียงหนัก “ขอร้องผู้อาวุโสเจียงโปรดให้โอกาสข้าอีกครั้ง ครั้งสุดท้าย!”
เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “เซียนกระบี่ใหญ่ท่านที่อยู่ทางทิศเหนือถูกเจ้าแอบ ชักนำมาได้จริงๆ เพียงแต่ว่าพวกเราสองสามีภรรยามีใจเป็นหนึ่งเดียวกัน ร่วมกันต้านรับศัตรู กว่าจะเล่นงานให้เขาถอยกลับไปได้ไม่ใช่เรื่องง่าย บริเวณใกล้เคียงกับ สายน้ำใหญ่ทางภาคกลางถูกผ่าจนเป็นท้องน้ำขนาดยักษ์หนึ่งเส้นและรูขนาดใหญ่หนึ่งรู ตอนนี้น่าจะเกิดเป็นทะเลสาบใหญ่เพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งแห่งแล้ว เจ้าว่า สนุกหรือไม่เล่า? นับว่าลำบากเขาแล้วจริงๆ เพื่อสังหารข้าเจียงซ่างเจิน เซียนกระบี่คนหนึ่งถึงกับยอมฝืนนิสัยเก็บหัวเก็บหางอำพรางตัวเอาไว้ โชคดีที่พี่หญิงลี่คุ้นเคย กับปณิธานกระบี่บนร่างเขา ไม่อย่างนั้นข้าเจียงซ่างเจินคงต้องทิ้งแขนหรือทิ้งขา ไว้ที่อุตรกุรุทวีปของพวกเจ้าแล้ว เซียนกระบี่ผู้นั้นก็น่าจะเอาหัวตัวเองโหม่งก้อนเต้าหู้ตายไปแล้ว มีแต่อันตรายรายล้อมอยู่รอบด้านจริงๆ เจ้าเซี่ยเจินช่างเป็นพวกไม่รู้จักหยุดอยู่เฉยๆ เสียบ้างเลย ถือว่าข้ากลัวเจ้าแล้ว ตกลงไหม? เซี่ยเจินนายท่านใหญ่เซี่ย ถือว่าข้าขอร้องเจ้าล่ะ ได้ไหม?”
เซี่ยเจินไม่เหลือความลังเลใดๆ อีกฝ่ายต้องไม่มีเจตนาดีอะไรแน่!
เสียงปังดังหนึ่งครั้ง
เซี่ยเจินก็จำแลงร่างจากร่างจริงไปนับร้อยนับพันรูปแบบ บ้างก็ทะยานลม บ้างก็เผ่นหนี บ้างก็ผลุบหายลงไปใต้ดิน พากันแยกย้ายหนีกระเจิง ขอแค่หนึ่งในนั้น หนีไปได้ก็มีชีวิตรอดแล้ว! วิชาลับที่ค่าตอบแทนสูงมากเช่นนี้ ต่อให้จะทำให้ตัวเอง ที่บาดเจ็บอยู่แล้วต้องบาดเจ็บเพิ่มอีก แต่ถึงอย่างไรก็ดีกว่าถูกผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนสองคนเล่นงานจนกายดับจิตสลาย
เจียงซ่างเจินกล่าวอย่างตกตะลึง “คราวก่อนไม่ได้ใช้วิธีหนีเช่นนี้ เจ้าตัวดี ไม่เสียแรง ที่เป็นเซียนในสายตาของมดตัวน้อยกลุ่มนี้จริงๆ ทำเอาข้าตกใจแทบตาย”
เซียนกระบี่หญิงที่อยู่ข้างกายเจียงซ่างเจินกระตุกมุมปาก ฝ่ามือดันด้ามกระบี่ที่พกเอาไว้ หลังจากเสียงสั่นสะท้านเบาๆ ผ่านไป กระบี่ไม่ได้ออกจากฝัก
ทว่าสี่ด้านแปดทิศของฟ้าดินรอบด้านภูเขาจี้หวนล้วนมีปราณกระบี่สีขาวหิมะเป็นเส้นๆ กลิ้งหลุนๆ เข้ามา บ้างก็เป็นเส้นตรง บ้างก็คดเคี้ยว บ้างก็ล่องลอย
พริบตาเดียวฟ้าดินพลันเงียบสงัด
เจียงซ่างเจินยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งไปคว้าจับโอสถทองหนึ่งเม็ดและคนจิ๋วที่ขนาดใหญ่เท่าเมล็ดข้าวสารแล้วเก็บไว้ในฟ้าดินของชายแขนเสื้อ จากนั้นก็คว้าอีกครั้ง จับงูเขียวมีเขางอกที่นอนอยู่บนพื้นอย่างซูบเซียวอ่อนระโหยเข้าไปเก็บไว้ในชายแขนเสื้อด้วยกัน พูดอย่างหงุดหงิดว่า “น่ารำคาญจะตายอยู่แล้ว ทำให้ข้าผู้อาวุโสได้เงิน ได้สมบัติมาอีกแล้ว!”
เซียนกระบี่สาวลี่ไฉ่ถลึงตามองเขาหนึ่งที
เจียงซ่างเจินเอ่ยเรียกชื่อที่เพิ่งตั้งของเด็กน้อยในห่อผ้าที่อยู่ในอ้อมอกของนางเบาๆ แล้วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวเอาไว้เป็นสินสอดของเสี่ยวนีเอ๋อร์ในอนาคตก็แล้วกัน”
ลี่ไฉ่มองไปเห็นสามคนที่อยู่ตรงนั้นก็ให้ขวางหูขวางตา จึงถามอย่างหงุดหงิด “กบใต้บ่ออย่างพวกเจ้าสามตัวจะเอายังไง?”
เจียงซ่างเจินเหล่ตามองคนทั้งสาม
คนทั้งสามนั้นได้คุกเข่าลอยตัวอยู่กลางอากาศแล้ว
เซี่ยเจินถือเป็นเซียนบนยอดเขาในใจของพวกเขา
ทว่าเวลาเพียงชั่วพริบตานี้กลับตายแล้ว?
เจียงซ่างเจินช่วยปัดชายแขนเสื้อข้างหนึ่งให้สตรีอย่างอ่อนโยน “ไม่สู้ปล่อย พวกเขาไปเถิด? นี่อยู่ต่อหน้าลูกสาวของพวกเรานะ…”
ระหว่างที่พูดก็มีใบหลิวใบหนึ่งพลันแทงทะลุหว่างคิ้วของเย่หานและฟ่านเหวยหราน สุดท้ายหายเข้าไปในร่างของเจียงซ่างเจิน เขายิ้มกล่าว “ถึงอย่างไรเสี่ยวนีเอ๋อร์ ก็หลับอยู่ มองไม่เห็น”
ศพของผู้ฝึกตนโอสถทองสองศพร่วงสู่ตีนเขาภูเขาจี้หวน
เจียงซ่างเจินไม่แม้แต่จะชายตามอง
ทรัพย์สมบัติเก่าๆ พังๆ บนร่างของพวกเขา มีค่าพอให้ข้าเจียงซ่างเจินค้อมเอว ยื่นมือไปเก็บให้ถ่วงเวลาการหาเงินก้อนใหญ่ของข้าหรือไร?
เหลือเพียงบรรพจารย์รองของดินแดนเซียนเป่าต้งที่รอดชีวิตเป็นคนสุดท้าย ผู้ฝึกตนขอบเขตประตูมังกรที่มีลักษณะเหมือนสตรีแต่งงานแล้วยังคงตัวสั่น หมอบกราบอยู่กับพื้นไม่ลุกขึ้นมา
คนทั้งสองเริ่มทะยานลมลงใต้ไปด้วยกัน
ลี่ไฉ่เห็นมาจนชินตา ไม่มีความประหลาดใจปรากฏให้เห็นแม้แต่น้อย
ปีนั้นหากไม่เป็นเพราะบุรุษปากหวานข้างกายผู้นี้ ตนที่อยู่ตรงด่านคอขวดของโอสถทองก็คงตายไปนานแล้ว
ครั้งนั้นเจียงซ่างเจินต้องเอาชีวิตครึ่งหนึ่งไปทิ้ง
นี่คือหนึ่งในการค้าขาดทุนที่มีน้อยจนนับนิ้วได้เมื่อครั้งที่เจียงซ่างเจินเดินทางมาท่องเที่ยวอุตรกุรุทวีป
แต่จนถึงทุกวันนี้นางก็ยังไม่รู้ว่าเหตุใดเขาต้องทำเช่นนั้น
ปีนั้นเขาชอบตน แน่นอนว่าเป็นเรื่องจริง แต่ก็เหมือนกับที่เขาชอบสตรีงดงาม คนอื่นๆ เท่านั้น บางทีอาจชอบมากกว่าเล็กน้อย แต่ก็ไม่ควรจะสู้สุดชีวิตเพื่อนาง แบบนี้ถึงจะถูก
ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้ นางอยากรู้คำตอบมาโดยตลอด ถึงขั้นยังเดินทาง ไปเยือนใบถงทวีปมารอบหนึ่ง เพียงแต่ว่าครั้งนั้นไม่เจอกับเจียงซ่างเจิน สวินยวนเจ้าสำนักผู้เฒ่าของสำนักกุยหยกบอกว่าเจียงซ่างเจินไปที่พื้นที่มงคลถ้ำเมฆาแล้ว ตอนนี้ยังไม่กลับมา เจ้าสำนักผู้เฒ่ายังช่วยนางด่าเจียงซ่างเจินไปรอบหนึ่ง บอกว่าตะพาบ ที่ทรยศต่อความรู้สึกอันดีของผู้อื่น มากรักหลายใจขนาดนี้ควรตายอยู่ในพื้นที่มงคล ถ้ำเมฆานั่นแหละ แม่นางลี่มองเขาทีหนึ่งยังอาจทำให้สายตาสกปรก สมควรแล้ว ที่พื้นที่มงคลเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่จนเขาเกือบจะไปตายอยู่ในนั้น…แต่ลี่ไฉ่เอง ก็รู้ว่าเจ้าสำนักผู้เฒ่ายังคงเข้าข้างเจียงซ่างเจิน พูดอ้อมๆ เกี่ยวกับตนไปมากมาย เห็นได้ชัดว่าไม่ต้องการให้ตนตัดใจจากเจียงซ่างเจินได้
แต่จนกระทั่งได้พบเจอกับเจียงซ่างเจินอีกครั้ง ลี่ไฉ่ที่ตอนนี้ได้กลายเป็น เซียนกระบี่หญิงของภาคกลางอุตรกุรุทวีปกลับไม่อยากรู้คำตอบอีกแล้ว
ลี่ไฉ่หันหน้าไปมอง ถามว่า “เจ้าไม่ไปทักทายหน่อยหรือ?”
เจียงซ่างเจินส่ายหน้า “มีความเกี่ยวพันกับเฮ้อเสี่ยวเหลียงมากเกินไป บวกกับ ที่เจ้าอยู่ข้างกายข้า ข้าเป็นคนต่างถิ่น ย่อมไม่กลัวความวุ่นวาย แต่เจ้าเป็นผู้ฝึกตน ของที่นี่ ข้าจะทำให้เจ้าเดือดร้อนไม่ได้”
ลี่ไฉ่ยิ้มบางๆ
นางพลันขมวดคิ้วถาม “ทัณฑ์สวรรค์ของเมืองสุยเจี้ยนั่น ข้าดูจากท่วงทำนองของทะเลเมฆแล้ว หากเป็นก่อกำเนิดที่อ่อนแอสักหน่อยก็ยังเป็นเรื่องยุ่งยากใหญ่เทียมฟ้า สรุปว่าเขาต้านรับไว้ได้อย่างไร”
เจียงซ่างเจินยิ้มตอบ “ยังจะทำอย่างไรได้อีก ก็แค่ทุ่มสุดชีวิตเท่านั้น เมื่อมี ความจริงใจก็ย่อมศักดิ์สิทธิ์ คำพูดประโยคนี้บางครั้งก็ยังต้องเชื่ออยู่บ้าง คนคำนวณ มิสู้ฟ้าลิขิต สัจธรรมแห่งดินมิสู้สัจธรรมแห่งฟ้า นี่ก็คือสัจธรรมอันสูงสุด เจ้าคนที่ปลอมตัวเป็นราชครูแคว้นเมิ่งเหลียงผู้นั้น ถึงอย่างไรก็พอจะมีความรู้อย่างผิวเผิน ใช้ขอบเขตก่อกำเนิดลอบมองฟ้า นับว่าไม่ง่ายเลย ดังนั้นเส้นทางอนาคตของเขา ย่อมต้องยิ่งใหญ่ยาวไกลกว่าเซี่ยเจิน”
ลี่ไฉ่พยักหน้ารับอย่างเห็นด้วย
เจียงซ่างเจินพลันเอ่ยว่า “ได้ยินว่าเจ้ารับลูกศิษย์หญิงที่มีพรสวรรค์ดีเยี่ยมมาคนหนึ่ง? ตอนนี้ยังมีความหวังว่าจะได้เลื่อนขั้นเป็นหนึ่งในลำดับสิบคนรุ่นถัดไปด้วย?”
ไฉ่ลี่สีหน้าปั้นยาก
เจียงซ่างเจินกลอกตามองบน “จะมาเป็นกังวลกับข้าไปไย กระต่ายไม่กินหญ้าข้างรังตัวเอง หนึ่งภูเขาชอบแค่คนเดียวเท่านั้น นี่คือเป้าประสงค์ที่ทำให้ข้า เจียงซ่างเจินเดินบนภูเขาได้รวดเร็วราวกับสายลม พันปีตั้งตระหง่านไม่ล้มลงดุจ ต้นสน!”
สีหน้าของลี่ไฉ่เย็นสนิทดุจน้ำค้างแข็ง ซักถามต่ออีกว่า “เจ้าถามเรื่องนี้ไปทำไม?”
เจียงซ่างเจินยิ้มกล่าว “ข้าก็แค่กลัวว่านางจะเดินตามรอยเจ้า ลูกศิษย์เลียนแบบอาจารย์ ชื่นชอบบุรุษดีๆ ที่ทองพันชั่งก็ยากจะซื้อหามาได้”
ลี่ไฉ่ส่ายหน้า “ลูกศิษย์คนนั้นของข้ามีจิตแห่งเต๋ามั่นคงเหนือกว่าข้าในอดีต มากนัก ตลอดชีวิตนี้นางไม่มีทางชอบใคร เรื่องที่ว่าสตรีดีๆ กลัวบุรุษจะมาตอแย ติดพันนั้น ไม่อาจใช้ได้ผลกับลูกศิษย์ของข้า”
เจียงซ่างเจินหัวเราะฮ่าๆ เสียงดัง “ผิดแล้ว ข้ากลัวว่านางจะไปตอแยติดพัน พี่น้องคนดีของข้าผู้นั้นต่างหาก”
ลี่ไฉ่หลุดหัวเราะพรืด
เจียงซ่างเจินยิ้มหน้าทะเล้น “พี่หญิงลี่ ถ้าอย่างนั้นพวกเรามาลองเดิมพันกันดู หากข้าแพ้ ข้าจะยอมทำตามทุกอย่าง แต่หากพี่หญิงลี่แพ้ ก็จะต้องมาเป็นผู้ถวายงานที่แขวนชื่ออยู่ในสำนักใหม่ของข้าที่ทะเลสาบซูเจี่ยน?”
ลี่ไฉ่พยักหน้ารับ “ตกลง!”
เจียงซ่างเจินมีสีหน้าประหลาดใจ “วิชาเดิมพันและโชคในการเดิมพันของข้า ในปีนั้นพี่หญิงลี่เคยประสบพบเจอกับตัวเองมาก่อนแล้ว เหตุใดครั้งนี้ถึงตอบรับรวดเร็ว ขนาดนี้?”
ลี่ไฉ่ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ลูกศิษย์คนนั้นของข้าต้องปิดด่านสามสิบปี คนหนุ่มผู้นั้น จะเตร็ดเตร่อยู่ที่อุตรกุรุทวีปสามสิบปีเลยหรือ?”
เจียงซ่างเจินเอื้อมมือมาคว้าชายแขนเสื้อของเซียนกระบี่หญิง “พี่หญิงคนดี ครั้งนี้ละเว้นข้าเถอะนะ?”
ลี่ไฉ่สีหน้าหม่นหมอง ถามว่า “ไม่สามารถชอบคนแค่คนเดียวได้จริงๆ หรือ?”
เจียงซ่างเจินยิ้มอ่อน “รอวันใดขอบเขตของพี่หญิงลี่สูงกว่าข้าแล้วค่อยว่ากัน”
ลี่ไฉ่ถอนหายใจ ใช้จิตแห่งกระบี่ตัดขาดริ้วคลื่นเหล่านั้นทิ้งอย่างเด็ดขาดทันที เดินทางไปเยือนชายหาดโครงกระดูกพร้อมกับเจียงซ่างเจิน โดยสารเรือของสำนัก พีหมาข้ามทวีปไปเยือนแจกันสมบัติทวีป
ได้ยินว่าเจ้าตะพาบข้างกายผู้นี้จะไปเยือนสถานที่แห่งหนึ่งที่ชื่อว่าภูเขาลั่วพั่วของเขตการปกครองหลงเฉวียนต้าหลี ใช้สถานะของโจวเฟยขอบเขตก่อกำเนิดไปขอตำแหน่งผู้ถวายงานที่ได้รับการบันทึกชื่อ
ฟังจากน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเรื่องนี้อาจจะไม่สำเร็จเสมอไป
ลี่ไฉ่หันหน้ามามองเจียงซ่างเจินที่เงียบงันใช้ความคิด
เวลายิ้มและพูดจากับคนอื่น กวนโอ้ยน่าเตะ
แต่เวลาไม่ยิ้มกลับจริงจังอย่างมาก
น่าเสียดายที่คนเช่นนี้ ว่ากันว่าตลอดชีวิตนี้มีเพียงสตรีคนเดียวที่เขาไม่อาจ ปล่อยวางได้ สตรีผู้นั้นกลับเป็นเพียงสตรีชาวบ้านทั่วไปด้านล่างภูเขา อีกทั้งเขายัง ไม่เคยแตะต้องนางมาก่อน เพียงแค่มองดูนางแต่งงานให้กำเนิดบุตรแก่ผู้อื่น ความงามร่วงโรย เส้นผมขาวโพลน แล้วจากโลกนี้ไปอย่างสงบ
ลี่ไฉ่ลังเลเล็กน้อย “เจียงซ่างเจิน หากวันนี้เจ้าได้เจอกับสตรีที่เหมือนกัน จะยังชอบนางแบบนั้นอยู่อีกไหม?”
เจียงซ่างเจินส่ายหน้า “แน่นอนว่าไม่”
ลี่ไฉ่คลางแคลงไม่เข้าใจ
เจียงซ่างเจินเอ่ยเนิบช้า “การพบกันครั้งแรกในชีวิต พบเจอกับเด็กสาวอรชรในภูเขา เดินขึ้นเขาเห็นสายน้ำขุนเขากว้างใหญ่ไพศาล แหงนหน้าเห็นเซียนขี่เมฆ ทะยานลมเห็นตะวันจันทราลอยกลางอากาศ กับภาพเหตุการณ์อีกมากมายทำนองเดียวกันนี้ ที่จะพบเจอในวันหน้า แน่นอนว่าต้องเป็นทัศนียภาพที่แตกต่างกัน ไม่แน่เสมอไปว่าคนและเรื่องราวที่พบเจอครั้งแรกจะต้องงดงาม แต่ความรู้สึกเช่นนั้นจะล้อมวนอยู่ ในหัวใจ ร้อยปีพันปีก็ยากจะลืมเลือน”
แล้วเจียงซ่างเจินก็หัวเราะ หันหน้ามาเอ่ย “ก็เหมือนปีนั้นที่ข้าได้พบพี่หญิงลี่ เป็นครั้งแรก สวมเพียงถุงเท้าเดินขึ้นบันได ในมือถือรองเท้าปักสีทอง…”
ลี่ไฉ่อับอายจนพานเป็นความโกรธ “หุบปากสุนัขของเจ้าเดี๋ยวนี้!”
เจียงซ่างเจินพูดเสียงอ่อนโยน “ภรรยาอย่าได้เขินอาย จิตใจสามีวุ่นวายไปหมดแล้ว”
เมืองอวี้ฮู่ของแคว้นไหวหวง
ตรงประตูเมืองติดประกาศของทางการและของตระกูลคนมีเงินเอาไว้ไม่น้อย เนื้อหาล้วนเป็นการเชิญให้ยอดฝีมือไปทำพิธีในบ้านของพวกเขา ช่วงท้ายของประกาศส่วนใหญ่เป็นถ้อยคำที่บอกว่าจะตบรางวัลให้อย่างงาม แต่จะให้เงินมากน้อยเท่าไร กันแน่ กลับไม่พูดถึงสักคำ
เฉินผิงอันที่ยืนอยู่ใต้กำแพงอ่านประกาศเหล่านั้นอย่างละเอียด ดูจากท่าทางแล้วทั้งในและนอกเมืองต่างก็วุ่นวายอย่างมาก
ซื้อเสบียงส่วนหนึ่งมาเพิ่มเติมจากในเมือง คืนนั้นเฉินผิงอันก็พักค้างแรม ในโรงเตี๊ยม ท่ามกลางม่านราตรี เขามานั่งดื่มเหล้าเงียบๆ อยู่บนหลังคา
และบนถนนของเมืองในยามค่ำคืนก็มีเงาร่างสีขาวหิมะสายหนึ่งลอยไปลอยมา แลบลิ้นปลิ้นตา ใบหน้าบิดเบี้ยวอยู่จริง สองเท้าของนางลอยพ้นพื้น ลอยไปทางนั้นทีทางนี้ที เพียงแต่ว่าปราณดุร้ายบนร่างยังเบาบาง ขอแค่เป็นครอบครัวที่แปะภาพ เทพทวารบาลเอาไว้ ไม่ว่าจะฟูมฟักปราณวิญญาณได้หรือไม่ นางก็ล้วนไม่ไปเยือน ตอนนี้ทางเมืองได้เปลี่ยนตัวคนเคาะระฆังบอกเวลาตอนกลางคืนเป็นชายฉกรรจ์ สองคนที่ขวัญกล้าเทียมฟ้า มีพลังหยางโชติช่วง ทางที่ว่าการยังตั้งใจเพิ่มเงินรางวัลก้อนหนึ่งให้พวกเขาเป็นพิเศษ ทุกวันสามารถซื้อเหล้าดื่มได้สองกา ผีสาวชุดขาว ที่ผูกคอตายตนนั้นอยากจะขยับเข้าใกล้พวกเขาอยู่หลายครั้ง แต่แค่เข้าใกล้ก็จะต้องถูกพลังหยางที่มองไม่เห็นกระแทกชนให้ถอยออกไป พอชนตออยู่หลายครั้งเขา นางจึงจากไปอย่างขุ่นเคือง ไปเกาครูดกำแพงไม้ของบ้านคนยากจน พวกคนบางคน ที่หลับสนิท นอนกรนเสียงดังเหมือนฟ้าผ่าไม่ได้ยินความเคลื่อนไหวจากทางด้านนอกแม้แต่น้อย มีแค่คนหลับไม่สนิทบางคนที่จะตกใจกลัวจนตัวสั่น ทำให้นางส่งเสียงหัวเราะคิกคัก ยิ่งฟังแล้วขนหัวลุก
เฉินผิงอันเห็นว่าผีที่ผูกคอตายตนนั้นไม่ได้เข้าเรือนไปทำร้ายคนอย่างแท้จริง จึงแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น
เขานอนอยู่บนหลังคา ยกขาไขว่ห้าง หยิบเอาพัดพับมาพัดลมเย็นเข้าใส่ตัวเบาๆ
เส้นสายนั้นกลัวการถูกดึงให้ยืดยาวออกไปมากที่สุด มองเห็นความจริงของ สองฝั่งไม่ชัด หากขึ้นไปบนสวรรค์มรกตหรือลงไปยังน้ำพุเหลือง ก็ต้องมีชาติก่อน และการกลับชาติมาเกิดใหม่ สูงต่ำ ก่อนหลัง ล้วนไม่แน่นอน
และก็ยิ่งกลัวว่าบนเส้นเส้นหนึ่งจะมีกิ่งก้านตัดสลับจนเกิดเป็นเส้นเล็กๆ นับไม่ถ้วนแยกออกไป ดีเลวปะปนกันพร่าเลือน กลายเป็นดั่งเชือกก้อนหนึ่งที่ ขมวดรวมอย่างยุ่งเหยิง
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเส้นเส้นหนึ่งถูกลากยาวก็หนีไม่พ้นที่ต้องว่ากันไป ตามสถานการณ์ ถ้าอย่างนั้นยิ่งมองไปไกลก็ยิ่งต้องเปลืองแรงมากเท่านั้น
ก็เหมือนกับผีสาวที่หลอกให้ชาวบ้านตกใจกลัว ไม่ว่าผู้ฝึกตนคนใดคิดจะสังหารนาง ก็ไม่ถือว่าเป็นความคิด สะสมบุญกุศลก็มีหลักการอยู่เหมือนกัน แต่หากมองให้ไกล อีกสักหน่อย ชาวบ้านที่อยู่โดยรอบเมืองอวี้ฮู่แห่งนี้รู้ว่าระหว่างฟ้าดินมีผีอยู่ วันหน้าอย่างน้อยที่สุดเมื่อคิดจะทำความชั่วก็จะต้องใคร่ครวญถึงคำว่าทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว และวัฎจักรสังสารการกลับมาเกิดใหม่หน่อยหรือเปล่า? ผีสาวตนนั้นล่องลอยไปในยามค่ำคืน ขอแค่นางไม่เคยทำร้ายคนอย่างแท้จริง สรุปแล้วนางผิดหรือถูกกันแน่? หรือว่าเหตุใดปีนั้นนางถึงแขวนคอฆ่าตัวตาย ทิฐิความดึงดันไม่สลายหายไปไหน จนกลายมาเป็นผี แล้วนางต้องเจอกับความไม่เป็นธรรมอะไรหรือไม่?
เฉินผิงอันหลับตาลง หลับยาวไปจนฟ้าสาง
การฝึกตนในทุกวันนี้ล้วนสามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา ดังนั้นตอนนี้จะท่องเที่ยวหาประสบการณ์อย่างไร เดินทางช้าหรือเร็วก็ล้วนไม่สำคัญแล้ว
ยามเช้าตรู่ของวันนี้ ขณะที่เฉินผิงอันออกนอกเมืองก็เห็นกลุ่มคนสี่คนฉีกประกาศของทางการฉบับหนึ่งลงมาอย่างห้าวเหิม ดูจากท่าทางแล้วน่าจะไปหาเรื่องพวกผี ที่แอบยึดครองวัดกลุ่มนั้น
เฉินผิงอันรู้สึกสงสัยเล็กน้อย คนสี่คนนี้ สองชายสองหญิง สวมใส่อาภรณ์ที่ ไม่ถือว่าใหม่เอี่ยม ไม่ใช่ว่าแกล้งทำเป็นจน แต่เป็นคนไม่มีเงินจริงๆ คนที่อายุมากสุดคือบุรุษวัยกลางคนที่มีตบะเป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตสอง เด็กหนุ่มคนนั้นน่าจะเป็น ลูกศิษย์ของเขา พอจะถือว่าเป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวได้คนหนึ่ง ส่วนสตรีสองคน ดูจากหน้าตาแล้วน่าจะเป็นพี่น้องกัน และก็เป็นผู้ฝึกลมปราณที่เพิ่งจะเหยียบลงบนเส้นทางของการฝึกตน ในช่องโพรงลมปราณมีปราณวิญญาณเบาบางกักเก็บอยู่ แต่ก็น้อย จนสามารถมองข้ามไปได้โดยตรง
หากจะบอกว่าผู้ฝึกตนใหญ่แคว้นเมิ่งเหลียงที่ปลอมตัวเป็นนักเล่านิทานสามารถทำให้เฉินผิงอันมองออกว่าเป็นผู้ฝึกลมปราณขอบเขตสอง
แต่เขากลับยังเกิดใจระแวดระวัง อันที่จริงนี่ล้วนเป็นเพราะภาพบรรยากาศที่ปรากฏอยู่รอบตัวคนผู้นั้นทำให้เขารู้สึกเช่นนี้
ชายหญิงสี่คนที่อยู่ตรงหน้านี้มีเพียงแค่ตบะที่ตื้นเขินจริงๆ
รับมือกับผีสาวชุดขาวแขวนคอตายที่ล่องลอยอยู่ในเมืองอาจจะไม่ยาก แต่วัดนอกเมืองแห่งนั้นเป็นผีที่รวมตัวกันกลายเป็นกลุ่มอิทธิพล อีกทั้งยังกล้ายึดครองวัดที่เดิมทีควันธูปไม่เลว ขับไล่ภิกษุทั้งหมดออกจากวัด พวกเขาสี่คนน่าจะรับมือได้ยากถึงจะถูก หากไม่ระวัง ไม่มีวิชาป้องกันชีวิตที่เป็นดั่งสมบัติก้นกรุแล้วล่ะก็ อาจจะกลายเป็นว่าพาตัวไปเป็นซาลาเปาไปเป็นเกี้ยวที่มอบให้กับวัดแห่งนั้นก็เป็นได้
เฉินผิงอันคิดแล้วจึงไม่ได้ออกจากเมืองไปโดยตรง แต่แอบฟังคำกระซิบของ พวกเขาที่นึกว่าไม่มีใครได้ยิน พวกเขาคุยกันเรื่องยิบย่อยที่บอกว่าก่อนหน้านี้ไปซื้อยันต์กระดาษเหลืองจากร้านในเมืองมาเป็นจำนวนมาก และเอาทองก้อนมาบดละเอียดแล้วทาลงบนตัว เด็กสาวสองคนที่หนาวจนข้างแก้มเป็นสีแดงก่ำยังพูด อีกว่า ทางที่ดีที่สุดคือสามารถทวงเงินค่ามัดจำมาจากทางการได้ อาศัยประกาศของทางฝั่งเจ้าเมืองไปขอยืมภาชนะอย่างพวกกระถางรมควันธูปหลายๆ ใบมาจากทางศาลเทพอภิบาลเมืองและศาลบู๊ โอกาสชนะของพวกเราก็จะเพิ่มมากขึ้น การเดินทางไปเยือนวัดจินตั๋วก็จะมั่นคงมากขึ้น
เด็กหนุ่มบ่นเล็กน้อย บอกว่าเหตุใดไม่ปราบภูตจิ้งจอกปีศาจกระต่ายเหล่านั้น เงินรางวัลสองก้อนรวมกันจากทางการและตระกูลคนรวยต้องได้มาครองอย่างสบายๆ แน่นอน ความเสี่ยงก็ไม่มากด้วย
สตรีอายุมากกว่าหน่อยที่เรือนกายสูงเพรียว หน้าตาอยู่ในระดับกลางๆ จึงอธิบายกับเด็กหนุ่มเสียงเบาว่า หากถูกพวกภูตผีในวัดจินตั๋วรู้ร่องรอยของพวกเขา มีแต่จะยิ่งต้องเพิ่มการป้องกันมากขึ้น และโอกาสที่จะทำสำเร็จก็จะยากมากขึ้น
เฉินผิงอันฟังจากน้ำเสียงในการพูดคุยของพวกเขาแล้วเห็นว่าเอาจริงเอาจังกันอย่างมาก ไม่มีความผ่อนคลายเบาสบายอยู่เลย ไม่เหมือนกับท่าทีห้าวเหิมอย่างตอนที่ชายฉกรรจ์คนนั้นฉีกประกาศออก
เฉินผิงอันจึงออกมาจากเมือง มุ่งหน้าตรงไปยังวัดจินตั๋วที่อยู่ห่างจากเมือง ไปประมาณสามสิบลี้ จากนั้นก็มาหยุดพักอยู่ในศาลาข้างทางในขณะที่อยู่ห่างจาก วัดจินตั๋วอีกประมาณเจ็ดแปดลี้ พักเท้ารออยู่ที่นั่น ด้านนอกศาลาก็คือธารน้ำอิงภูเขาที่สายน้ำไหลริกๆ
รอจนกระทั่งถึงช่วงเที่ยงวันถึงได้เห็นเงาร่างของคนทั้งสี่
เฉินผิงอันไม่รอให้พวกเขาขยับเข้ามาใกล้ก็เริ่มเดินมุ่งหน้าไปทางวัดจินตั๋วต่อ
สะพายหีบไม้ไผ่ ในมือถือไม้เท้า เดินชะลอฝีเท้าคล้ายบัณฑิตอ่อนแอคนหนึ่ง ที่เดินทางอย่างยากลำบาก
เพียงไม่นานคนทั้งสี่ก็เดินมาทันบัณฑิตชุดขาว ตอนที่เดินสวนไหล่กัน ชายฉกรรจ์ที่เป็นหัวหน้าถือกระบอกธูปใบใหญ่ใบหนึ่งไว้ในมือ เขาชำเลืองตามองคนผู้นี้ แต่ไม่นานก็ดึงสายตากลับ เด็กหนุ่มที่มองดูเหมือนนิสัยซื่อๆ ส่งยิ้มมาให้ บัณฑิต ก็ส่งยิ้มกลับไปให้เขา เด็กหนุ่มจึงยิ้มกว้างยิ่งกว่าเดิม ต่อให้หันหน้ากลับไปแล้ว ก็ยังไม่ได้หุบรอยยิ้มลงในทันที
สตรีที่อายุมากกว่าขมวดคิ้ว แต่ก็ไม่เอ่ยอะไร น้องสาวของนางอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกนางคว้าจับชายแขนเสื้อเอาไว้ บอกเป็นนัยแก่น้องสาวว่า อย่าสร้างเรื่อง เด็กสาวจึงยอมหยุด ทว่าเด็กสาวที่สองแก้มแดงก่ำเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ยังอดใจไม่ไหวหันหน้ากลับมา ยิ้มถามว่า “บัณฑิตอย่างเจ้าก็จะไปจุดธูปไหว้พระ ที่วัดจินตั๋วด้วยหรือ? เจ้าไม่รู้หรือไรว่าชาวบ้านของเมืองอวี้ฮู่ต่างก็ไม่ไปที่นั่นกันแล้ว เจ้ากลับดีนัก คิดจะไปชิงธูปประธานหรืออย่างไร?”
บัณฑิตปาดเหงื่อบนหน้าผาก หอบหายใจเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มเอ่ยว่า “ข้าเพิ่งมาถึง เมืองอวี้ฮู่ มีสหายที่รู้จักกับภิกษุที่วัดจินตั๋ว บอกว่าหากไปที่นั่นสามารถไปพักค้างแรมอ่านตำราได้ ทั้งเงียบสงบ แล้วก็ไม่ต้องจ่ายเงิน”
เด็กสาวกำลังจะพูด แต่กลับถูกพี่สาวของนางหยิกแขน เจ็บจนใบหน้าของนาง ยับยู่ หันหน้ามาพูดเบาๆ “ท่านพี่ ตอนนี้กลางวันแสกๆ ใกล้ๆ นี้คงไม่มีพวกผีในวัด มาสืบข่าวที่นี่หรอก หากบัณฑิตคนนี้ไปที่วัดจินตั๋วจริงๆ ถึงเวลานั้นพวกเราตีกับพวกผีขึ้นมา สรุปว่าเราจะช่วยเขาหรือไม่ช่วยเล่า? แบบนั้นจะยิ่งไม่ลำบากใจกว่าเดิม หรอกหรือ? หากไม่ช่วย ต่อให้สังหารภูตผีปีศาจและได้เงินมาแล้ว มโนธรรมในใจ ของข้าก็คงไม่อาจสงบลงได้ ข้าจะบอกเขาสักคำ ไม่ให้เขาพาตัวไปตายเปล่าๆ อ่านหนังสือที่ไหนดันไม่อ่าน จะไปอ่านในรังของพวกผีเสียได้ คนผู้นี้ก็จริงๆ เลย ด้วยโชคที่ย่ำแย่เช่นนี้ของเขา แค่มองก็รู้แล้วว่าคงไม่มีชะตาดีๆ ที่จะสอบติด กระดานทองคำได้หรอก”
พี่สาวของนางถอนหายใจเบาๆ ใช้นิ้วดีดหน้าผากเด็กสาวแรงๆ “พยายามพูดให้น้อย ขวางบัณฑิตไว้ได้แล้ว เจ้าก็ห้ามเอาแต่ใจอีก การเดินทางไปเยือนวัดจินตั๋วหลังจากนี้ต้องเชื่อฟังข้าทุกเรื่อง!”
เด็กสาวปิติยินดี ชะลอฝีเท้าให้ช้าลง มาเดินเคียงไหล่กับบัณฑิต ยิ่งทิ้งระยะห่างจากสามคนที่อยู่เบื้องหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ
ประโยคแรกของเด็กสาวนั้นเข้าใจพูดอย่างมาก “บัณฑิตท่านนี้ เจ้าแต่งงานหรือยัง คิดว่าพี่สาวของข้าหน้าตาเป็นอย่างไร?”
บัณฑิตต่างถิ่นยิ้มกล่าว “แม่นางอย่าล้อข้าเล่นเลย”
เด็กสาวพลันคลี่ยิ้ม “หยอกเจ้าเท่านั้นแหละ”
จากนั้นเด็กสาวก็ตีหน้าเคร่ง “หลังจากนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นแล้ว ตอนนี้วัดจินตั๋วแห่งนั้นอันตรายอย่างมาก มีผีร้ายกลุ่มหนึ่งปรากฎตัวแล้วขับไล่ภิกษุในวัดไปท่ามกลางแสงสายัณห์ ขนาดเจ้าอาวาสที่พอจะมีวิชาคาถาติดตัวอยู่บ้างก็ยังตายคาที่ แถมยังมีพวกภิกษุและคนมีจิตศรัทธาอีกส่วนหนึ่งที่หนีไม่ทันต้องตายไป พวกมัน ยึดครองวัด กินคนจริงๆ นะ เพราะฉะนั้นเจ้าอย่าไปเลย ตอนนี้ในวัดไม่มีพระหัวโล้นแม้แต่คนเดียว ไม่ได้หลอกเจ้าจริงๆ หากเจ้าไม่เชื่อก็ลองไปสืบข่าวที่เมืองดูได้ ถ้าข้าโกหกเจ้า เจ้าก็แค่ไปกลับเสียเที่ยวเท่านั้น แต่หากข้าไม่ได้โกหกเจ้า เจ้าจะไม่ต้องมาตายอย่างอยุติธรรมอยู่ต่างบ้านต่างเมืองหรอกหรือ? ยังจะสอบติดตำแหน่งดีๆ สร้างชื่อเสียงให้แก่วงศ์ตระกูลได้อย่างไร?”
บัณฑิตคนนั้นถาม “แล้วทำไมพวกเจ้าถึงจะไปจุดธูปไหว้พระที่นั่นล่ะ?”
เด็กสาวกระทืบเท้า “นี่เจ้ามองไม่ออกหรือว่าพวกเราเป็นคนมีความสามารถที่มาเพื่อกำจัดปีศาจปราบมาร?!”
บัณฑิตอึ้งตะลึงไป ก่อนจะหัวเราะเสียงดัง “บนโลกนี้มีภูตผีปีศาจเสียที่ไหน แม่นางอย่าได้หลอกข้าเลย”
สตรีและชายฉกรรจ์ที่เดินอยู่ด้านหน้าหันมามองหน้ากัน ต่างก็ส่ายหัว
เด็กหนุ่มก็ยิ่งกระตุกมุมปาก
มีเพียงเด็กสาวสองแก้มแดงปลั่งน่ารักน่าเอ็นดูที่ร้อนใจขึ้นมาแล้ว “พี่สาวข้าบอกว่าบัณฑิตอย่างพวกเจ้าล้วนดื้อดึง ยากที่จะกลับใจมากที่สุด หากเจ้ายังไม่รู้จักหนักเบาแบบนี้ต่อไป ข้าคงต้องต่อยเจ้าให้สลบ จากนั้นก็โยนเจ้าไว้ในศาลา แต่ทำแบบนั้น ก็มีอันตราย หากถึงยามค่ำคืนแล้วมีพวกภูตผีตัวสองตัวหนีรอดออกมาได้ ถ้าพวกมันได้กลิ่นคนเข้า เจ้าก็ยังต้องตายอยู่ดี บัณฑิตที่อ่านตำรามากจนสมองทึ่มทื่อรีบไป ได้แล้ว!”
บัณฑิตพูดอย่างโง่งม “ตอนนี้ข้าหิวจะตายอยู่แล้ว ในกระเป๋าก็ไม่มีเงิน ไม่อาจเดินไปกลับเมืองอีกจริงๆ อีกเดี๋ยวข้าจะรอดูอยู่ข้างนอกวัดจินตั๋วก็แล้วกัน หากไม่มีผู้มีจิตศรัทธาและภิกษุอยู่เลยสักคนเดียว ข้าค่อยหันหัวกลับทันที”
เด็กสาวทอดถอนใจ “พี่สาวข้าบอกแล้วว่า ผีเหล่านั้นมีตบะสูงส่งลึกล้ำ สามารถร่ายใช้วิชาอภินิหาร แผ่ปราณดุร้ายปิดบังไปทั่วแผ่นฟ้า เมฆทะมึนบดบังดวงอาทิตย์ ถึงเวลานั้นเจ้ายังจะหนีอย่างไร?”
เด็กสาวตะโกนไปข้างหน้า “ท่านพี่ ให้ข้าพาเจ้าทึ่มผู้นี้กลับไปที่เมืองก่อนเถอะ อย่างมากข้าก็แค่ต้องวิ่งให้เร็วสักหน่อย รับรองว่าจะไปถึงวัดจินตั๋วก่อนฟ้ามืด ได้แน่นอน”
พี่สาวของนางพูดอย่างเดือดดาล “พวกเราเลือกเวลากันมาก่อนตั้งแต่แรกแล้ว นี่ก็เพราะกังวลว่าผีในวัดจะสามารถปรากฏตัวตอนกลางวัน และยังพยายามหายันต์มาเพิ่มให้มากขึ้น หากผีร้ายพวกนั้นสามารถบังคับเมฆให้ปกคลุมวัด ไม่มีเจ้า พวกเราจะทำอย่างไร เจ้าคิดจะช่วยเก็บศพให้พวกเราสามคนหลังจบเรื่องอย่างนั้นหรือ? มรสุมที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เจ้าลืมไปแล้วหรือไร?!”
เด็กสาวอัดอั้นไม่สบายใจ ร้องอ้อรับหนึ่งที ไหล่ลู่คอตก พูดกับบัณฑิตว่า “บัณฑิต ไปเสียเถอะ พวกเราไม่ได้รู้จักกันเสียหน่อย ข้าคงไม่ถึงขั้นที่ต้องเอาเจ้ามาหาความบันเทิงให้ตัวเอง จงใจหลอกว่าที่วัดจินตั๋วมีผีเข้าออกหรอก”
ทว่าบัณฑิตกลับทำให้นางโมโหจนน้ำตาคลอ เขายังดึงดันบอกว่าจะต้องไปดู ที่หน้าประตูวัดจินตั๋วกับตาตัวเองให้ได้
นางเตรียมจะยื่นมือปล่อยหมัดใส่เขา ความหวังดีถูกมองเป็นประสงค์ร้าย แต่นางก็ไม่อาจทนเห็นเขาพาตัวไปตายคาตาตัวเองได้
คิดไม่ถึงว่าเจ้าหนอนหนังสือผู้นั้นจะถอยหลังไปหนึ่งก้าว “แม่นางอย่าได้ลงไม้ลงมือกับคนอื่นสิ วิญญูชนขยับปากไม่ขยับมือ หากถูกเจ้าตีสลบแล้วทิ้งไว้ในศาลา ถึงเวลานั้นหากมีคนมาขโมยหีบไม้ไผ่ของข้าไป เจ้าจะชดใช้เงินให้ข้าหรือไร?”
เด็กสาวหันตัวกลับ วิ่งเร็วๆ จนตามไปทันพี่สาว ยกมือเช็ดใบหน้าอย่างแรง
นางรู้สึกว่าเหตุใดใต้หล้านี้ถึงมีคนที่ใจดำขนาดนี้ได้
นางใกล้จะเสียใจตายอยู่แล้ว
แต่นางก็อดไม่ไหวหันกลับไปมองอีกครั้ง เจ้าหมอนั่นยังตามมาจริงๆ
ในขณะที่นางลังเลว่าควรจะต่อยเขาอีกครั้งดีไหม เจ้าตัวดีนั่น เวลาที่ควรฉลาด ไม่ฉลาด เวลาที่ควรโง่กลับไม่โง่ เขาดันยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับมาเบื้องหน้า
เด็กสาวกำลังจะด่าเขา แต่กลับถูกพี่สาวคว้าแขวนเอาไว้ “หยุดทำตัวเหลวไหล ได้แล้ว!”
เด็กสาวก้มหน้าลง
เฉินผิงอันยิ้มอย่างเข้าใจ
ดูท่าคงทำให้คนดีคนหนึ่งต้องผิดหวังแล้ว
เขายังคงเดินตามมาด้านหลังช้าๆ สองฝ่ายทิ้งระยะห่างจากกันมากขึ้นเรื่อยๆ
เด็กสาวกำลังจะหันหน้ากลับไป แต่กลับถูกพี่สาวของนางตวาดดุ “จะต้องทำร้ายให้พวกเราตายหมด เจ้าถึงจะพอใจใช่ไหม? เจ้าไม่กลัวหรือว่า แท้จริงแล้วคนผู้นั้น คือผีชางของกลุ่มผีร้ายนั่น?”
ในที่สุดเด็กสาวก็ไม่หันกลับไปอีก
นางก้มหน้าเดินเตะก้อนหินเล็กๆ ไปตลอดทาง
พี่สาวของนางทอดถอนใจ “นิสัยนี้ของเจ้า สักวันต้องเสียเปรียบครั้งใหญ่ ทำดีได้ชั่ว ตลอดทางมานี้ พวกเราพบเห็นมาน้อยนักหรือ?”
เด็กสาวร้องอ้อรับหนึ่งที ไม่เอ่ยตอบโต้
ห่างไปไกล บัณฑิตชุดขาวที่เบื่อหน่ายใช้ไม้เท้าเดินป่าเขี่ยหินแต่ละก้อนกลับมาอยู่ตำแหน่งเดิม ยิ้มบางเอ่ยว่า “เป็นแบบนี้จริงๆ หรือ?”
ขยับเข้าใกล้วัดจินตั๋ว เด็กสาวแอบหันหน้ากลับไป เนื่องจากเส้นทางภูเขา คดเคี้ยวจึงมองไม่เห็นเงาร่างของบัณฑิตคนนั้นแล้ว
คนทั้งสี่เดินหน้าไปได้อีกหนึ่งลี้ การมองเห็นก็พลันเปิดกว้าง สีหน้าของสตรี อายุน้อยเปลี่ยนมาเป็นเคร่งเครียด “ถึงแล้ว”
ชายฉกรรจ์พยักหน้ารับ
เห็นเพียงว่าในวัดจินตั๋วมีปราณดุร้ายจางๆ ไหลเวียนวนไม่หยุดนิ่ง เพียงแต่ว่า มันเบาบางมาก แค่ลมพัดมาก็สลายหายไป สตรีกล่าวอย่างกังขา “ดูเหมือนว่า จะผิดปกติ เมื่อคืนวานพวกเรามองวัดมาจากที่ไกลๆ ปราณดุร้ายไม่ควรน้อยเพียงนี้ ถึงจะถูก”
ชายฉกรรจ์ใคร่ครวญอยู่ชั่วครู่ก็เอ่ยว่า “นี่เป็นเรื่องดี บางทีดวงอาทิตย์ที่ลอยกลางนภาอาจบีบให้ภูตผีสิ่งสกปรกเหล่านั้นได้แต่หลบเร้นกายไม่กล้าออกมาจริงๆ ก็ได้ พวกเราสองอาจารย์และศิษย์ก็จะได้เอายันต์ไปติด สาดข้าวสารเสกและ เลือดหมาได้พอดี ส่วนพวกเจ้าก็ไปจัดวางค่ายกล ถึงยามสนธยา ท้องฟ้ายังมีแสงสว่างเสี้ยวสุดท้ายเหลืออยู่ ก็ค่อยใช้วิชาอสนีลากพวกมันออกมาจากใต้ดิน วัตถุหยินกลุ่มนี้ไม่มีฟ้าอำนวยดินอวยพรแล้ว พวกเราก็จะยิ่งปลอดภัยมากขึ้น”
สตรีพยักหน้ารับ ก่อนจะหันไปพูดกับน้องสาวที่ทำท่าพร้อมลงมือเต็มที่ “รวบรวมสติให้ดี อย่าได้ประมาทเด็ดขาด วิธีการของวัตถุหยินและผีร้ายมีมากมาย ไม่รู้จบสิ้น หากวัดจินตั๋วแหง่นี้เป็นหลุมพรางที่ล่อให้ศัตรูมาติดกับจริงๆ พวกเรา ก็คงต้องแบกรับผลที่ตามมา”
ดวงตาของเด็กสาวเป็นประกายสว่างไสว “ท่านพี่ ท่านวางใจเถอะ”
ไปถึงหน้าประตูใหญ่ของวัดจินตั๋ว เด็กสาวที่สองข้างแก้มแดงปลั่งเรือนกาย ปราดเปรียวกระโดดขึ้นไปบนหัวกำแพง บริเวณพื้นดินด้านหน้าตำหนักใหญ่มี โครงกระดูกขาวกลาดเกลื่อนอยู่เป็นจำนวนมาก น่าจะเป็นของพวกภิกษุและผู้มี จิตศรัทธาที่โชคไม่ดี นางโยนกระดาษยันต์สีเหลืองที่เขียนด้วยผงทองล้ำค่าแผ่นหนึ่งออกไปอย่างรวดเร็ว กระดาษยันต์แปะลงบนขอบประตูเบื้องบนพอดี ทว่ากลับไม่มีวี่แววว่ายันต์จะเผาไหม้ ครู่หนึ่งต่อมา นางจึงหันหน้ามาเอ่ย “ตำหนักหน้าไม่มีผีร้าย ท่านอาซ่งแปะยันต์ลงบนหน้าประตูวัด พอเข้ามาแล้วก็เดินวนสาดข้าวสารเสกไปรอบกำแพงอย่างสบายใจได้เลย”
จากนั้นพวกนางสองพี่น้องก็เริ่มเคลื่อนตัวอย่างคล่องแคล่วฉับไว นำเข้าไป ในวัดก่อน แล้วจึงนำยันต์กระดาษเหลืองทั่วไปแปะตามจุดต่างๆ อย่างบนหัวกำแพง บนเสาเรือน ฯลฯ มีเพียงสถานที่สำคัญอย่างประตูของตำหนักใหญ่ กรอบป้ายเท่านั้นที่ถึงจะแปะยันต์ล้ำค่าที่ใช้ผงทองบดมาเขียนต่างน้ำหมึก
สองอาจารย์และศิษย์โยนกระบอกธูปไปไว้อีกด้านหนึ่ง จากนั้นแต่ละคน ก็ปลดห่อผ้า หยิบเอาถุงผ้าฝ้ายบรรจุข้าวสารเสกเก่าแก่หนักอึ้งถุงแล้วถุงเล่าออกมา รวมไปถึงถุงน้ำหนังวัวที่บรรจุเลือดหมาดำอีกหลายถุง แล้วจึงเริ่มทำการ ‘จัดวาง ค่ายกล’ ไว้ที่ตำหนักหน้าอย่างคุ้นเคย
จนกระทั่งมาถึงด้านหลังสุดของวัดที่กินอาณาบริเวณกว้างใหญ่แห่งนี้ คนทั้งสี่ จึงมารวมตัวกันอย่างปลอดภัย
มีเพียงในตำหนักด้านข้างที่ประตูใหญ่ปิดสนิทแห่งหนึ่งเท่านั้นที่เด็กสาวบอกว่าปราณดุร้ายเข้มข้นมาก ดังนั้นพวกเขาจึงร่วมแรงกันนำยันต์กระดาษสีเหลือง หลายสิบแผ่นไปติดตามประตูหน้าต่าง หลังคา ชายคา ฯลฯ ส่วนหลังคาเรือนนั้น หญิงสาวเป็นผู้ขึ้นไปแปะยันต์ด้วยตัวเอง จากนั้นเด็กสาวก็เริ่มรื้อกระเบื้อง แต่ละแผ่นออก ปล่อยให้แสงอาทิตย์สาดส่องลงไปในตำหนักข้างนี้ ด้านในมีเสียงร้องโหยหวนดังมาระลอกหนึ่ง รวมไปถึงเสียงลั่นเปรี๊ยะปร๊ะที่ควันดำถูกแสงแดดแผดเผาจนกลายเป็นผุยผง
สุดท้ายคนทั้งสี่พลิ้วกายลงหน้าประตูของตำหนักข้าง
หันมามองหน้าแล้วยิ้มให้กัน
ในมือของหญิงสาวถือเชือกพันธนาการปีศาจที่ปีนั้นต้องทุ่มทรัพย์สมบัติที่มีถึงจะซื้อมาได้ในราคาสี่สิบเหรียญเงินเกล็ดหิมะ!
น้องสาวของนางประหลาดยิ่งกว่า ก่อนหน้านี้นางท่องคาถา นั่งอยู่บนพื้น พลางหยิบถุงผ้าปักลายใบหนึ่งออกมา พอคลายปมเชือกออก เงินเหรียญทองแดงเก่าแก่ที่มีรูปแบบแตกต่างกันก็พากันกลิ้งออกมาแล้วกระจายตัวไปสี่ทิศด้วยตัวเอง
ส่วนอาจารย์และศิษย์สองคนกลับมีเพียงมือเปล่า ทว่าตรงเอวของชายฉกรรจ์ห้อยลูกดอกไว้รอบเอว บนลูกดอกสลักอักขระยันต์ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่อาวุธของ ผู้ฝึกยุทธในยุทธภพบนโลก
สตรีและชายฉกรรจ์หันมามองหน้าแล้วยิ้มให้กัน
ดูท่าตบะของพวกผีร้ายในวัดจะไม่ได้สูงส่งลึกล้ำอย่างที่ทั้งสองฝ่ายคาดการณ์ กันเอาไว้ อีกทั้งยังหวาดกลัวแสงอาทิตย์อย่างมาก หากไม่มีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้น วัดจินตั๋วแห่งนี้ก็น่าจะไม่มีผีร้ายหลายสิบตัวอะไรรวมตัวกันอยู่เลย เพียงแค่ชาวบ้านของเมืองอวี้ฮู่หวาดกลัวเกินไป เอาไปเล่ากันปากต่อปากจนเกินจริง ถึงได้มีโอกาสให้พวกเขาได้หาเงิน
ช่างมาเจอโชคใหญ่เทียมฟ้าจริงๆ!
พูดว่าโชคดีหล่นใส่ตัวก็ไม่เกินจริงไปแม้แต่น้อย!
ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ในที่ว่าการของจวนเจ้าเมือง ต้องต่อรองราคากับขุนนาง ที่ตระหนี่ถี่เหนียวคนนั้นอยู่นาน ทั้งปะเหลาะพูดดี ทั้งหลอกลวง ทั้งข่มขู่ นี่ถึงได้ทำให้ทางการยอมรับปากว่าจะจ่ายเงินขาวให้ห้าพันตำลึง หากได้เงินเพียงเท่านี้ ต่อให้ พวกเขาที่ผ่านความลำบากยากเข็ญสามารถสยบกำราบภูตผีที่ป้วนเปี้ยนอยู่ใน วัดจินตั๋วไว้ได้ ก็ไม่ถือว่าคุ้มค่าอยู่ดี หากมีใครบาดเจ็บล้มตายขึ้นมาก็ยิ่งไม่คุ้มกัน แต่นอกจากเงินรางวัลที่ทางการจะมอบให้แล้ว พวกเขายังได้รับผลเก็บเกี่ยวก้อนใหญ่อีก นั่นคือเงินขาวอีกก้อนหนึ่งที่ท่านเจ้าเมืองรับปากว่าจะมอบให้ คือเงินสามหมื่นตำลึงเงินที่ตระกูลร่ำรวยและตระกูลปัญญาชนในเมืองยินดีช่วยลงขันสมทบเงินมาให้ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงนับว่าคุ้มค่าที่เสี่ยงอันตรายเดินทางมาเยือนวัดจินตั๋ว
คิดไม่ถึงว่าจะเหมือนเก็บเงินก้อนใหญ่ได้เปล่าๆ
ชายฉกรรจ์ปิติยินดีอยู่ในใจ กวาดตามองไปรอบด้านด้วยความฮึกเหิมพึงพอใจ ขอแค่จัดการกับพวกผีที่อยู่ในวัดได้ก็สามารถกลับไปทวงเงินสามหมื่นห้าพันตำลึงมาจากที่ว่าการแล้ว ถึงเวลานั้นเมื่อต้องแบ่งกันสามกับเจ็ดส่วนอย่างที่ตกลงกันไว้แต่แรก พวกเขาสองอาจารย์และศิษย์ก็น่าจะได้เงินหนึ่งหมื่นตำลึงกว่าๆ
วันนี้เป็นวันฤกษ์ดีที่เหมาะให้กำจัดปีศาจปราบมารจริงๆ!
ต่อมาทั้งสองฝ่ายก็เริ่มลงมือกันอย่างแท้จริง เมื่อเหรียญทองแดงเหล่านั้น ของเด็กสาวกลิ้งอ้อมไปรอบตำหนักข้างนี้หนึ่งรอบ แต่ละเหรียญก็พากันตั้งตรง หยุดนิ่ง เมื่อเด็กสาวประกบสองนิ้วท่องคาถาเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกมันก็มุดหายไปในใต้ดินทันที เด็กสาวที่หน้าขาวซีดน้อยๆ หันไปมองพี่สาวของตัวเอง
หญิงสาวพยักหน้าให้เบาๆ ก่อนหันไปพูดกับชายฉกรรจ์เสียงเบาว่า “อีกเดี๋ยว ข้ากับน้องสาวจะขึ้นไปรอบนหลังคาก่อนเพื่อหยั่งเชิงความตื้นลึกของพวกผีดู หากพวกมันถูกบีบให้ออกมา พวกเจ้าก็ลงมือทันที อย่าให้พวกมันหลบหนีไปใต้ดินตามจุดต่างๆ ของวัดได้เด็ดขาด หากพวกมันหลบซ่อนตัวไม่ยอมออกมา ฉวยโอกาส ที่ตะวันยังส่องแสง พวกเจ้าก็รื้อถอนตำหนักข้างนี้ไปเลย เงินเหรียญทองแดงเหล่านั้นของน้องสาวข้าสามารถวาดพื้นที่เป็นกรงขังอยู่ใต้ดินได้ แต่ไม่อาจประคองตัวได้ นานนัก ดังนั้นเมื่อถึงเวลาต้องลงมืออย่างรวดเร็ว”
ชายฉกรรจ์พยักหน้า เพียงเอ่ยว่า “วางใจเถอะ”
สองพี่น้องจึงทะยานขึ้นไปบนหลังคาของตำหนักข้างอีกครั้ง โยนยันต์กระดาษเหลืองเข้าไปข้างใน บางครั้งก็แทรกยันต์ล้ำค่าที่เขียนภาพอักขระด้วยผงสีทองไปด้วย
เด็กหนุ่มคนนั้นก็หยิบกระจกทองแดงออกมาบานหนึ่ง จับผิวหน้าของกระจกเอียงลงส่องไปตามหน้าต่างจุดต่างๆ ของตำหนักข้าง
บัณฑิตหนุ่มสวมชุดขาวสะพายหีบไม้ไผ่คนหนึ่ง อันที่จริงได้มานั่งอยู่บนหลังคาเรือนห่างไปไม่ไกลแล้ว เพียงแต่ว่าเขาแปะยันต์แบกศิลาซึ่งเป็นวิชาลับของ ตำหนักขวานผีไว้บนร่าง ด้วยตบะของคนทั้งสี่ ย่อมมองไม่เห็น
อันดับต่อมาก็เป็นการเข่นฆ่าที่ ‘พลังอำนาจสะท้านสะเทือน’ ครั้งหนึ่ง
ควันดำกลิ้งหลุนๆ ลอยขึ้นฟ้า ต่อให้ถูกยันต์แต่ละแผ่นกรูกันพุ่งเข้าหา ถูกสตรี ใช้เชือกพันธนาการปีศาจฟาดโบยให้ควันดำแหลกสลาย อีกทั้งเด็กหนุ่มยังใช้ กระจกทองแดงส่องสว่างแผดเผา ยิ่งมีลูกดอกของชายฉกรรจ์แทงทะลุ แต่ควัน ที่หลังจากหนีออกมาจากกรงขังในตำหนักข้างได้แล้วก็คล้ายว่าจะยังกำเริบเสิบสานอย่างถึงที่สุด เมื่อถูกเชือกพันธนาการปีศาจ ยันต์และกระจกทองแดงทำให้ แหลกสลาย ควันดำกลับล่องลอยไปสร้างอาณาเขตที่คล้ายกับผีบังตาอย่างหนึ่ง กลายเป็นว่ากักขังคนทั้งสี่ไว้ภายใน
ต่อให้เด็กสาวจะพยายามควบคุมยันต์แต่ละแผ่นเต็มกำลัง แต่พวกมันก็ยังได้แค่เปลี่ยนเป็นมังกรเพลิงตัวเล็กบางเท่านั้น ไม่อาจฝ่าผนังควันดำที่มืดฟ้ามัวดินออกไปทำให้แสงแดดส่องทะลุเข้ามาภายในได้เลย ฉับพลันนั้นคนทั้งสี่ก็ตกอยู่ในอันตราย รายล้อม สองพี่น้อง ศิษย์อาจารย์หันหลังชนกัน บนร่างพวกเขาเริ่มมีบาดแผลแล้ว เพื่อช่วยเหลือเด็กหนุ่มที่ถือกระจก เด็กสาวยังถูกควันดำเส้นหนึ่งพุ่งเข้าชนที่แผ่นหลังจนกระอักเลือด แต่กระนั้นก็ยังฝืนดิ้นรนลุกขึ้นยืน หยิบเอายันต์กระดาษเหลือง ปึกหนึ่งที่นางวาดด้วยตัวเองออกมา ทำมุทราร่ายคาถา สุดท้ายจึงกลายเป็นยันต์ มังกรเพลิงตัวหนึ่ง นางยอมเผาผลาญปราณวิญญาณในร่างตัวเองไปอย่างไม่เสียดาย แต่ก็ต้องปกป้องคนทั้งสี่เอาไว้ให้จงได้
บัณฑิตชุดขาวขมวดคิ้วน้อยๆ ยกมือตบหน้าผาก พูดอย่างระอาใจว่า “ด้วยความสามารถน้อยนิดแค่นี้ของพวกเจ้ายังกล้ามากำจัดปีศาจปราบมารที่ วัดจินตั๋วอีกหรือ แถมข้ายังช่วยเจ้าสังหารผีร้ายไปตั้งแปดเก้าในสิบส่วนแล้วนะ”
เขายิ้มบางๆ ดีดนิ้วเบาๆ หนึ่งที
การโคจรของควันดำที่ก่อนหน้านี้ไม่มีพันธนาการบางอย่างคอยสยบกำราบไว้พลันหยุดชะงัก พลิ้วกายลงพื้นกลายร่างเป็นผีร้ายสูงจั้งกว่าตัวหนึ่ง บวกกับที่มีแสงอาทิตย์จ้าสาดส่องลงมา ในที่สุดก็ถูกคนทั้งสี่ที่ตกอยู่ในอันตรายรายล้อมพุ่งเข้าสังหาร
เด็กสาวก้มตัวลง เช็ดเลือดสดตรงมุมปากและจมูก ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “ท่านพี่ ครั้งนี้ข้าไม่ได้เป็นตัวถ่วงใช่ไหม?!”
หญิงสาวที่รอดตายมาได้ดวงตาแดงก่ำ เดินเร็วๆ ไปหยุดอยู่ข้างกายนาง ประคองน้องสาวที่ยืนได้ไม่มั่นคงเอาไว้แล้วถลึงตาใส่นาง “ทำตัวอวดเก่งเป็นวีรสตรีอะไรกัน พูดให้น้อยหน่อย รักษาบาดแผลให้ดี”
เด็กหนุ่มมองกระจกโบราณที่ผิวกระจกปริแตกไม่เหลือสภาพดี จากนั้นก็มองอาจารย์ที่ยืนหอบเป็นวัวอยู่ข้างกาย ฝ่ายหลังอึ้งตะลึงไปเล็กน้อย แต่พอเห็นแววตา ดุร้ายของเด็กหนุ่ม เขาที่ลังเลอยู่ชั่วขณะก็พยักหน้าเบาๆ
ชายฉกรรจ์กวาดตามองรอบด้านพลางพูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “แม่นางซีหนิง แม่หนูเฉวียน ตอนนี้ดูแล้วฟ้าดินแจ่มกระจ่าง แค่มองก็รู้ว่าภูตผีปีศาจถูกกำจัดไป จนหมดสิ้นแล้ว ไม่สู้วันนี้พวกเราพักรักษาตัวในวัดหนึ่งวัน พรุ่งนี้ค่อยกลับไปที่เมือง ดีไหม?”
สตรีขมวดคิ้ว “แม้จะบอกว่าวัดจินตั๋วไม่มีปราณชั่วร้ายอยู่แล้วก็จริง แต่ถึงอย่างไรพวกผีร้ายก็มายึดครองที่นี่อยู่นาน หากมีพวกปลาที่หลุดรอดแหไปได้ ข้ากับน้องสาวใช้ยันต์ไปหมดแล้ว ไม่เหลือเรี่ยวแรงให้ต่อสู้อีก รีบกลับไปที่เมืองจะดีกว่า”
เด็กหนุ่มส่ายหน้า “พี่หญิงซีหนิง หากพวกเรากลับไปเร็ว เจ้าเมืองต้องเข้าใจผิดคิดว่าการกำจัดปีศาจปราบมารของพวกเราง่ายดายมาก หากเจอกับพวกคนที่ หน้าไม่อายหน่อย เงินห้าพันตำลึงยังพูดง่าย เพราะมีการเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร พวกเราน่าจะเอากลับมาได้ แต่เจ้าเมืองจะใจจำไม่ยอมจ่ายเงินสามหมื่นตำลึงหรือ ไม่ก็บอกได้ยากแล้ว พวกเราน่ะ วันนี้ไม่เพียงแต่จากไปไม่ได้ กลับกันยังต้องรื้อ กำแพงวัดบางส่วนด้วย ตอนที่กลับไปถึงจะได้รับเงินรางวัลมาเต็มจำนวน อีกทั้ง ต้องจงใจบอกกับเจ้าเมืองด้วยว่าผีร้ายของที่แห่งนี้ยังหนีรอดไปได้ตนสองตน พอพวกเราได้เงินมาแล้ว ต้องขอเพิ่มอีกห้าพันตำลึง ถึงจะสามารถทำภาระกิจกำจัดสิ่งชั่วร้ายได้เสร็จสิ้นสมบูรณ์แบบ”
เด็กสาวกลอกตามองบน แล้วนางก็ต้องรีบอุดปาก หันหน้าไปกระอักเลือด อีกรอบ ค่อนข้างน่าอายแหะ
หญิงสาวใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งก็พยักหน้ายิ้มกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนี้ พรุ่งนี้ค่อยกลับเข้าเมือง พวกเราพักอยู่ในวัดก่อนสักคืนหนึ่ง พวกเราสองพี่น้องก็จะได้พักรักษาตัวพอดี”
และเวลานี้เองบัณฑิตชุดขาวที่มีสีหน้าตื่นตกใจคนหนึ่งก็วิ่งมาจากด้านข้างของตำหนักหน้า “เหตุใดบนพื้นของตำหนักหน้าถึงได้มีกระดูกขาวมากมายขนาดนั้น เหตุใดถึงไม่เห็นภิกษุเลยแม้แต่คนเดียว…หรือว่ามีภูตผีอาละวาดจริงๆ …”
เด็กสาวรู้สึกรำคาญเขามาก แต่พอเห็นว่าเขายังมีชีวิตกระโดดโลดเต้นได้อยู่ก็รู้สึกสบายใจขึ้น
หลังจากนั้นสองอาจารย์และศิษย์ก็ไปเก็บยันต์ส่วนที่เหลือ รวมถึงเอา พวกข้าวสารเสกเก่าแก่เหล่านั้นกลับมาบรรจุใส่ถุงอีกครั้ง วันหน้ายังสามารถเอา ไปใช้ได้อีก
ส่วนสตรีก็เลือกหาห้องที่ค่อนข้างเงียบสงบซึ่งเวลาปกติทางวัดมีไว้ให้ ผู้มีจิตศรัทธาที่มีเงินมาพักอาศัยคัดคัมภีร์มาห้องหนึ่ง เด็กสาวนั่งขัดสมาธิอยู่ กลางระเบียง เริ่มเข้าฌานทำสมาธิ
ส่วนพี่สาวนางก็สำรวจตรวจตราสถานที่ต่างๆ ต่ออีกครั้ง หลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น
บัณฑิตขี้ขลาดคนนั้นยืนกรานว่าจะตามพวกนางมาด้วย เขาปลดหีบไม้ไผ่ลง แล้วนั่งอยู่บนขั้นบันไดทำตัวเป็นเทพทวารบาล
ท่ามกลางแสงสนธยา หญิงสาวก็ย้อนกลับมา กวาดเอาสิ่งของจำพวกคัมภีร์ ที่ยังสมบูรณ์แบบซึ่งมองดูแล้วน่าจะมีราคาบรรจุลงในห่อผ้าใบใหญ่ สะพายขึ้นหลังเอากลับมาด้วย
เด็กสาวลืมตาขึ้น ยิ้มกล่าวกับแผ่นหลังของบัณฑิตคนนั้น “อีกเดี๋ยวก็จะมืดแล้ว ไม่นานก็จะมีผีร้ายมาปรากฏตัว เจ้ายังไม่หนีไปอีกหรือ?”
บัณฑิตชุดขาวคนนั้นหันหน้ามายิ้มบางๆ ให้นาง “ในตำราบอกไว้ว่า คนกลัวผี ผียิ่งกลัวใจคน แต่ข้ารู้สึกว่าแม่นางเจ้าเป็นคนดี ดังนั้นอยู่ข้างกายเจ้าไม่ไปไหน น่าจะดีกว่า”
เด็กสาวพยายามใช้ความคิดอย่างหนัก สุดท้ายชูหมัดขึ้น “สรุปว่าเจ้าชมข้า หรือด่าข้ากันแน่? หากเจ้ายังพูดจาเหลวไหลแบบนี้อีก ระวังข้าจะต่อยเจ้าเอานะ?!”
บัณฑิตคนนั้นชูมือทั้งสองข้างขึ้น “วิญญูชนขยับปากไม่ขยับมือ”
เด็กสาวหัวเราะหึหนึ่งที พลันรู้สึกนึกสนุก “ข้าไม่ใช่วิญญูชนอะไรทั้งนั้น ข้าเป็นสตรี มา ให้ข้าป้อนหมัดเจ้าหนึ่งที หากต่อยให้เจ้าฉลาดขึ้นได้อีกหน่อย ไม่แน่ว่าเจ้าอาจสอบติดมีชื่ออยู่บนกระดานทองคำก็ได้นะ!”
คนผู้นั้นสมกับเป็นหนอนหนังสือที่อ่านตำราจนทึ่มทื่อจริงๆ เขาถึงได้หัวเราะเอ่ยว่า “ข้าเห็นว่าแม่นางทำอะไรเปิดเผยตรงไปตรงมา มีจิตใจกว้างขวางเมตตา ไม่ได้แย่ ไปกว่าวิญญูชนเลย”
สีหน้าของหญิงสาวเริ่มไม่สบอารมณ์ “ในเมื่อคุณชายคือบัณฑิตคนหนึ่งที่เรียกตัวเองว่าวิญญูชน ก็ควรจะรู้หลักมารยาทที่ชายหญิงไม่ใกล้ชิด เหตุใดยังทำหน้าหนาดึงดันจะอยู่ที่นี่ มันเหมาะสมแล้วหรือ?”
เด็กสาวรู้สึกว่าบัณฑิตเปลี่ยนมาเป็นฉลาดขึ้นอีกนิดหนึ่งแล้ว ได้ยินเพียงเขาเอ่ยว่า “ข้าไม่ใช่วิญญูชนเสียหน่อย เป็นเพียงบัณฑิตยากจนคนหนึ่ง หากในวัดจินตั๋วมีผีอยู่จริงๆ ข้าก็คงไม่วิ่งออกไปตายหรอก อยู่ที่นี่นั่นแหละดีแล้ว”
หญิงสาวตวาดเสียงกร้าว “ไสหัวไป!”
เด็กสาวกำลังจะพูด แต่กลับถูกพี่สาวของนางถลึงตาใส่จึงตกใจอึ้งไป
บัณฑิตจึงได้แต่สะพายหีบไม้ไผ่เดินออกไปจากเรือนอย่างกล้าๆ กลัวๆ
คาดว่าคงจะไปนั่งหันหน้าเข้าผนังทบทวนตัวเองอยู่ข้างนอกกระมัง?
เด็กสาวพูดเสียงเบา “ท่านพี่ ทำไมต้องดุขนาดนี้ด้วย เขาก็แค่หนอนหนังสือ คนหนึ่งเท่านั้น”
หญิงสาวขมวดคิ้ว “ตอนนี้เจ้าต้องรักษาบาดแผล ไม่อาจปล่อยให้เกิดข้อผิดพลาดใดๆ ได้ คนผู้นี้ปรากฎตัวอยู่บนเส้นทางมุ่งหน้ามาวัดก็แปลกประหลาดมากพอแล้ว เข้ามาในวัดจินตั๋วพร้อมกับพวกเราก็ยิ่งผิดปกติ หากไม่เป็นเพราะเขาเดินนำหน้า พวกเรามาก่อน อย่าว่าแต่ไล่คนเลย ให้ลงมือกับเขา ข้าก็จะไม่เลอะเลือนแม้แต่น้อย”
นางพูดเสียงอ่อนโยน “เอาล่ะ เจ้าพักผ่อนต่อไปเถอะ”
เด็กสาวพยักหน้ารับ เพียงแต่ว่ายังคงชำเลืองตามองไปทางประตูเรือน
พี่สาวของนางโมโหจนกลายเป็นขำ “ไม่มีผีอะไรแล้ว แค่คนเป็นๆ อย่างพวกเราห้าคน เขาก็แค่ต้องนอนอกสั่นขวัญผวาอยู่ข้างนอกคืนเดียว เจ้าไม่เป็นห่วงพี่สาวแท้ๆ ของตัวเอง? ไม่เป็นห่วงพวกเขาที่รบเคียงบ่าเคียงไหล่เรามา แต่ดันไปห่วงเขาที่เป็น คนนอกน่ะหรือ ทำไม เห็นว่าเขาเป็นบัณฑิตก็เลยหวั่นไหว? ข้าบอกเจ้าแล้วอย่างไร ล่ะว่า ใต้หล้านี้ก็มีบัณฑิตนี่แหละที่พึ่งพาไม่ได้มากที่สุด…”
เด็กสาวพูดวิงวอน “ก็ได้ๆ ข้าจะฝึกตนเดี๋ยวนี้ ตั้งใจฝึกตนเดี๋ยวนี้เลย!”
ม่านราตรีหนาหนัก
เด็กสาวนั่งอยู่ตรงระเบียงสงบใจทำสมาธิ จิตวิญญาณจมจ่อมอยู่ภายใน
ส่วนหญิงสาวก็นั่งพักผ่อนอยู่ตรงขั้นบันได แต่ไม่กล้าหลับสนิทไปจริงๆ
เพราะถึงอย่างไรก็อยู่ที่วัดจินตั๋ว
ทันใดนั้นก็มีลูกดอกหลายลูกพุ่งแหวกอากาศเข้ามาทางประตูเรือน
เงาร่างที่คุ้นเคยก้าวยาวๆ เข้ามาใกล้อย่างต่อเนื่อง
แม้ว่าหญิงสาวจะตกตะลึง แต่ถึงกระนั้นชายแขนเสื้อก็ยังโบกสะบัด ตบให้ลูกดอกแหลมคมทั้งหลายปลิวกระจายออกไป
ปลายมีดเล่มหนึ่งเหวี่ยงตรงมาที่ลำคอของน้องสาวนาง พละกำลังนั้นมหาศาล คนที่ลงมือก็คือเด็กหนุ่มที่นั่งยองอยู่บนหัวกำแพง
หญิงสาวปล่อยให้ลูกดอกลูกหนึ่งปักตรึงเข้าที่ไหล่ของตนเพื่อพุ่งตัวออกไป ใช้มือคว้าจับปลายมีดที่ห่างจากลำคอน้องสาวแค่สองชุ่น ทว่าชายฉกรรจ์ที่เป็น ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวกลับเดินมาถึงข้างกายนางก่อนแล้ว เขาปล่อยหมัดต่อยเข้าที่ จุดไท่หยางของนาง ทำให้ร่างของนางพุ่งเข้ากระแทกชนผนังและหน้าต่างจนพังครืนลงมาเกินครึ่งแถบ ก่อนจะไปร่วงในห้อง กระอักเลือดไม่หยุด ดิ้นรนอยู่หลายครั้ง ก็ยังลุกไม่ขึ้น
เด็กหนุ่มคนนั้นกระโดดลงมาจากหัวกำแพงเบาๆ หัวเราะชั่วร้ายกล่าวว่า “อาจารย์ แม่หนูเฉวียนหากไม่ต้องฆ่าก็อย่าเพิ่งฆ่าเลย ทางที่ดีที่สุดก็อย่าเพิ่งฆ่าพี่หญิงซีหนิงให้ตาย แค่ทำลายมือเท้าของเทพเซียนสองท่านอย่างพวกนางก็พอแล้ว”
ชายฉกรรจ์ยกฝ่ามือขึ้นตบเด็กสาวที่เพิ่งฝืนตัดขาดการเข้าฌาน ส่ายหน้ากล่าว “นังหนูนี่ยิ่งรับมือได้ยาก อาจารย์จะช่วยเก็บพี่สาวของนางไว้ให้เจ้าก็แล้วกัน”
เด็กหนุ่มหัวเราะฮ่าๆ “ได้ทั้งทรัพย์สินและสาวงาม!”
ชายฉกรรจ์พลันขวับกลับไป มือข้างหนึ่งบีบคอของเด็กสาวเอาไว้ หันหน้าไปมองทางประตูเรือน
เด็กหนุ่มเองก็พุ่งตัวมาหยุดอยู่ข้างกายชายฉกรรจ์อย่างรวดเร็ว
ตรงประตูเรือนมีศีรษะหนึ่งโผล่ออกมา พูดอย่างขลาดๆ ว่า “ดินแดนบริสุทธิ์ของพุทธศาสนา พวกเจ้าทำเรื่องแบบนี้คงไม่ค่อยดีกระมัง?”
เด็กสาวที่สีหน้าเขียวคล้ำขยับริมฝีปากเบาๆ คล้ายจะอยากเตือนให้เจ้าทึ่มผู้นั้นรีบหนีไป
ดูเหมือนคนผู้นั้นก็มองเห็นสภาพของเด็กสาวแล้วเช่นกัน เขาอึ้งตะลึงไป “แม่นางน้อยคนดีผู้นี้ ต้องการให้ข้าช่วยหรือ? วางใจเถอะ ข้าคนนี้มีจิตใจรักความเป็นธรรม มากที่สุด อ่านตำราอริยะปราชญ์มาตั้งหลายปีขนาดนี้ บอกตามตรงว่าอันที่จริงก็ได้ สั่งสมปราณเที่ยงธรรมไว้เต็มท้อง เดินทางไกลพันลี้ได้อย่างเสรีปลอดภัยแล้ว…”
เด็กสาวพยายามส่ายหน้าสุดกำลัง น้ำตาไหลนองมาข้างแก้ม
สองแก้มของเด็กสาวแดงก่ำ
น่ารักน่าเอ็นดูอย่างมาก
คนผู้นั้นค่อยๆ หรี่ตาลง ไม่มีสีหน้าทึ่มทื่อเซ่อซ่าอีก เขาเผยตัวอยู่ตรงหน้าประตูอย่างเปิดเผย ยกฝ่ามือขึ้นดีดนิ้ว “ออกมาเถอะ คนในโลกสว่างบางคนก็ควรถูกผี ในโลกมืดกินไส้”
สองอาจารย์และศิษย์เห็นว่าด้านหลังของบัณฑิตอ่อนแอผู้นั้นมีผีร้ายสูงหนึ่งจั้งกว้างเดินออกมาอย่างกล้าๆ กลัวๆ ปราณดุร้ายเข้มข้นเหนือกว่าผีตัวก่อนหน้านั้น มากนัก
ชายฉกรรจ์รีบปล่อยลำคอเด็กสาวออกทันที “อันที่จริงคุณชายคือราชาผีของ ที่แห่งนี้กระมัง ทุกอย่างล้วนเป็นความเข้าใจผิด อันที่จริงพวกเราสองอาจารย์และศิษย์ไม่ได้มีใจคิดจะล่วงเกินสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ล้วนเป็นผู้ฝึกตนสองคนนี้ที่ละโมบในความดีความชอบและเงินรางวัล…”
ผีร้ายกลายร่างเป็นควันดำกลิ้งหลุนๆ พุ่งเข้ามาห่อหุ้มร่างของชายฉกรรจ์คนนั้นเอาไว้ในชั่วพริบตา ทันใดนั้นเสียงเลือดเนื้อฉีกขาด เสียงกระดูกปริแตกก็ดึงขึ้นมาพร้อมกับเสียงแผดร้องโหยหวนของเขา
เด็กหนุ่มกลับไม่ได้ตกใจจนขวัญกระเจิง เขายังมีแรงดีดปลายเท้ากระโดดขึ้นไปบนหัวกำแพง ถอยหนีไปอย่างรวดเร็ว
ผีร้ายคล้ายจะได้รับคำสั่งจึงปล่อยบุรุษที่ตายคาที่ไปแล้วผู้นั้น พุ่งตัวออกจากกำแพงเรือน ตามไปไล่ฆ่าอีกฝ่าย และไม่นานก็มีเสียงความเคลื่อนไหวที่ฟังแล้ว น่าอนาถไม่ต่างจากเมื่อครู่นี้ดังขึ้น
จากนั้นแสงกระบี่เส้นหนึ่งก็หล่นลงมาจากฟ้า ผีตัวที่อยู่ด้านนอกร้องโหยหวน ก้องสะเทือนไปทั้งฟ้าดิน คาดว่าที่เมืองก็น่าจะได้ยิน และคงทำให้ชาวบ้านจำนวน นับไม่ถ้วนตกอกตกใจ เพียงแต่ว่าไม่นานฟ้าดินก็เงียบสงัด
เด็กสาวปากอ้าตาค้าง ถามอย่างเหม่อลอย “เจ้าคือราชาผี?”
บัณฑิตหัวเราะ เดินมานั่งบนขั้นบันได ย้อนถาม “เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
เด็กสาวพลันกล่าวว่า “อย่ากินข้านะ ข้าขอไปดูพี่สาวข้าก่อน”
บัณฑิตพยักหน้าให้ “ตกลง”
เด็กสาวอยากจะถลึงตาใส่เขา เพียงแต่พอคิดว่ามีความเป็นไปได้สูงที่เขาจะเป็นราชาผีของวัดจินตั๋วก็รีบไปดูพี่สาวของตน แล้วประคองนางพาเดินออกมาจากในห้อง
หญิงสาวได้แต่ยิ้มเจื่อนไร้คำพูด ทำได้เพียงยืนรอความตายอย่างเดียวเท่านั้น
ความเคลื่อนไหวด้านนอกก่อนหน้านี้ นางล้วนเห็นอย่างชัดเจน
เด็กสาวมองกองเลือดเนื้อที่อยู่บนพื้นด้วยสีหน้าซับซ้อน สายตาหม่นหมอง
เหตุใดถึงเป็นอย่างนี้ไปได้?
ไม่ได้ตายด้วยน้ำมือของผีร้าย แต่กลับเกือบจะตายด้วยน้ำมือของอาจารย์และศิษย์ที่เดินทางท่องเที่ยวแคว้นไหวหวงร่วมกับพวกนางมาเกินครึ่งแคว้นคู่นี้
เวลาปกติมองดูแล้วพวกเขาก็เป็นคนดีมากนี่นา
เมื่อพวกนางเดินออกมาจากห้อง บัณฑิตชุดขาวก็ลุกขึ้นยืนและเดินออกไป นอกเรือนแล้ว เพียงแค่หันหน้ามาพูดกับแม่นางน้อยคนนั้นว่า “วันหน้าพี่สาวของเจ้าต้องพูดกับเจ้าด้วยน้ำเสียงที่ยิ่งมั่นใจว่า ใต้หล้ามักจะมีคนชั่วแบบนี้อยู่มากมายเสมอ แต่แม่นางน้อย เจ้าไม่ต้องรู้สึกผิดหวัง ผู้คนและเรื่องราวบนโลกมนุษย์ไม่ได้เป็นเช่นนี้เสมอไป และเจ้าก็คิดถูกแล้ว ไม่ว่าจะเคยเห็นหรือประสบพบเจอมามากน้อยแค่ไหน กี่ครั้งต่อกี่ครั้ง กี่คนต่อกี่คน หวังว่าเจ้าจะจำไว้ว่า เจ้ายังคงคิดถูกแล้ว”
คนผู้นั้นหยิบเอางอบใบหนึ่งออกมาสวมไว้บนหัว “เจ้าเห็นไหม คนทำดีต้องได้ดี คนทำชั่วต้องได้ชั่ว อย่างน้อยที่สุดคืนนี้ประโยคนี้ก็เป็นความจริง”
พอเดินออกจากเรือนไปแล้ว คนผู้นั้นก็พลันเอนตัวมาด้านหลัง ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “แม่นางน้อย เจ้าหน้าตางดงามมาก วันหน้าจะต้องเจอบุรุษในดวงใจอย่างแน่นอน”
แม่นางน้อยกึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง ปาดน้ำตาบนใบหน้าทิ้ง “คนบ้า!”
แล้วจู่ๆ แม่นางน้อยก็คิดถึงแสงสีทองเส้นนั้นขึ้นมาได้ ดวงตาจึงเป็นประกายระยิบระยับ “แท้จริงแล้วเจ้าคือเซียนกระบี่คนหนึ่ง ใช่หรือไม่?”
คนผู้นั้นค่อยๆ ยืนนิ่ง ยิ้มบางเอ่ยว่า “ข้าคือมือกระบี่ที่อ่านตำราจนทึ่มทื่อคนหนึ่ง”
หลังจากนั้นคนผู้นั้นก็กลายร่างเป็นสายรุ้งสีขาวที่ทะยานขึ้นจากพื้นดินแล้วพุ่งตัวจากไปทางทิศเหนือ