Skip to content

Sword of Coming 510

บทที่ 510 แสงไฟโลกมนุษย์สว่างไสว

ทางทิศเหนือของแคว้นไหวหวงคือแคว้นเป่าเซียง เป็นแคว้นที่พระพุทธศาสนารุ่งเรือง วัดวาตั้งเรียงรายมากมายดุจก้อนเมฆ

ตอนผ่านด่านเข้ามา เอกสารผ่านด่านของเฉินผิงอันยังคงได้รับการประทับตราอยู่เหมือนเดิม เวลาอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำเขาก็มักจะหยิบมาเปิดดู เอกสารผ่านทางที่อยู่ในมือฉบับนี้เป็นของใหม่ เว่ยป้อเป็นคนทำให้ ส่วนฉบับก่อนหน้านั้นได้ถูกประทับตราไว้จนแน่นขนัด ตอนนี้จึงเก็บเอาไว้ที่เรือนไม้ไผ่

เฉินผิงอันยังคงสวมงอบสะพายกระบี่ ในมือถือไม้เท้าเดินป่า เดินขึ้นเขาลงห้วย เข้าไปในป่าเขาลึกเสี่ยงอันตรายอยู่เพียงลำพัง บางครั้งถึงจะขี่กระบี่ทะยานลม เวลาพบเจอเมืองในโลกมนุษย์ก็จะเดินเท้าเข้าไปแวะเวียน ตอนนี้ยังอยู่ห่างจาก สวนน้ำค้างวสันต์ของซ่งหลานเฉียวโอสถทองบนเรือข้ามฟากอีกค่อนข้างไกล

ยามอยู่ในหมู่ชาวบ้านร้านตลาด ส่วนใหญ่แล้วคนหลังค่อมมักจะเจอคนหลังค่อม คนขาเป๋ก็มักจะเจอกับคนขาเป๋

ผู้ฝึกตนที่เหยียบย่างลงบนเส้นทางของความเป็นอมตะก็เป็นเช่นเดียวกันนี้ มักจะเจอผู้ฝึกตนจำนวนมากกว่าเดิม แน่นอนว่ายังรวมถึงสัตว์ประหลาดที่อยู่ตามภูเขาหนองบึง หรือพวกภูตผีที่หลบตัวซ่อนแฝงอยู่

แต่นอกจากจะลงมือในเมืองอวี้ฮู่แคว้นไหวหวงครั้งหนึ่งแล้ว ครั้งอื่นๆ เฉินผิงอันทำเพียงแค่มองดูอยู่ไกลๆ หลุบสายตามองต่ำมายังโลกมนุษย์จากบนภูเขา ในที่สุด ก็พอจะมีสภาพจิตใจของผู้ฝึกตนบ้างแล้ว

เพียงแต่ว่าเขายังคงฝึกหมัดไม่หยุด หลังออกมาจากหุบเขาผีร้าย เฉินผิงอันก็เริ่มตั้งใจฝึกท่าเดินนิ่งหกก้าว คิดว่ารอให้ฝึกครบสองล้านหมัดเมื่อไหร่ค่อยว่ากัน

ก่อนหน้านี้หากไม่เป็นเพราะเจอกับคนสี่คนที่คิดจะกำจัดปีศาจปราบมาร เดิมทีเฉินผิงอันก็คิดว่าหลังจากสังหารกลุ่มภูตผีเพียงลำพังแล้ว จะรอให้พวกภิกษุ กลับมาแล้วอยู่ต่อในวัดจินตั๋วอีกสักสองสามวัน สอบถามเกี่ยวกับเนื้อหา ภาษาสันสกฤตบนคัมภีร์กระดาษดำอักษรทองแผ่นนั้น แน่นอนว่าต้องแยก ภาษาสันสกฤตเหล่านั้นออกมาแล้วถามจากภิกษุหลายๆ ครั้ง จำนวนตัวอักษร มีไม่มาก รวมแล้วแค่สองร้อยหกสิบคำ ดึงเอาตัวอักษรที่เหมือนกันเหล่านั้นออก คิดดูแล้วเวลานำมาถามก็น่าจะไม่ยาก ทรัพย์สินทำให้คนเกิดความหวั่นไหว เมื่อความหวั่นไหวบังเกิดจิตมารก็บังเกิด จิตใจคนดั่งผีร้าย ผีหวาดกลัวคน อาจารย์และศิษย์ที่เป็นผู้ฝึกยุทธในวัดจินตั๋วคู่นั้นก็เป็นเช่นนี้

เดินทางผ่านเมืองทางทิศใต้ของแคว้นเป่าเซียงมาสองแห่ง เฉินผิงอันสังเกตเห็นว่า ที่นี่มีภิกษุเดินเท้าเปล่า ใบหน้าแห้งตอบ ถือบาตรบำเพ็ญทุกรกิริยา ออกบิณฑบาต ไปทั่วทุกแห่งอยู่มากมาย

หากเฉินผิงอันพบเจอพวกเขาระหว่างทางก็จะวางมือข้างหนึ่งตั้งไว้เบื้องหน้า ผงกศีรษะเป็นการคารวะทักทายเบาๆ

แคว้นเป่าเซียงนอกจากจะมีภิกษุเยอะมีวัดมากและควันธูปมากแล้ว ผู้ฝึกยุทธในยุทธภพก็มากมายดุจขนวัวเช่นกัน วันนี้เฉินผิงอันที่เดินอยู่ท่ามกลางทะเลทราย เหลืองอร่ามได้เจอกับผู้คุ้มกันขบวนหนึ่งที่กำลังเดินทางมุ่งหน้าไปยังเมืองที่อยู่ ทางเหนือ นอกจากรถม้าที่บรรจุข้าวของไว้จนเต็มคันรถแล้ว ยังมีเสียงกระดิ่งผูกคออูฐที่ส่งเสียงดังกรุ้งกริ้ง เหล่าผู้คุ้มกันแต่ละคนร่างกายแข็งแกร่งมีพละกำลัง ต่อให้เป็นสตรีก็มีผิวพรรณดำคล้ำ ทว่ากลับเผยให้เห็นความองอาจผึ่งผาย อันที่จริงสตรีที่เป็นเช่นนี้ก็น่ามองไปอีกแบบ

คนหนุ่มขี่ม้าคนหนึ่งมองเห็นบัณฑิตชุดขาวที่เดินอยู่เบื้องหน้า ไม่เพียงแต่ชุดคลุมสีขาวหิมะของเขาเท่านั้นที่เต็มไปด้วยเม็ดทรายสีทอง บนศีรษะก็มีทรายติดอยู่ไม่น้อย อีกฝ่ายกำลังเดินหน้าต้านลมไปอย่างยากลำบาก ฝีเท้าซวนเซ ถูกขบวนรถ ทิ้งระยะห่างอย่างต่อเนื่อง

เขาจึงชะลอฝีเท้าม้าลง ค้อมเอวเอื้อมไปปลดถุงน้ำที่ผูกไว้ฝั่งหนึ่งของอานม้าออกมา ยิ้มถามว่า “หุบเขาลมเหลืองแห่งนี้มีระยะทางอีกร้อยกว่าลี้ อาจารย์น้อย พกน้ำมาพอหรือไม่? หากไม่พอก็เอาไปได้เลย ไม่ต้องเกรงใจ”

เฉินผิงอันหันหน้ามามองผู้คุ้มกันหนุ่มที่ริมฝีปากแห้งแตกจนมีเลือดซึมออกมา แล้วชี้ไปยังน้ำเต้าข้างเอว ยิ้มกล่าวว่า “ไม่ต้องหรอก ในกามีน้ำ ในหีบไม้ไผ่ก็ยังมี ถุงน้ำอยู่”

คนหนุ่มจึงเก็บถุงน้ำไปแขวนไว้ดังเดิม แล้วยิ้มกล่าวอีกว่า “ยามค่ำคืนหุบเขา ลมเหลืองแห่งนี้จะหนาวเย็นอย่างมาก อีกทั้งวิถีทางโลกทุกวันนี้ก็แปลกประหลาด ยิ่งไม่สงบร่มเย็นมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งนานวันก็ยิ่งมีพวกสิ่งสกปรกบุกเข้ามาในหมู่ชาวบ้าน ดังนั้นช่วงนี้วัดใหญ่แต่ละแห่งจึงมีภิกษุจำนวนมากเดินเข้าออก อาจารย์น้อยพยายามเดินตามพวกเราให้ทันแล้วกัน ทางที่ดีที่สุดคือไปพักเท้าค้างแรมที่ ริมทะเลสาบคนใบ้ที่อยู่เบื้องหน้าด้วยกัน คนมากปราณหยางก็โชติช่วง แล้วยังมีคนคอยช่วยดูแลกันและกันได้ เดิมทีสถานที่แห่งนี้ก็มีพวกภูตผีออกอาละวาดยามค่ำคืนอยู่แล้ว นี่ไม่ใช่ถ้อยคำที่ขู่ให้เกรงกลัวอย่างแน่นอน ดังนั้นอาจารย์น้อยอย่าได้เดิน รั้งท้ายขบวนอยู่ตัวคนเดียวเด็ดขาด แต่ก็ไม่ต้องกลัวมากเกินไปนัก ที่หุบเขาลมเหลืองมักจะมีภิกษุสมณศักดิ์สูงมีคุณธรรมยิ่งใหญ่มาสร้างกระท่อมสวดพระคัมภีร์อยู่ หากมีสิ่งสกปรกเข้าออกจริงๆ ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะกล้าเข้าใกล้มาทำร้ายผู้คน”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ขอบคุณจอมยุทธน้อยที่เอ่ยเตือน ข้าจะต้องไปให้ถึงทะเลสาบก่อนฟ้ามืดแน่นอน”

แคว้นเป่าเซียงไม่ได้อยู่ในอันดับของหลายสิบแคว้นซึ่งรวมแคว้นอิ๋นผิง แคว้นไหวหวงเป็นหนึ่งในนั้น เป็นเหตุให้ชาวบ้านและพวกชาวยุทธในยุทธภพเคยชินกับพวกภูตผีปีศาจตัวประหลาดกันมานานมากแล้ว ทางแถบทิศตะวันตกเฉียงใต้ของอุตรกุรุทวีป ภูตผีอยู่อาศัยปะปนกับคนมานานหลายปีจนนับเวลาได้ไม่ถ้วนแล้ว ดังนั้นในเรื่องของการรับมือกับผีหรือปีศาจสิ่งชั่วร้าย ตลอดทั้งบนและราชสำนักแคว้นเป่าเซียงจึงต่าง ก็มีวิธีการรับมือเป็นของตนเอง

เพียงแต่ว่าเมื่อ ‘นักเล่านิทาน’ แคว้นเมิ่งเหลียงท่านนั้นคลายค่ายกลใหญ่ บ่อสายฟ้าออกไป ปราณวิญญาณที่อยู่ด้านนอกก็กรอกเทเข้าสู่หลายสิบแคว้น ภาพบรรยากาศประหลาดเช่นนี้ ผู้ฝึกตนที่อยู่อาศัยบนเส้นชายแดนรับสัมผัสได้ เร็วที่สุด พวกภูตผีที่มีวิธีการในการฝึกตนก็ย่อมไม่ช้าไปกว่ากัน พวกเขาจึงเบียดเสียดยัดเยียดกันเข้ามา พ่อค้าแสวงหากำไร ภูตผีเองก็อาศัยสัญชาตญาณของตนไล่ตามปราณวิญญาณไปเช่นกัน ดังนั้นถึงได้มีภาพเหตุการณ์ประหลาดเกิดที่เมืองปู้เหยา เมืองอวี้ฮู่สองแห่งของแคว้นไหวหวง ส่วนใหญ่ก็เป็นคนจากแคว้นเป่าเซียงนี้ที่กรูกันเข้าไปทางทิศใต้

นี่ถึงได้มีคำกล่าวของผู้คุ้มกันหนุ่มที่บอกว่าวิถีทางโลกยิ่งไม่สงบร่มเย็น

ภายใต้แสงสนธยา เฉินผิงอันเดินไม่ช้าไม่เร็วไปถึงทะเลสาบสีมรกตขนาดเล็ก ที่ไม่รู้ว่าเหตุใดชาวบ้านในพื้นที่ถึงตั้งชื่อว่าทะเลสาบคนใบ้

ที่นั่นมีกลุ่มคนหลายกลุ่มมารวมตัวกันอีกครั้งแล้ว กองไฟถูกก่อขึ้นเรียงราย เป็นสาย แต่ละคนดื่มสุรารสร้อนแรงเพื่อขับไล่ความหนาว

ในค่ำคืนนี้มีแสงกระบี่หลายเส้นสว่างวาบขึ้นมาจากทางทิศตะวันตก บุกพุ่งเข้ามาในหุบเขาลมเหลืองด้วยพลังอำนาจน่ากริ่งเกรง ก่อนจะหล่นร่วงลงบนพื้นดินที่ห่างจากทะเลสาบคนใบ้ไปหลายสิบลี้ แสงกระบี่ตัดสลับตามมาด้วยเสียงภูตผีที่บ้างก็ร้องโหยหวน บ้างก็คำรามเสียงแหบเสียงแห้ง ประมาณหนึ่งก้านธูปผ่านไป แสงกระบี่ ที่สว่างไสวแต่ละเส้นก็พากันจากไปไกล ระหว่างนี้ไม่ว่าจะเป็นผู้คุมกันที่เป็นวิชาหมัดวิชาการต่อสู้ก็ดี หรือจะเป็นพ่อค้าก็ช่าง ทุกคนกลับมีท่าทีเป็นปกติเหมือนเดิม เอาแต่ดื่มเหล้าอย่างครึกครื้นของตัวเองไปพลางพูดคุยกันด้วยว่าเป็นเซียนกระบี่ ของภูเขาลูกใดกันแน่ที่มาฝึกกระบี่ที่นี่

ผู้ฝึกกระบี่จากไปไกลแล้ว และท้องฟ้าก็มืดสนิทแล้ว ริมทะเลสาบกลับยัง ไม่ค่อยมีใครรีบพักผ่อนหลับนอนแต่หัวค่ำ

ยิ่งไปกว่านั้นยังมีเด็กซุกซนบางคนที่ถือดาบไม้กระบี่ไม้ไผ่ในมือ เอามาฟาดฟันต่อสู้ประลองกำลังกันเอง บางครั้งก็งัดเอาทรายสีทองให้คลุ้งกระจาย วิ่งไล่กวดกันพร้อมเสียงหัวเราะสนุกสนาน

เฉินผิงอันดื่มน้ำจากลำธารลึกกลางภูเขากระจกวิเศษที่อยู่ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ เอาหลังเอนพิงหีบไม้ไผ่นั่งอยู่ริมทะเลสาบ

เห็นว่ามีสตรีที่สวมหมวกม่านคลุมหน้าคนหนึ่งเดินออกมาจากกลุ่มของตัวเองเพียงลำพัง แล้วจึงมานั่งยองอยู่ริมน้ำ วักน้ำกอบหนึ่งขึ้นมาล้างหน้า นางยกมือ ข้างหนึ่งขึ้น บนข้อมือสวมกระพรวนสีขาวหิมะเส้นหนึ่ง พอนางแหวกมุมข้างหนึ่งของหมวกม่านขึ้น เฉินผิงอันก็ถอนสายตากลับไปแล้ว เขามองไปทางทะเลสาบคนใบ้ ที่ว่ากันว่าลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง พวกชาวบ้านเล่าลือกันว่าทะเลสาบขนาดเล็กแห่งนี้น้ำไม่เคยแห้งขอดมานานเป็นพันปีแล้ว ต่อให้จะเกิดภัยแล้งกี่ปี ผิวน้ำก็ไม่เคย ลดระดับลง ไม่ว่าฝนจะตกกระหน่ำเทลงมาไม่ขาดสายแค่ไหน น้ำในทะเลสาบก็ไม่เคยเพิ่มสูงขึ้นแม้แต่ชุ่นเดียว

ใจกลางทะเลสาบเกิดริ้วกระเพื่อมขึ้นเสี้ยวหนึ่ง อันดับแรกคือมีจุดเล็กสีดำ จุดหนึ่งโผล่หัวออกมา จากนั้นก็ผลุบหายลงไปในน้ำอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่า สตรีคนนั้นยังคงไม่สังเกตเห็น เพียงแค่จัดการกับเส้นผมสีดำขลับตรงหน้าผาก และจอนผมของตัวเองอย่างประณีตบรรจง ทุกครั้งที่ยกข้อมือขึ้นก็จะมีเสียงกระพรวนดังเบาๆ เพียงแต่ว่าถูกเสียงเอะอะเฮฮาของทุกคนที่ดื่มสุราอยู่ริมทะเลสาบกลบทับ ไปหมด

ผิวทะเลสาบเกิดน้ำวนขนาดใหญ่ยักษ์ลูกหนึ่งขึ้นอย่างเงียบเชียบ จากนั้น ปลาประหลาดยาวหลายสิบจั้งตัวหนึ่งก็กระโดดพรวดออกมา ตลอดทั้งตัวของมัน เป็นสีดำเหมือนสีหมึก มันอ้าปากกว้างหันเข้าใส่สตรีที่สวมหมวกม่านคลุมหน้า ฟันในปากแหลมคมเรียงตัวกันเหมือนขบวนมีดบนสนามรบ

เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธินิ่งไม่ขยับ เอามือข้างหนึ่งเท้าแก้ม มองไปยังหนึ่งคน หนึ่งปลานั้น

แปดทิศของทะเลสาบคนใบ้มีคนปรากฏตัวพร้อมกันแปดคน แต่ละคนต่างถือ เข็มทิศไว้ในมือ เพียงชั่วพริบตาก็ทุ่มเข้าใส่พื้นทราย จากนั้นก็พากันยืนนิ่ง มือทำมุทรา ฝ่าเท้าขยับเคลื่อนว่องไวดุจมีพายุหนุนนำ ทันใดนั้นก็มีเส้นสีเงิน ลักษณะเหมือนเชือกเส้นหนึ่งสาดยิงไปยังใจกลางของทะเลสาบ เมื่อเชือกสีเงินเส้นนั้นไปรวมตัวกันอยู่ตรงจุดศูนย์กลาง เหนือผิวทะเลสาบก็พลันปรากฎเป็นค่ายกล ภาพยันต์แปดทิศสีเงินที่ส่องแสงเจิดจ้า สามารถประชันแสงกับดวงจันทราได้เลย

คนทั้งแปดน่าจะมาจากสำนักเดียวกัน ถึงได้ร่วมมือกันอย่างรู้ใจ แต่ละคน ต่างเอื้อมมือไปคว้า หยิบเอาเส้นสีเงินเส้นหนึ่งจากเข็มทิศบนพื้นขึ้นมา จากนั้น ก็ประกบสองนิ้ว ชี้ไปยังกลางอากาศเหนือใจกลางทะเลสาบ ประหนึ่งชาวประมง ที่รวบแหจับปลา ต่อมาแสงสีเงินอีกแปดเส้นก็บินออกไป รวมตัวกันสร้างกรงขัง แห่งหนึ่งขึ้นมา แล้วคนทั้งแปดก็เริ่มเดินหมุนเป็นวงกลม สร้าง ‘รั้ว’ เส้นโค้งเพิ่มเติมให้กับค่ายกลยันต์แห่งนี้ ส่วนความปลอดภัยของสตรีที่ต้องเผชิญหน้ากับ ปลาประหลาดเพียงลำพัง คนทั้งแปดไม่เป็นกังวลเลยแม้แต่น้อย

ขณะที่เข็มทิศร่วงกระแทกลงพื้น ปลาประหลาดที่อ้าปากสีแดงฉานออกกว้าง ก็เริ่มตระหนักได้ถึงความผิดปกติแล้ว จึงหุบปากใหญ่ของตัวเองลงอย่างรวดเร็ว เพียงแต่ว่าแรงเฉื่อยมหาศาลกลับยังคงทำให้ร่างของมันพุ่งเข้าหาสตรีสวมหมวกม่าน ที่ลุกพรวดขึ้นยืนอย่างรวดเร็วคนนั้น ผลกลับกลายเป็นว่าสตรีที่ไม่ถอยหนี กลับกัน ยังรุดหน้าด้วยการเดินออกมาหนึ่งก้าว

แล้วนางก็กระโดดทะยานตัวขึ้นสูง ปล่อยหมัดต่อยให้ปลาประหลาดตัวนี้ร่วงลงกลางค่ายกลยันต์แปดทิศเหนือผิวทะเลสาบ เมื่อเรือนกายที่ใหญ่โตมโหฬารของมันสัมผัสโดนตำแหน่งเกิ่น (艮 คือทิศตะวันออกเฉียงเหนือ ตำแหน่งภูเขา) อันเป็นตำแหน่งหนึ่งในค่ายกลแปดทิศ

ศีรษะของปลาประหลาดก็พุ่งชนเข้ากับภูเขาลูกเล็กลูกหนึ่ง ปลาที่น่าสงสาร ถูกดีดให้กระเด้งไปที่ตำแหน่งเจิ้น (震 คือทิศตะวันออก ตำแหน่งแห่งสายฟ้า) ทันใดนั้น สายฟ้าก็แลบแปลบปลาบ ส่งเสียงลั่นเปรี้ยงๆ ปลาประหลาดกระโดดหนีไถลลื่นร่วงไปในตำแหน่งหลี (离 คือทิศใต้ ตำแหน่งแห่งไฟ) ก็มีกองไฟลุกโชน แผดเผา ตกอยู่ในสภาพน่าอเนจอนาถ หลังจากนั้นปลาประหลาดก็ได้ลิ้มรส แท่งน้ำแข็งจากค่ายกลที่เหมือนทวนแหลมคมพุ่งออกมาจากผิวทะเลสาบ สุดท้าย จึงกลายร่างเป็นแม่นางน้อยชุดดำคนหนึ่งที่วิ่งตะบึงเผ่นหนีไม่หยุด นางร้องไห้โฮ พลางปาดน้ำตา จากนั้นก็ต้องหลบทั้งมังกรไฟ หลบทั้งแท่งน้ำแข็ง บางครั้ง ก็ถูกสายฟ้าหลายเส้นฟาดผ่าจนร่างเกร็งกระตุก ตาเหลือกลาน

ภาพต่างๆ เหล่านี้ทำเอาเฉินผิงอันที่มองดูอยู่รู้สึกทนมองไม่ได้ เขาจึงเบนสายตาออกมาแล้วหลับตาลงข้างหนึ่ง

เห็นภูตผีดุร้ายที่สร้างพิบัติภัยหายนะให้แก่หนึ่งพื้นที่มาไม่น้อย ไม่ว่าจุดจบ ของพวกมันจะเป็นอย่างไร ตอนที่เพิ่งปรากฏตัว ส่วนใหญ่ก็มักจะเปี่ยมไปด้วย อำนาจบารมี พูดถึงแค่ที่หุบเขาผีร้าย รถลากของฟ่านอวิ๋นหลัวแห่งนครฟูนี่ หรือแม้แต่ภูตประหลาดที่คุมเชิงอยู่กับผีแห่งนครถงโช่ว ต่างก็มีพวกลูกสมุน คอยช่วยแบกหามรถให้ เฉินผิงอันไม่เคยเจอแมลงน่าสงสารที่มีจุดจบน่าเวทนา อย่างตรงหน้านี้มาก่อน

ทัศนียภาพบนทะเลสาบ

ทุกคนที่อยู่ริมทะเลสาบซึ่งไม่นับรวมพวกเซียนซือทั้งหลายพากันกระดกเหล้า ดื่มอึกใหญ่ ไชโยโห่ร้องไม่หยุด เด็กซุกซนพาเหล่านั้นกันไปหลบอยู่ข้างกายผู้ใหญ่ ในตระกูลของตัวเอง นอกจากตอนแรกเริ่มที่ปลาใหญ่กระโดดออกจากทะเลสาบ อ้าปากหมายจะกินคนที่ค่อนข้างจะน่าตกใจแล้ว ตอนนี้แต่ละคนกลับไม่รู้สึกกลัวมันสักเท่าไร

แถบแคว้นเป่าเซียงนี้ เรื่องสนุกสนานที่ใหญ่ที่สุดก็หนีไม่พ้นเซียนซือจับปีศาจ หากได้มาเจอเข้าก็จะรู้สึกครึกครื้นและเต็มไปด้วยบรรยากาศแห่งการเฉลิมฉลอง ยิ่งกว่าวันปีใหม่ด้วยซ้ำ

เมื่อเด็กหญิงตัวน้อยที่พยายามจะหลบหนีออกจากค่ายกลยันต์แปดทิศซึ่งลอยอยู่สูงเหนือน้ำทะเลสาบหนึ่งฉื่อวิ่งตะบึงบุกเข้าไปในตำแหน่งซวิ่น (巽 คือทิศตะวันออกเฉียงใต้ ตำแหน่งแห่งลม) ก็มีไม้กลมขนาดหนาใหญ่เท่าปากบ่อลำหนึ่งกระแทกลงมา เด็กหญิงชุดดำหลบไม่ทัน ได้แต่สูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ชูสองมือขึ้นเหนือศีรษะ ต้านยันไม้กลมลำนั้นเอาไว้ ใบหน้าของนางตอนนี้เปรอะไปด้วยน้ำมูกน้ำตา พูดเสียงสะอื้น “กระพรวนเส้นนั้นเป็นของข้า ปีนั้นข้าเป็นคนมอบให้บัณฑิตผ่านทางมาที่อาการร่อแร่เกือบจะตายคนนั้น เขาบอกว่าจะเข้าเมืองไปสอบ บนร่างไม่มีเงิน ค่าเดินทาง ข้าจึงมอบให้เขา เขาบอกแล้วว่าจะคืนให้ข้า แต่นี่ตั้งหนึ่งร้อยปีกว่าแล้ว เขาก็ยังไม่เอามาคืนข้า ฮือๆๆ คนหลอกลวง…”

เฉินผิงอันเชื่อในคำพูดที่ฟังดูคล้ายจะเหลวไหลนี้ของแม่นางน้อยภูตน้ำ

ทะเลสาบคนใบ้แห่งนี้มีภาพเหตุการณ์ประหลาดที่ผิวน้ำไม่ลดและไม่เพิ่ม นี่ก็ น่าจะต้องยกคุณความชอบให้กับแม่นางน้อยปลาประหลาดที่ร่างจริงไม่ค่อยน่าเป็นที่ชื่นชอบสักเท่าไรตนนี้ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา พ่อค้าและนักเดินทางที่มาปักหลักพักค้างแรมที่นี่ต่างก็ไม่เคยมีใครบาดเจ็บล้มตาย อันที่จริงไม่ว่าจะเป็นคนก็ดีหรือผีก็ช่าง ต่อให้จะพูดอะไร จะพูดได้คล่องปากน่าฟังแค่ไหน หลายๆ ครั้งก็ล้วนไม่อาจสู้ ความจริงเรื่องหนึ่งหรือเส้นสายเส้นหนึ่งได้ ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ตลอดหลายปีมานี้ ชาวบ้านในพื้นที่และพ่อค้าที่ผ่านทางมา อันที่จริงก็ควรจะซาบซึ้งที่นางคอยปกป้องพวกเขาถึงจะถูก ไม่ว่าความตั้งใจแรกของนางจะเป็นอะไร พวกเขาก็ควรทำเช่นนี้ ควรเห็นแก่ความสัมพันธ์ควันธูปที่นางมอบให้ เพียงแต่ว่าการปราบปีศาจ จับตัวประหลาดของเซียนซือนั้นเป็นเรื่องที่ถูกต้องตามหลักฟ้าดิน ดังนั้นต่อให้ ตอนที่ปลาประหลาดโผล่หัวมาครั้งแรก เฉินผิงอันจะรู้ว่าบนร่างของนางไม่มีปราณ ชั่วร้ายและจิตสังหารแม้แต่น้อย

มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าอยากได้กระพรวนเส้นนั้น บวกกับที่มีใจอยาก หยอกล้อมนุษย์เป็นทุนเดิม และแน่นอนว่าเฉินผิงอันก็มองออกมาตั้งแต่แรกแล้วว่าสตรีที่สวมหมวกม่านปิดคลุมใบหน้าคนนั้นคือผู้ฝึกยุทธขอบเขตห้าที่อำพรางตัว อย่างลึกล้ำคนหนึ่ง…และก็มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นขอบเขตหกของแคว้นเป่าเซียง? สรุปก็คือเฉินผิงอันไม่ได้ลงมือขัดขวาง

แต่กระพรวนที่อยู่บนข้อมือของสตรี เดิมทีก็เป็นของของแม่นางน้อย ปลาประหลาด ข้อนี้ต่างหากที่อยู่เหนือจากการคาดการณ์ของเฉินผิงอัน

เมื่อแม่นางน้อยเปิดโปงความจริง สตรีที่สวมหมวกม่านซึ่งปล่อยหมัดต่อยให้ศัตรูถอยร่นและเวลานี้ก็ยืนอยู่ริมทะเลสาบสีเขียวมรกตก็ยิ้มกล่าวว่า “วางใจเถอะ จับเจ้ากลับไป หาใช่ต้องการฆ่าเจ้าไม่ นี่เป็นความต้องการของราชครูแคว้นเชียนโกว ที่นั่นขาดแม่ย่าลำคลองอยู่คนหนึ่งพอดี ใต้เท้าราชครูหมายตาเจ้า ต้องการให้เจ้า ไปช่วยพิทักษ์ชะตาน้ำ ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายไปเสียทั้งหมด แต่บอกไว้ก่อนว่า ข้าเอง ก็ไม่อยากจะปิดบังเจ้า เจ้ามีชาติกำเนิดเป็นภูตน้ำของทะเลสาบแห่งนี้ เกิดมาก็ ใกล้ชิดกับน้ำ ความเป็นไปได้ที่จะสร้างร่างทองกลายเป็นแม่ย่าลำธารย่อมมีมากกว่าพวกคนตายที่กลายเป็นวิญญาณวีรบุรุษเหล่านั้น แต่ก็ใช่ว่าจะทำสำเร็จได้ อย่างแน่นอน ช่วยไม่ได้ พวกเรากับแคว้นเชียนโกวสนิทสนมกันมาหลายยุคหลายสมัย อีกทั้งท่านราชครูเขายังมอบเงินเทพเซียนให้ก้อนใหญ่ ข้าบังคับลักพาตัวเจ้าออกไปจากทะเลสาบคนใบ้เช่นนี้ดูไม่มีคุณธรรมสักเท่าไร การที่มาพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้าเพราะข้ารู้สึกว่าบัณฑิตแห่งแคว้นเชียนโกวที่ปีนั้นเจ้ามอบกระพรวนให้มีคุณธรรม ยิ่งกว่า เขาไม่เพียงแต่ไม่คิดจะมอบกระพรวนคืนให้เจ้า ยังเก็บรักษาเอาไว้เป็น สมบัติสืบทอดของตระกูล กระพรวนนี้ก็เป็นทายาทรุ่นหลังของเขาที่มอบให้แก่ราชครูแคว้นเชียนโกว เพื่อใช้สิ่งนี้มาทำให้ตัวเองได้เลื่อนขั้นตำแหน่งขุนนาง ถือโอกาสขอบรรดาศักดิ์ที่แต่งตั้งตามหลังให้แก่บรรพบุรุษด้วย หากเจ้าจะด่าก็สามารถรอให้กลายเป็นแม่ย่าลำคลองเสียก่อนแล้วค่อยด่าให้เต็มที่ ตอนนี้เจ้าจงยอมถูกจับไป แต่โดยดีเถอะ จะได้เจ็บตัวน้อยลง”

แม่นางน้อยชุดดำยังคงใช้มือสองข้างยันไม้กลมที่ลดระดับลงมาช้าๆ เมื่อสองเท้าของนางกำลังจะสัมผัสกับค่ายกลยันต์แปดทิศที่อยู่เหนือผิวทะเลสาบ นางก็ยิ่งร้องไห้คร่ำครวญ “ข้าใกล้จะกลายเป็นปลานึ่งอยู่แล้ว พวกเจ้ามันคนเลวที่ชอบเข่นฆ่าผู้อื่น! ข้าไม่ไปกับพวกเจ้า ข้าชอบที่นี่ ที่นี่คือบ้านของข้า ข้าไม่ไปไหนทั้งนั้น! ข้าไม่ย้ายรัง ไปเป็นแม่ย่าลำคลองอะไรทั้งนั้นแหละ ข้ายังเด็ก แม่ย่าแม่ยายอะไรกัน!”

สตรีสวมหมวกม่านคลุมหน้าถอนหายใจ ทำท่าบอกผู้ฝึกตนแปดท่านจาก สำนักเดียวกันว่าไม่ต้องรีบร้อนปิดค่ายกล ยังคงพูดจาหลอกล่อแม่หนูน้อยภูตน้ำ ตนนั้น “ถ้าอย่างนั้นพวกเรามาปรึกษากันดีไหม? ข้าสามารถช่วยขอร้องใต้เท้าราชครูแทนเจ้าได้ ข้าจะไม่รับเงินเทพเซียนก้อนนั้นมาก่อน แต่เจ้าต้องกลับไปที่สำนัก พร้อมกับข้า ยังต้องย้ายรังอยู่ดี ข้าไม่อาจมาเสียเที่ยวได้ หากต้องกลับไปมือเปล่า ทางสำนักต้องเอาโทษข้าแน่ บริเวณใกล้เคียงกับสำนักของข้ามีแม่น้ำอยู่เส้นหนึ่ง ตอนนนี้มีเทพวารีเฝ้าพิทักษ์แล้ว เจ้าลองไปดูก่อนว่าเวลาคนอื่นเป็นเทพวารีนั้น เป็นอย่างไร วันใดรู้สึกว่าการเป็นแม่ย่าลำคลองก็ไม่เลว ข้าค่อยพาเจ้าไปเยือน จวนราชครู ตกลงไหม?”

แม่นางน้อยชุดดำพยักหน้ารับเบาๆ

สตรีที่เป็นผู้ฝึกยุทธเต็มตัวขยับสองมือทำมุทรา ปากท่องคาถา นึกไม่ถึงว่านางเองก็สามารถควบคุมปราณวิญญาณได้เช่นกัน เวลานี้ก็ได้ถอนไม้กลมกลางอากาศ เหนือยันต์ตำแหน่งซวิ่นนั้นออกไปแล้ว

แม่นางน้อยกระโดดอยู่ที่เดิมสองสามที แกว่งแขวนสองข้างไปด้านหน้าทีด้านหลังที จากนั้นน้ำตาก็เอ่อคลอเต็มตา

สตรีสวมหมวกม่านยิ้มกล่าว “อย่าคิดหนีเชียวนะ ไม่อย่างนั้นอาจเป็นปลาราดน้ำแดงหรือปลานึ่งก็เป็นได้”

แม่หนูน้อยสูดจมูก พูดหน้าม่อย “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ฆ่าข้าให้ตายเถอะ ไปจากที่นี่ ไม่สู้ให้ข้าตายไปยังดีเสียกว่า”

สตรีสวมหมวกม่านรู้สึกระอาใจเล็กน้อย

เซียนซือคนอื่นๆ ก็คล้ายว่าจะรู้สึกสนุก แต่ละคนจึงไม่รีบร้อนเก็บแหจับปีศาจ

ทันใดนั้นขอบฟ้าห่างไปไกลแสนไกลก็มีแสงกระบี่พร่าตาสว่างวาบขึ้นมา เสี้ยวหนึ่ง เพียงชั่วพริบตาก็พุ่งมาถึง ผู้ขี่กระบี่ลอยตัวอยู่เหนือศีรษะของทุกคน คือผู้ฝึกกระบี่หนุ่มที่สวมชุดคลุมอาคมสีม่วงอ่อน บนมวยผมปักปิ่นหยกสีทอง ที่มีสายฟ้าตัดสลับถักทอกันเป็นระยะ เขายิ้มบางเอ่ยว่า “ปีศาจน้อยของทะเลสาบ คนใบ้ตัวนี้จับได้ยากยิ่ง พวกเจ้าช่างฝีมือดีนัก เป็นเงินเท่าไร ข้าขอซื้อไว้แล้ว”

สตรีสวมหมวกม่านยิ้มเอ่ย “ใช่คุณชายจิ้นจากตำหนักจินอูหรือไม่?”

ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มยิ้มตอบ “เป็นข้าเอง”

สตรีส่ายหน้าเอ่ยขออภัย “ปีศาจตัวนี้ไม่อาจขายให้คุณชายจิ้นได้”

ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มขมวดคิ้ว “ข้าเพิ่มราคาให้เป็นสองเท่า ข้างกายอาจารย์แม่ของข้ากำลังขาดสาวใช้คนหนึ่งพอดี”

สตรีลังเลไปเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังส่ายหน้า “ขอโทษด้วย โปรดอภัยที่ไม่อาจ ทำตามคำสั่ง ปีศาจตนนี้ทางสำนักของข้ารับปากว่าจะมอบให้จวนราชครูแห่ง แคว้นเชียนโกว คืนนี้ข้าไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจในเรื่องนี้”

ฮูหยินของตำหนักจินอูผู้นั้นมีนิสัยดุร้าย วัตถุแห่งชะตาชีวิตก็คือแส้โบยผี ที่ว่ากันว่าทำมาจากไม้ไผ่เขียวของภูเขาชิงเสิน งานอดิเรกของนางคือชอบเฆี่ยนโบยสังหารสาวใช้มากที่สุด ข้างกายนอกจากหมัวมัวผู้อบรมมารยาทวัยชราที่โชคดี รอดชีวิตมาได้ คนอื่นๆ ล้วนตายหมดสิ้นแล้ว อีกทั้งยังถูกโยนศพไว้ในเมฆสายฟ้าเหนือยอดเขาของตำหนักจินอู ไม่มีโอกาสได้ไปผุดไปเกิดใหม่ด้วย

ทว่าตำหนักจินอูก็ไม่ถือว่าเป็นสำนักมารนอกรีตอะไร ยามที่ลงภูเขามา กำจัดปีศาจปราบมารก็ไม่เคยออมมือ อีกทั้งยังชอบเลือกเล่นงานปีศาจใหญ่หรือไม่ก็ราชาผีที่รับมือได้ยากโดยเฉพาะอีกด้วย เพียงแต่ว่าเจ้าตำหนักจินอูที่เป็นผู้ฝึกกระบี่โอสถทองผู้ยิ่งใหญ่ ดันหวาดกลัวฮูหยินของตนเองที่เป็นบุตรสาวของเจ้าแห่ง ขุนเขาใหญ่ผู้นั้นมากที่สุด เป็นเหตุให้ผู้ฝึกตนหญิงและสาวใช้ทุกคนของตำหนักจินอูล้วนไม่กล้าพูดคุยกับเจ้าตำหนักมากเกินจำเป็น

ไม่อย่างนั้นการค้าครั้งนี้ก็ใช่ว่าจะพูดคุยกันไม่ได้เสียเลย คิดดูแล้วทางสำนักและราชครูแคว้นเชียนโกวคงไม่ถือสาหากจะทำให้ตำหนักจินอูที่เป็นกองกำลังใหญ่มากอำนาจติดค้างน้ำใจได้

ผู้ฝึกตนหนุ่มเลิกคิ้วขึ้นสูง “ใช้เหตุผลดีๆ ดันไม่ฟัง ดึงดันจะให้ข้าออกกระบี่ ถึงจะยอมฟังงั้นหรือ? สตรีจากจวนชิงชิ่งที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตหกอย่างเจ้า ต่อให้ มียันต์ให้ใช้ แต่เชื่อหรือไม่ว่าข้าก็ยังสามารถกรีดใบหน้าที่เดิมทีก็ไม่งดงามของเจ้า ให้ลายพร้อยก่อน แล้วค่อยจ่ายเงินซื้อปีศาจน้อยตัวนั้น?”

ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มเอ่ยเสริมอีกประโยคด้วยรอยยิ้มเย็นชา “วางใจเถอะ ข้ายังจะ ซื้อ! ทว่านับแต่วันนี้ไป ข้าจวินเยว่ได้จดจำจวนชิงชิ่งของพวกเจ้าเอาไว้แล้ว”

สตรีสวมหมวกม่านถอนหายใจอยู่ในใจ ถึงอย่างไรก็ไม่ควรให้สำนักต้องมาเดือดร้อนเพราะตน แต่ไหนแต่ไรมาผู้ฝึกตนตำหนักจินอูก็แบ่งแยกความรัก ความเกลียดอย่างชัดเจนมาโดยตลอด อีกทั้งยังมีนิสัยแปรปรวน หากยามใดที่บอกว่าไม่ใช้เหตุผลแล้วล่ะก็ นั่นก็แสดงว่ารับมือได้ยากมากอย่างแท้จริง

นางหันหน้าไปมองแม่นางน้อยภูตน้ำที่ยกสองมือกุมหัวหลอกตัวเอง

ในขณะที่นางกำลังจะพยักหน้าตอบตกลง บนผิวทะเลสาบคนใบ้ที่ต่อให้เข็มหล่นก็คงได้ยินก็มีบัณฑิตอ่อนแอคนหนึ่งที่ปลดงอบวางไว้บนหีบตำรานานแล้ว สวมชุดขาว ในมือถือพัดพับ ค่อยๆ ลุกขึ้นยืน ยิ้มบางกล่าวว่า

“หากนี่ก็ถือว่าใช้เหตุผลแล้ว ข้าว่าไม่ต้องใช้เหตุผลตั้งแต่แรกยังจะดีเสียกว่า บังคับขายบังคับซื้อกันไปเลย ถึงอย่างไรใครมีความสามารถมากกว่าคนนั้นก็เป็น นายท่านใหญ่อยู่แล้ว ไม่ต้องถอดกางเกงผายลมเบ่งขี้กันอย่างนี้หรอก”

ปลายหูแหลมของแม่นางน้อยชุดดำสั่นเล็กน้อย นางเงยหน้าขึ้น พูดอย่างกังขา “ถอดกางเกงผายลมไม่ถูกนะ หุบเขาลมเหลืองของพวกเราลมแรง อีกทั้งตอนกลางคืนยังอากาศหนาว ถ้าเปิดก้นต้องเย็นก้นมากแน่ แต่หากคิดจะเบ่งขี้ก็ต้องมีวิธี ทำอย่างไรถึงจะไม่ต้องถอดกางเกงล่ะ?”

บัณฑิตชุดขาวใช้พัดพับตีหัวตัวเอง พูดอย่างคนที่เพิ่งกระจ่างแจ้ง “จริงด้วย”

แม่นางน้อยยิ้มหน้าบาน ลอยตัวอยู่กลางอากาศ ก่อนจะนั่งขัดสมาธิ ยกสองมือกอดอก “บัณฑิตมักจะทึ่มทื่อแบบนี้เสมอแหละ”

เพียงแต่พอนึกถึงกระพรวนเส้นนั้นที่อุตส่าห์หวังดียกให้คนอื่นเป็นค่าเดินทาง แม่นางน้อยชุดดำก็เริ่มสูดจมูกยู่ใบหน้าเล็กๆ อีกครั้ง

ล้วนมีแต่คนหลอกลวง คนเสแสร้ง! ปีนั้นไอ้หมอนั่นยังบอกอีกว่าความสนใจ ที่ใหญ่ที่สุดในชีวิตนี้ของเขาไม่ใช่การเป็นขุนนาง แต่เป็นการเขียนนิทานเรื่องเล่าประหลาดที่ผู้คนจะนำไปพูดกันติดปาก ถึงเวลานั้นจะต้องเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับนางบทหนึ่งอย่างแน่นอน อีกทั้งยังจะเขียนเป็นบทที่ยาวมากๆ ด้วย ตอนนั้นเขาถึงขนาดตั้งชื่อไว้เรียบร้อยแล้ว ให้ชื่อว่า ‘ภูตน้ำใหญ่แห่งทะเลสาบคนใบ้’ ตอนนั้น นางที่จินตนาการวาดฝันเกือบจะน้ำลายไหลอยู่แล้ว แถมยังเตือนเขาอีกว่า จะต้องบรรยายให้ตนดูเป็นภูตที่ดุร้ายอำมหิตเสียหน่อย ตบะสูงสักหน่อย บัณฑิตคนนั้นยังรับปากนางอย่างแข็งขันรวดเร็วด้วย

เหตุใดวันนี้ได้เจอกระพรวนแล้ว แต่กลับไม่ได้อ่านบทความที่รอมานานเป็นร้อยปีเสียทีล่ะ? ต่อให้จำนวนตัวอักษรจะน้อยกว่าที่บอกไว้ก็ไม่เป็นไรหรอก

ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มค้อมเอวโน้มตัวมาด้านหน้า จ้องมองบัณฑิตชุดขาวที่สภาพมอซอน่าสังเวชแล้วหัวเราะร่า “โอ้โห หนึ่งคนร้องหนึ่งคนรับ เข้ากับปีศาจน้อยตัวนี้ ดีเหลือเกิน พวกเจ้าสองคนร้องเพลงคู่กันอยู่หรือไร?”

บัณฑิตที่ชุดคลุมสีขาวหิมะเต็มไปด้วยคราบฝุ่นคนนั้นถือพัดพับไว้ในมือ กุมหมัดคารวะเอ่ยว่า “ขอคุณชายจิ้นแห่งตำหนักจินอู่ได้โปรดออมมือไว้ไมตรีด้วย”

มีแสงกระบี่อีกเส้นหนึ่งแหวกอากาศมาถึง แล้วหยุดลอยตัวอยู่ข้างกายจิ้นเยว่ คือผู้ฝึกตนหญิงวัยกลางคนที่เรือนกายสะโอดสะองคนหนึ่ง นางใช้ปิ่นสีทองปักมวยผม พอชำเลืองตามองภาพบนทะเลสาบแล้วก็ยิ้มกล่าวว่า “ช่างเถิด การฝึกประสบการณ์ครั้งนี้ อยู่ภายใต้เปลือกตาของบรรพจารย์อาน้อย พวกเราไม่อาจสังหารบรรพบุรุษหวงเฟิงผู้นั้นได้ รู้ว่าตอนนี้เจ้าอารมณ์ไม่ดี แต่บรรพจารย์อาน้อยยังรอพวกเรา อยู่ที่นั่นนะ หากให้เขารอนานจะไม่ดี”

จิ้นเยว่พยักหน้ารับ ยื่นนิ้วมาชี้สองสามที “จวนชิงชิ่งใช่ไหม ข้าจำเอาไว้แล้ว ช่วงนี้พวกเจ้าก็รอข้าไปเยี่ยมเยือนถึงจวนเถิด”

จากนั้นก็ชี้นิ้วไปยังบัณฑิตชุดขาวที่แอบปาดเหงื่อบนหน้าผากตัวเอง หลังจากประสานสายตากับตนก็หยุดการกระทำทันใด แสร้งทำเป็นคลี่พัดพับเปิด พัดเอา ลมเย็นๆ เข้าใส่ตัว จิ้นเยว่จึงยิ้มกล่าวว่า “ข้ารู้ว่าเจ้าก็คือผู้ฝึกตน ชุดที่สวมบนร่าง อันที่จริงก็คงเป็นชุดคลุมอาคมกระมัง ในเมื่อเป็นบุตรชายก็อย่าแสร้งทำตัวเป็นหลานกับข้าเลย กล้าบอกชื่อแซ่และสำนักของเจ้ามาหรือไม่?”

คนผู้นั้นยิ้มกล่าว “เดินไม่เปลี่ยนชื่อ นั่งไม่เปลี่ยนแซ่ แซ่เฉิน นามคนดี”

จิ้นเยว่สีหน้ามืดทะมึน พูดกับสตรีวัยกลางคนที่อยู่ข้างกาย “ศิษย์พี่หญิง คราวนี้ข้าทนไม่ไหวแล้ว ให้ข้าออกกระบี่สักหนึ่งทีเถอะ แค่ทีเดียวเท่านั้น”

ผู้ฝึกตนหญิงของตำหนักจินอูเตือนเสียงเบา “บางทีบรรพจารย์อาน้อยอาจจะกำลังมองพวกเราอยู่ก็ได้นะ”

จิ้นเยว่จึงแค่นเสียงเย็นใส่บัณฑิตหนึ่งที “รีบไปจุดธูปไหว้พระ ขอพรให้วันหน้าอย่าได้ตกอยู่ในเงื้อมมือข้าเถอะ”

จากนั้นผู้ฝึกกระบี่ของตำหนักจินอูสองคนก็ทะยานร่างขึ้นสูงพร้อมกัน ขี่กระบี่จากไปไกล ลากแสงกระบี่ยาวเหยียดสองเส้นทิ้งไว้เบื้องหลัง

เซียนซือแปดท่านของจวนชิงชิ่งที่มารวมตัวกันอยู่ข้างกายสตรีสวมหมวกม่าน เห็นว่าแสงกระบี่สองเส้นนั้นหายไปแล้ว ต่างก็ถอนหายใจโล่งอก เพียงแต่พอคิดถึง คำของจิ้นเยว่ที่บอกว่าจะไปเยือนสำนัก แต่ละคนก็ได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน โดยเฉพาะ หญิงสาวสวมหมวกม่านที่ยิ่งอารมณ์หนักอึ้ง แต่พอคนทั้งเก้ามองไปยังบัณฑิตชุดขาว ที่เวลานี้กำลังปาดเหงื่อบนหน้าผากแรงๆ แล้ว ในใจก็อดรู้สึกซาบซึ้งไม่ได้ หากไม่เป็นเพราะคนผู้นี้ช่วยออกหน้ามาดึงดูดความสนใจไปจากคุณชายจิ้นเยว่แห่งตำหนักจินอู ผู้นั้น พวกเขาเก้าคนก็คงต้องเจอปัญหามากกว่านี้ ไม่แน่ว่าคืนนี้อาจจะหนีหายะ ไปไม่พ้น ต้องเปิดฉากต่อสู้กันหนึ่งครั้ง ถึงแม้กองกำลังของจวนชิงชิ่งจะเป็นรองตำหนักจินอูอยู่หนึ่งระดับ แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นที่ว่าเห็นผู้ฝึกกระบี่สองคนแล้วต้องลงไปนั่งคุกเข่าโขกหัวคำนับ

ไม่ว่าจะอย่างไร การลงภูเขาออกจากสำนักมาจับปีศาจครั้งนี้ ก็ต้องเรียกว่า โชคไม่ดีซวยตลอดปีอย่างแท้จริง

ในอนาคตหากสำนักคิดจะขัดขวางไม่ให้จิ้นเยว่ขึ้นเขาไปประชันกระบี่ ด้วยรากฐานของจวนชิงชิ่ง แน่นอนว่าไม่ยาก แต่นับจากนี้ไปจวนชิงชิ่งก็จะต้องไม่ถูกกับตำหนักจินอูแล้ว ซึ่งนี่เป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้เลย

สตรีสวมหมวกม่านคลุมหน้ากุมหมัดยิ้มกล่าว “คุณชายเฉินท่านนี้ ข้าชื่อว่า เหมาชิวลู่ มาจากจวนชิงชิ่งแห่งแคว้นเถาจือทางตะวันออกเฉียงเหนือของแคว้น เป่าเซียง ขอบคุณคุณชายเฉินที่ช่วยพูดจาผดุงคุณธรรม”

คนผู้นั้นยิ้มกล่าว “ไม่ได้พูดจาผดุงคุณธรรมอะไร ก็แค่อยากจะขอซื้อภูตน้ำของทะเลสาบคนใบ้ตนนั้นจากพวกเซียนซือ”

แม่นางน้อยชุดดำที่ยังคงยกสองแขนกอดอก ยามนี้ได้ยินก็ตะโกนอย่างไม่พอใจ “ภูตน้ำใหญ่!”

เฉินผิงอันหันหน้าไปยิ้มกล่าว “เมื่อครู่ตอนที่เจอกับเซียนกระบี่ของตำหนักจินอู ทำไมเจ้าไม่เรียกตัวเองว่าภูตน้ำใหญ่เล่า?!”

แม่นางน้อยกลอกตา “เมื่อครู่นี้ข้าเจ็บคอ เลยพูดไม่ได้ หากเจ้าแน่จริงก็บอกให้เซียนกระบี่ผายลมสุนัขของตำหนักจินอูนั่นกลับมาสิ ดูสิว่าข้าจะพูด…”

ไม่รอให้แม่นางน้อยชุดดำเอ่ยจบ

เห็นเพียงว่าขอบม่านฟ้าที่ห่างไปไกลปรากฏเส้นแสงสีทองที่ยาวประมาณพันจั้งกว่าเส้นหนึ่งสาดยิงพุ่งตรงมายังจุดลึกบางจุดในหุบเขาลมเหลือง

เฉินผิงอันหรี่ตาลง ชำเลืองตามองแวบเดียวก็ถอนสายตากลับ

โอ้ เป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตโอสถทองเสียด้วย

ดูท่าบรรพจารย์อาน้อยที่ผู้ฝึกตนชายหญิงของตำหนักจินอูคู่นั้นเรียกขาน จะลงมือด้วยตัวเองแล้ว?

หลังจากนั้นฟ้าดินก็กลับคืนมากระจ่างใส แสงกระบี่เส้นนั้นค่อยๆ สลายหายไป

แม่นางน้อยรีบยกมือกุมหัว ตะโกนเสียงดัง “ภูตน้ำน้อย ข้าเป็นแค่ภูตน้ำน้อย ที่ตัวเล็กเท่าเมล็ดข้าวสารเท่านั้น…”

สตรีสวมหมวกม่านยิ้มเจื่อนเอ่ยกับผู้เฒ่าคนหนึ่งที่มาจากสำนักเดียวกันกับนาง “หากคนผู้นี้ลงมือ ปล่อยกระบี่ใส่พวกเรา นั่นก็คงเป็นปัญหาใหญ่แล้ว”

ผู้เฒ่าส่ายหน้า เอ่ยด้วยรอยยิ้มบางๆ “นิสัยของเซียนกระบี่ผู้นี้เย็นชา หยิ่งทระนงนั้นเป็นเรื่องจริง แต่ทำอะไรไม่เหมือนกับจิ้นเยว่ที่ชอบโอ้อวดบารมี สมกับเป็น คนบนภูเขาอย่างมาก ในสายตาของเขาไม่เคยเห็นเรื่องราวทางโลก ทุกครั้งที่ลงจากภูเขามาเงียบๆ ก็เพียงแค่เพื่อกำจัดปีศาจปราบมาร ใช้พวกปีศาจมาชำระล้างกระบี่เท่านั้น ครั้งนี้เกรงว่าคงมาเพื่อเป็นผู้ปกป้องมรรคาให้แก่พวกจิ้นเยว่ เพราะถึงอย่างไรบรรพจารย์หวงเฟิงของที่แห่งนี้ก็คือโอสถทองตัวจริงเสียจริง อีกทั้งยังเชี่ยวชาญวิชาการหลบหนี หากไม่ระวังก็อาจต้องเจอภัยพิบัติพาตัวไปตาย ข้าว่ากระบี่นี้ที่ปล่อยออกมา คาดว่าภายในสิบปีนี้บรรพจารย์หวงเฟิงคงไม่กล้าโผล่หน้าออกมากินภิกษุโดยเฉพาะอีก”

สตรีสวมหมวกม่านที่เรียกตัวเองว่าเหมาชิวลู่มองไปทางบัณฑิตชุดขาว ส่ายหน้ายิ้มกล่าวว่า “หนึ่งเพราะจวนราชครูต่ายเงินซื้อปีศาจตัวนี้ด้วยราคาที่สูงมาก สองเพราะตอนนี้ไปมีเรื่องกับจิ้นเยว่แห่งตำหนักจินอูแล้ว หากคุณชายเฉินรับเผือกร้อนลูกนี้ไป ย่อมไม่เหมาะสม แม้จะบอกว่าจวนชิงชิ่งของพวกเราไม่แข็งแกร่งเท่าตำหนักจินอู แต่ข้อพิพาทที่เกิดขึ้นเพราะภูตน้ำทะเลสาบคนใบ้แห่งนี้ จะดีจะชั่วเราก็เป็นฝ่าย ที่มีเหตุผล จึงไม่ต้องเกรงกลัวตำหนักจินอูมากเกินไปนัก”

เฉินผิงอันเก็บพัดพับมาเหน็บไว้ที่เอว ยิ้มบางเอ่ยว่า “ไม่เป็นไร ตลอดทาง ที่ข้าเดินทางท่องเที่ยวขึ้นเหนือมานี้ หาเงินอย่างยากลำบากก็เพื่อเอามาใช้จ่าย เหมาเซียนซือเปิดราคามาได้เต็มที่เลย อีกอย่างข้าก็เป็นผู้ฝึกตนอิสระที่ไม่หยุดอยู่กับที่เหมือนจอกแหนใบหนึ่ง ตำหนักจินอูคิดจะระบายไฟโทสะใส่ก็ต้องหาข้าให้เจอก่อน ถึงจะได้ ดังนั้นขอแค่เหมาเซียนซือยินดีขาย ข้าก็เต็มใจซื้อ”

แม่นางน้อยชุดดำพูดอย่างขุ่นเคือง “ข้าไม่ยอมขายให้เจ้าหรอก บัณฑิตมีแต่ พวกคนเลว ไม่สู้ให้ข้าไปจวนชิงชิ่งของพี่สาวคนนั้น ไปเป็นเพื่อนบ้านของเทพวารี องค์หนึ่งยังดีเสียกว่า ไม่แน่ว่าอาจจะยังหลอกกินหลอกดื่มโดยไม่ต้องจ่ายเงินได้”

เฉินผิงอันหันหน้ามายิ้มกล่าว “ไม่กลัวแสงกระบี่ของเซียนกระบี่ตำหนักจินอูหรือ? หากเซียนกระบี่ใหญ่จิ้นผู้นั้นรู้ร่องรอยของเจ้า แต่ไหนแต่ไรมาก็มีแต่การเป็นโจร พันวัน ไหนเลยจะมีหลักการที่ต้องป้องกันโจรพันวัน ทุกวันใช้ชีวิตอย่างอกสั่น ขวัญแขวน ภูตน้ำใหญ่อย่างเจ้าจะรับได้ไหวหรือ?”

แม่นางน้อยขมวดคิ้ว เริ่มใช้ความคิดอย่างหนัก หากอยากรู้ว่านางตั้งใจใช้ความคิดมากเพียงใดก็ดูแค่คิ้วที่ขมวดมุ่นของนางก็รู้แล้ว

เฉินผิงอันหันไปมองเซียนซือจากจวนชิงชิ่งกลุ่มนั้นแล้วยิ้มกล่าว “เปิดราคามาเถอะ”

สตรีหันไปมองยังผู้อาวุโสในสำนักท่านนั้น ฝ่ายหลังพยักหน้าให้เบาๆ

เหมาชิวลู่ยังคงถามเสียงเบาว่า “คุณชายเฉินไม่กลัวว่าตำหนักจินอูจะมาหาเรื่องไม่เลิกราจริงๆ หรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้าแค่หลบคนของตำหนักจินอูพวกเขาก็พอ”

เหมาชิวลู่พูดอย่างลำบากใจเล็กน้อย “แต่ทางจวนราชครูให้ราคาเป็นเงิน หนึ่งเหรียญฝนธัญพืชเพื่อซื้อภูตปลาน้อยตัวนี้ อันที่จริงก็ขายไม่ได้ราคาสูง ขนาดนี้หรอก เพียงแต่ว่าเกี่ยวพันกับตำแหน่งแม่ย่าลำคลอง ก็เลย…”

แม่นางน้อยพูดอย่างเดือดดาล “ว่าไงนะ? แค่เหรียญเดียว? ไม่ใช่หนึ่งร้อยเหรียญรึ?! ข้าโมโหจะตายอยู่แล้ว! เจ้าบัณฑิตที่สวมชุดขาว เร็ว จ่ายเงินฝนธัญพืชให้แม่นางน้อยหมัดอ่อนนุ่มผู้นี้ไปหนึ่งร้อยเหรียญเลย หากเจ้ากะพริบตาสักครั้งก็ไม่ถือว่าเป็น วีรบุรุษชายชาตรี!”

เฉินผิงอันคร้านจะสนใจภูตน้ำน้อยที่น้ำเข้าสมองตนนี้ เขายื่นเงินฝนธัญพืชเหรียญหนึ่งส่งไป

ใบหน้าของเหมาชิวลู่ผู้นั้นเต็มไปด้วยความตกตะลึง กล่าวอย่างจนใจว่า “คุณชายเฉินซื้อจริงๆ หรือนี่?”

และเวลานี้เอง

ภิกษุเฒ่าใบหน้าและเรือนกายผอมซูบท่านหนึ่งก็พลิ้วกายมายืนอยู่บนเนิน ด้านหลังคือภิกษุสีหน้าเฉยชาอีกหลายสิบท่าน อายุแตกต่างกันไป มีทั้งเด็กและแก่

ด้านหน้าทุกคนห้อยลูกประคำเอาไว้ ทำมาจากวัสดุธรรมดาทั่วไป ทว่าแต่ละเส้นล้วนมีแสงสีทองไหลเวียนวน เมื่ออยู่ในม่านราตรีก็สะดุดตาอย่างถึงที่สุด

หลังจากยืนได้มั่นคงแล้ว ภิกษุเฒ่าก็พูดเสียงทุ้มหนัก “เซียนกระบี่ตำหนักจินอูจากไปไกลแล้ว ทว่าบรรพจารย์หวงเฟิงที่ได้รับบาดเจ็บสาหัส นิสัยดุร้ายป่าเถื่อนกำเริบ ถึงขนาดไม่ยอมรักษาตัวอยู่ในรากภูเขาแต่โดยดี กลับกลายเป็นแว้งมาจับ คนกิน อาจารย์ลุงของอาตมาได้คุมเชิงอยู่กับเขาห่างออกไปหลายสิบลี้แล้ว แต่คง กักตัวเขาไว้ไม่ได้นานนัก พวกเจ้ารีบตามอาตมาออกไปจากอาณาเขตของหุบเขา ลมเหลืองแห่งนี้ รีบลุกขึ้นออกเดินทางเสีย ห้ามอืดอาดล่าช้าเด็ดขาด”

เฉินผิงอันโยนเงินฝนธัญพืชเหรียญนั้นให้สตรีสวมหมวกม่านเบาๆ ยิ้มกล่าวว่า “ทำการค้าเสร็จ พวกเราก็หนีกันได้แล้ว”

เหมาชิวลู่กัดฟันรับเงินฝนธัญพืชเหรียญนั้นมา เมื่อกำไว้ในมือก็รู้ว่าเป็น เงินฝนธัญพืชจริงแท้แน่นอนเหรียญหนึ่ง

ภูตน้ำน้อยรีบตะโกนว่า “ยังมีกระพรวนเส้นนั้นอีก อย่าลืมล่ะ! เจ้าก็ต้องจ่ายเงินฝนธัญพืชเหรียญหนึ่งซื้อกลับมาด้วย!”

เฉินผิงอันยังคงไม่สนใจนาง

แม่นางน้อยพองแก้มป่อง บัณฑิตคนนี้ทำอะไรไม่รวดเร็วฉับไวเสียเลย

สตรีสวมหมวกม่านปลดกระพรวนเส้นที่อยู่บนข้อมือลงมามอบให้กับบัณฑิตชุดขาวที่นางยังคงมองไม่ออกว่าเป็นผู้ฝึกลมปราณคนนั้น

ผู้อาวุโสของสำนักนางโบกมือหนึ่งครั้ง ค่ายกลยันต์แปดทิศที่กินอาณาบริเวณ ไปทั่วผิวน้ำทะเลสาบก็พลันหุบเข้าหากัน กักตัวแม่นางน้อยที่ร่างชักกระตุกเกร็ง ยามอยู่ในตาข่ายยักษ์ของยันต์สีเงินมาไว้บนฝั่ง เซียนซือคนอื่นๆ ของสำนักชิงชิ่ง ก็พากันควบคุมเอาเข็มทิศกลับไป

เหมาชิวลู่ยิ้มกล่าว “พวกเราถอนค่ายกลยันต์ออกแล้ว แต่คุณชายเฉินก็ต้องดูให้ดีล่ะ อย่าให้นางหนีลงทะเลสาบไปได้”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม “แน่นอน”

แสงศักดิ์สิทธิ์ของค่ายกลสว่างวาบแล้วหายวับไปทันที

เฉินผิงอันก้าวเดินออกไปหนึ่งก้าว หิ้วคอเสื้อด้านหลังของแม่นางน้อยแล้ว ยกขึ้นสูง นางลอยต่องแต่งอยู่กลางอากาศ ยังคงตีหน้าเคร่ง ยกสองมือกอดอก

เหล่าชาวยุทธและขบวนพ่อค้าที่เดินทางผ่านมาซึ่งพักกันอยู่ตรงเนินเขาต่างก็เก็บสัมภาระของตัวเองอย่างรวดเร็ว แล้วจึงเริ่มออกเดินทางยามค่ำคืนไปภายใต้การคุ้มกันของภิกษุเหล่านั้น

ส่วนเซียนซือจากจวนชิงชิ่งกลุ่มนั้นที่ไม่ได้พูดคุยอะไรกับเหล่าภิกษุก็เดินเข้าไปในกลุ่มคนด้วยตัวเอง เห็นได้ชัดว่าต้องการช่วยเหลือภิกษุแคว้นเป่าเซียงคุ้มครอง คนทั้งหลายไปส่ง

เฉินผิงอันตะโกนเสียงดัง “ผู้คุ้มกันท่านนั้น!”

ผู้คุ้มกันหนุ่มคนหนึ่งที่ขี่ม้ามาถึงยอดเนินหันหน้าไปมอง

เห็นเพียงว่าบัณฑิตชุดขาวคนนั้นนอกจากมือหนึ่งหิ้วแม่นางน้อยไว้แล้ว อีกมือหนึ่งยังมีเหล้าอีกหนึ่งกาเพิ่มขึ้นมา จากนั้นเขาก็โยนกาเหล้าขึ้นสูงเต็มแรง

ผู้คุ้มกันหนุ่มที่นั่งอยู่บนหลังม้าคนนั้นแค่ยื่นมือออกไปก็สามารถรับเหล้ากาเอาไว้ได้

คนหนุ่มรับกาเหล้ามาแล้วก็คลี่ยิ้ม กุมหมัดแสดงการขอบคุณ

พบเจอกันในยุทธภพ เป็นเพียงแค่การพบเจออย่างผิวเผิน

ถูกชะตาก็ร่วมร่ำสุรา ไม่จำเป็นต้องโอภาปราศรัย หรือถามชื่อแซ่กัน

เหมาชิวลู่หันหน้ามาถาม “คุณชายเฉิน? ไม่ไปด้วยกันหรือ?!”

จากนั้นสตรีสวมหมวกม่านก็ได้ยินเหตุผลหนึ่งที่ไม่ว่าอย่างไรนางก็คิดไม่ถึง ได้ยินเพียงแค่คนผู้นั้นยิ้มกว้างเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “ข้าจะเปลี่ยนเส้นทางหนี พวกเจ้าคนเยอะ บรรพจารย์หวงเฟิงต้องไปหาพวกเจ้าก่อนแน่”

เหมาชิวลู่โมโหจนพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว นางหันตัวกลับ หันหลังให้คนผู้นั้นแล้วชูแขนขึ้นสูง ก่อนจะยกนิ้วโป้งขึ้น จากนั้นก็คว่ำลงช้าๆ

แต่คนผู้นั้นกลับยังพูดต่ออย่างหน้าไม่อายว่า “วันหน้าหากมีโอกาสข้าจะไป เป็นแขกที่จวนชิงชิ่งของพวกเจ้านะ”

หลังจากลดมือลงมาแล้ว สตรีสวมหมวกม่านก็ก้าวยาวๆ จากไป แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน

แม่นางน้อยที่ถูกหิ้วอยู่ในมือโคลงศีรษะ พูดอย่างมีความสุขบนความทุกข์ของผู้อื่น “บัณฑิตเอ๋ย เจ้าคงมองไม่ออกสินะว่านางรู้สึกดีกับเจ้าอยู่นิดๆ แต่ตอนนี้ความรู้สึกที่ว่านั้นกลับไม่เหลืออยู่แล้ว”

คอเสื้อด้านหลังถูกคลายออก สองเท้าของนางสัมผัสพื้น

เห็นเพียงว่าบัณฑิตชุดขาวคนนั้นยิ้มกล่าว “มองไม่ออก แต่เจ้านี่มีประสบการณ์โชกโชนจริงๆ เลยนะ”

แม่นางน้อยชุดดำเอาสองมือไพล่หลัง เบิกตากว้างมองกระพรวนที่อยู่ในมือ ของคนผู้นั้น

เฉินผิงอันโยนกระพรวนไปให้นาง จากนั้นก็สวมงอบลงบนศีรษะ ค้อมเอวเบี่ยงตัวสะพายหีบไม้ไผ่ใบใหญ่ขึ้นหลัง

แม่นางน้อยอึ้งตะลึงอยู่กับที่ จากนั้นหมุนตัวหนึ่งรอบ ไม่มีความผิดปกติใดๆ นางยืดคอออกไป ใบหน้าเล็กๆ และคิ้วบางๆ ขมวดยู่รวมอยู่ด้วยกัน แสดงให้เห็นว่าตอนนี้ในหัวของนางเหลวเหมือนแป้งเปียกแล้ว นางถามว่า “อะไรกัน เจ้าไม่สนใจข้าแล้วหรือ? เจ้าไม่เห็นภูตน้ำใหญ่เป็นภูตน้ำใหญ่จริงๆ งั้นหรือ?”

เฉินผิงอันยื่นฝ่ามือมาดันหน้าผากนาง “ไสหัวไป”

แม่นางน้อยกล่าวอย่างขุ่นเคือง “อะไรกันๆ!”

นางพลันอ้าปากกว้าง ปากใหญ่แสยะแยกออกกว้างบนใบหน้าเล็กๆ เผยให้เห็นฟันแหลมคมใสวาววับ แล้วนางก็อ้าค้างอยู่อย่างนั้น “กลัวหรือไม่?”

เฉินผิงอันสะพายหีบไม้ไผ่ เดินไปทางเนินเขาช้าๆ ทิ้งประโยคหนึ่งไว้ว่า “กลัวจะตายอยู่แล้ว”

ห่างจากทางเหนือของเนินเขาไปไม่ไกลนัก ความเคลื่อนไหวของที่นั่นยิ่งนาน ก็ยิ่งรุนแรง

แม่นางน้อยชุดดำลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนจะโยนกระพรวนเส้นนั้นลงไปในทะเลสาบอย่างง่ายๆ จากนั้นก็จับคางตัวเอง เริ่มขมวดคิ้วครุ่นคิด ตาก็คอยมอง บัณฑิตชุดขาวผู้นั้นเดินขึ้นเนินเขาไป

นางแค่นเสียงเย็นหนึ่งที หมุนตัวเดินอาดๆ ไปทางทะเลสาบสีมรกตขนาดเล็ก แต่จากนั้นก็พลันหยุดยืนนิ่ง หันหน้ากลับไปมอง ผลกลับเห็นเพียงว่าคนผู้นั้นได้ไป ยืนอยู่บนยอดเนินเขาแล้ว ฝีเท้าของเขาไม่หยุดนิ่ง เดินจากไปทั้งอย่างนั้น

แม่นางน้อยเกาหัวอย่างแรง รู้สึกอยู่เนืองๆ ว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติ

แต่จากนั้นนางก็กระโดดตัวขึ้นสูง ทิ้งตัวลงสู่ผืนน้ำ เผยร่างจริงกลายเป็นภูตปลาตัวหนึ่ง ไล่ตามกระพรวนที่ลดระดับลงเบื้องล่างอย่างต่อเนื่องเส้นนั้นไป ส่ายหัว สะบัดหาง แหวกว่ายไปยังก้นทะเลสาบ

ทางฝั่งของเนินเขา

เมื่อคนชุดขาวผู้หนึ่งเดินออกห่างมาได้หลายลี้

เขาก็หยุดเดิน ปลดงอบและหีบไม้ไผ่ลง

เห็นเพียงภิกษุเฒ่าที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยคราบเลือดคนหนึ่งนั่งท่องพระคัมภีร์เงียบๆ อยู่ที่เดิม

พื้นทรายสีทองข้างกายเขาปักคักขราด้ามหนึ่งเอาไว้ ห่วงเงินตีกระทบกันอย่างรุนแรง

และเลือดสดทั่วร่างของภิกษุเฒ่าก็เป็นสีทองจางๆ

เมื่อภิกษุเฒ่าเข้าฌานทำสมาธิ พื้นที่โดยรอบก็มีดอกบัวสีทองดอกแล้วดอกเล่าเบ่งบานออกมาอย่างต่อเนื่อง

รอบกายของภิกษุเฒ่ามีพายุหมุนสีเหลืองพัดหอบไม่หยุด พอจะเห็นชุดคลุม สีเหลืองที่ผลุบโผล่อยู่ภายในพายุได้รางๆ

เมื่อถูกพายุหมุนทรายเหลืองลูกนั้นกระแทกชนอย่างบ้าคลั่ง กลีบของดอกบัว สีทองทั้งหลายก็ร่วงโรย

แม้ภิกษุเฒ่าจะหลับตาแน่น แต่กระนั้นก็ยังโบกชายแขนเสื้อ ตอนนี้ภิกษุเฒ่า เพียงแค่พอจะสัมผัสได้ว่าเบื้องหลังมีคนนอกคนหนึ่งปรากฎตัว จึงค่อนข้างร้อนใจ เขาเอ่ยเสียงหนัก “รีบหนีไป! หยิบเอาคักขราของอาตมาไป มันจะช่วยให้เจ้า หนีไปไกลจากที่นี่ แล้วอย่าได้กลับมาอีก!”

คักขราชิ้นนั้นบินเข้าหาบัณฑิตชุดขาวในแนวเฉียง จากนั้นก็หยุดลอยอยู่ข้างตัวของคนผู้นั้น คักขราบินหมุนวนไม่หยุดคล้ายร้อนใจอย่างมาก และกำลังเร่งให้ บัณฑิตรีบจับมันเอาไว้ รีบหนีไปจากสถานที่ที่อันตรายแห่งนี้

เพื่อแบ่งสมาธิมาบังคับให้คักขราชิ้นนั้นหลุดออกจากพื้นไปช่วยคน อาคมของภิกษุเฒ่าจึงเริ่มเกิดช่องโหว่ พายุหมุนทรายสีทองยิ่งมีพลังอำนาจดุดัน ดอกบัวสีทองในพื้นที่โดยรอบที่กินบริเวณไม่กว้างเหลืออีกไม่มากแล้ว

และในขณะที่ภิกษุเฒ่ากำลังจะถูกทรายเหลืองห่อหุ้มแล้วกัดกินทำลายร่างทองของเขาไปอย่างสิ้นเชิงนั้นเอง ข้างหูก็มีเสียงกระซิบทุ้มอบอุ่นดังขึ้นมา “ต้าซือ แค่เข้าฌานท่องพระธรรมต่อไปเถิด ข้าน้อยโชคดีได้มารับฟังก็ซาบซึ้งใจเป็นที่สุดแล้ว”

จากนั้นคนหนุ่มที่เดินหน้าหนึ่งก้าวร่างก็พุ่งออกไปหลายสิบจั้ง ก็ส่งเสียงว่า “ตามข้ามาปราบปีศาจ!”

เห็นเพียงว่าหีบไม้ไผ่เปิดออกด้วยตัวเอง เชือกพันธนาการปีศาจสีทองเส้นหนึ่งพุ่งออกมาเหมือนเจียวหลงสีทองที่ติดตามเงาร่างสีขาวหิมะ บุกตะลุยไปเบื้องหน้าด้วยกัน

เชือกพันธนาการปีศาจมุดลอดเข้าไปในพายุหมุนทรายเหลือง กักกันชุดคลุม สีเหลืองนั้นเอาไว้

ส่วนบัณฑิตชุดขาวก็แค่ออกหมัดรัวเร็วเหมือนฟ้าผ่าเท่านั้น

เพียงแต่ว่าพลังอำนาจของหมัดลมกรดน่าหวาดกลัว อานุภาพน่าครั่นคร้าม ทว่าบัณฑิตกลับก้าวเดินอย่างผ่อนคลาย และเพียงแค่เขาโบกสะบัดชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง พายุหมุนงวงช้างทั้งลูกที่พวยพุ่งเชื่อมแผ่นฟ้าก็ถูกต่อยให้ขาดออกเป็นสองท่อน

ภิกษุเฒ่าลืมตาขึ้นช้าๆ ยิ้มบางๆ สิบนิ้วพนม ก้มหน้าแต่กลับไม่ท่องพระคัมภีร์ เพียงพึมพำกับตัวเองว่า “พลานุภาพและคุณธรรมสูงสง่า ตั้งใจพิศให้กระจ่าง เสียดายที่ไร้น้ำชา มิเช่นนั้นคงได้นั่งลง”

ชุดสีขาวกับพายุหมุนลูกนั้นเคลื่อนตัวต่อสู้กันห่างไปไกลแล้ว

ภิกษุลุกขึ้นยืนช้าๆ หมุนตัวเดินไปทางหีบไม้ไผ่ คว้าคักขราห่วงเงินที่นิ่งสงบ ไร้เสียงใดมาไว้ในมือ แล้วภิกษุเฒ่าก็ท่องพระธรรมหนึ่งคำ ครั้นจึงก้าวยาวๆ จากไป

ท่ามกลางม่านราตรีของวันนี้

บัณฑิตชุดขาวสะพายหีบไม้ไผ่ถือไม้เท้าเดินป่ากำลังเดินหน้าไปช้าๆ

บนฝ่าเท้ามีแม่นางน้อยชุดดำคนหนึ่งที่ใช้สองมือกอดข้อเท้าของเขาเอาไว้แน่นห้อยติดมาด้วย ดังนั้นทุกก้าวที่เดินจึงต้องลากแม่นางน้อยที่เหมือนขนมหนิวผีถัง (ขนมมีชื่อชนิดหนึ่งของเจียงซู หยางโจว หากเป็นในไทยก็คือขนมคอเป็ด/ขนมคอหงส์ เปรียบเปรยขนมชิ้นนี้กับคนที่หน้าหนาหน้าทน ตอแยพัวพันไม่ยอมเลิกรา) ผู้นี้ออกไปด้วย

เฉินผิงอันก็ไม่คิดจะก้มหน้า “เจ้าจะตอแยข้าอย่างนี้ใช่ไหม?”

แม่นางน้อยที่บนร่างรัดห่อสัมภาระห่อหนึ่งเอาไว้พยักหน้ารับ “ในห่อสัมภาระของข้าคือทรัพย์สมบัติใต้ทะเลสาบ ไม่ว่าอย่างไรก็มีค่ามากเกินกว่าหนึ่งเหรียญเงินฝนธัญพืชแน่นอน ตกลงกันก่อนว่าข้าจะยกมันให้เจ้าทั้งหมด แต่เจ้าจำเป็นต้องช่วยข้า หาบัณฑิตคนหนึ่งที่เขียนหนังสือได้ ให้เขามาช่วยเขียนเรื่องราวอันน่าตระการตา ที่ในเรื่องข้าดุร้ายอำมหิต น่าหวาดกลัวอย่างมาก”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างระอาใจ “หากเจ้ายังทำแบบนี้ ข้าจะไม่เกรงใจเจ้าแล้วนะ”

แม่นางน้อยเช็ดน้ำมูกน้ำตาลงบนขาของคนผู้นั้นลวกๆ พูดเสียงสะอื้นว่า “ขอร้องเจ้าล่ะ พาข้าไปท่องยุทธภพด้วยเถอะ เจ้ามีความสามารถมากขนาดนั้น ขนาด บรรพบุรุษหวงเฟิงผู้นั้นยังถูกเจ้าสังหารได้ อยู่กับเจ้า ข้าก็ไม่ต้องกลุ้มเรื่องกินอยู่ ข้าจะต้องหาบัณฑิตคนนั้นให้เจอให้จงได้ ให้เขาเขียนเรื่องราวของข้า ข้าต้องการ มีชื่อเสียงอยู่ในประวัติศาสตร์ ทุกครอบครัวทุกตระกูลต้องรู้ว่าข้าคือภูตน้ำใหญ่ แห่งทะเลสาบคนใบ้”

เฉินผิงอันหยุดเดิน ก้มหน้าถาม “ยังไม่ปล่อยมือ?”

ตีให้ตายแม่นางน้อยชุดดำก็ไม่ยอมปล่อยมือ นางโคลงศีรษะ เช็ดคราบน้ำมูกน้ำตาบนใบหน้าของตนเองกับชายชุดคลุมสีขาวของคนผู้นั้น จากนั้นจึงเงยหน้า ยู่ใบหน้าเอ่ยว่า “ข้าไม่ปล่อย”

เฉินผิงอันยกขาขึ้น “ไปเลย”

แม่นางน้อยถูกเตะโด่งลอยไปยังทะเลสาบมรกตขนาดเล็กแห่งนั้นโดยตรง นางกลิ้งหลุนๆ อยู่กลางอากาศไม่หยุด ลากเอาเส้นโค้งที่ยาวเหยียดเส้นหนึ่ง ตามหลังไป

ครู่หนึ่งต่อมา

เฉินผิงอันหันกลับไปมอง

ห่างไปไกลมีแมลงตามก้นตามติดมาอีกครั้ง พอเห็นว่าเขาหันหน้าไปมองก็รีบหยุดยืนนิ่ง แหงนหน้ามองดวงจันทร์

เฉินผิงอันถอนหายใจ “อยู่ข้างกายข้า ไม่แน่ว่าเจ้าอาจตายได้”

เจ้าตัวน้อยวิ่งตุปัดตุเป๋มาข้างหน้า แต่พอเห็นว่าบัณฑิตชุดขาวคนนั้นขมวดคิ้ว ก็รีบหยุดกึก พูดอย่างอัดอั้นว่า “ใครบ้างไม่ต้องตาย ถึงอย่างไรก็ล้วนต้องตายกัน ทุกคน ข้าไม่กลัวเรื่องนี้สักหน่อย ข้าแค่อยากให้ทุกคนรู้จักข้า พอรู้จักแล้ว ต่อให้ ต้องตายก็ตายเถอะ”

เฉินผิงอันเดินไปข้างหน้าต่อ

นางจึงเดินตามมาด้านหลัง

ระหว่างนี้นางนั่งยองลงบนพื้น จ้องเป๋งไปบนพื้นดิน เอียงศีรษะ จากนั้นจู่ๆ ก็แสยะปากที่เต็มไปด้วยฟันแหลมคมออกกว้าง งับจิ้งเหลนตัวหนึ่งกลืนลงท้องไป

พอลุกขึ้นยืน แม่นางน้อยที่ด้านหลังสะพายห่อสัมภาระก็ยิ้มหน้าบาน “อร่อย!”

เพียงแต่จู่ๆ นางก็สังเกตเห็นว่าคนผู้นั้นหันหน้ากลับมา

นางรีบวางสีหน้านิ่งขึง สายตาล่อกแล่กอยู่ไม่นิ่ง เพียงแต่อดขยับแก้มน้อยๆ ไม่ได้

คนผู้นั้นคลี่ยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นก็ตามมาเถอะ ข้าจะพยายามช่วยหาที่พักพิงให้เจ้าก่อนจะไปถึงสวนน้ำค้างวสันต์ก็แล้วกัน แต่เรื่องไม่น่าฟังเอามาพูดกันก่อน หากเจ้า คิดเปลี่ยนใจขึ้นมากลางคัน อยากจะกลับมาที่ทะเลสาบคนใบ้ เจ้าก็ต้องกลับมาเอง ข้าจะไม่สนใจเจ้า”

นางวิ่งตะบึงมาหยุดข้างกายคนผู้นั้น ยืดอกตั้งเอ่ยว่า “ข้าหรือจะเปลี่ยนใจ? หึหึ ข้าคือภูตน้ำใหญ่เชียวนะ!”

คนผู้นั้นอืมรับหนึ่งที “ภูตน้ำใหญ่ที่ตัวเท่าเมล็ดข้าวสาร”

นางทำสีหน้าปั้นยากอย่างที่หาได้ยาก

เรื่องน่าอายที่เล็กเท่าเมล็ดงานี้ ห้ามเขียนลงไปในหนังสือเด็ดขาด

จากนั้นต่อมาข้างกายบัณฑิตชุดขาวจึงมีแม่นางชุดดำที่มักจะพูดว่าคอแห้งหิวน้ำติดตามมาด้วย ขึ้นเขาลงห้วยไปด้วยกัน

แม่นางน้อยรู้สึกว่าทุกอย่างน่าสนใจไปเสียหมด

คนผู้นั้นพานางไปนั่งบนหัวกำแพงของถนนเส้นหนึ่งด้วยกัน มองดูเทพทวารบาลของสองบ้านทะเลาะกันเอง

เป็นเทพทวารบาลของสองบ้านที่อยู่ตรงข้ามกัน บ้านที่ติดภาพเทพแห่งโชคลาภฝ่ายบุ๋นนั้น เทพที่อยู่ด้านในคือชายฉกรรจ์ที่มีคุณธรรมเต็มเปี่ยม ส่วนบ้านที่ติด เทพแห่งโชคลาภฝ่ายบู๊กลับเป็นเมล็ดพันธ์บัณฑิตคนหนึ่งที่เดินออกมา หน้าตาของเขางดงาม เคยได้รับฉายาว่าเด็กอัจฉริยะในอำเภอแถบนี้

ตอนนั้นบัณฑิตคนนั้นที่จนถึงทุกวันนี้นางยังรู้แค่ว่าเขาชื่อเฉินคนดีแปะยันต์ แผ่นหนึ่งที่ชื่อไม่น่าฟังอย่างมากบนร่างนาง แล้วคนทั้งสองก็นั่งดูเรื่องสนุกอยู่บน หัวกำแพงที่ห่างไปไกลด้วยกัน

หลังจากนั้นพวกเขายังได้เห็นภาพเหตุการณ์ที่เทพภูเขายกบุตรสาวให้แต่งงานกับบุตรชายของเทพวารี มองดูแล้วควรเป็นงานยิ่งใหญ่เอิกเกริกที่เสียงตีกล้องตีฆ้อง ดังลั่นอย่างครึกครื้น แต่ความจริงแล้วกลับเงียบสงัดไร้สรรพสำเนียง ตอนนั้นคนผู้นั้นเดินหลบเปิดทางให้ แต่หญิงชราคนหนึ่งที่อยู่ในขบวนของท่านเทพภูเขากลับเป็นฝ่ายยื่นส่งหงเปามงคลซองหนึ่งให้กับเขา และคนผู้นั้นก็รับไว้ด้วย แถมยังเอ่ยอวยพร อย่างเกรงอกเกรงใจ ช่างน่าอายจริงๆ ข้างในซองมีเงินเกล็ดหิมะแค่เหรียญเดียว เองนะ

ภายหลังพวกเขาก็ได้เจอกับขบวนท่องเที่ยวของเจ้าแห่งห้าขุนเขาในตำนาน เทพสวมชุดทอง ขี่ม้าสีขาว ด้านหลังมีขบวนตามติดมายาวเหยียด มองดูแล้ว เปี่ยมบารมีอย่างยิ่ง

และด้านข้างศาลเจ้าแม่บางท่านที่กินอาณาบริเวณกว้างขวางอย่างมาก ทว่าสภาพกลับผุพังเก่าโทรม พวกเขายังได้เห็นสาวงามสามคนเดินนวยนาดออกมาจากห้องร้างไร้ผู้คนที่อยู่แถบระเบียงตะวันตกของศาล พวกนางแอบไปลอบพบกับ บัณฑิตของโลกมนุษย์คนหนึ่ง น่าเสียดายที่ภาพเหตุการณ์น่าอายหลังจากนั้น เจ้าคนข้างกายผู้นี้กลับไม่ยอมดู แม้แต่นางก็ยังไม่อนุญาตให้ไปแอบมอง เพียงแต่ว่าพอฟ้าสาง พวกเขาเดินเข้าไปดูก็เห็นเพียงว่าที่ศาลแห่งนั้นมีรูปปั้นสาวงามสีสันกระดำกระด่างสามรูป เมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้ รูปปั้นแต่ละรูปขาดผ้าเช็ดหน้าไป หนึ่งผืน ปิ่นทองหนึ่งชิ้นและกำไลข้อมือหนึ่งอัน

ที่น่าสนุกยิ่งกว่านั้นก็คือมีครั้งหนึ่งพวกเขาจับผลัดจับผลูไปเจอกับดินแดนสุขาวดีนอกโลกที่ซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางป่าเขาแห่งหนึ่ง ด้านในมีภูตที่แต่งกายเป็นปัญญาชนอยู่หลายคน พอเจอกับพวกเขาสองคน แรกเริ่มก็ยังกระตือรือร้นอย่างมาก แต่พอ ภูตแห่งภูเขาเหล่านั้นเปิดปากถามว่าเขาสามารถแต่งกลอนบทหนึ่งได้หรือไม่ เขากลับอึ้งค้าง จากนั้นภูตทั้งหลายก็เริ่มไล่คน บอกว่าเหตุใดถึงได้มีคนหยาบกระด้างแบบนี้ได้ พวกเขาสองคนจึงได้แต่ถอยออกมาจากจวนแห่งนั้นอย่างกระเซอะกระเซิง นางทำหน้าล้อเลียนใส่เขา เขาเองก็ไม่โกรธ

เรื่องราวเหล่านี้ล้วนเป็นเรื่องที่น่าสนใจมาก แต่อันที่จริงส่วนใหญ่กลับเป็น เรื่องน่าเบื่อที่ต้องเร่งเดินทางทั้งกลางวันกลางคืน ต้องก่อไฟหุงหาอาหารเสียมากกว่า

แต่ก็มีบางครั้งที่คนประหลาดผู้นี้ประหลาดมากจริงๆ

มีครั้งหนึ่งเขาเดินอยู่บนสะพานเลียบหน้าผา มองไปยังหน้าผาของภูเขาเขียวที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ ถึงพุ่งตัวออกไปชนเข้ากลางหน้าผาโดยตรง จากนั้น ก็ปล่อยหมัดต่อยให้ภูเขาทั้งลูกทะลุเสียงดังตูมๆๆ แล้วยังจะชอบพูดว่าน้ำเข้าสมองนาง? พี่ชายใหญ่เจ้าอย่ามาว่าพี่หญิงรองเลย

และเวลาที่พักนอนบนยอดเขายามค่ำคืน เขายังเดินวนเป็นวงกลมอยู่คนเดียว สามารถเดินอยู่อย่างนั้นได้ทั้งคืน เหมือนจะหลับแต่ไม่ได้หลับ ถึงอย่างไรขอแค่ นางรู้สึกง่วง หัวถึงพื้นก็หลับได้ทันที แถมยังหลับสนิทเสียด้วย พอเช้าตรู่ลืมตาขึ้นมามองก็มักจะเห็นว่าเขายังคงเดินเล่นเป็นวงกลมอยู่อย่างนั้น

เขาเองก็มีช่วงเวลาที่ไม่ค่อยเอาจริงเอาจังอยู่เหมือนกัน

มีครั้งหนึ่งเดินผ่านศาลาริมน้ำนอกเมืองแห่งหนึ่ง เป็นสถานที่ที่นักประพันธ์และวิญญูชนจะมารวมตัวกัน ตอนนั้นฝนตกหนักพอดี ทุกคนที่อยู่ในศาลาจึงมองฝนเหมือนชมน้ำตก แต่ละคนเปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้นเกิดแรงบันดาลใจ จากนั้นคนผู้นั้นทำเสียงสวบทีเดียวก็หายตัวไปแล้ว ไม่รู้ว่าเขาทำอย่างไร เพียงแต่ว่าเฉพาะบริเวณใกล้เคียงกับศาลากลับไม่มีฝนตกกระหน่ำอีกแล้ว เหล่าบัณฑิตที่อยู่ในศาลา อึ้งงันเป็นไก่ไม้ ทำเอานางที่หลบอยู่ในน้ำกุมท้องหัวเราะก๊าก

ทุกๆ ระยะเวลาช่วงหนึ่ง ยามที่อยู่ริมลำธาร เขาจะตบน้ำเต้าบรรจุเหล้า เอา…กระบี่บินเล็กจิ๋วเล่มหนึ่งออกมาโกนหนวด มีครั้งหนึ่งเขาหันหน้ามามองนางแล้วยิ้มให้ แต่นางกลับยิ้มไม่ออกสักนิด นั่นมันกระบี่บินของเซียนเชียวนะ!

และเขาเองก็มักจะลงไปช่วยชาวนาปลูกต้นกล้าทำนา ในเวลานั้นเขาจะปลดหีบหนังสือและงอบไม้ไผ่ ไปทำงานง่วนอยู่ในผืนนา ดูเหมือนว่าจะอารมณ์ดีมากเป็นพิเศษด้วย

แรกเริ่มพวกชาวบ้านในชนบทยังกลัวว่าบัณฑิตผู้นี้จะเล่นพิเรนทร์ ช่วยทำให้ เสียเรื่องซะมากกว่า คิดไม่ถึงว่าพอลงมือขึ้นมาจริงๆ กลับคล่องแคล่วคุ้นเคย ไม่ต่างจากพวกเขาเลย รอจนทำงานกันเสร็จแล้ว พวกชาวบ้านก็อยากจะเลี้ยงข้าวพวกเขา แต่เขากลับจากมาด้วยรอยยิ้ม

เพียงแต่ว่าเรื่องเล็กน้อยหยุมหยิมเหล่านี้ไม่ค่อยจะมีบารมียิ่งใหญ่สักเท่าไร ทำให้นางรู้สึกไม่หนำใจเลยสักนิด อยู่กับเขามานานขนาดนี้ก็ยังไม่อาจสร้างชื่อเสียงยิ่งใหญ่อะไรได้ ยังคงไม่มีใครรู้ว่านางเป็นภูตน้ำใหญ่แห่งทะเลสาบคนใบ้เลยนะ เห็นใคร เขาก็แค่แนะนำว่านางแซ่โจว จากนั้นก็ไม่พูดอะไรอีก

มีเพียงครั้งหนึ่งที่นางรู้สึกเลื่อมใสเขาเล็กน้อย

บนแม่น้ำใหญ่สายหนึ่ง เรือหอเรือนลำหนึ่งขับทวนกระแสน้ำชนเข้ากับเรือแจวลำน้อยที่หลบไม่ทัน จึงมีคนชุดขาวผู้หนึ่งขี่กระบี่ไปถึง พลิ้วกายลงบนเรือแจว ยื่นมือข้างหนึ่งไปยันเรือหอเรือนเอาไว้ มืออีกข้างถือกาเหล้าแหงนหน้าดื่มเหล้า

ภายหลังพวกเขาสองคนนั่งอยู่บนหอสูงในเมืองหลวงของโลกมนุษย์ที่เจริญรุ่งเรืองแห่งหนึ่ง ก้มหน้าลงมองทัศนียภาพยามราตรี แสงไฟส่องสว่างเรืองรอง ราวกับทางช้างเผือก

ในที่สุดเขาก็เอ่ยประโยคที่เหมือนถ้อยคำของบัณฑิตบ้างแล้ว บอกว่าเหนือศีรษะคือธารดารา ใต้ฝ่าเท้าก็เป็นธารดารา บนฟ้าล่างฟ้าล้วนมีความงดงามที่ไร้ สรรพสำเนียงอยู่เสมอ

นางเห็นเขาดื่มเหล้าจึงเกลี้ยกล่อมให้เขาพูดเยอะๆ หน่อย

เขาก็เลยบอกอีกว่าแสงจันทร์สาดส่องสู่หอสูง รำคาญ มันก็มา คิดถึง มันก็ไป

นางรู้สึกเศร้าใจเล็กน้อย เป็นความรู้สึกเสียใจเล็กเท่าเมล็ดข้าวสารที่อยู่ดีๆ ก็เกิดขึ้น อันที่จริงไม่ใช่ว่านางคิดถึงบ้านเกิด ตลอดทางที่เดินทางมานี้ นางไม่คิดถึงเลยแม้แต่น้อย เพียงแต่เมื่อนางหันไปมองใบหน้าด้านข้างของคนผู้นั้น ดูเหมือนว่า เขาจะคิดถึงใครบางคน คิดถึงเรื่องบางเรื่องที่ทำให้เสียใจ อาจจะใช่กระมัง ใครเล่า จะรู้ได้ นางเป็นเพียงแค่ภูตน้ำใหญ่ที่แอบมองดูผู้คนที่สัญจรผ่านไปผ่านมาปีแล้วปีเล่า นางไม่ใช่คนจริงๆ เสียหน่อย

พอคิดอย่างนี้ นางก็รู้สึกเสียใจนิดๆ

คนผู้นั้นหันหน้ากลับมา บนหัวเข่าวางไม้เท้าเดินป่าพาดขวาง เขากอดกาเหล้า แต่กลับยื่นมือมาลูบศีรษะของนางเบาๆ

นาทีนั้น

นางรู้สึกว่าบางทีเขาอาจจะชื่อเฉินคนดีจริงๆ ก็ได้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version