บทที่ 515 อาจารย์เป็นผ้าห่อบุญ ลูกศิษย์ปั้นคนกระเบื้อง
หลิ่วชิงจื้อถาม “ไปดื่มชาที่หน้าผาอวี้อิ๋งของข้าไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “เซียนกระบี่หลิ่วคล้ายจะเข้าใจข้าผิด ไม่กล้าไปดื่มชาที่หน้าผาอวี้อิ๋ง กลัวว่านั่นจะเป็นสุราลงทัณฑ์เสียมากกว่า”
หลิ่วชิงจื้อกล่าว “ความชื่นชอบที่ข้ามีต่อน้ำพุใสของหน้าผาอวี้อิ๋งนั้นเหนือกว่า บ่อสายฟ้าของตำหนักจินอูมากนัก”
เฉินผิงอันพูดดั่งคนที่กระจ่างแจ้งในฉับพลัน “ถ้าอย่างนั้นก็ดี พวกเราสองคน จะเดินไปหรือว่าทะยานลมกันไป?”
หลิ่วจื้อชิงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ตามใจเจ้า”
เฉินผิงอันจึงมองไปยังผู้ฝึกตนหญิงของสวนน้ำค้างวสันต์ที่เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดสายตรงของโอสถทองท่านหนึ่ง “รบกวนเทพธิดาเรียกเรือกระดาษยันต์ออกมาส่งพวกเราไปที”
สตรีหน้าตางดงามผู้นั้นย่อมไม่มีความเห็นต่าง การที่ได้โดยสารเรือมุ่งหน้าไปยังหน้าผาอวี้อิ๋งกับเซียนกระบี่หลิ่วถือเป็นเกียรติที่ต่อให้ขอร้องก็ยังไม่ได้มา แล้วนับประสาอะไรกับที่แขกผู้มีเกียรติที่มาพักในจวนจิงเจ๋อตรงหน้านี้คือแขกสูงศักดิ์อันดับหนึ่งของสวนน้ำค้างวสันต์ แม้จะบอกว่ามีแค่ซ่งหลานเฉียวที่เป็นอาจารย์อาโอสถทองของสายอื่นเดินทางมาส่งเพียงลำพัง เทียบกับขบวนผู้ติดตามยามที่ เซียนกระบี่หลิ่วเข้ามาในภูเขาช่วงแรกไม่ได้ แต่ในเมื่อสามารถมาพักอยู่ที่นี่ได้ แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่คนธรรมดา
หน้าผาอวี้อิ๋งไม่ได้อยู่ในอาณาเขตของป่าไผ่ ตอนนั้นเพื่อป้องกันข้อพิพาทที่อาจเกิดขึ้นระหว่างเซียนกระบี่ทั้งสอง ศาลบรรพจารย์ของสวนน้ำค้างวสันต์ถึงได้ตั้งใจ จัดที่พักเช่นนี้
เรือน้อยกระดาษยันต์ลอยขึ้นกลางอากาศจากไปไกล ป่าไผ่ใต้ฝ่าเท้าของคนทั้งสามกว้างใหญ่ไพศาลเหมือนทะเลเมฆสีเขียวมรกต ยามลมภูเขาพัดโชยก็พลิ้วไสวไป ตามสายลม งดงามเหนือคำบรรยาย
ครั้งนี้ผู้ฝึกตนหญิงไม่ได้ต้มชารับรองแขก เพราะหากคิดจะแสดงฝีมือการชงชา อันน้อยนิดของตนต่อหน้าเซียนกระบี่หลิ่ว ก็นับเป็นการสร้างเรื่องตลกให้ผู้คนขำขันโดยแท้
มาถึงท่าเรือขนาดเล็กของหน้าผาอวี้อิ๋ง หลิ่วจื้อชิงกับเฉินผิงอันลงจากเรือมาแล้ว เฉินผิงอันก็ถามอย่างประหลาดใจว่า “เซียนกระบี่หลิ่วไม่รู้กฎของที่นี่งั้นหรือ?”
หลิ่วจื้อชิงถามอย่างกังขา “กฎอะไร?”
เฉินผิงอันกล่าว “เทพธิดาขับเรือ ผู้โดยสารก็ควรตกรางวัลเป็นเงินร้อนน้อย หนึ่งเหรียญตอบแทน”
ผู้ฝึกตนหญิงของจวนจิงเจ๋อผู้นั้นมีสีหน้ามึนงง
หลิ่วจื้อชิงกลับร้องอ้อหนึ่งคำแล้วโยนเงินร้อนน้อยเหรียญหนึ่งให้นาง เสียงติ๊งดังขึ้น สุดท้ายมันก็ไปหยุดลอยนิ่งอยู่เบื้องหน้านางเบาๆ หลิ่วจื้อชิงเอ่ยว่า “เมื่อก่อนเป็นข้าที่เสียมารยาทแล้ว”
หลิ่วจื้อชิงเดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า “เดินไปอีกพันกว่าก้าว ก็คือน้ำพุกระบอกไม้ไผ่ของหน้าผาอวี้อิ๋งแล้ว”
เฉินผิงอันกวาดตามองไปรอบด้าน “ได้ยินมาว่าเซียนกระบี่หลิ่วซื้อหน้าผาอวี้อิ๋งมาจากสวนน้ำค้างวสันต์แล้ว”
หลิ่วจื้อชิงพยักหน้ารับ “ห้าเหรียญเงินฝนธัญพืช ระยะเวลาจำกัดห้าร้อยปี ตอนนี้ผ่านไปสองร้อยกว่าปีแล้ว”
เฉินผิงอันหันหน้ามา “เทพธิดากลับไปก่อนได้เลย ถึงเวลานั้นข้าจะกลับไปป่าไผ่เอง จำทางได้แล้ว”
ผู้ฝึกตนหญิงพยักหน้ารับ นางลังเลอยู่นาน สุดท้ายก็ไม่ได้เปิดปากเอ่ยอะไร หลีกเลี่ยงไม่ให้เป็นการทำลายอารมณ์สุนทรีของแขกผู้มีเกียรติทั้งสอง นางคิดว่า จะกลับไปปรึกษากับอาจารย์ของตนแล้วค่อยตัดสินใจว่าจะรับเงินร้อนน้อยที่ได้มาอย่างน่าประหลาดใจเหรียญนั้นดีหรือไม่ เรือยันต์ลำน้อยนั้นทางสวนน้ำค้างวสันต์ ทุ่มเงินก้อนใหญ่จ้างตำหนักไท่เจินให้สร้างขึ้นมาโดยเฉพาะ เรือลำนี้มีรูปลักษณ์โบราณเรียบง่ายแต่งดงาม อีกทั้งหากบินผ่านสถานที่ที่ปราณวิญญาณค่อนข้าง อุดมสมบูรณ์ก็จะมีตัวอักษรบทกวีที่สลักอยู่บนผนังด้านข้างของเรือลอยขึ้นมา หากแขกได้เห็นถ้อยคำที่ตัวเองชื่นชอบก็ยังสามารถเอาตัวอักษรนั้นๆ ไปได้ ตามต้องการเหมือนการใช้มือวักน้ำ จากนั้นจะเอามันไปใส่ไว้บนหน้าพัดหรือ หน้าหนังสือก็ได้ ตัวอักษรจะดำรงอยู่ยาวนานไม่สลายหายไปไหน มีท่วงทำนอง อันเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนใคร
เรื่องที่แขกจะเอาตัวอักษรไปจากเรือยันต์นั้นเป็นสิ่งที่สวนน้ำค้างวสันต์ยินดีจะเห็นมาโดยตลอด
ก่อนหน้านี้ซ่งหลานเฉียวก็แนะนำเรื่องนี้ไปแล้ว เพียงแต่ว่าตอนนั้นเฉินผิงอัน ยังเกรงใจที่จะลงมือ เวลานี้เดินทางมากับหลิ่วจื้อชิงจึงไม่มีความเกรงใจอีก เขาเอาตัวอักษรสองประโยคมา ‘วางไว้’ บนหน้าพัด รวมกันได้สิบคำ ตำราวิเศษ ซ่อนถ้ำสวรรค์ ดำรงนานลอยค้างอยู่ในอวี้จิง
เดินเคียงบ่าหลิ่วจื้อชิงอยู่บนทางเส้นเล็กที่ปูด้วยแผ่นหินสีเขียวมุ่งหน้าไปยังน้ำพุใส บ่อนั้น เฉินผิงอันคลี่หน้าพัดโบกเบาๆ ตัวอักษรสิบตัวแถวนั้นก็เหมือนพืชน้ำที่กระเพื่อมแผ่วพลิ้ว
หลิ่วจื้อชิงเอ่ยเบาๆ “ถึงแล้ว”
ริมหน้าผาอวี้อิ๋งมีศาลาลมเย็นมุงแฝกอยู่หลังหนึ่ง ห่างไปไกลอีกนิดยังมีกระท่อมที่มีรั้วหยาบๆ ล้อมรอบอีกหนึ่งหลัง
ในศาลาลมเย็นมีโต๊ะและอุปกรณ์ชงชาวางไว้ครบครัน ด้านใต้หน้าผาก็คือบ่อน้ำใสกระจ่างที่ใสจนมองเห็นก้นบึ้ง น้ำใสแต่กลับไร้ปลา ใต้น้ำมีเพียงหินไข่ห่านงดงาม ที่ส่องประกายแสงแวววาว
เฉินผิงอันนั่งลงตรงข้ามกับบรรพจารย์อาน้อยของตำหนักจินอูแล้วก็หุบพัดเข้าด้วยกัน ยิ้มกล่าวว่า “ดื่มชานั้นช่างเถิด เซียนกระบี่หลิ่วบอกมาเถอะว่า มาหาข้ามีธุระอันใด?”
หลิ่วจื้อชิงยิ้มกล่าว “เจ้าไม่ดื่ม แต่ข้ายังต้องดื่ม”
หลิ่วจื้อชิงใช้มือข้างหนึ่งวาดอักษรสองคำว่า ‘ฮว่อเจิน’ (ไฟที่แท้จริง) ลงบนพื้นผิวโต๊ะชา อักขระยันต์สองตัวมีประกายแสงสีทองไหลเวียนวน ไม่นานตัวอักษร แต่ละตัวก็แปรเปลี่ยนจากขีดอักษรหลายเส้นมารวมกันเป็นเส้นเดียว กลายเป็น เจียวเพลิงสีแดงสองเส้นที่ล้อมวนขดตัวอยู่รอบโต๊ะอย่างเชื่องช้า จากนั้นหลิ่วจื้อชิง ก็โบกชายแขนเสื้อเบาๆ คล้ายมังกรดูดน้ำ น้ำพุในบ่อที่มีน้ำหนักหลายจินก็พากัน บินมาอยู่เหนือโต๊ะ รวมตัวกันกลายเป็นหยดน้ำ จากนั้นเขาก็หยิบถ้วยชา เคลือบกระเบื้องใบหนึ่งมาวางไว้ด้านข้าง น้ำพุเดือดพล่านด้วยตัวเอง ครู่หนึ่งต่อมาหลิ่วจื้อชิงก็หยิบใบชาในโถออกมาสองสามใบ โยนลงถ้วยชาเบาๆ ดีดนิ้วหนึ่งครั้ง น้ำพุใสที่เดือดจัดก็เหมือนสายน้ำเส้นเล็กที่แยกตัวมา ไหลริกๆ ลงสู่ถ้วย กระเบื้องเคลือบ เต็มเจ็ดส่วนของถ้วยพอดี
หลิ่วจื้อชิงยกถ้วยขึ้นดื่มชาช้าๆ
เฉินผิงอันจึงเอ่ยว่า “ขอให้ข้าถ้วยหนึ่ง”
หลิ่วจื้อชิงหัวเราะ คีบถ้วยชาอีกใบมาวางด้านหน้าตน แล้วก็รินชาให้เฉินผิงอัน หนึ่งถ้วย ผลักออกไปเบาๆ ถ้วยชาก็ไถลไปหยุดอยู่ตรงหน้าเฉินผิงอัน
เฉินผิงอันดื่มไปแล้วหนึ่งอึกก็พยักหน้าเอ่ยว่า “เซียนกระบี่หลิ่วคือยอดฝีมือนอกโลกคนที่สองที่ข้าเคยพบเจอมาซึ่งต้มชาได้ดี”
คนแรก แน่นอนว่าย่อมเป็นลู่ไถ
หลิ่วจื้อชิงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หากมีโอกาส คุณชายเฉินสามารถพายอดฝีมือคนนั้นมานั่งเล่นที่หน้าผาอวี้อิ๋งของข้าได้”
เฉินผิงอันวางถ้วยชาลง ถามว่า “ตอนนั้นที่อยู่ในตำหนักจินอู แม้ว่าเซียนกระบี่หลิ่วจะไม่ได้ปรากฏตัว แต่ก็น่าจะสัมผัสได้แล้ว เหตุใดถึงไม่ขัดขวางกระบี่นั้นของข้า?”
หลิ่วจื้อชิงถอนหายใจ วางถ้วยชาที่ยกมาจ่อตรงปากลงบนโต๊ะเบาๆ “ขัดขวางแล้วอย่างไร? จะให้อยู่ดีไม่ว่าดีก็เปิดฉากเข่นฆ่ากันงั้นหรือ?”
หลิ่วจื้อชิงส่ายหน้า “ไม่มีความหมาย หลังจากที่ข้าเลื่อนเป็นโอสถทอง ตลอดหลายปีมานี้ อาศัยชื่อของข้าหลิ่วจื้อชิง ผู้ฝึกกระบี่ตำหนักจินอูที่ลงจากเขามาฝึกประสบการณ์ได้ทำเรื่องผิดๆ ไปแล้วกี่มากน้อย? น่าเสียดายก็แต่ข้าคนนี้ไม่ถนัดเรื่องการจัดการกิจธุระใดๆ ดังนั้นต่อให้รู้สึกว่าบ่อสายฟ้าของตำหนักจินอู เกะกะสายตา รังเกียจคู่รักที่เป็นศิษย์หลาน เห็นพวกเด็กรุ่นหลังที่ยโสโอหังอย่าง พวกจิ้นเยว่แล้วไม่ชื่นชอบ ก็ทำได้แค่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็นให้ใจไม่หงุดหงิดเท่านั้น”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “มีความคิดที่แตกต่างจากผู้ฝึกตนของตำหนักจินอูเช่นนี้ ก็คือเหตุผลที่ทำให้เซียนกระบี่หลิ่วสามารถเลื่อนขั้นเป็นโอสถทอง สูงส่งกว่าทุกคน แต่ก็มีความเป็นไปได้มากว่าจะกลายเป็นปมในใจที่ขัดขวางการฝ่าทะลุคอขวด โอสถทองเลื่อนเป็นก่อกำเนิดของเซียนกระบี่หลิ่ว มาดื่มชาที่นี่สามารถคลาย ความกลัดกลุ้มได้ แต่กลับไม่มีประโยชน์ต่อการฝึกตนอย่างแท้จริง”
หลิ่วจื้อชิงได้ยินประโยคนี้ก็คลี่ยิ้ม ยกถ้วยชาขึ้นมาอีกครั้ง ดื่มไปหนึ่งคำ แล้วจึงพูดว่า “ก่อนหน้านี้ที่อยู่ในหุบเขาลมเหลืองของแคว้นเป่าเซียง เจ้าน่าจะเห็นข้าออกกระบี่แล้ว ในบรรดาผู้ฝึกกระบี่โอสถทองมากมายแถบทางใต้ของอุตรกุรุทวีป พลังอำนาจนั้นไม่นับว่าเล็กแล้ว”
เฉินผิงอันนึกถึงกระบี่สุดท้ายในหุบเขาลมเหลืองที่แสงกระบี่พุ่งตรงจากขอบฟ้ามา นั่นก็คือกระบี่ของหลิ่วจื้อชิง สามารถทำลายรากฐานของบรรพจารย์ชุดคลุมเหลืองได้ เป็นเหตุให้หลังจากที่มันแน่ใจแล้วว่าผู้ฝึกกระบี่ของตำหนักจินอูจากไปไกลแล้วจริงๆ ทั้งๆ ที่รู้ดีว่ามีภิกษุสมณศักดิ์สูงของแคว้นเป่าเซียงอยู่ในบริเวณใกล้เคียง แต่กระนั้น ก็ยังอยากจะกินให้อิ่มสักมื้อ หวังใช้เนื้อหนังและจิตวิญญาณมาชดเชยพลังต้นกำเนิดของโอสถปีศาจที่เสียหายไป
หลิ่วจื้อชิงเอ่ยเนิบช้า “แต่กระบี่นั้นมีสองคม จึงมีปัญหาที่ใหญ่เทียมฟ้า การออกกระบี่ของข้าแสวงหาในคำว่า ‘กระบี่ออกไปแล้วไม่หวนกลับคืน’ ดังนั้นการลับคมกระบี่และการฝึกประสบการณ์ฝึกจิตใจ ตอนที่ขอบเขตต่ำจึงราบรื่นอย่างมาก ขอบเขตไม่สูง ผลประโยชน์ที่ได้รับมีมากสุด แต่ยิ่งเป็นช่วงหลังก็ยิ่งเป็นปัญหา เซียนดินก่อกำเนิดที่นอกเหนือจากผู้ฝึกกระบี่ล้วนพบเจอได้ไม่ง่าย ผู้ฝึกตนโอสถทองของสำนักอื่นที่ต่ำกว่าก่อกำเนิด ไม่ว่าจะใช่ผู้ฝึกกระบี่หรือไม่ ขอแค่ได้ยินว่าข้าหลิ่วจื้อชิงขี่กระบี่ผ่านอาณาเขตมา แม้ว่าจะเป็นพวกคนวิถีมารที่สามานย์ชั่วช้าก็ยังพากันไปหลบเลี่ยงอยู่ไกลๆ หรือไม่ก็ทำเป็นยืดคอให้ประหาร ท้าตีท้าต่อยอย่างไร้เหตุผล ก่อนหน้านี้ข้าใช้หนึ่งกระบี่สังหารไปสองคน คนหนึ่งในนั้นน่าจะตายไปหลายครั้งแล้ว แต่คนที่สองจะตายหรือไม่ตายก็ได้ ภายหลังข้ายิ่งรู้สึกเบื่อหน่าย นอกจากจะคุ้มกันพวกเด็กรุ่นหลังของตำหนักจินอูลงจากภูเขามาฝึกกระบี่และมาดื่มชาที่นี่แล้ว ข้าก็แทบไม่ออกจากภูเขาเลย ความหวังในการฝ่าทะลุขอบเขตก็ยิ่งเลือนรางลงไปทุกที”
นี่เกี่ยวพันกับมหามรรคาของผู้อื่น เฉินผิงอันจึงไม่เอ่ยคำใด เพียงแค่ดื่มชา อย่างเดียวเท่านั้น โชคชะตาน้ำในน้ำชาถ้วยนี้เปี่ยมล้น สำหรับหลิ่วจื้อชิงที่ ช่องโพรงปราณสำคัญมีขนาดใหญ่โตมโหฬารดุจแม่น้ำดุจทะเลสาบแล้ว
ปราณวิญญาณน้อยนิดแค่นี้ไม่ได้มีความหมายใดๆ ต่อเขามานานแล้ว แต่สำหรับผู้ฝึกตน ‘ห้าขอบเขตล่าง’ อย่างเฉินผิงอัน น้ำชาทุกถ้วยกลับเป็นดั่งฝนที่ตกสู่ ผืนนาแห้งแล้งได้ทันเวลา มีแต่ผลประโยชน์ไม่มีผลเสีย
หลิ่วจื้อชิงถามด้วยสีหน้าจริงจัง “ดังนั้นข้าเลี้ยงน้ำชาเจ้าก็เพราะอยากจะถาม เจ้าว่าก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่นอกภูเขาของตำหนักจินอู เจ้าปล่อยกระบี่นั้นออกมา เพื่ออะไร ปล่อยออกมาอย่างไร แล้วทำอย่างไรจิตแห่งกระบี่ถึงได้…ปลอดโปร่ง ไร้อุปสรรคติดขัดขนาดนี้ ขอเจ้าโปรดเอ่ยในสิ่งที่เอ่ยได้นอกเหนือจากมหามรรคา บางทีสำหรับข้าหลิ่วจื้อชิงแล้วอาจกลายเป็นการนำหินของภูเขาลูกอื่นมาขัดกลึงหยกของตัวเอง ต่อให้จะเข้าใจได้มากกว่าเดิมอีกแค่เสี้ยวเดียว แต่สำหรับคอขวดของข้าในเวลานี้แล้วก็ล้วนถือเป็นผลเก็บเกี่ยวใหญ่เทียมฟ้าที่มีค่าเทียบทองพันชั่ง”
เฉินผิงอันยกถ้วยชาขึ้น ยิ้มถามว่า “หากข้าพูดไปแล้วทำให้เจ้าพอจะกระจ่างแจ้งได้บ้าง เซียนกระบี่หลิ่วก็บอกเองว่านี่คือผลเก็บเกี่ยวที่ทองหมื่นชั่งก็หาซื้อไม่ได้ แล้วจะใช้น้ำชาถ้วยเดียวมาตอบแทนข้าอย่างนั้นหรือ?”
หลิ่วจื้อชิงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “แรกเริ่มเจ้าเอ่ยว่าขอดื่มเพิ่มอีกหนึ่งถ้วย นอกจากปราณวิญญาณในน้ำชาแล้ว ก็เพราะยังอยากจะดูวิธีการวาดยันต์ที่เป็นวิชาเฉพาะของข้าให้ชัดเจนด้วยไม่ใช่หรือ นี่ถือเป็นการตอบแทนหรือไม่?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เวลาแค่ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว ข้าไม่อาจเข้าใจปณิธานที่แท้จริงในการวาดยันต์ของเซียนกระบี่ที่ติดอยู่ในคอขวดโอสถทองคนหนึ่งได้หรอก อีกอย่างเรื่องเดิมไม่ทำซ้ำสาม ในเมื่อดูแล้วไม่เข้าใจก็ช่างมันเถอะ”
หลิ่วจื้อชิงหัวเราะเสียงดัง เขายกมือขึ้นชี้ไปยังบ่อน้ำใสและหน้าผาที่อยู่ด้านข้าง เอ่ยว่า “หากมีประโยชน์ ข้าจะยกหน้าผาอวี้อิ๋งที่เหลือเวลาอีกสามร้อยปีนี้ให้แก่เจ้า เป็นอย่างไร? ถึงเวลานั้นเจ้าสามารถนำมันมาใช้ต้มชารับรองแขก หรือจะให้ สวนน้ำค้างวสันต์หรือคนอื่นเช่าก็ได้ ล้วนขึ้นอยู่กับความต้องการของเจ้า”
เฉินผิงอันคลี่พัดพับออกเสียงดังกังวาน แล้วโบกเอาลมเย็นๆ เข้าสู่ตัว “ถ้าอย่างนั้น ก็รบกวนเซียนกระบี่หลิ่วเติมชาให้อีกสักหน่อย พวกเรามาค่อยๆ ดื่มชาแล้วค่อยๆ พูดคุยกันไป ทำการค้านี่นะ ต้องแน่ใจในนิสัยใจคอของทั้งสองฝ่ายเสียก่อน จากนั้น ไม่ว่าเรื่องใดก็ล้วนปรึกษากันได้”
หลิ่วจื้อชิงยิ้มอย่างเข้าใจ หลังจากนั้นทั้งสองฝ่าย คนหนึ่งก็ใช้ริ้วคลื่นทะเลสาบหัวใจเอ่ยถ้อยคำ ส่วนอีกคนหนึ่งใช้วิธีรวมเสียงให้เป็นเส้นของผู้ฝึกยุทธมาเริ่มทำการ ‘ค้าขาย’ ต่อกัน
หนึ่งก้านธูปต่อมา คนผู้นั้นก็ยื่นมือมาขอชาอีกถ้วย หลิ่วจื้อชิงกลับพูดหน้าเคร่งว่า “รบกวนพี่ชายคนดีท่านนี้ช่วยมีความจริงใจหน่อยได้หรือไม่?”
เฉินผิงอันพูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าพูดจริงทุกประโยค จริงใจทุกคำ!”
หลิ่วจื้อชิงโบกชายแขนเสื้อเป็นวงกว้าง “ขออภัยที่ไม่ได้ไปส่ง”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ใช้มือหนึ่งโบกพัด อีกมือหนึ่งปัดผ่านหน้าโต๊ะ ดึงเอาน้ำพุส่วนหนึ่งมาจากน้ำพุเดือดพล่านบนยันต์ที่อยู่บนผิวโต๊ะ แล้วแตะจุดน้ำไว้ตรงหน้าตัวเองสองจุด ใช้สองจุดนี้เป็นต้นและปลายสองตำแหน่ง จากนั้นก็ลากเส้นตรงหนึ่งเส้นจากอีก ฝั่งหนึ่งไปยังอีกฝั่งหนึ่ง แล้วค่อยใช้ปลายนิ้วแตะตรงปลายด้านหนึ่ง ปาดไป ทางขวามือช้าๆ จนกระทั่งถึงปลายอีกฝั่งหนึ่งจึงหยุด “ไม่มองมุมกว้าง มองแค่ เวลานี้ สถานที่นี้และคนบางคนเท่านั้น สมมติว่าเส้นเส้นนี้คือฟ้าดินขนาดเล็กที่ เซียนกระบี่หลิ่วอยู่ ถ้าอย่างนั้นเซียนกระบี่หลิ่วคือผู้ฝึกตนที่เกิดและเติบโตมาในตำหนักจินอู สภาพจิตใจอยู่ที่ปลายทางด้านนี้ ส่วนสภาพจิตใจและขนบธรรมเนียมของคนในตำหนักจินอูก็มีอยู่ตรงนี้ ตรงนี้ และตรงนี้ ขยับเคลื่อนไปเรื่อยๆ อยู่ห่างไกลจากจิตใจของเจ้า ผู้ฝึกกระบี่ส่วนใหญ่ ยกตัวอย่างเช่นฮูหยินของเจ้าสำนักที่ นิสัยอำมหิต จิ้นเยว่ผู้ฝึกกระบี่ที่กำเริบเสิบสานนั้นล้วนอยู่อีกฝั่งหนึ่ง รวมกันเป็นก้อนตรงนี้ ผู้ฝึกกระบี่หลิ่วที่ฝึกตนอยู่ในตำหนักจินอูจึงรู้สึกว่าไม่ว่าที่ใดก็ขวางหูขวางตา นี่ก็เพราะว่าขอบเขตของเจ้าสูงมากพอ ลำดับอาวุโสก็สูงยิ่งกว่า
จึงสามารถรักษาจิตดั้งเดิมของตนเอาไว้ได้ แต่ก็ได้แค่หยุดอยู่ตรงนี้แล้ว เพราะเซียนกระบี่หลิ่วคิดแต่จะฝึกกระบี่อย่างเดียว อยากเดินขึ้นสู่ที่สูงทอดสายตามองไปไกล ใจหวังจะใช้ผู้ฝึกตนเซียนดินมาเป็นหินลับกระบี่ของตัวเอง คร้านจะไปสนใจเรื่องหยุมหยิมขี้หมูราขี้หมาแห้งใต้เปลือกตาเหล่านั้น เพราะรู้สึกว่าเปลืองเวลา อืดอาดชักช้า ถูกหรือไม่?”
หลิ่วจื้อชิงพยักหน้ารับเบาๆ นั่งตัวตรงอย่างสำรวม “เป็นเช่นนี้จริง”
เฉินผิงอันยกมือขึ้นอีกครั้ง ชี้นิ้วไปยังปลายด้านที่เป็นตัวแทนสภาพจิตใจของ หลิ่วจื้อชิงแล้วพลันถามว่า “เรื่องของการออกกระบี่ เหตุใดจึงสละใกล้แสวงหาไกล? ผู้ที่สามารถเอาชนะคนอื่น กับผู้ที่สามารถเอาชนะตัวเอง ล่างภูเขาเลื่อมใสฝ่ายแรก แต่ดูเหมือนว่าคนบนภูเขาจะเลื่อมใสฝ่ายหลังมากกว่ากระมัง? ผู้ฝึกกระบี่มีพลังพิฆาตยิ่งใหญ่ ถูกขนานนามให้เป็นอันดับหนึ่งของใต้หล้า ถ้าอย่างนั้นยังจำเป็นต้องถามใจฝึกใจอีกหรือไม่? กระบี่บินเล่มนั้น กระบี่พกประจำตัวเล่มนั้นของผู้ฝึกกระบี่ กับเจ้านายที่บังคับพวกมัน สรุปแล้วทั้งเรื่องของวัตถุและเรื่องของจิตใจนี้ ล้วนจำเป็นต้องบริสุทธิ์ไร้มลทินทั้งสองอย่างเลยหรือไม่?”
เฉินผิงอันหุบมือกลับมา ใช้พัดพับเคลื่อนจากปลายฝั่งซ้ายไปช้าๆ ชี้ไปยังปลายฝั่งขวาสุด “เจ้าหลิ่วจื้อชิงสามารถออกกระบี่ตามวิถีโคจรนี้จนกระทั่งจิตแห่งกระบี่ โปร่งโล่งกระจ่างแจ้งได้หรือไม่?”
หลิ่วจื้อชิงจมอยู่ในภวังค์ความคิด
เฉินผิงอันพลันถามอีกว่า “เซียนกระบี่หลิ่วเป็นคนบนภูเขามาตั้งแต่เด็ก หรือว่าขึ้นเขาไปฝึกตนตอนอายุยังน้อย?”
หลิ่วจื้อชิงจ้องนิ่งไปที่เส้นนั้น เอ่ยเบาๆ ว่า “นับตั้งแต่จำความได้ก็อยู่บนภูเขาตำหนักจินอูแล้ว ติดตามอาจารย์ผู้มีพระคุณฝึกตน ไม่เคยสนใจเรื่องทางโลก”
เฉินผิงอันทอดถอนใจหนึ่งที ลุกขึ้นแล้วกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นก็คิดเสียว่าข้าไม่ได้พูดอะไรแล้วกัน แค่แนะนำเซียนกระบี่หลิ่วว่าวันหน้าควรลงจากเขาบ่อยๆ ออกเดินทางไกลให้มากๆ หน่อย”
หลิ่วจื้อชิงยกมือขึ้นแล้วกดลงบนความว่างเปล่าสองที “แม้ข้าจะไม่เชี่ยวชาญการจัดการธุระต่างๆ แต่สำหรับเรื่องของใจคนนั้น ไม่กล้าพูดว่ามองออกอย่างทะลุ ปรุโปร่ง แต่ก็พอจะเข้าใจอยู่บ้าง ดังนั้นเจ้าเลิกใช้ลูกไม้ของพวกคนในยุทธภพมาแกล้งหลอกข้าเสียทีเถอะ หน้าผาอวี้อิ๋งที่ถือว่าสวนน้ำค้างวสันต์กึ่งขายกึ่งยกให้ข้าแห่งนี้ เห็นได้ชัดว่าเจ้าต้องการครอบครอง หากนำไปขายต่อ เวลาอีกสามร้อยปีกว่าที่เหลืออยู่ อย่าว่าแต่เงินฝนธัญพืชสามเหรียญเลย ราคาเพิ่มสูงขึ้นเป็นเท่าตัวก็ยังไม่ยาก หากโชคดี สิบเหรียญก็ยังมีหวัง”
คนผู้นั้นรีบนั่งกลับลงไปที่เดิมดังคาด แล้วยิ้มเอ่ยว่า “ทำการค้ากับคนฉลาด ก็มักจะรวดเร็วฉับไวเช่นนี้”
หลิ่วจื้อชิงเงยหน้าขึ้น ถามอย่างสงสัย “เจ้าสนใจเรื่องทรัพย์สินเงินทองมากขนาดนี้เชียวหรือ? จำเป็นต้องทำเช่นนี้ด้วยหรือไร?”
เห็นเพียงว่าบัณฑิตชุดขาวคนนั้นถอนหายใจหนึ่งที “ผู้ฝึกตนอิสระที่น่าสงสาร หาเงินก้อนใหญ่ได้ไม่ง่ายเลยนี่นา”
หลิ่วจื้อชิงส่ายหน้า คร้านจะถือสาคำพูดเหลวไหลของคนผู้นี้
หลิ่วจื้อชิงเงียบไปครู่หนึ่งก็เปิดปากเอ่ยว่า “ความหมายของเจ้าก็คือต้องการให้ข้าใช้ขนบธรรมเนียมและใจคนของตำหนักจินอูมาเป็นสถานที่ชำระล้างกระบี่?”
บัณฑิตชุดขาวผู้นั้นยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ข้าวชนิดเดียวกันเลี้ยงคนได้ร้อยรูปแบบ คำพูดประโยคเดียวความหมายนับพัน เซียนกระบี่หลิ่วเป็นผู้มีพรสวรรค์และมีปัญญาฉลาดล้ำ ไปทำความเข้าใจเอาเองเถิด”
หลิ่วจื้อชิงมองเส้นตรงเส้นนั้นแล้วพูดเหมือนพึมพำกับตัวเองว่า “ไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร สุดท้ายข้าจะใช้สิ่งนี้มาล้างกระบี่หรือไม่ ลำพังเพียงแค่ความคิดนี้ก็มีประโยชน์มหาศาลแล้ว”
แล้วหลิ่วจื้อชิงก็เงยหน้า เอ่ยว่า “ตามข้อตกลง หน้าผาอวี้อิ๋งนี้เป็นของเจ้าแล้ว รับโฉนดไป แล้วเดี๋ยวข้าค่อยไปบอกกับบรรพจารย์ของสวนน้ำค้างวสันต์”
กระดาษหยกทองมูลค่าควรเมืองแผ่นหนึ่งลอยพลิ้วมาอยู่ตรงหน้าเฉินผิงอัน มีการลงนามของทั้งสองฝ่ายเอาไว้ ของสวนน้ำค้างวสันต์คือตัวอักษรชุนโบราณที่ประทับด้วยหยกลัญจกร ส่วนของหลิ่วจื้อชิงคือตัวอักษรหลิ่วที่ลักษณะเหมือน กระบี่เล่มหนึ่ง สองร้อยปีผ่านมาแล้ว ในตัวอักษรย่อมมีปณิธานกระบี่ถูกฟูมฟัก
เฉินผิงอันไม่ได้เก็บโฉนดที่มีมูลค่าอย่างน้อยก็หกเหรียญเงินฝนธัญพืชแผ่นนั้นมาทันที เขาถามด้วยรอยยิ้มว่า “เซียนกระบี่หลิ่วมือเติบขนาดนี้ ข้าว่าอันที่จริงความคิดนั้นของข้าก็ใช่ว่าจะมีประโยชน์เสมอไป ไม่แน่ว่าอาจกลายเป็นเรื่องร้ายด้วยซ้ำ ข้าคนนี้แต่ไหนแต่ไรมาก็ทำการค้าอย่างยุติธรรมมาโดยตลอด ไม่เคยรังแกเด็กและคนชรา ยิ่งไม่กล้าหลอกเซียนกระบี่ที่มีพลังพิฆาตไร้ที่สิ้นสุดคนหนึ่ง เซียนกระบี่หลิ่วโปรดเก็บโฉนดกลับไปเถิด ช่วงนี้แค่ให้ข้ามาดื่มชาที่นี่ได้โดยไม่ต้องควักเงินก็พอแล้ว”
ความคิดของหลิ่วจื้อชิงใสกระจ่าง เขายิ้มเอ่ยว่า “ออกจากหน้าผาอวี้อิ๋งไปแล้ว หากกลับไปที่ตำหนักจินอูแล้วใช้จิตใจสารพัดรูปแบบของคนมาล้างกระบี่จริง แน่นอนว่าย่อมไม่ใช่สภาพจิตใจและวิธีการเช่นนี้ ดังนั้นเจ้ารับโฉนดไปได้เลย”
เฉินผิงอันคิดแล้วก็ใช้พัดพับวาดเส้นตรงในแนวตั้งหลายเส้นลงมาจากเส้นในแนวขวางทั้งหลายก่อนหน้านี้ “เจ้าตำหนักจินอู ฮูหยินที่เป็นบุตรสาวของเจ้าแห่งขุนเขาใหญ่ จิ้นเยว่ ผู้ฝึกตนหญิงที่โน้มน้าวจิ้นเยว่ไม่ให้ออกกระบี่ใส่ข้า ชาติกำเนิด การสืบทอดจากอาจารย์ จุดเชื่อมต่อในการฝึกตน การลงภูเขามาหาประสบการณ์ มิตรสหายพันธมิตร ความเชื่อความศรัทธา บุญคุณความแค้นของพวกเขาแต่ละคน…
เจ้าหลิ่วจื้อชิงสนใจอยากจะรู้จริงๆ หรือ? หากเจ้าเลือกล้างกระบี่ก็จำเป็นต้อง ชี้ตรงไปที่จิตดั้งเดิม ในฐานะที่เจ้าเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่ติดอยู่ในคอขวดของโอสถทอง กระบี่บินแห่งชะตาชีวิต ตบะและลำดับอาวุโสในสำนักกลับจะกลายมาเป็นศัตรู ตัวฉกาจที่สุดของเจ้า เจ้าจะสามารถสละพวกมันทิ้งได้ชั่วคราวจริงๆ หรือ? หากเจ้าหลิ่วจื้อชิงยอมแพ้กลางคัน ไม่อาจเดินไปถึงปลายทางอีกด้านได้ในรวดเดียว ก็มีแต่จะเป็นการทำลายเจตจำนงเดิม เป็นเหตุให้จิตแห่งกระบี่ถูกฝุ่นจับ ปณิธานแห่งกระบี่สกปรกไปด้วยจุดด่างพร้อย”
หลิ่วจื้อชิงยิ้มบางๆ “ข้าสามารถแน่ใจได้แล้วว่าเจ้าไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ ความยากลำบากในการฝึกตน พิบัติภัยทั้งหลายที่จะเข้ามาลดทอนกำจัดปณิธานในหัวใจให้สูญสลาย ตอนนี้เจ้าน่าจะยังไม่รู้ชัดเจนนัก การล้างกระบี่ของตำหนักจินอู ยากก็ตรงที่ว่ามีเรื่องหยุมหยิมยิบย่อยมากมายดุจขนวัว แล้วก็ยากตรงที่จิตใจคน ยากแท้หยั่งถึง ทว่าสืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว เมื่อเทียบกับความยากในการ หล่อหลอมตัวอ่อนกระบี่ช่วงแรกเริ่มสุดก็ไม่ได้ต่างกันเลยแม้แต่น้อย มีส่วนที่คล้ายคลึงกันอย่างน่ามหัศจรรย์ ข้าก็แค่ต้องเดินบนเส้นทางการฝึกตนที่เคยเดินใน ช่วงแรกเริ่มสุดซ้ำอีกรอบเท่านั้น ตอนนั้นยังทำได้ ตอนนี้กลายเป็นผู้ฝึกกระบี่ โอสถทองแล้ว จะมีอะไรยากอีกเล่า?”
บัณฑิตชุดขาวกลับส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มอ่อนบาง “เรื่องเดียวกัน เมื่อเวลาผ่านพ้นไปย่อมกลายเป็นความยากสองอย่างที่ไม่เหมือนกัน”
หลิ่วจื้อชิงขบคิดคำพูดประโยคนี้อยู่พักหนึ่งก็ยิ้มบางๆ พยักหน้ารับ “ได้รับการ สั่งสอนแล้ว”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “ข้าแสร้งทำเป็นมีภูมิ เซียนกระบี่หลิ่วก็เชื่อด้วยอย่างนั้นหรือ? ไม่กลัวจริงๆ หรือว่าข้าจะเอาทั้งรากภูเขาทั้งรากสายน้ำไปพร้อมกับจวนเซียนของเจ้าด้วย?”
หลิ่วจื้อชิงลุกขึ้นยืน “ไม่รบกวนแล้ว หวังว่าวันหน้าหากมีโอกาสได้มาเป็นแขก ดื่มชาที่นี่ เจ้าของจะยังเป็นคนเดิม”
ในสายตาของหลิ่วจื้อชิง หน้าผาอวี้อิ๋งแห่งนี้ เขาได้กลายเป็นแขกไปแล้ว
เฉินผิงอันมองโฉนดที่ดินที่อยู่บนโต๊ะ แล้วจึงเงยหน้ามองเด็กหนุ่มชุดขาวอีกครั้ง “เหตุใดตำหนักจินอูถึงมีผู้ฝึกกระบี่เช่นเจ้าได้? บรรพบุรุษสั่งสมบุญกุศลกันมาหรือ?”
หลิ่วจื้อชิงยิ้มกล่าว “คำพูดประโยคนี้ของเจ้าไม่น่าฟังเอาเสียเลย แต่ข้าจะถือว่าเป็นคำพูดที่ดีแล้วกัน บอกตามตรง หาใช่ว่าข้าหลิ่วจื้อชิงชมตัวเองไม่ แต่ในอดีต ผู้ฝึกตนอาวุโสของตำหนักจินอูมีชื่อเสียงดีกว่าตอนนี้มากนัก น่าเสียดายก็แต่ชื่อเสียงไม่อาจแลกเปลี่ยนมาด้วยตบะและกิจการบ้านเรือน เรื่องราวบนโลกที่ชวนให้คนจนใจก็หนีไม่พ้นสิ่งนี้เอง ดังนั้นในหลายๆ ครั้ง ข้าจึงคิดว่าศิษย์หลานคนนั้นก็แค่กระทำ ในสิ่งที่ไม่ตรงใจข้า แต่ใช่ว่าเขาจะทำผิดอย่างแท้จริง”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน “ข้าจะทำการค้ากับเจ้าอีกครั้ง เป็นอย่างไร?”
หลิ่วจื้อชิงถาม “หมายความว่าอย่างไร?”
เฉินผิงอันถามคำถามข้อหนึ่งก่อน “ผู้ฝึกตนของสวนน้ำค้างวสันต์จะลอบมองที่แห่งนี้หรือไม่?”
หลิ่วจื้อชิงชี้ไปยังกระท่อมที่อยู่นอกศาลา “เห็นกระบี่ของข้าเป็นเพียงของตกแต่งอย่างนั้นหรือ? กฎเกณฑ์บางอย่างยังต้องพูดกัน ยกตัวอย่างเช่นข้ามาดื่มชาอยู่ที่นี่ ก็ยังต้องเคาพกฎเกณฑ์ทุกข้อของสวนน้ำค้างวสันต์ ในอดีตเคยมีครั้งหนึ่งที่ข้าเจอกับศัตรูของตำหนักจินอูที่ข้าอยากออกกระบี่ใส่บนเทือกเขาเจียมู่ แต่ข้าก็แค่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น ถ้าเช่นนั้นก็ควรปฏิบัติต่อผู้อื่นเฉกเช่นที่เขาปฏิบัติต่อตนเอง หากแม้แต่ กฎเล็กน้อยแค่นี้สวนน้ำค้างวสันต์ยังไม่เคารพ ข้าก็รู้สึกว่านี่ก็คือการรนหาที่ตายโดยขอให้ข้าออกกระบี่ของพวกเขา”
“เป็นเช่นนี้ได้ย่อมดีที่สุด”
เฉินผิงอันชี้มาที่ตัวเอง “เจ้ากำลังกลุ้มใจเรื่องหาหินลับกระบี่ไม่ได้ไม่ใช่หรือ?”
หลิ่วจื้อชิงกวาดตามองไปรอบด้าน “ไม่กลัวว่าหน้าผาอวี้อิ๋งจะถูกทำลายหรือไร? ตอนนี้น้ำพุริมหน้าผาเป็นของเจ้าทั้งหมดแล้วนะ”
เฉินผิงอันกล่าว “เลือกสถานที่แห่งหนึ่งแล้ววาดพื้นที่ให้เป็นกรงขัง เจ้าออกกระบี่ข้าออกหมัด เป็นอย่างไร?”
หลิ่วจื้อชิงยิ้มกล่าว “ข้ากลัวว่าเจ้าจะตาย”
“หวังให้เป็นเช่นนั้น”
เฉินผิงอันเหน็ดพัดพับให้เรียบร้อย พูดซ้ำว่า “หวังให้เป็นเช่นนั้น”
หนึ่งประโยคสองความหมาย
……
ในงานเลี้ยงอำลาวสันต์ ผู้ฝึกกระบี่หลิ่วจื้อชิงแห่งตำหนักจินอูไม่ได้ปรากฏตัว
ส่วนเซียนกระบี่หนุ่มที่พักอยู่ในจวนจิงเจ๋อก็ไม่ได้เผยกายเช่นเดียวกัน
นี่ทำให้คนของสวนน้ำค้างวสันต์ที่ทกุวันนี้ข่าวลือเล็กๆ แพร่กระจายไปทั่วพากันเสียดาย
ไม่ต้องพูดถึงหลิ่วจื้อชิงที่เป็นหนึ่งในผู้ฝึกตนลำดับสูงสุดของมหาสมุทรทางฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของอุตรกุรุทวีป แม้ว่าเพิ่งจะมีขอบเขตเป็นโอสถทอง แต่ถึงอย่างไรก็ยังหนุ่ม อีกทั้งยังเป็นผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่ง
ป้ายอักษรทองของผู้ฝึกกระบี่ตำหนักจินอูนี้ หลังจากที่ปีนั้นเจ้าตำหนักที่เป็น ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตก่อกำเนิดลาจากโลกนี้ไปก็แทบจะอาศัยหลิ่วจื้อชิงหนึ่งคนหนึ่งกระบี่ประคับประคองไว้เพียงลำพัง
ทว่าหลิ่วจื้อชิงนั้น ไม่ว่าใครก็ไม่รู้สึกว่าเขาแปลกหน้า ผู้ฝึกตนของสวนน้ำค้างวสันต์เองและคนต่างถิ่นจึงเอาความสนใจส่วนใหญ่ไปไว้ที่ตัวของเซียนกระบี่หนุ่มต่างถิ่นที่มีเรื่องเล่าลือมากมายผู้นั้นมากกว่า
หนึ่งเพราะเขาใช้หนึ่งกระบี่ผ่าบ่อสายฟ้าพิทักษ์ภูเขาของตำหนักจินอู เล่าลือกันว่า นี่เป็นสิ่งที่หลิ่วจื้อชิงพูดออกจากปากเอง ไม่อาจเป็นเรื่องโกหกไปได้ อีกทั้งเขายังเชิญคนผู้นี้ไปดื่มชาที่หน้าผาอวี้อิ๋งด้วย
สองเพราะจากคำเล่าลือของผู้คนบนเรือข้ามฟากลำนั้น คนผู้นี้อาศัยความเป็น ตัวอ่อนกระบี่ก่อนกำเนิดต่อยให้ผู้ถวายงานจวนเถี่ยชางที่หล่อหลอมเรือนกาย ได้แข็งแกร่งไม่เป็นรองผู้ฝึกยุทธขอบเขตร่างทองให้ร่วงลงจากเรือข้ามฟาก ว่ากันว่าหลังตกจากเรือไปแล้วก็เหลือแค่ครึ่งชีวิตเท่านั้น แต่คุณชายน้อยเว่ยป๋ายของ จวนเถี่ยชางก็ไม่ปฏิเสธเรื่องนี้ ไม่มีการปิดบังใดๆ ถังชิงชิงแห่งเรือนเย่ฉ่าวก็ยิ่งพูดอย่างตรงไปตรงมาว่าผู้ฝึกกระบี่หนุ่มคนนี้มีความเกี่ยวข้องกับสวนน้ำค้างวสันต์ เป็นคนรู้จักเก่าแก่ของทั้งบิดานางและของซ่งหลานเฉียวแห่งเรือข้ามฟาก
ข้อสามเพราะเซียนกระบี่แซ่เฉินที่พักอยู่ในจวนจิงเจ๋อทะเลไผ่ผู้นั้นจะต้องไปกลับระหว่างทะเลไผ่และหน้าผาอวี้อิ๋งทุกวันวันละรอบ ส่วนความสัมพันธ์ระหว่างเขากับหลิ่วจื้อชิงเป็นอย่างไร คนนอกก็ได้แต่อาศัยการคาดเดาอย่างเดียวเท่านั้น
ระหว่างนี้ทางศาลบรรพจารย์ของสวนน้ำค้างวสันต์ก็ได้มีการประชุมลับกันอีกครั้งหนึ่ง หลังจากปรึกษากันแล้ว เกี่ยวกับข่าวลือบางอย่างที่เล่าลือกันไปเกินจริง ก็ไม่มีการสั่งห้าม ยังปล่อยให้เล่าลือกันต่อไป แต่กลับเริ่มช่วยปิดบังร่องรอย รูปโฉม ที่แท้จริงและรายละเอียดเหตุการณ์มรสุมที่เกิดขึ้นบนเรือข้ามฟากของเซียนกระบี่หนุ่มแซ่เฉินที่อยู่ในสวนน้ำค้างวสันต์คล้ายตั้งใจคล้ายไม่เจตนา
ในสถานที่ต่างๆ ของเทือกเขาเจียมู่เริ่มมีข่าวลือผุดขึ้นหลากหลาย วันนี้บอกว่าคนผู้นั้นเข้าพักที่จวนกู่อวี่ พรุ่งนี้บอกว่าย้ายไปอยู่จวนลี่ชุนแล้ว วันมะรืนก็เล่ากันว่าเขาไปดื่มชาที่เรือนเย่ฉ่าว เป็นเหตุให้ผู้ฝึกตนหลายคนที่มาเยือนเพราะได้ยินชื่อเสียงไม่อาจได้เห็นมาดอันองอาจของเซียนกระบี่ท่านนั้นกับตาตัวเอง
หลังงานเลี้ยงอำลาวสันต์สิ้นสุดลงก็มีเรือข้ามฟากออกไปจากท่าเรือฝูสุ่ยมากกว่าเดิม ผู้ฝึกตนพากันเดินทางกลับ ซ่งหลานเฉียวผู้ฝึกตนโอสถทองของสวนน้ำค้างวสันต์ก็กลับขึ้นไปบนเรือข้ามฟากที่เดินทางไปกลับชายหาดโครงกระดูกมาแล้ว รอบหนึ่งแล้วอีกครั้ง
ทว่าบนถนนเหล่าไหว (ต้นไหวโบราณ) ของเทือกเขาเจียมู่ได้มีร้านเล็กร้านหนึ่งที่เปลี่ยนเถ้าแก่ แล้วเริ่มเปิดกิจการอย่างเงียบเชียบ
เถ้าแก่คือคนหนุ่มที่สวมชุดสีเขียว ตรงเอวห้อยกาเหล้าสีชาด ในมือถือพัดพับคนหนึ่ง เขาจะมานั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กหน้าประตู แล้วก็ไม่คิดจะเรียกลูกค้า วันๆ เอาแต่นั่งอาบแดด รอคอยให้เหยื่อที่เต็มใจมาติดกับด้วยตัวเอง
ทุกพื้นที่ของถนนเหล่าไหวที่การค้าเจริญรุ่งเรืองล้วนเป็นเงินเป็นทอง ผู้ฝึกตน ที่สัญจรไปมามีมากมายเนืองแน่น ร้านค้าแห่งหนึ่งขนาดเท่าฝ่ามือ ทว่าค่าเช่าที่มอบให้แก่สวนน้ำค้างวสันต์ทุกปีกลับเป็นเงินเทพเซียนก้อนใหญ่
ร้านค้าเล็กๆ ที่แขวนป้ายคำว่า ‘ผีฝู’ (มดแดง/มดดำตัวใหญ่) แห่งนี้ ด้านใน จัดวางสิ่งของบนและล่างภูเขาไว้มากมายหลากหลาย เพียงแต่ว่าของแต่ละชิ้นที่วางไว้บนชั้นวางสมบัติล้วนจัดวางอย่างเป็นระเบียบ บนโต๊ะคิดเงินของร้านแปะกระดาษเล็กๆ แผ่นหนึ่งที่ตัดมาจากกระดาษเซวียนจื่อ ด้านบนเขียนสี่คำใหญ่ว่า ‘ขออภัยที่ ไม่ลดราคา’ ตรงหัวและท้ายของแผ่นกระดาษใช้ตราประทับสองชิ้นกดทับเอาไว้ นอกจากนี้บนชั้นวางสมบัติทุกชั้นยังแปะกระดาษไว้หนึ่งแผ่น บนกระดาษเขียนชื่อและราคาของวัตถุที่ขายไว้เต็มแผ่น
ในร้านมีแบ่งเป็นด้านนอกและด้านใน เพียงแต่ว่าห้องที่อยู่ด้านหลังร้านกลับ ปิดประตูแน่น แล้วก็มีกระดาษแปะไว้อีกว่า ‘สมบัติพิทักษ์ร้าน ผู้มีวาสนาได้ครอบครอง’ ตัวอักษรใหญ่เท่ากำปั้น แต่หากมีคนเพ่งตาอ่านอย่างละเอียดจะพบว่าด้านข้างคำว่า ‘ผู้มีวาสนาได้ครอบครอง’ ยังมีตัวอักษรบรรจงเล็กๆ ขนาดเท่า หัวแมลงวันเขียนระบุไว้ว่า ‘ผู้ที่ให้ราคาสูงได้ไป’
เพราะถึงอย่างไรร้านที่สามารถมาเปิดอยู่บนถนนเหล่าไหวได้นั้น ราคาที่แท้จริงบอกได้ยาก แต่ของที่ขายเป็นของแท้หรือไม่กลับมีการรับรองอย่างแน่นอน แล้วนับประสาอะไรกับที่เป็นร้านเปิดใหม่ ตามหลักแล้วจะต้องเอาของดีๆ บางส่วนออกมาดึงดูดสายตาผู้คน ร้านเก่าแก่ที่มีที่พึ่งใหญ่หลายร้านบนถนนเหล่าไหวต่างก็มีสมบัติอาคมหนึ่งถึงสองชิ้นเป็นสมบัติพิทักษ์ร้าน เอาไว้ให้คนได้ชื่นชม ไม่ต้องซื้อ เพราะถึงอย่างไรหากคิดจะซื้อก็ต้องใช้เงินหลายสิบเหรียญเงินฝนธัญพืช จะมีสักกี่คนที่ควักจ่ายได้ไหว แท้จริงแล้วก็เพียงแค่ช่วยเพิ่มความครึกครื้นให้กับร้านเท่านั้น
แต่ร้าน ‘ผีฝู’ แห่งนี้กลับค่อนข้างจะยากจนแล้ว นอกจากโครงกระดูกหยกขาวใสทั้งหลายที่ระบุไว้ว่านำมาจากชายหาดโครงกระดูกที่พอจะถือว่าหาได้ยาก รวมไปถึงภาพวาดเทพหญิงบนกระดาษไขครบชุดของนครปี้ฮว่าที่ถือว่าไม่ธรรมดาแล้ว แต่กระนั้นก็ยังขาดสมบัติหนักตระกูลเซียนแท้จริงที่ทำให้คนได้เห็นแล้วยากจะลืมลง ส่วนใหญ่คือของโบราณชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ไม่ถือว่าเป็นวัตถุวิเศษด้วยซ้ำ อีกทั้ง… กลิ่นอายของเครื่องประทินโฉมก็ยังเข้มข้นเกินไป เพราะมีชั้นวางสมบัติถึงสองชั้นกว่าที่จัดวางสิ่งของในห้องส่วนตัวของสตรีชนชั้นสูงไว้จนเต็ม
ดังนั้นพอผ่านไปได้สิบวัน ลูกค้าส่วนใหญ่ก็แทบจะเป็นสตรีที่มาเยือนเพราะได้ยินข่าวแทบทั้งหมด มีทั้งผู้ฝึกตนหญิงจากภูเขาลูกต่างๆ แล้วก็มีสตรีของตระกูลมีอำนาจหลายแห่งซึ่งรวมถึงของราชวงศ์ต้ากวานอยู่ด้วย พวกนางจับกลุ่มกันมา ส่งเสียงพูดคุยหัวเราะต่อกระซิก พอมาถึงในร้านก็จับของพลิกไปพลิกมา หากเจอของที่ถูกตาต้องใจก็แค่ต้องตะโกนไปทางประตูร้าน หากสอบถามเถ้าแก่หนุ่มว่าลดราคาให้หน่อยได้ไหม
เจ้าคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ก็จะโบกมือ ไม่ว่าสตรีทั้งหลายจะพูดเสียงอ่อนเสียงหวาน คำพูดไพเราะนุ่มนวลแค่ไหนก็ล้วนไร้ประโยชน์ เถ้าแก่หนุ่มคนนั้นไม่สะทกสะท้าน ไม่ยอมลดราคาให้เด็ดขาด
สตรีหลายคนที่ไม่ขาดเงินทองแต่กลับรังเกียจการที่ ‘ลดราคาหนึ่งหรือ สองเหรียญทองแดง’ ไม่ได้มากที่สุดก็จะผิดหวังมีโทสะ แล้วออกจากร้านไปอย่าง ไม่สบอารมณ์
ทว่าเถ้าแก่หนุ่มคนนั้นอย่างมากก็แค่ยิ้มเอ่ยว่ายินดีต้อนรับลูกค้ามาเยือนใหม่ ไม่เคยรั้งตัวใครไว้ ยิ่งไม่เคยคิดจะเปลี่ยนใจ
นานวันเข้าร้านแห่งนี้จึงมีชื่อเสียงเลวร้ายว่าชอบทำให้คนเสียอารมณ์
คิดไม่ถึงว่ายามสนธยาของวันหนึ่ง ถังชิงชิงจะพาผู้ฝึกตนหญิงของเรือนเย่ฉ่าวแห่งสวนน้ำค้างวสันต์ที่สนิทสนมกันกลุ่มหนึ่งมาเยือนที่ร้าน แต่ละคนเลือกเอาวัตถุ ที่ตัวเองถูกตาไปได้ก็ไม่ต่อราคา เพียงวางเงินเทพเซียนเอาไว้แล้วจากไป อีกทั้ง ยังแวะมาเยือนร้านผีฝูเล็กๆ บนถนนเหล่าไหวร้านเดียวเท่านั้น ซื้อเสร็จก็ไม่ เดินเล่นต่อ หลังจากนั้นมากิจการของร้านก็ดีขึ้นมาได้เล็กน้อย ทว่าสิ่งที่ทำให้ คนมากมายมาเยือนร้านนี้อย่างแท้จริงกลับเป็นเพราะเซียนกระบี่หลิ่วแห่งตำหนัก จินอูที่หน้าตางดงามยิ่งกว่าสาวงามผู้นั้น ไม่รู้เพราะเหตุใดเขาเข้ามาในร้านแล้วถึง ทุ่มเงินซื้อโครงกระดูกโครงหนึ่งของชายหาดโครงกระดูกไป ลากเดินไปด้วยกัน ตลอดทาง แล้วถึงได้ออกไปจากถนนเหล่าไหว
วันนี้ร้านแขวนป้ายปิด เถ้าแก่หนุ่มที่ไม่มีทั้งนักบัญชีและลูกจ้างร้านคอยช่วยเหลือนั่งฟุบตัวอยู่บนโต๊ะคิดเงินเพียงลำพัง กำลังนับเงินเทพเซียน เงินเกล็ดหิมะวางกองกันเป็นภูเขา เงินร้อนน้อยก็มีอยู่หลายเหรียญ
เด็กหนุ่มชุดขาวที่ปักปิ่นทองบนมวยผมคนหนึ่งก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามาในร้าน มองเถ้าแก่ที่ลุ่มหลงในทรัพย์สินเงินทองผู้นั้นแล้วก็พูดเสียงเบาอย่างระอาใจว่า “ข้าไม่เข้าใจเลยจริงๆ เจ้าจำเป็นต้องเชี่ยวชาญในการหาเงินขนาดนี้ด้วยหรือ?”
เฉินผิงอันไม่เงยหน้า “บอกกับเซียนกระบี่ใหญ่หลิ่วอย่างเจ้าไปนานแล้วว่า ผู้ฝึกตนอิสระที่เป็นดั่งจอกแหนไร้รากอย่างพวกเรา หาเงินโดยเอาหัวไปผูกไว้บน สายรัดเอว เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลอย่างพวกเจ้าไม่เข้าใจหรอก”
หลิ่วจื้อชิงส่ายหน้า “ข้าต้องไปแล้ว เรื่องของหน้าผาอวี้อิ๋งข้าก็คุยกับบรรพจารย์ถานเรียบร้อยแล้ว แต่ข้ายังหวังว่าเจ้าจะไม่ขายทอดเปลี่ยนมือให้คนอื่น ทางที่ดีที่สุด ก็อย่าให้คนอื่นเช่าด้วย ไม่อย่างนั้นวันหน้าข้าคงไม่มาเอาน้ำต้มชาที่สวนน้ำค้างวสันต์อีกแล้ว”
เฉินผิงอันเงยหน้ายิ้มกล่าว “นั่นมันตั้งหกเหรียญเงินฝนธัญพืชเชียวนะ ข้าไม่อาจปักหลักตั้งถิ่นฐานอยู่ที่สวนน้ำค้างวสันต์ได้ ถึงเวลานั้นร้านผีฝูยังสามารถหาผู้ฝึกตนของสวนน้ำค้างวสันต์มาช่วยดูแลให้ แล้วแบ่งส่วนแบ่งกัน ข้าก็ยังคงได้เงิน แต่หน้าผาอวี้อิ๋งนั่นไม่ขายไม่ให้เช่า แล้วจะให้ข้าเก็บโฉนดแผ่นหนึ่งไว้ทำอะไร? วางไว้ให้ฝุ่นจับให้ราขึ้นหรือ แล้วอีกสามร้อยปีก็เสียเปล่าไป?”
หลิ่วจื้อชิงถอนหายใจ
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อันที่จริงหากคิดจะมาต้มชาที่สวนน้ำค้างวสันต์ ก็ไม่ใช่เรื่องยากเสียหน่อย เจ้าให้เงินข้าสามเหรียญเงินฝนธัญพืช สามร้อยปีข้างหน้าเจ้าก็มาได้ตามสบาย ก่อนข้าจะจากไปจะบอกกับคนดูแลของสวนน้ำค้างวสันต์ให้ชัดเจน ถึงเวลานั้นต้องไม่มีใครกล้าขวางเจ้าแน่”
หลิ่วจื้อชิงถาม “เจ้าคิดว่าเงินฝนธัญพืชหล่นมาจากฟ้าหรือไร?”
เฉินผิงอันโบกมือ “ล้อเจ้าเล่นหรอกน่า วันหน้าก็มาต้มชาได้ตามสบาย”
หลิ่วจื้อชิงยืนนิ่งไม่ขยับ
เฉินผิงอันถามอย่างสงสัย “มีอะไรหรือ หรือว่ายังต้องให้ข้าจ่ายเงินจ้างเจ้ามาดื่มชา? แบบนี้จะเกินไปหน่อยไหม?”
หลิ่วจื้อชิงพูดอย่างมีโทสะ “หินไข่ห่านหลายร้อยก้อนที่อยู่ใต้บ่อน้ำ ทำไมไม่เหลือเลยสักก้อน? แค่เงินเกล็ดหิมะสองสามร้อยเหรียญเจ้าก็ต้องโลภด้วยหรือไง?!”
เฉินผิงอันตบโต๊ะ “โฉนดอยู่ในมือ ตลอดทั้งหน้าผาอวี้อิ๋งล้วนเป็นกิจการของบ้านข้า ข้าเก็บหินผุๆ มาใส่ไว้ในกระเป๋าก้อนสองก้อน เจ้ามายุ่งอะไรด้วย?!”
หลิ่วจื้อชิงกล่าวอย่างเอือมระอา “ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าข้าขอซื้อหินไข่ห่านพวกนั้นมาจากเจ้า เอามันวางกลับไว้ใต้หน้าผาเหมือนเดิม ตกลงไหม?”
เฉินผิงอันยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมา “ห้าเหรียญเงินร้อนน้อย ร้านนี้ไม่ลดราคา!”
หลิ่วจื้อชิงเอามือตบลงบนโต๊ะคิดเงิน พอยกมือขึ้น บนโต๊ะก็มีเงินร้อนน้อยเพิ่มมาห้าเหรียญ เขาหมุนตัวกลับได้ก็เดินจากไปทันที “คราวหน้าที่ข้ามาเยือนสวนน้ำค้างวสันต์ หากในน้ำขาดหินไข่ห่านไปแม้แต่ก้อนเดียว คอยดูเถอะว่าข้าจะฟันเจ้าให้ตายไหม!”
เฉินผิงอันเอานิ้วข้างหนึ่งกดลงบนโต๊ะคิดเงินเบาๆ ไม่อย่างนั้นเงินเกล็ดหิมะที่อุตส่าห์วางเรียงอย่างเป็นระเบียบจะเคลื่อนหลุดออกจากแถวได้
มีเงินร้อนน้อยเพิ่มขึ้นมาอีกห้าเหรียญ ค่อนข้างจะหงุดหงิดใจแหะ
ทำการค้าเก่งเกินไปก็ไม่ค่อยดีเหมือนกันนะ
เฉินผิงอันรู้สึกว่าวันนี้เป็นวันดีในการทำการค้า จึงเก็บเงินเทพเซียนทั้งหมด เดินอ้อมออกจากโต๊ะคิดเงินไปปลดป้ายปิดร้านออก แล้วไปนั่งอยู่ตรงเก้าอี้ไม้ไผ่ ตัวเล็กหน้าประตูร้านต่ออีกครั้ง เพียงแต่ว่าเปลี่ยนจากอาบแดดเป็นรับลมเย็นเท่านั้น
การประมือกับหลิ่วจื้อชิง แน่นอนว่าเป็นการประมือแบบแบ่งแพ้ชนะ หาใช่แบ่งเป็นตาย นี่ก็เพื่อลองประเมินดูว่ากระบี่บินของคอขวดโอสถทองคนหนึ่ง จะเร็วได้สักแค่ไหน
การประลองกันทั้งสามครั้ง หลิ่วจื้อชิงเปลี่ยนจากออกแรงห้าส่วนเป็นเจ็ดส่วน แล้วสุดท้ายก็เก้าส่วน
เฉินผิงอันพอจะเข้าใจได้คร่าวๆ แล้ว
เพียงแต่ว่าตอนนี้โทสะของบรรพจารย์อาน้อยแห่งตำหนักจินอูลุกโชนถึงเพียงนั้น จะโทษเขาก็ไม่ได้ เพราะถึงอย่างไรตลอดชีวิตที่ผ่านมาของหลิ่วจื้อชิง เขาก็คงไม่เคยกินดินมากขนาดนี้มาก่อน
แน่นอนว่าเฉินผิงอันที่ประมือกับหลิ่วจื้อชิงสามครั้ง แม้แต่ละครั้งเขาจะมีการกดขอบเขตเอาไว้ แต่ก็ไม่ได้ทำให้เขาได้เปรียบไปสักเท่าไร
ส่วนการประลองครั้งที่สี่แน่นอนว่าไม่มี
ไม่อย่างนั้นทั้งสองฝ่ายก็ได้แต่ห้ำหั่นกันอย่างเอาเป็นเอาตายเท่านั้น ซึ่งไม่มี ความจำเป็นเลย
ส่วนข้อที่ว่าหลังจากผ่านการประมือกันไปแล้วสามครั้ง เหตุใดเฉินผิงอันถึงยัง อยู่ต่อในสวนน้ำค้างวสันต์ นอกจากจะเพื่อเป็นร้านผ้าห่อบุญหาเงินมาเพิ่มเติม และเพิ่มที่ว่างให้แก่วัตถุจื่อชื่อแล้ว เป็นเพราะเขากำลังรอคอยจดหมายตอบกลับ
ก่อนหน้านี้เขาได้ส่งจดหมายลับฉบับหนึ่งออกจากเรือนกระบี่ของสวนน้ำค้างวสันต์ ไปยังภูเขามู่อีของสำนักพีหมา จดหมายลับนี้ ต่อให้กระบี่บินจะถูกดักเอาไว้ เนื้อความในจดหมายก็เป็นเพียงเรื่องทั่วไปที่ไหว้วานให้เด็กหนุ่มผังหลันซีของสำนักพีหมา ช่วยส่งต่อไปยังเขตการปกครองหลงเฉวียนเท่านั้น
ดังนั้นทางเขตการปกครองหลงเฉวียนจะส่งจดหมายกลับมายังชายหาดโครงกระดูกแล้วค่อยส่งต่อมาที่สวนน้ำค้างวสันต์เมื่อไหร่ ก็ต้องดูแค่ที่ว่าบรรพจารย์ถานท่านนั้นจะปรากฏตัวตอนไหน
บรรพจารย์ก่อกำเนิดที่ดูแลเซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลและลูกศิษย์นักการหลายพันคนของสวนน้ำค้างวสันต์ท่านนี้ ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เคยมาปรากฏตัวต่อหน้าเฉินผิงอัน แต่ขอแค่มีจดหมายตอบกลับมาจากภูเขามู่อีสำนักพีหมา ต่อให้ ตบะของนางจะหนักแน่นแค่ไหน กิจธุระจะมากมายรัดตัวเท่าไรก็ไม่มีทางนั่งได้ติด จะต้องเดินทางมาเยือนที่ร้านหรือไม่ก็ที่จวนจิงเจ๋อรอบหนึ่งอย่างแน่นอน
ท่ามกลางม่านตรี แสงไฟบนถนนเหล่าไหวสว่างเรืองรอง
ร้านผีฝูก็มีรายได้เข้าร้านอีกเล็กน้อย
เฉินผิงอันเตรียมจะไปปิดประตู และหลังจากนี้ก็แค่ต้องเรียกเรือยันต์ลำเล็กที่ ยืมมาชั่วคราวออกมา ก็สามารถทะยานลมกลับไปยังเรือนจิงเจ๋อที่ทะเลไผ่ได้แล้ว
เฉินผิงอันเพิ่งจะหยิบม้านั่งไม้ไผ่ตัวเล็กขึ้นมาก็ต้องวางลงอีกครั้ง มองไปทางในร้าน สตรีอายุน้อยเรือนกายสูงเพรียวผู้หนึ่งปรากฎกายขึ้นจากความว่างเปล่า นางยืนอยู่พร้อมรอยยิ้มบางๆ
เฉินผิงอันก้าวข้ามธรณีประตูเข้าไป กุมหมัดคารวะพร้อมยิ้มเอ่ย “คารวะฮูหยินถาน”
เจ้าสวนน้ำค้างวสันต์ท่านนี้แซ่ถาน มีชื่อตัวเดียวคืออักษรคำว่าหลิง เซียนซือทำเนียบวงศ์ตระกูลผู้สืบทอดของศาลบรรพจารย์สวนน้ำค้างวสันต์ที่นอกจากนางแล้ว ทุกคนล้วนมีชื่อสามพยางค์ ยกตัวอย่างเช่นซ่งหลานเฉียวโอสถทองก็เป็นคนรุ่นที่ใช้อักษรหลาน
ถานหลิงไม่ได้รั้งรออยู่นานนัก เพียงแค่พูดคุยทักทายตามมารยาทและมอบกล่องไม้บรรจุกระบี่ของศาลบรรพจารย์สำนักพีหมาให้กับเฉินผิงอัน นางก็ยิ้มแล้วขอตัว ลากลับไป
การค้าของสวนน้ำค้างวสันต์ไม่จำเป็นต้องเสี่ยงอันตรายเพื่อแสวงหาความก้าวหน้าอีกแล้ว
สวนน้ำค้างวสันต์ยกร้านเล็กร้านหนึ่งบนถนนเหล่าไหวให้ รวมไปถึงภายหลัง ยังมอบยันต์เรือบินที่เป็นดั่งการปักบุปผาลงบนผ้าแพรให้อีกหนึ่งลำ นับว่ากะแรงไฟได้กำลังดี
เฉินผิงอันปิดประตูร้าน โดยสารเรือยันต์จากจุดที่เงียบสงัดลับตาคนมุ่งหน้าไปยังจวนทะเลไผ่ เข้ามาในห้องแล้วก็เปิดกล่องกระบี่ออก ด้านในมีกระบี่บินสองเล่ม ถานหลิงแห่งสวนน้ำค้างวสันต์ก็ได้รับจดหมายกระบี่บินจากสำนักพีหมาหนึ่งฉบับเช่นกัน บอกว่านี่คือของตอบแทนที่ศาลบรรพจารย์ของภูเขามู่อีมอบให้กับ คุณชายเฉิน กระบี่บินส่งข่าวสองเล่มที่อยู่ในกล่องกระบี่สามารถเดินทางไปกลับได้หนึ่งแสนลี้ ต่อให้เป็นก่อกำเนิดก็ยากจะดักเอาไว้ได้
สำหรับวัตถุอย่างกล่องใส่กระบี่นี้ ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่สำหรับเฉินผิงอัน ตัวเขาเอง ก็มี กล่องใบที่ได้มาจากทะเลสาบซูเจี่ยน กระบี่บินเดินทางได้ไม่ไกลนัก ระดับขั้นอยู่ไกลเกินกว่าจะเทียบกับใบนี้ได้ติด
นั่งอยู่ในห้อง เปิดจดหมายหนึ่งฉบับออก เพียงมองเห็นลายมือ เฉินผิงอันก็ยิ้มอย่างชอบใจ
ลูกศิษย์ใหญ่เปิดภูเขาคนนั้นของตนเขียนบ่นอยู่ในจดหมายหลายพันคำ บอกกับอาจารย์ของนางอย่างจริงจังว่าชีวิตการเรียนในโรงเรียนของนาง ลมฝนมิอาจขัดขวาง ตั้งใจตรากตรำอ่านตำรา ไม่มีปล่อยปละละเลย จนพวกอาจารย์ผู้เฒ่าซาบซึ้งใจจนแทบน้ำตาไหลอาบหน้า…
ส่วนเรื่องบางอย่างที่เป็นความลับก็น่าจะเป็นชุยตงซานที่รับหน้าที่เป็นผู้เขียนแทนด้วยตัวเอง
ยกตัวอย่างเช่นเรื่องของโจวหมี่ลี่ที่บนจดหมายเขียนอย่างคลุมเครือไว้หนึ่งประโยคว่า ‘ศิษย์เข้าใจกระจ่างแล้ว มีเรื่องก็หมดเรื่องแล้ว’
เฉินผิงอันอ่านทวนซ้ำอยู่หลายรอบ
อืม ตัวอักษรของเผยเฉียนเขียนได้เป็นระเบียบมากขึ้นแล้ว น่าจะตั้งใจ คัดตัวอักษรไม่มีแอบอู้จริงๆ
ส่วนประโยคที่บอกว่า ‘อาจารย์ วิชากระบี่มารคลั่งของข้าฝึกได้อย่างชำนาญแล้ว อาจารย์ไม่กลับบ้านมาดูสักหน่อย เป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากเลยนะ’ ‘ข้าหาเงินให้กับร้านได้เท่าภูเขาลูกย่อมแล้ว อาจารย์ท่านรีบกลับบ้านมาดูเร็วเข้า หากวันใดพวกเงิน มีขาเดินหนีไปได้เอง ข้าคงขวางไว้ไม่อยู่’ ‘อาจารย์ ถึงแม้ว่าขุนพลใต้บังคับบัญชาของข้าจะรบตายไปหลายสิบคน แต่ข้าก็รับผู้พิทักษ์ซ้ายขวามาอีกสองคน ทุกครัวเรือน ในตรอกฉีหลงแถบนี้ ต่อให้มีของหล่นก็ไม่มีใครกล้าเก็บ’ ‘อาจารย์ท่านวางใจได้ เต็มร้อยเต็มหมื่นเลย ฟักแคระอยู่ที่ร้านว่านอนสอนง่ายอย่างมาก ก็แค่กินจุไปหน่อยเท่านั้น เรื่องหาเงินก็ไม่เก่งกาจ ข้าเลยต้องควักเงินเก็บส่วนตัวมาช่วยออกค่าอาหารการกินของนาง ตอนนี้ข้าฝึกวิชากระบี่ วิชาดาบและวิชาหมัดล้ำโลกได้สำเร็จแล้ว ต่อให้มีคนคิดรังแกข้า ข้าก็ไม่อยากถือสาพวกเขา แต่ฟักแคระข้าจะต้องปกป้องดูแลนางให้ดี เพราะนางก็คือคนอ่อนแอที่อาจารย์เคยพูดถึง ส่วนข้านั้นไม่ใช่แล้วล่ะ…’
เฉินผิงอันยิ้มเก็บจดหมายจากทางบ้านฉบับนี้ลงไป เขาพับกระดาษทบเข้าด้วยกันเบาๆ แล้วเอาใส่ไว้ในวัตถุฟางชุ่นช้าๆ
ตอนนี้เฉินผิงอันถอดชุดคลุมอาคมสองชิ้นอย่างจินหลี่และเกล็ดหิมะออกไปนานแล้ว สวมเพียงชุดเขียวและห้อยกาเหล้าเท่านั้น
เขาลุกขึ้นเดินมาบนระเบียง ทอดสายตามองไกลไปเหนือกำแพงเรือน ทะเลไผ่หนาแน่นรกครึ้ม มรกตสดปลั่งราวจะเค้นน้ำคือสีสันแห่งโลกมนุษย์
……
หลังจากที่ชุยตงซานเร่งเดินทางมาถึงเขตการปกครองหลงเฉวียน
เขาก็กินข้าวมื้อเย็นที่ร้านในตรอกฉีหลงไปหนึ่งมื้อ ตำแหน่งประธานของ โต๊ะอาหารถูกปล่อยว่างไว้ตลอดเวลา ชุยตงซานอยากจะไปนั่ง แต่ทะเลาะกับ เผยเฉียนอยู่นาน สุดท้ายก็ได้แต่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับเผยเฉียน โจวหมี่ลี่ภูตน้ำน้อย นั่งอยู่ข้างกายเผยเฉียน ส่วนสือโหรวทุกครั้งที่นั่งจะต้องนั่งบนม้านั่งยาวที่หันหลังให้กับประตูใหญ่เสมอ อีกทั้งนางเองก็ไม่จำเป็นต้องกินอาหาร เวลาปกติก็แค่จะมา นั่งคุยเป็นเพื่อนเผยเฉียนเท่านั้น แต่วันนี้นางไม่กล้าไม่มา
อาหารมื้อนี้สือโหรวมาร่วมวงแค่ให้ครบจำนวนคน จึงขยับตะเกียบพอเป็นพิธีอยู่สองสามครั้งเท่านั้น ส่วนอีกสามคนที่เหลือต้องเรียกว่าสวาปามมูมมาม ลมหอบเมฆม้วนตลบ โดยเฉพาะโจวหมี่ลี่ที่จ้วงตะเกียบรัวเร็วราวกับบิน
หลังจากนั้นชุยตงซานก็ออกไปจากตรอกฉีหลง บอกว่าจะไปขอเหล้าดื่มที่ ภูเขาลั่วพั่วเสียหน่อย
เผยเฉียนเองก็ไม่ได้สนใจเขา นางฝึกวิชากระบี่มารคลั่งของตัวเองอยู่ในลานบ้าน โจวหมี่ลี่ที่อยู่ด้านข้างคอยปรบมือให้กำลังใจเสียงดัง
ชุยตงซานไม่ได้ตรงไปที่เรือนไม้ไผ่บนภูเขาลั่วพั่ว แต่มาปรากฏตัวที่ตีนเขา ตอนนี้ที่ตรงนั้นมีเรือนที่เข้าท่าเข้าทีอยู่หลังหนึ่ง ด้านในลานเรือน เว่ยป้อ จูเหลี่ยนและ ชายฉกรรจ์หลังค่อมที่ทำหน้าที่เป็นคนเฝ้าประตูกำลังเล่นหมากล้อมกัน เว่ยป้อประลองกับจูเหลี่ยน ส่วนเจิ้งต้าเฟิงนั่งแทะเมล็ดแตงอยู่ด้านข้าง คอยให้คำชี้แนะ
ชุยตงซานนั่งอยู่บนหัวกำแพง มองดูอยู่นาน สุดท้ายก็ทนไม่ไหวด่าว่า “คนเล่นหมากล้อมฝีมือห่วยๆ สามคนมารวมตัวกัน เห็นแล้วเสียสายตาข้าจริงๆ!”
ชุยตงซานพลิ้วกายลงไป เพียงแต่ว่าพอก้นเขาสัมผัสพื้น จูเหลี่ยนและเว่ยป้อ ต่างก็พากันเอาเม็ดหมากที่คีบไว้ในมือใส่กลับลงโถ ชุยตงซานยื่นสองมือออกมา “ไม่เอาสิ เด็กๆ เล่นหมากล้อมกันก็มีท่วงทำนองไปอีกแบบ”
เจิ้งต้าเฟิงเริ่มไล่คน
เว่ยป้อจึงตรงกลับไปที่ภูเขาพีอวิ๋นทันที
ส่วนจูเหลี่ยนและชุยตงซานเดินขึ้นเขาไปด้วยกัน
ชายแขนเสื้อสองข้างของชุยตงซานเหมือนปีกของแม่ไก่ที่กระพือพึ่บพั่บ ก้าวขึ้นบันไดได้สองสามขั้นก็กระโดดบินขึ้นสูงหนึ่งที
ชุยตงซานถามชวนคุย “เจียงซ่างเจินผู้นั้นมาเยือนภูเขาลั่วพั่วแล้วหรือ?”
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “เจ้าหมายถึงพี่น้องโจวเฝยสินะ เคยมาแล้ว บอกว่าต้องการใช้สถานะของก่อกำเนิดมาเป็นผู้ถวายงานของภูเขาลั่วพั่วเรา”
ชุยตงซานหัวเราะเสียงเย็น “เจ้ารับปากไปแล้ว?”
จูเหลี่ยนเอาสองมือไพล่หลัง หันหน้ามายิ้มตาหยี “เจ้าเดาดูสิ?”
ชายแขนเสื้อใหญ่ของชุยตงซานโบกสะบัดไม่หยุด “โอ้โห จูเหลี่ยน เจ้าพัฒนาแล้ว นี่นา?”
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “อย่าตบหน้า ส่วนที่อื่นนั้น ตามใจ”
ชุยตงซานหยุดลอยตัวค้างกลางอากาศ ร่างพ้นจากพื้นมาแค่หนึ่งฉื่อเท่านั้น เขาเหล่ตามองจูเหลี่ยน “เจียงซ่างเจินไม่ธรรมดา สวินยวนก็ยิ่งไม่ธรรมดา”
จูเหลี่ยนยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ดังนั้นข้าถึงได้ปฏิเสธไปอย่างไรล่ะ ความสามารถในการประจบสอพลอของไอ้หมอนั่นยังใช้ไม่ได้ ยังจำเป็นต้องฝึกฝนให้ดีอีกสักหน่อย ตอนนี้ยังไม่สามารถเข้ามาอยู่ภูเขาลั่วพั่วของเราได้ พี่น้องโจวเฝยก็คิดว่าเป็นเหตุผลข้อนี้เหมือนกัน บอกว่าจะต้องกลับไปศึกษาให้ดีๆ คราวหน้าค่อยมาขอความรู้ จากข้าใหม่”
ชุยตงซานถึงได้ทิ้งตัวลงบนพื้น กระพือ ‘ปีก’ สีขาวหิมะสองข้างค่อยๆ บินขึ้นด้านบนต่ออีกครั้ง “ลี่ไฉ่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบคนนั้นล่ะ?”
จูเหลี่ยนร้องอ้อหนึ่งที “พี่น้องโจวเฝยมีพรสวรรค์ดีเยี่ยม แต่ข้ากลับรู้สึกว่า ทุกเรื่องเหมือนขาดความหมายไปอีกเล็กน้อย นี่ก็คงจะเป็นข้อด้อยในความสมบูรณ์แบบกระมัง ความสามารถในการประจบเอาใจเป็นเช่นนี้ การรับมือกับสตรี ก็เป็นเช่นเดียวกัน ลี่ไฉ่ผู้นั้นทนรับสายตาของพี่น้องต้าเฟิงไม่ไหว คิดจะออกกระบี่ ข้าขวางไว้ไม่อยู่ ดังนั้นท่านที่อยู่ในเรือนไม้ไผ่ถึงได้ปล่อย…ครึ่งหมัด บวกกับที่ พี่น้องโจวเฝยช่วยเกลี้ยกล่อมก็เลยหยุดนางเอาไว้ได้”
สีหน้าชุยตงซานมืดทะมึน
ตอนนี้เขารับผิดชอบดูแลเรื่องทางทิศใต้ เรื่องทางทิศเหนือ เขาจึงไม่ค่อยเข้าใจอย่างชัดเจนเท่าใดนัก
จูเหลี่ยนยิ้มกล่าว “กิจการบ้านเรือนยิ่งใหญ่แล้ว ต้อนรับขับสู้และส่งผู้ที่จากไป สามลัทธิเก้าสาขาล้วนมีนิสัยใจคอแตกต่างกัน นี่เป็นเรื่องปกติ”
ชุยตงซานหลุดหัวเราะพรืด “ก็ยังต้องโทษที่เจ้ามีความสามารถไม่มากพอ วิชาหมัดไม่เชี่ยวชาญถึงแก่นไม่ใช่หรือ?”
จูเหลี่ยนกล่าวอย่างระอาใจ “ตอนนี้จะขี้จะเยี่ยวข้าก็ต้องกลั้นปณิธานหมัดเอาไว้สุดแรงเกิดแล้วนะ ยังจะให้ข้าทำอย่างไรอีก?”
สองเท้าของชุยตงซานสัมผัสพื้น แล้วเริ่มเดินขึ้นเขาไปอย่างปกติ ปากก็เอ่ย ชวนคุยว่า “หลูป๋ายเซี่ยงเริ่มรวบรวมแผ่นดินเก็บเขตอิทธิพลแล้ว”
จูเหลี่ยนเอาสองมือไพล่หลัง เดินค้อมเอวขึ้นเขา ยิ้มหน้าเป็น “สันดานเดียวกับ เว่ยเซี่ยน หมาป่าเดินไปพันลี้ยังกินเนื้อ หมาเดินหมื่นลี้ก็ยังกินขี้อยู่ดี”
ชุยตงซานพลันหยุดเดิน “ข้าคงไม่ขึ้นไปบนภูเขาแล้ว เจ้าบอกกับเว่ยป้อสักคำ ให้เขาส่งกระบี่บินไปยังภูเขามู่อีสำนักพีหมา สอบถามแปดอักษรเวลาเกิด บ้านเกิด สำมะโนครัว ที่ตั้งสุสานบรรพบุรุษของเกาเฉิงผู้นั้น จะเรื่องไหนก็ได้ ถึงอย่างไรรู้อะไรมาก็เล่นไปอย่างนั้น มากหน่อยก็ถือเป็นประโยชน์ หากสำนักพีหมาไม่มีประโยชน์เลยแม้แต่น้อยก็ไม่เป็นไร แต่ก็ยังต้องให้เว่ยป้อเอ่ยประโยคจากใจจริงกับสำนักพีหมาเป็นประโยคสุดท้ายด้วยว่า ใต้หล้านี้ไม่มีเรื่องดีๆ ที่แค่นอนเฉยๆ ก็หาเงินก้อนใหญ่ได้”
จูเหลี่ยนถาม “ก่อนหน้านี้เว่ยป้อก็อยู่ตรงหน้าเจ้า ทำไมเจ้าไม่พูด?”
ชุยตงซานยิ้มตอบ “เจ้าเป็นคนพูด ก็เป็นเจ้าที่ติดค้างน้ำใจเขา”
จูเหลี่ยนพยักหน้ารับ “มีเหตุผล”
ชุยตงซานไม่เดินขึ้นเขาอีก เขาจำแลงร่างกลายเป็นสายรุ้งย้อนกลับไปที่เมืองเล็ก
ตอนนี้ช่างหร่วนไม่อยู่ในเขตการปกครองหลงเฉวียน จะไปมาก็อิสระเสรี
พอถึงช่วงกลางคืนชุยตงซานก็ไปเยือนภูเขากระเบื้องเคลือบที่มีการป้องกัน อย่างเข้มงวด แล้วจากมาพร้อมกับถุงผ้าป่านใบใหญ่
จากนั้นเขาก็ไปอยู่ในบ้านบรรพบุรุษที่เคยอาศัยในปีนั้นหลายวัน ทุกวันไม่รู้ว่า ทำอะไรอยู่
ต่อให้เผยเฉียนไปหา ชุยตงซานก็ไม่เปิดประตูให้
เผยเฉียนเลยพาโจวหมี่ลี่ปีนขึ้นไปบนหลังคา กะว่าจะแงะกระเบื้องเปิดออกดู แต่พอปีนขึ้นไปแล้วถึงได้ค้นพบว่าที่แท้หลังคาเรือนเปิดโล่งเป็นลานสี่เหลี่ยม แต่น่าเสียดายที่พอก้มหน้ามองไปกลับเห็นเพียงไอหมอกขมุกขมัวเท่านั้น ไม่เห็นอะไรอย่างอื่นอีก
เผยเฉียนจึงได้แต่พาโจวหมี่ลี่ย้อนกลับมาที่ตรอกฉีหลง
วันนี้ชุยตงซานเดินอาดๆ มาที่นี่ ก็ได้เจอกับเผยเฉียนและโจวหมี่ลี่ที่กำลังวิ่งตะบึงลงมาจากบันไดพอดี
พอมาถึงเรือน เผยเฉียนก็ฝึกวิชากระบี่มารคลั่งที่ยากจะพัฒนารุดหน้าไปอีกขั้นอยู่ในลานบ้าน พลางเอ่ยถามว่า “วันนี้มีคนคิดจะรังแกฟักแคระอีกแล้ว จะทำอย่างไรดี?”
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “หลบได้ก็หลบ ยังจะทำอย่างไรได้อีก พูดไปก็ไม่รู้เรื่อง หรือจะยกไม้ฟาดพวกเขาให้ตาย?”
เผยเฉียนหยุดขยับเคลื่อนไม้เท้าเดินป่าในมือ โจวหมี่ลี่รีบไปยกม้านั่งตัวเล็กมาให้ พอเผยเฉียนนั่งลงไปแล้ว โจวหมี่ลี่ก็นั่งลงด้านข้าง ขบฟันบนฟันล่างเล่นเบาๆ อยู่กับตัวเอง
เผยเฉียนวางไม้เท้าเดินป่าพาดขวางไว้บนหัวเข่า ขมวดคิ้วกล่าวว่า “พวกอาจารย์ที่สอนหนังสือนี่เป็นอย่างไรกันนะ รู้จักแต่หลักการเหตุผลในตำราอย่างเดียวเท่านั้นหรือ? ท่องหนังสือใครบ้างที่ทำไม่ได้…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ เผยเฉียนก็เชิดหน้า “ผู้พิทักษ์ฝั่งขวา! ถึงเวลาที่เจ้าต้อง แสดงฝีมือแล้ว”
โจวหมี่ลี่ที่จิตใจสื่อถึงกันรีบช่วยศิษย์พี่หญิงใหญ่พูดประโยคที่เหลือ “แต่จะมีประโยชน์อะไร!”
“ไม่แบ่งแยกเด็กแก่ชายหญิง จะต้องมีคนบางส่วนที่น่าสนใจอยู่เสมอ”
ชุยตงซานยิ้มกล่าว “เห็นใครก็ขวางหูขวางตา แน่นอนว่าเป็นเพราะตนเองทำ สิ่งใดไม่สมดังปรารถนา ทำสิ่งใดไม่สมดังปรารถนา แน่นอนว่าเห็นใครก็ยิ่ง ขวางหูขวางตา”
เผยเฉียนคำรามอย่างเดือดดาล “นี่เจ้าด่าข้าหรือ?”
ชุยตงซานสอดสองมือรองไว้ใต้ท้ายทอย เอนตัวไปด้านหลัง ยกขาสองข้างขึ้นแกว่งเบาๆ จะล้มก็ไม่ล้ม “จะด่าเจ้าได้อย่างไร ข้ากำลังอธิบายว่าเหตุใดก่อนหน้านี้ ถึงได้บอกให้พวกเจ้าหลบเลี่ยงคนพวกนี้ อย่าได้เข้าใกล้พวกเขาเป็นอันขาด พวกเขา ก็เหมือนกับผีพรายที่ชอบลากคนลงน้ำนั่นแหละ”
ชุยตงซานที่โล้ชิงช้าอยู่ตรงนั้นยกมือข้างหนึ่งขึ้น แสร้งทำเป็นว่าในมือถือพัดพับ สะบัดข้อมือโบกเบาๆ
เผยเฉียนถาม “ชอบพัดเล่มนี้ขนาดนี้ แล้วทำไมต้องยกให้อาจารย์ข้าด้วย?”
ชุยตงซานไม่หยุดเคลื่อนไหว “พัดของข้ามีมากมายก่ายกอง ก็แค่ชอบเล่มนั้นมากที่สุด มอบให้ท่านอาจารย์ไปแล้วก็ช่างเถิด”
เผยเฉียนถามเสียงเบา “เจ้าทำอะไรอยู่ในเรือนหลังนั้นกันแน่? คงไม่ได้คิด จะขโมยของไปหรอกนะ?”
ชุยตงซานหลับตางีบหลับ
เผยเฉียนทำท่าส่งสัญญาณมือ แล้วพาโจวหมี่ลี่เขย่งปลายเท้าเดินแยกกันซ้ายคนขวาคน ขยับเข้าไปข้างกายชุยตงซานที่ลอยตัวอยู่กลางอากาศโดยไม่หล่นกระแทก
โจวหมี่ลี่ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งมาป้องข้างปาก “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ หลับไปแล้วจริงๆ ด้วย”
เผยเฉียนกลอกตามองบน ก่อนโบกชายแขนเสื้อบอกเป็นนัยให้อีกฝ่ายตามตนเข้าไปคัดตัวอักษรในห้อง
หลังจากนั้นชุยตงซานก็ออกไปจากตรอกฉีหลงและเขตการปกครองหลงเฉวียนเงียบๆ แต่เผยเฉียนกลับรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เหล่าอาจารย์ผู้เฒ่าของโรงเรียนในเมืองเล็กเขตการปกครองหลงเฉวียนที่สกุลเฉินลำธารหลงเหว่ยมาสร้างขึ้นที่แต่ไหนแต่ไรมามักจะเก็บตัวเงียบอยู่เสมอ กลับเริ่มมีการไปเยี่ยมเยือนตามบ้านของนักเรียน ถนนใหญ่ตรอกเล็ก ทุกบ้านทุกครอบครัวล้วนไม่มีปล่อยผ่าน ยกตัวอย่างเช่นร้าน ในตรอกฉีหลงที่นางอยู่อาศัยก็มีอาจารย์ผู้เฒ่าคนหนึ่งมาเยือนเช่นกัน เขาพูดคุยไม่จบไม่สิ้นอยู่กับสือโหรวนานเป็นครึ่งๆ วัน สุดท้ายยังกินข้าวด้วยหนึ่งมื้อ ไม่เพียงเท่านี้ เหล่าอาจารย์ที่เดิมทีทำเพียงแค่ถ่ายทอดคุณธรรมความรู้ อธิบายตำราอริยะปราชญ์อยู่ในโรงเรียนกลับเริ่มพากันไปช่วยคนทำนำ ขึ้นเขาไปตัดฟืน พาพวกเด็กๆ ไปเที่ยวชมเตาเผามังกร ฯลฯ ดูเหมือนว่าในทางส่วนตัวก็มีอาจารย์บางท่านบ่นว่าการทำงานหยาบเช่นนี้เป็นการทำลายภาพลักษณ์อันสง่างาม แต่ก็แค่บ่นไม่กี่คำเท่านั้น เพราะควรทำอย่างไรก็ยังทำอยู่อย่างนั้น ต่อมาไม่นานก็มีอาจารย์สองสามท่านลาออกจากโรงเรียนไปอย่างเงียบๆ ก่อนที่อาจารย์หน้าใหม่หลายคนจะเข้ามาแทนที่
เด็กหนุ่มชุดขาวผู้หนึ่งที่เดินทางมุ่งหน้าลงใต้ออกห่างจากต้าหลีมาไกลมากแล้ว วันนี้เขาที่นั่งอยู่ริมลำธารกลางป่าเขา วักน้ำไว้ในฝ่ามือ ก้มหน้ามองดวงจันทร์ในมือของตนแล้วดื่มน้ำไปหนึ่งอึก ก่อนจะยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “รั้งจันทราไว้ไม่อยู่ แต่กลับ ดื่มน้ำได้”
จากนั้นเขาก็สะบัดชายแขนเสื้อ คนกระเบื้องเคลือบสูงแค่หนึ่งฉื่อกว่าก็กลิ้งออกมาจากชายแขนเสื้อใหญ่สีขาวหิมะ เรือนกายของคนกระเบื้องยังมีรอยปริร้าว นับไม่ถ้วน อีกทั้งยังไม่ได้ ‘เปิดหน้า’ เมื่อเทียบกับเด็กหนุ่มคนกระเบื้องที่ปรากฏตัว ในบ้านเดิมของปีนั้นแล้ว ก็แค่ขาดการเตรียมความพร้อมในหลายๆ ด้านเท่านั้น ทว่าฝีมือการปั้นกลับคล่องแคล่วคุ้นเคยยิ่งกว่าเก่า