Skip to content

Sword of Coming 53

บทที่ 53 มอบให้

เฉินผิงอันแบกเด็กสาวเผ่นแนบหนีไป เขาวิ่งได้เร็วกว่าตอนที่ขึ้นเขาก่อนหน้านี้เสียอีก ราวกับโจรปล้นสวาทที่ไปชิงตัวคุณหนูตระกูลใหญ่มา หนิงเหยาบาดเจ็บภายในไม่น้อย พอร่างกระเด้งกระดอนก็ยิ่งแทบจะทนไม่ไหว แต่ก็ไม่มีเวลามารักษาหน้าตาอะไรแล้ว เพราะหากปล่อยให้หมัดของวานรเฒ่ากระแทกลงมาโดนบนร่าง คาดว่านางและเฉินผิงอันคงต้อง “ฆ่าตัวตายเพื่อบูชารัก” เข้าจริงๆ

หน้าผากของหนิงเหยาเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ เอ่ยถามว่า “เจ้ารอดมาได้อย่างไร? ไม่ได้ถูกหินก้อนนั้นโจมตีหรือ? เจ้ารู้ได้อย่างไรแผนรับมือที่วานรเฒ่าเตรียมไว้ เอาไว้ใช้กับเจ้า ไม่ใช่ข้า?”

หลังจากโยนคำถามพรวนใหญ่ออกไปแล้ว หนิงเหยาก็พลันคืนสติ “อย่าเพิ่งพูดเรื่องพวกนี้เลย ฉวยโอกาสตอนที่วานรเฒ่าต้องผลัดเปลี่ยนลมปราณ หนีไปให้ได้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ก่อน! ข้าบอกให้กระบี่เล่มนั้นพยายามโรมรันรั้งตัววานรเฒ่าไว้ให้ได้มากที่สุดแล้ว แต่มันเองก็คงทนได้ไม่นานนัก”

เด็กหนุ่มรองเท้าแตะพยักหน้ารับเบาๆ ฝีเท้าของเขาที่ก้าวกระโดดราวกับบินลอดผ่านตรอกเล็กตรอกน้อยอย่างคุ้นเคย เหมือนปลาตัวหนึ่งที่แหวกว่ายอยู่ใต้น้ำ

หลังจากออกห่างมาจากตรอกเล็กทางฝั่งตะวันตกของเมืองแล้ว เฉินผิงอันก็ยังคงไม่หยุดเท้า เพียงถือโอกาสช่วงที่มีเวลาหายใจหายคออธิบายเสียงเบาว่า “ก่อนหน้านี้ตอนที่อยู่ตรอกหนีผิง วานรเฒ่าถูกข้าหลอกไปที่หลังคาบ้านเก่าๆ หลังหนึ่ง แล้วเขาก็ตกลงไปในหลุม ภายหลังข้าแอบโยนกระเบื้องเล็กๆ ชิ้นหนึ่งไปบนหลังคาข้างหลุม แล้ววานรเฒ่าก็เข้าใจผิดไปจริงๆ ว่าข้าไม่ทันระวังถึงทำให้เกิดเสียงฝีเท้า เขาเลยขว้างกระเบื้องชิ้นหนึ่งออกมา แม้แต่คานบ้านยังทะลุเป็นรูไปด้วย ทำเอาข้าตกใจจนเหงื่อแตกท่วมร่าง”

“เมื่อครู่นี้อันที่จริงข้าแอบหมอบอยู่บนหลังคา ไม่กล้าโผล่หน้าออกไป กลัวว่าเจ้าจะเสียสมาธิ แล้วก็กำลังคิดอยู่ว่าจะยิงธนูใส่วานรเฒ่าสักดอกได้หรือไม่ ตอนหลังเห็นว่าก้อนหินที่วานรเฒ่าขว้างเจ้าให้ร่วงลงมาเหมือนงูไฟที่ห้อยอยู่กลางอากาศ ขอแค่เงยหน้าขึ้น ไม่ว่าใครที่อยู่ในเมืองก็คงมองเห็นได้หมด ข้าไหนเลยจะกล้าประมาท ตอนนั้นในหัวข้ามีความคุดหนึ่งผุดขึ้นมา คิดว่าหากเปลี่ยนมาเป็นข้าต้องใช้เจ้าเป็นเหยื่อล่อแน่นอน จะได้จัดการกับคนที่แอบซ่อนอยู่ในมุมมืดก่อน แล้วค่อยหันกลับมาจัดการคนที่อยู่ในที่แจ้ง เหยื่อชิ้นเดียวตกปลาได้สองตัวติดกัน ดีจะตายไป ใช่ไหมล่ะ? ดังนั้นข้าเลยถอดเสื้อของหลิวเสี้ยนหยางออกก่อน พอขว้างออกไปแล้วถึงได้กล้าไปช่วยเจ้า”

ดวงตาหนิงเหยาเป็นประกาย จุ๊ปากชื่นชมไม่หยุด แต่จู่ๆ กลับเริ่มคิดบัญชีแค้นย้อนหลังกับเขา “เฉินผิงอัน ความเจ้าเล่ห์แสนกลพวกนี้ เจ้าไปเรียนกับใครมา?! พวกที่ชอบวางท่าภูมิฐานย่อมใจไม่ซื่อเหมือนที่แสดงออกภายนอกแน่ พูดมา! ครั้งนั้นที่นักพรตลู่ช่วยข้า ตอนที่อยู่ในบ้านของเจ้า นอกจากจะถอดหมวกของข้าออกแล้ว เจ้าได้ฉวยโอกาสเอาเปรียบข้าอย่างอื่นหรือไม่?”

เฉินผิงอันทำหน้ามึนงง เหมือนตอนเด็กที่ถูกหางวัวฟาดหน้าอย่างไรอย่างนั้น “อะไร?”

เด็กสาวกลับไม่มีซักไซ้เอาความตัว แต่หัวเราะคิกอยู่กับตัวเอง

เฉินผิงอันเป็นคนหน้าเงิน แต่ไม่มีทางบ้าตัณหาแน่นอน

หนิงเหยาเชื่อมั่นในจุดนี้อย่างไม่มีข้อกังขา ก็เหมือนกับที่นางเชื่อมั่นมาโดยตลอดว่าในอนาคตตนเองต้องเป็นเซียนกระบี่ผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่คนที่หายากดุจขนหงส์เขากิเลน ไม่ใช่คนที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ แต่เป็นคนประเภทข้ามีเพียงคนเดียวบนโลกนี้นั่นแหละ

หนิงเหยาเอ่ยเบาๆ “วางข้าลง!”

เฉินผิงอันถาม “เจ้าเดินเองได้แล้วหรือ?”

หนิงเหยากล่าวอย่างจนใจ “ตอนนี้ยังพอเดินได้ แต่หากปล่อยให้เจ้าวิ่งต่อไปแบบนี้ ตับไต้ใส้พุงของข้าอาจถูกเจ้าเทออกมาก็เป็นได้ เมื่อถึงเวลานั้นไม่ต้องถูกวานรเฒ่าต่อยตาย กลับต้องมาตายอยู่บนไหล่เจ้าเหมือนเนื้อหมูแขวน วานรเฒ่ามาเห็นเข้าคงหัวเราะขำพวกเราตายแน่”

เฉินผิงอันชะลอฝีเท้า รู้สึกปวดหัวขึ้นมา “งั้นจะทำอย่างไร? หาที่ใกล้ๆ ซ่อนตัวก่อนงั้นหรือ? เดิมทีข้าคิดจะออกไปจากเมือง สถานที่แห่งนั้นถูกคนพบเห็นได้ยาก”

หนิงเหยาพลันนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้จึงถามอย่างใครรู่ “เสื้อเกราะไม้กระเบื้องที่เจ้าทำเองตัวนั้นล่ะ? ทำไมถึงไม่สวมแล้ว?”

เฉินผิงอันยิ้มเจื่อน “ต่อกรกับวานรเฒ่าไม่มีความหมายมากนัก กลับกันคือจะยิ่งส่งผลกระทบต่อความเร็วในการวิ่งของข้าด้วย เลยถอดออกไปแล้ว แล้วก็โชคดีที่ทำเช่นนี้ หาไม่แล้วข้าก็ไม่รู้ว่าควรจะพาเจ้าออกมาจากที่นั่นอย่างไร แบกขึ้นไหล่ไม่ได้ แบกขึ้นหลังก็ไม่ได้ อุ้มก็ยิ่งไม่ได้เข้าไปใหญ่ คิดแล้วยังปวดหัวไม่หาย”

หนิงเหยาถอนหายใจ กล่าวเหมือนตัดสินใจดีแล้ว “เฉินผิงอัน วางข้าลงก่อน จากนั้นค่อยให้ข้าขึ้นหลังเจ้าไปยังที่ที่เจ้าพูดถึง”

เฉินผิงอันย่อมไม่มีข้อโต้แย้ง ทำตามที่นางบอกทันทีอย่างไม่มีอิดออด พอวางนางลงจากไหล่ก็แบกเด็กสาวขึ้นหลังวิ่งต่อพลางถามไปด้วยว่า “แม่นางหนิง ดาบของเจ้าล่ะ? ทำไมเหลือแต่ฝักแล้ว?”

เด็กสาวที่โอบคอเด็กหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงไม่สบอารมณ์ “ฝังอยู่ในดินแล้ว”

เฉินผิงอันก็ไม่ซักถามให้มากความ วิ่งตรงไปยังสถานที่แห่งหนึ่งที่อยู่นอกเมืองซึ่งไม่มีวี่แววของผู้คน

ป่าชานเมือง รอบด้านมีแต่หลุมศพที่ไม่มีลูกหลานมากราบไหว้นานแล้ว บนหลุมจึงขึ้นเต็มไปด้วยพืชหญ้ารกชัฏคล้ายสวนผักแห่งหนึ่ง บางครั้งก็มีเสียงนกกลางคืนร้องดังเป็นทอดๆ ฟังแล้วชวนขนหัวลุก ยังดีที่เฉินผิงอันมีความรู้สึกบางอย่างต่อสถานที่แห่งนี้ในแบบที่คนวัยเดียวกันไม่เคยมีมาก่อน จึงไม่ถึงกับปรับตัวไม่ได้นัก ประมาณหนึ่งก้านธูปต่อมา เฉินผิงอันก็แบกเด็กสาวเดินผ่านรูปปั้นทวยเทพแตกหักที่กองระเนระนาดอยู่บนพื้นมาถึงด้านหลังของรูปปั้นองค์เทพใหญ่ยักษ์รูปหนึ่งที่ร่างเอียงกะเท่เร่อยู่บนพื้น แต่ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงไม่เห็นเศียรของรูปปั้นแล้ว ลำตัวของรูปปั้นยาวประมาณสองจั้งกว่า พอจะจินตนาการได้ว่าตอนที่รูปปั้นรูปนี้ยังอยู่ในสภาพสมบูรณ์แบบแล้วตั้งตระหง่านอยู่กลางศาลจะเปี่ยมไปด้วยบารมีมากถึงขนาดไหน

เฉินผิงอันย่อตัวลง พยายามจะวางหนิงเหยาลงก่อน ผลกลับกลายเป็นว่ารออยู่ครู่ใหญ่นางก็ยังไม่มีความเคลื่อนไหว ทำเอาเฉินผิงอันตกใจนึกว่าแม่นางหนิงตายไปกลางทางแล้ว ขณะที่เฉินผิงอันยืนอึ้งอยู่กับที่ราวกับถูกฟ้าผ่า เด็กสาวที่หลับอย่างสบายมาตลอดทางจึงไม่เอ่ยคำใดสักคำก็ตื่นขึ้นมาในที่สุด นางใช้หลังมือเช็ดมุมปากของตัวเองโดยไม่รู้ตัว ถามทั้งที่ยังงัวเงียบ “ถึงแล้วหรือ?”

นาทีนั้นแม้แต่เด็กชายที่นั่งยองๆ อยู่บนพื้นก็ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมจู่ๆ ถึงรู้สึกอยากจะหลั่งน้ำตา

เด็กหนุ่มจึงรีบสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง สะกดอารมณ์ประหลาดลงไป ปล่อยสองมือออกจากขาพับของเด็กสาว หันหน้ากลับไปตอบยิ้มๆ “นี่คือเพิงเล็กๆ ที่ข้าสร้างไว้ชั่วคราวเมื่อฤดูใบไม้ร่วงปีที่แล้ว เมื่อก่อนมักจะพากู้ช่านมาเล่นที่นี่ เขาบ่นว่าทรมานนักหนา เลยตัดกิ่งไม้บางส่วนมาประกอบเป็นโครง จากนั้นจึงใช้ใบไม้ใบหญ้าปิดทับลงไป แข็งแรงพอสมควร ฤดูหนาวคราวก่อนหิมะตกหนักตั้งสองครั้ง แต่ก็ยังไม่พังลงมา”

หนิงเหยายืนตัวตรง หันหน้ากลับไปมองก็เห็นว่ากระบี่บินไม่ได้กลับมาด้วยสภาพกระเซอะกระเซิงนัก นี่คือลางดี อย่างน้อยก็หมายความว่าวานรเฒ่ายังหาสถานที่ซ่อนตัวของคนทั้งสองไม่เจอ

เฉินผิงอันบอกให้หนิงเหยารอก่อน ส่วนตัวเองค้อมมเอวมุดเข้าไปในรังเล็กชั่วคราวที่ใช้กิ่งไม้ใบไม้สุมๆ เอาไว้ หลังจากเก็บกวาดด้านในเล็กน้อยถึงได้เปิดประตูต้อนรับแขก

หนิงเหยาเข้าไปนั่งในรังเล็กที่ไม่คับแคบเกินไปจนน่าอัดอั้น รู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก

เฉินผิงอันไม่ได้ปิดประตูเล็กที่ทำจากไม้ฟืนหยาบๆ บานนั้น แต่นั่งอยู่หน้าประตู หันหลังให้เด็กสาว

หนิงเหยาเอ่ยถาม “ทำไมถึงไม่ปิดประตูล่ะ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “หากวานรเฒ่ามาเจอที่นี่ก็คงไม่ต่างกัน”

หนิงเหยาที่นั่งขัดสมาธิพยักหน้ารับ “ก็จริงนะ”

เงียบกันไปชั่วครู่ หนิงเหยาจึงถามว่า “เจ้าไม่มีอะไรที่คิดจะถามบ้างหรือ?”

แล้วเฉินผิงอันก็ถามนางจริงๆ “วานรเฒ่าใช้ลมปราณครบสามครั้งแล้วใช่ไหม?”

หนิงเหยาอืมรับหนึ่งที “แต่มีข่าวร้ายอย่างหนึ่งที่ต้องบอกเจ้า อย่างน้อยวานรเฒ่าน่าจะยังทำลายกฎได้อีกหนึ่งครั้ง คิดจะทำร้ายพวกเราสองคนก็น่าจะพอเหลือแหล่”

เฉินผิงอันถามอีก “แม่นางหนิง เจ้ารู้สึกว่าเพื่อเรื่องนี้ วานรเฒ่าต้องจ่ายค่าตอบแทนมากแค่ไหน?”

รอบด้านในรังเล็กเต็มไปด้วยใบไม้เขียวขจีที่ถูกสอดแทรกเอาไว้ เพียงสูดลมหายใจก็ได้กลิ่นหอมสดชื่น แม้ว่าบนพื้นที่ชื้นอยู่บ้าง แต่เด็กสาวก็รู้สึกว่าไม่อาจเรียกร้องอะไรไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว

หนิงเหยาครุ่นคิดอย่างละเอียด “วานรเฒ่าลงมือทั้งหมดสามครั้ง ตั้งแต่ที่ตรอกหนีผิงบ้านเจ้าไปจนถึงฝั่งตะวันออกสุดคือครั้งแรก วานรเฒ่าค่อนข้างออมมือ หลักๆ แล้วคงเพราะต้องการหยั่งเชิงว่าเจ้ามีที่พึ่งหรือไม่ เพราะอย่างไรซะตอนนั้นเขากริ่งเกรงว่าจะมีคนจัดฉากอยู่เบื้องหลัง กลัวว่าจะมีคนหันไปเล่นงานเจ้านายน้อยแห่งเขาตะวันเที่ยงที่เขาคุ้มครองมาส่งที่นี่ ดังนั้นอายุขัยที่ถูกลดทอนไปจึงแค่ประมาณสามถึงห้าปีเท่านั้น จากนั้นตอนที่คุมเชิงอยู่กับข้าตรงริมธารน้ำ ใช้ไปประมาณยี่สิบปี ครั้งที่สามคาดว่าอย่างน้อยน่าจะห้าสิบปี ถ้ามีครั้งที่สี่หลังจากนี้ จะอย่างไรก็ต้องตั้งต้นด้วยร้อยปี”

ดวงตาเฉินผิงอันสาดประกายเจิดจ้า ก้มตัวยื่นมือไปดึงหญ้าต้นหนึ่งขึ้นมา พอปาดดินทิ้งก็เอามาเคี้ยวอยู่ในปาก พูดอารมณ์ดีว่า “งั้นก็ตีซะว่าหนึ่งร้อยแปดสิบปี ได้กำไรก้อนใหญ่เลย! ต่อให้ไม่นับรวมการเล่นงานจากผู้หญิงแซ่ไช่แห่งเขาเมฆาเรืองผู้นั้น คนทั่วไปก็มีชีวิตอยู่ได้ประมาณหกสิบปี ถ้าอย่างนั้นก็เท่ากับว่าข้าได้กำไรเพิ่มมาอีกสองชีวิต อีกอย่างวานรเฒ่าต้องใช้อายุขัยเกือบสองร้อยปีมาแลกกับชีวิตของข้าสามชาติ ข้ารู้สึกว่าขอแค่เขาคิดถึงเรื่องนี้ต้องโมโหจนตายแน่”

หนิงเหยาขมวดคิ้ว “เฉินผิงอัน เจ้ารู้สึกว่าชีวิตตัวเองไม่มีค่าถึงขนาดนี้เชียวหรือ?”

เฉินผิงอันตอบอย่างไม่ลังเล “เมื่อเทียบกับภูตประหลาดที่มีชีวิตอยู่มานานนับพันปีอย่างวานรเฒ่าตัวนั้น ข้าเป็นแค่ชาวบ้านที่ทำงานเตาเผาในเมืองเล็กๆ คนหนึ่ง ย่อมไม่มีค่าอะไรอยู่แล้ว การยอมรับเรื่องแบบนี้ก็ไม่ได้น่าอายตรงไหน”

หลักการผิดเพี้ยนประโยคนี้ของเฉินผิงอันทำให้หนิงเหยารู้สึกจุกแน่นอยู่ในใจ

เฉินผิงอันหันกลับมายิ้มให้นาง “แน่นอนว่าพอคิดถึงเรื่องพวกนี้ ยอมรับชะตากรรมก็ส่วนยอมรับชะตากรรม แต่จะอย่างไรในใจก็ยังต้องมีความคับข้อง เจ้าคิดดูสิ อุตส่าห์ได้เกิดมาเดินบนโลกใบนี้ทั้งที อาศัยอะไรชีวิตข้าถึงไม่มีค่าเหมือนคนอื่น?”

หนิงเหยากำลังจะเอ่ยคล้อยตามด้วยประโยคคติพจน์ของปราชญ์ที่เปี่ยมไปด้วยความกล้าหาญชาญชัยและฟังดูมีความรู้ คาดไม่ถึงว่าเด็กหนุ่มกลับถามเองตอบเองอย่างจริงจัง “หรือว่าชาติก่อนข้าทำความดีน้อย? แต่ชาตินี้ข้าก็ยังไม่ทันได้ทำเรื่องดีสร้างบุญกุศลอะไรเลยนี่นา นี่ไม่เท่ากับว่าชาติหน้ายังต้องซวยแบบนี้อีกหรือ จะทำอย่างไรดี?”

หนิงเหยาหยิบฝักดาบสีเขียวว่างเปล่าที่วางพาดไว้บนขาขึ้น แล้วใช้ปลายฝักดาบฟาดเบาๆ ที่แผ่นหลังของเด็กหนุ่ม

เด็กหนุ่มรองเท้าแตะแยกเขี้ยว หันกลับมาทำหน้ากล้าโกรธแต่ไม่กล้าพูดใส่นาง

หนิงเหยาเลยถลึงตาใส่ “ชีวิตนี้ยังไม่เดินไปถึงปลายทาง จะคิดถึงชีวิตหน้าไปทำไม?!”

เฉินผิงอันรีบยกนิ้วมือขึ้นวางบนปาก บอกเป็นนัยไม่ให้หนิงเหยาโวยวายเสียงดัง

เด็กสาวจึงหุบปากฉับทันที

เฉินผิงอันขยับก้นออกไปข้างนอก พยายามอยู่ให้ห่างจากเด็กสาวและฝักดาบของนาง

หนิงเหยาเผยอปากเหมือนจะพูดอะไรบางอย่างแต่ก็หยุดชะงักไปก่อน ทว่าสุดท้ายก็ยังตัดสินใจที่จะบอกความจริงกับเด็กหนุ่ม จึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “เฉินผิงอัน เจ้าเคยคิดหรือไม่ว่า แม้จะบั่นอายุไปได้หนึ่งร้อยแปดสิบปี แต่เดิมทีวานรพิทักษ์ภูเขาของเขาตะวันเที่ยงตัวนี้สามารถมีชีวิตอยู่ได้นานเท่าไหร่?”

เด็กหนุ่มที่นั่งหันหลังให้เด็กสาวเงยหน้ามองฟ้าไกลทำเพียงแค่ส่ายหน้าเบาๆ

เรื่องราวที่ลี้ลับซับซ้อนเช่นนี้ เด็กหนุ่มจะรู้ได้อย่างไร และต่อให้คิดจนหัวแทบแตกก็คงคิดคำตอบไม่ออก

เรื่องบางเรื่องก็เหมือนถนนแผ่นหินสีเขียวที่ปูบนถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่ หากไม่เพราะต้องเอาจดหมายไปส่ง ชั่วชีวิตนี้เด็กหนุ่มก็คงไม่รู้ว่าที่แท้เส้นทางใต้หล้าไม่ได้มีแค่ถนนดินอย่างเดียวเท่านั้น

หนิงเหยาถอนหายใจ “สัตว์ร้ายที่เกิดขึ้นมาได้เพราะปรากฎการณ์ผิดธรรมชาติประเภทนี้ ไม่ได้มีช่องโพรงที่สลับซับซ้อนเหมือนในร่างของมนุษย์เรา แม้ว่าด้วยเหตุนี้จะทำให้การฝึกตนเป็นไปอย่างยากลำบาก แต่ข้อดีก็คือการไหลเวียนของจิงชี่เสิน[1] จะเชื่องช้าอย่างมาก เป็นเหตุให้มีอายุขัยยาวนาน น้อยสุดก็ห้าร้อยปี มากสุดก็ห้าพันปี สันดานเดิมของวานรย้ายภูเขาคือชอบเคลื่อนไหว ไม่ชอบอยู่นิ่งเฉย หากไม่ได้ฝึกตน อายุขัยย่อมไม่ยืนยาวมากนัก อย่างไรก็สู้พวกเต่าหรือมังกรไม่ได้ แต่จะอย่างไรซะวานรย้ายภูเขาก็เคยเป็นผู้พิชิตของสถานที่แห่งหนึ่ง อายุขัยจึงยาวประมาณสองพันปี และวานรย้ายภูเขาตัวนี้ก็เห็นได้ชัดว่าได้ฝึกวิชาคาถาอาคม หากเขาฝึกได้ถึงห้าขอบเขตบนเมื่อไหร่ บวกกับร่างกายและจิตใจที่อยู่ในขอบเขตที่เก้าของเขา อย่าว่าแต่อายุสองพันปีเลย ต่อให้เป็นสามพันปี สี่พันปีก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้”

หนิงเหยาทอดสายตามองแผ่นหลังผอมบาง “ดังนั้นอย่าได้รู้สึกว่าตัวเองมีชีวิตอยู่มาพอแล้ว”

เฉินผิงอันไม่เอ่ยอะไรสักคำ

หนิงเหยาอดเจ็บแปลบในใจไม่ได้

คนทั้งสองต่างไร้คำพูด ในใจเด็กสาวเริ่มบังเกิดความละอายใจอย่างที่หาได้อยาก จึงกำลังเค้นสมองครุ่นคิดหาคำพูด อยากจะปลอบใจเจ้าหมอนี่สักหน่อย

เพียงแต่ว่าในขณะที่หนิงเหยาคิดจนปวดหัว กลับได้ยินเสียงกรนเบาๆ มาจากเด็กหนุ่มรองเท้าสานที่นั่งอยู่เบื้องหน้า

หนิงเหยาอึ้งงันไปทันที

บ้านหลังใหญ่หลังหนึ่งในจุดลึกของตรอกซิ่งฮวาถูกเก็บกวาดจนสะอาดเอี่ยมจากด้านในจรดด้านนอก แม้แต่ทางหน้าประตูบ้านก็ยังสะอาดสะอ้านเป็นระเบียบมากกว่าหน้าบ้านของคนอื่น

หญิงชราที่หน้าตาไม่มีความใกล้เคียงกับคำว่าเมตตาปราณีคนหนึ่งขยับดึงไส้ตะเกียงขึ้น ทำให้แสงไฟในห้องสว่างเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อย จากนั้นก็หันไปมองหลานชายของตัวเองด้วยสีหน้ารักใคร่เอ็นดู แล้วเริ่มพร่ำบนซ้ำแล้วซ้ำเล่าเหมือนอย่างที่เคยทำมา “ดึกดื่นค่อนคืนขึ้นไปทำอะไรบนหลังคาบ้านอีกแล้ว? คำโบราณบอกไว้ว่า ฤดูใบไม้ผลิสวมห่มมิดชิด ฤดูใบไม้ร่วงปล่อยให้หนาวไปก่อน[2] บอกกี่ครั้งเจ้าก็ไม่ยอมฟัง ร่างกายเจ้ากำลังเติบโต หากอากาศทำให้ร่างกายหนาวเย็นจนทิ้งต้นตอของโรคเอาไว้ จะให้ย่ามีชีวิตอยู่ได้อย่างไร?”

เด็กหนุ่มหน้าตาซื่อๆ ทึ่มๆ ยิ้มกว้าง

หญิงชรานั่งลงแล้วถอนหายใจอย่างทอดอาลัย ก่อนจะเริ่มพร่ำท่องความยากลำบากของตัวเอง “หลานชายคนดีของข้า เจ้าไม่รู้อะไร วันนี้ตอนกลางวัน ไม่รู้ว่าเจ้าเพียงพอนขาวตัวนั้นไปได้กลิ่นเนื้ออะไรมา จู่ๆ ถึงได้หิ้วของขวัญห่อใหญ่ห่อน้อยมาเยือนถึงบ้าน ตอนนั้นเจ้าไม่อยู่ เลยไม่เห็นสีหน้าของเขาที่เป็นราวกับบุตรกตัญญูบิดาผู้เมตตาเสียจริงๆ เกือบจะทำให้ย่าซาบซึ้งใจจนน้ำตาไหล”

กล่าวมาถึงตรงนี้ สีหน้าของหญิงชราก็เต็มไปด้วยแววดูแคลน จู่ๆ ก็ถ่มเสลดเหนียวข้นลงพื้น แล้วก็ให้เสียใจภายหลังจึงรีบใช้ปลายเท้าเหยียบกลบ หญิงชราเงยหน้ามองเด็กหนุ่มที่ทำหน้าไม่รู้สึกรู้สา ความโมโหก็ผุดขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ แต่ก็ตัดใจตีอีกฝ่ายไม่ลง เลยได้แต่โกรธจนหายใจหอบรัว “เจ้าลูกหมาใจจืดใจดำ ไม่รู้จักสงสารย่าตัวเองเสียบ้าง เดิมทีเจ้าชื่อหม่าเสวียน เพียงแต่ว่ามีต่อพ่อให้กำเนิดไม่มีแม่คอยเลี้ยงดู หากไม่เลี้ยงว่าชะตารันทดจะเรียกว่าอะไร ย่าเลยเพิ่มคำว่าขู่ (ขู่ 苦 แปลว่าขม ทุกข์ยาก ลำบาก รันทด) ให้กับเจ้า หากเจ้ารังเกียจว่าไม่เป็นมงคล วันหน้าเปลี่ยนใหม่เองก็ได้ ไม่ต้องรีบร้อน ไม่ต้องสนใจความคิดของย่า ย่าเป็นแค่หญิงแก่บ้านนอกคอกนา เป็นเหมือนกบในท้องนา ความรู้ตื้นเขิน สมควรแล้วที่ต้องยากลำบากทั้งชีวิต…”

หญิงชราเริ่มปาดน้ำตา

เด็กหนุ่มหม่าขู่เสวียนยกมือขึ้นวางทาบบนหลังมือที่แห้งเหี่ยวเหมือนหนังหุ้มกระดูกของหญิงชรา

หญิงชรามองหลานชายตัวเอง ในที่สุดในสายตาของเด็กหนุ่มก็มีคลื่นอารมณ์ปรากฏขึ้น นางจึงยิ้มอย่างปลื้มใจ เป็นฝ่ายตบหลังมือของหม่าขู่เสวียนเสียเอง “ย่าอย่างข้าไม่ใช่คนมีโชควาสนา ปู่ของเจ้ามีเมตตาแต่ไม่มีความสามารถ พึ่งพาไม่ได้ บุตรชายข้ามีความสามารถแต่ไร้ความเมตตา ก็ยังพึ่งพาไม่ได้อยู่ดี ดังนั้นจึงเหลือเจ้าเป็นที่พึ่งเพียงคนเดียวแล้ว หากแม้แต่เจ้าก็ยังไม่เอาถ่าน ความยากลำบากที่ย่าต้องกล้ำกลืนมาทั้งชีวิตก็คงเสียเปล่า ลำบากยังไม่เท่าไหร่ ขอแค่อย่าเป็นแบบย่าก็พอ วันหน้าต้องได้ดี ต้องมีหน้ามีตายิ่งใหญ่ ใครที่เคยรังแกเจ้า เจ้าต้องรังแกกลับคืนให้จงได้ อย่าเป็นคนดีโดยเด็ดขาด เป็นคนชั่วสักสองสามครั้งก็ไม่เป็นไร แค่ไม่เป็นคนประเภทกินอิ่มแล้วหาเรื่องทำร้ายคนไปทั่วก็พอ ระวังจะถูกกรรมตามสนอง แม้สวรรค์จะชอบงีบหลับทั้งปีทั้งชาติ แต่ตอนงีบหลับก็ส่วนงับหลับ อย่างไรเสียก็ต้องมีช่วงเวลาที่ลืมตาขึ้นมาบ้าง หากปะเหมาะเคราะห์ร้ายเข้าล่ะก็ อั๊ยโยว…”

คำพูดซ้ำซากหาใจความสำคัญไม่เจอแบบนี้ เด็กหนุ่มได้ยินมาตั้งแต่เล็กยันโต ไม่เพียงแต่ฟังจนรังไหมขึ้นหู (คล้ายสำนวนไทยว่าฟังจนหูชา ฟังจนหูแฉะ) เกรงว่าตัวหนอนที่อยู่ในรังไหมคงเปลี่ยนไปได้หลายรุ่นแล้ว แต่จะอย่างไรซะเด็กหนุ่มก็ไม่ได้ชักมือกลับมา เพียงปล่อยให้ย่าของตนกุมเอาไว้เบาๆ

จู่ๆ หญิงชราก็ถามขึ้นว่า “ทำไมเจ้าถึงไปชอบนังสารเลวจื้อกุยผู้นั้น?”

เด็กหนุ่มยิ้มบาง “ก็นางสวย”

หญิงชราเพิ่มน้ำหนักมือตบลงไปบนหลังมือของหม่าขู่เสวียน ผรุสวาทเสียงดัง “เจ้าหนอนน้อยใจร้าย! แม้แต่กับย่า เจ้าก็ยังไม่ยอมพูดความจริงงั้นหรือ?”

เด็กหนุ่มหัวเราะหึหึ “ท่านย่าวางใจเถอะ นี่เป็นเรื่องดี”

หญิงชราเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่หยุดคำถามไว้ชั่วคราว เปลี่ยนหัวข้อพูดเรื่องใหม่ “รู้หรือไม่ว่าทำไมพ่อแม่เจ้าถึงไม่ต้องการเจ้า?”

เด็กหนุ่มตอบยิ้มๆ “ตอนนั้นบ้านยากจน เลี้ยงข้าไม่ไหว?”

หญิงชราพลันเพิ่มระดับน้ำเสียง กรีดร้องเสียงแหลม “ยากจน? คนเจ็ดแปดรุ่นของตระกูลหม่าเราไม่นับว่าเป็นตระกูลคนยากจนอะไรเลย เพียงแต่ว่าแสร้งสั่งสอนบุตรหลานจนเกิดความเคยชิน พอถึงท้ายที่สุดเลยไม่รู้ว่าควรจะวางตัวเป็นนายท่านใหญ่อย่างไร อันที่จริงบรรพบุรุษทิ้งคำสั่งเอาไว้ข้อหนึ่ง บอกว่าต่อให้มีเงินแค่ไหนก็ห้ามไปสร้างบ้านอยู่ที่ถนนฝูลวี่ ที่ตรอกเถาเย่ก็ไม่ได้ หากพ่อแม่ที่สมควรถูกฟ้าผ่าตายของเจ้าจนล่ะก็ จะสวมเสื้อผ้าปักดิ้นเงินดิ้นทองได้ทุกวัน กินอาหารเลิศรสได้ทุกมื้อหรือ? นอกจากไม่กล้าย้ายไปอยู่แถบเดียวกับพวกสี่แซ่สิบตระกูลอยู่อาศัยกันแล้ว เรื่องเสวยสุขเรื่องใดบ้างที่พวเขาพลาดไป?”

ทุครั้งที่พูดถึงบุตรชายกับลูกสะใภ้ของตน หญิงชราก็ต้องเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างเคียดแค้น นางหัวเราะหยันกล่าวต่อว่า “กฎเกณฑ์พวกนั้นของเหล่าบรรพบุรุษเป็นเพียงของเล่นที่ฝังอยู่ใต้ดินจนเละเทะกลายเป็นดินโคลนไปหมดแล้ว นี่ผ่านไปตั้งกี่ปีแล้ว ตอนนี้จะยังมีค่าอะไรอีก? หลายชาย วันหน้าเมื่อเจ้าได้ดิบได้ดีก็ไม่ต้องสนใจมันนัก ย่าอยู่มาจนอายุปูนนี้ พบเจอคนมีเงินและคนไม่มีเงินมามากมาย ท้ายที่สุดแล้วก็มีแค่คนที่ไร้ความสามารถเท่านั้นที่ถึงจะเป็นคนซื่อสัตย์ได้!”

หม่าขู่เสวียนยิ้มกว้าง ไม่รู้ว่าเป็นเพราะรู้สึกว่าคำพูดของนางมีเหตุผล หรือคิดว่าเหลวไหลจนน่าขำกันแน่

เด็กหนุ่มคนนี้เป็นอย่างนี้มาตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าความยากลำบากอะไรก็ทนได้ ถูกรังแกอย่างไรก็อดทนอดกลั้น ทว่ากับเรื่องบางเรื่องหากดึงดันขึ้นมา แม้แต่ย่าของเขาก็ยังโน้มน้าวไม่ได้

หญิงชราคิดอยู่ชั่วครู่ก็ลุกขึ้นวิ่งออกไปดูว่าลงกลอนประตูใหญ่หน้าบ้านหรือยัง พอกลับเข้ามาในห้องและนั่งลงไปที่เดิมอีกครั้งถึงกดเสียงกล่าวเบาๆ ว่า “หลานชาย อย่าเห็นว่าหลายปีมานี้ย่าหลอกผีหลอกเจ้า นอกจากเป็นหมอตำแยแล้ว ยังทำน้ำมนต์ให้คนดื่ม หรือไม่ก็แบกหน้าไปเก็บกวาดเรื่องเละเทะให้คนอื่น ย่าจะบอกเจ้าให้ว่าของเก่าแก่ทั้งหลายที่เก็บมานั่น ล้วนเป็นสมบัติค้ำฟ้าทั้งสิ้น…”

เด็กหนุ่มกลับมามีสีหน้าเกียจคร้านอีกครั้ง เห็นได้ชัดว่าหม่าขู่เสวียนไม่มีความสนใจของผุๆ ที่อยู่ในลังใหญ่ของย่าตัวเองแม้แต่น้อย

หญิงชรายังคงพูดจ้อถึงกลเม็ดต่างๆ ที่ใช้หลอกลวงคนอื่นเมื่อครั้งอดีตด้วยความลำพองใจ

หม่าขู่เสวียนพลันถามว่า “ท่านยา พ่อของเฉินผิงอันแห่งตรอกหนีผิง ได้ตายที่…”

สีหน้าของหญิงชราเปลี่ยนแปลงในฉับพลัน รีบยื่นมือไปอุดปากหลานชายตัวเอง พูดเสียงเฉียบ “เรื่องบางเรื่องทำได้ แต่ห้ามพูด!”

เด็กหนุ่มพยักหน้ารับยิ้มๆ ไม่ได้ซักไซ้ถามต่ออีก

หลงจากนั้นหญิงชราก็หมดอารมณ์จะโอ้อวดความมีเกียรติในอดีตของตัวเอง ท่าทางเปลี่ยนมาเป็นเซื่องซึมคิดหนัก คอยเหลือบมองไปยังม่านราตรีนอกหน้าต่างเป็นระยะ

หม่าขู่เสวียนจึงถามยิ้มๆ “ท่านย่า ท่านเป็นแม่มดอยู่ในเมืองของเรามานานหลายปีขนาดนี้ เพื่อนบ้านทุกคนในตรอกซิ่งฮวาต่างก็พูดกันว่าท่านผู้อาวุโสสามารถข้ามภพภูมิไปรับดวงวิญญาณของคนตายกลับมายังโลกมนุษย์…”

หญิงชรากลอกตา “คนอื่นเชื่อเรื่องไร้สาระพวกนี้ เจ้าก็เชื่อด้วยหรือ? แค่ฟ้าผ่าย่ายังกลัว ถ้าเจอผีเข้าจริงๆ จะไม่ตกใจตายเลยหรือ?”

“ท่านย่าไม่ต้องกลัว”

เด็กหนุ่มหม่าขู่เสวียนหัวเราะเบาๆ “คนกับผีอยู่คนละเส้นทาง เทพและเซียนมีความแตกต่าง หนทางยิ่งใหญ่ใต้ฟ้า ต่างคนต่างมีทางเดินเป็นของตัวเอง”

—-

ยามฟ้าเริ่มสาง

หนิงเหยาที่อยู่ในรังต้นไม้ลืมตาขึ้นช้าๆ

ไม่เห็นร่องรอยของเด็กหนุ่ม

นางรีบลุกขึ้นยืน ค้อมตัวเดินออกมา เขย่งแตะปลายเท้าหนึ่งครั้ง นางก็กระโดดขึ้นมายืนอยู่บนไหล่กว้างใหญ่ของรูปปั้นองค์เทพเก่าโทรมที่นอนตะแคงอยู่บนพื้นดิน

ห่างออกไปไกลเด็กหนุ่มรองเท้าแตะกำลังวิ่งมาทางนี้ ฝีเท้าไม่ช้าไม่เร็ว ไม่เหมือนคนที่ถูกไล่ฆ่า เมื่อเขามองเห็นเด็กสาวชุดสีเขียวเข้มก็รีบกวักมือบอกให้นางลงมา

หนิงเหยากระโดดลงจากไหล่รูปปั้นองค์เทพมายืนอยู่หน้าเด็กหนุ่ม

“วานรเฒ่าหาพวกเราไม่เจอ”

พอกล่าวจบ เฉินผิงอันก็หันหน้าไปทางรูปปั้นองค์เทพที่ไม่มีเศียร สิบนิ้วพนม ก้มหัวไหว้ ปากท่องพึมพำ หนิงเหยายังพอจะได้ยินประโยคที่อีกฝ่ายพูดว่าได้โปรดอย่าตำหนินางดังมาแว่วๆ นางจึงเหลือกตามองบน แต่กลับไม่พูดอะไร

จากนั้นเฉินผิงอันก็พูดเบาๆ อย่างลึกลับ “ข้าจะพาเจ้าไปดูรูปปั้นเทพเจ้าสององค์ น่าสนใจมากเลยล่ะ!”

หนิงเหยาถาม “เทพเซียนพระโพธิสัตว์สำแดงอิทธิฤทธิ์ยินดีออกมาพบเจ้างั้นหรือ? ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าแค่ศรัทธา สิ่งที่ปรารถนาก็จะบรรลุผลงั้นสิ?”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างไม่ใคร่จะพอใจนัก “ประโยคนี้ของแม่นางหนิงแค่ฟัง…”

หนิงเหยาเลิกคิ้

เฉินผิงอันพูดต่ออย่างรวดเร็วประหนึ่งฟ้าร้องฉับพลันโดยไม่ทันจะยกมือป้องหู “แค่ฟังก็รู้ว่าเป็นคนที่เคยเล่าเรียนมาก่อน!”

พริบตาเดียวหนิงเหยาก็เหมือนเปลี่ยนไปเป็นคนละคน นางกระแอมอยู่สองสามที ในใจพร่ำท่องว่าต้องสำรวม ต้องสำรวม

เด็กหนุ่มเดินนำทางอยู่ข้างหน้า เด็กสาวเดินตามไปด้านหลังเงียบๆ

หนิงเหยายื่นนิ้วมือข้างหนึ่งนวดคลึงกลางหว่างคิ้วตามจิตใต้สำนึก

ชีวิตแขวนอยู่บนเส้นด้ายจริงๆ

ความคิดในหัวเด็กสาวต่อสู้กันอยู่พักใหญ่ สุดท้ายสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้งถึงพูดออกมาสองคำเบาๆ ว่า ขอบคุณ

อันที่จริงเด็กหนุ่มเองก็กวาดตามองรอบด้าน เงี่ยหูรับฟังแปดทิศตลอดเวลาอยู่แล้ว แน่นอนว่าย่อมได้ยินคำขอบคุณที่เด็กสาวเอ่ยกะทันหัน แม้ลึกๆ ในใจจะไม่รู้สึกว่านางจำเป็นต้องขอบคุณตัวเอง กลับเป็นตนต่างหากที่ควรขอบคุณนางถึงจะถูก

แต่เฉินผิงอันกลับไม่รู้ว่าควรจะเปิดปากอย่างไร จึงเลือกที่จะไม่ต่อความเสียเลย

เฉินผิงอันพลันหยุดเท้า เหม่อมองไปทางทิศใต้พลางพึมพำกับตัวเอง “หากวานรเฒ่าถูกท่านฉีขับไล่ออกจากขอบเขตไปแล้ว ถึงได้ไม่ตามมาไล่ฆ่าพวกเรา แล้วเราควรจะทำอย่างไร?”

เด็กสาวไม่รู้จะตอบอย่างไร

เฉินผิงอันจึงเดินหน้าต่ออีกครั้ง มองไม่ออกถึงท่าทางผิดปกติ

หนิงเหยาเพิ่มความเร็วฝีเท้าขยับขึ้นไปเดินเคียงไหล่กับเขา อดใจไม่ไหวจึงถามว่า “เฉินผิงอัน เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ไม่เป็นไร ข้ารู้ว่าเรื่องบางเรื่องมักจะเป็นเช่นนี้ ช่วยไม่ได้ก็คือช่วยไม่ได้จริงๆ”

เด็กหนุ่มไม่เคยเล่าเรียน จึงไม่รู้ความหมายของประโยคนั้น หากเปลี่ยนคำพูดเสียใหม่จะกล่าวว่า กำลังคนย่อมมีวันหมดลง (เปรียบเปรยว่าแม้บางครั้งจะมีความสามารถ แต่กับบางเรื่องก็ไม่อาจเอามาใช้ได้)

หนิงเหยาพลันหยุดเดิน รอจนเด็กหนุ่มหันกลับมามองด้วยความสงสัย นางถึงชี้ไปยังปานแดงตรงหว่างคิ้วของตัวเอง “รู้ว่าเจ้าสงสัย แต่เกรงใจที่จะถาม งั้นข้าก็จะบอกความจริงกับเจ้าแล้วกัน นี่ก็คือท่าไม้ตายของข้าหนิงเหยา วานรเฒ่าเขาตะวันเที่ยงร้ายกาจใช่ไหมล่ะ? เขาไล่ล่าจนเจ้ากับข้ามีสภาพอนาถเสียยิ่งกว่าสุนัขไร้บ้าน ถูกไหม? แต่ในช่องโพรงกลางหว่างคิ้วของข้ามีของขวัญวันเกิดที่ท่านแม่ข้ามอบให้ตอนอายุสิบขวบอยู่ชิ้นหนึ่ง มันคือวัตถุแห่งชะตาชีวิตของข้า ขอแค่มันปรากฏตัว อย่าว่าแต่วานรเฒ่าเลยที่ต้องตาย ต่อให้เป็น…”

กล่าวมาถึงตรงนี้ เด็กสาวก็ตัดบทข้ามไปเรื่องอื่น “ที่พูดเรื่องพวกนี้กับเจ้า ก็เพราะข้าอยากบอกเจ้าว่า ฟ้าดินกว้างใหญ่ยิ่งนัก อย่าได้ดูถูกตัวเอง แล้วก็อย่าท้อแท้หมดกำลังใจ ตอนนี้เจ้าเริ่มเรียนวรยุทธแล้วไม่ใช่หรือ? งั้นไม่สู้ฝึกวิชากระบี่ไปพร้อมกันเลย!”

เฉินผิงอันถาม “เจ้าสอนวิชากระบี่ได้ด้วยหรือ?”

หนิงเหยากล่าวอย่างมาดมั่น “พรสวรรค์ของข้ายอดเยี่ยมยิ่งนัก เรียนกระบี่มาตั้งแต่เล็ก ขอบเขตก็ไต่ทะยานอย่างรวดเร็ว แต่สอนวิชากระบี่ให้กับคนอื่น กลับทำไม่เป็นแม้แต่น้อย!”

เฉินผิงอันเกาหัว

หนิงเหยาคิดๆ ดูแล้วก็พูดด้วยสีหน้าจริงจัง “ต่อให้ข้าอยากจะยกกระบี่บินเล่มนั้นให้เจ้า มันก็คงไม่ตอบรับ อีกอย่างข้าเองก็ไม่อยากจะหมิ่นเกียรติมันแบบนี้ ที่บ้านเกิดของข้าเชื่อกันว่ากระบี่บนโลกที่มีจิตวิญญาณล้วนเป็นบุคคลบนวิถีทางเดียวกันกับพวกเรา”

สุดท้ายหนิงเหยาปลดฝักกระบี่สีขาวลงจาเอว “แต่ฝักกระบี่เล่มนี้ข้าสามารถมอบให้เจ้าได้!”

เฉินผิงอันยังคงมึนงง “ทำไมล่ะ?”

หนิงเหยาตบไหล่ของเฉินผิงอันแรงๆ พูดอย่างจริงใจและแฝงความหมายลึกซึ้ง “ขนาดฝักกระบี่ยังมีแล้ว ยังอยู่ไกลจากการเป็นเซียนกระบี่อีกหรือ?”

เฉินผิงอันรับฝักกระบี่ที่ว่างเปล่ามาด้วยสีหน้าทื่อๆ พูดอึกอัก “เจ้าพูดอะไรน่ะ?”

หนิงเหยาก้าวเท้ายาวๆ ดินไปข้างหน้า

ตอนนั้นเด็กสาวแค่รู้สึกว่าตัวเองทำเรื่องที่สง่างามอย่างถึงที่สุดเรื่องหนึ่ง แค่นี้เท่านั้น

เฉินผิงอันถือฝักกระบี่ไว้อย่างระมัดระวัง ในใจคิดว่าแล้วตนจะไปหากระบี่มาจากที่ไหน?

—-

[1] จิงชี่เสิน คือ องค์ประกอบสามอย่างในร่างกายมนุษย์จิงหรืออนูธาตุหมายถึงสารคัดหลั่งทุกอย่างในร่างกาย ตั้งแต่น้ำ เลือด น้ำเหลือง ฮอร์โมน อสุจิ ชี่คือลมปราณและเสินคือจิตวิญญาณ

[2] ฤดูใบไม้ผลิสวมห่มมิดชิด ฤดูใบไม้ร่วงปล่อยให้หนาวไปก่อน เป็นวิธีการรักษาสุขภาพให้แข็งแรงอย่างหนึ่งของชาวจีน ฤดูใบไม้ผลิอากาศจะลดความหนาวเย็นลง แต่ก็ไม่ควรรีบถอดเสื้อกันหนาว สวมเสื้อผ้าน้อยชิ้นเร็วเกินไป ส่วนฤดูใบไม้ร่วงที่อากาศเริ่มหนาวก็ไม่ต้องรีบสวมเสื้อหนาชั้นเร็วเกินไป ควรให้ร่างกายค่อยๆ ปรับสภาพกับอากาศได้ก่อนจะได้ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยง่าย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version