Skip to content

Sword of Coming 538

บทที่ 538 บนเส้นทางของการฝึกตน

ตอนที่เดินลงมาจากยอดเขา เฉินผิงอันลังเลอยู่เล็กน้อยก็เอาชุดคลุมอาคมสีดำ ที่มีชื่อว่าเถาเถี่ยร้อยตาตัวนั้นมาสวม เป็นชุดคลุมอาคมที่เขา ‘เก็บมาได้’ จากบนร่างของหยางหนิงซิ่งแห่งหน่วยฉงเสวียนราชวงศ์ต้าหยวน

ชุดคลุมอาคมจินหลี่สะดุดตาเกินไป ก่อนหน้านี้เปลี่ยนจากชุดเถาเถี่ยมาสวมชุดสีเขียวปกติทั่วไปก็เพราะเกิดจากใจที่ระมัดระวัง ด้วยกังวลว่าตลอดการเดินทางระยะไกล บนเส้นทางลำน้ำใหญ่ประหลาดที่ทั้งหัวและท้ายต่างก็พากันไหลเข้าสู่มหาสมุทรเส้นนี้จะดึงดูดสายตาที่ไม่จำเป็นให้มาจับจ้อง เพียงแต่ว่าเมื่อเรียกกระบี่ออกมาอยู่บน ยอดเขาตามฉีจิ่งหลง เฉินผิงอันที่ผ่านการใคร่ครวญมาแล้วก็เปลี่ยนใจอีกครั้ง เพราะถึงอย่างไรตอนนี้ได้เลื่อนขั้นสู่ขอบเขตเส้นเอ็นหลิวขอบเขตที่รั้งคน มากที่สุดแล้ว การสวมชุดคลุมอาคมที่ระดับขั้นไม่ธรรมดาตัวหนึ่งก็สามารถช่วยให้เขาดูดซับปราณวิญญาณฟ้าดินมาได้เร็วขึ้น และนี่ก็มีประโยชน์ต่อการฝึกตน

เมืองลู่จิ่วคือเขตการปกครองแห่งใหญ่ที่มีน้อยจนนับนิ้วได้ของแคว้นฝูฉวี ขนบธรรมเนียมสายบุ๋นเข้มข้น เฉินผิงอันซื้อหนังสือเบ็ดเตล็ดจากร้านขายหนังสือ ของเมืองมาหลายเล่ม หนึ่งในนั้นยังเป็นตำราฉบับรวมเล่มที่กินฝุ่นอยู่ในร้านหนังสือมานานหลายปี เป็นตำรารวบรวมฎีกาให้กำลังใจเกษตรกรที่แคว้นฝูฉวีแจกจ่าย ตอนช่วงต้นของฤดูใบไม้ผลิของเมื่อหลายปีก่อน ค่อนข้างจะมีท่วงทำนองอันงดงามโดดเด่น แต่ขณะเดียวกันภาษาที่ใช้ก็เรียบง่าย ตลอดทางมานี้เฉินผิงอันเปิดตำรา รวมเล่มเล่มนี้อ่านอย่างละเอียด ถึงได้พบว่าที่แท้มองดูเหมือนว่าภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นยามฤดูใบไม้ผลิของสามทวีปในทุกปีจะคล้ายคลึงกัน แต่แท้จริงแล้ว ล้วนมีกฎเกณฑ์อยู่ โอรสสวรรค์ปักต้นกล้าในผืนนาเพือขอให้ได้พืชผลอุดมสมบูรณ์ ขุนนางออกลาดตระเวนตรวจตราพื้นที่ ให้กำลังใจชาวไร่ชาวนา

ข้อดีของการอ่านตำราและเดินทางไกลก็คืออาจจะเจอกับเรื่องบังเอิญบางอย่าง มาเปิดเจอตำราเล่มนี้ก็เหมือนกับว่ามีเหล่าอริยะปราชญ์ในอดีตได้ช่วยคนรุ่นหลัง ที่พลิกเปิดหนังสือดึงเส้นหนึ่งที่ร้อยเรียงกันขึ้นมา แล้วนำเรื่องราวทางโลก และเรื่องราวของบุคคลมาร้อยเข้าเป็นไข่มุกเส้นหนึ่งที่งดงามละลานตา

เฉินผิงอันไปเยี่ยมชมสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของเมืองลู่จิ่วมาคร่าวๆ หนึ่งรอบ แล้ววันนั้นก็ไปพักอยู่ในโรงเตี๊ยมเก่าแก่แห่งหนึ่งของเมือง

พอเข้ามาในเมืองลู่จิ่วแล้ว เขาได้จงใจสะกดการดึงดูดปราณวิญญาณของชุดคลุมเอาไว้ ไม่อย่างนั้นจะชักนำเส้นสายตาของคนบางคนมาจากศาลเทพอธิบาลเมือง ศาลบุ๋นบู๊

ในความเป็นจริงแล้ว ผู้ฝึกลมปราณทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ฝึกตนที่เลื่อนสู่ ห้าขอบเขตกลาง เมื่อมาท่องเที่ยวอยู่ตามภูเขาแม่น้ำและราชวงศ์ของโลกมนุษย์ อันที่จริงก็เหมือนความเคลื่อนไหวของเจียวหลงตัวหนึ่งที่เลื้อยลงน้ำ ไม่ถือว่าเล็ก เพียงแต่ว่าโดยทั่วไปแล้ว การลงเขามาฝึกตน ดึงดูดปราณวิญญาณของแม่น้ำภูเขาในที่ต่างๆ ถือว่าเป็นการกระทำที่สมเหตุสมผล ขอแค่ไม่มากเกินพอดีจนเกิดลางว่า จะเป็นการวิดน้ำให้แห้งขอดเพื่อจับปลา องค์เทพแห่งสายน้ำภูเขาแต่ละแห่ง ล้วนจะเลือกหลับตาข้างหนึ่งลืมตาข้างหนึ่งเสมอ

ท่ามกลางม่านราตรี เฉินผิงอันจุดไฟตะเกียงบนโต๊ะอยู่ในห้องของโรงเตี๊ยม เขาเปิดตำรารวมเล่มที่บันทึกฎีกาให้กำลังใจเกษตรในอดีตต่ออีกครั้ง พอปิดหนังสือลง จิตวิญญาณก็เริ่มตกอยู่ในภวังค์

เฉินผิงอันไม่ได้อาศัยปราณวิญญาณน้อยนิดที่ชุดคลุมอาคมเถาเถี่ยดึงดูดมาจากในเมืองก็จริง แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าเขาไม่ได้ฝึกตน แต่ไหนแต่ไรมาการดึงดูด ปราณวิญญาณก็ไม่นับว่าเป็นการฝึกตนไปเสียทั้งหมดอยู่แล้ว ตลอดระยะทาง ที่เดินทางมานี้ ในฟ้าดินขนาดเล็กร่างคน อย่างเช่นช่องโพรงลมปราณที่สำคัญ สองแห่งอย่างจวนน้ำและศาลขุนเขา

การตกตะกอนของปราณวิญญาณ และการหล่อหลอมพวกมันก็คือรากฐานของการฝึกตนเช่นกัน น้ำและภูเขาซึ่งเป็นวัตถุแห่งชะตาชีวิตทั้งสองชิ้นเป็นเหมือน สองสถานที่ที่อิงแอบกัน จำเป็นต้องสร้างภาพปรากฎการณ์ที่คล้ายคลึงกับรากภูเขาชะตาน้ำขึ้นมา พูดง่ายๆ ก็คือ ก็เหมือนว่าต้องให้เฉินผิงอันหล่อหลอมปราณวิญญาณ สร้างความมั่นคงให้แก่รากฐานของจวนน้ำและศาลภูเขา เพียงแต่การสะสม ปราณวิญญาณของเฉินผิงอันในทุกวันนี้อยู่ไกลเกินกว่าจะถึงขั้นสมบูรณ์พูนล้น ดังนั้นภารกิจเร่งด่วนในเวลานี้ก็คือต้องให้เขาหาสถานที่ฮวงจุ้ยดีงามไร้เจ้าของให้เจอ เพียงแต่ว่านี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ดังนั้นจึงสามารถถอยไปเลือกในอันดับรอง นั่นคือ ปิดด่านสองสามวันอยู่ในโรงเตี๊ยมตระกูลเซียนที่เหมือนโรงเตี๊ยมตรงท่าเรือหัวมังกรแคว้นลวี่อิง

อันที่จริงก็สามารถใช้เงินเทพเซียนที่เดิมทีก็มีปราณวิญญาณซุกซ่อนอยู่ได้ โดยการนำเงินเทพเซียนมาหลอมเอาปราณวิญญาณแล้วรับเข้าไปในช่องโพรงลมปราณโดยตรง

เพียงแต่ว่าตอนนี้แม้แต่ปราณวิญญาณที่มีอยู่ก่อนแล้วเฉินผิงอันก็ยังหลอมไม่สำเร็จ การกระทำเช่นนั้นมีแต่จะได้ไม่คุ้มเสีย ยิ่งขอบเขตต่ำ การดูดดึงปราณวิญญาณก็ยิ่งช้า และปราณวิญญาณของเงินเทพเซียนก็บริสุทธิ์อย่างถึงที่สุด สลายหายไปไวมาก นี่ก็เหมือนกับหลังจากที่ ‘เปิดภูเขา’ ให้กับยันต์ล้ำค่ามากมาย หากไม่สามารถ ปิดภูเขาได้ ก็ได้แต่ต้องมองดูยันต์ล้ำค่าที่มีมูลค่าควรเมืองชิ้นหนึ่งกลายไปเป็นกระดาษที่ไร้ค่าแผ่นหนึ่งเท่านั้น ต่อให้หลังจากที่เงินเทพเซียนถูกบีบให้แตกเพื่อ หล่อหลอมจะสามารถกักไว้บนชุดคลุมอาคมได้ชั่วคราว แต่นี่ก็จะเป็นการขัดต่อเวท อำพรางตาที่ร่ายไว้บนชุดคลุมอาคมอย่างที่มองไม่เห็น กลับกลายเป็นว่ายิ่งเป็นการ โอ้อวดตัวเองให้ผู้อื่นเห็น

ผู้ฝึกตนทุกคน แท้จริงแล้วก็คือเทพเทวาในฟ้าดินขนาดเล็กของร่างกายตัวเอง อาศัยความสามารถของตัวเองมาเป็นอริยะในบ้านตัวเอง

กุญแจสำคัญคือยังต้องดูว่าอาณาบริเวณของฟ้าดินแห่งนั้นเล็กหรือใหญ่ รวมไปถึงระดับความสามารถในการควบคุมของ ‘เทพเทวา’ แต่ละท่าน บนเส้นทางการฝึกตน อันที่จริงก็ไม่ต่างจากการบุกเบิกแผ่นดินของกองทัพม้าเหล็กบนสนามรบกองหนึ่ง

ถึงท้ายที่สุดขอบเขตสูงต่ำ มรรคกถามากน้อย ก็ต้องดูที่ว่าสามารถบุกเบิกจวนขึ้นมาได้กี่หลัง บ้านเรือนในโลกมนุษย์มีร้อยพันรูปแบบ อีกทั้งยังมีการแบ่งสูงต่ำ ถ้ำสถิตเองก็เป็นเช่นเดียวกัน ระดับขั้นที่ดีที่สุด แน่นอนว่าต้องเป็นถ้ำสวรรค์ พื้นที่มงคล

หลังจากเฉินผิงอันกลั้นหายใจทำสมาธิแล้วก็มาถึงนอกประตูจวนน้ำก่อนเป็นอันดับแรก แค่จิตของเขาขยับเล็กน้อยก็สามารถลอดทะลุผ่านกำแพงไปได้อย่างเป็นธรรมชาติ ราวกับว่าฟ้าดินแห่งนี้ไร้พันธนาการด้านกฎเกณฑ์กับเขา เพราะว่าข้าก็คือกฎเกณฑ์ กฎเกณฑ์ก็คือข้า

แต่เฉินผิงอันก็ยังปักหลักยืนอยู่นอกประตูครู่หนึ่ง และเพียงไม่นานเด็กน้อย ชุดเขียวสองคนก็มาเปิดประตูใหญ่ ประสานมือคารวะนายท่านผู้นี้ ใบหน้าของเหล่าเด็กน้อยเต็มไปด้วยความปิติยินดี

ทุกวันนี้จวนน้ำแห่งนี้มีตราประทับอักษรน้ำชิ้นนั้นและภาพวาดฝาผนังโชคชะตาน้ำภาพนั้นแขวนอยู่ ถือเป็นรากฐานหนึ่งใหญ่หนึ่งเล็ก เหล่าเด็กน้อยชุดเขียวที่ในที่สุด ก็มีงานให้ทำจึงอารมณ์ดีกันไม่น้อย พวกเขายุ่งกันมาก ไม่ต้องอยู่ว่างๆ เบื่อหน่าย ทุกวันอีกแล้ว ในอดีตทุกครั้งที่เห็นเมล็ดงาดวงจิตของเฉินผิงอันมาลาดตระเวนฟ้าดินขนาดเล็กและจวนขนาดเล็กอันเป็นบ้านตัวเอง พวกมันจะชอบนั่งเรียงแถวคุกเข่า อยู่บนพื้นอย่างพร้อมเพรียงกัน แต่ละคนเงยหน้ามองเฉินผิงอันด้วยสายตาตำหนิ โดยที่ไม่เอ่ยคำใด

พวกมันคือคนจิ๋วที่ขยันหมั่นเพียรอย่างมาก ไม่เคยแอบอู้ เพียงแต่ว่ามาเจอกับเจ้านายที่ไม่ตั้งใจฝึกตนอย่างเฉินผิงอัน ก็สมกับคำว่าสตรีมีฝีมือเพียงใด ไม่มีวัตถุดิบ ก็ทำอาหารอร่อยออกมาไม่ได้ แล้วแบบนี้จะไม่ให้พวกมันเสียใจได้อย่างไร?

ทว่าตอนนี้เหตุการณ์กลับพลิกตาลปัตรจากเดิมไปอย่างสิ้นเชิง ทุกหนทุกแห่งในจวนน้ำล้วนมีแต่ความคึกคัก เจ้าตัวน้อยแต่ละคนวิ่งตะบึงกันไม่หยุด ท่าทางลิงโลดเบิกบาน ทำงานไม่หยุดหย่อนโดยไร้คำบ่น มีความสุขอยู่กับการทำงานพวกนี้

นับตั้งแต่วักน้ำหนึ่งกอบมือมาจากใน ‘บ่อน้ำขนาดเล็ก’ แห่งหนึ่งที่แคบเหมือนปากบ่อน้ำ จนกระทั่งบุกไปโจมตีทะเลสาบชางอวิ๋น เฉินผิงอันได้รับผลประโยชน์มหาศาล นอกจากจะได้โชคชะตาน้ำที่แก่นของมันเข้มข้นอย่างถึงที่สุดมาหลายขุมแล้ว ยังได้โอสถวารีขวดหนึ่งมาจากมือของเจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋น เด็กจิ๋วชุดเขียวในจวนน้ำแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งร่ายใช้วิชาอภินิหารแห่งชะตาชีวิต นำโชคชะตาน้ำสีเขียวเข้มแต่ละกลุ่มส่งไปยังตราประทับอักษรน้ำที่หมุนช้าๆ ชิ้นนั้นอย่างต่อเนื่อง

ส่วนเด็กน้อยอีกกลุ่มหนึ่งก็จะถือพู่กันด้ามเล็กที่ไม่รู้ว่าเสกมาจากไหน แล้วทำการ ‘แต้มหมึก’ จากในบ่อน้ำ จากนั้นก็จะวิ่งไปยังภาพวาดฝาผนัง ตวัดพู่กันวาดลงบนภาพชะตาน้ำบนผนังที่เป็นเพียงภาพเค้าโครงขาวดำ แต่งเติมสีสันให้กับมัน บนผนังขนาดใหญ่ยักษ์มีเทพวารีตัวเล็กเท่าเมล็ดข้าวสารหลายองค์และศาลที่ขนาดค่อนข้างใหญ่หลายแห่งถูกวาดขึ้นมาแล้ว เฉินผิงอันมองออกว่าล้วนเป็นพวกศาลเทพวารี น้อยใหญ่ที่ตนเคยเดินทางท่องเที่ยวผ่านมา หนึ่งในนั้นก็คือจวนปี้โหยวของเจ้าแม่ เทพวารีลำคลองหมายเหอแห่งใบถงทวีป เพียงแต่ว่าตอนนี้น่าจะต้องเรียกอย่างให้ความเคารพว่าตำหนักปี้โหยวแล้ว

ทว่าองค์เทพวารีเหล่านั้นยังไม่ถูกแต้มนัยน์ตา ในศาลเทพวารีก็ยิ่งไม่มีภาพแห่งความมีชีวิตชีวาที่ควันธูปลอยโชยกรุ่น ยังคงไร้ชีวิตอยู่เหมือนเดิม ไม่ได้ดูมีชีวิตสมจริงเหมือนภาพวาดบนฝาผนังของลำคลองที่ไหลเชี่ยวกรากสายนั้น

เฉินผิงอันยืนอยู่ข้างบ่อน้ำขนาดเล็ก ก้มหน้าเพ่งสายตามองไป เจียวหลงโชคชะตาน้ำของทะเลสาบชางอวิ๋นที่ถูกพวกเด็กชุดเขียวแบกเข้ามาข้างในกำลัง แหวกว่ายช้าๆ อีกทั้งยังถูกพวกเด็กจิ๋วชุดเขียว ‘ซ้อม’ จนกลายเป็นโชคชะตาน้ำ

นอกจากนี้ก็ยังมีภาพเหตุการณ์ผิดปกติอีกหนึ่งอย่าง นั่นคือเม็ดโอสถขวดที่อินโหว เจ้าแห่งทะเลสาบชางอวิ๋นมอบให้ ไม่รู้ว่าพวกเด็กจิ๋วชุดเขียวทำอย่างไรถึงหล่อหลอมพวกมันจนมีลักษณะคล้ายไข่มุกขนาดเล็กมหัศจรรย์สีเขียวมรกตที่มีชื่อว่า ‘หลีจู’ ไม่ว่าเจียวหลงน้อยที่อยู่ในบ่อจะว่ายไปทางไหน ไข่มุกเม็ดนั้นก็จะลอยห้อยอยู่ ข้างปากมันตลอดเวลา ประหนึ่งมังกรคาบไข่มุกที่ท่องเที่ยวไปตามแม่น้ำทะเลสาบ ช่วยโปรยพิรุณ

เฉินผิงอันคิดว่าจะไปดูทางศาลภูเขาสักหน่อย พวกเด็กจิ๋วชุดเขียวหลายคน หันหน้ามายิ้มให้เขา ชูกำปั้นเล็กๆ ขึ้น คงจะบอกให้เขามานะตั้งใจมากกว่านี้กระมัง?

เฉินผิงอันรู้สึกจนใจเล็กน้อย วัตถุที่มีโชคชะตาน้ำ ยิ่งหล่อหลอมให้เหมือนหยกเขียวใสแวววาวเท่าไรก็ยิ่งเป็นรากฐานมหามรรคาของเทพวารีในโลกมากเท่านั้น ไหนเลยจะหาได้ง่ายปานนั้น ยิ่งไม่ใช่สิ่งที่ใช้เงินเทพเซียนซื้อหามาได้ ลองคิดตามดู มีคนยินดีจ่ายเงินฝนธัญพืชหนึ่งร้อยเหรียญซื้อหินรากฐานภูเขาของศาลภูเขาแห่งนั้น ต่อให้เฉินผิงอันจะรู้ว่าเป็นการค้าขายที่ได้กำไร แต่เขาจะยินดีขายจริงๆ หรือ? นั่นก็เป็นแค่การค้าขายบนกระดาษเท่านั้น แต่ไหนแต่ไรมาการฝึกตนบนมหามรรคา ก็ไม่ควรคิดคำนวณบัญชีกันเช่นนี้

เฉินผิงอันออกจากจวนน้ำ แล้วเดินทางไกลไป ‘เยี่ยมเยือนภูเขา’ เขายืนอยู่ตรงตีนเขาที่ลักษณะคล้ายพื้นที่มงคลแห่งหนึ่ง แหงนหน้ามองภูเขาที่มีเมฆห้าสีล้อม เวียนวนลูกนั้น ตัวภูเขาเหมือนไอหมอกที่เข้มข้น พื้นผิวภายนอกเป็นสีเทาเข้ม ยังคงให้ความรู้สึกเป็นดั่งมายาล่องลอยแก่คนมอง ภาพปรากฎการณ์ของตัวภูเขาด้อยเกินกว่าจะเทียบจวนน้ำที่ไปเยือนก่อนหน้านี้ได้ติด

โชคดีที่ตรงตีนเขามีทัศนียภาพที่ก้อนหินสีขาวส่องประกายแวววาว เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับภูเขาทั้งลูกที่ใหญ่โตโอฬารแล้ว พื้นที่เล็กๆ ที่มีประกายแสงสีขาวหิมะระยิบระยับนี้ยังคงมีน้อยจนน่าสงสาร แต่นี่กลับถือว่าเป็นผลเก็บเกี่ยวจากการฝึกตนอย่างยากลำบากตลอดทางหลังจากที่เฉินผิงอันออกมาจากท่าเรือของแคว้นลวี่อิงแล้ว

เฉินชิงตูผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่มีสายตาเฉียบคม เขาเอ่ยอย่างมั่นใจว่าหากเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของเฉินผิงอันไม่แตก ก็จะมีคุณสมบัติของเซียนดิน

เทพเซียนพสุธาในความหมายของคนบนโลก ผู้ฝึกตนโอสถทองใช่ ก่อกำเนิดก็ใช่ ล้วนเป็นเซียนดิน

แต่ในสายตาของผู้เฒ่าเซียนกระบี่ใหญ่แล้ว สองอย่างนี้อาจไม่มีอะไรแตกต่างกัน

ดังนั้นเฉินผิงอันจึงทั้งไม่หลงลำพองในตัวเอง แล้วก็ทั้งไม่จำเป็นต้องรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อย

เฉินผิงอันรู้ดีอยู่แก่ใจว่า เป็นจวนน้ำและศาลภูเขาเหมือนกัน หากเปลี่ยนมาเป็นของผู้มีพรสวรรค์ที่บนร่างแบกโชคชะตาของหนึ่งแคว้นไว้อย่างแท้จริงเช่นฉีจิ่งหลง ภาพปรากฎการณ์มีแต่จะยิ่งใหญ่มากกว่านี้

แต่ถึงอย่างไรผู้ฝึกตนบนโลกที่เป็นผู้มีพรสวรรค์ก็มีน้อย คนปกติมีมาก หากแม้แต่เรื่องนี้เฉินผิงอันยังไม่มีความมั่นใจในตัวเอง ถ้าอย่างนั้นบนเส้นทางของการฝึกวรยุทธ ความมั่นใจของเขาก็คงหดหายไปตั้งแต่ตอนอยู่กำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว ส่วนในด้านของการฝึกตนก็ยิ่งต้องถูกโจมตีจนสภาพจิตใจแหลกสลายไม่เหลือชิ้นดีครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ได้ดีไปกว่าการที่สะพานแห่งความเป็นอมตะขาดสะบั้นเลย ว่ากันด้วยเรื่องของฐานกระดูกของผู้ฝึกลมปราณ ยกตัวอย่างเช่นเฉินผิงอัน ที่มีคุณสมบัติของเซียนดิน นี่ก็คือ ‘ถ้วยข้าวเหล็ก’ ที่มีมาตั้งแต่กำเนิดใบหนึ่ง ทว่า ก็ยังต้องพูดถึงคุณสมบัติกันสักหน่อย ซึ่งคุณสมบัตินั้นยังแบ่งได้อีกนับพัน นับหมื่นอย่าง สามารถหาวิธีการฝึกตนที่เหมาะสมกับตัวเองที่สุดได้เจอ เดิมทีก็เป็นเรื่องที่ดีที่สุดแล้ว

แก่งแย่งแข่งขันกับผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นด้านพละกำลังหรือด้านเหตุผล ก็มักจะต้องมีจุด ที่ต้องพ่ายแพ้ให้คนอื่นอยู่เสมอ ยากที่จะสมบูรณ์แบบไปได้ชั่วชีวิต

แต่ประชันขันแข่งกับตัวเอง กลับมีผลประโยชน์ยาวไกล การสั่งสมทีละเล็กทีละน้อยล้วนสามารถกลายมาเป็นกำลังทรัพย์ของตัวเองได้

ทุกครั้งที่ทำความผิด ขอแค่รู้จักเปลี่ยนแปลงแก้ไข หันกลับไปมองเส้นทางที่เคยทำผิดพลาดในอดีตพวกนั้นอีกครั้ง ก็จะเหมือนกับท้องน้ำที่ธารน้ำไหลริกๆ หรือแม่น้ำที่กระแสน้ำไหลเชี่ยว ต่อให้จะยังลบออกไปจากเส้นทางในหัวใจม่ได้ แต่ท้องน้ำ กลับคงอยู่ยาวนาน ไม่ต้องหวาดกลัวว่าน้ำจะท่วมจนกลายเป็นอุทกภัย นี่ก็คือ การฝึกจิตใจ ผู้ฝึกตนที่เก็บออมกำลังเอาไว้ ต่อให้พบเจอกับอุปสรรคและหายนะ ที่ใหญ่แค่ไหน ขอแค่ตัวคนยังไม่ตาย จิตแห่งมรรคาก็ไม่มีทางล่มสลาย ใช้สภาพจิตใจมาสำรวจตน ต่อให้บนผิวกระจกจะมีรอยร้าว ทว่าคนถือกระจกที่มองคนซึ่งอยู่ในกระจกจะคิดว่าใบหน้าของตัวเองไม่สมบูรณ์แบบจริงๆ หรือ ไม่ถึงขนาดนั้น

เฉินผิงอันเคยกลัวว่าตัวเองจะกลายเป็นคนบนภูเขา ก็เหมือนกับที่กลัวว่า ตนกับกู้ช่านจะกลายเป็นคนที่เคยรังเกียจที่สุดในอดีต ยกตัวอย่างเช่นคนที่ปีนั้น เคยเกือบซ้อมหลิวเสี้ยนหยางตายในตรอกหนีผิง หรือชายเมาเหล้าที่เคยถีบเข้าที่ หน้าท้องของกู้ช่าน รวมไปถึงคนอย่างฝูหนันหัว วานรย้ายภูเขา หรือคนอย่าง หลิวจื้อเม่า เจียงซ่างเจินที่พบเจอในภายหลัง

เฉินผิงอันถึงขั้นกลัวว่าทฤษฎีเส้นสายของเจ้าอารามผู้เฒ่าของอารามกวานเต๋า ที่ตัวเองนำมาใช้ชั่งน้ำหนักเรื่องราวทางโลกและจิตใจคนครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายแล้ววันใดวันหนึ่งมันจะกลบทับทฤษฎีลำดับขั้นตอนของอาจารย์ผู้เฒ่าเหวินเซิ่งไปโดยที่เขาไม่รู้ตัว

ในความเป็นจริงแล้ว เมื่อเท้าเหยียบยืนลงบนพื้นได้อย่างมั่นคงแล้วเดินไปทีละก้าว หลักการเหตุผลบนโลกใบนี้ ไม่ว่าจะเป็นของสามลัทธิหรือร้อยสำนัก อันที่จริง ล้วนไม่เคยน่ากลัว ที่น่ากลัวก็คือตัวเองไม่เข้าใจ แต่กลับคิดว่าตัวเอง ‘รู้แล้ว’

เมื่อลืมตาขึ้นจริงๆ จึงมองเห็นแสงสว่าง

ประโยคนี้เป็นประโยคที่เฉินผิงอันคิดได้ตอนที่หลับตานอนอยู่บนยอดเขา แล้วลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง ไม่เพียงแต่คิดประโยคนี้ได้เท่านั้น เฉินผิงอันยังแกะสลัก มันลงบนแผ่นไม้ไผ่อย่างจริงจังด้วย

บนแผ่นไม้ไผ่เฉินผิงอันแกะสลักบทกลอนและบทกวีจนแทบจะใกล้เคียงกับคำว่ายิบย่อย แต่ประโยคที่ตัวเองบรรลุมาได้ด้วยตัวเอง อีกทั้งยังสลักลงบนแผ่นไม้ไผ่ อย่างจริงจังนั้นกลับมีน้อยจนนับนิ้วได้

เฉินผิงอันออกมาจาก ‘ศาลภูเขา’ ห้าสีลูกนั้น แล้วไปที่ด่านแห่งหนึ่ง

ปราณกระบี่พุ่งทะยานดุจสายรุ้ง ประหนึ่งม้าเหล็กบุกเยือนหน้าด่าน ดุจดั่งกระแสน้ำขึ้นที่พลังอำนาจเชี่ยวกรากน่าเกรงขาม แต่กลับไม่อาจบุกโจมตีนครที่แข็งแกร่งมิอาจทำลายแห่งนั้นให้แตกออกได้เสียที

นี่ก็คือด่านสุดท้ายของปราณกระบี่สิบแปดหยุด

เฉินผิงอันยืนอยู่บนยอดเขาด้านข้างจุดที่ม้าเหล็กคุมเชิงอยู่กับหน้าด่าน เขานั่งขัดสมาธิ ยกมือเท้าคาง ครุ่นคิดอยู่นาน

แล้วก็เดินไปยัง ‘เนินกระบี่’ สองเนินซึ่งเป็นสถานที่หล่อหลอมของชูอีกับสืออู่

กระบี่บินสองเล่มที่เมื่อปรากฏตัวแก่สายตาคนบนโลกล้วนมีขนาดเล็กจิ๋วกะทัดรัด ทว่าเมื่ออยู่ในช่องโพรงลมปราณสองแห่งของเฉินผิงอัน ตัวกระบี่กลับใหญ่ราวขุนเขา ลอยนิ่งห้อยหัวอยู่บนเนินเขาขนาดมหึมาแต่กลับราบเรียบสองลูกนี้ ปลายกระบี่ค้ำยันอยู่บนแท่นหินราบเรียบซึ่งเป็นภาพจำแลงของแท่นสังหารมังกร สะเก็ดไฟ แตกกระเด็นไปสี่ทิศ ตลอดทั้งช่องโพรงลมปราณล้วนเกิดภาพปรากฎการณ์อันยิ่งใหญ่ที่สะเก็ดไฟพร่างพราวดุจสายฝน ต่อให้เฉินผิงอันเคยเห็นภาพเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อนนานแล้ว แต่ทุกครั้งที่ได้เห็น จิตวิญญาณก็ยังแกว่งไกวได้ทุกครั้ง

พอจะจินตนาการได้เลยว่า หากกระบี่บินทั้งสองเล่มออกไปจากฟ้าดินขนาดเล็กอย่างช่องโพรงลมปราณนี้ กลับคืนสู่ใต้หล้าศาลอีกครั้ง หากยังมีภาพปรากฎการณ์เช่นนี้อยู่ ยามที่ต่อกรกับศัตรูของตนจะให้ความรู้สึกเช่นไร?

จิตวิญญาณของเฉินผิงอันออกมาจากจุดลับกระบี่ เขาเก็บความคิด แล้วถอยออกมาจากฟ้าดินขนาดเล็ก

อันที่จริงยังมีสถานที่แห่งการฝึกตนที่คล้ายกับการสร้างกระท่อมอยู่ริมทะเลสาบหัวใจอีกแห่งหนึ่ง เพียงแต่ว่าจะไปดูหรือไม่ ก็ไม่มีความแตกต่าง

เพราะล้วนเป็นตัวของเขาเอง

ต่อให้ไม่ใช้จิตตรวจสอบภายใน เฉินผิงอันก็ล้วนรู้ชัดเจนดี

เมื่อลืมตาขึ้นมา เฉินผิงอันพ่นลมหายใจขุ่นมัวออกมาเบาๆ จากนั้นก็หลับตาต่ออีกครั้ง ใช้วิธีการนั่งสมาธิเข้าฌานมาหล่อหลอมปราณวิญญาณในจวนน้ำและ ศาลภูเขาช้าๆ

เพียงไม่นานฟ้าก็สาง เฉินผิงอันหยุดการหล่อหลอมลมปราณ หลังจากเดินนิ่ง ได้หนึ่งชั่วยามก็จ่ายเงินแล้วออกไปจากโรงเตี๊ยม

เมืองลู่จิ่วไม่มีโรงเตี๊ยมตระกูลเซียน และแคว้นฝูฉวีเองก็ไม่มีพรรคตระกูลเซียนขนาดใหญ่ แม้ว่าจะไม่ใช่แคว้นใต้อาณัติของราชวงศ์ต้าหยวน แต่จักรพรรดิ อัครเสนาบดี แม่ทัพแต่ละยุคแต่ละสมัยของแคว้นฝูฉวี ตลอดทั้งราชสำนัก ล้วนเลื่อมใสระบบสายบุ๋นของราชวงศ์ต้าหยวนอย่างมาก เลื่อมใสจนแทบจะใกล้เคียงกับคำว่าคลั่งใคล้ ไม่พูดถึงพละกำลังของแคว้น พูดถึงแค่ข้อนี้ อันที่จริงก็ค่อนข้างคล้ายวงการวรรณกรรมของต้าหลีในอดีตที่บัณฑิตแทบทุกคนล้วนพากันเบิกตากว้างจับจ้องบทความคุณธรรม บทกวีอันโดดเด่นของราชวงศ์สกุลหลูและสกุลสุย ต่อให้ คนข้างกายจะมีความรู้ดีแค่ไหน แต่หากไม่ได้รับการยอมรับจากวงการการประพันธ์สองแห่งนี้ก็ยังคงถูกมองว่าบทความหยาบกระด้าง วิชาการปกครองต่ำชั้นอยู่ดี

สกุลหลูเคยมีบัณฑิตอายุน้อยผู้บ้าคลั่งคนหนึ่งกล่าวไว้ว่า ต่อให้เขาใช้เท้าคีบพู่กันขึ้นมาเขียนบทความ ก็ยังเขียนได้ดีกว่าบทความที่คนเถื่อนต้าหลีเขียนขึ้นอย่างตั้งใจ

ภายหลังได้ยินมาว่าบัณฑิตผู้บ้าคลั่งที่แต่ละปีได้แต่เมามายทำอะไรไม่ประสบความสำเร็จของเมืองหลวงราชวงศ์สกุลหลูผู้นั้นได้เจอเข้ากับกีบเท้าม้าและดาบ ของกองทัพเหล็กภายใต้บังคับบัญชาของซ่งจ่างจิ้งแห่งต้าหลี ประสบการณ์ของเขาโดยละเอียด ไม่มีใครรู้ แต่สรุปก็คือสุดท้ายแล้วคนผู้นี้พลันเปลี่ยนตัวเองกลายมาเป็นหนึ่งในขุนนางบุ๋นที่เฝ้าพิทักษ์ด่านของต้าหลี ภายหลังได้ไปอยู่ในสำนักฮั่นหลินที่ เมืองหลวงต้าหลี รับผิดชอบเรียบเรียงตำราประวัติศาสตร์อดีตราชวงศ์ก่อนของ สกุลหลู เขียนประวัติขุนนางตงฉินและประวัติขุนนางกังฉินด้วยตัวเอง แล้วก็เขียนเรื่องของตัวเองไว้ในช่วงท้ายของประวัติขุนนางกังฉิน จากนั้นต่างก็พูดกันว่า เขาแขวนคอฆ่าตัวตายไปแล้ว

มีคนบอกว่าราชครูชุยฉานรังเกียจคนผู้นี้ หลังจากที่คนผู้นี้เขียนชีวประวัติไปได้สองบทจึงแอบวางยาพิษสังหารเขา จากนั้นก็แสร้งทำเป็นว่าเขาแขวนคอตาย มีคนบอกว่าบัณฑิตผู้คลุ้มคลั่งที่ชั่วชีวิตนี้ไม่อาจเป็นขุนนางของราชวงศ์สกุลหลูได้ พอได้กลายไปเป็นขุนนางประวัติศาสตร์ของคนเถื่อนต้าหลีแล้ว ทุกครั้งที่เขียนประวัติของขุนนางผู้ภักดีจะต้องวางสุราดีๆ กาหนึ่งไว้บนโต๊ะ แล้วก็จะจับพู่กันเขียนแค่ ตอนกลางคืนเท่านั้น เขียนไปดื่มเหล้าไปด้วย แล้วก็มักจะส่งเสียงร้องอย่างฮึกเหิมยามดึกดื่น ชีวประวัติของขุนนางกังฉินจะเขียนแค่ตอนกลางวันบอกว่าต้องการให้โจรชั่วพวกนี้ตากแดดที่แผดเผา จากนั้นคนผู้นี้จะกระอักเลือด ถ่มใส่ไว้ในถ้วยเปล่า สุดท้ายรวบรวมจนกลายเป็นเหล้าแห่งความเคียดแค้นหนึ่งไห ดังนั้นเขาจึงทั้งไม่ได้ แขวนคอตาย แล้วก็ไม่ได้ถูกยาพิษตาย แต่ตายไปเพราะความอัดอั้นคับแค้น

แคว้นเพื่อนบ้านของแคว้นฝูฉวีมีท่าเรือตระกูลเซียนอยู่แห่งหนึ่ง อีกทั้ง ยังมีเส้นทางการเดินเรือสายหนึ่งที่มุ่งตรงสู่ถ้ำสวรรค์เล็กวังมังกรด้วย เส้นทาง การเดินเรือสายนี้จะผ่านสถานที่ท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่อยู่เลียบลำน้ำสายใหญ่ อีกทั้งโดยมากแล้วจะจอดเรือเพื่อสะดวกให้ผู้โดยสารไปท่องเที่ยวตามขุนเขาสายน้ำ

สำรวจสถานที่ที่มีชื่อเสียงอันงดงาม เดิมทีนี่ก็คือเส้นทางการท่องเที่ยวสายหนึ่ง การซื้อขายแลกเปลี่ยนทรัพย์สินระหว่างตระกูลเซียนกลายเป็นเรื่องรอง หากไม่เป็นเพราะเกี่ยวข้องกับตำหนักนภากาศหน่วยฉงเสวียนและหยางหนิงซิ่ง ถ้ำสวรรค์ วังมังกรก็คือสถานที่ที่จำเป็นต้องไปเยือน เฉินผิงอันคงจะต้องไปเยือนถ้ำสวรรค์ที่มีชื่อเสียงซึ่งมีเงินทองไหลมาเทมาแห่งนี้ให้จงได้

ถ้ำสวรรค์วังมังกรมีผู้ครอบครองสามฝ่าย นอกจากตระกูลหยางของหน่วยฉงเสวียนราชวงศ์ต้าหยวนแล้ว ทะเลสาบกระบี่ฝูผิงของเซียนกระบี่หญิงลี่ไฉ่ก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน

ตามหลักแล้วทะเลสาบกระบี่ฝูผิงก็คือยันต์คุ้มกันกายที่สำคัญแผ่นหนึ่งที่ทำให้เขาเฉินผิงอันสามารถไปเยือนถ้ำสวรรค์วังมังกรได้ ซึ่งจะลดทอนเรื่องไม่คาดฝันให้เขาไปได้มาก

แต่ในเรื่องของน้ำใจและควันธูปนั้น หากประหยัดได้ก็ควรประหยัด ตามขนบธรรมเนียมของเมืองเล็กอันเป็นบ้านเกิด นี่ก็เหมือนอาหารที่กินคืนวันข้ามปีและวันแรกของเดือนที่หากเหลือไว้ได้ย่อมดีกว่า

น้ำใจระหว่างเพื่อนทั่วไปนั้นจำเป็นต้องมี ซึ่งเงื่อนไขก็คือเจ้าสามารถชดใช้คืนได้ทุกที่ทุกเวลา

เฉินผิงอันไม่คิดว่าตอนนี้ตนสามารถชดใช้น้ำใจคืนให้กับจู๋เฉวียนแห่งสำนักพีหมา หรือไม่ก็ลี่ไฉ่แห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิงที่จะให้การช่วยเหลือในภายหลังได้

ส่วนฉีจิ่งหลงนั้น คือข้อยกเว้น

จะเกรงใจเขาไปทำไม?

นี่ไม่เท่ากับดูแคลนสายตาในการคบเพื่อนของเจียวหลงบนบกท่านนี้หรอกหรือ

เฉินผิงอันออกจากเมืองลู่จิ่วอย่างราบรื่นไร้คลื่นมรสุม เขาสะพายเจี้ยนเซียน ในมือถือไม้เท้าเดินป่าไผ่เขียว ขึ้นเขาลงห้วย เดินเนิบช้ามุ่งหน้าไปยังแคว้นเพื่อนบ้านแห่งนั้น

สุดท้ายก็ไม่มีโอกาสได้เจอกับบัณฑิตที่บอกว่าตัวเองชื่อหลู่ตุนซึ่งอยู่ในเมืองแห่งนี้

ชีวิตคนเราก็มักจะเป็นเช่นนี้ ได้พบเจอ ได้แยกจาก แล้วก็ไม่ได้พบกันอีก

ไม่ได้ทำให้คนรู้สึกว่าต่อให้วัตถุคงเดิมแต่คนแปรเปลี่ยน ทว่าก็ยังทิ้งเรื่องราวไว้ ในหัวใจ

เฉินผิงอันเดินอยู่บนเส้นทางของการฝึกตน

ไม่ว่าใครก็เป็นเช่นนี้

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version