Skip to content

Sword of Coming 561

บทที่ 561 เสียงกลองยามเช้า เสียงระฆังยามเย็น ไร้ซึ่งควันไฟหุงหาอาหาร

บนภูเขาลั่วพั่ว เจ้าขุนเขาหนุ่มออกเดินทางไกล ผู้เฒ่าบนชั้นสองก็ออกเดินทางไกลเหมือนกัน บนเรือนไม้ไผ่จึงไม่มีใครพักอาศัยอยู่อีก

ช่วงนี้เฉินหลิงจวินไม่ออกไปเตร็ดเตร่ข้างนอกแล้ว แต่มักจะมานั่งอยู่ที่โต๊ะหิน ริมหน้าผาบ่อยๆ

เขารู้ว่าตัวเองคือคนที่ไม่เป็นที่ชื่นชอบที่สุดบนภูเขาลั่วพั่ว สู้งูเหลือมไฟน้อยชะตาบุ๋นที่มีชาติกำเนิดจากหอจือหลันสกุลเฉาที่ขยันคล่องแคล่วไม่ได้ ถึงขั้นไม่น่ารักเซ่อซ่าเหมือนเจ้าตัวน้อยโจวหมี่ลี่ เฉินยวนจีเป็นคนที่จูเหลี่ยนพาขึ้นเขามา คุณสมบัติไม่เลว ฝึกวิชาหมัดก็ถือว่าทนความลำบากได้ ชีวิตในแต่ละวันยุ่งอยู่กับการฝึกหมัด อีกทั้งยังแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ สือโหรวดูแลกิจการที่ร้านในเมืองเล็ก ได้เงินมาไม่มาก แต่ถึงอย่างไรก็ช่วยภูเขาลั่วพั่วหาเงินมาได้ อีกทั้งยังมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวกับ เผยเฉียน ขอแค่เผยเฉียนมีเวลาว่างก็จะต้องไปดูสือโหรวที่นั่น แม้ปากจะบอกว่ากลัวสือโหรวจะฮุบเงินเข้ากระเป๋าตัวเอง แต่แท้จริงแล้วก็แค่กลัวว่าสือโหรวจะรู้สึกว่าถูกภูเขาลั่วพั่วเมินเฉยเท่านั้น

มีเพียงเขาเฉินหลิงจวินที่ให้ตายก็ยังต้องรักษาหน้าตา จึงมีชีวิตลำบากเช่นนี้ ไม่ว่าทำอะไรพูดอะไรก็ล้วนไม่เป็นที่ชื่นชอบ

พี่น้องเทพวารีแม่น้ำอวี้เจียงคนนั้น หลังจากเข้าร่วมงานเลี้ยงเทพท่องราตรี สามครั้งก็ยิ่งเกรงใจมีมารยาทกับตนมากขึ้น แต่ความเกรงใจเช่นนี้กลับทำให้ เฉินหลิงจวินผิดหวังอย่างมาก ถ้อยคำประจบเอาใจบางอย่างพูดด้วย ความกระตือรือร้นจนเฉินหลิงจวินปรับตัวไม่ทัน

เขาชอบช่วงเวลาตอนอยู่ในจวนน้ำ ได้ดื่มเหล้าถ้วยใหญ่กินเนื้อชิ้นโต พูดจาหยาบคาย ด่าพ่อด่าแม่กันและกันมากกว่า

แต่เฉินหลิงจวินก็ไม่ใช่คนโง่ เรื่องราวหลายอย่างเขาล้วนมองเห็น

ยกตัวอย่างเช่นการจากไปยังพื้นที่มงคลรากบัวของผู้อาวุโสชุยครั้งนี้ อีกฝ่ายจะต้องไม่มีทางได้กลับมาอีกแน่นอน

ทว่าแม้แต่คำลาสักคำ เขาเฉินหลิงจวินกลับพูดไม่ออก ตอนที่อาจารย์ผู้เฒ่าชุดเขียวพาเผยเฉียนจากไป เขาได้แต่มานั่งเหม่ออยู่ตรงนี้ แสร้งทำเป็นว่าตัวเองไม่รู้อะไร สักอย่าง

ปกติช่วงเช้าตรู่จะต้องเป็นเวลาที่เผยเฉียนขึ้นชั้นสองไปกินหมัด

ทว่าตอนนี้เรือนไม้ไผ่กลับเงียบสงัด

เฉินหลิงจวินฟุบตัวลงบนโต๊ะ ตรงหน้ามีเมล็ดแตงที่ไปแย่งมาจากเฉินหรูชู วันนี้แสงอาทิตย์อบอุ่น สาดส่องลงมาจนเขาไร้เรี่ยวแรง แม้แต่แรงจะแทะเมล็ดแตง ก็ยังไม่มี

กำลังคิดว่าควรจะไปที่ประตูภูเขาหาเรื่องคุยเล่นกับพี่น้องต้าเฟิงดีหรือไม่ พี่น้องต้าเฟิงยังพอจะมีคุณธรรมในยุทธภพอยู่บ้าง เพียงแค่ชอบพูดจาหยาบโลน เข้าใจยาก หลังคุยเสร็จต้องขบคิดอยู่นานกว่าจะเข้าใจความหมาย

เฉินหลิงจวินหันหน้าไปมองทางแถบที่ตั้งของเรือนทั้งหลาย พ่อครัวเฒ่าไม่อยู่บนภูเขา เผยเฉียนก็ไม่อยู่ เฉินยวนจีทำอาหารไม่เป็น แล้วก็กลัวความยุ่งยาก จึงให้นังหนู เฉินหรูชูช่วยเตรียมอาหารและของกินเล่นมาไว้ให้ โจวหมี่ลี่ก็เป็นภูตน้ำน้อยที่อันที่จริงไม่ต้องกินข้าวก็ได้ ดังนั้นบนภูเขาจึงไม่ควันไฟจากการหุงหาอาหาร ดอกท้อดอกหลีเรียงรายซ้อนเป็นชั้นบนภูเขา ควันไฟระหว่างก้อนเมฆคือบ้านคน

เฉินหลิงจวินรู้สึกว่าภูเขาลั่วพั่วในเวลานี้มีคนน้อยลงแล้ว ต่างคนต่างยุ่งวุ่นวายกับหน้าที่ของตัวเอง กลิ่นอายของมนุษย์จึงเจือจางลงไปเยอะมาก

เฉินหลิงจวินย้ายสายตามองไปทางชั้นสองของเรือนไม้ไผ่ เขารู้สึกเสียใจเล็กน้อย

ตอนที่ตาเฒ่าอยู่ เขามักจะรู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัวกระวนกระวายใจ เฉินหลิงจวินรู้สึกว่าชีวิตนี้ตนไม่อาจรับหมัดสองหมัดของผู้เฒ่าได้ แต่พออีกฝ่ายไม่อยู่ ในใจกลับ วูบโหวง

เฉินหลิงจวินถอนหายใจหนักๆ ยื่นมือไปคีบเมล็ดแตงขึ้นมาเมล็ดหนึ่ง คิดว่าจะ ไม่แกะเปลือก แต่จะเคี้ยวไปเลย หาเรื่องทำแก้เบื่อเสียหน่อย

แต่จากนั้นเฉินหลิงจวินก็ต้องชะงักตัวแข็งทื่อ วางเมล็ดแตงกลับลงไปเบาๆ ขยับก้นเล็กน้อย ค่อยๆ เบี่ยงศีรษะออก คิดว่าจะหันหน้าออกไปนอกหน้าผาให้ดู เป็นธรรมชาติเสียหน่อย

คิดไม่ถึงว่าผู้เฒ่าลัทธิขงจื๊อที่สวมชุดสีเขียวซึ่งปรากฏตัวจากความว่างเปล่าคนนั้นจะคลี่ยิ้มให้เขา

เฉินหลิงจวินกลืนน้ำลาย ลุกขึ้นยืนประสานมือคารวะ “เฉินหลิงจวินคารวะ ใต้เท้าราชครู”

ซิ่วหู่แห่งต้าหลี ชุยฉาน

คือบุคคลร้ายกาจที่สามารถบดขยี้เขาให้ตายได้ด้วยนิ้วเดียว

เฉินผิงอันไม่อยู่บนภูเขาลั่วพั่ว ตาเฒ่าก็ไม่อยู่บนเรือนไม้ไผ่ จูเหลี่ยนกับเว่ยป้อ ก็ไปเยือนอาณาเขตของขุนเขากลางด้วยกัน ตอนนี้เขาเฉินหลิงจวินไม่มีที่พึ่งเลย!

ชุยฉานยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ไปทำธุระของเจ้าเถอะ”

เฉินหลิงจวินชำเลืองตามองทางหินเขียวเส้นเล็กที่ทอดยาวจากเรือนไม้ไผ่ไปยังเรือนพักก็รู้สึกว่าน่าจะหมดหวัง จึงเอ่ยลาหนึ่งคำแล้วไต่ปีนลงไปจากหน้าผาเสียเลย เส้นทางนี้อยู่ห่างจากราชครูผู้นั้นมาไกลหน่อย ค่อนข้างจะปลอดภัยกว่า

ชุยฉานนึกถึงสีหน้าที่งูน้อยชุดเขียวตัวนี้หันมองไปทางเรือนไม้ไผ่ก่อนหน้านั้นก็คลี่ยิ้ม

แล้วจึงเกิดแผนการเล็กน้อยๆ ขึ้นมาในใจ เป็นการกระทำง่ายๆ ที่ถือโอกาสทำไปด้วยกันได้ ไม่ต้องระดมกำลังให้ครึกโครม

ทางฝั่งภูเขาใหญ่แถบตะวันตกของเขตการปกครองหลงเฉวียน หนึ่งในนั้นมีภูเขาที่ใครบางคนยึดครองไว้ก่อนชั่วคราว ดูเหมือนจะเหมาะให้เป็นที่พักพิงของเผ่าพันธุ์เจียวหลง

ชุยฉานยืนอยู่บนระเบียงชั้นสอง รอคอยให้ใครบางคนมาถึงอย่างเงียบๆ

รุ้งยาวสีขาวเส้นหนึ่งพุ่งมาจากขอบฟ้าไกลพร้อมด้วยพลังอำนาจดุดันดุจเสียงสายฟ้าผ่าในฤดูใบไม้ผลิ พุ่งพรวดมาถึงอย่างรวดเร็ว

กฎเกณฑ์ที่หร่วนฉงตั้งไว้ ไม่สนใจทั้งนั้น

ชุยฉานส่ายหน้า ถอนหายใจอยู่ในใจ โชคดีที่ตนบอกกล่าวกับหร่วนฉงไว้ก่อนแล้ว

เด็กหนุ่มชุดขาวที่มีใฝแดงกลางหว่างคิ้วคนหนึ่ง ในมือถือไม้เท้าเดินป่าไผ่เขียวธรรมดาเดินทางมาถึงด้วยสีหน้าท่าทางเหนื่อยล้า

ชุยตงซานพลิ้วกายลงบนพื้นที่ว่างเปล่าของชั้นหนึ่ง ในดวงตาเต็มไปด้วย เส้นเลือดฝอย พูดอย่างขุ่นเคืองว่า “เจ้ามันตะพาบเฒ่า วันๆ มัวแต่กินขี้อยู่หรือไง ถึงได้ไม่รู้จักขัดขวางไม่ให้ท่านปู่ไปที่พื้นที่มงคลแห่งนั้น?!”

ชุยฉานย้อนถาม “ขวางไว้ได้แล้ว แล้วอย่างไร?”

ชุยตงซานโมโหจนหน้าเขียว “ขวางไว้ได้วันหนึ่งก็คือวันหนึ่ง จะรอให้ข้ามาถึงก่อนไม่ได้หรือไง?! จากนั้นเจ้าอยากจะไสหัวไปไหนก็ไปให้ไกลๆ เลย!”

ชุยฉานมีสีหน้าเฉยเมย

ชุยตงซานพลันสงบอารมณ์ลงได้ เขาสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง “ไม่ว่าจะด้านการอ่านตำราศึกษาหาความรู้ ฝึกวิชาหมัด หรือวางตัวอยู่ร่วมสังคมกับผู้อื่น ท่านปู่ล้วนรุดหน้าไปอย่างไม่กลัวอุปสรรคใดๆ มีเพียงครั้งเดียวที่ยอมถอยให้ ก็เพื่อ หลานระยำที่สมองมีรูอย่างพวกเราสองคน! การถอยครั้งนี้ก็เท่ากับจบเห่แล้ว ขอบเขตวรยุทธสิบเอ็ดไม่มีแล้ว! เมื่อไม่มีขอบเขตสิบเอ็ด คน ก็ต้องตาย!”

ชุยฉานกล่าว “ยังทำเพื่ออาจารย์ของเจ้า เพื่อภูเขาลั่วพั่วแห่งนี้ด้วย”

ชุยตงซานก้าวถอยหลังไปนั่งแปะลงข้างโต๊ะหิน มือสองข้างค้ำไม้เท้าเดินป่า ก้มหน้าลงกัดฟันกรอด

บางทีอาจเป็นเพราะทนนั่งอยู่ไม่ไหว ชุยตงซานจึงลุกขึ้นยืน เดินสาวเท้าก้าวเร็วๆ วนอยู่ที่เดิม

ชุยฉานมองเจ้าคนที่ร้อนใจจนจนหัวหมุนผู้นั้นแล้วเอ่ยเนิบช้า “แม้แต่ข้าเจ้าก็ยัง สู้ไม่ได้ ขนาดเรื่องที่ว่าท่านปู่ห่วงใยอะไร เหตุใดถึงต้องยอมเสียสละครั้งนี้ก็ยัง ไม่คิดไตร่ตรองให้ดี มาแล้วอย่างไร มีความหมายหรือ? บอกให้เจ้าไปพื้นที่มงคล รากบัว ต่อให้เจอตัวท่านปู่แล้วจะมีประโยชน์อะไร? บางทีอาจจะยังพอมีประโยชน์ อยู่บ้าง นั่นคือทำให้ท่านปู่จากไปอย่างสบายใจ”

ชุยตงซานหยุดเดิน สายตากร้าวกระด้าง “ชุยฉาน! เจ้าพูดจาระวังปากด้วย!”

ชุยฉานกล่าว “ชุยตงซาน เจ้าควรมีหัวคิด ควรเข้าใจอะไรได้บ้างแล้ว ไม่ใช่ว่า ได้เลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนอีกครั้งแล้วเจ้าชุยตงซานจะมีคุณสมบัติมากระโดดโลดเต้นต่อหน้าข้าได้”

ชุยตงซานนั่งลงเบาๆ กอดไม้เท้าเดินป่าสีเขียวไว้ในอ้อมอก ไม่หันไปมองทาง ชั้นสองอีก เขาพูดพึมพำกับตัวเองว่า “ศึกตรีจตุครั้งนั้น เหตุใดท่านปู่จะต้องเข้าร่วมด้วย? แล้วเหตุใดท่านปู่ถึงได้เสียสติ? ไม่ใช่พวกเราที่ทำร้ายเขาหรือ?

ท่านปู่เป็นบัณฑิต จึงหวังมาโดยตลอดว่าพวกเราจะเป็นบัณฑิตที่แท้จริงเหมือนกัน ความรู้ที่ท่านปู่เล่าเรียนมาตลอดชีวิต รากฐานความรู้ของเขาคือสายของหย่าเซิ่งเชียวนะ เหตุใดตอนอยู่ในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง ท่านปู่กลับต้อง ออกหมัดใส่สายเหวินเซิ่งของพวกเราอย่างเดือดดาล? แล้วเหตุใดพวกเราถึงต้องหลอกลวงอาจารย์ลบล้างบรรพชน ทำให้ท่านปู่ผิดหวังยิ่งกว่าเดิม?”

คราวนี้ชุยฉานยกฝ่ามือตบผลัวะลงบนระเบียงไม้ไผ่ ในที่สุดก็เดือดดาลขึ้นมา “ถามข้า?! ถามฟ้าดิน ถามความรู้สึกผิดชอบชั่วดีดูสิ!”

สีหน้าชุยตงซานเหม่อลอย มือทั้งสองกำไม้เท้าเดินป่าแน่น “ค่อนข้างเหนื่อย ถามไม่ไหวแล้ว”

ชุยตงซานนึกขึ้นได้ว่าตอนที่ยังเป็นเด็ก ตนถูกผู้เฒ่าคร่ำครึเข้มงวดคนนั้นพาขึ้นเขาสูงไปด้วยกัน ระยะทางนั้นช่างยาวไกล ทำให้เด็กน้อยรู้สึกทุกข์ทรมานจนพูด ไม่ออก

มีวันหนึ่งผู้เฒ่าเดินขึ้นบันไดไป ไม่สนใจสักนิดว่าเด็กน้อยด้านหลังมีเหงื่อท่วม เต็มตัว เอาแต่เดินขึ้นเขาสูงไปเพียงลำพัง

ดูเหมือนว่าผู้เฒ่าจะจงใจทำให้หลานชายตัวเองโมโห ไม่เพียงแต่เดินห่างไปไกล ไม่ยอมรอ ยังท่องบทกวีของนักประพันธ์ที่มีชื่อเสียงของแผ่นดินกลางออกมาเสียงดัง ประโยคที่บอกว่า ดูเหมือนเจ้าจะไม่มีความแข็งแรงกำยำของชายชาตรี ข้าก็คิดอยู่ว่าจะถือพู่กันใหญ่ดุจเสายาวได้อย่างไร!

เด็กน้อยจึงจดจำบทกวีบทนั้นไว้อย่างแม่นยำ ภายหลังคิดไม่ถึงว่าหลังจากที่ เด็กน้อยเติบโตกลายเป็นเด็กหนุ่มก็ได้ออกจากบ้านไปด้วยความโกรธเคือง อีกทั้ง ยังกราบไหว้เข้าเป็นลูกศิษย์ในสำนักของซิ่วไฉเฒ่า แล้วอยู่ดีๆ ซิ่วไฉเฒ่าก็กลายเป็น เหวินเซิ่ง อยู่ดีๆ คนหนุ่มจึงกลายเป็นลูกศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่ง

และในที่สุดก็ได้มีโอกาสได้พบกับอริยะปราชญ์ของลัทธิขงจื๊อที่มีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วทั้งทวีปแผ่นดินกลางคนนั้น เพียงแต่ว่าเมื่อถึงเวลานั้นแล้ว คนหนุ่มที่มีหน้ามีตาเปี่ยมไปด้วยชีวิตชีวายิ่งกว่าคนวัยเดียวกันทุกคน แท้จริงแล้วในใจกลับมีความคิด เพียงหนึ่งเดียว นั่นคือหากในอนาคตมีโอกาสได้ย้อนกลับไปยังบ้านเกิด จะต้องพูดเรื่องนี้ให้ท่านปู่ของตัวเองฟัง บอกว่าหากว่ากันด้วยเรื่องบทความแล้ว คนผู้นั้นที่ท่านเลื่อมใสกลับพ่ายแพ้ให้กับหลานชายของท่าน เรื่องของการเล่นหมากล้อม ก็ยิ่ง พ่ายแพ้จนต้องกระตุกหนวดถอนเครา

เพียงแต่ว่าคำพูดดีๆ มากมายในชีวิตที่เก็บสะสมไว้ในท้อง ตอนที่สามารถพูดได้ กลับไม่ยอมพูดมันออกมา ตอนที่อยากพูด กลับพูดไม่ได้อีกแล้ว

เขตการปกครองหลงเฉวียนที่ห่างไปไกลมีเสียงระฆังยามเช้าดังแว่วมา

เมื่อเสียงระฆังดัง ประตูเมืองก็จะเปิดออก ชาวบ้านนับหมื่นครัวเรือนตื่นขึ้นมาทำมาหากิน จนกระทั่งยามสนธยาที่เสียงกลองดังถึงจะหยุดพัก นั่นก็คือช่วงเวลาที่คนทั้งครอบครัวได้กลับมารวมตัวกันพร้อมหน้า อยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง

เขตการปกครองอวี๋ชุนที่อยู่ใกล้กับตีนเขาของขุนเขากลางแห่งใหม่ของต้าหลีคือเขตที่ไม่เล็กไม่ใหญ่ อยู่ในราชวงศ์จูอิ๋งก็ไม่ถือว่าเป็นพื้นที่เจริญรุ่งเรืองอะไร ไม่ว่า จะโชคชะตาบุ๋นหรือโชคชะตาบู๊ก็ล้วนธรรมดา ฮวงจุ้ยสามัญ ไม่สามารถได้พึ่งใบบุญของขุนเขาใหญ่อย่างภูเขาเช่อจื่อแห่งนั้น อู๋ยวนที่เป็นเจ้าเมืองคนใหม่คือคนต่างถิ่น คนหนึ่ง ว่ากันว่าเดิมทีเคยเป็นเจ้าเมืองในพื้นที่แห่งหนึ่งของต้าหลีมาก่อน ถือว่า ถูกย้ายมารับหน้าที่ในตำแหน่งเดิม เพียงแต่ว่าคนฉลาดในวงการขุนนางล้วนรู้กันว่าเจ้าเมืองอู๋ถูกลดระดับขั้นอย่างไม่ต้องสงสัย เมื่ออยู่ห่างจากสายตาของทางราชสำนัก ก็เท่ากับว่าสูญเสียโอกาสที่จะได้เลื่อนเข้าสู่ใจกลางของราชสำนักอย่างรวดเร็วไปแล้ว ขุนนางที่ถูกส่งตัวให้มาอยู่ในแคว้นใต้อาณัติ แต่กลับไม่ได้เลื่อนขั้นสูงขึ้น ชัดเจนว่าเป็นคนผิดหวังที่ต้องมานั่งเก้าอี้เย็นชืด คาดว่าสาเหตุคงเป็นเพราะไปล่วงเกินใครเข้า

เพียงแต่ว่าต่อให้อนาคตในวงการขุนนางของเจ้าเมืองอู๋จะมืดมนแค่ไหน แต่ถึงอย่างไรก็เป็นคนของต้าหลีมาตั้งแต่กำเนิด อีกทั้งอายุยังน้อย นี่จึงเป็นเหตุให้ผู้ว่า ในจังหวัดเหลียงโจวซึ่งเป็นผู้ดูแลเขตการปกครองอวี๋ชุนแอบสั่งความขุนนางในเขต อวี๋ชุนทุกคนว่าจำเป็นต้องปฏิบัติต่ออู๋ยวนอย่างมีมารยาท หากการกระทำของขุนนางใหม่ที่อาจจะอยากโอ้อวดความสามารถคนนี้ไม่สอดคล้องกับธรรมเนียมท้องถิ่น ก็ต้องอดทนข่มกลั้นเอาไว้ โชคดีที่หลังจากอู๋ยวนเข้ารับตำแหน่งแล้วก็แทบไม่มี ความเคลื่อนไหวใดๆ แค่มาเรียกชื่อขุนนางที่ให้เข้าทำงานตามเวลาเท่านั้น งานการน้อยใหญ่ล้วนมอบให้คนในที่ว่าการที่เคยทำเป็นผู้จัดการ หลายครั้งที่มีโอกาสเผยโฉมปรากฏตัวก็ล้วนมอบโอกาสให้ขุนนางผู้ช่วยที่มีความอาวุโสในที่ว่าการไป บรรยากาศตลอดทั้งบนและล่างนับว่ากลมเกลียวอยู่ไม่น้อย เพียงแต่ว่านิสัยที่อ่อนนุ่มปวกเปียกเช่นนี้ย่อมทำให้ผู้ใต้บังคับบัญชาเกิดใจดูแคลนอย่างเลี่ยงไม่ได้

วันนี้เจ้าเมืองหนุ่มมานั่งทำงานที่น่าเบื่ออยู่ในที่ว่าการเฉกเช่นทุกวัน บนโต๊ะแผ่อักขรานุกรมภูมิศาสตร์และแผนที่ของสถานที่ต่างๆ ไว้จนเต็ม เขาค่อยๆ อ่านมันไปช้าๆ บางครั้งก็ยกพู่กันขึ้นมาวาดบางอย่าง

จิตของอู๋ยวนรับสัมผัสได้จึงเงยหน้าขึ้นมอง แล้วก็ได้เห็นใบหน้าของคนคุ้นเคย ที่กำลังยืนเอนพิงกรอบประตูห้อง อู๋ยวนอารมณ์ดีโดยพลัน เขาคลี่ยิ้มลุกขึ้นยืน ประสานมือคารวะเอ่ยว่า “ซานจวินมาเยี่ยมเยือน โปรดอภัยที่ไม่ได้ออกไปต้อนรับ แต่ไกล”

ก็คือเว่ยป้อที่สลายเวทอำพรางตาออกไป

เว่ยป้อเดินข้ามธรณีประตูเข้ามา ยิ้มกล่าวว่า “ใต้เท้าอู๋ไม่ค่อยมีคุณธรรมเท่าไรเลยนะ งานเลี้ยงท่องราตรีครั้งก่อนหน้านี้แค่ส่งเทียบแสดงความยินดีไปให้แค่ เทียบเดียว”

อู๋ยวนยิ้มพูดอย่างตรงไปตรงมา “เงินเดือนน้อยนิด ใช้เลี้ยงชีพตัวเองก็สองในสิบส่วน ใช้ซื้อตำราก็หมดไปห้าหกในสิบส่วน เงินขาวที่เหลือในแต่ละเดือนต้องเก็บหอม รอมริบอย่างยากลำบาก ก็เพราะไปถูกใจแท่นฝนหมึกโบราณแท่นหนึ่งในเขต การปกครองอวิ๋นซิ่งที่อยู่ติดกันเข้า ต่อให้ตบหน้าให้บวมก็ยังเป็นคนอ้วนไม่ได้จริงๆ ก็เลยคิดว่าอยู่ห่างไกลกันขนาดนี้ ถึงอย่างไรใต้เท้าซานจวินก็คงไม่ถึงขั้นไล่ตามมาซักไซ้เอาโทษ ไหนเลยจะคิดว่าซานจวินจะเอาจริง ถึงขั้นตามมาถึงที่นี่แบบนี้”

เว่ยป้อบิดหมุนข้อมือ บนมือก็มีแท่นฝนหมึกหินปาเจียวเหล่าเคิงที่มีชื่อเสียงในอดีตราชวงศ์จูอิ๋งเพิ่มมาชิ้นหนึ่ง เขาวางมันลงบนโต๊ะเบาๆ “ใต้เท้าอู๋ไม่มีน้ำใจ แต่ข้าเว่ยป้อกลับไม่เหมือนกัน เดินทางไกลเป็นพันลี้มาหาสหายเก่าแล้วยังไม่ลืมอ้อมไป ซื้อของขวัญมาให้ด้วย”

อู๋ยวนโน้มตัวไปจ้องแท่นฝนหมึกโบราณเก่าแก่ที่น่ารักน่ามองชิ้นนั้น ยื่นมือไปลูบลวดลายของมันอย่างประณีต แล้วพูดอย่างตกตะลึงระคนยินดีว่า “เยี่ยมไปเลย นี่คือแท่นฝึกหมึกปาเจียวชั้นเยี่ยมใต้น้ำของหลุมเจียวมรกตแห่งนั้น ประเด็นสำคัญคือ แม่ทัพบู๊ต้าหลีของเราที่ตั้งค่ายเฝ้าพิทักษ์ที่นั่น ก่อนหน้านี้ได้ปิดผนึกหลุมเก่าแก่แห่งนี้ไปแล้ว แล้วยังส่งให้คนมีวรยุทธไปเฝ้าที่หลุมโดยเฉพาะอีกด้วย ชัดเจนว่าอีกไม่นานมันก็จะกลายเป็นของบรรณาการที่เอาไว้ให้ฮ่องเต้ของพวกเราใช้ เป็นเหตุให้ราคาของแท่นฝนหมึกโบราณที่ทำมาจากหินของหลุมแห่งนี้ซึ่งเดิมก็มีจำนวนอยู่ในตลาดไม่มากยิ่งสูงจนน่าตกใจเข้าไปอีก ข้าเป็นเจ้าเมืองร้อยปีก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะหาเงินมาซื้อ มันได้”

อู๋ยวนถอนสายตากลับอย่างอาลัยอาวรณ์ ก่อนจะมองเทพชุดขาวแล้วยิ้มถามว่า “ใต้เท้าซานจวิน มีอะไรก็พูดมาตามตรงเถอะ มีแท่นฝนหมึกปาเจียวที่มูลค่าควรเมืองชิ้นนี้ ข้าน้อยรับรองว่าจะพูดทุกเรื่องที่รู้ไม่มีหมกเม็ดไว้แน่นอน”

เว่ยป้อถาม “จิ้นชิงซานจวินแห่งขุนเขากลางเป็นคนอย่างไร?”

ขุนเขากลางแห่งใหม่ของต้าหลี จิ้นชิงซานจวินเคยเป็นองค์เทพขุนเขาอันดับหนึ่งของราชวงศ์จูอิ๋ง กึ่งกลางภูเขามีบ่อชำระกระบี่ที่สภาพแวดล้อมดีเยี่ยมอยู่แห่งหนึ่ง ผู้ฝึกกระบี่จำนวนมากมักจะมาหล่อหลอมขัดเกลาคมกระบี่กันที่นี่ และจิ้นชิงก็มัก จะแอบเป็นผู้ปกป้องมรรคาให้พวกเขาอยู่บ่อยๆ เป็นเหตุให้ไม่เพียงแต่มีความสัมพันธ์อันดีเยี่ยมกับราชวงศ์จูอิ๋งที่มีผู้ฝึกกระบี่มากที่สุดในทวีป ยังผูกบุญสัมพันธ์ควันธูปกับ ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองของทวีปอีกมากมาย หนึ่งในนั้นก็คือหลี่ถวนจิ่งแห่งสวนลมฟ้าที่สนิมสนมกับจิ้นชิงซานจวินเป็นอย่างยิ่ง ว่ากันว่าตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ในอดีตหลี่ถวนจิ่งเคยมาท่องเที่ยวราชวงศ์จูอิ๋งแล้วเกิดความขัดแย้งกับคนมากมาย หนึ่งในนั้นคือ องค์เทพแห่งขุนเขาเหนือที่เคยเกือบจะเปิดศึกอันตรายต่อกัน ด้วยเหตุนี้จิ้นชิงยังยอมแตกหักกับสหายร่วมงานอย่างซานจวินขุนเขาเหนือใต้สองท่าน เพราะยืนกราน จะคุ้มครองหลี่ถวนจิ่งที่ตอนนั้นมีตบะเป็นแค่ขอบเขตประตูมังกรส่งออกไปจากราชวงศ์จูอิ๋งอย่างปลอดภัย

อู๋ยวนหัวเราะร่า หมุนตัวไปดึงกระดาษปึกหนึ่งออกมาจากบนโต๊ะหนังสือ บนม้วนกระดาษเขียนด้วยอักษรบรรจงตัวเล็กเป็นระเบียบ เขายื่นมันส่งให้กับเว่ยป้อ “ล้วนเขียนอยู่ในนี้หมดแล้ว”

เว่ยป้อก้มหน้าลงอ่านเนื้อหาบนกระดาษแล้วจุ๊ปากพูด “ตลอดทางที่เดินมา พวกชาวบ้านในพื้นที่ล้วนพูดกันว่าเขตการปกครองอวี๋ชุนมีขุนนางพ่อแม่ที่ไม่ว่าใคร ก็ไม่เคยเห็นหน้าค่าตามาดำรงตำแหน่ง ที่แท้เจ้าเมืองอู๋ก็ไม่ได้อยู่ว่างๆ เลยนี่นา”

ข่าวลือปะปนกันวุ่นวายที่ได้ยินมามีความหมายไม่มาก อีกทั้งยังง่ายที่จะทำให้เกิดความเข้าใจผิด

สิ่งที่เขียนไว้บนกระดาษของอู๋ยวนกลับเป็นบันทึกเกี่ยวกับสิ่งที่ภูเขาเช่อจื่อ ขุนเขากลางและจิ้นชิงซานจวินทำมาในประวัติศาสตร์

เว่ยป้ออ่านบันทึกที่อยู่บนหน้ากระดาษอย่างละเอียด ล้วนเขียนไว้ว่าในยุคสมัยไหนราชวงศ์ใด จิ้นชิงเคยทำเรื่องอะไรมาบ้าง นอกจากนี้แล้วยังมีตัวอักษรสีแดงเขียนกำกับอธิบายความเข้าใจที่ตัวอู๋ยวนซึ่งเป็นคนนอกมีต่อบันทึกที่เหมือน ตำราประวัติศาสตร์ปึกนี้ เรื่องเล่าข่าวลือตามหมู่ชาวบ้านบางอย่าง อู๋ยวนก็เขียนไว้เหมือนกัน แต่จะต้องเขียนสองคำว่า ‘อภินิหารเทพเจ้าและภูตผีปีศาจ’ กับ ‘เรื่องแปลกมหัศจรรย์’ กำกับไว้ด้วย

เว่ยป้ออ่านอย่างละเอียด แต่กลับอ่านได้อย่างรวดเร็ว เพียงไม่นานก็อ่านกระดาษปึกใหญ่นั้นจบ พอคืนให้อู๋ยวนแล้วก็ยิ้มกล่าวว่า “ของขวัญที่นำมามอบให้นับว่า ไม่เสียเปล่า”

เว่ยป้อเขย่งปลายเท้าชำเลืองตามองกองกระดาษที่อยู่บนโต๊ะ “โอ้ บังเอิญจริง ช่วงนี้ใต้เท้าอู๋ก็ศึกษาประวัติความเป็นมาของการขุดเจาะหลุมหินจานฝนหมึกมากมายในเขตการปกครองอวิ๋นซิ่งด้วยหรือ? ทำไม จะจัดพิมพ์เป็นหนังสือหรือไร? เจ้าเมืองเขตการปกครองอวี๋ชุนแอบอาศัยผลผลิตพิเศษของเขตการปกครองอวิ๋นซิ่งมาหาเงินส่วนตัว ไม่ค่อยเข้าท่าเท่าไรกระมัง?”

อู๋ยวนกล่าวอย่างตรงไปตรงมา “ไม่มีเรื่องอะไรทำ ก็เลยอยากจะใช้เรื่องเล็กเรื่องนี้เป็นจุดเริ่มต้น จะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในวงการขุนนางของราชวงศ์จูอิ๋งได้มากหน่อย เอกสารลับคลังบุ๋นของพระราชวังแคว้นล่มสลายนี้ถูกปิดตายไปนานแล้ว ข้าน้อยไม่มีโอกาสจะไปเปิดอ่านดู จึงได้แต่เลือกใช้วิธีการอย่างอื่น”

เว่ยป้อพยักหน้ารับ เอ่ยชมเชยว่า “ใต้เท้าอู๋ไม่ได้เป็นผู้ว่าคนใหม่ของจังหวัดหลงโจวพวกเรา นับว่าน่าเสียดายอย่างยิ่ง”

อู๋ยวนยิ้มกล่าว “ทำดีควรได้รางวัล ทำผิดก็ควรรับโทษ เดิมทีก็ควรเป็นเช่นนี้ สามารถรักษาหมวกขุนนางเจ้าเมืองเอาไว้ได้ ข้าก็พอใจมากแล้ว แล้วยังไม่ต้องอยู่ให้ขวางหูขวางตาบุคคลใหญ่บางคน ไม่ขวางทางคนบางคนในราชสำนัก ก็ถือว่าได้รับโชคหลังเคราะห์ร้ายกระมัง ได้มาหลบอยู่ที่นี่ก็มีชีวิตที่สงบสุขดีเหมือนกัน”

เว่ยป้อไม่ได้มีท่าทีว่าจะหยุดอยู่นาน อู๋ยวนจึงกล่าวว่า “ซานจวินออกจากเขตการปกครองมาครั้งนี้คงจะมาเยี่ยมหาสวี่รั่วด้วยกระมัง? ทางที่ดีที่สุดควรไปที่ศาลของขุนเขากลางก่อน แล้วค่อยไปเยี่ยมเยือนสหายเก่าก็ยังไม่สาย”

เว่ยป้อพยักหน้า “ข้าก็วางแผนไว้อย่างนี้เหมือนกัน ก่อนหน้านี้ข้าปิดด่านอยู่ที่ภูเขาพีอวิ๋น ท่านสวี่ช่วยคุมหลังพิทักษ์ด่านให้ข้า ขณะที่ข้ากำลังจะฝ่าด่านสำเร็จ เขาก็จากมาเงียบๆ กลับมาถึงภูเขาเช่อจื่อของพวกเจ้า น้ำใจควันธูปที่ใหญ่เทียมฟ้าขนาดนี้ หากไม่ขอบคุณต่อหน้าย่อมไม่เหมาะ”

อู๋ยวนยิ้มเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนใต้เท้าซานจวินรีบไปซะเถอะ อย่าได้อยู่ ถ่วงเวลาการชื่นชมจานฝนหมึกโบราณของข้าน้อยเลย”

เว่ยป้อยิ้มจากไป เรือนกายหายวับไปในพริบตา

อันที่จริงตอนที่เว่ยป้อออกจากเรือข้ามฟากมาปรากฏตัวอยู่ที่เขตการปกครองอวิ๋นซิ่ง เทวรูปองค์ใหญ่มหึมาในศาลขุนเขากลางที่อยู่บนยอดเขาก็ได้ลืมตาสีทองคู่นั้นขึ้นมาแล้ว เพียงแต่ว่าจิ้นชิงซานจวินเลือกที่จะแสร้งทำเป็นมองไม่เห็นการมาเยี่ยมเยือนของเทพชุดขาวผู้นั้น

รอจนเว่ยป้อมาปรากฏตัวที่เขตการปกครองอวี๋ชุนที่อยู่ตรงตีนเขา จวิ้นชิงถึงได้ก้าวยาวๆ ออกมาจากเทวรูปร่างทอง เขาคือบุรุษร่างกำยำที่เรือนกายสูงใหญ่ สวมชุดสีม่วงรัดเข็มขัดหยก ควันธูปบนภูเขาโชติช่วง แต่กลับไม่มีใครเห็นภาพเหตุการณ์นี้

จวิ้นชิงเดินผ่านกลุ่มชายหญิงผู้มีจิตศรัทธาจำนวนมากในตำหนักใหญ่มา หลังจากเดินข้ามธรณีประตูออกมาแล้วก็มาถึงบนยอดเขาแห่งหนึ่งที่สูงเป็นรองจากยอดเขา เช่อจื่อ และเมื่อเปรียบเทียบกันแล้วก็เงียบสงบกว่ามาก

ขุนเขาน้อยใหญ่ในแต่ละแคว้นบนโลกแทบไม่มีทางมียอดเขาเดียวดายที่มีแค่ สองสามลูกเท่านั้น ส่วนใหญ่อาณาเขตมักจะกว้างขวาง เทือกเขาทอดยาวเป็นสาย อย่างภูเขาเช่อจื่อนี้ก็ประกอบไปด้วยยอดเขาถึงแปดลูก ยอดเขาหลักถูกขนานนามให้เป็นเจ้าแห่งหมื่นขุนเขาในอาณาเขตภาคกลางของราชวงศ์จูอิ๋ง บนยอดเขาสร้าง ศาลขุนเขากลางเอาไว้ ซึ่งจะใช้เป็นสถานที่เซ่นบวงสรวงสำหรับจักรพรรดิ ขุนนางและอาณาประชาราษฎรในแต่ละยุคสมัย

ยอดเขารองแห่งนี้มีชื่อว่ายอดเขาเตี๋ยจ้าง บนยอดเขาไม่มีสิ่งปลูกสร้างอย่าง วัดวาอาราม มีเพียงตำหนักเทพภูเขาที่จิ้นชิงเคยสร้างไว้ในอดีต ตอนนี้มีเพียงสาวใช้ไม่กี่คนเท่านั้นที่คอยทำความสะอาดเก็บกวาด ไม่ได้มีองค์เทพภูเขาองค์อื่นเฝ้าพิทักษ์

แรกเริ่มที่สิ่งปลูกสร้างแห่งนี้ถูกสร้างขึ้น จิ้นชิงยังไม่ใช่ซานจวินของขุนเขากลาง แต่ภูเขาเช่อจื่อกลับเป็นขุนเขากลางเก่าแก่ของราชวงศ์จูอิ๋งมาก่อนแล้ว หลังจากที่ ร่างทองของอดีตซานจวินแตกสลาย อำนาจในการปกครองหนึ่งขุนเขาก็ถูกส่งมอบมาที่มือของจิ้นชิง และตอนนั้นอัครเสนาบดีผู้มีชื่อเสียงของจูอิ๋งซึ่งกุมอำนาจของ หนึ่งแคว้นไว้ในมือก็เคยได้มาสร้างกระท่อมอยู่ตรงกึ่งกลางภูเขาเตี๋ยจ้างทางทิศเหนือ มาศึกษาตำราและฝึกวรยุทธอยู่นานหลายปี

จิ้นชิงมีสีหน้าเฉยเมย เขาหลุบตาลงต่ำมองขุนเขาสายน้ำที่อยู่เบื้องล่าง

เรื่องราวและผู้คนทั้งหมดล้วนผ่านเลยไปเหมือนหมอกควัน

จิ้นชิงเบี่ยงเส้นสายตามองไป ในถ้ำเหล่าจวินของยอดเขาเฟิงหลงแห่งนั้น สวี่รั่วจอมยุทธพเนจรสำนักโม่มาพำนักอยู่ที่นั่นเพียงลำพัง บอกว่าจะตั้งใจฝึก บำเพ็ญตน แต่แท้จริงแล้วสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาสายน้ำในอาณาเขตของยอดเขา เช่อจื่อล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจว่า สวี่รั่วมาจับตาดูขุนเขากลาง เมื่อเทียบกับการต่อสู้ฟ้าพลิกแผ่นดินคว่ำของภูเขาชี่ซานขุนเขาบูรพาแห่งใหม่ที่ผู้ฝึกตนของทั้งสองฝ่ายบาดเจ็บ ล้มตายกันไปนับไม่ถ้วนแล้ว ภูเขาเช่อจื่อก็ถือว่าเปื้อนเลือดน้อยมาก จิ้นชิงรู้แค่ว่า สวี่รั่วเคยออกไปจากอาณาเขตขุนเขากลางอยู่สองครั้ง

ครั้งล่าสุดนี้ไปที่ยอดเขาพีอวิ๋นเพื่อช่วยเฝ้าด่านให้แก่เว่ยป้อ แต่ครั้งแรกร่องรอยของเขากลับเลือนรางเกินกว่าจะรับรู้ได้ หลังจากนั้นมา เดิมทีจิ้นชิงนึกว่าเซียนกระบี่ ผู้เฒ่าท่านหนึ่งที่เป็นดั่งเสาค้ำทะเลต่งไห่ของราชวงศจูอิ๋งจะปรากฎตัว แต่กลับกลายเป็นว่าอีกฝ่ายไม่ได้ปรากฏตัวเลย จิ้นชิงจึงไม่แน่ใจว่าสาเหตุเป็นเพราะว่าสวี่รั่วไปหาเขาหรือไม่

หากเป็นสวี่รั่วที่ไปขัดขวางเซียนกระบี่ผู้เฒ่าท่านนั้นจริงๆ

ในฐานะซานจวินของหนึ่งขุนเขาแห่งแจกันสมบัติทวีป จิ้นชิงกลับรู้สึกดีขึ้นมา ได้เล็กน้อย

เกี่ยวกับว่าตบะของสวี่รั่วผู้นี้สูงหรือต่ำ ไม่ว่าใครก็มองไม่ออก แล้วก็ไม่มีคำบอกกล่าวที่แน่ชัด หากจะบอกว่าหร่วนฉงแห่งสำนักกระบี่หลงเฉวียนคือผู้ฝึกตนห้าขอบเขตบนที่มีชื่อเสียงที่สุดของแจกันสมบัติทวีปในทุกวันนี้ ถ้าอย่างนั้นสวี่รั่วก็คือ คนที่อำพรางตนได้อย่างลึกล้ำที่สุด เบาะแสเพียงอย่างเดียวที่มีก็คือเว่ยจิ้นแห่ง ศาลลมหิมะเคยไปท้ารบกับเทียนจวินเซี่ยสือ หลังจบเรื่องก็มีแค่ข่าวลือเล็กๆ น้อยๆ แพร่ออกมาว่า หากมีคนพาดกระบี่ขวางไว้ด้านหลัง เขาเว่ยจิ้นก็ไม่แน่เสมอไปว่า จะเอาชนะได้

ต่อให้สวี่รั่วจะฝึกตนอยู่ใต้เปลือกตาของจิ้นชิง ทว่าจิ้นชิงซานจวินกลับยังคงเหมือนในอดีต นั่นคือเหมือนคนธรรมดาที่มองหุบเหวลึก รู้สึกเพียงว่าลึกจนมอง ไม่เห็นก้นบึ้ง

จิ้นชิงชำเลืองตามองไปยังที่ว่าการเจ้าเมืองเขตการปกครองอวี๋ชุน แล้วรอยยิ้มเย็นชาก็ค่อยๆ ผุดขึ้นมา

หากไม่ผิดไปจากที่คาด ซานจวินแห่งขุนเขาเหนือผู้นี้ได้พบกับอู๋ยวนแล้วก็น่า จะไปขอบคุณสวี่รั่วที่อยู่บนยอดเขาเฟิงหลงก่อน

แล้วค่อยมาหาตน ความมั่นใจจะได้มากขึ้น

จิ้นชิงขมวดคิ้ว

นาทีถัดมา คนชุดขาวก็พลิ้วกายลงบนพื้น ปรากฏตัวอยู่บนยอดเขาเตี๋ยจ้างแห่งนี้ แล้วค่อยๆ เดินเข้าหาจิ้นชิง คนผู้นั้นยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “คารวะจิ้นซานจวิน มารบกวนท่านแล้ว”

จิ้นชิงเอ่ย “เป็นองค์เทพซานจวินเหมือนกัน ห้าขุนเขามีความแตกต่าง ไม่จำเป็นต้องเกรงใจกันเช่นนี้ มีธุระก็ว่ามาได้เลย หากไม่มีธุระก็โปรดอภัยที่ไม่รั้งตัวไว้”

เว่ยป้อพยักหน้ารับ “เป็นเช่นนี้ได้ย่อมดีที่สุด ข้ามาเยือนภูเขาเช่อจื่อในครั้งนี้ ก็เพราะอยากจะเตือนเจ้าจิ้นชิงสักคำ ว่าอย่าทำตัวเป็นซานจวินแห่งขุนเขากลาง อะไรอยู่ ขุนเขาเหนือของข้าไม่ค่อยชอบใจนัก”

จิ้นชิงไม่ได้หันไปมองเทพชุดขาวที่ท่วงท่าสง่างามผู้นั้น เพียงแค่ทอดสายตามองไปยังทิศไกล ถามว่า “ไม่ค่อยชอบใจแล้วอย่างไร?”

เว่ยป้อยื่นนิ้วมาเคาะต่างหูสีทองเบาๆ ยิ้มบางเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นขุนเขากลาง ก็ต้องปิดภูเขาแล้ว”

จิ้นชิงหันหน้ามา “มีพระราชโองการลับของฮ่องเต้ต้าหลี? หรือว่าบนร่างของเจ้ามีหนังสือคำสั่งของกรมพิธีการแห่งราชสำนัก?”

เว่ยป้อพยักหน้ารับ “แน่นอนว่า…”

จากนั้นก็ส่ายหน้าเอ่ยเสริมว่า “ไม่มีทั้งสองอย่าง”

จิ้นชิงผายมือออกมาข้างหนึ่งพลางยิ้มหยันเอ่ยว่า “ถ้าอย่างนั้นเว่ยซานจวิน ก็ทำตามอำเภอใจตัวเองสินะ?”

เว่ยป้อทำตามใจตัวเองจริงๆ นั่นแหละ

โชคชะตาของขุนเขาเหนือประดุจดั่งน้ำในมหาสมุทรที่ไหลทะลักเข้าสู่พื้นที่ใจกลางของทวีป พลังอำนาจนั้นดุดันน่าเกรงขาม จากใต้ไปเหนือ ราวกับกองทัพม้าเหล็ก ต้าหลีที่อยู่บนก้อนเมฆ

ดูจากท่าทางนั้นแล้วย่อมไม่ใช่แค่แสร้งข่มขู่ให้คนกลัวอย่างแน่นอน

จิ้นชิงรู้ดีว่าหากโชคชะตาสายน้ำภูเขาของขุนเขาทั้งสองลูกปะทะกันเมื่อไหร่ ก็คือปัญหาใหญ่เทียมฟ้า จึงอดไม่ไหวพูดเสียงดังอย่างเดือดดาลว่า “เว่ยป้อ! เจ้าจง ชั่งน้ำหนักผลลัพธ์ที่จะตามมาให้ดี!”

เว่ยป้อเอาสองมือไพล่หลัง ยิ้มร่าเอ่ยว่า “ควรจะเรียกอย่างเคารพว่าเว่ยซานจวิน ถึงจะถูก”

จิ้นชิงไม่มัวเสียเวลาพูดไร้สาระอยู่อีก เห็นเพียงว่าในศาลภูเขาของขุนเขากลาง ที่อยู่บนยอดเขาหลักเช่อจื่อปรากฎกายธรรมร่างทองของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ขนาดมหึมา องค์หนึ่งที่ชูแขนขึ้นสูง ม้วนหอบเอาทะเลเมฆมาคล้ายจะยกฝ่ามือตบเข้าที่ ยอดเขาเตี๋ยจ้าง

ด้านหลังของเว่ยป้อ ยอดเขาเตี๋ยจ้างก็มีกายธรรมร่างทองใหญ่โอฬารร่างหนึ่งปรากฏขึ้นเช่นกัน กายธรรมนั้นยืนทับซ้อนอยู่กับยอดเขา ต่อให้ไม่ได้อยู่ในอาณาเขตของขุนเขาบ้านตัวเอง แต่กายธรรมของเว่ยป้อกลับยังสูงกว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของ ขุนเขากลางถึงห้าสิบกว่าจั้ง

กายธรรมสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งขุนเขาเหนือที่เว่ยป้อใช้วิชาอภินิหารร่ายออกมา มือข้างหนึ่งกระชากแขนขององค์เทพขุนเขากลาง อีกมือหนึ่งกดศีรษะของฝ่ายหลัง จากนั้นก็ยกเท้าถีบออกไปหนักๆ ถึงกับทำให้ร่างทองของจิ้นชิงโซเซถอยไปหลายก้าวจนเกือบจะผงะหงายล้มทับยอดเขาเฟิงหลงของภูเขาเช่อจื่อ แต่ถึงกระนั้นเว่ยป้อ ก็ยังไม่ยอมเลิกรา

ด้านหลังกายธรรมใหญ่ยักษ์ของเว่ยป้อมีวงแสงสีทองปรากฎ จึงเอื้อมมือไปด้านหลัง คว้าจับห่วงทอง เตรียมจะขว้างกระแทกแสกหน้ากายธรรมของขุนเขากลาง

ทั้งสองฝ่ายยังนับว่าสยบกำลังเอาไว้มากแล้ว เพราะกายธรรมร่างทองล้วนเป็นภาพมายาทั้งคู่ ไม่อย่างนั้นสิ่งปลูกสร้างบนสามยอดเขาของภูเขาเช่อจื่อคงถูกทำลายไปนับไม่ถ้วนแล้ว

และเวลานี้เอง ตรงถ้ำเหล่าจวินของยอดเขาเฟิงหลงก็มีบุรุษที่รูปโฉมไม่โดดเด่นคนหนึ่งเดินออกมาจากกระท่อม เขาอยู่ในท่าทางประหลาดที่เอากระบี่วางพาด ขวางไว้ด้านหลัง เขาส่ายหน้าคล้ายจะระอาใจเล็กน้อย ยื่นมือไปกุมด้ามกระบี่ที่อยู่ด้านหลัง ชักกระบี่ออกมาเบาๆ สองสามชุ่น

พริบตานั้นระหว่างร่างทองขององค์เทพขุนเขาทั้งสองก็มีเทือกเขาสายหนึ่งทอดตัวกั้นขวาง

เขาเอ่ยเกลี้ยกล่อมว่า “หากซานจวินทั้งสองท่านเกลียดขี้หน้ากันจริงๆ ก็ควรจะเลือกวิธีประลองบุ๋นที่ค่อนข้างจะสุภาพมีอารยธรรมดีกว่ากระมัง ม้วนชายแขนเสื้อต่อยตีกันแบบนี้ออกจะทำลายภาพลักษณ์ของตัวเองไปหน่อย ซานจวินสองท่านของภูเขาชี่ซานและภูเขากานโจวคงขบขันกันแย่ ข้าสวี่รั่วเองก็จะตกเป็นที่ต้องสงสัยว่าคุ้มครองภูเขาได้ไม่ดีพอ”

จิ้นชิงสีหน้ามืดทะมึน สลายกายธรรมร่างทองออกไป

เว่ยป้อเองก็เก็บกายธรรมของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ใหญ่โตมโหฬารนั่นลงไป

จิ้นชิงถาม “เว่ยป้อ ข้าแนะนำเจ้าว่าควรหยุดเมื่อพอสมควร!”

เว่ยป้อกลับเอ่ยว่า “จิ้นชิง หากเจ้ายังทำอะไรตามความคิดเดิม ก็คงรักษา ความสงบสุขของขุนเขาสายน้ำในอดีตไว้ไม่ได้ ราชสำนักต้าหลีไม่ได้โง่ รู้ดีว่าเจ้าจิ้นชิงไม่เคยมีใจภักดีต่อพวกเขาอย่างแท้จริง หากเจ้ายังใคร่ครวญข้อนี้ไม่กระจ่าง ข้าก็จะถือโอกาสช่วยต้าหลีเปลี่ยนซานจวินคนใหม่ ถึงอย่างไรข้าก็เกลียดขี้หน้าเจ้าจริงๆ สวี่รั่วลงมือขัดขวางครั้งหนึ่งก็ถือว่ามีคุณธรรมต่อเจ้ามากแล้ว”

จิ้นชิงหันหน้าไปมองทางทิศเหนือ อาณาเขตที่ภูเขาสองลูกเชื่อมติดกันเริ่มมี ภาพปรากฎการณ์ประหลาดของลมฟ้าลมฝนแล้ว

จิ้นชิงกล่าวอย่างห่อเหี่ยว “เจ้าว่ามาสิ ขุนเขากลางควรทำอย่างไร เจ้าถึงจะยินดีเก็บลมน้ำของขุนเขาเหนือกลับคืนไป”

เว่ยป้อยิ้มกล่าว “ขนาดขุนเขาเหนือเจ้าก็ยังไม่ให้ความเคารพ แล้วจะมี ความจงรักภักดีต่อราชสำนักต้าหลีได้อย่างไร? เจ้าเห็นว่าคนในราชสำนักต้าหลีเป็นเด็กสามขวบกันหมดหรือไง? ยังต้องให้ข้าสอนเจ้าว่าควรทำอย่างไรอีกหรือ? พกของขวัญชิ้นใหญ่ไปก้มหัวยอมรับผิด ไปขอขมาที่ภูเขาพีอวิ๋นน่ะสิ!”

สวี่รั่วนวดคลึงขมับ เดินกลับเข้าไปในกระท่อม นับคนประเภทนี้เป็นสหาย ตนก็ช่างเลือกคนผิดจริงๆ

จิ้นชิงกล่าวอย่างกังขา “แค่นี้เองหรือ?”

เว่ยป้อย้อนถาม “ถ้าไม่อย่างนั้นจะทำอย่างไรล่ะ? อีกอย่างเจ้าเองก็ไปถึงอาณาเขตของขุนเขาเหนือแล้ว อยู่ห่างจากเมืองหลวงต้าหลีอีกแค่กี่ก้าวกัน? แค่ยกเท้าไม่กี่ที ก็ไปถึงแล้วไม่ใช่หรือ? ขอแค่พื้นที่ขุนเขากลางไม่เกิดความวุ่นวายเอง ราชสำนักต้าหลีก็ไม่ใช่คนบ้าสักหน่อย จะจงใจเปิดฉากสังหารใหญ่ที่นี่ทำไม? เจ้ารู้บ้างหรือไม่ว่าท่าทางคลุมเครือที่มองดูเหมือนทั้งภักดีทั้งมีคุณธรรมนี้ของเจ้าจะทำให้ชาวบ้านของแคว้นที่ล่มสลายมากมายรู้สึกว่ามีโอกาส หวังว่าการกระโจนเข้าสู่ความตายอย่าง กล้าหาญของพวกเขาจะไปทำให้เจ้าฟื้นคืนสติ

สุดท้ายก็ล่มหัวจมท้ายไปกับพวกเขาด้วย? หากเจ้าจิ้นชิงคิดแบบนี้จริงๆ ก็ถือว่าเป็นชายชาตรีคนหนึ่ง แต่หากไม่ยินดีจะทำเช่นนี้ ยินดีจะแบกรับคำด่าชื่อเสียงฉาวโฉ่ ก็เพราะหวังว่าจะสามารถคุ้มครองความสงบสุขปลอดภัยให้ชาวประชาได้ ถ้าอย่างนั้นเหตุใดเจ้าต้องทำตัวเสแสร้งแบบนี้ด้วย?”

จิ้นชิงเงียบงันไร้คำตอบโต้

เว่ยป้อจึงเอ่ยต่ออีกว่า “วันหน้าไปเยือนภูเขาพีอวิ๋นก็อย่าลืมพกของขวัญไปล่ะ ของขวัญชิ้นใหญ่จึงจะถือว่ามีความจริงใจเปี่ยมล้น”

หลังจากกล่าวจบเว่ยป้อก็ไปจากยอดเขาเตี๋ยจ้าง ไปเยือนกระท่อมที่อยู่นอกถ้ำเหล่าจวินของยอดเขาเฟิงหลง

สวี่รั่วยืนอยู่หน้าประตู สองแขนกอดอก เอนตัวพิงกรอบประตู พูดเสียงขุ่น “เว่ยซานจวินผู้ยิ่งใหญ่ตอบแทนข้าแบบนี้เองรึ? ไม่เพียงแต่มาเยือนมือเปล่า ยังก่อเรื่องแบบนี้ด้วย?”

เว่ยป้อกระทืบเท้าทอดถอนใจเอ่ยว่า “พระคุณยิ่งใหญ่ต้องจดจำให้ขึ้นใจ หาใช่แค่เอ่ยขอบคุณแต่ปากนี่นา!”

สวี่รั่วยื่นสองมือออกมาขยี้ข้างแก้มแรงๆ “เป็นซานจวิน แต่ทำตัวได้ถึงขั้นนี้ ก็ถือว่ามีเฉพาะในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภูเขาสายน้ำของใต้หล้าไพศาลจริงๆ”

สายตาเว่ยป้อฉายแววตำหนิ “นี่ก็ไม่ใช่เพราะม้าผอมขนยาว คนจนปณิธานสั้นหรือไร”

สวี่รั่วคลี่ยิ้ม ยื่นนิ้วมาชี้ง่ายๆ หนึ่งที “หายตัวไปเลย ให้ไว”

เว่ยป้อยิ้มบาง “รับทราบ!”

จากไปแล้ว

สวี่รั่วคิดแล้วก็ทะยานลมไปที่ยอดเขาเตี๋ยจ้าง จิ้นชิงซานจวินยืนอยู่ที่เดิม สีหน้าเคร่งเครียด

สวี่รั่วเองก็ไม่ได้เอ่ยอะไร

จิ้นชิงพลันเอ่ยว่า “แสงแดดแผดเผา หมื่นประชาชักภูเขา พันคนชักดึง ร้อยคนเคลื่อนย้าย ถือคบไฟโรยตัว ค้นหาหินล้ำค่า”

สวี่รั่วรู้ว่าซานจวินท่านนี้กำลังพูดอะไร ก็คือเรื่องการเจาะภูเขาดึงน้ำเพื่อค้นหาหินทำจานฝนหมึกที่มีชื่อเสียงในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์จูอิ๋ง

และตอนที่จิ้นชิงผู้นี้ยังมีชีวิตอยู่ก็มีชาติกำเนิดมาจากคนเก็บหินพอดี บ้างก็บอกว่าสุดท้ายเขาไม่ทันระวังจมน้ำตาย แล้วก็มีคนบอกว่าเขาถูกขุนนางที่คอยคุมการ เก็บหินเฆี่ยนจนตาย หลังจากตายไปแล้วแรงอาฆาตไม่สลายหายไปไหน แต่กลับไม่ได้กลายเป็นผีร้าย กลับกันคือกลายมาเป็นวิญญาณวีรบุรุษของพื้นที่แห่งหนึ่งที่คอยปกป้องขุนเขาสายน้ำ สุดท้ายนิสัยใจคอได้ไปถูกใจอดีตซานจวินของภูเขาเช่อจื่อเข้า จึงเดินทีละก้าวจนได้เลื่อนขั้นเป็นเทพภูเขาของยอดเขาเตี๋ยจ้าง

สวี่รั่วเอ่ยเนิบช้า “ใต้หล้านี้ไม่มีจักรพรรดิองค์ใดที่สองมือสะอาด หากใช้แค่คุณธรรมความเมตตาที่บริสุทธิ์ไปช่างน้ำหนักผลได้ผลเสียของจักรพรรดิท่านหนึ่ง ก็ย่อมไม่ได้ผลลัพธ์ที่ยุติธรรมและเหมาะสม เกี่ยวกับแผ่นดินและอาณาประชาราษฎร์ ความสงบสุขปลอดภัยของชาวบ้าน เมธีร้อยสำนักอย่างพวกเรา ต่างคนต่างก็มี ไม้บรรทัดอยู่เล่มหนึ่ง แน่นอนว่าต้องมีความแตกต่างน้อยใหญ่ที่ไม่เหมือนกัน เจ้าจิ้นชิงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ แต่จิตใจดีงามกลับไม่เคยสูญสิ้นไป ในสายตาของข้า เจ้าคู่ควรแก่การเคารพอย่างยิ่ง”

สวี่รั่วยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เพียงแต่ว่าเรื่องราวทางโลกซับซ้อน ย่อมต้องมีเรื่องที่ ขัดต่อความรู้สึกตัวเองอย่างเลี่ยงไม่ได้ ข้าจะไม่โน้มน้าวเจ้าว่าควรจะต้องทำอะไร รับปากเว่ยป้อก็ดี ปฏิเสธความหวังดีของเขาก็ช่าง เจ้าก็ยังถือว่าคู่ควรกับสถานะ ซานจวินของภูเขาเช่อจื่ออยู่ดี แต่หากยินดี ก็คงถึงเวลาที่ข้าควรจะออกไปจากสถานที่แห่งนี้ได้แล้ว แต่ถ้าเจ้าไม่อยากกล้ำกลืนความเป็นธรรมเพื่อรักษาหน้าของทุกฝ่าย ข้าก็ยินดีจะปล่อยกระบี่ที่สมบูรณ์แบบทำลายร่างทองของเจ้าให้แหลกละเอียด จะไม่ยอมให้คนอื่นมาหยามเกียรติเจ้าจิ้นชิงและภูเขาเช่อจื่ออีกเด็ดขาด”

จิ้นชิงหันหน้ามายิ้มกล่าว “กระบี่ที่ออกจากฝักอย่างสมบูรณ์ของเจ้าสวี่รั่ว มีพลังพิฆาตมากนักหรือ?”

สวี่รั่วพยักหน้ารับ “หล่อเลี้ยงกระบี่มานานหลายปี พลังพิฆาตสูงยิ่ง”

จิ้นชิงถึงกับหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นก็เปลี่ยนให้คนอื่นมารับกระบี่นี้แทนเถอะ ภูเขาเช่อจื่อของข้าแบกรับไม่ไหว”

สวี่รั่วลังเลเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยเตือนว่า “ไปเยี่ยมเยือนภูเขาพีอวิ๋น ของขวัญ ไม่ต้องชิ้นใหญ่มากก็ได้”

จิ้นชิงด่าขำๆ “ที่แท้ก็เป็นพวกตะเภาเดียวกัน!”

สวี่รั่วกุมหมัดยิ้มกล่าว “มารบกวนอยู่ที่นี่นานแล้ว หากไปถึงเมืองหลวงก็จำไว้ว่าไปทักทายกันสักหน่อย ข้าจะเลี้ยงเหล้าซานจวินเอง”

จิ้นชิงพยักหน้ารับ จากนั้นก็ถามว่า “แรกเริ่มสุดท่านสวี่ก็จงใจมาเยือนภูเขา เช่อจื่อของข้าอยู่แล้วงั้นหรือ?”

สวี่รั่วหยุดเดิน กล่าวอย่างเฉยเมยว่า “เจ้าและข้าอยู่ที่นี่ ถึงอย่างไรก็เพื่อให้มี คนตายน้อยลง แต่หากเจ้าอยากจะซักถามว่าเหตุใดสำนักโม่ของพวกเราถึงได้เลือก ต้าหลี ปล่อยให้คนในแจกันสมบัติทวีปต้องตายไปมากมายขนาดนี้ ตอนนี้ข้ายังไม่มีคำตอบให้เจ้า แต่ขอซานจวินโปรดรอฟังคำตอบให้ดี”

จิ้นชิงจึงไม่เอ่ยอะไรอีก

สวี่รั่วไม่ได้ย้อนกลับไปที่ยอดเขาเฟิงหลง แต่ไปจากภูเขาเช่อจื่อด้วยการทะยานลม มุ่งตรงไปยังเมืองหลวงต้าหลีที่อยู่ทิศเหนือทันที

เขาไม่ค่อยชอบขี่กระบี่

เพราะสวี่รั่วคิดมาโดยตลอดว่า กระบี่กับผู้ฝึกกระบี่ควรจะทัดเทียมกัน

เซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบของราชวงศ์จูอิ๋งที่ปิดด่านมานานหลายปีคนนั้นพยายามจะลอบสังหารเฉาผิงทูตผู้ตรวจตราคนใหม่ของต้าหลี ทว่ายังไม่ทันขยับตัว ก็ต้องตายแล้ว

อันที่จริงอีกฝ่ายไม่ต้องตายก็ได้ เพราะสวี่รั่วเพียงแค่ทำให้อีกฝ่ายบาดเจ็บสาหัสเท่านั้น

ทว่าต่อให้กำลังจะตายผู้เฒ่าแก่ชราที่ปิดด่านร้อยปีแต่ก็ยังไม่อาจฝ่าทะลุขอบเขตได้คนนั้นกลับไม่ยินดีตกเป็นนักโทษ ยิ่งไม่ยอมสวามิภักดิ์ต่อสกุลซ่งที่เป็นศัตรูคู่แค้น เป็นเหตุให้หลังจากกระบี่หักแล้วก็ไม่เหลือโอกาสชนะอีก ได้แต่ยืนรอความตายเท่านั้น แต่กระนั้นเขาก็ยังยิ้มกล่าวว่าแรกเริ่มที่วางแผนคิดทำเช่นนี้ก็รู้อยู่แล้วว่าตัวเอง ต้องตาย สามารถตายด้วยน้ำมือของสวี่รั่วมือกระบี่อันดับหนึ่งของสำนักโม่ก็ถือว่า ไม่ขาดทุนเกินไปนัก

สวี่รั่วจึงบอกความจริงแก่เขาเรื่องหนึ่งว่า

พื้นที่ของหนึ่งทวีป จักรพรรดิเสนาบดี อ๋องโหวขุนนาง นายพรานพ่อค้าหาบเร่ล่างภูเขา ล้วนต้องตายกันอย่างสิ้นซาก แสงสนธยาล่างภูเขาไม่มีควันไฟหุงหาอาหารอีก

หลังจากได้ยินประโยคนี้ ก่อนตายผู้เฒ่าจึงมีเพียงความกลัดกลุ้มทุกข์ใจ

……

เผยเฉียนนั่งอยู่บนม้านั่ง กวาดตามองไปรอบด้าน เรือนหลังเล็กยังคงเป็นเหมือนเดิมจนเผยเฉียนเกือบจะเกิดภาพลวงตานึกว่าตนเองกับเฉาฉิงหล่างยังคงเป็นอย่างในปีนั้น ตนก็แค่ถูกอาจารย์ขอให้ออกมาตักน้ำที่บ่อน้ำ จากนั้นพอตน ออกจากบ้านมาก็ได้มาเจอกับเฉาฉิงหล่าง เพียงแค่นี้เท่านั้น

กลอนคู่ที่แปะอยู่หน้าประตูบ้าน ก่อนหน้านี้ตอนที่รอเฉาฉิงหล่างอยู่ด้านนอก นางอ่านไปแล้วร้อยรอบ ตัวอักษรเขียนได้ดี แต่กลับไม่ได้ดีจนถึงขั้นทำให้นางรู้สึกละอายใจที่สู้ไม่ได้

เฉาฉิงหล่างมองเด็กหญิงตัวดำเกรียมผู้นี้ อันที่จริงเขามีคำถามมากมายอยากถามนาง เหตุใดไปอยู่ข้างนอกมานานหลายปีขนาดนั้น ตัวของนางถึงยังไม่สูงขึ้นสักที ตอนนี้หากพูดกันแค่ด้านส่วนสูงของทั้งสองฝ่าย คนทั้งสองก็ต่างกันถึงหนึ่งช่วงศีรษะ แล้วเหตุใดจู่ๆ เผยเฉียนถึงได้สะหายหีบไม้ไผ่ ห้อยดาบไม้ไผ่กระบี่ไม้ไผ่ ชีวิตที่ออกท่องทัศนาจรอยู่ด้านนอกของท่านเฉินยังสบายดีอยู่หรือไม่?

หลังจากที่เผยเฉียนปลดหีบไม้ไผ่วางไว้ด้านหลัง เอาไม้เท้าเดินป่าพาดขวางไว้บนหัวเข่า นางก็นั่งตัวตรงอย่างสำรวม สายตาจ้องมองไปเบื้องหน้า ไม่มองเฉาฉิงหล่าง แล้วก็เริ่มพูดเข้าประเด็นว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่า ปีนั้นแท้จริงแล้วอาจารย์ของข้าอยากพาเจ้าออกไปจากพื้นที่มงคลดอกบัวมากกว่า ไม่ยินดีจะพาข้าออกไปด้วยแม้แต่น้อย”

เฉาฉิงหล่างลังเลอยู่เล็กน้อย เขาไม่ได้รีบตอบคำถาม แต่ยิ้มบางๆ ย้อนถามนางว่า “ท่านเฉินรับเจ้าเป็นลูกศิษย์แล้วหรือ?”

ดวงตาของเผยเฉียนฉายประกายระยิบระยับดุจแสงตะวันจันทรา นางพยักหน้าพลางพูดเสียงหนักแน่น “ใช่! ข้ากับอาจารย์เดินทางผ่านพันภูเขาหมื่นแม่น้ำ มาด้วยกัน อาจารย์ก็ยังไม่เคยทอดทิ้งข้า!”

มือสองข้างของเฉาฉิงหล่างกำเป็นหมัดเบาๆ วางไว้บนหัวเข่า รอยยิ้มของเขาอ่อนโยน “แม้จะเสียดายมากที่ท่านเฉินไม่ได้พาข้าออกไปจากที่นี่ แต่ข้ารู้สึกว่า การที่เจ้าได้ติดตามท่านเฉินเดินทางไกลหมื่นลี้ เป็นเรื่องที่งดงามมากเรื่องหนึ่ง ข้าอิจฉาเจ้ามาก”

เผยเฉียนเงียบงันไม่ต่อคำ

เฉาฉิงหล่างหันหน้ามาถาม “ตอนนี้หากท่านเฉินใช้ให้เจ้าไปตักน้ำ เจ้าจะยังหิ้วถังน้ำพลางสาดน้ำล้างถนนเหมือนเดิมไหม?”

เผยเฉียนหันขวับกลับมา กำลังจะระเบิดโทสะ แต่กลับเห็นรอยยิ้มในดวงตาของเฉาฉิงหล่างเสียก่อน นางจึงรู้สึกว่าดูเหมือนตนจะมีวรยุทธเลิศล้ำไว้เสียเปล่า สองหมัดหนักร้อยจิน แต่กลับต้องเผชิญหน้ากับปุยนุ่นกลุ่มหนึ่ง ออกแรงแค่ไหนอีกฝ่าย ก็ไม่รู้สึกรู้สา จึงแค่นเสียงเย็นในลำคอหนึ่งที ยกสองแขนกอดอก “คนโง่อย่างเจ้า จะเข้าใจกับผายลมอะไร ตอนนี้ข้าได้เรียนรู้วิชาความสามารถจากอาจารย์มา นับพันนับหมื่นอย่าง ไม่เคยเกียจคร้านเลยสักนิด ทุกวันไม่เพียงแต่คัดตัวอักษร อ่านตำรา ยังฝึกวรยุทธฝึกวิชาหมัดด้วย อาจารย์จะอยู่หรือไม่อยู่ ข้าก็ยังทำเหมือนเดิม”

เฉาฉิงหล่างแสร้งทำเป็นกระจ่างแจ้ง “แบบนี้เองหรือ?”

เผยเฉียนรู้สึกอัดอั้นเล็กน้อย เหตุใดผ่านมานานหลายปีขนาดนี้แล้ว นางก็ยังไม่ชอบขี้หน้าเฉาฉิงหล่างผู้นี้อยู่อีกนะ อีกทั้งเมื่อเทียบกับเจ้าน้ำเต้าตันที่กลัวหงออย่างใน อดีตแล้ว ดูเหมือนว่าเฉาฉิงหล่างในเวลานี้จะใจกล้ามากกว่าเดิมเสียด้วย

ดวงตาเผยเฉียนพลันเป็นประกาย ถามว่า “ลวดลายหน้าผาดุจบุปผาเหล็กแกะสลัก ปราณเย็นผนึกคางคกจำศีล กลอนบทนี้ เคยได้ยินหรือไม่?”

เฉาฉิงหล่างส่ายหน้า

ตอนนี้เขาเป็นผู้ฝึกตนครึ่งตัวแล้ว ต่อให้จะอ่านผ่านตาอย่างรวดเร็วก็ไม่มีทางลืมอย่างเด็ดขาด อีกทั้งยังชอบอ่านตำรามาตั้งแต่เด็ก ยิ่งกาลเวลาผ่านพ้น แล้วจ้งชิว ผู้เป็นอาจารย์ยังยินดีเอาหนังสือมาให้ตนยืม ตอนที่ใต้หล้าแห่งนี้ยังไม่ถูกแบ่งแยก ท่านลู่ก็มักจะส่งตำราจากนอกพื้นที่มาให้เขาเป็นประจำ ไม่ใช่ว่าเฉาฉิงหล่างชมตัวเอง แต่เขาอ่านตำรามาแล้วไม่น้อยเลยจริงๆ

เผยเฉียนถามอีก “รู้หรือไม่ว่าอักษรเหมี่ยนที่แปลได้ว่าคางคกนั่นเขียนอย่างไร?”

เฉาฉิงหล่างยื่นนิ้วข้างหนึ่งออกมาเขียนอักษรหมิ่นกลางอากาศแล้วพูดจ้อว่า “บันทึกในตำราของลัทธิขงจื๊อ เดือนกลางฤดูใบไม้ร่วง (หรือเดือนแปดตามปฏิทินจันทรคติ) ไอเย็นโชติช่วง ไอร้อนลดทอน จึงเรียกว่าปราณเย็น ปราณสังหาร คำว่า วาเหมี่ยนในบทกลอนนี้ก็หมายถึงเสียงกบเสียงคางคก อริยะปราชญ์ในสมัยโบราณมีคำกล่าวว่า ‘ปรบมือตามเสียงกบ’ และข้าเองก็เคยได้ยินอาจารย์ท่านหนึ่งยิ้มกล่าวว่าถ้อยคำที่มาจากกวีนิพนธ์นั้นมีสีสันอัดงดงาม มักจะชอบกล่าวถึงความแข็งแกร่งของเมล็ดซูจื่อ ความอ่อนนุ่มของเมล็ดหลิ่ว ตอนนั้นอาจารย์ท่านนั้นใช้พัดตีฝ่ามือ พูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า ‘เสียงหัวเราะอันดังของข้า ดีกว่าเสียงกบคางคก เสียงนกแก้วเลียนแบบคนพูดที่ดังหนวกหูมากนัก’”

เผยเฉียนตีหน้าเคร่งอย่างไม่ให้ดูกระโตกกระตาก “ที่แท้เจ้าเองก็รู้เหมือนกันหรือ”

ใจความสำคัญของประโยคนี้อยู่ที่คำว่า ‘เหมือนกัน’

แน่นอนว่าเฉาฉิงหล่างไม่ได้จงใจโอ้อวดความรู้ที่หลากหลายของตัวเอง เขาก็แค่อยากรู้ว่าเผยเฉียนในตอนนี้เป็นคนอย่างไรกันแน่ เขาค่อนข้างจะสงสัยใคร่รู้ เพราะดูเหมือนว่าเผยเฉียนจะเปลี่ยนไปมาก แต่หลายๆ อย่างก็เหมือนจะไม่ได้เปลี่ยนไปเลย

เผยเฉียนพลันเอ่ยว่า “คราวก่อนที่พบกัน อันที่จริงข้าอยากจะฆ่าเจ้าให้ตาย เพราะข้ากลัวว่าเจ้าจะแย่งอาจารย์ของข้าไป อาจารย์เป็นห่วงและคิดถึงเจ้ามาโดยตลอด ไม่ใช่ความห่วงใยที่พร่ำพูดแต่ปากเท่านั้น นอกจากเวลาดื่มเหล้าที่อาจารย์ จะพูดความในใจบ้างแล้ว เวลาที่มากกว่านั้น อาจารย์จะทำเพียงแค่มองไปยังทิศไกลแล้วเหม่อลอยเป็นบางครั้ง สายตาของอาจารย์ในเวลานั้นเหมือนกำลังเอ่ยถ้อยคำบางอย่างเบาๆ เพราะฉะนั้นข้าจึงรู้ว่าอาจารย์คิดถึงเจ้ามาก หวังมาโดยตลอดว่าจะพาเจ้ามาอยู่ข้างกาย เจ้าจะได้ไม่ต้องอยู่ในพื้นที่มงคลดอกบัวอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย กลัวว่าเจ้าจะลำบาก”

เผยเฉียนลังเลเล็กน้อย ข้อนิ้วบนสองมือของนางที่จับไม้เท้าเดินป่าซีดขาว หลังมือมีเส้นเอ็นสีเขียวปูดโปน นางเอ่ยเนิบช้าว่า “ขอโทษนะ!”

เฉาฉิงหล่างพยักหน้ารับเบาๆ “ข้ายอมรับคำขอโทษจากเจ้า เพราะการที่เจ้า คิดอย่างนั้นเป็นเรื่องที่ผิดจริงๆ แต่เจ้ามีความคิดเช่นนั้น ทว่ากลับหยุดมือ หยุดความคิด สุดท้ายก็ไม่ได้ลงมือ ข้ารู้สึกว่าดีมากๆ เพราะฉะนั้นเจ้าไม่ต้องกังวลว่าข้าจะแย่งอาจารย์ของเจ้าไป ในเมื่อท่านเฉินยอมรับเจ้าเป็นลูกศิษย์ หากวันใดที่เจ้า ไม่เหลือความคิดเช่นนี้อยู่แล้ว ถึงเวลานั้นอย่าว่าแต่ข้าเฉาฉิงหล่างเลย คาดว่า ไม่ว่าใครในใต้หล้าใบนี้ก็ล้วนไม่อาจแย่งท่านเฉินไปจากเจ้าได้”

เผยเฉียนพูดเสียงดัง “คือลูกศิษย์ใหญ่เปิดขุนเขา ไม่ใช่ลูกศิษย์ธรรมดาทั่วไป!”

เฉาฉิงหล่างกล่าวอย่างระอาใจ “ก็ได้ๆๆ ร้ายกาจๆ”

เผยเฉียนเหล่ตามองเขา พูดเนิบช้าว่า “เจ้าน้ำเต้าตัน เจ้าไม่โกรธจริงๆ หรือ?”

เฉาฉิงหล่างงอข้อศอกสองข้างขึ้นกำมือเบาๆ ทำท่าทางโกรธเคืองมองมาทางเผยเฉียน ราวกับเทพทวารบาลบนประตูของเรือนเล็กที่ถลึงตามองโลกมนุษย์ “ข้าโกรธมาก!”

เผยเฉียนกระตุกมุมปาก “ปัญญาอ่อน”

เฉาฉิงหล่างถาม “ครั้งนี้เจ้ามาแคว้นหนันเยวี่ยนคนเดียวหรือ? ท่านเฉินไม่ได้มาด้วย?”

เผยเฉียนส่ายหน้า พูดอย่างอัดอั้น “มากับตาเฒ่าคนหนึ่งที่สอนวิชาหมัดให้กับข้า พวกเราเดินทางด้วยกันมาไกลมากกว่าจะมาถึงแคว้นหนันเยวี่ยนแห่งนี้”

เฉาฉิงหล่างถามอย่างประหลาดใจ “แล้วท่านผู้เฒ่าเล่า?”

เผยเฉียนหันหน้าไปมองทางวัดซินเซียงอย่างเหม่อลอย ไม่ได้พูดอะไร

ครู่หนึ่งต่อมา

เฉาฉิงหล่างกลับต้องตกใจเล็กน้อย

เพราะเห็นว่าเผยเฉียนที่ตัวสูงขึ้นมานิดหน่อย แล้วก็ไม่ได้ดำเกรียมเป็นถ่าน มากเท่าเดิมเผยอปากอ้า ร้องไห้ไม่มีเสียง แต่น้ำตากลับร่วงเผลาะๆ ลงมาไม่ขาดสาย

แล้วทันใดนั้นเผยเฉียนก็ผุดลุกขึ้นยืน เพราะลุกขึ้นอย่างฉุกละหุกเกินไป ไม้เท้าเดินป่าที่วางพาดเข่าจึงกระดอนลงพื้น แต่นางก็ไม่ได้สนใจ ต่อมาพื้นดินของเรือนหลังเล็กก็เกิดเสียงปังสะเทือนไหว ร่างของเผยเฉียนพุ่งหายไปไกลในชั่วพริบตา

เฉาฉิงหล่างเป็นห่วงนางจึงพลิ้วกายทะยานร่างขึ้นราวกับนกโบยบิน ชายแขนเสื้อกว้างใหญ่ของชุดเขียวโบกสะบัด ยืนมองแผ่นหลังผอมบางที่ห่างไปไกลอยู่บนหลังคา

เผยเฉียนมาหยุดอยู่นอกระเบียงของวัดซินเซียง มองผู้เฒ่าที่หลับตาคนนั้น แล้วพูดอย่างเดือดดาล “ตาเฒ่า ห้ามหลับนะ!”

เท้าข้างหนึ่งของเผยเฉียนกระทืบพื้น อีกข้างหนึ่งชักถอยหลัง ตั้งกระบวนท่าหมัดที่เก่าแก่บริสุทธิ์ ร้องตะโกนว่า “ท่านปู่ชุย ลุกขึ้นมาป้อนหมัดข้าสิ!”

เฉาฉิงหล่างยืนอยู่ด้านหลังเผยเฉียน มีภิกษุวัยกลางคนรูปหนึ่งเดินมาหา เฉาฉิงหล่างพนมมือไหว้เอ่ยขออภัย

เจ้าอาวาสของวัดซินเซียงจึงพยักหน้ารับเบาๆ ก้มหน้าพนมมือ ร้องภาษาธรรมหนึ่งคำแล้วจากไปอย่างช้าๆ

เผยเฉียนตั้งท่าหมัดค้างอยู่นาน

เฉาฉิงหล่างเดินมาหยุดอยู่ข้างกายเผยเฉียน ยื่นมือมากดหมัดของนางลงเบาๆ “ท่านผู้เฒ่าจากไปแล้ว”

เฉาฉิงหล่างค้นพบว่ามือของตนกลับไม่อาจกดหมัดนั้นลงได้แม้แต่น้อย เผยเฉียนพูดกับตัวเองต่อไปว่า “ท่านปู่ชุย อย่าหลับนะ พวกเรากลับบ้านด้วยกัน! ที่นี่ไม่ใช่บ้าน บ้านของพวกเราอยู่ที่ภูเขาลั่วพั่ว!”

เฉาฉิงหล่างสังเกตเห็นถึงความผิดปกติของเผยเฉียน จึงได้แต่ใช้ฝ่ามือกดหมัดนั้นของเผยเฉียนลงแรงๆ ตวาดเสียงเบา “เผยเฉียน!”

ปณิธานหมัดที่หลอมรวมอย่างเป็นธรรมชาติบนกายของเผยเฉียนเหมือนถ่านติดไฟ ที่ร้อนลวกมือเฉาฉิงหล่าง สีหน้าของเฉาฉิงหล่างไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปแม้แต่น้อย เท้าทั้งสองข้างขยับเคลื่อนประหนึ่งเซียนที่ก้าวเหยียบอยู่บนลมพายุ ชายแขนเสื้อ สองข้างประหนึ่งบรรจุเต็มด้วยลมเย็น มือข้างหนึ่งที่ทำมุทรากระบี่บังคับกดหมัดของเผยเฉียนลงไปได้ชุ่นกว่า เฉาฉิงหล่างพูดเสียงทุ้มหนัก “เผยเฉียน หรือเจ้าอยากจะให้ท่านผู้เฒ่าจากไปอย่างไม่สงบ จากไปอย่างไม่วางใจ?!”

ถูกเฉาฉิงหล่างสะบั้นปณิธานหมัดที่ท่วมทะลักเหมือนน้ำตกซัดสาด ก็ดูเหมือนว่าเผยเฉียนจะคืนสติได้หลายส่วน นางทรุดตัวลงนั่งยอง กุมหัวร้องไห้โฮ ทว่าดวงตาคู่นั้นกลับจ้องผู้เฒ่าชุดเขียวที่นั่งอยู่บนระเบียงเขม็ง

นาทีถัดมา บนร่างของผู้เฒ่าชุดเขียวที่ความตายจะเป็นดั่งการหลับใหญ่ของชีวิต ก็คล้ายถูกปณิธานหมัดกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าก่อนหน้านี้ของเผยเฉียนชักนำ ปณิธานหมัดที่เงียบสงบของคนตายกลับมีชีวิตคืนมา

เห็นเพียงว่าบนสองมือที่วางทับซ้อนกันเบาๆ ไว้ด้านหน้าของชุยเฉิงมีประกายแสงสว่างจ้าสองกลุ่มดุจดวงตะวันจันทราลอยกลางนภาปรากฎขึ้นมา ปณิธานหมัดทั้งหมดของผู้ฝึกยุทธยอดเขาขอบเขตสิบไหลออกจากเรือนกายที่แห้งเหี่ยว จากช่องโพรงลมปราณ ทะลักเข้าสู่กลุ่มแสงสองกลุ่มนั้น เฉาฉิงหล่างถูกแสงสว่าง แยงตาจึงได้แต่หลับตาลง ไม่เพียงเท่านี้ ปณิธานหมัดที่เหมือนขุนเขาถล่มลงมายังบีบเฉาฉิงหล่างที่ไม่ยินดีจะถอยหลังให้จำต้องถอยกรูดออกไปหลายก้าว สุดท้าย หลังแนบชิดติดกำแพงไม่อาจขยับตัวได้ ปราณวิญญาณของทั้งร่างที่ได้มาจาก การฝึกตนไม่สามารถมารวมตัวกันได้เลย

ทว่าปณิธานหมัดหนาข้นที่ดูเหมือนว่าขนาดฟ้าดินก็ยังไม่กล้าพันธนาการขุมนั้นกลับไม่ส่งผลกระทบต่อเผยเฉียนแค่คนเดียว

เผยเฉียนกำสองมือเป็นหมัด ลุกขึ้นยืน ไข่มุกเม็ดหนึ่งมาลอยอยู่เบื้องหน้านาง สุดท้ายวนรอบตัวเผยเฉียนแล้วหมุนช้าๆ

ส่วนไข่มุกอีกเม็ดหนึ่งพุ่งทะยานสู่ชั้นเมฆปะทะเข้ากับม่านฟ้าแล้วระเบิดแตกดังปัง จากนั้นก็เหมือนมีฝนเม็ดเล็กชะตาบู๊ตกลงมาในพื้นที่มงคลรากบัว

เดิมทีจูเหลี่ยนควรได้ติดตามหนึ่งคนแก่หนึ่งเด็กเข้ามาในพื้นที่มงคลรากบัว ใหม่เอี่ยมด้วยกัน พอผู้เฒ่าตายไป จูเหลี่ยนที่เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตเดินทางไกล หรือบุคคลอันดับหนึ่งด้านวิถีวรยุทธของใต้หล้าแห่งนี้ แน่นอนว่าต้องได้รับส่วนแบ่งจากชะตาบู๊ครึ่งหนึ่งนี้ไปมากที่สุด ทว่าจูเหลี่ยนกลับปฏิเสธ

เผยเฉียนไม่กล้ารับไข่มุกชะตาบู๊ที่ผู้เฒ่าตั้งใจทิ้งไว้ให้นางโดยเฉพาะเม็ดนั้น

หากท่านปู่ชุยยังไม่ตายเล่า? หากรับของชิ้นนี้ไปแล้วทำให้ท่านปู่ชุยตาย อย่างแท้จริงเล่า

เหตุใดตอนเด็กถึงต้องเจอกับจากเป็นจากตาย กว่าจะเติบโตขึ้นมาได้กลับยัง ต้องเจอเรื่องแบบนี้อยู่อีก

เฉาฉิงหล่างมองแผ่นหลังนั้นแล้วพูดเสียงเบา “ต่อให้จะรู้สึกแย่แค่ไหนก็ไม่ควรหลอกตัวเอง จากไปแล้วก็คือจากไปแล้ว สิ่งที่พวกเราสามารถทำได้ก็มีเพียงมีชีวิตอยู่ต่อไปให้ดี”

เผยเฉียนที่ยืนหันหลังให้เฉาฉิงหล่างพยักหน้ารับเบาๆ แล้วยื่นมือที่สั่นระริกออกไปจับไข่มุกชะตาบู๊เม็ดนั้น

เผยเฉียนหันหน้าไปมองเฉาฉิงหล่าง แล้วเอ่ยว่า “อันที่จริงท่านปู่ชุยมีคำพูดมากมายที่ยังไม่ทันได้พูดกับอาจารย์”

ในวัดเล็กๆ มีเสียงกลองยามเย็นดังแว่วลอยมา

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version