บทที่ 6 เซียมซีร้าย
พอมาถึงประตูตะวันออก เฉินผิงอันก็มองเห็นชายฉกรรจ์นั่งขัดสมาธิ อาบแสงแดดต้นฤดูใบไม้ผลิอยู่บนตอไม้หน้าประตูรั้ว หลับตาคลอเพลงเบาๆ ในลำคอ มือทั้งคู่ตบเข่าตัวเองตามจังหวะเพลง
เฉินผิงอันเดินมานั่งยองอยู่ข้างกายเขา สำหรับเด็กหนุ่มแล้ว การทวงหนี้เป็นเรื่องที่พูดได้ยากยิ่งนัก
เด็กหนุ่มจึงทำเพียงแค่มองไปยังเส้นทางกว้างใหญ่ทิศตะวันออกที่เลื้อยลด คดเคี้ยวและทอดยาวออกไปคล้ายงูสีเหลืองตัวยาวหนาใหญ่เงียบๆ
เขาหยิบดินขึ้นมากำในมือแล้วนวดคลึงเบาๆ ด้วยความเคยชิน
เขาเคยแบกสัมภาระหนักอึ้ง ด้านในบรรจุของสารพัดทั้งมีดตัดฟืน จอบ ฯลฯ ติดตามผู้เฒ่าเหยาขึ้นเขาลงห้วยไปรอบเมือง ภายใต้การนำของผู้เฒ่า พวกเขาจะเดินๆ หยุดๆ ไปตามจุดต่างๆ เฉินผิงอันมักจะต้อง ‘กินดิน’ เป็นประจำ พอคว้า ดินขึ้นมาได้ก็ยัดใส่ปากเคี้ยว ลิ้มรสชาติของดินอย่างละเอียด นานวันเข้าจึงฝึกจน เกิดความเคยชิน ต่อให้เฉินผิงอันแค่ใช้มือลูบสัมผัสก็สามารถบอกคุณลักษณะของ เนื้อดินได้อย่างชัดเจนแล้ว เป็นเหตุให้ตอนหลังเวลาเห็นเศษกระเบื้องแตกตามเตาเผาเก่าๆ เฉินผิงอันแค่ลองชั่งน้ำหนักดูเล็กน้อยก็รู้ได้แล้วว่านั่นคือกระเบื้องที่เผาจากเตาเผาเตาไหน หรือถึงขั้นรู้ว่าเผาด้วยฝีมือของอาจารย์ท่านใด
แม้ผู้เฒ่าเหยาจะมีนิสัยรักสันโดษ เข้ากับคนอื่นไม่ค่อยได้ มักจะดุด่าทุบตีเฉินผิงอันเป็นประจำ เคยมีอยู่ครั้งหนึ่ง ผู้เฒ่าเหยารังเกียจที่เฉินผิงอันเป็นคนหัวทึบจนเรียก ได้ว่าโง่เง่า ด้วยความโมโหจึงทิ้งเขาไว้ในป่าเปลี่ยว ส่วนผู้เฒ่าย้อนกลับเตาเผาไป เพียงลำพัง รอจนเด็กหนุ่มเดินข้ามเขาไปได้หกสิบลี้ ใกล้ไปถึงเตาเผามังกรแห่งนั้น ก็เป็นเวลาดึกมากแล้ว
วันนั้นฝนตกกระหน่ำไม่ลืมหูลืมตา เด็กหนุ่มที่ต้องเดินย่ำโคลนเฉอะแฉะมาตลอดทาง พอมองเห็นแสงสว่างจุดหนึ่งจากที่ไกลๆ นั่นเป็นครั้งแรกหลังจากต้องหาเลี้ยงชีพอย่างทรหดมาเพียงลำพังที่เขาอยากร้องไห้
ทว่าเด็กหนุ่มไม่เคยตำหนิผู้เฒ่า ยิ่งไม่เคยเคียดแค้น
เด็กหนุ่มเกิดมาในครอบครัวยากจน ไม่เคยได้เรียนหนังสือ แต่เขากลับเข้าใจหลักการอย่างหนึ่งนอกตำรา นั่นคือบนโลกใบนี้นอกจากพ่อกับแม่แล้ว ก็ไม่มีใคร ที่จะดีกับเจ้าโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนอีก
และพ่อแม่ของเขาก็ด่วนจากไปเร็วนัก
เฉินผิงอันนั่งเหม่อรอด้วยความอดทน ชายฉกรรจ์เนื้อตัวมอมแมมคงรู้สึกว่า ไม่อาจตีเนียนต่อไปได้อีก จึงลืมตาขึ้นมาส่งยิ้มให้เขา “ก็แค่เงินห้าอีแปะเท่านั้น ไม่ใช่หรือ เป็นผู้ชายแต่ขี้งกนัก วันหน้าไม่มีทางได้ดิบได้ดีหรอกนะ”
เฉินผิงอันทำสีหน้าระอาใจ “ท่านเองก็กำลังคิดเล็กคิดน้อยอยู่ไม่ใช่หรือไง?”
ชายฉกรรจ์แสยะปากเผยให้เห็นฟันเหลืองซี่ใหญ่ที่เรียงตัวไม่เป็นระเบียบ เขาหัวเราะหึๆ กล่าวว่า “ก็นั่นไง ถ้าวันหน้าไม่อยากเป็นชายโสดมีแต่ตัวอย่างข้า ก็อย่ามัวแต่คิดถึงเงินห้าอีแปะนั่น”
เฉินผิงอันถอนหายใจ เงยหน้าขึ้นกล่าวน้ำเสียงจริงจัง “หากท่านเงินไม่พอใช้ ห้าอีแปะนั่นข้าไม่เอาแล้วก็ได้ แต่ในเมื่อตกลงกันแต่แรกแล้วว่า จดหมายหนึ่งฉบับ ต่อหนึ่งอีแปะ คราวหน้าจะเหนียวหนี้ไม่จ่ายอีกไม่ได้”
ชายฉกรรจ์ที่ทั้งร่างส่งกลิ่นเหม็นเปรี้ยวหันหน้ามายิ้มตาหยี “ไอ้หนู นิสัยดื้อรั้นของเจ้านี่ วันหน้าย่อมเสียเปรียบได้ง่าย เจ้าไม่เคยได้ยินคำโบราณกล่าวไว้หรือว่า เสียเปรียบคือโชค? หากแค่เรื่องเสียเปรียบเล็กๆ น้อยๆ เจ้ายังไม่ยอม…”
เขาเหลือบมองดินในมือของเด็กหนุ่ม หยุดชะงักไปเล็กน้อยจึงกล่าวเย้าว่า “ก็ต้องมีชะตาหลังสู้ฟ้า หน้าสู้ดิน”
เฉิงผิงอันเอ่ยโต้ “เมื่อครู่นี้ข้าก็บอกแล้วไม่ใช่หรือว่าไม่เอาเงินห้าอีแปะแล้ว? นี่ก็ไม่ถือว่าข้าเสียเปรียบเล็กๆ น้อยๆ แล้วหรือไง?”
ชายฉกรรจ์ถึงกับสะอึก รีบโบกมือไล่เฉินผิงอันด้วยสีหน้าหงุดหงิด “ไปๆๆ คุยกับเด็กอย่างเจ้านี่เปลืองน้ำลายจริงๆ”
เฉินผิงอันคลายนิ้วทิ้งดินในมือ พอลุกขึ้นยืนก็กล่าวว่า “ตอไม้มีความชื้นมาก…”
ชายฉกรรจ์เงยหน้าด่าอย่างถอนฉิว “ข้ายังต้องให้เจ้ามาสั่งสอนหรือไง? คนหนุ่มพลังหยางพลุ่งพล่าน ก้นร้อนจนย่างขนมเปี๊ยะได้!”
ชายฉกรรจ์เหลือบมองแผ่นหลังของเด็กหนุ่มแล้วเบ้ปาก เขาพึมพำอะไรเบาๆ เหมือนจะสบถด่าเทวดาฟ้าดิน
—-
ไม่รู้ว่าทำไมวันนี้อาจารย์ฉีของโรงเรียนถึงได้แหกกฎเลิกสอนก่อนเวลา
ด้านหลังโรงเรียนมีลานกว้างอยู่แห่งหนึ่ง ทางทิศเหนือมีประตูไม้บานเล็กที่ สร้างขึ้นหยาบๆ เชื่อมอยู่กับป่าไผ่เปิดอ้าเอาไว้
ตอนที่ซ่งจี๋ซินและจื้อกุยสาวใช้ฟังนิทานอยู่ใต้ต้นไหวกลับถูกคนเรียกให้ไปเล่นหมากล้อม ซ่งจี๋ซินไม่ใคร่จะเต็มใจนัก เพียงแต่คนผู้นั้นบอกว่าเป็นความต้องการของอาจารย์ฉี เพราะอยากจะดูว่าฝีมือในการเล่นหมากล้อมของพวกเขามีพัฒนา บ้างหรือไม่ สำหรับอาจารย์ฉีผู้สุขุมพูดน้อย ซ่งจี๋ซ่งมีความรู้สึกบางอย่างที่บอกไม่ถูก น่าจะเรียกได้ว่าทั้งเคารพทั้งยำเกรง ดังนั้นเมื่อเป็นคำสั่งประกาศิตจากอาจารย์ฉี ซ่งจี๋ซินจึงจำต้องไปตามนัด แต่เขาจะต้องฟังนิทานให้จบก่อนถึงจะไปที่ สวนหลังโรงเรียน
เด็กหนุ่มชุดเขียวที่นำความของอาจารย์มาบอกจึงได้แต่กลับไปที่โรงเรียนก่อน ทว่าก่อนไปก็ยังไม่ลืมกำชับซ่งจี๋ซินว่าอย่าไปสายมากนัก พูดย้ำประโยคเดิมๆ ว่าอาจารย์ของข้าเป็นคนรักษากฎมากที่สุด ไม่ชอบให้คนอื่นผิดคำพูด เป็นต้น
ตอนนั้นซ่งจี๋ซินทำท่าแคะหู ตอบกลับไปว่ารู้แล้วๆ ด้วยสีหน้ารำคาญใจ
เมื่อซ่งจี๋ซินพาจื้อกุยมาถึงลานด้านหลังโรงเรียน ลมเย็นๆ กำลังพัดโชยเอื่อย เด็กหนุ่มชุดเขียวท่าทางสุภาพเรียบร้อยที่นั่งอยู่บนม้านั่งฝั่งทิศใต้กำลังจัดระเบียบเสื้อผ้า นั่งหลังตรงเหมือนอย่างที่เคยเป็นมา
ซ่งจี๋ซินเดินไปนั่งตรงฝั่งทิศเหนือ หันหน้าไปทางทิศใต้ฝั่งตรงข้ามกับเด็กหนุ่มชุดเขียวส่วนอาจารย์ฉีนั่งอยู่ทางทิศตะวันตก สายตาจ้องมองกระดานหมากล้อม ไม่เอ่ยคำใด
ทุกครั้งที่คุณชายของตัวเองเล่นหมากล้อมกับคนอื่น สาวใช้จื้อกุยจะต้องไป เดินเล่นในป่าไผ่เพื่อไม่ให้เป็นการรบกวน ‘บัณฑิต’ ทั้งสามท่าน และคราวนี้ก็ ไม่ใช่ข้อยกเว้น
เมืองเล็กที่ห่างไกลแห่งนี้ไม่มีตระกูลใดที่บรรพบุรุษได้เรียนหนังสือมาหลาย ชั่วอายุคน ดังนั้นบัณฑิตจึงหายากไม่ต่างจากขนหงส์เขากิเลน
ตามกติกาเดิมที่อาจารย์ฉีเคยตั้งไว้ ทั้งซ่งจี๋ซินและเด็กหนุ่มชุดเขียวต่างก็ต้อง ทายหมาก เพื่อหาคนที่จะได้หมากสีดำในการเดินก่อน
ซ่งจี๋ซินกับเด็กหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเริ่มเรียนหมากล้อม แทบจะพร้อมๆ กัน เพียงแต่ว่าซ่งจี๋ซินเป็นคนฉลาด ฝีมือการเล่นหมากล้อมก็ ก้าวกระโดด วันหนึ่งเหมือนเดินได้พันลี้ ดังนั้นอาจารย์ฉีที่ถ่ายทอดเคล็ดลับการ เล่นหมากล้อมให้กับคนทั้งสองจึงมองเขาเป็นผู้ที่มีฝีมือสูงกว่า ยามที่ต้องทายหมาก ซ่งจี๋ซินจึงจะเป็นคนหยิบหมากสีขาวจำนวนไม่เท่ากันออกมาจากในกล่องเก็บ เม็ดหมากแล้วกำไว้ในมือตัวเองไม่ให้คนอื่นรู้ จากนั้นเด็กหนุ่มชุดเขียวถึงจะคีบหมาก สีดำออกมาหนึ่งเม็ดหรือสองเม็ด
เมื่อทายจำนวนของหมากเม็ดขาวถูกก็จะได้หมากสีดำและได้สิทธิ์เดินก่อน ซึ่งจะได้เปรียบกว่า ในการประชันหมากล้อมตลอดเวลาสองปีที่ผ่านมา ไม่ว่าซ่งจี๋ซินจะได้หมากสีขาวเดินทีหลัง หรือได้หมากสีดำเดินก่อน ล้วนไม่เคยพ่ายแพ้
แต่ซ่งจี๋ซินไม่ค่อยสนใจการเล่นหมากล้อมสักเท่าไหร่ สามวันจับปลา สองวันตากแห กลับกลายเป็นเด็กหนุ่มชุดเขียวที่พรสวรรค์ด้อยกว่า ซึ่งเป็นทั้งนักเรียนในโรงเรียน แล้วก็เป็นทั้งเด็กรับใช้ใกล้ชิดอาจารย์ฉี เมื่ออยู่กับอาจารย์ฉีนานวันเข้า ต่อให้แค่มองอาจารย์ฉีนั่งศึกษาศิลปะในการเล่นหมากล้อมเฉยๆ ก็ยังได้รับประโยชน์มากมาย ดังนั้นจากที่เด็กหนุ่มต้องได้หมากสีดำจึงจะโชคดีเป็นฝ่ายชนะบ้างบางครั้ง มาจนถึงวันนี้ขอแค่ได้หมากสีดำ โอกาสในการเอาชนะซ่งจี๋ซินของเขาก็มีถึงห้าต่อห้า เพราะฝีมือในการเล่นหมากล้อมของเขามีการพัฒนาไปมาก และสำหรับการที่สิ่งหนึ่งเกิดขึ้น สิ่งหนึ่งดับลงนี้ อาจารย์ฉีก็ไม่เคยกล่าวอะไร เพียงแค่มองดูอยู่เฉยๆ เท่านั้น
ซ่งจี๋ซินเตรียมจะเอื้อมไปหยิบเม็ดหมาก อาจารย์ฉีกลับพูดขึ้นกะทันหันว่า “วันนี้พวกเจ้าเล่นหมากแท่น ให้หมากขาวเดินก่อน”
เด็กหนุ่มทั้งสองคนมึนงง ต่างก็ไม่รู้ว่า ‘หมากแท่น’ คืออะไร
น้ำเสียงของอาจารย์ฉีไม่ช้าไม่เร็ว หลังจากอธิบายกติกาอย่างละเอียดแล้วก็ไม่พูดอะไรอีก เพียงแค่วางหมากสีขาวและสีดำสองเม็ดลงไปบนจุดดาวสี่จุด
ท่าทางการคีบ การวางเม็ดหมากของชายวัยกลางคนคล่องแคล่วคุ้นเคยดั่งสายน้ำไหล จนคนมองเพลินตา
พอได้ยิน ‘ฝันร้าย’ เด็กหนุ่มชุดเขียวที่ปกติชอบเคร่งครัดในกฎเกณฑ์ก็อ้าปากค้าง มองเหม่อไปที่กระดานหมาก สุดท้ายถึงเอ่ยขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “อาจารย์ ถ้าเป็นอย่างนี้ก็ดูเหมือนว่าจะใช้กฎตายตัวหลายอย่างไม่ได้แล้ว”
ซ่งจี๋ซินขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ ไม่นานก็คลายหัวคิ้วออกจากกัน ดวงตาฉายประกายสดใส “ขนาดของกระดานหมากเปลี่ยนมาเป็นเล็กลง”
แล้วซ่งจี๋ซินก็เงยหน้าถามด้วยรอยยิ้มราวกับจะแย่งความดีความชอบมาเป็นของตน “ใช่ไหม อาจารย์ฉี?”
บัณฑิตวัยกลางคนพยักหน้ารับ “เป็นเช่นนี้จริง”
ซ่งจี๋ซินหันไปยักคิ้วให้เด็กหนุ่มวัยเดียวกันที่นั่งอยู่ตรงข้าม ถามกลั้วยิ้มว่า “จะให้ข้าต่อให้ก่อนสองเม็ดไหม ไม่งั้นเจ้าหมอนี่ต้องแพ้แน่”
เด็กหนุ่มฝั่งตรงข้ามพลันหน้าแดงก่ำ ฝืนยิ้มตอบกลับไป เพราะเขารู้ดีอยู่แก่ใจว่า การที่จำนวนครั้งที่เขาชนะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ นอกจากฝีมือการเล่นหมากล้อมที่พัฒนาขึ้นแล้ว อันที่จริงสาเหตุสำคัญนั้นเป็นเพราะสองปีมานี้ซ่งจี๋ซินเริ่มเล่น หมากล้อมอย่างใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวมากขึ้นทุกที บางครั้งยังมีท่าทางหงุดหงิด รำคาญด้วยซ้ำ หลายครั้งที่ใกล้จะชนะ ซ่งจี๋ซินจะแกล้งยอมต่อให้ หรือไม่ช่วง วางหมากแรกๆ ที่เห็นได้อย่างชัดเจนว่าสถานการณ์ของเขาเป็นฝ่ายได้เปรียบ พอมาถึงช่วงกลางๆ ซ่งจี๋ซินจะแสร้งใช้กลยุทธิ์เสี่ยงอันตรายเพื่อหวังตัดหัวมังกร
สำหรับซ่งจี๋ซินที่มีพรสวรรค์ด้านการเล่นหมากล้อมอย่างล้นเหลือ สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือสนุกหรือไม่ น่าสนใจหรือไม่
แต่สำหรับเด็กหนุ่มชุดเขียวแล้ว นับตั้งแต่ครั้งแรกที่คีบหมากแล้ววางลงไปบนกระดาน เขาก็ยึดติดกับแค่คำว่าแพ้หรือชนะเท่านั้น
อาจารย์ฉีหันไปมองลูกศิษย์ในโรงเรียนของตัวเอง “เจ้าเดินหมากขาวก่อนได้เลย”
อันดับต่อมาเด็กหนุ่มชุดเขียวถึงค่อยๆ วางหมากลงอย่างเชื่องช้า ระมัดระวัง วางแผนรับมือทุกขั้นทุกตอน ส่วนซ่งจี๋ซินกลับวางหมากรวดเร็วดั่งบิน คิดเร็วตัดสินใจเร็ว แนวคิดโดดเด่นไม่ซ้ำใคร
นิสัยของทั้งสองต่างกันราวฟ้ากับเหว
วางหมากลงไปได้แค่แปดครั้งสิบครั้ง เด็กหนุ่มชุดเขียวก็พ่ายแพ้หมดรูป เขาก้มหน้า ไม่พูดไม่จา เม้มปากตัวเองแน่น
ซ่งจี๋ซินเอาศอกข้างหนึ่งวางบนโต๊ะ ใช้มือเท้าคาง สองนิ้วของมืออีกข้างคีบ เม็ดหมากเคาะลงบนโต๊ะหินเบาๆ สายตาจ้องนิ่งไปยังกระดานหมากล้อม
ตามกติกาของอาจารย์ฉี ยามที่ทั้งสองฝ่ายแข่งขันกัน แค่โยนเม็ดหมากเพื่อ ยอมแพ้ก็พอ แต่ห้ามเอ่ยคำว่า ‘ข้าแพ้แล้ว’ ออกมาเด็ดขาด
ต่อให้เด็กหนุ่มชุดเขียวจะไม่ยินยอมแค่ไหน แต่ก็ยังคงวางเม็ดหมากลงช้าๆ
อาจารย์ฉีหันไปสั่งความลูกศิษย์ตัวเอง “ไปคัดตัวอักษร ไม่ต้องเก็บกระดานหมากนี้ เขียนอักษรตัว ‘หย่ง’ (永 ตลอดไป/ชั่วกัลปาวสาน) สามร้อยตัว”
เด็กหนุ่มชุดเขียวรีบลุกขึ้นยืน โค้งตัวคำนับอย่างนอบน้อมเพื่อบอกลา
พอแผ่นหลังของเด็กหนุ่มคนนั้นหายไป ซ่งจี๋ซินถึงถามขึ้นเบาๆ ว่า “อาจารย์ก็จะไปจากที่นี่เหมือนกันหรือ?”
บัณฑิตผู้มีจอนผมสองข้างเป็นสีขาวโพลนพยักหน้ารับ “จะจากไปภายในสิบวัน”
ซ่งจี๋ซินยิ้มบางๆ “ถ้าอย่างนั้นก็ดีเลย ข้ายังมีโอกาสได้ส่งอาจารย์”
อาจารย์สอนหนังสือท่านนี้ลังเลอยู่ชั่วครู่ แต่สุดท้ายก็ยังเอ่ยว่า “ไม่จำเป็นต้องมาส่งข้า ซ่งจี๋ซิน วันหน้าเมื่อเจ้าไปอยู่นอกเมือง จงจำไว้ว่าอย่าวางโตโอ้อวดนัก ข้าไม่มีของมีค่าอะไรติดตัว ตำราสามเล่มของชั้นแรกเริ่มอย่าง ‘เสี่ยวเซวี๋ย’ ‘หลี่เยว่’ และ ‘กวานจื่อ’ เจ้าสามารถเอาไปด้วยได้ หมั่นทบทวนเป็นประจำ คนเราเมื่ออ่านหนังสือนับร้อยรอบ ย่อมเข้าใจกระจ่างแจ้ง ยิ่งถ้าอ่านหนังสือได้นับหมื่นเล่ม ยามลงพู่กัน ย่อมรื่นไหลดั่งมีเทพมาช่วย ความจริงข้อนี้…
วันหน้าเจ้าจะรู้ได้เอง ส่วนหนังสืออ่านเล่นสามเล่มอย่าง วิชาคำนวณ ‘จิงเวย’ ศาสตร์หมากล้อม ‘เถาหลี่’ รวมบทความ ‘ซานไห่เช่อ’ หากมีเวลาว่างก็เอาออกมาอ่านบ่อยๆ สามารถจรรโลงจิตใจให้เบิกบานได้”
สีหน้าซ่งจี๋ซินเต็มไปด้วยความตะลึงงัน เขารู้สึกกระอักกระอ่วนเล็กน้อย แต่ก็ทำใจกล้าถามไปว่า “เหมือนอาจารย์กำลัง ‘ฝากฝังลูกให้คนอื่นดูแลก่อนตาย’ เลย ข้าปรับตัวไม่ทันสักเท่าไหร่”
อาจารย์ฉียิ้มเต็มใบหน้า เอ่ยเสียงอ่อนโยนว่า “ไม่ได้เลยเถิดเกินจริงอย่างที่เจ้า ว่าหรอก คนเรามีโอกาสได้เจอกันทุกเมื่อ วันหน้าย่อมต้องได้พบกันใหม่”
ยามที่ชายผู้นี้ยิ้มบางๆ ทำให้คนรู้สึกสบายดั่งอาบไล้อยู่ท่ามกลางสายลมฤดูใบไม้ผลิ
แล้วจู่ๆ เขาก็พลันเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าไปหาจ้าวเหยาสักหน่อย ถือเป็นการบอกลาล่วงหน้า”
ซ่งจี๋ซินจึงลุกขึ้นยืน เอ่ยตอบด้วยรอยยิ้ม “ได้เลย งั้นหมากกระดานนี้คงต้องรบกวนให้อาจารย์ช่วยเก็บด้วยนะขอรับ”
เด็กหนุ่มวิ่งจากไปอย่างร่าเริง
บัณฑิตวัยกลางคนเอื้อมตัวไปเก็บเม็ดหมาก มองเม็ดหมากที่ตัวหนึ่งอยู่ตะวันตก ตัวหนึ่งอยู่ตะวันออก วุ่นวายไร้ระเบียบ เขาก็เลือกเก็บเม็ดสีดำที่ซ่งจี๋ซินวางเป็น ตัวสุดท้ายขึ้นมาก่อน แล้วจึงไล่ย้อนขึ้นไป เสร็จแล้วจึงตามมาด้วยหมากเม็ดสีขาวโดยใช้วิธีแบบเดียวกัน ไม่ให้ตกหล่นไปแม้แต่เม็ดเดียว
ไม่รู้ว่าจื้อกุยสาวใช้ย้อนกลับมาจากป่าไผ่ตั้งแต่เมื่อไหร่ นางเพียงยืนอยู่นอกประตูไม้ ไม่ได้เหยียบเข้ามาในลาน
เขาไม่ได้หันหน้ากลับไปมอง แต่กล่าวเสียงหนักว่า “พึงสังวรตัวให้ดี”
สาวน้อยที่เติบโตมาในตรอกหนีผิง บัดนี้มีสีหน้าซื่อใส ท่าทางขี้ขลาดน่าสงสาร
บัณฑิตผู้สุภาพอ่อนโยนคล้ายจะเผยสีหน้าเกรี้ยวกราดออกมา เขาหันหน้ากลับมามองช้าๆ สายตาเย็นชา
เด็กสาวยังคงทำท่าทางเงอะงะ งุ่มง่าม บริสุทธิ์ ไร้เดียงสา
บัณฑิตวัยกลางคนลุกขึ้นยืน เรือนกายสูงโปร่งสะโอดสะองของเขาหันมาเผชิญหน้ากับเด็กสาว กล่าวด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “มารผจญทรพี!”
เด็กสาวค่อยๆ เก็บสีหน้าไร้เดียงสากลับคืน สายตาเริ่มเปลี่ยนมาเป็นเยียบเย็น มุมปากยกยิ้มเหยียดหยาม
ดูเหมือนนางจะกำลังพูดว่า แล้วเจ้าจะทำอะไรข้าได้?
นางจ้องประสานสายตากับบัณฑิตวัยกลางคนอยู่เช่นนี้ ราวกับงูหลามสองตัวกำลังคุมเชิงกันอยู่ด้านในและด้านนอกสวน
ทั้งสองฝ่ายเหมือนเป็นศัตรูคู่แค้น
ห่างออกไปไกลมีเสียงตะโกนของซ่งจี๋ซินดังแว่วมา “จื้อกุย กลับบ้านกันเถอะ”
สาวน้อยเขย่งปลายเท้าตอบรับอย่างว่าง่าย “อื้อ เจ้าค่ะ คุณชาย”
นางผลักประตูไม้ให้เปิดออกแล้ววิ่งเหยาะๆ ผ่านอาจารย์สอนหนังสือไป พอวิ่งพ้น ไปได้สองสามก้าว ยังไม่ลืมหันกลับมาทำท่าถอนสายบัวพลางเอ่ยน้ำเสียงอ่อนหวานกับเงาหลังนั้น “อาจารย์ จื้อกุยกลับก่อนนะเจ้าคะ”
เนิ่นนานต่อมา บัณฑิตถึงได้ถอนหายใจ
ลมวสันต์ฤดูอบอุ่นโชยเอื่อย เสียงใบไผ่ส่ายไหวดั่งเสียงพลิกเปิดหน้าหนังสือ
นักพรตหนุ่มที่สวมกวานดอกบัวเก็บแผงตัวเองพลางถอนหายใจเฮือกๆ ไม่หยุด พอชาวบ้านที่สนิทคุ้นเคยกันดีถามหาเหตุผล เขากลับทำเพียงส่ายหน้าไม่พูดไม่จา
สุดท้ายสตรีที่เพิ่งแต่งงานคนหนึ่งซึ่งเคยมาดูดวงเนื้อคู่กับเขาผ่านทางมาพอดี เมื่อเห็นท่าทางผิดปกติของนักพรตหนุ่มก็หยุดเท้าลงอย่างขัดเขินแล้วเอ่ยถาม เสียงอ่อนนุ่ม แม้ปากจะถามคำถาม ทว่าดวงตาใสแจ๋วคู่นั้นกลับมองวนไปมาอยู่ บนใบหน้าหล่อเหลาของนักพรตหนุ่ม
นักพรตหนุ่มเหลือบตามองหญิงสาวอย่างไม่ให้อีกฝ่ายจับได้ สายตาหลุบลงต่ำมองทิวทัศน์เบื้องล่างที่นูนเด้งจนนักพรตหนุ่มลอบกลืนน้ำลาย ก่อนที่เขาจะตอบด้วยประโยคประหลาด “วันนี้นักพรตผู้ต่ำต้อยทำนายเซียมซีใบหนึ่ง เป็นเซียมซีร้าย ไม่ดีเลย”