บทที่ 7 น้ำหนึ่งถ้วย
ตรอกซิ่งฮวามีบ่อน้ำอยู่บ่อหนึ่งชื่อว่าบ่อโซ่เหล็ก เหนือปากบ่อน้ำมีโซ่เหล็กหนาพอๆ กับแขนคนแขวนอยู่ บ่อน้ำบ่อนี้มีมาตั้งแต่เมื่อไหร่ โซ่เหล็กเส้นนี้อยู่มาตั้งแต่ตอนไหน แล้วใครกันที่ทำเรื่องประหลาดไร้สาระเช่นนี้ ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่มีใครล่วงรู้มานานแล้ว ขนาดผู้เฒ่าที่อายุมากที่สุดในเมืองก็ยังไม่อาจบอกได้
เล่าลือกันว่าในเมืองเคยมีคนขี้สงสัย พยายามจะวัดให้ได้ว่าโซ่เหล็กยาวเท่าไหร่กันแน่ โดยไม่ฟังคำห้ามปรามของพวกคนเฒ่าคนแก่ที่บอกว่า ‘หากดึงโซ่เหล็กออกมาจากปากบ่อทุกๆ หนึ่งฉื่อ อายุขัยจะสั้นลงหนึ่งปี’ เขาไม่คิดจะสนใจข้อห้ามเก่าแก่ที่สืบทอดกันมาปากต่อปากตลอดหลายปีมานี้แม้แต่น้อย ผลก็คือหลังจากออกแรงดึงได้หนึ่งก้านธูปจนโซ่เหล็กกองกันเป็นพะเนินใหญ่ แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะถึงจุดสิ้นสุด คนผู้นั้นหมดเรี่ยวหมดแรง จึงปล่อยให้โซ่เหล็กที่ถูกดึงออกจากปากบ่อวางขดอยู่ ข้างรอกชักน้ำ บอกว่าพรุ่งนี้จะมาอีก เพราะเขาไม่เชื่อว่าจะทำไม่ได้ พอคนผู้นี้ กลับไปถึงบ้าน คืนนั้นเลือดก็ไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด นอนตายอยู่บนเตียง แถมยังตายตาไม่หลับ ไม่ว่าคนในครอบครัวจะพยายามดึงเปลือกตาเขาให้ปิดลงแค่ไหน ศพก็ยังไม่ยอมหลับตา สุดท้ายมีคนแก่ที่บ้านอยู่ใกล้กับบ่อน้ำมาหลายชั่วอายุคนบอกให้คนในครอบครัวยกศพเขาไปไว้ข้างบ่อน้ำ แล้วให้เขา ‘เบิกตามอง’ ส่วนคนแก่ผู้นั้นก็ปล่อยโซ่เหล็กกลับคืนเข้าไปในบ่อ จนกระทั่งโซ่เหล็กทั้งหมดหล่นหายเข้าไปยัง จุดลึกของบ่ออีกครั้ง ศพนั้นถึงหลับตาลงได้ในที่สุด
หนึ่งคนแก่ หนึ่งเด็กน้อยกำลังเดินช้าๆ มุ่งหน้าไปที่บ่อโซ่เหล็ก เด็กน้อยคนนี้ มีน้ำมูกสองเส้นไหลยืดออกจากรูจมูก ทว่าเวลาเล่าเรื่องกลับพูดจาฉะฉาน เป็นฉากเป็นตอน ไม่เหมือนเด็กบ้านนอกที่เพิ่งเรียนความรู้ระดับต้นมาได้แค่ครึ่งปี เวลานี้เด็กชายกำลังเงยหน้าขึ้น ดวงตากลมโตของเขาเหมือนองุ่นดำสองลูก สูดจมูกเบาๆ น้ำมูกสองเส้นก็หดกลับเข้าไปในรูจมูกอีกครั้ง เด็กน้อยมองนักเล่านิทานที่ถือถ้วยสีขาวใบใหญ่ไว้ในมือแล้วมุ่ยปากพูดว่า “ข้าเล่าจบแล้ว ท่านเองก็ควรให้ข้าดูว่าในถ้วยใส่อะไรเอาไว้ได้แล้วกระมัง?”
ผู้เฒ่าหัวเราะ “อย่ารีบร้อน อย่ารีบร้อน รอให้ไปนั่งข้างบ่อน้ำเมื่อไหร่ จะให้เจ้าดูจนพอใจ”
เด็กน้อยเอ่ยเตือน ‘ด้วยความหวังดี’ ว่า “ห้ามกลับคำเด็ดขาด หาไม่แล้วท่านจะไม่ตายดี เพิ่งไปถึงข้างบ่อโซ่เหล็กก็หัวทิ่มลงไปในบ่อ ถึงเวลานั้นข้าไม่มีทางไปงมศพท่านขึ้นมาแน่ หรือไม่แน่จู่ๆ อาจมีฟ้าผ่า ผ่าให้ร่างของท่านดำเป็นตอตะโก ถึงเวลาข้าจะเอาก้อนหินมาทุบท่านให้แตกละเอียดทีละนิด…”
ผู้เฒ่าที่ได้ยินคำสาปแช่งไม่ซ้ำรูปแบบซึ่งรัวออกมาจากปากเด็กน้อยก็ให้ปวดหัว จึงรีบพูดว่า “ต้องให้เจ้าดูแน่ ใช่แล้ว คำพูดพวกนี้ ใครเป็นคนสอนเจ้า?”
เด็กชายตอบหนักแน่น “ก็แม่ข้าไงล่ะ!”
ผู้เฒ่ากล่าวอย่างปลงอนิจจัง “ไม่เสียแรงที่เป็นพื้นที่ถือกำเนิดของอัจฉริยะบุคคล จุดศูนย์รวมของคนมีพรสวรรค์”
เด็กชายพลันหยุดเดิน ขมวดคิ้วกล่าวว่า “ท่านด่าข้าใช่ไหม? ข้ารู้ว่าคนบางคนชอบเอาคำพูดดีๆ มาหลอกด่าคนอื่น ยกตัวอย่างเช่นซ่งจี๋ซิน!”
ผู้เฒ่ารีบปฏิเสธ แล้วจึงเปลี่ยนเรื่องถามว่า “ในเมืองมักจะมีเรื่องประหลาดเกิดขึ้นบ่อยๆ ใช่ไหม?”
เด็กน้อยพยักหน้ารับ
ผู้เฒ่าถาม “ไหนลองเล่าให้ฟังหน่อยสิ”
เด็กชายชี้ไปที่ตัวผู้เฒ่าแล้วกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ยกตัวอย่างเช่นท่านถือ ถ้วยขาวใบใหญ่ไว้ แต่กลับไม่ยอมให้คนใส่เงินลงไป ท่านยังไม่ทันเล่าเรื่องจบ แม่ข้า ก็บอกว่าท่านเล่าเรื่องได้ไม่เลว พูดวกไปวนมา แค่มองก็รู้แล้วว่าหลอกลวงคน มาจนชิน เลยให้ข้าเอาเงินสองสามเหรียญไปให้ท่าน แต่ให้ตายท่านก็ไม่ยอมให้ใส่เงินลงไป ในถ้วยมีอะไรอยู่กันแน่?”
ผู้เฒ่าไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
ที่แท้ผู้เฒ่าคนนี้ก็คือนักเล่านิทานที่ก่อนหน้านี้เล่าเรื่องอยู่ใต้ต้นไหวโบราณ เขาให้เด็กคนนี้พาตัวเองมาดูบ่อน้ำที่อยู่ในตรอกซิ่งฮวา ทีแรกเด็กชายก็ไม่เต็มใจนัก ผู้เฒ่าจึงบอกว่าถ้วยสีขาวใบใหญ่นี้ของเขาบรรจุสุดยอดของเล่นหายาก เป็นความลับที่ไม่เคยบอกใครเอาไว้ เด็กคนนี้เกิดมาก็มีนิสัยร่าเริง ไม่ชอบอยู่เฉย พ่อแม่ของเขาบอกว่าเขาคือเด็กที่ตอนเกิดมาลืมเอาก้นมาด้วย ตั้งแต่เล็กเขาชอบเที่ยวเล่นไปทั่วกับกลุ่มของหลิวเสี้ยนหยาง แต่ทว่าเพื่อตกให้ได้ปลาไหลหรือปลาหนีชิวสักตัวแล้ว เด็กคนนี้กลับสามารถนั่งตากแดดได้นานเป็นครึ่งชั่วยามโดยไม่กระดุกกระดิกไปไหน ความอดทนของเขามีมากจนน่าตกใจ
ดังนั้นเมื่อผู้เฒ่าบอกว่าในถ้วยขาวใบนี้ใส่อะไรบางอย่างเอาไว้ เด็กชายจึงงับเหยื่อติดเบ็ดทันที
ต่อให้ตอนแรกผู้เฒ่าจะมีข้อเสนอแปลกๆ บอกว่าอยากจะลองอุ้มเขา ดูว่า เขาหนักเท่าไหร่กันแน่ อยากรู้ว่าจะหนักถึงสี่สิบจิน (หนึ่งจินประมาณครึ่งกิโลกรัม) หรือไม่ เด็กน้อยก็ยังพยักหน้ารับปากอย่างไม่ลังเล เพราะอย่างไรซะให้คนอุ้มไม่กี่ที เนื้อของเขาก็ไม่ได้หลุดหายไปไหน
แต่เรื่องที่ทำให้เด็กชายกลอกตามองครั้งแล้วครั้งเล่าก็เกิดขึ้น ผู้เฒ่าที่ฝ่ามือซ้ายถือถ้วยใช้มือขวาพยายามอุ้มเขาด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีถึงห้าหกครั้ง แต่กลับ ไม่สามารถอุ้มเขาขึ้นสำเร็จเลยแม้แต่ครั้งเดียว สุดท้ายเด็กชายเหลือบมองไปยัง แขนขาที่เล็กบางของผู้เฒ่าแล้วส่ายหน้า ในใจคิดว่าหุ่นผอมแห้งเหมือนกัน แต่พละกำลังของเจ้าเฉินผิงอันผู้ยากไร้นั่นกลับเยอะกว่าผู้เฒ่าคนนี้มากนัก เพียงแต่พอคิดถึงว่าตนยังไม่ได้เห็นว่าในถ้วยมีอะไร เด็กชายที่ดูเหมือนจะเฉลียวฉลาดมา ตั้งแต่เล็กจึงอดใจไม่พูดอะไรให้ผู้เฒ่าเสียหน้า ต้องรู้ว่าในแถบตรอกหนีผิงมาจนถึงตรอกซิ่งฮวานี้ หากพูดกันถึงด้านความปากจัด โดยเฉพาะคำพูดประหลาดๆ แล้วล่ะก็ เด็กคนนี้อยู่ในอันดับที่สาม อันดับที่สองก็คือซ่งจี๋ซินที่ได้เรียนหนังสือ ส่วนอันดับหนึ่งนั้นก็คือแม่ของเด็กชายคนนี้นั่นเอง
ผู้เฒ่าเดินมาถึงข้างบ่อน้ำ แต่เขาไม่ได้นั่งลงไป
บ่อน้ำโบราณก่อจากอิฐเขียว
ลมหายใจของผู้เฒ่าหอบหนักขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ
เด็กชายเองก็เดินมาถึงข้างบ่อน้ำ เขาหันหลังให้บ่อ กระโดดไปข้างหลังหนึ่งทีแล้วเอาก้นนั่งแปะลงบนขอบบ่อพอดิบพอดี
ภาพเหตุการณ์นี้ทำเอาผู้เฒ่าที่มองดูอยู่เสียววาบไปทั้งสันหลัง หากไม่ระวัง เจ้าลูกหมานี่หล่นลงไป ด้วยประวัติความเป็นมาที่ลึกลับของบ่อโบราณบ่อนี้ เกรงว่าคงยากจะงมศพพบ
ผู้เฒ่าก้าวเดินไปข้างหน้าสองสามก้าวอย่างเชื่องช้า เขาหรี่ตา ชะโงกตัวมอง โซ่เหล็กเส้นนั้นที่ปลายด้านหนึ่งมัดตายติดกับช่วงปลายของรอกชักน้ำ
“ฮวงจุ้ยดีเยี่ยม เป็นอันดับหนึ่งของทวีป”
ผู้เฒ่ากวาดตามองซ้ายมองขวา ความคิดหลากหลายประดังประเดเข้ามา พูดกับตัวเองในใจว่า “ไม่รู้ว่าวัตถุหนักอึ้งชิ้นนี้ สุดท้ายแล้วจะไปตกอยู่ในมือของตระกูลใด?”
ผู้เฒ่ายื่นมือซ้ายที่ว่างเปล่าออกมาเพ่งมองฝ่ามือของตัวเอง
เส้นลายมือตรงกลางฝ่ามือทั้งเป็นด่างดวง ทั้งซับซ้อน แต่ตอนนี้กลับมีลายใหม่เส้นหนึ่งผุดขึ้นมาและกำลังแผ่ขยายออกไปช้าๆ ดั่งรอยร้าวบนเครื่องปั้นที่ปริแตก
เทพเจ้ามองฝ่ามือ ดั่งมองแม่น้ำและภูเขา
เพียงแต่ว่าผู้เฒ่าคนนี้กำลังมองมือของตัวเองเท่านั้น
ผู้เฒ่าคนนี้ขมวดคิ้ว ถอนหายใจกล่าว “เวลาสั้นๆ เพียงแค่ครึ่งวันก็มีสภาพย่ำแย่ขนาดนี้แล้ว แล้วคนเหล่านั้นจะไม่…?”
เด็กชายลุกขึ้นยืนบนปากบ่อ มือหนึ่งเท้าเอว อีกมือชี้หน้าผู้เฒ่า เอ่ยเร่งเสียงดัง “สรุปว่าท่านจะให้ข้าดูถ้วยขาวหรือไม่?!”
ผู้เฒ่ากล่าวอย่างระอาใจ “เจ้ารีบลงมา รีบลงมา ข้าจะให้เจ้าดูถ้วยขาวใบใหญ่เดี๋ยวนี้แหละ”
เด็กชายเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่สุดท้ายก็ยอมกระโดดลงมาจากปากบ่อ
ผู้เฒ่าลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนเอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งเครียด “เด็กน้อย เจ้าและข้ามีวาสนาต่อกัน ให้เจ้าดูความมหัศจรรย์ของถ้วยใบนี้ก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่พอดูไปแล้ว เจ้าห้ามเอาไปพูดกับคนอื่น ต่อให้เป็นแม่ของเจ้าเองก็ห้ามเหมือนกัน หากเจ้าทำได้ ข้าจะให้เจ้าได้เปิดโลกกว้าง แต่หากทำไม่ได้ ต่อให้ข้าต้องโดนเด็กอย่างเจ้าถอนหงอก ก็จะไม่มีทางให้เจ้าดูแม้เพียงหางตา”
เด็กชายกะพริบตาปริบๆ “เริ่มเลยเถอะ”
ผู้เฒ่าเดินไปหยุดอยู่ข้างบ่อด้วยท่าทางเป็นการเป็นงาน เมื่อก้มหน้าลงมองก็พบว่าคราวนี้เจ้าลูกหมาถึงกับนั่งแยกขาคร่อมปากบ่อ ผู้เฒ่ารู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่ตนไปยุ่งเกี่ยวกับเด็กน้อยที่ไม่เกรงฟ้าไม่เกรงดินผู้นี้เข้า
ผู้เฒ่าหยุดความคิดวุ่นวาย หันหน้าเข้าหาปากบ่อ นิ้วทั้งห้าจับก้นถ้วยขาวใบใหญ่ แล้วเริ่มเอียงฝ่ามือลงนิดๆ จนแทบสังเกตไม่เห็น
เด็กชายรู้สึกว่าตัวเองรออยู่นานมาก แต่ก็ยังไม่เห็นความเคลื่อนไหวใดๆ จากถ้วยขาวที่อยู่เหนือศีรษะของตัวเอง ส่วนผู้เฒ่าก็ยังคงนิ่งอยู่ในท่านั้น และขณะที่น้ำมูกสองเส้นของเด็กชายกำลังจะไหลเข้าปาก ก่อนหน้าที่ความอดทนของเขาจะสิ้นสุดลง
ก็เห็นเพียงว่ามีสายน้ำหนาเท่านิ้วมือสายหนึ่งไหลออกมาจากถ้วยขาว แล้วหล่นริน เข้าไปสู่จุดลึกของบ่อน้ำอย่างเงียบเชียบ
เด็กชายแยกเขี้ยวเตรียมด่า
แต่เขากลับต้องหุบปากฉับด้วยความแปลกใจระคนตะลึงเล็กน้อย ครู่ต่อมาสีหน้าของเด็กชายก็เปลี่ยนจากตะลึงเป็นเลื่อนลอย แล้วจากนั้นก็เริ่มกลายเป็น ความหวาดกลัว พอสติกลับคืนมาเด็กชายก็รีบกระโดดลงจากปากบ่อ วิ่งปรู๊ดหนีไปทางบ้านของตัวเอง
ที่แท้ปริมาณน้ำที่ผู้เฒ่าเทจากถ้วยขาวลงไปในบ่อน้ำเกินกว่าปริมาณน้ำที่อยู่ในถังเก็บน้ำถังหนึ่งไปนานแล้ว ทว่ากลับยังมีน้ำไหลออกมาจากถ้วยขาวอยู่เรื่อยๆ
เด็กชายจึงรู้สึกว่าตัวเองถูกผีหลอกตอนกลางวันแสกๆ เข้าให้แล้ว
หลิวเสี้ยนหยางหักกิ่งไม้ที่เพิ่งแตกหน่อจากต้นไม้ริมทางมากิ่งหนึ่งแล้ว เริ่มฝึกกระบี่ ร่างทั้งร่างของเขาพลิกไปพลิกมาอย่างบ้าคลั่งดั่งล้อรถที่กลิ้งบดไป บนถนน ไม่คิดจะสงสารรองเท้าหุ้มข้อคู่ใหม่แม้แต่น้อย ทำเอาบนทางเล็กๆ เส้นนั้นคละคลุ้งไปด้วยฝุ่นผงตลบอบอวล
เด็กหนุ่มสูงใหญ่ออกจากเมือง เดินจากทิศเหนือมุ่งหน้าไปยังทิศใต้ ขอแค่ผ่านสะพานแบบคานที่ใต้เท้าซ่งออกเงินบริจาค แล้วเดินไปอีกประมาณสามสี่ลี้ก็จะถึง ร้านตีเหล็กที่พ่อลูกตระกูลหร่วนมาเปิด อันที่จริงหลิวเสี้ยนหยางเป็นคนหยิ่งในศักดิ์ศรี แต่ช่างหร่วนพูดเพียงประโยคเดียวก็ทำให้เด็กหนุ่มยอมศิโรราบทั้งกายใจ ‘พวกเรามาที่นี่ก็เพื่อเปิดเตาหลอมกระบี่เท่านั้น’
หลอมกระบี่ก็ดีน่ะสิ พอหลิวเสี้ยนหยางคิดว่าวันหนึ่งตนจะได้มีกระบี่จริงๆ กับเขาสักเล่ม ก็อดที่จะฮึกเหิมไม่ได้ เขาทิ้งกิ่งไม้ในมือ รีบวิ่งตะบึงไปข้างหน้า พลางตะโกนอย่างห้าวเหิม
แล้วพอนึกถึงท่าหมัดสองสามอย่างที่ช่างหร่วนถ่ายทอดให้เป็นการส่วนตัว หลิวเสี้ยนหยางก็เริ่มลงมือฝึกฝน ซึ่งเขาก็เรียนรู้ได้ดี ท่าทางจึงองอาจน่ายำเกรงอยู่ ไม่น้อย
เด็กหนุ่มขยับเข้าไปใกล้สะพานแบบคานมากขึ้นเรื่อยๆ
บนขั้นบันไดทางทิศเหนือของสะพานมีคนนั่งกันอยู่สี่คน คนหนึ่งคือหญิงแต่งงานแล้วหน้าตางดงามเรือนกายอวบอิ่มเย้ายวน ในอ้อมอกของนางคือเด็กชายที่สวมชุด สีแดงแปร๊ด เขากำลังเชิดคางขึ้นสูงดั่งขุนพลที่เพิ่งคว้าชัยชนะมาได้ และข้างกันยังมี ผู้เฒ่าร่างสูงใหญ่ผมขาวโพลนเหมือนหิมะคนหนึ่งนั่งอยู่ ผู้เฒ่ากำลังปลอบใจเด็กหญิงตัวน้อยที่กำลังโมโหเบาๆ เด็กหญิงมีผิวขาวอมชมพูดั่งหยกแกะสลัก ประหนึ่งตุ๊กตากระเบื้องเคลือบจากช่างฝีมือประณีตที่สุดในโลก ผิวอ่อนนุ่มของนางเมื่ออยู่ ใต้แสงแดดก็ใสกระจ่างจนเห็นเส้นเลือดสีเขียวที่อยู่ใต้ผิวหนังอย่างชัดเจน
เด็กสองคนเพิ่งจะทะเลาะกันไป เด็กหญิงน้ำตาคลอเหมือนจะร้องไห้ เด็กชายยิ่งลำพองใจ
ด้านล่างขั้นบันไดมีเด็กหนุ่มแซ่หลูคนหนึ่งยืนอยู่ เขาก็คือหลานชายคนโตของประมุขตระกูลหลู ชื่อว่าหลูเจิ้งฉุน บางทีคงจะจริงดั่งคำที่ว่าน้ำและดินเป็นแบบไหน คนที่เติบโตมาก็เป็นแบบนั้น คนที่เกิดและโตขึ้นมาในเมืองเล็กแห่งนี้จึงหน้าตาดีกว่าชายหญิงของพื้นที่อื่นๆ เพียงแต่ว่าหลูเจิ้งฉุนได้ถูกสุราและนารีทำลายข้อได้เปรียบเหล่านี้ไปหมดสิ้น เมื่ออยู่ในสายตาของคนทั้งสี่ที่นั่งบนขั้นบันได เขาจึงไม่มีสง่าราศีมากพอ เตาเผามังกรที่อยู่ในการครอบครองของตระกูลหลู ไม่ว่าจะเป็นจำนวนหรือขนาดก็ล้วนเป็นอันดับหนึ่งของเมือง และพวกเขาก็คือตระกูลที่ลูกหลานได้ออกจากเมืองไปแตกกิ่งก้านสาขาอยู่ต่างถิ่นมากที่สุด แต่หลูเจิ้งฉุนที่ในอดีตชอบ วางอำนาจบาตรใหญ่ไปทั่ว เวลานี้กลับมีท่าทางสงบเสงี่ยม สีหน้าซีดขาว ร่างทั้งร่างเครียดเกร็ง ราวกับว่าหากทำอะไรผิดพลาดแม้แต่นิดก็จะถูกประหารเก้าชั่วโคตรอย่างไรอย่างนั้น
เด็กชายพูดด้วยประโยคที่ชาวบ้านในเมืองฟังไม่เข้าใจ “ท่านแม่ เจ้าคนแซ่หลิวผู้นั้น บรรพบุรุษของเขาคือท่านผู้นั้น…”
ขณะที่เขาจะเอ่ยชื่อแซ่ออกมา หญิงแต่งงานแล้วก็รีบอุดปากลูกชายตัวเองทันที “ก่อนจะออกจากบ้าน บิดาเจ้าย้ำกี่รอบแล้วว่าเมื่อมาอยู่ที่นี่ห้ามพูดชื่อแซ่ให้ใครได้ยินง่ายๆ”
เด็กชายแกะมือของนางออก สายตาของเขาฉายประกายร้อนแรง เอ่ยถามเบาๆ ว่า “ครอบครัวของเขาได้รับสืบทอดเกราะวิเศษและคัมภีร์กระบี่มาหลายยุคหลายสมัยจริงหรือ?”
หญิงแต่งงานแล้วลูบศีรษะเล็กๆ ของเขาอย่างรักใคร่พลางเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ตระกูลหลูถึงกับใช้หนังสือลำดับวงศ์ตระกูลครึ่งหนึ่งมารับประกันว่าของสองสิ่งนี้ยังถูกเก็บไว้ในบ้านของเด็กคนนั้น”
จู่ๆ เด็กชายก็งอแงอย่างไร้เหตุผล “ท่านแม่ๆ พวกเรามาแลกของกับบ้าน เสี่ยวป๋ายได้หรือไม่ เสื้อเกราะชิ้นนั้นที่พวกเราต้องการอัปลักษณ์เกินทนจริงๆ ท่านแม่ท่านคิดดูนะ หากเราเปลี่ยนมาเป็นคัมภีร์กระบี่เล่มนั้น เราก็จะสามารถใช้กระบี่บินตัดหัวคนได้ในความฝันโดยที่เทพไม่รู้ ผีไม่เห็น นี่ไม่ร้ายกาจยิ่งกว่า กระดองเต่าอันหนึ่งหรอกหรือ?”
ไม่รอให้หญิงแต่งงานแล้วอธิบายถึงความเป็นมาของเรื่องราว เด็กหญิงที่อยู่ข้างๆ ก็กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเดือดดาล “คนอย่างเจ้ายังคิดจะแตะต้องสมบัติพิทักษ์ขุนเขาที่หายสาบสูญไปนานของพวกเราด้วยหรือ? คราวนี้พวกเรามาที่นี่ก็เพื่อเอาของกลับคืนเจ้าของอย่างถูกต้องชอบธรรม ไม่เหมือนคนหน้าไม่อายบางคนที่มาเพื่อบังคับแย่งชิง มาเป็นขโมย หรือไม่ก็อาจถึงขั้นเรียกว่ามาเป็นขอทานเลยก็ยังได้!”
เด็กชายหันกลับมาทำหน้าทะเล้นใส่ กล่าวเยาะเย้ยว่า “เด็กอวดดีอย่างเจ้ายังพูดเองว่าเป็น สมบัติพิทักษ์ ‘ขุนเขา’ กะอีแค่สำนักบนภูเขาแห่งหนึ่งเท่านั้น คิดว่าตัวเองร้ายกาจนักหรือไง?”
แล้วจู่ๆ เด็กชายก็เปลี่ยนมายิ้มตาหยี หลังจากลุกขึ้นยืนอยู่ในอ้อมอกของหญิงแต่งงานแล้วก็หลุบตามองต่ำไปที่เด็กหญิงด้วยสายตาเวทนา ราวกับอาจารย์ในโรงเรียนที่กำลังสั่งสอนเด็กรับใช้ผู้ไม่รู้ประสา “ความอมตะอันเป็นมหามรรคาคือ การละเมิดกฎสวรรค์ ต้องแย่งชิงอย่างเดียวเท่านั้น หลักการง่ายๆ แค่นี้ก็ยังไม่เข้าใจ วันหน้าจะสืบทอดกิจการของตระกูล จะรักษาคำสั่งสอนของบรรพบุรุษไว้ได้อย่างไร? ทุกๆ สามสิบปี ลูกหลานผู้เป็นทายาทของเขาตะวันเที่ยงอย่างพวกเจ้ามีหน้าที่ที่จะต้องดึงเขาตะวันเที่ยงให้สูงขึ้นอย่างน้อยหนึ่งร้อยจั้ง นังหนู เจ้าคิดว่าตั้งแต่รุ่นปู่ของเจ้ามาจนถึงบิดาเจ้า พวกเขาทำเรื่องพวกนี้ได้ง่ายๆ งั้นหรือ?”
เด็กหญิงที่มีลางว่าจะพ่ายแพ้สีหน้าห่อเหี่ยว ไหล่ลู่คอตก ไม่กล้ามองสบตาเด็กชายคนนั้น
ผู้เฒ่าร่างกำยำผมขาวโพลนเอ่ยเสียงหนัก “ฮูหยิน แม้จะบอกว่าคำพูดของเด็ก ไม่ควรเก็บมาถือสา แต่ถ้ามาสร้างปมในใจให้แก่นายน้อยของข้า พวกเจ้าก็ควรชั่งน้ำหนักถึงผลที่จะตามมาให้ดี”
หญิงแต่งงานแล้วยิ้มหวาน ดึงเด็กชายที่สีหน้ามืดทะมึนกลับเข้ามาในอ้อมอกอีกครั้งแล้วเอ่ยด้วยคำพูดที่เป็นดั่งสำลีซ่อนเข็ม “เด็กๆ ก็แค่ต่อปากต่อคำกันเท่านั้น เหตุใด ผู้อาวุโสหยวนต้องคิดเป็นจริงเป็นจัง อย่าให้ทำลายมิตรภาพนับพันปีของพวกเรา สองตระกูลดีกว่า”
คาดไม่ถึงว่าผู้เฒ่าจะอารมณ์ร้าย ตอกกลับมาอย่างแรงว่า “เขาตะวันเที่ยงของข้าเปิดภูเขามาสองพันหกร้อยปี มีบุญคุณต้องทดแทน พันปีก็ไม่ลืม มีแค้นต้องชำระ ไม่เคยปล่อยให้ผ่านพ้นคืน!”
หญิงแต่งงานแล้วคลี่ยิ้ม ไม่คิดจะตอบโต้
การเดินทางมาที่เมืองเล็กครั้งนี้ แต่ละคนต่างก็มาพร้อมกับภาระยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะนางที่เอาชีวิตของคนในครอบครัวตัวเอง อนาคตของลูกชาย และรากฐานของบ้านฝั่งสามีมาเดิมพันหมดหน้าตัก
แม้ว่าสตรีผู้นี้จะแต่งกายเรียบง่าย แต่ท่วงท่ากลับสง่างาม เพียงแต่ว่าชาวบ้านในเมืองไม่เคยเห็นหน้าค่าตานางมาก่อน จึงไม่รู้ที่มาที่ไปของนาง
และตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ หลูเจิ้งฉุนก็ยังคงยืนหันหลังให้กับขั้นบันไดของสะพานแบบคาน
ก่อนหน้านี้ตอนที่ได้พบกับแขกสูงศักดิ์เหล่านี้ที่บ้านตระกูลหลูเป็นครั้งแรก น้องชายแท้ๆ ของตนก็แค่อารมณ์หนุ่มพลุ่งพล่าน ตบะไม่มั่นคงพอถึงได้ลืมคำสั่งของท่านปู่ไปชั่วขณะ แอบเหลือบมองหน้าอกของสาวงามผู้นี้แวบหนึ่ง แต่กลับถูกท่านปู่ที่โกรธจนสั่นเทิ้มไปทั้งร่างสั่งคนให้ลากตัวออกไปโบยจนตายคาลานบ้าน ทั้งตอนที่โบยยังเอาผ้าอุดปากเขา หลูเจิ้งฉุนที่ยังอยู่พูดคุยธุระสำคัญเป็นเพื่อนท่านปู่ใน ห้องโถงใหญ่จึงไม่ได้ยินเสียงร้องโหยหวนของน้องชาย รวมทั้งมองไม่เห็นภาพที่ เลือดเนื้อของเขาปริแตก รอจนการพูดคุยเสร็จสิ้นลง พวกเขาจึงออกจากบ้านเพื่อมาตามหาเด็กหนุ่มแซ่หลิว ตอนที่หลูเจิ้งฉุนเดินข้ามผ่านธรณีประตูห้องโถงใหญ่ออกมาถึงได้พบว่ารอยเลือดในลานบ้านถูกทำความสะอาดจนเอี่ยมไปนานแล้ว แขกทั้งสี่ท่านที่เดินทางมาไกล ต่อให้เป็นเด็กคู่นั้นที่เหมือนลูกคุณหนูซึ่งถูกประคบประหงมดุจไข่ในหินก็ยังไม่รู้สึกตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ราวกับว่านี่คือเรื่องที่ถูกที่ควรแล้ว
นาทีนั้นหลูเจิ้งฉุนพลันเลื่อนลอย
คนตายไปคนหนึ่ง เหตุใดถึงยังเทียบกับหมาตายสักตัวไม่ได้แบบนี้?
แล้วนับประสาอะไรกับที่คนคนนั้นยังแซ่หลู เมื่อกลางดึกคืนก่อน ตอนอีกฝ่ายร่ำสุรากับเขาที่เป็นพี่ชายแท้ๆ ยังร่าเริงเบิกบาน บอกว่าสักวันหนึ่งจะต้องเจริญก้าวหน้า สร้างเกียรติยศให้แก่วงศ์ตระกูล พวกเขาสองพี่น้องจะไม่เป็นเพียงกบในกะลาอีกต่อไป แต่จะจับมือกันออกไปท่องโลกกว้าง จนกระทั่งเดินออกมาจากบ้านตระกูลหลู หัวสมองของหลูเจิ้งฉุนก็ยังคงว่างเปล่าขาวโพลน
นับตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา หลูเจิ้งฉุนก็เริ่มหวาดหวั่น ยามที่แขกสูงศักดิ์แปลกหน้าเอ่ยถาม เสียงที่เขาตอบกลับไปจึงสั่นเครือ ยามที่เดินนำทาง ฝีเท้าของเขาเหมือนจะลอยได้ เขารู้ว่าสภาพนี้ของตัวเองเป็นที่ขบขันของผู้คน
และจะทำให้ท่านปู่ผิดหวัง ทำให้ตระกูลอับอาย แต่เด็กหนุ่มก็ไม่อาจควบคุมความหวาดกลัวของตัวเองเอาไว้ได้จริงๆ เขารู้สึกราวกับว่ามีไอเย็นๆ แทรกซึมออกมาจากกระดูกทุกท่อนในร่างกาย
เมื่อปลายปีก่อนท่านปู่พาพวกเขาสองพี่น้องเข้าไปในห้องลับแล้วบอกข่าวหนึ่งแก่ พวกเขาว่า อีกไม่นานตระกูลหลูจะได้ทำงานให้กับผู้สูงศักดิ์บางคน นี่คือ โชควาสนาใหญ่เทียมฟ้า ต้องระมัดระวังให้มาก เมื่อทำสำเร็จ ตระกูลหลูจะนำค่าตอบแทนมาเป็นบันไดให้พวกเขาสองพี่น้องได้เหยียบก้าวขึ้นไป ขอแค่ผู้สูงศักดิ์ยินดียอมรับ ถ้าเช่นนั้นในภายภาคหน้า หนทางใต้ฝ่าเท้าของพวกเขาสองพี่น้องก็จะเปลี่ยนมาเป็นกว้างใหญ่ราบเรียบ สะดวกต่อการเดินสู่ตำแหน่งสูงอย่างรวดเร็ว สุดท้ายพวกเขาจะได้รับเกียรติยศเงินทองที่มากจนไม่อาจจะจินตนาการได้ และเวลานั้นเขาถึงเพิ่งเข้าใจว่าเหตุใดตนกับน้องชายถึงจำเป็นต้องเรียนภาษาถิ่นแปลกๆ มากมายขนาดนั้น
หลูเจิ้งฉุนมองหลิวเสี้ยนหยางที่เดินเข้ามาใกล้สะพานมากขึ้นทุกขณะ เขาพลันรู้สึกเคียดแค้นคนผู้นี้อย่างหาที่สิ้นสุดไม่ได้ เจ้าคนยากไร้ที่ตนเคยพาพวกไปอัดในตรอกหนีผิงผู้นี้นอนรวยรินอยู่บนพื้นไม่ต่างจากหมาที่ตายแล้วตัวหนึ่ง หากไม่เป็นเพราะเจ้าสารเลวบางคนวิ่งไปตะโกนหน้าปากซอยว่ามีคนตายแล้ว เดิมทีเขากับ ผองเพื่อนซึ่งตกลงกันไว้เรียบร้อยแล้วก็เตรียมจะถอดกางเกงโปรยฝนรสหวานรดหัวเจ้าเด็กหนุ่มที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงสักครั้ง มาจนถึงตอนนี้หลูเจิ้งฉุนก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไม ผู้สูงศักดิ์ที่อยู่เหนือผู้ใดเหล่านี้ถึงได้ถูกใจหลิวเสี้ยนหยาง ส่วนอะไรก็ตามที่พวกเขาเรียกว่าเสื้อเกราะล้ำค่า คัมภีร์กระบี่ เขาตะวันเที่ยง อมตะคือมหามรรค และการแย่งชิงโชควาสนา ฯลฯ หลูเจิ้งฉุนเหมือนจะฟังเข้าใจ แต่แท้จริงแล้วกลับไม่ค่อยเข้าใจ สักเท่าไหร่
แต่มีเรื่องหนึ่งที่หลูเจิ้งฉุนมั่นใจอย่างมากก็คือ เขาหวังเป็นอย่างยิ่งให้หลิวเสี้ยนหยางตายอยู่ตรงนี้
ส่วนเหตุผลที่แท้จริงนั้น หลูเจิ้งฉุนไม่กล้ายอมรับ แล้วก็ไม่กล้าคิดลึก
ลึกๆ ในใจของหลูเจิ้งฉุนไม่คาดหวังให้หลิวเสี้ยนหยางที่ต่ำต้อยเหมือนหมาตัวหนึ่งได้มาเห็นว่า คุณชายใหญ่ตระกูลหลูที่สวมอาภรณ์หรูหรา กินอาหารรสเลิศอย่างเขาต้องมาตกอยู่ในสภาพทุเรศไม่ต่างจากตัวของหลิวเสี้ยนหยางเอง
ความอัปยศใดจะเท่าความอัปยศครั้งนี้
สตรีแต่งงานแล้วหน้าตางดงามมองคนที่กำลังวิ่งมาพลางพึมพำว่า “มาแล้ว”
เด็กหนุ่มสูงใหญ่ออกหมัดมาตลอดทาง พอมาถึงช่วงท้ายๆ หมัดที่ปล่อยออกมาจึงยิ่งรุนแรง ยิ่งต่อยยิ่งเร็ว เป็นเหตุให้เงาร่างของเด็กหนุ่มที่ถูกห่อหุ้มอยู่ใน กระบวนหมัดดูโซซัดโซเซเล็กน้อย
ในสายตาของผู้เชี่ยวชาญ หากจะว่าด้วยการเริ่มต้นฝึกกระบวนท่าหมัด เด็กหนุ่มแสดงให้เห็นว่าเขาน่าจะฝึกท่วงทำนองของความแกร่งกร้าวและอ่อนโยนที่ควบคู่กันได้สำเร็จแล้ว
สายวิชาหมัดของการฝึกวรยุทธ์มีประโยคหนึ่งสำหรับผู้ที่เริ่มฝึกใหม่ๆ ว่า หากไม่รู้ความหมายที่แท้จริงของหมัด ร้อยปีก็เป็นเพียงคนนอก หากบรรลุสัจธรรมของหมัด สิบปีต่อยได้ทั้งผีและเทพ
สาวงามเหมือนปลดภาระหนักอึ้งออกจากบ่า เป็นดังที่คาดเอาไว้ เด็กหนุ่ม แซ่หลิวผู้นี้ก็คือคนที่พวกเขาต้องการตามหา พรสวรรค์ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ ต่อให้เอาไปเทียบกับพวกตระกูลเซียนของพวกเขา พรสวรรค์ของเด็กคนนี้ก็ยังไม่อาจดูถูกได้
แน่นอนว่าในโลกที่กว้างใหญ่ของสาวงามและผู้เฒ่าผมขาวร่างกำยำ จำนวนคนที่มีมากที่สุดก็คือคนประเภทนี้
สาวงามลุกขึ้นยืน หันไปเอ่ยสั่งความกับหลูเจิ้งฉุนที่ยืนอยู่ล่างบันได “เจ้าจงไปถามเด็กหนุ่มผู้นั้น ว่าเขาต้องการอะไรถึงจะยินดียกสมบัติสืบทอดของตระกูลสองชิ้นอย่างเสื้อเกราะและคัมภีร์ให้แก่พวกเรา”
หลูเจิ้งฉุนหมุนตัวกลับมาโค้งตัวลงต่ำ ขณะเดียวกันก็เอ่ยด้วยภาษาถิ่นของบางแห่งที่หากชาวบ้านในเมืองมาได้ยินคงคิดว่ากำลังฟังภาษาสวรรค์อยู่ว่า “ขอรับ ฮูหยิน”
หญิงแต่งงานแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมย “จำไว้ว่าตอนที่พูดกับเด็กหนุ่มคนนั้น เจ้าต้องทำสีหน้าให้ดี ให้รู้จักว่าอะไรควรไม่ควร”
เด็กชายชี้นิ้วจากเบื้องบนลงมา พูดเสียงเฉียบขาด “หากทำเสียเรื่อง คุณชายอย่างข้าจะถลกหนังดึงเส้นเอ็นของเจ้าออกแล้วค่อยเอาวิญญาณเจ้ามาทำเป็นไส้เทียน ก่อนหน้าที่ไฟของเจ้าจะดับลงก็จะทรมานเจ้าให้ตายทั้งเป็นไม่หยุด!”
หลูเจิ้งฉุนตกใจจนสั่นไปทั้งร่าง รีบก้มตัวต่ำมากกว่าเดิม กล่าวอย่างหวาดผวาว่า “ข้าน้อยจะไม่ทำพลาดแน่นอน!”
ในที่สุดเด็กหญิงก็ได้ทีเอาคืน นางหลุดหัวเราะคิก กล่าวว่า “อยู่ต่อหน้าคนธรรมดา ช่างมีอำนาจน่ายำเกรงยิ่งนัก ไม่รู้ว่าใครกันที่ตอนเดินทางมาถูกเพื่อนร่วมทางด่าใส่หน้าว่าลูกไม่มีพ่อ แต่ก็ไม่ยักจะกล้าลงมือเอาคืน”
ผู้เฒ่าร่างกำยำที่ไม่ชอบขี้หน้าแม่ลูกนิสัยเลือกปฏิบัติคู่นี้เป็นทุนเดิมก็เอ่ยเสริมมาหนึ่งประโยค “คุณหนูพูดผิดแล้ว ไม่กล้าลงมือเอาคืนเสียที่ไหน เห็นๆ กันอยู่ว่าแม้แต่ด่ากลับคืนก็ยังไม่กล้าต่างหาก”
เด็กชายที่สวมชุดแดงแปร๊ดเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันจ้องหน้าเด็กหญิงเขม็ง สีหน้าของเขามืดทะมึน แต่ก็ไม่ได้พูดจาร้ายๆ อะไรตอกกลับไปอีก สุดท้ายยังกลายเป็นว่าฉีกยิ้มสดใสให้แก่นาง
ส่วนหญิงแต่งงานแล้วก็แค่จ้องมองไปยังเส้นทางเบื้องหน้าด้วยสีหน้าผ่อนคลาย ส่วนข้อที่ว่านางจะสบอารมณ์หรือไม่นั้น ไม่มีใครล่วงรู้ได้
เด็กหญิงแค่นเสียงในลำคอ วิ่งลงจากบันไดไปนั่งยองอยู่ริมแม่น้ำ ก้มหน้ามองปลาที่แหวกว่ายอยู่ในน้ำ
บางครั้งก็มีปลาหลี (ปลาไนหรือปลาคราฟ) จับกลุ่มกันแหวกว่ายผ่านสายตานางไป จำนวนของพวกมันไม่เท่ากัน แต่มีทั้งสีแดงและสีเขียว
เวลาที่คนแก่ในเมืองบางคนพูดคุยกันอยู่ใต้ต้นไหวก็มักจะพูดถึงว่า เวลาใดที่ ฝนตกฟ้าร้องแล้วพวกเขาเดินผ่านสะพานแห่งนี้ ต่างก็เคยเห็นปลาหลีสีทองอร่าม ตัวหนึ่งว่ายผ่านใต้สะพานไป
เพียงแต่คนแก่บางคนบอกว่าปลาหลีเกล็ดสีทองตัวนั้นมีความยาวแค่ฝ่ามือเท่านั้น แต่บางคนก็บอกว่าปลาหลีประหลาดตัวนั้นใหญ่มาก อย่างน้อยก็ยาวถึง ครึ่งตัวคน แทบจะกลายเป็นภูตได้อยู่แล้ว
ทุกคนพูดไม่เหมือนกัน เหล่าผู้เฒ่าโต้เถียงกันไปมา ส่วนพวกเด็กๆ ที่ฟังเรื่องเล่านี้ต่างก็ไม่มีใครคิดว่าเป็นเรื่องจริง
เวลานี้เด็กหญิงจ้องนิ่งไปยังลำธารสายเล็กที่ใสจนเห็นเบื้องล่าง นางเอามือทั้งคู่เท้าคาง จ้องมองตาไม่กะพริบ
ผู้เฒ่าผมขาวเดินมานั่งยองอยู่ข้างกายนาง เอ่ยกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “คุณหนู หากตระกูลหลูไม่ได้โกหก โชควาสนาใหญ่ในครั้งนี้คงหล่นใส่กระเป๋าคนอื่นแล้ว”
เด็กหญิงหันกลับไปฉีกยิ้มให้เขา “ท่านปู่หยวน ไม่แน่ว่ามันอาจมีสองตัวก็ได้!”
แล้วนางก็ทำหน้าทะเล้น ยิ้มกว้างเผยให้เห็นฟันหน้าที่หายไปซี่หนึ่ง
ผู้เฒ่าหัวเราะอย่างอดไม่ได้ ก่อนเอ่ยอธิบายว่า “พวกเจียวหลง[1]ที่ยังไม่เคยออกไปนอกถิ่นของตัวเอง จะให้ความสำคัญกับการแบ่งเขตพื้นที่มากที่สุด ไม่มีทางยอมให้เผ่าพันธุ์เดียวกันเข้ามาใกล้ ดังนั้น…”
เด็กหญิงร้องอ้อรับหนึ่งที หลังจากหันหน้ากลับไปเหมือนเดิมแล้วเอามือทั้งคู่เท้าคางนั่งเหม่อ พึมพำกับตัวเองว่า “แล้วถ้าหากมีล่ะ”
ผู้เฒ่าที่หน้าตาใจดีเป็นนิจยามอยู่ข้างกายเด็กหญิงเผยสีหน้าเข้มงวดของผู้อาวุโสออกมาเป็นครั้งแรก เขายื่นมือไปลูบศีรษะของเด็กหญิงเบาๆ กล่าวเสียงหนักว่า “คุณหนู จงจำเอาไว้ คำว่า ‘ถ้าหาก’ คือศัตรูคู่อาฆาตของคนอย่างพวกเรา ห้ามให้ใจตัวเองวาดหวังว่าจะโชคดีเด็ดขาด! คุณหนู แม้ว่าท่านจะมีร่างกายที่ล้ำค่า…”
เด็กหญิงยื่นมือหนึ่งออกมาโบกแรงๆ ปากก็บ่นไปด้วยท่าทางน่ารักไร้เดียงสา “รู้แล้วน่าๆ ท่านปู่หยวน ข้าฟังจนหูจะแฉะอยู่แล้วนะ”
ผู้เฒ่ากล่าว “คุณหนู ข้าจะไปดูความเคลื่อนไหวของทางฝ่ายนั้นสักหน่อย แม้ว่าภายนอกอีกฝ่ายจะเป็นพันธมิตรกับเขาตะวันเที่ยงของพวกเรา แต่หากจะให้พูดถึงสันดานความประพฤติของคนบ้านนั้น เฮอะ ไม่พูดจะดีกว่า จะได้ไม่ทำให้คุณหนูระคายหู”
นางเพียงแค่โบกมือไล่เขาไป
เขาก็ได้แต่จากไปอย่างจำใจ
ผู้เฒ่าร่างกำยำที่มีฐานะเหมือนข้ารับใช้คนนี้เอามือสองข้างยันเข่า ตอนที่เดินหลังเขาค่อมลงเล็กน้อย ราวกับว่าแบกภาระหนักอึ้งไว้บนบ่า
เด็กหญิงที่นั่งอยู่ริมชายฝั่งพลันขยี้ตาตัวเองอย่างแรง
นางค้นพบว่าระดับน้ำในแม่น้ำเริ่มจะเพิ่มขึ้นช้าๆ โดยเห็นได้ด้วยตาเปล่า!
หากอยู่นอกเมืองแห่งนี้ อย่างเช่นอยู่ที่เขาตะวันเที่ยง หรือสถานที่อื่นๆ ในบ้านเกิดของนาง ต่อให้น้ำในแม่น้ำทั้งสายจะแห้งขอดลงไปในชั่วพริบตา นางก็ไม่รู้สึกแปลกใจแม้แต่น้อย
เด็กหญิงกล่าวอย่างกังขาว่า “ไหนบอกว่าที่นี่ปิดผนึกเวทลับ คาถาวิเศษและอาคมทุกอย่างตามธรรมชาติอย่างไรล่ะ? อีกทั้งยิ่งเป็นคนที่ตบะสูงเท่าไหร่ เมื่อมาที่นี่ก็ยิ่งถูกพลังแว้งโจมตีรุนแรงมากเท่านั้น? ท่านปู่หยวนเคยบอกว่า ต่อให้เป็นท่านผู้นั้นที่อยู่ในตำนาน เมื่ออยู่ที่นี่นานวันเข้าก็ยังต้องตกอยู่ในสภาวะยากลำบากไม่ต่างจากพระโพธิสัตว์ข้ามแม่น้ำ? (หมายถึงรูปปั้นพระโพธิสัตว์ที่หากอยู่ในน้ำก็ต้องจม แม้แต่ตัวเองก็ยังเอาไม่รอด ยิ่งไม่มีหวังจะช่วยคนอื่น) ยากที่จะห้ามปรามไม่ให้ใครลงมือ แย่งชิง…”
สุดท้ายเด็กหญิงโคลงศีรษะ คร้านจะหาคำตอบของปริศนาข้อนี้อีก
นางหันหน้ากลับไปมองแผ่นหลังที่สูงใหญ่ของท่านปู่หยวน
เด็กหญิงคิดอย่างอารมณ์ดีว่า รอให้ตราผนึกทั้งหมดของที่นี่ถูกคลายอย่างแท้จริงเมื่อไหร่ นางจะขอให้ท่านปู่หยวนย้ายยอดเขาที่ชื่อพีอวิ๋น (ห่มเมฆ) ไปให้
พอกลับไปถึงบ้านเกิด นางจะเอาไปทำเป็นสวนดอกไม้เล็กๆ ของตัวเอง
………………
[1] ตามตำนานความเชื่อของชาวจีน มังกรแบ่งออกเป็นหลายประเภท ซึ่งในนิยายเรื่องนี้หลักๆ จะมีการกล่าวถึงเจินหลงและเจียวหลง ทั้งสองคำนี้ต่างก็มีคำว่าหลงที่แปลว่ามังกร แต่ทั้งสองฝ่ายจะมีความแตกต่างกันดังต่อไปนี้ : เจินหลง (มังกรที่แท้จริง) โดยทั่วไปแล้วมีระดับสูงกว่าเจียวหลง ส่วนใหญ่ล้วนเป็นเทพเซียน เป็นจิตวิญญาณของเทพเซียน หรือมนุษย์ที่ฝึกตนจนกลายเป็นเทพเซียน ยกตัวอย่างเช่นคำเรียกที่บอกว่าโอรสสวรรค์คือมังกรที่แท้จริง เจินหลงจะอาศัยอยู่บนสวรรค์ บินได้ เป็นตัวแทนของความดี ส่วนเจียวหลงหรือเรียกอีกอย่างว่าเจียว คือสัตว์ทั่วไป สามารถเข้าใจว่าเป็นสัตว์น้ำที่มีสายเลือดของมังกร อาศัยอยู่ในน้ำ (บางตำราเรียกว่ามังกรคะนองน้ำ) เมื่อฝึกตนและมีการผ่านด่านเคราะห์ไปได้จะสามารถเลื่อนขั้นกลายเป็นเจินหลง หรือบางตำราก็บอกว่าเจียวหลงคือมังกรที่ยังโตไม่เต็มวัย เมื่อโตเต็มวัยจึงจะกลายเป็นเจินหลง