บทที่ 607 พูดจาดั่งสิงโตคำราม
ร้านเหล้ามีเด็กหนุ่มแปลกหน้ามาเยือน เขาสั่งเหล้าที่ราคาถูกที่สุดมาหนึ่งกา
วันนี้กิจการของที่ร้านซบเซามากเป็นพิเศษ เป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่ง
นี่จึงเป็นเหตุให้เด็กหนุ่มชุดขาวที่หล่อเหลาดุจเจ๋อเซียนโชคดีไม่น้อย เพราะยังมีโต๊ะให้นั่ง
เพียงแต่ว่าเด็กหนุ่มหน้าซีดขาวน้อยๆ ท่าทางเหมือนคนป่วย
จางเจียเจินหิ้วเหล้ากาหนึ่งมาส่งให้ บวกกับผักดองหนึ่งจาน บอกว่าลูกค้า รอสักครู่ เดี๋ยวจะยกบะหมี่หยางชุนที่ไม่คิดเงินมาให้อีกชาม
ลูกค้าคนนี้เปิดกาเหล้าแล้วสูดจมูกดมเต็มแรง จากนั้นจึงยกชามเหล้าขึ้นมา เหลือบมองผักดองแวบหนึ่ง ก่อนเงยหน้าขึ้นถามด้วยภาษาถิ่นสำเนียงแท้ของ กำแพงเมืองปราณกระบี่ “ชามเหล้าใหญ่ขนาดนี้ เหล้าหมักตระกูลเซียนที่หอม ขนาดนี้ ยังจะให้คนได้กินทั้งผักดองและบะหมี่หยางชุนโดยไม่ต้องจ่ายเงินอีกหรือ?! ไม่ใช่หนึ่งเหรียญเงินร้อนน้อย แค่เหรียญเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่งจริงๆ ?! ใต้หล้ามี ร้านเหล้าที่ทำการค้าแบบนี้ด้วยหรือ? บอกกับลูกจ้างเล็กๆ อย่างเจ้าไว้ก่อนนะว่า ตบะของข้าสูงนักล่ะ ที่พึ่งก็ใหญ่ยิ่งกว่า คิดจะใช้แผนนางนกต่อกับข้าน่ะ ไม่ได้ผลหรอก”
จางเจียเจินได้ฟังคำบ่นของพวกลูกค้าผีขี้เหล้ามานักต่อนัก แต่คนที่รังเกียจว่า ค่าเหล้าแพงเกินไปก็เพิ่งจะเคยได้ยินเป็นครั้งแรก น่าจะเป็นคนต่างถิ่นที่มาจาก ใต้หล้าไพศาล ไม่อย่างนั้นหากอยู่ที่บ้านเกิดของตัวเอง ต่อให้เป็นเซียนกระบี่ที่มา ดื่มเหล้า หรือเป็นพวกลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์ที่อยู่บนถนนไท่เซี่ยงและถนนเสวียนฮู้ ไม่ว่าจะไปเยือนร้านเหล้าหรือเหลาสุราแห่งใด ก็มีแต่จะรังเกียจว่าค่าเหล้าแพงและรังเกียจที่รสชาติไม่ได้ความ จางเจียเจินจึงยิ้มเอ่ยว่า “ลูกค้าโปรดดื่มให้สบายใจ ราคาแค่หนึ่งเหรียญเงินเกล็ดหิมะจริงๆ”
เด็กหนุ่มชุดขาวผลักกาเหล้าให้ขยับออกห่างไปเล็กน้อย สองมือสอดไว้ใน ชายแขนเสื้อ ส่ายหน้าเอ่ยว่า “เหล้านี่ข้าไม่กล้าดื่ม แพงเกินไป ต้องมีกับดักแน่นอน!”
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าคนหนึ่งที่นั่งอยู่โต๊ะด้านข้างฉวยโอกาสที่รอบด้านมีคนนั่งอยู่บนโต๊ะเหล้าไม่มากยกชามเหล้ามานั่งลงข้างกายเด็กหนุ่มชุดขาวคนนั้น ปากก็พูด กลั้วหัวเราะไปด้วยว่า “เจ้าลูกกระต่ายต่างถิ่นคนนี้ แม้จะสามารถพูดภาษาถิ่นของพวกเราได้ แต่ดูแล้วหน้าไม่คุ้น ไม่ดื่มก็ช่าง เหล้ากานี้ข้าซื้อเอง”
พอเด็กหนุ่มได้ยินประโยคนี้ก็ยื่นมือมากดกาเหล้า “เจ้าคิดจะซื้อก็ซื้อได้หรือ ข้าเหมือนคนที่ขาดเงินหรืออย่างไร?”
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่ารู้สึกจนใจเล็กน้อย แต่ไหนแต่ไรมาเถ้าแก่รองก็มีสายตาอำมหิต แต่ใจกลับดำยิ่งกว่า เหตุใดถึงได้เลือกหน้าม้าที่ไร้ประสบการณ์แล้วยังสมอง เลอะเลือนเช่นนี้มาได้นะ
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าจึงได้แต่ใช้เสียงในใจถามว่า “สหายน้อยก็เป็นคนกันเอง ใช่ไหม? เฮ้อ ดูเจ้าที่ช่วยให้เสียเรื่องนี่สิ คำพูดพวกนี้มีร่องรอยชัดเจนเกินไป เจ้าเป็นคนคิดเองใช่ไหม? คิดๆ ดูแล้วเถ้าแก่รองต้องไม่ได้สอนให้เจ้าพูดอย่างนี้แน่นอน”
แล้วก็จริงดังคาด มีนักพนันและผีขี้เหล้าคนหนึ่งที่ชอบนั่งดื่มเหล้าอยู่ข้างทาง ไม่ชอบนั่งดื่มเหล้าบนโต๊ะหัวเราะเอ่ยเสียงหยันขึ้นมาว่า “เถ้าแก่รองผู้นั้นไปหาผู้ช่วยฝีมืออ่อนด้อยแบบนี้มาจากไหนกัน เจ้าเพิ่งเคยทำเรื่องที่ผิดต่อมโนธรรมในใจแบบนี้เป็นครั้งแรกหรือ? เถ้าแก่รองไม่ได้อบรมสั่งสอนเจ้ามาก่อนหรือไร? ก็จริงนะ ทุกวันนี้หาเงินเทพเซียนได้เป็นภูเขาเงินภูเขาทอง ไม่รู้ว่าไปแอบนับเงินอย่างเบิกบานอยู่ตรงไหนแล้ว ก็เลยไม่ทันมีเวลาได้อบรม ‘หน้าม้าร้านเหล้า’ กระมัง ข้าผู้อาวุโสล่ะประหลาดใจนัก กำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเรามีแต่หน้าม้านักพนัน ดีนักนะ พอเถ้าแก่รองมาก็บุกเบิกโฉมหน้าใหม่ ทำไมไม่ก่อสำนักตั้งพรรคไปเลยเล่า…”
กล่าวมาถึงตรงนี้ นักพนันที่วันนี้เพิ่งเสียเงินไปก้อนใหญ่ก็หันหน้ามายิ้มเอ่ยว่า “เตี๋ยจ้าง ไม่ได้ว่าเจ้านะ หากไม่เป็นเพราะเจ้าคือเถ้าแก่ใหญ่ นายท่านหลิ่วก็คงยากจนจนได้แต่ดื่มน้ำเปล่าแล้ว และข้าก็คงไม่ยินดีมาดื่มเหล้าที่นี่เหมือนกัน”
เตี๋ยจ้างหัวเราะ ไม่ถือสา หากใช้คำพูดของเฉินผิงอันก็คือนักดื่มด่าเขาเถ้าแก่รองก็ให้ด่าไป ด่ามากเข้าก็เปลืองน้ำลาย ง่ายที่จะดื่มเหล้าเพิ่มขึ้น แต่พวกคนที่ด่าจบ ครั้งหนึ่งแล้วก็ไม่มาดื่มเหล้าอีก เอาแค่เงินเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่งมาโปรยทิ้ง ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนเถ้าแก่ใหญ่ช่วยจดชื่อหรือไม่ก็จำหน้าตาของคนผู้นั้นเอาไว้ วันหน้าเขาเถ้าแก่รองจะต้องหาโอกาสมาชดเชยให้แน่นอน รับรองว่าปรองดองสมานฉันท์ ยิ้มให้กันแล้วบุญคุณความแค้นก็จบลง
แต่ไม่นานก็มีนักดื่มคนหนึ่งส่ายหน้าเอ่ยว่า “ข้าว่าเถ้าแก่รองของพวกเรา ไร้คุณธรรมก็จริง แต่กลับยังไม่ถึงขั้นขาดความรอบคอบขนาดนี้ คาดว่าคงเป็นหน้าม้าของร้านเหล้าร้านอื่นตั้งใจมาทำให้เถ้าแก่รองโมโหกระมัง มาๆๆ ข้าผู้อาวุโสขอดื่มคารวะเจ้าหนึ่งชาม แม้จะบอกว่าฝีมือแย่ไปหน่อย แต่อายุน้อยๆ กลับใจกล้าขนาดนี้ กล้ามางัดข้อกับเถ้าแก่รอง ถือเป็นชายชาตรีคนหนึ่ง คู่ควรจะรับการดื่มคารวะ จากข้า”
เถ้าแก่ใหญ่เตี๋ยจ้างเดินผ่านโต๊ะนั้นพอดี จึงยื่นนิ้วมาเคาะบนโต๊ะเบาๆ
นักดื่มคนนั้นจึงวางชามเหล้าลงอย่างขลาดๆ เค้นรอยยิ้มเอ่ยว่า “แม่นางเตี๋ยจ้าง พวกเราไม่มีอคติต่อเจ้าเลยแม้แต่น้อยจริงๆ น่าเสียดายก็แต่เถ้าแก่ใหญ่เจอคนไม่ดี ช่างเถิด ข้าจะดื่มลงโทษตัวเองก็แล้วกัน”
นักดื่มผู้นั้นดื่มเหล้าไปแล้วหนึ่งชามก็คิดว่า นี่ตนถูกแม่นางเตี๋ยจ้างเข้าใจผิดแล้วใช่ไหม? ชายฉกรรจ์ผู้นี้ทั้งอัดอั้นทั้งเจ็บปวดใจ ข้าผู้อาวุโสได้รับคำสั่งสอนจาก เถ้าแก่รองด้วยตัวเอง ได้ฟังแผนการอันแยบยลจากเถ้าแก่รองมากับหู จึงตั้งใจใช้คาถาตระกูลเซียนบทที่ว่า ‘ขาวเกินไปจะดำ ดำเกินไปกลับกลายเป็นขาว ดำขาวสลับกัน เทพเซียนยากจะคาดเดา’ ตนคือคนกันเองแท้ๆ เลยนะ
เพียงแต่พอชายฉกรรจ์มาคิดดูอีกครั้ง ช่างเถิด ถึงอย่างไรทุกครั้งที่เถ้าแก่รอง แอบเป็นเจ้ามือก็ล้วนได้กำไรมาไม่น้อย หลังจบเรื่องเถ้าแก่รองยังแอบแบ่งของโจรมอบเงินมาให้ ไม่ถูกสิ ต้องเรียกว่าแบ่งส่วนแบ่ง ไม่ได้แบ่งของโจรอะไรนั่น ส่วนสุดท้ายแล้วจะได้เงินมากหรือน้อย กฎเกณฑ์ก็ประหลาดมาก ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับเถ้าแก่รอง ‘สหาย’ อย่างชายฉกรรจ์แค่รับเงินไปก็พอ เถ้าแก่รองบอกชัดเจนตั้งแต่แรกแล้วว่า ให้มากไปไม่จำเป็นต้องขอบคุณ แค่ควักเงินจ่ายเงินค่าเหล้าที่ร้านให้มากหน่อยก็พอ ให้น้อยไปก็ยิ่งห้ามบ่น แบ่งเงินให้คือมิตรภาพ ไม่แบ่งเงินคือภาระหน้าที่อันพึงกระทำ ใครไม่ปฏิบัติตาม ถ้าอย่างนั้นเวลาเดินตอนกลางคืนก็ระวังหน่อย แสงดับโคมไฟมืดเมาตาปรือมองเห็นไม่ชัด ใครบ้างจะไม่เดินชนนู่นชนนี่
ดื่มเหล้าในร้านเหล้าเล็กๆ ทุกวันนี้ หากไม่ฝึกฝนจิตใจเสียบ้าง ไม่ได้จริงๆ
แต่นานวันเข้า ดื่มเหล้าจนลิ้มรสชาติบางอย่างได้แล้ว อันที่จริงก็รู้สึกว่าน่าสนใจมากเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นคนที่มาดื่มเหล้าที่ร้านในทุกวันนี้ล้วนชอบเจ้ามองข้า หนึ่งครั้ง ข้าชำเลืองเจ้าหนึ่งที ต่างก็กำลังมองหาเบาะแส พยายามจะวิเคราะห์ให้ได้ว่าฝั่งตรงข้ามคือมิตรหรือศัตรูกันแน่
ชายฉกรรจ์ผู้นี้รู้สึกว่าตนน่าจะเป็นคนที่ถือว่าวัยวุฒิสูง ตบะสูง อีกทั้งนิสัยยังดีมากในบรรดาหน้าม้าร้านเหล้ามากมายของเถ้าแก่รองแล้ว ไม่อย่างนั้นเถ้าแก่รอง ก็คงไม่บอกเป็นนัยแก่เขาว่าวันหน้าจะให้สหายที่เชื่อใจได้เป็นเจ้ามือ รับผิดชอบ ลงเดิมพันว่าใครคือหน้าม้าใครไม่ใช่โดยเฉพาะ เงินประเภทนี้ ไม่มีเหตุผลที่จะปล่อยให้คนนอกได้ไป ส่วนจริงเท็จทั้งหลายในเรื่องนี้ ถึงอย่างไรก็ไม่ทำให้คนกันเองบางคนที่จำต้องหยุดงานชั่วคราวขาดทุนอยู่แล้ว รับรองว่าหลังจากที่ตัวตนเปิดเผยยังจะได้รับ ‘เงินบำรุงขวัญ’ อีกก้อนใหญ่ ขณะเดียวกันก็รับประกันว่าสามารถทำให้สหายบางคนแฝงตัวได้ลึกล้ำยิ่งกว่าเดิม ส่วนคนที่เป็นเจ้ามือจะได้เงินมาได้อย่างไร อันที่จริง ก็ง่ายมาก เขาจะปรึกษากับผู้อาวุโสเซียนกระบี่บางท่านที่ไม่ใช่สหายให้เรียบร้อย ใช้ความสัมพันธ์ควันธูปและหน้าตาของตัวเองไปขอให้พวกเขาช่วยแสร้งแสดงละครหลอกให้ฝ่ายตรงข้ามเข้าใจผิดเอง
สรุปก็คือจะไม่มีทางทำลายชื่อเสียงและพฤติกรรมการเดิมพันของคนเป็นเจ้ามือเด็ดขาด เหตุผลนั้นง่ายมาก การค้าทุกอย่างในใต้หล้านี้ที่จบลงในครั้งเดียว ล้วนไม่ถือเป็นการค้าที่ดี ผู้ฝึกตนอย่างพวกเราคือบุคคลที่ต้องได้เป็นเซียนกระบี่อย่างจริงแท้แน่นอน อายุขัยยืนยาว หากไม่แข็งแกร่งช่ำชองเสียเลยจะเป็นไปได้อย่างไร
นอกจากประโยคสุดท้ายของเถ้าแก่รองแล้ว ตอนนั้นชายฉกรรจ์ได้ยินแล้วก็ ไม่มีหน้าจะพูดคล้อยตามอะไร แต่ทุกประโยคช่วงต้น ชายฉกรรจ์กลับรู้สึกเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง
ชายฉกรรจ์ดื่มเหล้าพลางอาบแสงแดดไปด้วย ไม่รู้ว่าเหตุใด แรกเริ่มรู้สึกเพียงว่าเหล้านี้ไม่แพง สามารถซื้อดื่มได้ แต่ตอนนี้กลับรู้สึกว่าเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่นี้รสชาติ ดีมากจริงๆ
ชุยตงซานควักเงินเกล็ดหิมะเหรียญหนึ่งออกมาวางบนโต๊ะเหล้าเบาๆ แล้วเริ่มดื่มเหล้า
หากพูดถึงการสืบเสาะตรวจสอบจุดที่ละเอียดอ่อนของจิตใจคน อย่าว่าแต่ พวกผีพนันและผีขี้เหล้าเหล่านี้เลย เกรงว่าแม้แต่เฉินผิงอันที่เป็นอาจารย์ของเขาก็ยังไม่กล้าพูดว่าสามารถทัดเทียมลูกศิษย์อย่างชุยตงซานได้
จิตใจคนบนโลกมนุษย์ เวลาผ่านไปนานเข้า ก็มีแต่ตัวเองที่กินอิ่ม มีเพียงการป้อนที่ไม่เคยอิ่ม
หนึ่งปีกว่ามานี้ที่อาจารย์อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ทุกการกระทำของเขามองดูเหมือนวุ่นวายไร้ระเบียบ แต่อันที่จริงแล้วชุยตงซานกลับเห็นว่าเรียบง่ายมาก ไม่มีความอืดอาดกับด้านใจคนแม้แต่น้อย
ก็หนีไม่พ้นสองเรื่องอย่างการยืมใช้สิ่งของ และการฉกฉวยโอกาส
เมื่อเทียบกับอาจารย์ที่อยู่ในทะเลสาบซูเจี่ยนก่อนหน้านี้แล้ว ก็คือคนสองคน
ยืมใช้สิ่งของ
ก็ได้แก่ร้านเหล้า เหล้า ผักดอง บะหมี่หยางชุน กลอนเดี่ยวคำโคลงคู่ แผ่นป้ายสงบสุขที่แขวนไว้เต็มผนัง ตำราตราประทับร้อยเซียนกระบี่ ตำราตราประทับสองร้อยเซียนกระบี่ พัดพับ พัดกลม
ฉกฉวยโอกาส
คือพวกสี่คนที่เฝ้าด่านซึ่งมีฉีโซ่ว ผังหยวนจี้เป็นหนึ่งในนั้น คือลูกหลานตระกูล ชนชั้นสูงอย่างพวกเฉินซานชิว เยี่ยนจั๋ว คือตลอดทั้งจวนหนิง คือตำแหน่งลูกศิษย์ของเหวินเซิ่ง ศิษย์น้องของจั่วโย่ว คือเซียนกระบี่ทุกคนที่มาดื่มเหล้าที่นี่แล้วทิ้งตัวอักษรไว้บนป้ายสงบสุข คือผู้ฝึกกระบี่ที่มีจำนวนมากยิ่งกว่า คืออวี้เจวี้ยนฟูสตรีผู้สูงศักดิ์ของทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง คือคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ทุกคนที่จ่ายเงินซื้อ ตราประทับและพัดพับ
เมื่อทำสองเรื่องนี้ได้สำเร็จ นอกจากจะสามารถปกป้องตัวเองได้แล้ว ยังสามารถทำเรื่องอื่นๆ เพิ่มขึ้นได้อีก
ปกป้องตัวเอง สิ่งที่ปกป้องคือชีวิตของตัวเอง ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ ปกป้องเจตนาเดิมของตัวเอง จะยินดีคิดให้มากขึ้นหรือไม่ว่า ทุกการกระทำทุกคำพูดของข้าส่งผลร้ายต่อคนบนโลกหรือไม่ อีกทั้งยังไม่ต้องพูดถึงว่าสุดท้ายจะทำได้หรือไม่ พูดแค่ว่ายินดีหรือไม่ยินดี นี่ก็ทำให้ต่างจากคนอื่นราวฟ้ากับเหวแล้ว ไม่คิดถึงเรื่องพวกนี้ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะทำร้ายคนอื่น แต่ขอแค่ยินดีคิดถึงเรื่องพวกนี้ แน่นอนว่าย่อมดียิ่งกว่า
แต่ในสายตาของชุยตงซาน ตอนนี้อาจารย์ของตนยังคงหยุดอยู่ในขั้นที่ว่าทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เดินวนอยู่ตรงขั้นนี้ มองดูเหมือนถูกผีบังตา ตนเองได้แต่รับความกลัดกลุ้มความกังวลที่อาจเกิดขึ้น แต่แท้จริงแล้วกลับเป็นเรื่องดี
เกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่ทำดีแล้วจะได้ชั่ว กับความเป็นไปได้ที่ทำชั่วแล้วจะได้ดี อาจารย์ยังไม่คิดให้มากความ ตอนนั้นที่อยู่นอกบ้านบรรพบุรุษตรอกหนีผิง เหตุใดเขาที่เป็นลูกศิษย์ถึงได้จงใจพูดเรื่องของผีสาวสวมชุดแต่งงาน จงใจพูดให้เรื่องที่เดิมทีเรียบง่ายกลายเป็นเรื่องที่ซับซ้อนดั่งพุ่มหญ้ารกที่แตกกิ่งก้านสาขาจนอาจารย์ของตัวเองลำบากใจ? เขาชุยตงซานไม่ใช่แค่กินอิ่มว่างงานไม่มีอะไรทำสักหน่อย แน่นอนว่าต้องเพราะมีเจตนา และอาจารย์ก็ต้องรู้ว่าเขาไม่ได้เจตนาร้าย ก็แค่ยังไม่รู้ความหมายที่ลึกซึ้งก็เท่านั้น
แต่ก็ไม่เป็นไร ขอแค่ทุกย่างก้าวที่อาจารย์เดินไป เดินได้อย่างมั่นคง ต่อให้เดินได้ช้าหน่อยก็ไม่มีปัญหา ยามยกมือยกเท้าย่อมต้องมีลมเย็นโชยเข้าชายแขนเสื้อ มีแสงจันทร์สาดส่องอยู่บนหัวไหล่อย่างแน่นอน
สร้างประโยชน์ต่อผู้อื่น จะแค่มอบให้ผู้อื่นอย่างเดียวไม่ได้ ห้ามไม่ให้ตกเป็นที่ต้องสงสัยว่าทำบุญทำทานแก่คนอื่นเขา ไม่อย่างนั้นยกให้เปล่าๆ ก็ยังได้ เพราะไม่แน่ เสมอไปว่าคนอื่นจะรั้งไว้ได้อยู่ กลับกลายว่าจะเป็นการเพิ่มผลกรรมเสียเปล่าๆ
สร้างประโยชน์แก่โลกใบนี้ อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็คงขึ้นอยู่กับชะตาฟ้าลิขิตแล้ว หรือควรพูดอีกอย่างหนึ่งว่าต้องดูว่าใต้หล้าเปลี่ยวร้างจะยอมตกลงหรือไม่
ไม่ผิดต่อเจตจำนงเดิม พอเหมาะพอดี ขยับไปทีละขั้นตอน ไตร่ตรองรอบคอบ ไร้ช่องโหว่ ลงมือทำอย่างสุดความสามารถ มีเก็บมีปล่อย ทำได้อย่างราบรื่น
มองปราดๆ
ชวนให้ขบคิดอย่างลึกซึ้ง
สรุปแล้วเฉินผิงอันผู้เป็นอาจารย์เหมือนฉีจิ้งชุนมากกว่า หรือเหมือนชุยฉานมากกว่ากันแน่?
เหตุใดภายหลังเจ้าตะพาบเฒ่าชุยฉานถึงได้สร้างสถานการณ์ถามใจขึ้นมาในทะเลสาบซูเจี่ยน พยายามที่จะชักคะเย่อให้รู้ผลแพ้ชนะที่แท้จริงกับฉีจิ้งชุนอีกครั้ง? ก็ไม่ใช่เพราะว่าเขาเห็นว่าอาจารย์ของเขาชุยตงซาน แท้จริงแล้วเมื่อก้าวเดินไปเรื่อยๆ สุดท้ายกลับคล้ายจะกลายมาเป็นคนบนเส้นทางเดียวกันที่แท้จริงกับเขาชุยฉานหรอกหรือ? นี่จะไม่ใช่เรื่องที่น่าสนใจที่สุดในใต้หล้าหรือไร? ดังนั้นชุยฉานจึงคิดว่าแม้ไม่อาจทำให้ฉีจิ้งชุนที่ตายไปแล้วยอมรับว่าพ่ายแพ้ได้ แต่นั่นกลับเป็นการแก้มือชิงชัยชนะกลับมาได้อย่างเปิดเผยสำหรับในใจชุยฉาน ตอนที่เจ้าฉีจิ้งชุนมีชีวิตอยู่เคยคิด หรือไม่ว่า เลือกไปเลือกมา สุดท้ายกลับมาเลือก ‘ศิษย์พี่ชุยฉาน’ อีกคนหนึ่งก็เท่านั้น?
ถึงเวลานั้นชุยฉานก็สามารถหัวเราะเยาะฉีจิ้งชุนที่คิดไปคิดมาอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูหกสิบปีได้แล้ว เพราะสุดท้ายแล้วคนที่คิดว่าสามารถ ‘ช่วยตัวเองอีกทั้งยังช่วยคนอื่นได้’ กลับไม่ใช่คนอย่างฉีจิ้งชุน ที่แท้ก็ยังเป็นคนอย่างเขาชุยฉานอยู่ดี ใครแพ้ใครชนะ แค่มองก็รู้แล้ว
ก่อนหน้านี้เหตุใดซิ่วไฉเฒ่าถึงต้องแยกจิตวิญญาณของเจ้าตะพาบชุยฉานกับข้าชุยตงซาน ก็ไม่ใช่เพราะต้องการใช้วิธีของผู้อื่นมาจัดการตัวเขาเองเหมือนกัน หรอกหรือ? ให้ชุยฉานได้รู้ว่าสิ่งที่เขาคิดยังคงไม่ถูกต้องทั้งหมดดังเดิม?
นี่ก็คงเป็นวิชาเฉพาะที่ซิ่วไฉเฒ่าผู้ซึ่งไร้ฝีมือการเล่นหมากล้อมคอยเก็บซ่อนอำพราง ไม่บอกกล่าวแก่ผู้ใดมาตลอดชีวิตกระมัง
ส่วนเผยเฉียนที่มีชาติกำเนิดมาจากพื้นที่มงคลดอกบัว แน่นอนว่าก็คือวิธีการ วางหมากอย่างไร้เหตุผลของซิ่วไฉเฒ่า
ชุยตงซานดื่มเหล้าหนึ่งถ้วย คีบผักดองขึ้นมาหนึ่งคำ รสชาติออกจะเค็มไป สักหน่อย นับว่าอาจารย์ยังทำการค้าอย่างมีจริยธรรม ยอมเปลืองเกลือถึงขนาดนี้
พิศมองอารามเต๋า
เต๋าพิศมองเต๋า
ซิ่วไฉเฒ่าหวังให้ลูกศิษย์คนสุดท้ายของตัวเองพิศมองแค่ความดีเลวของใจคนจริงๆ หรือ?
ไม่ใช่อย่างแน่นอน
รู้ความดีเลวของใจคนแล้วอย่างไร อาจารย์ของเขาชุยตงซานได้เดินอยู่บนเส้นทางที่เป็นศัตรูกับตัวเองมานานแล้ว รู้แล้ว อันที่จริงก็แค่รู้แล้วเท่านั้น แน่นอนว่าต้องมีประโยชน์ไม่น้อย แต่ก็ยังไม่มากพออยู่ดี
ความตั้งใจที่แท้จริงของซิ่วไฉเฒ่ายังคงหวังให้มองความเร็วความช้าของใจคนให้มากขึ้น เพื่อที่จะยืดขยายออกไปเป็นความเป็นไปได้นับพันนับหมื่น ความดีความเลวในเรื่องนี้ อันที่จริงได้เกี่ยวพันไปถึงทำดีได้ชั่ว ทำชั่วได้ดีที่ลึกซึ้งซับซ้อนมากกว่า และดูเหมือนว่าจะไร้เหตุผลมากยิ่งกว่า
นี่ก็เกี่ยวพันไปถึงเรื่องเก่าแก่ในอดีตเรื่องหนึ่งแล้ว
ปีนั้นฉีจิ้งชุนไม่ยินดีจะเล่นหมากล้อมกับศิษย์พี่อย่างชุยฉานอีกต่อไป เขาวิ่งไปถามอาจารย์ว่า ใต้หล้านี้มีการเล่นหมากล้อมที่สองฝ่ายซึ่งคุมเชิงกันต่างก็ชนะทั้งคู่หรือไม่
ตอนนั้นซิ่วไฉเฒ่าที่กำลังนั่งดื่มเหล้าอยู่กับตัวเองต้องรีบแอบวางขาข้างหนึ่งที่ ยกเหยียบบนม้านั่งตัวยาวลง ถึงจะวางมาดของอาจารย์ที่ดีได้ พอได้ยินคำถามนี้ ก็หัวเราะฮ่าๆ จนสำลักอยู่หลายทีเกือบน้ำตาไหล ไม่รู้ว่าดีใจหรือสำลักเหล้ารสชาติร้อนแรงกันแน่
ตอนนั้นเจ้าโง่คนหนึ่งที่น้ำลายสออยากดื่มเหล้าบนโต๊ะของอาจารย์พูดขึ้นอย่างไม่ใส่ใจว่า ‘ไม่เล่นหมากล้อมก็ไม่ต้องแพ้ ไม่แพ้ก็คือชนะ นี่ก็เหมือนกับการไม่ใช้จ่ายเงินก็คือการหาเงินนั่นแหละ คือหลักการเดียวกัน’
ตอนนั้นจั่วโย่วกำลังป้องกันไม่ให้เจ้าคนโง่ผู้นั้นขโมยเหล้าไปดื่ม คำตอบของเขาคือ ‘หากเวทกระบี่สูงพอ เอาชนะได้แล้ว แต่กลับแพ้ได้อย่างที่เทพไม่รู้ผีไม่เห็น ก็ถือว่าชนะแล้วเช่นกัน’
ชุยฉานนั่งอยู่บนธรณีประตู เอนหลังพิงประตูใหญ่ ยิ้มตาหยีเอ่ยว่า ‘ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่ทำลายกฎเกณฑ์ มีเพียงกระดานหมากมีขนาดใหญ่อย่างไร้ขีดจำกัดเท่านั้น ถึงจะมีความเป็นไปได้นี้อยู่ ไม่อย่างนั้นก็อย่าได้หวังเลย’
ตอนนั้นเด็กหนุ่มชุดเขียวในห้องที่เป็นเพียงคนเดียวที่ยืนอยู่เอาแต่มองไปยังอาจารย์ของตน
ซิ่วไฉเฒ่าจึงยิ้มเอ่ยว่า ‘คำถามข้อนี้ค่อนข้างใหญ่ หากอาจารย์อย่างข้าต้องการตอบให้ดี ก็ต้องใช้เวลาคิดอีกสักหน่อย’
ฉีจิ้งชุนพยักหน้ารับ ‘ขออาจารย์โปรดดื่มเหล้าให้หมดเร็วๆ หน่อย’
ความนัยในถ้อยคำนี้ก็คือ เมื่ออาจารย์ดื่มเหล้าหมดแล้วก็ควรจะมีคำตอบได้แล้ว
ซิ่วไฉเฒ่าจึงยิ้มพลางพยักหน้ารับ ท่าทางมั่นอกมั่นใจ ผลคือพอดื่มเหล้าเสร็จ ก็เริ่มลุกขึ้นยืนโงนเงน พยายามกลั้นหายใจให้ใบหน้าแดงก่ำ แสร้งทำเป็นเมาแล้วก็หนีไปนอนกลางวัน
ชุยตงซานวางตะเกียบลง มองโต๊ะสี่เหลี่ยมเหมือนกระดานหมากล้อม มองถ้วยเหล้ากาเหล้าที่วางอยู่บนโต๊ะแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ แล้วลุกขึ้นยืนเดินจากมา
พอไปถึงประตูใหญ่จวนหนิง เด็กหนุ่มชุดขาวที่ถือไม้เท้าเดินป่าสีเขียวธรรมดา ก็เคาะประตูเบาๆ
น่าหลันเย่สิงเป็นผู้เปิดประตู
เด็กหนุ่มยิ้มกล่าวว่า “ท่านปู่น่าหลัน อาจารย์ต้องพูดถึงข้าบ่อยๆ เป็นแน่ ข้าคือตงซานน่ะ”
น่าหลันเย่สิงรู้แค่ว่าคนผู้นี้คือลูกศิษย์ของท่านเขยตัวเอง แต่กลับไม่รู้จริงๆว่า จะหน้าตาดี ทว่าสมองกลับไม่ค่อยดีแบบนี้ น่าเสียดายนัก
ก่อนหน้านี้ท่านเขยพาลูกศิษย์สองคนมาที่บ้าน ดูจากท่าทางแล้วล้วนดีมากกันทั้งคู่
หลังจากน่าหลันเย่สิงปิดประตูลงแล้ว ชุยตงซานก็เอ่ยด้วยใบหน้ากังขาว่า “เห็นได้ชัดว่าท่านปู่น่าหลันมีคุณสมบัติของผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตบินทะยาน เหตุใด ถึงเพิ่งจะเป็นขอบเขตหยกดิบล่ะ หรือว่าถูกปีศาจเฒ่าที่ไม่ปรากฏตัวเป็นหมื่นปีตนนั้นลอบโจมตี ทำร้ายให้ท่านปู่น่าหลันต้องบาดเจ็บสาหัส? เรื่องแบบนี้เหตุใดถึงไม่เคยแพร่ไปถึงใต้หล้าไพศาลเลย?”
น่าหลันเย่สิงหัวเราะหึหึ ไม่ถือสาเจ้าคนสมองมีรูผู้นี้
ชุยตงซานสะบัดชายแขนเสื้อ หยิบเอาไข่มุกเก่าแก่เม็ดหนึ่งที่เป็นสีขุ่นมัวออกเหลืองมายื่นให้น่าหลันเย่สิง “บังเอิญยิ่งนัก ข้ามีโอสถเม็ดหนึ่งที่เก็บมาได้จากข้างทาง ช่วยให้ท่านปู่น่าหลันกลับคืนสู่ขอบเขตเวียนเหรินอาจจะยากไปสักหน่อย แต่ให้ซ่อมแซมขอบเขตหยกดิบ ไม่แน่ว่ากลับยังพอจะทำได้”
น่าหลันเย่สิงชำเลืองตามอง แต่กลับมองความตื้นลึกของโอสถเม็ดนั้นไม่ออก ของขวัญหนักเกินไป ไม่มีเหตุผลให้รับไว้ ของขวัญเบาเกินก็ยิ่งไม่มีความจำเป็นให้ต้องเกรงใจ ดังนั้นจึงยิ้มเอ่ยว่า “น้ำใจนี้รับไว้แล้ว เก็บของไปเถอะ”
ชุยตงซานไม่ได้หดมือกลับ ยิ้มบางๆ เอ่ยเสริมมาอีกประโยคว่า “เก็บมาจากข้างทางเมฆหลากสีของนครจักรพรรดิขาว”
น่าหลันเย่สิงใช้ความว่องไวราวสายฟ้าผ่าโดยไม่ทันป้องหูคว้าเม็ดยาในมือของเด็กหนุ่มชุดขาวมา เก็บซ่อนไว้ในชายแขนเสื้อ คิดดูแล้วก็เปลี่ยนเอามาเก็บไว้ ในสาบเสื้อตรงหน้าอก ปากผู้เฒ่าพูดบ่นไปด้วยว่า “ตงซานอ่า เจ้านี่ก็จริงๆ เลย ยังจะมอบของขวัญให้ท่านปู่น่าหลันอีก ทำตัวห่างเหินเกินไปแล้ว”
ชุยตงซานมีสีหน้าตกตะลึง ยื่นมือออกมา “ดูห่างเหินหรือ? ถ้าอย่างนั้นก็ไม่ใช่ว่าผู้น้อยวาดงูเติมขาหรอกหรือ ถ้าอย่างนั้นคืนข้ามาเลย”
น่าหลันเย่สิงยื่นมือมาปัดมือของเด็กหนุ่มออกเบาๆ พูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความปรารถนาดีว่า “ตงซานอ่า ดูสิ ทำอย่างนี้ก็ยิ่งห่างเหินเข้าไปอีกไม่ใช่หรือ”
ดูเหมือนเด็กหนุ่มจะฟังคำโน้มน้าวของผู้เฒ่าแล้ว จึงหมุนตัววิ่งไปทางประตูของจวนหนิง เปิดประตูออกเอง ก้าวข้ามธรณีประตูออกไป แล้วถึงได้หมุนตัวกลับมา แบมือเอ่ยว่า “คืนข้ามา”
น่าหลันเย่สิงสูดลมหายใจดังเฮือก เจ้าตัวดี ไม่ผิดแน่แล้ว สมกับเป็นลูกศิษย์ ผู้ภาคภูมิใจของท่านเขยจริงๆ ไม่แน่ว่าอาจยังเป็นลูกศิษย์ประเภทที่ได้รับการสืบทอดทั้งหมดไปด้วย
น่าหลันเย่สิงแสร้งทำตัวเป็นหูหนวกบื้อใบ้ หมุนตัวกลับได้ก็เดินจากไปทันที จวนหนิงแห่งนี้เจ้าอยากเข้าก็เข้ามา อยากจะปิดประตูหรือไม่ก็เรื่องของเจ้า
ชุยตงซานเดินเข้ามาในเรือน ปิดประตูลงแล้วก้าวเร็วๆ ตามน่าหลันเย่สิงไป เอ่ยเสียงเบาว่า “ท่านปู่น่าหลัน เวลานี้ท่านคงรู้แล้วกระมังว่าข้าเป็นใคร?”
น่าหลันเย่สิงยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “ตงซานอ่า เจ้าคงจะเป็นลูกศิษย์ที่ได้ดิบได้ดีที่สุดในบรรดาลูกศิษย์ของท่านเขยเลยสินะ?”
ชุยตงซานกล่าวอย่างละอายใจ “เจ็บใจก็แต่เก็บมาจากข้างทางเมฆหลากสีของนครจักรพรรดิขาวได้แค่เม็ดเดียว”
พริบตานั้น
ชุยตงซานก็ยื่นสองนิ้วออกมาบังไว้ด้านข้างศีรษะ
น่าหลันเย่สิงคลี่ยิ้ม “เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็วางใจได้แล้ว”
ชุยตงซานเก็บมือ พูดเสียงเบาว่า “เรื่องที่ข้าเป็นผู้ฝึกตนขอบเขตบินทะยาน ขอท่านปู่น่าหลันอย่าได้แพร่งพรายไป หลีกเลี่ยงไม่ให้พวกเซียนกระบี่รังเกียจ ที่ขอบเขตข้าต่ำเกินแล้วจะพานทำให้อาจารย์ต้องเสียหน้า”
น่าหลันเย่สิงเริ่มรู้สึกเหนื่อยใจ ถึงขั้นไม่ใช่เรื่องของโอสถเม็ดนั้น แต่อยู่ที่ การกระทำและคำพูดของชุยตงซานหลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้พบเจอกัน ซึ่งตนไม่เคยเดาถูกเลยสักครั้ง
พูดถึงแค่เรื่องที่ตนเรียกกระบี่บินมาขู่เด็กหนุ่มก่อนหน้านี้ ในเมื่ออีกฝ่ายมีขอบเขตสูงอย่างถึงที่สุด ถ้าอย่างนั้นก็สามารถมองข้ามไปได้โดยตรง หรือไม่ก็ลงมืออย่างสุดกำลังเพื่อสกัดกั้นกระบี่บิน
ทว่าไอ้หมอนี่กลับจงใจยื่นมือมาบังช้าไปเสี้ยวหนึ่ง สองนิ้วที่สัมผัสโดนกระบี่บินกลับไม่ได้โดนที่ปลายกระบี่หรือตัวกระบี่ แต่อยู่ที่ด้ามกระบี่
น่าหลันเย่สิงเป็นกังวลใจอย่างมาก
ชุยตงซานเดินเคียงบ่าไปกับผู้เฒ่า กวาดตามองไปรอบด้านพลางยิ้มแต้พูดชวนคุยว่า “ในเมื่อข้าคือลูกศิษย์ของอาจารย์ ท่านปู่น่าหลันกังวลว่าข้าจะเลวเกินไป หรือกังวลว่าอาจารย์ของข้าไม่ดีมากพอกันล่ะ? เชื่อว่าสมองของข้าชุยตงซานไม่ฉลาดพอ หรือเชื่อว่าท่านเขยมีความคิดรอบคอบไร้ช่องโหว่มากกว่ากัน? สรุปแล้วคือกังวลว่า ข้าที่เป็นคนต่างถิ่นมีเมฆหมอกล้อมวนหนาเกินไป หรือกังวลว่ารากฐานของจวนหนิง กระบี่บินของเซียนกระบี่ทุกท่านทั้งในและนอกจวนหนิงไม่มากพอจะแหวกทะเลเมฆออกไปได้?
ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนที่ตกต่ำคนหนึ่งควรจะเชื่อในพลังพิฆาตของกระบี่บินตัวเองหรือเชื่อว่าจิตแห่งกระบี่ของตัวเองบริสุทธิ์ไร้จุดด่างพร้อยมากพอดีล่ะ? พอข้าพูดอย่างนี้ไปแล้ว เดิมทีก็เชื่อไปแล้ว แต่จู่ๆ กลับไม่เชื่อขนาดนั้นอีกแล้วหรือไม่?”
สีหน้าของน่าหลันเย่สิงเคร่งเครียด
ชุยตงซานจุ๊ปากทอดถอนใจ “ผู้ที่มีพละกำลังมาก ยามอยู่ในสังคม มักจะรู้สึกว่าสามารถประหยัดแรงกายแรงใจได้ แบบนี้ไม่ค่อยดีเท่าไรเลย”
น่าหลันเย่สิงขมวดคิ้วแน่น
ชุยตงซานชำเลืองตามองหน้าผาสังหารมังกรที่อยู่ห่างไปไม่ไกล “มีอาจารย์อยู่ ก็ไม่ต้องกังวลสิ่งใด พี่ใหญ่น่าหลัน พวกเราสองพี่น้องต้องรู้จักทะนุถนอมและ เห็นค่านะ”
ตลอดทางที่เดินกันไป น่าหลันเย่สิงไม่เอ่ยอะไรอีกเลย
พอไปถึงเรือนที่พักของท่านเขย เผยเฉียนกับเฉาฉิงหล่างก็อยู่ด้วย ชุยตงซานประสานมือคารวะเอ่ยขอบคุณแล้วเรียกขานคำหนึ่งว่าท่านปู่น่าหลัน
น่าหลันเย่สิงพยักหน้ารับด้วยรอยยยิ้ม หันไปพูดกับเฉินผิงอันในห้องที่ลุกขึ้นยืน “เมื่อครู่นี้ข้ากับตงซานได้พบหน้ากันก็เหมือนคนที่รู้จักกันมานาน เกือบจะรับกันเป็นพี่น้องแล้ว”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับพร้อมอมยิ้มน้อยๆ “ตกลง ท่านปู่น่าหลัน ข้าทราบแล้ว”
เผยเฉียนแอบยกนิ้วโป้งให้กับห่านขาวใหญ่ที่ยืนอยู่ตรงหน้าประตู
ชุนตงซานพูดด้วยสีหน้าเหลอหรา “ท่านปู่น่าหลัน ข้าไม่ได้พูดนะ”
น่าหลันเย่สิงยิ้มตาหยีเอ่ยว่า “สรุปแล้วอาจารย์ของเจ้าจะเชื่อข้าพี่ใหญ่น่าหลัน หรือจะเชื่อน้องเล็กชุยอย่างเจ้ากันแน่นะ?”
ชุยตงซานเอามือกุมขมับแล้วเริ่มเดินเซไปเซมา “เมื่อครู่ตอนอยู่ร้านเหล้าดื่มมากไปหน่อย ข้าพูดอะไรไป ข้าอยู่ที่ไหน นี่ข้าเป็นใคร…”
เผยเฉียนเพิ่งจะวางนิ้วโป้งลงก็ต้องยกกลับขึ้นมาใหม่ อีกทั้งยังยกนิ้วโป้งสองมืออีกด้วย
น่าหลันเย่สิงจากไปแล้ว อีกทั้งอารมณ์ยังปลอดโปร่งอย่างมาก
เฉินผิงอันถลึงตาใส่ชุยตงซาน
ชุยตงซานนั่งลงบนธรณีประตู “อาจารย์ ขอให้ข้านั่งตากลมเย็นๆ ตรงนี้สักหน่อย จะได้สร่างเมา”
เฉินผิงอันกลับลงไปนั่งที่เดิม ยกพู่กันเขียนตัวอักษรบนหน้าพัดต่อ เฉาฉิงหล่าง ก็คอยช่วยอยู่ด้วย
เผยเฉียนเองก็อยากช่วย แต่อาจารย์ไม่อนุญาตนี่นา
นางจึงนั่งอยู่ที่โต๊ะด้านข้างเพียงลำพัง หันหน้าเข้าหาประตูใหญ่และห่านขาวใหญ่ ยักคิ้วหลิ่วตาให้เขา ทำท่าชี้ไปยังของสองชิ้นที่วางอยู่บนโต๊ะด้านหน้าซึ่งอาจารย์แม่มอบให้นาง
เผยเฉียนไม่ได้เกรงใจอาจารย์แม่ นางรับของขวัญทั้งสองชิ้นมาอย่างผึ่งผาย หนึ่งคือลูกประคำเส้นหนึ่งที่ทำมาจากวัสดุไม่ธรรมดา แกะสลักเป็นรูปคน หนึ่งร้อยแปดคน ลักษณะโบราณเรียบง่าย
อีกหนึ่งคือโถเก็บเม็ดหมากหนึ่งคู่ เมื่อเปิดฝาออก โถเก็บเม็ดมากสีขาวก็มี ภาพปรากฎการณ์ที่ก้อนเมฆสาดแสงอรุโณทัย ส่วนโถเก็บเม็ดหมากสีดำเป็นภาพเมฆทะมึนรวมตัวกันหนาชั้น พอจะมองเห็นภาพที่มังกรเฒ่ากำลังโปรยพิรุณได้อย่าง เลือนราง
ไข่มุกในสร้อยลูกประคำมีเยอะมาก เม็ดหมากในโถเก็บเม็ดหมากก็ยิ่งเยอะมากกว่า ระดับขั้นอะไรนั่นไม่สำคัญ เผยเฉียนรู้สึกมาโดยตลอดว่าทรัพย์สินของตน แค่ได้เปรียบในด้านจำนวนก็พอแล้ว
คราวหน้าที่ประลองวิชากับหลี่ไหว หลี่ไหวจะยังชนะได้อีกอย่างไร
ชุยตงซานพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม เขายกมือขึ้นทำท่ารอตีมือ เผยเฉียนที่ใจสื่อ ถึงเขามาได้นานแล้วจึงยกมือตีมือกับเขาอยู่ไกลๆ
เผยเฉียนนั่งขัดสมาธิอยู่บนม้านั่งตัวยาว โคลงศีรษะโยกไหล่
เฉินผิงอันที่นั่งหันหลังให้เผยเฉียนเอ่ยขึ้นว่า “การนั่งก็มีท่าของการนั่ง ลืมไปแล้วหรือ?”
เผยเฉียนเหมือนถูกร่ายเวทกักตัวในทันใด
ชุยตงซานนั่งเอนหลังพิงกรอบประตู ยิ้มมองคนทั้งสามที่อยู่ในห้อง
เผยเฉียนรู้สึกอารมณ์ดีไม่น้อย
ทุกวันนี้ขอแค่เจอวัด นางก็จะเข้าไปไหว้พระด้านใน
ได้ยินมาว่านางมักจะไปเยือนวัดซินเซียงที่อยู่ในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยนบ่อยๆ เพียงแต่ไม่รู้ว่าทำไม ยามที่นางพนมสิบนิ้ว ฝ่ามือทั้งสองข้างกลับไม่แนบสนิท ราวกับโอบอุ้มอะไรบางอย่างไว้อย่างระมัดระวัง
แล้วก็ได้ฟังจ้งชิวเล่าว่า ทุกวันนี้นางมีเพื่อนคนแรกที่ไม่ถือว่าเป็นเพื่อนกันอีกแล้วเพิ่มมาอีกคนหนึ่ง แน่นอนว่าไม่ใช่โจวหมี่ลี่กับหน่วนซู่ที่ทุกวันนี้ยังเป็นเพื่อนรักกัน แล้วก็ไม่ใช่พ่อครัวเฒ่า เหล่าเว่ย เสี่ยวป๋าย แต่เป็นแม่นางคนหนึ่งที่เกิดและเติบโต มาในเมืองหลวงแคว้นหนันเยวี่ยน เมื่อหลายปีก่อนเพิ่งจะแต่งงานออกเรือน ก่อนที่ จะออกมาจากพื้นที่มงคลรากบัว เผยเฉียนไปพบนาง ไปยอมรับผิด แต่ดูเหมือนว่า แม่นางคนนั้นจะไม่ได้บอกว่ายอมรับหรือไม่ยอมรับคำขอโทษของเผยเฉียน ทั้งๆ ที่จำเผยเฉียนที่ทั้งส่วนสูงและหน้าตาล้วนไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปมากได้ แต่แม่นางที่มาจากตระกูลคนมีเงินผู้นั้นกลับแสร้งทำเป็นไม่รู้จัก เพราะนางยังคงกลัว พอเผยเฉียน ออกมาแล้ว นางก็แอบไปหาจ้งชิวลับหลังเฉาฉิงหล่าง เพื่อสอบถามและขอให้ อาจารย์จ้งช่วยทำเรื่องเรื่องหนึ่งให้แก่นาง จ้งชิวตอบตกลงแล้ว เผยเฉียนจึงถามว่า ทำแบบนี้ถูกไหม จ้งชิวไม่ได้บอกว่าผิด แต่ก็ไม่ได้บอกว่าดี ยิ่งไม่ได้บอกว่าการกระทำเช่นนี้จะสามารถแก้ไขความผิดได้จริงหรือไม่ บอกแค่ว่าให้นางไปถามอาจารย์ของนางเอาเอง ตอนนั้นเผยเฉียนกลับบอกว่าตอนนี้นางยังไม่กล้าพูดเรื่องนี้ รอให้นางใจกล้าขึ้นอีกนิดค่อยพูด รอให้อาจารย์ชอบตนมากขึ้นอีกหน่อย ถึงจะกล้าพูด
เฉาฉิงหล่างกำลังตั้งใจเขียนตัวอักษร
เขาเหมือนคนคนหนึ่งอย่างมาก
เวลาทำเรื่องอะไรสักอย่าง มักจะตั้งใจอยู่เสมอ
ดังนั้นจึงยิ่งจำเป็นต้องมีคนสอนเขาว่าเรื่องอะไรบ้างที่บางครั้งก็ไม่ต้องเอาจริงเอาจังเกินไป ยิ่งไม่ควรดึงดันดันทุรัง
เพียงแต่ไม่รู้ว่าเฉาฉิงหล่างในทุกวันนี้รู้หรือไม่ว่า เหตุใดยามที่อาจารย์ของเขาเป็นร้านผ้าห่อบุญท่องไปทั่วทิศถึงยังคงยินดีจะจริงจังเช่นนี้ และท่ามกลางความจริงจังนี้ มีอยู่กี่ส่วนที่เกิดจากความละอายใจต่อเขาเฉินฉิงหล่าง ต่อให้ช่วงชีวิตที่ยากลำบากนั้นของเฉาฉิงหล่างจะไม่เกี่ยวข้องกับอาจารย์เลยก็ตาม
หลายๆ เรื่องราว หลายๆ ถ้อยคำ ชุยตงซานไม่มีทางพูดมาก มีอาจารย์คอยถ่ายทอดมรรคาไขข้อข้องใจ พวกลูกศิษย์และนักเรียนแค่ฟังไปก็พอ
ส่วนอาจารย์นั้น เวลานี้คงกำลังคิดว่าจะหาเงินอย่างไรกระมัง?
คนสามคนที่อยู่ในห้อง
ในเรื่องบางเรื่อง พวกเขาเหมือนกันอย่างมาก
นั่นก็คือยามที่พ่อแม่ออกเดินทางไกลไม่หวนกลับคืนมาอีก ตอนนั้นพวกเขาต่างก็ยังเป็นเพียงเด็กคนหนึ่ง
พ่อแม่ของอาจารย์จากไปก่อนใคร จากนั้นก็เป็นเผยเฉียน แล้วค่อยตามมาด้วยเฉาฉิงหล่าง
คนทั้งสามในห้องคงจะเคยมีความคิดที่ไม่อยากเติบโต แต่ก็จำต้องเติบโตกระมัง
ดังนั้นชุยตงซานจึงไม่ได้เดินเข้าไปในห้อง เพียงแค่นั่งอยู่บนธรณีประตูตรงนี้เท่านั้น วางไม้เท้าเดินป่าไว้บนหัวเข่า แอบปลีกตัวนั่งเหม่ออยู่เพียงลำพัง
เฉินผิงอันตบโต๊ะ ทำเอาทั้งเฉาฉิงหล่างและเผยเฉียนสะดุ้งโหยง จากนั้นพวกเขาก็ได้ยินอาจารย์ อาจารย์พ่อของตนพูดยิ้มๆ ปนฉุนว่า “เจ้าคนที่เขียนตัวอักษรได้สวยที่สุดกลับเป็นคนที่ขี้เกียจที่สุดอย่างนั้นรึ?!”
เฉาฉิงหล่างพลันกระจ่างแจ้ง พยักหน้าเอ่ยว่า “มีเหตุผล”
เผยเฉียนตบโต๊ะ “บังอาจยิ่งนัก!”
ชุยตงซานรีบลุกขึ้นยืน ถือไม้เท้าเดินป่าไว้ในมือ ก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามา “ได้เลย!”
เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน มานั่งข้างกายเผยเฉียน ยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “อาจารย์จะสอนเจ้าเล่นหมากล้อม”
เผยเฉียนพยักหน้ารับอย่างแรง แล้วก็เริ่มเปิดโถเก็บเม็ดมาก ยื่นสองมือมา จับโถเขย่าเบาๆ “ได้เลย! ห่านขาวใหญ่…ต้องเรียกว่าอะไรแล้วนะ อ้อ ศิษย์พี่เล็ก! ศิษย์พี่เล็กเคยสอนให้ข้าเล่นหมากล้อม แต่ข้าเรียนได้ช้านัก ทุกวันนี้ต้องให้เขาต่อให้ก่อนสิบเม็ดถึงจะเอาชนะได้”
รอยยิ้มของเฉินผิงอันไม่แปรเปลี่ยน เพียงแต่เพิ่งจะนั่งก็รีบลุกขึ้นยืนอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้นไว้ค่อยเล่นกันทีหลัง อาจารย์จะไปเขียนตัวหนังสือก่อนแล้ว มัวนั่งอึ้ง อยู่ทำไม รีบไปยกหีบหนังสือใบน้อยมาคัดตัวอักษรสิ!”
เผยเฉียนร้องอ้อหนึ่งทีแล้ววิ่งตะบึงออกไป
เพียงไม่นานก็สะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็กใบนั้นมา
แต่กลับพบว่าอาจารย์ยืนอยู่หน้าประตู กำลังมองมายังตน
เผยเฉียนพลันหยุดยืนนิ่งอยู่ตรงประตู เงยหน้ากล่าวอย่างกังขาว่า “อาจารย์รอข้า อยู่หรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มกล่าว “จำได้ว่าปีนั้นคนบางคนหิ้วถังน้ำไปตักน้ำ ไม่เคยกลับมาเร็วขนาดนี้”
เผยเฉียนมีสีหน้าตื่นตระหนกเล็กน้อย
เฉินผิงอันลูบศีรษะของนาง ยิ้มกล่าวว่า “ขนาดตอนนั้นอาจารย์กับเฉาฉิงหล่างยังรอเจ้ากลับบ้าน ตอนนี้ก็ยิ่งรอได้”
ชุยตงซานเงยหน้าขึ้น พูดโอดครวญว่า “ข้าคือคนที่อาจารย์รู้จักเป็นคนแรกสุดนะ!”
เผยเฉียนหัวเราะอย่างอารมณ์ดีทันที “อาจารย์รู้จักข้าเร็วกว่าเฉาฉิงหล่างด้วย!”
เฉาฉิงหล่างหันหน้ามามองทางประตู เพียงแค่ยิ้มบางๆ เท่านั้น
เผยเฉียนรีบพูดกับห่านขาวใหญ่ทันทีว่า “แข่งกันเรื่องนี้สนุกนักหรือ? หืม?!”
ชุยตงซานชูสองมือขึ้น “ศิษย์พี่หญิงใหญ่พูดถูกแล้ว”
เฉินผิงอันตบศีรษะของเผยเฉียนเบาๆ “ไปคัดหนังสือไป”
สุดท้ายกลับกลายเป็นเฉินผิงอันที่ไปนั่งอยู่บนธรณีประตู หยิบเอาน้ำเต้า เลี้ยงกระบี่ออกมาแล้วเริ่มดื่มเหล้า
คนทั้งสามที่อยู่ในห้องต่างก็มองแผ่นหลังตรงหน้าประตูที่คุ้นเคยนั้น แล้วต่างคน ก็ต่างยุ่งอยู่กับงานของตัวเอง
เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “เฉาฉิงหล่าง วันหน้าข้าก็จะช่วยทำไม้เท้าเดินป่าอันหนึ่งให้เจ้าเหมือนกัน”
เฉาฉิงหล่างหันหน้ากลับมา “อาจารย์ ศิษย์มีแล้วขอรับ”
เฉินผิงอันไม่ได้หันหน้ากลับมา เพียงยิ้มกล่าวว่า “แต่นั่นก็ไม่ใช่ของที่อาจารย์มอบให้เจ้าสักหน่อย หากไม่รังเกียจ ไม้เท้าอันที่อยู่ในห้องตรงข้าม เจ้าเอาไปก่อน ได้เลย”
เฉาฉิงหล่างคิดแล้วก็เอ่ยว่า “ขอแค่ไม่ใช่รองเท้าสาน ก็ได้ทั้งนั้น”
ชุยตงซานเหลือกตามองบน “คนเปรียบกับคน ชวนให้คนโมโหตายจริงๆ”
เผยเฉียนเขียนประโยคหนึ่งจบ ระหว่างที่หยุดพู่กันก็แอบทำหน้าผี พึมพำว่า “ข้าโมโหจะตายอยู่แล้ว ข้าโมโหจะตายอยู่แล้ว”
จากนั้นเผยเฉียนก็ชำเลืองตามองหีบไม้ไผ่ใบเล็กที่วางอยู่บนโต๊ะ แล้วก็พลันอารมณ์ดี ถึงอย่างไรคนที่มีหีบหนังสือใบเล็กก็มีแค่ข้า
เฉินผิงอันหันหลังให้คนทั้งสาม ยิ้มตาหยี มองทะลุเพดานสี่เหลี่ยมเปิดอ้าไปยังผืนฟ้า เหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่ในวันนี้ยังคงรสชาติดีอยู่ดังเดิม สุราดีๆ เช่นนี้จะเชื่อเงินติดไว้ก่อนได้อย่างไร
เฉินผิงอันดื่มเหล้าหนึ่งอึก มือหนึ่งถือกาเหล้า อีกมือหนึ่งตบลงบนหัวเข่าเบาๆ พึมพำว่า “ไข่มุกบนเสื้อคนจน เดิมกลมเกลี้ยงมีแสงแวววาว”
ชุยตงซานยิ้มบางๆ แล้วก็พูดเหมือนพึมพำกับตัวเองเช่นกันว่า “ไม่แสวงหาด้วยตัวเอง แต่กลับนับสมบัติของผู้อื่น นับสมบัติของผู้อื่น สุดท้ายแล้วก็ไร้ประโยชน์ ขอท่านโปรดฟังคำข้า”
เฉาฉิงหล่างเองก็คลี่ยิ้มอย่างรู้ใจ ต่อประโยคท้ายเบาๆ ว่า “ไร้สิ่งสกปรกปลอมปน แสงสว่างที่มีในตัว มิอาจไม่บังเกิดขึ้นในใจ ยามเอ่ยวาจาจึงเป็นดั่ง สิงโตคำราม”
เผยเฉียนหยุดพู่กัน เงี่ยหูตั้งใจฟัง นางอัดอั้นจะตายอยู่แล้ว นางไม่รู้ว่าอาจารย์ พูดอะไรกับพวกเขา ต้องไม่ได้มาจากในหนังสือแน่นอน ไม่อย่างนั้นนางก็ต้องจำได้สิ
เผยเฉียนทอดถอนใจ “ถ้าอย่างนั้นของข้าก็คือเต้าหู้เหม็นอร่อยก็แล้วกัน”
ดวงตาเฉินผิงอันเป็นประกาย ตบหัวเข่าตัวเองหนักๆ พูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “บะหมี่หยางชุนไม่เก็บเงินได้ แต่เต้าหู้เหม็นต้องเก็บเงิน!”