บทที่ 612 ลมกำลังจะก่อตัว
ฟ่านต้าเช่อยังคงไม่สามารถฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตประตูมังกรกลายเป็น โอสถทองคนหนึ่งได้
ต่อให้ฟ่านต้าเช่อจะดื่มเหล้ามากแค่ไหน แล้วยังเป็นเขาที่จ่ายเงินเลี้ยงคนอื่น ทุกครั้ง แต่ก็ยังไม่อาจฝึกหนังหนาให้หนาได้อย่างเถ้าแก่รอง เขายังคงรู้สึกละอายใจ รู้สึกผิดต่อลานประลองยุทธของจวนหนิงและหุ่นเชิดของบ้านเจ้าอ้วนเยี่ยนที่มาช่วยฝึกกระบี่ให้ ดังนั้นทุกครั้งที่มาดื่มเหล้า คนที่เลี้ยงจึงเป็นฟ่านต้าเช่อมาโดยตลอด นี่ยังไม่นับเป็นอะไรได้ ต่อให้ฟ่านต้าเช่อไม่นั่งอยู่บนโต๊ะเหล้า แต่ขอแค่เงินอยู่ก็พอ มาดื่มเหล้าที่ร้านเหล้าของเตี๋ยจ้างล้วนลงบัญชีไว้ในชื่อของฟ่านต้าเช่อ คนที่มา บ่อยที่สุดก็คือต่งฮว่าฝู แรกเริ่มฟ่านต้าเช่อยังมึนงงอยู่บ้าง ทำไมที่ร้านถึงเชื่อค่าเหล้าไว้ก่อนได้แล้วเล่า? พอถามถึงได้รู้ ที่แท้เป็นเฉินซานชิวที่ตัดสินใจเองวางเงินร้อนน้อยเหรียญหนึ่งไว้ในร้านแทนเขา พอฟ่านต้าเช่อถามว่าเงินร้อนน้อยนี้ยังเหลืออีก มากน้อยแค่ไหน ถ้าไม่ถามก็ยังดี พอถามแล้วก็บังเกิดความเศร้าใจ ถ้าไม่ทำก็ไม่ทำ พอได้ทำก็ไม่ฟังใครทั้งนั้น ถึงกับสั่งเหล้าภูเขาชิงเสินมาหลายกาอย่างที่หาได้ยาก ถือโอกาสนี้ดื่มจนเมามาย
เด็กหนุ่มวัยเดียวกันสองคนที่เป็นลูกจ้างระยะยาวในร้านเหล้า จางเจียเจินแห่งตรอกหลิงซีกับเจี่ยงชวี่แห่งตรอกซัวลี่ ตอนนี้กลายเป็นสหายที่พูดคุยกันได้ทุกเรื่อง และความฝันของแต่ละคนที่เล่าสู่กันฟังเป็นการส่วนตัวก็ล้วนไม่ได้เป็นเรื่องที่ ยิ่งใหญ่นัก
จำนวนครั้งที่นักเล่านิทานจะยกม้านั่งมานั่งเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ เรื่องเล่าขุนเขาสายน้ำก็น้อยลงไปทุกที
เด็กน้อยที่ในไหมีเงินเก็บส่วนตัว เด็กคนที่พ่อของเขามาช่วยทำบะหมี่หยางชุน ที่ร้านเหล้า รู้สึกว่าหากเป็นอย่างนี้ต่อไปคงไม่เข้าที ต่อให้เรื่องเล่าจะไม่น่าฟังก็ยัง เป็นเรื่องเล่านะ หากไม่ได้จริงๆ เขาก็จะจ่ายเงินซื้อเรื่องเล่าจากนักเล่านิทาน หนึ่งเหรียญทองแดงพอหรือไม่? ตอนนี้พ่อของเขาได้เงินมาเยอะ ทุกๆ สามวันห้าวัน ก็จะมอบให้เขาสามเหรียญห้าเหรียญ อย่างมากสุดผ่านไปอีกปี ไหของเฝิงคังเล่อ คงเก็บไว้ไม่อยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อเงินเยอะความกล้าหาญก็ตามมา เฝิงคังเล่อที่กอดไห ไว้ในอ้อมอกจึงปลุกความกล้า แอบวิ่งไปที่ถนนใหญ่ที่ตั้งจวนหนิงซึ่งไม่เคยไปเยือนมาก่อนเพียงลำพัง เพียงแต่ว่าเดินวนเวียนอยู่นานก็ยังไม่กล้าเคาะประตู ประตูใหญ่เกินไป ตัวเด็กน้อยเล็กเกินไป เฝิงคังเล่อจึงรู้สึกว่าต่อให้ตัวเองเคาะประตูเต็มแรง คนด้านในก็ไม่มีทางได้ยิน
ตอนที่นักเล่านิทานนั่งอยู่บนม้านั่ง เด็กที่เอ่ยทักทายพูดคุยกับเถ้าแก่รองเป็น คนแรกผู้นี้ไม่รู้สึกกลัวแม้แต่น้อย แต่เมื่อนักเล่านิทานไปหลบอยู่ในกำแพงสูงของจวนหนิง เด็กน้อยกลับรู้สึกกลัวขึ้นมา ดังนั้นจึงนั่งตากแดดอยู่ในมุมกำแพงเป็นครึ่งๆ วัน ก่อนฟ้าจะมืดก็ออกมาจากถนนใหญ่ที่ปูด้วยหินเขียวซึ่งแวววับจนส่องแทนกระจกได้ เด็กชายแอบบิดข้อเท้า พื้นรองเท้าก็จะส่งเสียงดังเอี๊ยด เดินไปได้ระยะหนึ่งก็จะแอบเล่นครั้งหนึ่ง ไม่กล้าเล่นมาก กลัวว่าจะไปทำให้ใครหนวกหูแล้วจะโดนตี เดินไปตลอดทางจนกระทั่งไปถึงถนนดินเหลืองในตรอกบ้านตัวเอง ความสนุกนี้ก็หายไป รองเท้าเปื้อน ท่านพ่อไม่สนใจ แต่ท่านแม่กลับสน โดนตีจนก้นลายสนุกนักหรือ หลายๆ ครั้งท่านแม่ตีไปตีมา นางก็ร้องไห้เสียเอง ส่วนท่านพ่อจะนั่งเงียบอยู่ หน้าประตูไม่เอ่ยคำใด เวลานั้นเด็กน้อยจะรู้สึกได้รับความไม่เป็นธรรมที่สุด คนที่เจ็บคือตน พ่อกับแม่เป็นอะไรกันเล่า พวกผู้ใหญ่อย่างพ่อแม่นี้ เหตุใดถึงไร้เหตุผลยิ่งกว่าเด็กที่ยังไม่โตเสียอีก
เฝิงคังเล่อกลับไปถึงตรอกบ้านตัวเอง ที่นั่นมีพวกเด็กๆ ที่ชะเง้อคอรอเขาอยู่ ไม่น้อย ต่างก็คาดหวังว่าพรุ่งนี้จะได้ฟังเรื่องเล่าที่เกิดขึ้นห่างไกลจากบ้านเกิดซึ่งไม่ต้องจ่ายเงินอีกครั้ง
เฝิงคังเล่อหมดหนทาง จะให้บอกว่าตนขี้ขลาด ได้เห็นแค่ประตูใหญ่ไม่เห็น นักเล่านิทานก็คงไม่ได้กระมัง จึงแอบขอโทษนักเล่านิทานอยู่ในใจสองสามคำ จากนั้นก็พูดอย่างเจ็บปวดว่า เถ้าแก่รองขี้งกเกินไปแล้ว รังเกียจที่เงินในไหของเขามีน้อยเกินไป ตอนนี้จึงไม่ยินดีจะมาเล่าเรื่องอีกแล้ว เจ้าหมอนี่หน้าเงินยิ่งนัก ไร้มโนธรรมจริงๆ พวกเด็กๆ จึงพากันด่าตามเฝิงคังเล่อไปด้วย ด่าไปถึงท้ายที่สุด พวกเด็กๆ กลับไม่โกรธสักเท่าไร กลับรู้สึกเสียดายมากกว่า
เพราะถึงอย่างไรเรื่องเล่าคราวก่อนก็ยังเล่าไม่จบ เป็นเรื่องที่เทพภูเขาบังคับ แต่งภรรยาแล้วบัณฑิตไปตีกลองร้องทุกข์ที่ศาลเทพอภิบาลเมือง จะดีจะชั่วก็เล่า เรื่องนี้ให้จบก่อนสิ สรุปแล้วบัณฑิตคนนั้นได้ช่วยแม่นางน่าสงสารที่ตัวเองรักกลับมาได้หรือไม่? เถ้าแก่รองอย่างเจ้าไม่กลัวว่าบัณฑิตจะตีกลองไม่หยุด ทำเอากลองใหญ่หน้าประตูบ้านของท่านเทพอภิบาลเมืองพังจริงๆ หรือ?
แม่นางน้อยที่หน้าตาไม่งดงาม ทว่าทุกครั้งกลับพกเมล็ดแตงมาอย่างเพียงพอ คือคนที่ผิดหวังที่สุด เพราะหลังจากที่นักเล่านิทานคว้าเมล็ดแตงจากมือนางไปมากขึ้น ทุกวันนี้เวลาที่นางเล่นพ่อแม่ลูกก็ได้เป็นเจ้าสาวที่นั่งเกี้ยวแล้ว พวกเฝิงคังเล่อใช้มือ ต่อกันเป็นเกี้ยว นางนั่งอยู่ด้านบนตัวโยกไปโยกมา แต่พอนักเล่านิทานไม่หิ้วม้านั่ง มาวางและถือกิ่งไผ่ติดมือมาเป็นเวลานานมากแล้ว คนที่ได้เป็นเจ้าสาวก็กลายเป็น คนที่พวกเฝิงคังเล่อชอบกันอีกครั้ง ส่วนนางก็ได้แต่เป็นสาวใช้ที่ติดตามเจ้านายไป
แล้วนับประสาอะไรกับที่นักเล่านิทานยังแอบรับปากนางว่า คราวหน้าพอหิมะตกแล้วเล่นปาหิมะกัน เขาจะอยู่ฝั่งเดียวกับตน เหตุใดพูดไม่เป็นคำพูดแบบนี้นะ นางต้องเปลืองแรงไปตั้งมากกว่าจะบอกให้พ่อแม่ซื้อเมล็ดแตงมาให้เยอะๆ ได้ ขนาดตัวเองยังตัดใจกินไม่ลง เพราะจะเก็บเอาไว้ตอนวันปีใหม่ ส่วนทางฝั่งบ้านเกิดนี้ ดูเหมือนว่า จะเป็นวันปีใหม่หรือไม่ปีใหม่ก็เหมือนจะไม่ต่างกันเท่าไร ไม่ใช่บ้านเกิดของ นักเล่านิทานที่ครึกครื้นอย่างมาก พวกเด็กๆ ได้ใส่เสื้อผ้าตัวใหม่ รับซองหงเปาจาก พ่อแม่และพวกผู้อาวุโส ทุกบ้านล้วนติดกลอนคู่ภาพเทพทวารบาล ทำอาหารมื้อคืนข้ามปีเต็มโต๊ะ
แต่ทุกครั้งที่เล่าเรื่องเรื่องหนึ่งจบหรือไม่ก็เล่าช่วงเล็กๆ ของเรื่องหนึ่งจบ เถ้าแก่รอง ที่ชอบเล่าเรื่องขุนเขาสายน้ำที่น่ากลัว แต่ตัวเขาเองไม่น่ากลัวแม้แต่น้อยผู้นั้น ก็จะเอ่ยถ้อยคำนอกเรื่องเล่าที่เวลานั้นจะไม่มีคนสนใจ ยกตัวอย่างเช่นพูดถึงข้อดีบางอย่างของกำแพงเมืองปราณกระบี่ บอกว่าแค่ดื่มเหล้าก็มีเซียนกระบี่กลุ่มใหญ่อยู่เป็นเพื่อน แค่หันหน้าไปมองก็เห็นว่าเซียนกระบี่กำลังกินบะหมี่หยางชุนและผักดอง นับว่าหาได้ยากยิ่ง ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในใต้หล้าไพศาลก็ล้วนไม่ได้เห็นทัศนียภาพเช่นนี้ จ่ายเงินมากแค่ไหนก็หาไม่ได้ แล้วก็เอ่ยอีกประโยคหนึ่งว่า ใต้หล้านี้ไม่ว่าจะเดินทางผ่านที่ใด ไม่ว่าจะดีกว่าหรือแย่กว่าบ้านเกิด บ้านเกิดก็มีแค่แห่งเดียวเท่านั้น คือสถานที่ที่ทำให้ คนคิดถึงได้มากที่สุด น่าเสียดายที่พอเล่าเรื่องจบ ทุกคนก็เหมือนฝูงนกที่แตกฮือ ไม่มีใครชอบฟังเรื่องพวกนี้
เรื่องเล็กที่ละเอียดยิบย่อยที่สุดในโลกมนุษย์พวกนี้ ตรอกเล็กที่พวกเด็กๆ อาศัยอยู่ สถานที่เล็กแคบเกินไป ไม่อาจรองรับได้มากนัก ลมฝนที่ใหญ่เพียงแค่นั้น พอฝนตกลมพัดเข้าหน่อยก็หายไปหมดแล้ว ขนาดพวกเด็กๆ เองยังจำไม่ได้ ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึง คนอื่นเลย
ถึงอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องราวที่นักเล่านิทานซึ่งนั่งอยู่บนม้านั่งเล่าให้ฟัง ในเรื่องราวเหล่านั้นแม้แต่ผีพรายภูตภูเขาที่ยกเกี้ยวให้เทพภูเขาก็ยังถูกตั้งชื่อให้ แล้วยังเล่าถึง การแต่งกายของพวกมัน เปิดโอกาสให้พวกมันได้เผยโฉม แม้แต่ผักดองหน้าหนาวมีประวัติความเป็นมาอย่างไร เคี้ยวกรุบกรอบแค่ไหนก็ยังต้องพูดถึง ทำเอาพวกเด็กๆ น้ำลายสออยากกินตามไปด้วย เพราะถึงอย่างไรที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ก็ไม่มีการฉลองวันปีใหม่ ทว่าก็มีหน้าหนาวที่ฟ้าดินเยียบเย็นทำให้คนมือเย็นเท้าชาให้ต้องข้ามผ่านเหมือนกันนี่นา
กำแพงเมืองปราณกระบี่ที่อยู่ติดกับใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ตรงหัวกำแพงเมืองนั่น ใต้ฝ่าเท้าคือทะเลเมฆเป็นชั้นๆ ดุจบันไดที่ช่างผู้เมามายก่อขึ้นมา ทุกคำพูดทุกการกระทำของเหล่าเซียนกระบี่ที่อยู่ที่นี่ล้วนเป็นเรื่องใหญ่แทบทั้งหมด แน่นอนว่าเรื่องที่เซียนกระบี่หญิงโจวเฉิงโล้ชิงช้าอยู่ปีแล้วปีเล่า
หมี่อวี้นอนหลับอยู่บนเตียงเมฆเรืองรองโดยไม่แยกกลางวันกลางคืน จ้าวเก้ออี๋และเฉิงเฉวียนสองศัตรูคู่อาฆาตที่ดื่มเหล้าไปแล้วก็ถ่มน้ำลายใส่กัน นั่นไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ได้สักเท่าไรเลยจริงๆ
เหล่าผู้ฝึกกระบี่ของสำนักใหญ่ๆ มากมายซึ่งรวมถึงสำนักกระบี่ไท่ฮุยเป็นหนึ่งในนั้น ได้เตรียมที่จะทยอยกันถอนกำลังออกจากกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้ว สำหรับเรื่องนี้แซ่ใหญ่ๆ ในนครของกำแพงเมืองปราณกระบี่ซึ่งรวมแซ่เฉิน ต่ง ฉีเป็นหนึ่งในนั้นและยังรวมถึงเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเอง ต่างก็ไม่มีความเห็นต่าง เพราะถึงอย่างไร เมื่อผ่านศึกใหญ่เคียงบ่าเคียงไหล่กับผู้ฝึกกระบี่ในท้องถิ่นไปแล้วหนึ่งครั้ง แค่นี้ ก็เพียงพอมากแล้ว เพียงแต่ว่าช่วงนี้สองศึกใหญ่เกิดขึ้นติดต่อกันเกินไป ถึงได้ถ่วงเวลาให้พวกคนต่างถิ่นไม่อาจหวนคืนบ้านเกิดได้เสียที
เคยมีคนยิ้มกล่าวว่า ความสัมพันธ์ควันธูปที่สะสมไว้กับเซียนกระบี่ของ กำแพงเมืองปราณกระบี่คือความสัมพันธ์ควันธูปที่ไม่มีค่าที่สุดในใต้หล้า อย่าได้เห็นเป็นจริงเป็นจัง ใครคิดจริงจัง คนนั้นก็คือคนโง่ ทว่าพวกคนที่พูดจาเหมือนผายลมแบบนี้กลับเป็นคนที่ไม่แน่เสมอไปว่าจะสังหารปีศาจได้มากที่สุด แล้วก็เป็นปีศาจที่ ตัว ‘ใหญ่’ ที่สุด หากน้ำหนักของปีศาจใหญ่ตัวนั้นไม่มากพอ จะสามารถสลักตัว อักษรใหญ่ใหม่เอี่ยมบนหัวกำแพงเมืองได้อย่างไร?
แต่ในบรรดาผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นที่มีคนของอุตรกุรุทวีปมากที่สุดนี้ ไม่ใช่ทุกคนที่จะกลับใต้หล้าไพศาลอันเป็นบ้านเกิด อย่างหานไหวจื่อเจ้าสำนักกระบี่ไท่ฮุยก็ยังอยู่ต่อที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ เซียนกระบี่ท่านอื่นๆ ของอุตรกุรุทวีปก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น คนที่จากไปล้วนเป็นคนหนุ่มสาว คนที่อยู่ต่อล้วนเป็นผู้เฒ่าที่ขอบเขตสูง แน่นอนว่าก็มี คนที่เดินทางมาเยือนที่แห่งนี้เพียงลำพัง อย่างเช่นลี่ไฉ่แห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิง หยวนชิงสู่เซียนกระบี่แห่งทักษิณาตยทวีป นอกจากเซียนกระบี่แล้ว ผู้ฝึกกระบี่ เซียนดินจำนวนมากที่มาจากต่างสำนักในเก้าทวีปใหญ่ ส่วนใหญ่ก็ล้วนอยู่ต่อ
ก็โชคดีที่กิจการร้านเหล้าของเตี๋ยจ้างขยับขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ พอควบรวม สองร้านที่อยู่ติดกันไว้ได้แล้ว จึงมีผนังสองฝั่งที่เอาไว้แขวนป้ายสงบสุขโดยเฉพาะเพิ่มขึ้นมา
ดังนั้นผู้ฝึกกระบี่ที่มีคนของอุตรกุรุทวีป โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกศิษย์ของ สำนักกระบี่ไท่ฮุยเป็นหลักกลุ่มี้ ถึงได้พากันมาเขียนชื่อและเขียนข้อความไว้ที่ ร้านเหล้า อีกทั้งเวลาคนเหล่านี้ไปดื่มเหล้าที่ร้านก็มักจะลากเอาผู้ฝึกกระบี่ในพื้นที่ที่เคยร่วมศึกใหญ่ด้วยกันสองครั้งไปด้วย คนกลุ่มนี้จึงสร้างบรรยากาศอย่างใหม่ ให้เกิดขึ้น ด้านหน้าและด้านหลังของป้ายสงบสุขหนึ่งแผ่นจึงมักจะเขียนชื่อและข้อความของผู้ฝึกกระบี่ต่างถิ่นกับผู้ฝึกกระบี่ในพื้นที่ที่ร่วมเป็นร่วมตายกันมาไว้คู่กัน ต่างคนต่างเขียนกันคนและด้าน บ้างก็เขียนถ้อยคำมีมารยาทเกรงใจ บ้างก็เขียนถ้อยคำหยาบคายด่ากันเอง และยังมีถ้อยคำบ้าบอของคนที่เมามาย รวมไปถึงถ้อยคำที่คัดมาจากตำราตราประทับสองร้อยกระบี่และบนหน้าพัดพับ เรียกได้ว่ามีสารพัด ทุกรูปแบบ
ป้ายสงบสุขแผ่นหนึ่งในนั้น ผู้ฝึกกระบี่โอสถทองหนุ่มที่เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าสำนักฝูเหยาทวีป นอกจากจะเขียนชื่อไว้ด้านหน้าแผ่นป้ายแล้ว ยังเขียนประโยคว่า ‘ข้าผู้อาวุโสอ่ายป้ายสงบสุขมาหมดแล้ว กล้าพูดเลยว่า ผู้ฝึกกระบี่ใต้หล้าไพศาลของพวกเรา เวทกระบี่สู้กำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่ได้แล้วอย่างไร เพราะตัวอักษรของพวกเรา เขียนได้ดีกว่ามากนัก!’
ด้านหลังคือชื่อและถ้อยคำของผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนหนึ่งของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ในส่วนของชื่อยังเขียนได้เป็นระเบียบงดงาม ทว่าอักษรตัวอื่นๆ บนป้ายสงบสุขกลับเผยพิรุธเสียได้ เพราะแกะสลักได้อย่างบิดเบี้ยวยิ่งนัก ‘คนของ ใต้หล้าไพศาลที่เขียนตัวอักษรไม่เป็นอย่างเจ้า แล้วยังมีคนที่ขายเหล้าไม่เป็นอย่าง เถ้าแก่รอง ลองมาตีกับกำแพงเมืองปราณกระบี่ของพวกเราอีกสักทีสิ หรือจะตีกันมากกว่านั้นก็พร้อมเสมอ’
จั่วโย่วกำลังพูดคุยเรื่องความเข้าใจที่มีต่อเวทกระบี่ให้เว่ยจิ้นฟัง หลังจากที่ เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสปรากฏตัว เว่ยจิ้นก็ขอตัวลากลับไป
ทว่าเฉินชิงตูกลับโบกมือ “อยู่ต่อเถอะ ในสายตาของข้า เวทกระบี่ของพวกเจ้าสูงพอๆ กัน”
เว่ยจิ้นได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน
เซียนกระบี่ใหญ่ผู้เฒ่า ท่านอยากจะปลุกความฮึกเหิมให้ผู้อาวุโสจั่วโย่วก็อย่าลากผู้น้อยไปเกี่ยวด้วยสิ
เฉินชิงตูเอ่ยเข้าประเด็นทันที “อันที่จริงมีเรื่องอยากจะขอร้อง พูดว่าขอร้องก็ไม่ค่อยถูก หนึ่งคือคำสั่งของอาจารย์เจ้า อีกหนึ่งคือความคาดหวังของข้า จะฟังหรือ ไม่ฟังก็แล้วแต่พวกเจ้า ทว่าหลังจากแล้วแต่พวกเจ้าแล้ว ก็ถึงคราวแล้วแต่กระบี่ ของข้าบ้าง”
เว่ยจิ้นจนใจยิ่งนัก
พูดแบบนี้ก็แสดงว่าไม่มีที่ให้ปรึกษากันแล้ว อย่างน้อยที่สุดตนก็คิดเช่นนี้ แต่ผู้อาวุโสจั่วโย่วจะตัดสินใจอย่างไร ตอนนี้ยังบอกได้ยาก
จั่วโย่วถาม “ทำไมอาจารย์ถึงไม่พูดกับข้าเอง?”
เฉินชิงตูยิ้มกล่าว “อาจารย์พูดไปศิษย์ก็ไม่ฟัง แล้วยังจะพูดอีกทำไม? จะให้ข้าได้ยินแล้วก็รู้สึกว่า ซิ่วไฉเฒ่าที่ชอบใช้เหตุผลที่สุดในโลกกลับกลายเป็นคนที่อบรม ลูกศิษย์ไม่ได้เรื่องอย่างนั้นหรือ?”
จั่วโย่วเอ่ย “ลูกศิษย์อย่างข้าทำให้อาจารย์เป็นกังวลจริงๆ”
ขอแค่พูดถึงอาจารย์ตนดีๆ ก็ล้วนใช้ได้ผลกับจั่วโย่วทั้งสิ้น แล้วก็เป็นสิ่งเดียวที่ใช้ได้ผลที่สุดอีกด้วย
เฉินชิงตูหันมาพูดกับเว่ยจิ้น “เว่ยจิ้น วันนี้ข้าโน้มน้าวเจ้า เจ้าอาจไม่ยินดีฟังเสมอไป ดังนั้นหลังจากร่วมสงครามใหญ่อีกครั้ง เจ้าค่อยฟังคำข้าก็ได้ ไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ซะ ถึงเวลานั้นจะมีสามสถานที่ให้เจ้าเลือก ทักษินาตยทวีป ฝูเหยาทวีป ทวีปเกราะทอง เจ้าคิดเสียว่าไปท่องภูเขาแม่น้ำก็แล้วกัน เว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะแจกันสมบัติทวีปไม่ควรจะเป็นเพียงแค่คนลุ่มหลงในรักที่เศร้าเสียใจอย่างสุดแสน อีกอย่างอยู่ที่ไหนก็เสียใจได้เหมือนกันนั่นแหละ ไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ที่ กำแพงเมืองปราณกระบี่ ห่างไกลเกินไป แม่นางที่ชอบก็มองไม่เห็นเสียหน่อย”
เฉินชิงตูยิ้มกล่าว “ที่ข้าพูดจาไม่เกรงใจกับเจ้าแบบนี้ แน่นอนว่าสาเหตุเป็นเพราะเวทกระบี่ของเจ้ายังต่ำกว่าจั่วโย่ว ดังนั้นในอนาคตเมื่อออกไปจากกำแพงเมือง ปราณกระบี่แล้วก็จำให้ดีว่าต้องตั้งใจฝึกกระบี่ เมื่อเวทกระบี่สูงขึ้นแล้วจะได้ไล่ตาม จั่วโย่วได้ทัน และคราวหน้าข้าก็จะพิจารณาว่าจะเกรงใจเจ้าให้มากขึ้น”
เว่ยจิ้นยิ้มเจื่อน “เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส ทำได้เพียงเท่านี้เองหรือ?”
เฉินชิงตูกระดกปลายคางชี้ไป “ถามข้าทำไม ไปถามกระบี่ของเจ้าโน่น”
เว่ยจิ้นยิ่งจนใจกว่าเดิม
คราวนี้พอเว่ยจิ้นขอตัวจากไป เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสจึงไม่ได้รั้งตัวไว้อีก
เหลือเพียงคนสองคนที่เวทกระบี่สูงส่ง
เฉินชิงตูเอ่ยว่า “ศิษย์น้องเล็กของเจ้าคนนั้นไม่ยอมให้จุดตะเกียงอมตะ แต่ทำการค้าเล็กๆ อย่างหนึ่งกับข้า ในอนาคตเมื่ออยู่บนสนามรบจะช่วยเขาหนึ่งครั้ง หรือไม่ก็ช่วยคนที่เขาอยากช่วยหนึ่งครั้ง”
เฉินชิงตูยิ้มกล่าว “คนที่กลัวตายขนาดนั้น อยู่ดีๆ กลับไม่กลัวตายเสียแล้ว ส่วนจั่วโย่วที่พูดน้อย จู่ๆ กลับพูดมากเสียขนาดนั้น ลูกศิษย์สายเหวินเซิ่งอย่าง พวกเจ้านี่คิดอะไรอยู่กันแน่”
จั่วโย่วกล่าว “หากอยากรู้ อันที่จริงก็ง่ายมาก”
แน่นอนว่าต้องเป็นลูกศิษย์สายเหวินเซิ่งของพวกข้าก่อนค่อยว่ากัน
เฉินชิงตูหัวเราะร่า “ข้าว่าเจ้าอย่าพูดเลยดีกว่า ศิษย์หลานทั้งหลายของเจ้ายังอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ หากอาจารย์ลุงใหญ่ผู้ไร้ศัตรูเทียมทานในสายตาของ พวกเขา จู่ๆ กลับถูกคนซ้อมเสียจนหน้าเขียวจมูกบวม คงไม่ค่อยเข้าท่าสักเท่าไร”
ใช่ว่าจั่วโย่วจะไม่ถือสาคำพูดของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส เพียงแต่ว่าตอนนี้ เขาสนใจเรื่องที่ใหญ่ยิ่งกว่านั้น จึงถามว่า “หากเขามา จะทำอย่างไร?”
เฉินชิงตูเอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งลูบเสยไปบนศีรษะ ลูบเลยไปยันผมที่อยู่ช่วงท้ายทอยของตัวเอง “ประตูใหญ่เปิดอ้า ต้อนรับแขกหมื่นปี เซียนกระบี่รับมือ กับศัตรู มีแต่จะรังเกียจว่าปีศาจใหญ่ไม่ใหญ่พอ แค่นี้ก็ยังไม่เข้าใจอีกหรือ?”
จั่วโย่วพยักหน้ารับ “มีเหตุผล”
เฉินชิงตูเอ่ยสัพยอก “โอ้โห ในที่สุดก็อยากออกกระบี่เพื่อตัวเองแล้วรึ?”
จั่วโย่วกล่าว “สายของเหวินเซิ่ง พูดแค่เหตุผล ไม่เคยคุยโว ข้าที่เป็นศิษย์พี่ใหญ่และอาจารย์ลุงใหญ่จะทำให้คนร่วมสำนักได้รู้ว่า คำกล่าวที่ว่าผู้มีเวทกระบี่สูงสุดใน ใต้หล้าไพศาลแห่งนี้ ไม่ใช่แค่คำชื่นชมที่เกินจริง และคำประเมินนี้ยังต่ำไปด้วยซ้ำ”
เฉินชิงตูยิ้มกล่าว “ยังอยากได้สูงกว่านี้อีกหรือ? จะสูงแค่ไหน? เขย่งเท้ายืดคอให้มาถึงหัวไหล่ข้าเลยไหม?”
จั่วโย่วกล่าว “เฉินชิงตู ตัดขาดฟ้าดิน มาสู้กันสักตั้ง”
เฉินชิงตูเอาสองมือไพล่หลังแล้วเดินจากไป
จั่วโย่วหลับตาทำสมาธิเพื่อหล่อเลี้ยงปณิธานกระบี่ด้วยความอบอุ่นอีกครั้ง
สงครามใหญ่ครั้งถัดไป เหมาะแก่การออกกระบี่อย่างเต็มกำลังมากที่สุด
จุดที่ห่างไปไกลแสนไกล
สตรีโจวเฉิงยังคงโล้ชิงช้าอยู่ดังเดิม นางคลอเพลงพื้นบ้านของที่แห่งอื่นที่ยากจะทำความเข้าใจอยู่ในลำคอ
เมื่อหลายปีก่อน ตอนที่นางยังเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่ง มีคนหนุ่มคนหนึ่งที่มาจากต่างถิ่นสอนบทเพลงนี้ให้แก่นาง ก็ไม่ถือว่าสอน แค่ว่าเขาชอบไปนั่งอยู่จุดที่ไม่ห่างจากชิงช้าเท่าไรแล้วคลอเพลงอยู่กับตัวเอง ตอนนั้นนางไม่ได้รู้สึกว่ามันน่าฟัง ยิ่งไม่อยากเรียน ขนาดฝึกกระบี่ยังมีเวลาไม่พอ แล้วจะเรียนเรื่องเลื่อนลอยพวกนี้ ไปทำไม
ภายหลังโจวเฉิงได้ยินคำกล่าวว่าผู้ฝึกตนอิสระแห่งป่าเขาเป็นครั้งแรก เขายังบอกว่าการที่เขามาที่นี่ก็เพราะอยากจะเห็นบ้านเกิดในใจของเขา ไม่ได้มีความรู้สึกอะไร ก็แค่อยากมาดูเท่านั้น
เซียนกระบี่ใหญ่ลู่จือเดินมาหยุดอยู่ข้างชิงช้า ยื่นมือข้างหนึ่งมากำเชือกเอาไว้ แล้วแกว่งเบาๆ
โจวเฉิงไม่ได้หันหน้ากลับไป แค่ถามเสียงเบาว่า “พี่หญิงลู่ มีคนบอกว่าอยากจะมาดูบ้านเกิดในใจ ถึงขั้นไม่เสียดายชีวิต เหตุใดท่านถึงไม่ไปดูมาตุภูมิในใจของท่านบ้าง? ไม่ได้ต้องตายเสียหน่อย แล้วนับประสาอะไรกับที่ท่านยังสะสมคุณความชอบด้านการรบมามากขนาดนั้น เซียนกระบี่ใหญ่ผู้เฒ่ารับปากท่านมานานแล้ว บอกว่าหากผลการศึกมีมากพอก็จะไม่ขัดขวาง”
ลู่จือคือหญิงสาวที่มีเรือนกายสูงเพรียวผอมบางอย่างเห็นได้ชัดคนหนึ่ง แก้มของนางตอบลงเล็กน้อย เพียงแต่ผิวพรรณขาวนวล หน้าผากโหนกเกลี้ยงเกลา แวววาวประหนึ่งสะสมแสงจันทร์ไว้ภายใน
รูปโฉมของนางไม่ถือว่างดงามสักเท่าไร เพียงแต่พลังอำนาจน่าเกรงขาม แม้จะยืนอยู่ข้างชิงช้าเงียบๆ แต่พลังอำนาจกลับเหมือนยามที่จั่วโย่วไม่เก็บปราณกระบี่
ลู่จือส่ายหน้า “การที่มีข้อตกลงเช่นนั้น เป็นเพราะมีความคิดว่าอยากจะหาอย่างอื่นทำนอกเหนือจากการฝึกกระบี่ สามารถทำได้ แต่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะต้องทำจริงๆ”
โจวเฉิงไม่เอ่ยอะไรอีก
ลู่จือไกวชิงช้าเบาๆ “หลังจากได้ไปเยือนภูเขาห้อยหัวอย่างเปิดเผย ความคิดนั้น ก็ถือว่าสิ้นสุดลงแล้ว ความคิดตอนนี้ก็คือไปทางทิศใต้ ไปเยือนสถานที่สองแห่งที่ห่างไกลมากๆ ป้อนน้ำม้าข้ามลำธาร ปักกระบี่ลากจันทราภูผา”
โจวเฉิงหันหน้ามายิ้มกล่าว “คือเจ้าคนปากสุนัขไม่งอกงาช้างผู้นั้น? ท่านชอบเขาหรือ?”
ลู่จือส่ายหน้า “ใช่ว่าสตรีจะต้องชอบบุรุษเสมอไป ข้าไม่ชอบที่ตัวเองชอบใคร ชอบแค่ตัวเองที่ไม่ว่าใครก็ล้วนไม่ชอบ”
โจวเฉิงยิ้มกล่าว “พี่หญิงลู่ ท่านพูดจาเหมือนคนของใต้หล้าไพศาลจริงๆ”
“โจวเฉิง หากวันใดไม่มีชิงช้าแล้ว เจ้าจะทำอย่างไร?”
“คนก็ตายไปแล้ว ข้าไม่สนแล้วล่ะ”
“ชอบคนคนหนึ่ง ต้องเป็นถึงขนาดนี้เชียวหรือ?”
“ก็ใช่ว่าจะชอบเขามากมายจริงๆ เสียหน่อย ถึงอย่างไรก็ไม่เหลืออะไรแล้ว สำนักเหลือแค่ข้าคนเดียว ยังจะคิดอะไรได้อีก พี่หญิงลู่มีพรสวรรค์ดี สามารถคิดว่า จะทำอะไรได้ แต่ข้ากลับทำไม่ได้ คิดไปก็ไม่มีประโยชน์ ข้าก็เลยไม่คิดเสียเลย”
ลู่จือทอดสายตามองไปทางทิศใต้ พูดด้วยสีหน้าเฉยชาว่า “เซียนกระบี่ที่ได้แต่ รอความตายไม่ได้มีแค่คนสองคนเท่านั้น เจ้าว่ามันน่าตลกหรือไม่?”
โจวเฉิงไม่เอ่ยอะไร แล้วก็ไม่ยิ้มด้วย
เซียนกระบี่ลี่ไฉ่แห่งอุตรกุรุทวีปคือพวกคนที่ไม่รู้จักหยุดอยู่นิ่ง วันนี้ถามกระบี่กับหานไหวจื่อของสำนักกระบี่ไท่ฮุย พรุ่งนี้ก็ไปถามกระบี่กับเซียนกระบี่คนอื่น หากถามกระบี่กับเซียนกระบี่ไม่สำเร็จก็ไปรังแกผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิด โหวกเหวกว่าข้าเป็น สตรีคนหนึ่งพวกเจ้ายังเอาชนะไม่ได้ ไม่เพียงเท่านี้ ขนาดจะสู้กับข้าก็ยังไม่กล้า ยังนับว่าเป็นบุรุษมีไอ้จ้อนได้ด้วยหรือ? พวกผู้ฝึกกระบี่ส่วนใหญ่มักจะโมโหเดือดดาล แต่พอแพ้แล้วก็ไปเรียกสหายมา ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ใครบ้างที่ไม่มีเพื่อนเป็นเซียนกระบี่? หลังจากเชิญให้เซียนกระบี่ออกจากภูเขามาได้แล้ว หากลี่ไฉ่ชนะแล้วยังนับว่าดี เพราะนางจะเปลี่ยนคนถามกระบี่ แต่หากแพ้ก็จะไปหาผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนนั้นอีกครั้ง พอทำอย่างนี้ซ้ำไปซ้ำมา ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนนั้นก็จะหน้าบูดบึ้ง และสหายเซียนกระบี่ก็ไม่ยินดีพบหน้าเขาแล้ว จึงต้องบอกกับลี่ไฉ่ว่าจะเอาแต่จับแกะตัวเดียวมาตัดขนอย่างเอาเป็นเอาตายไม่ได้ ดังนั้นจึงแอบแนะนำก่อกำเนิด อีกคนหนึ่งให้กับลี่ไฉ่ บอกว่าให้ไปหาเจ้าหมอนั่น สหายเซียนกระบี่ที่เจ้าหมอนั่นรู้จัก มีมากกว่าเสียอีก
ลี่ไฉ่จึงรู้สึกชอบกำแพงเมืองปราณกระบี่จากใจจริง
มีคนให้ต่อสู้ด้วยไม่มีวันหมด อีกทั้งไม่ว่าจะแพ้หรือชนะก็ไม่มีเรื่องให้ต้องกังวล เทียบกับอุตรกุรุทวีปที่ทำอะไรก็เหมือนถูกมัดมือมัดเท้า ต้องคอยเห็นแก่หน้าตาและความสัมพันธ์ควันธูปแล้ว ถือว่าดีกว่ามากนัก
ลี่ไฉ่ถึงขั้นอยากจะหาบุรุษสักคนมาแต่งงานด้วยให้รู้แล้วรู้รอดไป จะได้อยู่ที่นี่ ไม่ต้องกลับไป
เพียงแต่ว่าพอมีความคิดนี้ก็จะรู้สึกผิดต่อเจียงซ่างเจิน ทว่าพอคิดอีกครั้ง บุรุษอย่างเจียงซ่างเจินไม่มีทางชอบสตรีคนเดียวได้ตลอดชีวิต แล้วนางจะชอบเขาไปทำไม? นั่นไม่ใช่การย่ำยีตัวเองหรอกหรือ? ทว่ายามที่เซียนกระบี่หญิงนั่งอยู่บน หัวกำแพง หรือไม่ก็พักรักษาอาการบาดเจ็บอยู่ในจวนว่านเฮ้อของตน คิดไปสะระตะก็ไม่อาจไม่ชอบเขาอีก นี่ทำให้ลี่ไฉ่กลัดกลุ้มจนนึกอยากจะดื่มเหล้าให้ตัวเองเมาตาย ไปเสีย
เรือนว่านเฮ้อที่ลี่ไฉ่มาพักอยู่ชั่วคราวอยู่ห่างจากจวนคลังเจี่ยจ้างที่เป็นเรือนส่วนตัวของสำนักกระบี่ไท่ฮุยไปไม่ไกล และยิ่งอยู่ใกล้กับหออวิ๋นถิงที่สิ่งปลูกสร้างหลักล้วนใช้หยกมรกตแกะสลักขึ้นทั้งหมด
ลี่ไฉ่จึงส่งจดหมายฉบับหนึ่งไปให้เจียงซ่างเจิน บอกให้เขาควักเงินซื้อให้ แต่เนื่องจากกังวลว่าเขาจะไม่ยินดีควักเงิน ในจดหมายจึงโก่งราคาให้สูงลิบลิ่ว
ผู้เฒ่าร่างผอมแห้งเหมือนท่อนฟืนคนหนึ่งที่ปลายจมูกแดงก่ำหิ้วกาเหล้าเดินออกมาจากที่พักอย่างที่หาได้ยาก เขามาเดินโงนเงนอยู่บนหัวกำแพงเพื่อชมทัศนียภาพ เขาไม่ได้มาที่นี่บ่อยนัก เพราะลมแรงเกินไป
ยามที่เดินผ่านเซียนกระบี่ขอบเขตหยกดิบที่พู่ห้อยกระบี่ยาวมากจนสามารถผูกกระบี่ให้ลากพื้น หัวกำแพงเมืองกว้างขวางมาก อันที่จริงทั้งสองฝ่ายก็อยู่ห่างกันมาก แต่อู๋เฉิงเพ่ยที่เดิมทีใจลอยกลับหันขวับมาจ้องผู้เฒ่าคนนั้นเขม็ง ดวงตาของเขาแดงก่ำ ด่าอย่างเดือดดาลว่า “เจ้าสัตว์เดรัจฉานเฒ่า ไสหัวไปให้ไกล!”
ผู้เฒ่าอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่มีฉายาว่าเฒ่าหูหนวก ฉายาของเขาฟังแล้ว ไม่มีบารมีเอาเสียเลย แต่กลับติดอันดับสิบคนสูงสุดของกำแพงเมืองปราณกระบี่อย่างจริงแท้แน่นอน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงลำดับขั้นของผู้เฒ่าที่อยู่เหนือกว่าน่าหลันเซาเหว่ยและลู่จือเสียอีก
พูดประโยคที่ไม่น่าฟังสักหน่อย ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ทุกคนสามารถทำตัวเจ้าอารมณ์ได้ ลำพังเพียงแค่ประโยคที่ล่วงเกินอย่างถึงที่สุดของอู๋เฉิงเพ่ยประโยคนี้ ผู้เฒ่าก็สามารถออกกระบี่ได้แล้ว และใครที่ขัดขวางก็ล้วนต้องเจอเคราะห์ซวยไปด้วย
ทว่าเฒ่าหูหนวกกลับทำเหมือนคนหูหนวกจริงๆ ไม่เพียงแต่ไม่เอ่ยอะไร กลับกันยังเพิ่มความเร็วฝีเท้าเดินเร็วขึ้นดั่งที่อีกฝ่ายต้องการ ไปมาประหนึ่งเมฆหมอก พริบตาเดียวก็หายวับไม่เห็นเงา
อู๋เฉิงเพ่ยถึงได้ก้มหน้าก้มตาเดินต่อไปอีกครั้ง
เฒ่าหูหนวกเดินๆ หยุดๆ มีคนทักทาย มีคนที่แสร้งทำเป็นมองไม่เห็น แต่ผู้เฒ่ากลับไม่เอ่ยอะไรกับใคร
มีเพียงมาถึงจุดที่ภิกษุอยู่ เขาถึงได้หยุดยืนนิ่ง พูดด้วยเสียงแหบพร่าว่า “พูดภาษาพระธรรมอีกสักหน่อยเถอะ ถึงอย่างไรข้าก็ไม่ได้ยินอยู่แล้ว”
ภิกษุที่นั่งอยู่ปลายสุดด้านหนึ่งของหัวกำแพงเมืองจึงเริ่มเทศน์ภาษาธรรม
นอกเบาะรองนั่งของภิกษุคือเมฆสีขาวโพลน บางครั้งก็มีแสงสีทองเส้นหนึ่งผุดวาบแล้วก็หายไป นั่นคือภาพเหตุการณ์อัศจรรย์หลังจากที่แม่น้ำแห่งกาลเวลาถูกวัตถุที่มองไม่เห็นขัดขวางจึงสาดกระเซ็นเป็นสะเก็ด
ภิกษุยื่นมือออกมาเหมือนวักน้ำ เพียงแต่ก็ยังช้ากว่าแสงสีทองเส้นนั้นอยู่ดี เขาจึงหดมือกลับ ต้องกลับไปมือเปล่าอีกครั้งหนึ่ง
ผู้เฒ่าหูหนวกไปหาอริยะลัทธิขงจื๊อที่มีชาติกำเนิดจากพุทธบริษัท ตำแหน่งของเขาอยู่ที่ปลายอีกด้านหนึ่งของหัวกำแพงเมือง ผู้เฒ่าเอ่ยประโยคที่คล้ายคลึงกัน อริยะลัทธิขงจื๊อท่านนั้นจึงเอ่ยบางประโยค ผู้เฒ่าหูหนวกพยักหน้ารับ แล้วจึงไปหานักพรตเฒ่าที่อยู่ในจุดสูงสุดกลางทะเลเมฆ คือลูกศิษย์ใหญ่ของลูกศิษย์ใหญ่เบื้องใต้มรรคาจารย์เต๋า รอกระทั่งนักพรตเฒ่าเอ่ยถ้อยคำบางอย่างแล้ว
ผู้เฒ่าหูหนวกถึงได้ออกมาจากหัวกำแพง ไปยังคุกที่เขารับผิดชอบเฝ้าพิทักษ์มานานหลายพันปี คุกแห่งนี้ไม่มีชื่อ ก็น่าประหลาดนัก ยิ่งเป็นปีศาจใหญ่ที่ขอบเขตสูง จุดที่ถูกกักขังก็ยิ่งอยู่ใกล้กับพื้นดิน ยามที่ผู้เฒ่าหัวหนวกเดินผ่านกรงขังแต่และแห่ง ถึงอย่างไรเขาก็ไม่ได้ยินเสียงด่าหรือคำเย้ยหยันอะไรอยู่แล้ว ส่วนความเดือดดาล ของปีศาจใหญ่ที่ชักนำให้ตลอดทั้งกรงขังสั่นสะเทือนไม่หยุดนั้น ผู้เฒ่าก็ยิ่งไม่สนใจ ผู้เฒ่าหลังค่อมไม่แม้แต่จะเงยหน้า จึงมองไม่เห็นสายตาเคียดแค้นที่ฝังลึกลงกระดูกดำพวกนั้น สุดท้ายจึงลงไปยังชั้นล่างเพื่อไปดูปีศาจที่ขอบเขตไม่สูง แล้วถ่ายทอด เวทกระบี่ให้ จะเรียนหรือไม่เรียนก็ไม่เป็นไร ถึงอย่างไรก็ล้วนต้องตายอยู่แล้ว ตายช้าตายเร็ว แบบไหนโชคดีกว่ากัน? บอกได้ยากนัก
ก่อนหน้านี้เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสกำชับเขาไว้หนึ่งเรื่อง วันที่เขาต้องขึ้น หัวกำแพงเมืองไปสังหารศัตรูนั้น นอกจากชีวิตเล็กๆ ของโอสถทองสามคนที่แลกมาด้วยคุณความชอบซึ่งสามารถอยู่ต่อได้ตามข้อตกลงแล้ว ก็อย่าลืมว่าต้องสังหาร เผ่าปีศาจทั้งหมดที่อยู่ในคุก หากไม่ได้ยินประโยคนี้ ถ้าอย่างนั้นก็หูหนวกจริงๆ แล้ว ปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานตนหนึ่งที่ตายไปแล้ว หูจะยังได้ยินอีกได้อย่างไร?
ผู้เฒ่าหูหนวกไม่รู้สึกว่ามีอะไรให้ต้องไม่พอใจ หลายพันปีมานี้ เลือกไปเลือกมา ก็ทยอยเลือกปีศาจได้สามตน ปัญหาข้อเดียวนั้นอยู่ที่ว่า ต่อให้มีพรสวรรค์ดีแค่ไหน สามารถกดขอบเขตได้มากเท่าไร นานวันเข้าก็ยังจำต้องฝ่าทะลุขอบเขตอยู่ดี เหตุผลนั้นเรียบง่ายมาก หากขอบเขตไม่พอจะมีชีวิตอยู่ได้หลายร้อยหลายพันปีได้อย่างไร? แน่นอนว่าต้องตายไปตามอายุขัย ดังนั้นในประวัติศาสตร์มีคนตายไปกี่ครั้ง ผู้เฒ่าหูหนวกก็จะเสียดายเท่านั้น รอไปรอมา รอมาอยู่อย่างนี้ ตอนนี้ยังมีลูกศิษย์ ที่ไม่ได้รับการบันทึกชื่อมีชีวิตรอดอยู่สามคน ซึ่งไม่รู้ว่าศิษย์พี่ของพวกเขาที่เรียน วิชากระบี่อย่างเงียบเชียบแล้วก็ตายไปอย่างเงียบเชียบมีมากกี่คนแล้ว
ในบรรดาคนทั้งสาม คนหนึ่งเพิ่งจะเป็นขอบเขตถ้ำสถิต อีกคนหนึ่งขอบเขต ประตูมังกร อีกคนหนึ่งคือคอขวดโอสถทองที่สติใกล้จะวิปลาสเต็มที
ในเรื่องของการรับลูกศิษย์นี้ เฒ่าหูหนวกเปิดเผยอย่างยิ่ง เป็นลูกศิษย์ของข้าแล้ว เมื่อกลายเป็นขอบเขตก่อกำเนิดก็ต้องตาย ดังนั้นจึงต้องชั่งน้ำหนักในเรื่องการฝ่าทะลุขอบเขตเอาเอง
นอกกำแพงเมืองปราณกระบี่และนคร นอกจากหอมายาที่อยู่ทางเหนือสุดแล้ว ยังมีจวนที่เซียนกระบี่ทิ้งไว้อย่างคลังเจี่ยจ้าง เรือนว่านเฮ้อ หอถิงอวิ๋น ฯลฯ แต่อันที่จริงยังมีสถานที่บางแห่งที่พอจะเรียกได้ว่าเป็นสถานที่สำคัญได้ แต่ตอนนี้ได้กลายเป็นพื้นที่ต้องห้ามไปแล้ว ไม่พูดถึงคุกที่เฒ่าหูหนวกเป็นคนดูแล อันที่จริงยังมีสถานที่ อีกสามแห่ง หอกระบี่ที่ตระกูลต่งเป็นผู้ดูแล หอภูษาที่ตระกูลฉีเป็นผู้ดูแลและหอโอสถที่ตระกูลเฉินเป็นผู้ควบคุม
กระบี่ที่หอกระบี่หลอมออกมาไม่เคยเป็นกระบี่ที่ดี ก็แค่กระบี่ยาวที่ไม่ถือว่าเป็นสมบัติอาคมด้วยซ้ำ เซียนกระบี่อยากได้หรือไม่ก็ตามใจ เพราะขอแค่เป็นผู้ฝึกกระบี่ที่มาเยือนนครก็จะได้รับไปเล่มหนึ่ง เช่นเดียวกันคืออยากรับก็รับ ไม่อยากรับก็ช่าง ลูกหลานตระกูลใหญ่และตระกูลชนชั้นสูงทั้งหลาย อาศัยการสืบทอดจากตระกูลก็ดี หรือทุ่มเงินก้อนใหญ่ซื้อมาจากใต้หล้าไพศาลก็ช่าง ขอแค่สามารถได้กระบี่เล่มหนึ่งมาอยู่ในมือ นั่นก็ถือว่าเป็นความสามารถแล้ว
ในความเป็นจริงแล้วเซียนกระบี่หลายคนกลับกลายเป็นว่าชอบพกกระบี่ที่ หอกระบี่หลอมไปใช้สังหารปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วนมากกว่า
ส่วนเสื้อผ้าที่หอภูษาถักทอขึ้น ระดับขั้นก็ไม่สูงเหมือนกัน
มองไปแล้วเหมือนของเด็กเล่น
แต่ก็เห็นได้ชัดว่าสองสถานที่นี้คือสถานที่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่มิอาจขาดได้มากที่สุด
บนแผ่นดินของกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่เคยมีเซียนกระบี่ที่ร่วงลงมาจากฟ้า ล้วนเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่เดินจากขอบเขตหนึ่งขึ้นสู่อีกขอบเขตหนึ่งเสมอ ต่างกันก็แค่ว่าช้าหรือเร็ว ทว่าขอบเขตกลับดำรงอยู่เสมอ
ประโยชน์ในการใช้งานของหอโอสถก็ยิ่งเรียบง่ายกว่ามาก นั่นคือนำของเชลยศึกทั้งหลายและศพของเผ่าปีศาจที่ตายอยู่บนหัวกำแพงและสนามรบทางทิศใต้มาเลาะเนื้อดึงเส้นเอ็น นำทุกอย่างมาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่เพียงเท่านี้ หอโอสถยังเป็นถิ่นที่คนดีและคนเลวของสามลัทธิเก้าสาขาปะปนกันมากที่สุด ผู้ฝึกตนพรรค หลอมโอสถและพรรคมหายันต์ที่อยู่ที่นั่นมีจำนวนมากที่สุด บางคนเป็นฝ่ายมาลงนามทำสัญญาด้วยตัวเอง บ้างก็ร้อยปี บ้างก็หลายร้อยปี ได้เงินมาพอแล้วค่อยจากไป บางคนก็เป็นคนต่างถิ่นที่ถูกลักพาตัวมา หรือไม่ก็เป็นยอดฝีมือนอกโลก สุนัขไร้บ้านของใต้หล้าไพศาลที่ตระกูลหรือสำนักล่มจมจึงต้องมาหลบภัยอยู่ที่นี่
และกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็อาศัยหอโอสถแห่งนี้มาทำการค้าน้อยใหญ่กับ เรือข้ามทวีปมากมายของใต้หล้าไพศาลที่จอดอยู่นอกท่าเรือของภูเขาห้อยหัว
อีกทั้งหอโอสถยังมีความสัมพันธ์อันแนบชิดกับคุกที่เฒ่าหูหนวกเป็นผู้ดูแล เพราะถึงอย่างไรเศษชิ้นส่วนที่ดึงเอามาจากเลือดสด กระดูกและโอสถปีศาจของ เผ่าปีศาจก็ถือเป็นสมบัติล้ำค่าบนภูเขาทั้งสิ้น
สถานที่ต้องห้ามสามแห่งที่มีกฎเกณฑ์เข้มงวด และการระวังภัยก็ยิ่งน่าตะลึงเหล่านี้ ไม่ว่าใครเข้าไปล้วนง่าย แต่คิดจะออกมากลับยากยิ่ง แม้แต่เซียนกระบี่ก็ยังไม่ใช่ข้อยกเว้น
ท่ามกลางเส้นอักษรขนาดใหญ่ยักษ์ของตัวอักษรใหญ่ที่แกะสลักลงไปบน หัวกำแพงเมืองทางทิศใต้ จะมีผู้ฝึกกระบี่ประเภทหนึ่งที่ไม่ว่าจะเด็กหรือแก่ ไม่ว่าตบะจะสูงหรือต่ำ ก็ล้วนอยู่ห่างไกลจากความถูกความผิดในนครเสมอ บางครั้งที่ไป หัวกำแพงเมืองและทางทิศเหนือก็มักจะไปกลับอย่างเงียบเชียบ
พวกเขารับผิดชอบไป ‘เก็บเงิน’ ที่ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
คล้ายคลึงกับทหารลาดตระเวนชายแดนของราชวงศ์มนุษย์ในใต้หล้าไพศาล
ดังนั้นต่อให้ขอบเขตจะต่ำแค่ไหนก็ยังเป็นผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตประตูมังกร ทุกครั้งที่เดินทางไปยังทิศใต้มักจะมีเซียนกระบี่นำขบวนไปเสมอ
ในอดีตเฉินซานชิวลูกหลานตระกูลชนชั้นสูงอันดับหนึ่งกับเสี่ยวชวีชวีเพื่อนรักที่กระเสือกกระสนมาจากกลุ่มชาวบ้านยากจน ผู้ฝึกกระบี่เด็กหนุ่มสองคนที่ชาติกำเนิดแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ความปรารถนาที่ใหญ่ที่สุดในช่วงเวลานั้นก็คือสามารถไป เก็บเงินที่ทางทิศใต้
และผู้ฝึกกระบี่ที่เก็บเงินได้บ่อยครั้งที่สุด ไปได้ไกลที่สุดก็มักจะชอบเรียกตัวเองว่ามือกระบี่ ชอบบอกว่าการที่ตัวเองพเนจรไปเรื่อยแบบนี้หาใช่เพื่อดึงดูดสายตาของเหล่าสตรีไม่ เพียงแค่เขาชอบท่องยุทธภพก็เท่านั้น
ใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่อยู่ทางทิศใต้ก็คือยุทธภพใหญ่แห่งหนึ่ง เขาสามารถพบเจอกับเรื่องน่าสนใจได้มากมาย
เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่พูดถ้อยคำฮึกเหิมชวนให้จิตใจของเด็กรุ่นหลังทั้งหลายสั่นไหวเหล่านี้จบ วันนั้นคนผู้นั้นก็จะวิ่งตุปัดตุเป๋ไปดื่มเหล้าในนคร ที่ไหนมีสายตาสตรีมากก็จะไปที่นั่น
หลังจากกลับมาด้วยกลิ่นเหล้าคละคลุ้งเต็มตัว ก็จะยิ้มตาหยีพูดกับตะพาบน้อยบางคนที่เขาไม่ชอบขี้หน้าว่า พวกเจ้าใครๆๆ เกือบจะได้เรียกข้าว่าพ่อหรือไม่ก็ ท่านบรรพบุรุษแล้ว ก็โชคดีที่ข้าวางตัวดี ทั่วร่างมีแต่ปราณของความเที่ยงธรรมซื่อสัตย์ สาวงามจึงยากจะเข้าใกล้ได้!
หากมีเด็กคนไหนเถียงกลับ เขาที่ไม่เคยเสียเปรียบใครก็จะพูดว่าใครๆๆ ในบ้านของพวกเจ้า ลำพังพูดถึงแค่ใบหน้า นั่นก็ไม่เกี่ยวข้องกับความงามแม้แต่น้อย แต่ก็ไม่เป็นไร ในสายตาของข้า สตรีทั้งหลายที่แอบชอบข้าเพราะแววตาดี รูปโฉมของ พวกนางจะเหนือกว่าเดิมไปอีกระดับ ไม่ใช่สาวงามก็คือสาวงาม แล้วนับประสาอะไรกับที่เอวบางเป็นกิ่งหลิว ขายาวดั่งไผ่สองลำประกบติดกัน เทือกเขาสลับสล้างตระการตาของใครๆๆ ทั้งหลายนั้น ขอแค่มีใจไปสังเกต ทัศนียภาพนับพันนับหมื่นจะมี ที่ใดบ้างที่แย่? ไม่เข้าใจ? มาๆๆ ข้าจะช่วยเปิดโลกให้เจ้าเอง นี่ก็คือวิชาอภินิหาร อันเป็นเอกลักษณ์ของใต้หล้าไพศาล ไม่แพร่งพรายสู่ภายนอกง่ายๆ …
เพียงแต่ว่าทุกครั้งที่หลังจากเอ่ยสัพยอกไปแล้ว ระหว่างทางที่ผู้ฝึกกระบี่แต่ละชุดมุ่งหน้าไปเก็บเงินทางทิศใต้ ส่วนใหญ่มักจะขาดคนฟังไปหนึ่งหรือสองสามคน หรือไม่ก็หายกันไปทั้งกอง ยามที่คนมีชีวิตกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง ก็ไม่ได้เห็นใบหน้าเหล่านั้นอีกแล้ว คนที่เคยฟังไม่เข้าใจ หรือตอนนั้นแสร้งทำเป็นว่าไม่เข้าใจ ก็ไม่มีโอกาสพูดว่าตัวเองเข้าใจอีกแล้ว
เวลานั้นคนผู้นั้นจะเงียบขรึม ดื่มเหล้าอยู่เพียงลำพัง
มีครั้งหนึ่งหลังจากพวกผู้ฝึกกระบี่ทยอยกันกลับมา คนผู้นั้นนั่งรออยู่มุมหนึ่ง แต่สุดท้ายกลุ่มคนที่เขาคุ้นเคยก็ไม่ได้กลับมา สิ่งที่ได้เห็นมีเพียงปีศาจใหญ่ตนหนึ่งถือทวนยาวไว้ในมือ มันยกทวนขึ้นสูงราวกับถือถังหูลู่
ปีศาจใหญ่ตนนั้นหยุดเดินอยู่ตรงจุดที่ห่างจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ไปไกลมาก มันบอกชื่อแซ่ ยิ้มกล่าวประโยคหนึ่ง จากนั้นก็ขว้างทวนนั้นปักลงไปตรงจุดหนึ่งของกำแพงเมืองฝั่งทิศใต้
คนผู้นั้นรับทวนยาวไว้ได้ เขายื่นส่งมันให้คนด้านหลังเบาๆ จากนั้นก็ทะยานไปไกล พันลี้หมื่นลี้ หนึ่งคนพกกระบี่มุ่งหน้าไปยังใจกลางใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ออกกระบี่ใส่ภูเขาทัวเยว่ ออกกระบี่ใส่แม่น้ำเย่ลั่ว จุดใดที่มีปีศาจใหญ่ เขาล้วนออกกระบี่ใส่ทุกที่
ใบหน้ามะระขมขื่นที่ติดตัวมาตั้งแต่กำเนิดของเซียนกระบี่ขู่เซี่ย ในที่สุดก็พอจะมีรอยยิ้มได้บ้างแล้ว
หลินจวินปี้คว้าจับปณิธานกระบี่บริสุทธิ์ที่เซียนกระบี่บรรพกาลทิ้งไว้ได้สองกลุ่ม ระดับขั้นสูงมาก มีครบทั้งโชคชะตา วาสานาและวิธีการ อะไรที่ควรเป็นของเขา ไม่ว่าช้าหรือเร็วก็ต้องเป็นของเขา เพียงแต่ว่าเวลาสั้นๆ แค่ไม่กี่วัน กลับไม่ใช่ได้แค่ หนึ่งเสี้ยว แต่ได้ถึงสองเสี้ยว นี่ยังคงอยู่เหนือการคาดการณ์ของเซียนกระบี่ขู่เซี่ยอยู่ดี
วาสนาที่ลี้ลับอัศจรรย์อย่างถึงที่สุดประเภทนี้ อยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ ก็ไม่ใช่ว่ามีขอบเขตสูง เป็นเซียนกระบี่แล้วจะสามารถบังคับช่วงชิงมาได้ เพราะหากไม่ระวังก็จะชักนำให้ปณิธานกระบี่จำนวนมากกระโจนเข้าใส่อย่างอำมหิต ในประวัติศาสตร์ใช่ว่าจะไม่มีเซียนกระบี่ต่างถิ่นโลภมากตกอยู่ในวงล้อมสังหารของปณิธานกระบี่อย่างน่าสงสาร ระดับความอันตรายนั้นไม่เป็นรองการที่ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตถ้ำสถิตที่ไม่รู้จักกลัวตายคนหนึ่งไปถึงหัวกำแพงเมืองแล้วเปิดประตูจวน อ้ากว้างอย่างทระนงตนเลย
เหยียนลวี่และจินเจินเมิ่งต่างก็มีผลเก็บเกี่ยวเช่นกัน เหยียนลวี่นั่นอาศัยดวงมากกว่าถึงสามารถรั้งปณิธานกระบี่เยียบเย็นกลุ่มนั้นเอาไว้ได้ เนื่องจากสอดคล้องกับชะตาชีวิตและชิดเชื้อกับมหามรรคาของเขา
ส่วนจินเจินเมิ่งมองดูเหมือนว่าอาศัยขอบเขตผู้ฝึกกระบี่โอสถทองมารั้งปณิธานกระบี่ที่พยศดื้อดึงกลุ่มนั้นไว้ได้ แต่เซียนกระบี่ขู่เซี่ยที่ขอแค่ไม่เป็นเรื่องเกี่ยวพันกับอารมณ์ความรู้สึกส่วนตัว พูดถึงแค่เรื่องที่เกี่ยวกับกระบี่ สายตาของเขาก็ยังดีมาก เพราะถึงอย่างไรก็เป็นศิษย์หลานของโจวเสินจือ หากไม่มีความสามารถเสียเลย ป่านนี้ก็คงถูกโจวเสินจือด่าจนจิตแห่งกระบี่แตกสลายไปนานแล้ว ในสายตาของขู่เซี่ย เด็กรุ่นหลังที่เงียบขรึมพูดน้อยอย่างจินเจินเมิ่งนี้ เห็นได้ชัดว่าเป็นคนที่มีปณิธานสูงส่งยาวไกล การที่ปณิธานกระบี่บริสุทธิ์ซึ่งมีไอสังหารเข้มข้นอย่างถึงที่สุดกลุ่มนั้นเลือก จินเจินเมิ่งที่มีนิสัยอ่อนโยน ต้องไม่ใช่ความบังเอิญอย่างแน่นอน และความเป็นจริง ก็ตรงข้ามกันเลยด้วยซ้ำ
เพราะจินเจินเมิ่งมีความซื่อสัตย์จริงใจ ถึงได้รับความโปรดปรานจากปณิธานกระบี่เสี้ยวนั้น ความขัดแย้งอันรุนแรงจากการที่ปณิธานกระบี่จากภายนอกชักนำปราณกระบี่ของฟ้าดินขนาดเล็กให้ไป ‘เยี่ยมเยือน’ กันซึ่งเกิดขึ้นในช่องโพรงลมปราณของจินเจินเมิ่งนั้น มองดูคล้ายรายล้อมไปด้วยอันตราย แต่ในความเป็นจริงแล้วกลับเป็นการทดสอบอย่างตื้นเขินอย่างหนึ่ง มากพอที่จะกำจัดจุดด่างพร้อยมากมายในจิตวิญญาณของจินเจินเมิ่งได้ หากผ่านด่านนี้ไปไม่ได้ คิดดูแล้วต่อให้ขอบเขตของจินเจินเมิ่งต้องถดถอยเพราะเรื่องนี้ เขาก็คงได้แต่ยอมรับชะตากรรมเท่านั้น
นอกจากเซียนกระบี่ขู่เซี่ยแล้ว พวกลูกรักแห่งสวรรค์ของราชวงศ์เส้าหยวน ทุกวันนี้ล้วนยังไม่มีใครเป็นเซียนกระบี่
ทว่าต่อให้จะเป็นพวกเขา ในอนาคตหลายๆ คนก็ยังไม่ใช่เซียนกระบี่ห้าขอบเขตบน อยู่ดี เมื่อเทียบกับเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งในนครทางทิศเหนือแล้ว ต่อให้พวกเขาไม่ได้รับวาสนาเฉกเช่นพวกหลินจวินปี้สามคน ทว่าบนเส้นทางของการฝึกตน ก็ยังจะได้ สั่งสมผลประโยชน์ไปทีละเล็กทีละน้อย เมื่อไปถึงราชวงศ์เส้าหยวนในทวีปแดนเทพแผ่นดินกลาง นั่นก็ไม่ใช่เรื่องเล็กแล้ว เดินอยู่ด้านล่างภูเขาก็สามารถตัดสินเป็นตาย ตัดสินความมีเกียรติหรือความอัปยศของตระกูลผู้อื่นได้อย่างง่ายดาย
นอกจากหลินจวินปี้แล้ว เหยียนลวี่ยังนับว่าดี แม้แต่จินเจินเมิ่งก็ยังได้โชควาสนาใหญ่เทียมฟ้า นี่ทำให้ผู้ฝึกกระบี่อย่างเจี่ยงกวนเฉิงรู้สึกร้อนใจขึ้นมาแล้ว และคนไม่น้อยก็มีอารมณ์ไม่ต่างจากเจี่ยงกวนเฉิงสักเท่าไร
ต่อให้หลินจวินปี้ได้รับโชควาสนาที่ใหญ่กว่าผืนฟ้า แต่อันที่จริงในใจของพวก ผู้ฝึกกระบี่ก็คงไม่อัดอั้นเท่าใดนัก แต่พอเหยียนลวี่ก็ได้ไปด้วย ในใจพวกเขาจึงไม่ใคร่จะสบายสักเท่าไร ตอนนี้แม้แต่คนที่มีแต่ขอบเขต ทว่าไร้สติปัญญาอย่างจินเจินเมิ่ง ก็ยังได้รับวาสนาไปครอง พวกเจี่ยงกวนเฉิงจึงยิ่งรับไม่ได้
จูเหมยยังคงไม่อนาทรร้อนใจอยู่ดังเดิม
พอมีเวลาว่างนางก็จะไปหาอวี้เจวี้ยนฟูที่นางเรียกอย่างสนิทสนมว่า ‘ไจ้ซี ไจ้ซี’ ถึงอย่างไรก็เป็นแค่การคุยเล่นกันเท่านั้น อวี้เจวี้ยนฟูแทบไม่ได้พูดอะไร ล้วนเป็น เด็กสาวที่พูดอยู่คนเดียว
นานๆ ทีอวี้เจวี้ยนฟูจะพูดมากหน่อย เพราะเถียงเรื่องศิลาหรือเทียบ มีดหรือพู่กันกับจูเหมย จูเหมยจงใจก่อกวนตอแยนางไม่เลิก เถียงกันอยู่พักใหญ่ สุดท้าย ก็หัวเราะคิกกล่าวยอมแพ้ ที่แท้ก็แค่เพื่อให้อวี้เจวี้ยนฟูพูดมากขึ้น และนี่นางก็ถือว่าตัวเองชนะแล้ว
เซียนกระบี่ขู่เซี่ยอารมณ์ไม่เลว เขากลับไปถึงจวนซุนก็เป็นฝ่ายไปหาซุนจวี้เฉวียนเพื่อดื่มเหล้าอย่างที่ไม่ค่อยทำบ่อยนัก แต่กลับพบว่าเซียนกระบี่ซุนไม่มีจอกเหล้าตระกูลเซียนใบนั้นแล้ว เพียงแค่ถือกาเหล้าดื่มตรงๆ เท่านั้น
ดูเหมือนซุนจวี้เฉวียนจะไม่ยินดีเล่าให้ฟัง เซียนกระบี่ขู่เซี่ยจึงเอ่ยความในใจ สองสามประโยคกับเขา
“ข้าเป็นแค่ผู้ฝึกกระบี่ หลังจากเดินขึ้นเขามาฝึกตน ชั่วชีวิตนี้ก็รู้แต่การฝึกกระบี่ หลายๆ เรื่องข้าล้วนไม่สนใจ เพราะไม่ยินดีจะสน แล้วก็เพราะควบคุมไม่ได้ด้วย”
ซุนจวี้เฉวียนชำเลืองตามองเซียนกระบี่ต่างถิ่นที่จริงใจผู้นี้แล้วพยักหน้ารับ “ข้าไม่มีความเห็นอะไรต่อเจ้า ต่อให้มี ก็ไม่ใช่ความเห็นที่เลวร้ายอะไร”
ซุนจวี้เฉวียนนั่งอยู่ในระเบียง นั่งชันเข่าข้างหนึ่ง ยื่นมือมาตบเข่าตัวเอง “ผู้ฝึกตน แยกตัวออกจากกลุ่มคน ไปใช้ชีวิตอยู่เพียงลำพังห่างไกลโลกมนุษย์ ฝึกฝนอบรมตน ให้ดี ยังจะต้องการอะไรอีก แค่นี้ก็ดีมากแล้ว”
เซียนกระบี่ขู่เซี่ยเอ่ยอย่างปลงอนิจจังว่า “แต่ไม่ว่าสำนักพรรคใหญ่ใดๆ ก็ตาม เพื่อบรรยากาศที่น่าเกรงขามก็ล้วนต้องมีคนเนืองแน่น หากคึกคักมากเกินไป ถึงอย่างไรก็ไม่ได้เรียบง่ายอย่างการฝึกตนคนเดียวอีกแล้ว นี่ก็คือสาเหตุหลักที่ทำไมข้าถึงไม่อยากเปิดสำนักตั้งพรรค รู้แต่จะฝึกกระบี่ ไม่รู้จักถ่ายทอดวิชา
กลัวว่าจะสอนลูกศิษย์ให้ออกมาเป็นคนที่เวทกระบี่ยิ่งสูงยิ่งเดินขึ้นสู่ที่สูง จิตใจคนกลับยิ่งเหมือนน้ำที่ไหลลงสู่ที่ต่ำ เดิมทีข้าก็ไม่รู้จักอธิบายหลักการเหตุผลอะไรอยู่แล้ว ถึงเวลานั้นจะไม่ยิ่งยุ่งยากใจหรอกหรือ อย่างอาจารย์ลุงของข้าน่ะดีมาก เวทกระบี่ สูงมากพอ ศิษย์ลูกศิษย์หลานทุกคน ไม่ว่านิสัยเป็นอย่างไรก็ล้วนต้องตั้งใจใคร่ครวญถึงความคิดของอาจารย์ลุงข้าแต่โดยดี ไม่จำเป็นต้องให้อาจารย์ลุงถ่ายทอดหลักการเหตุผลอะไรให้เลย”
ซุนจวี้เฉวียนส่ายหน้า เอนหลังพิงผนัง แกว่งส่ายกาเหล้าเบาๆ “ขู่เซี่ยเอ๋ยขู่เซี่ย ขนาดอาจารย์ลุงของตนแข็งแกร่งตรงที่ใดก็ยังไม่รู้ ข้าแนะนำเจ้าว่าชีวิตนี้อย่าได้ก่อสำนักตั้งพรรคเลย เจ้าไม่มีความสามารถนั้นจริงๆ”
อารมณ์ดีๆ ของเซียนกระบี่ขู่เซี่ยถูกคำพูดของซุนจวี้เฉวียนดับเสียสิ้น ใบหน้าจึงเริ่มกลับมาขมขื่นอีกครั้ง
ซุนจวี้เฉวียนมองไปยังทิศไกล เอ่ยเสียงเบาว่า “หากคนบนภูเขาของใต้หล้าไพศาลเป็นเหมือนเจ้าได้ก็ดีน่ะสิ พูดไม่มาก แต่กลับลงมือทำแทน”
ขู่เซี่ยยื่นมือข้างหนึ่งออกมา “ขอเหล้าสักกาสิ ข้าเองก็จะดื่มสักหน่อย”
ซุนจวี้เฉวียนบิดหมุนข้อมือ โยนเหล้าออกมาหนึ่งกา
เซียนกระบี่ขู่เซี่ยยิ่งหน้าบูด
เพราะเป็นเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่กาหนึ่ง
กำแพงเมืองปราณกระบี่คือสถานที่ที่ชอบล้อเล่นกันที่สุด
เพราะแม้แต่ชีวิตตัวเองยังเอามาล้อเล่นได้ แล้วยังจะมีอะไรที่ไม่กล้าอีก?
เพียงแต่ว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่ก็ยังคงเป็นกำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่มีกฎเกณฑ์บนหน้ากระดาษอันวุ่นวาย ขณะเดียวกันก็มีกฎเกณฑ์ที่ไม่เป็น ลายลักษณ์อักษรซึ่งน่าเหลือเชื่อ และไม่ว่าจะเอาไปไว้ที่ได้ก็ไม่น่าจะเรียกว่า กฎเกณฑ์ได้
ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางเกลียดขี้หน้าเซียนกระบี่คนใด ไม่ว่าจะดื่มเหล้าหรือไม่ดื่มเหล้า ก็ล้วนกล้าด่าหยาบคาย ขอแค่เซียนกระบี่ไม่สนใจ คนอื่นไม่ว่าใครก็ไม่สนทั้งนั้น
แต่ขอแค่ตัวเซียนกระบี่สนใจแล้ว ถ้าอย่างนั้นก็ต้องรับไว้ให้ได้
คนต่างถิ่นที่มากำแพงเมืองปราณกระบี่เพื่อฝึกกระบี่หรือไม่ก็เพื่อชมทัศนียภาพ ไม่ว่าจะเป็นลูกหลานของใคร ไม่ว่าอยู่ในใต้หล้าไพศาลแล้วจะถือว่าได้กำเนิดในครรภ์ที่ดีแค่ไหน มาอยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แห่งนี้ ผู้ฝึกกระบี่ก็ไม่มีทางมองเจ้าสูงขึ้น แล้วก็จะไม่ดูแคลนเจ้าแม้แต่น้อย ทุกอย่างล้วนพูดคุยกันด้วยกระบี่ สามารถมีหน้า มีตาอยู่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้ ก็ถือว่ามีความสามารถ แต่หากต้องมาเสียหน้าอยู่ที่นี่ ในใจไม่สบอารมณ์ ไปถึงใต้หล้าไพศาลที่เป็นบ้านตัวเองก็พูดได้ตามสบาย ก็แค่อย่าได้มาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่อีกตลอดชีวิตเป็นพอ พวกญาติสนิท มิตรสหาย ทางที่ดีที่สุดก็อย่ามาเข้าใกล้ภูเขาห้อยหัวด้วย
ในประวัติศาสตร์มีเซียนกระบี่และผู้ฝึกกระบี่มากมายที่ก่อนจะรบตายก็อยู่ตัวคนเดียวอยู่แล้ว ตายไปแล้วก็ยังไม่ได้ทิ้งคำสั่งเสียใดไว้ สิ่งที่เหลือไว้มีเพียงสิ่งของที่ไร้เจ้าของเท่านั้น
หากมีคำสั่งเสียก็จะมีคนที่ได้รับของทั้งหมดไป ไม่ว่าจะเป็นเงินเทพเซียน ก้อนใหญ่ หรือแม้แต่กระบี่ประจำกายของเซียนกระบี่ ต่อให้เป็นผู้ฝึกกระบี่ห้า ขอบเขตล่างที่ได้รับสิ่งของเหล่านี้ก็ไม่มีใครไปแย่งชิง ต่อหน้าไม่กล้า แต่หากลับหลังกล้าทำอะไรลับๆ ล่อๆ ก็อย่าเห็นสายอิ่นกวานเป็นคนโง่ ตระกูลไม่น้อยที่เกือบจะสามารถย้ายไปอยู่ถนนไท่เซี่ยง
ถนนอวี้ฮู้ได้แล้วกลับต้องสูญเสียพลังต้นกำเนิดไปมากมายก็เพราะสาเหตุนี้ กฎเกณฑ์นั้นเรียบง่ายมาก หากอบรมสั่งสอนไม่เข้มงวดพอ นอกจากคนที่ยื่นมือมาแตะต้องที่ต้องตายแล้ว ตระกูลที่คนผู้นั้นอยู่อาศัย คนที่ขอบเขตสูงที่สุดจะถูกลั่วซานหรือไม่ก็เซียนกระบี่จู๋อานซ้อมปางตายก่อน หากพวกเขาทำไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร เพราะ ใต้เท้าอิ่นกวานยินดีอย่างยิ่งที่จะให้ความช่วยเหลือ สุดท้ายก็จะเว้นชีวิตไว้ให้ครึ่งหนึ่ง เพราะถึงอย่างไรก็ยังต้องสังหารปีศาจ สงครามใหญ่ครั้งหน้าคนผู้นี้จำต้องถอยออกจากสนามรบแล้วหากยังอาศัยความสามารถของตัวเองจนมีชีวิตรอดต่อไปได้ เรื่องนี้ก็จะยุติลง ทว่าส่วนแบ่งที่เดิมทีควรได้รับจากหอกระบี่ หอภูษาและหอโอสถหลังจากสงครามสิ้นสุดลง ก็อย่าได้หวังเลย
เพราะฉะนั้นสถานที่แบบนี้ สถานที่ที่แม้แต่เซียนกระบี่มากมายตายไปก็ยังไม่มีหลุมศพให้เอนกายนอน จะมีกลิ่นอายของวันปีใหม่ที่ผู้คนพากันปิดภาพเทพทวารบาลและกลอนคู่บนหน้าประตูได้อย่างไร ไม่มีทางมีได้หรอก
ร้อยปีพันปี หรือหมื่นปีผ่านไป ผู้ฝึกกระบี่ทุกคนล้วนเคยชินที่จะได้เห็นว่าบน หัวกำแพงมีกระท่อมหลังนั้น มีเซียนกระบี่ใหญ่ผู้เฒ่าที่แทบจะไม่เคยเดินลงจาก หัวกำแพงคอยเฝ้าพิทักษ์อยู่
ดูเหมือนว่าเมื่อเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสไม่ไปพลิกเปิดปฏิทินเหลือง ปฏิทินเหลืองก็ไม่มีอยู่แล้ว หรือควรจะพูดว่าดูเหมือนมันจะไม่เคยมีอยู่มาก่อน
……
วันนี้หวังไจ่วิญญูชนของสายหลี่เซิ่งมาที่ร้านเหล้า นี่เป็นครั้งแรกที่หวังไจ่มาซื้อเหล้าที่นี่
เพียงแต่ว่าพวกผู้ฝึกกระบี่ลูกค้าในร้านที่ส่งเสียงดังโหวกเหวกกลับไม่มีสีหน้าดีๆ ให้วิญญูชนของลัทธิขงจื๊อท่านนี้ได้เห็น
หนึ่งเพราะสถานะบัณฑิตที่มียศของใต้หล้าไพศาล สองเพราะได้ยินมาว่าหวังไจ่คนนี้กินอิ่มว่างงาน ถึงได้จับจ้องเรื่องที่เถ้าแก่รองปล่อยหนึ่งหมัดฆ่าคนไม่ยอมวาง ดึงดันจะเขียนบทความคุณธรรมขี้หมูราขี้หมาแห้งพวกนั้นให้จงได้ ทุ่มเทยิ่งกว่า เซียนกระบี่สายอิ่นกวานที่ตรวจสอบเรื่องนี้เสียอีก พวกเขาล่ะแปลกใจนัก หย่าเซิ่งกับเหวินเซิ่งตีกันหัวร้างข้างแตกก็แล้วไปเถิด สายหลี่เซิ่งอย่างเจ้าจะมาร่วมวง ความครึกครื้น คอยซ้ำเติมผู้อื่นไปด้วยทำไม?
หวังไจ่สีหน้าเป็นธรรมชาติ ควักเงินจ่ายค่าเหล้าแล้วก็หิ้วเหล้าเดินจากมา ไม่ได้กินบะหมี่หยางชุนและผักดอง ยิ่งไม่ได้ดื่มเหล้าอยู่ข้างทางเลียนแบบผู้ฝึกกระบี่ทั้งหลาย ทว่าในใจของหวังไจ่รู้สึกขำเล็กน้อย เขาคิดว่าเหล้ากานี้ เถ้าแก่รองควรจะจ่ายเงินเลี้ยงจริงๆ
หวังไจ่ไม่ได้เดินกลับทางเดิม แต่หิ้วเหล้าเดินไปยังมุมเลี้ยวของตรอกที่ไร้ผู้คน
หวังไจ่หยุดเดินตรงจุดที่เดิมทีควรมีคนหนุ่มชุดเขียวนั่งอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก แล้วพูดเสียงเบาพร้อมรอยยิ้มว่า “วิญญูชนพูดจา สำคัญที่ความเที่ยงธรรม ยิ่งสำคัญที่การอธิบายอย่างละเอียด”
หวังไจ่ที่กำลังจะไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก็ย้อนกลับไปทางเดิม เดินไปยังร้านเหล้า หาแผ่นป้ายสงบสุขว่างเปล่าไร้ตัวอักษรแผ่นหนึ่งแล้วเขียนชื่อกับภูมิลำเนาของตัวเองลงไป จากนั้นก็เขียนประโยคหนึ่งไว้ด้านหลังป้าย สงบสุขว่า ‘ปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความใจกว้าง ปฏิบัติต่อตัวเองด้วยความเข้มงวด ใช้เหตุผลสยบผู้คน ใช้คุณธรรมพันธนาการตน ใต้หล้าสงบสุข ไร้เรื่องราวใดอย่างแท้จริง’
หลังจากหวังไจ่เขียนเสร็จก็แขวนป้ายสงบสุขไว้บนผนัง ลองพลิกอ่านเนื้อหาของป้ายสงบสุขแผ่นอื่นที่อยู่ใกล้เคียงดูก็ไม่รู้ว่าควรจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
มีป้ายสงบสุขอยู่แผนหนึ่งที่คาดว่าวันหน้าคงถูกคนเอาไปเลี่ยมกรอบทอง คือ ‘ถ้อยคำจากใจจริง’ ของเซียนกระบี่ทวีปเกราะทองคนหนึ่ง ‘เถ้าแก่รองผู้ไม่เคย หลอกหลวงใคร เฉินผิงอันผู้มีพฤติกรรมดื่มเหล้าเป็นเอกไร้ใครเทียม’
แค่มองก็รู้ว่าเป็นคนที่ยังไม่คิดจะไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่
และยังมีอีกแผ่นหนึ่งที่ต้องถูกเถ้าแก่รองมองว่า ‘คนซื่อเขียนไปตามจิตสำนึก’ อย่างแน่นอน ประโยคนั้นเขียนว่า ‘สายเหวินเซิ่ง ความรู้ไม่ตื้นเขิน หนังหน้ายิ่ง หนากว่า เถ้าแก่รองวันหน้ามาที่หลิวเสียทวีปของข้า จะเลี้ยงเหล้าดีๆ ที่แท้จริงให้ แก่เจ้า’
เห็นได้ชัดว่าเป็นเหมือนหวังไจ้ที่กำลังจะไปยังภูเขาห้อยหัว
หวังไจ่พึมพำกับตัวเองว่า “หากเป็นเขาก็ควรเอ่ยประโยคหนึ่ง คนดีที่เป็นเช่นนี้ ตอนนี้กลับเพิ่งจะมีขอบเขตก่อกำเนิด ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย ขอบเขตหยกดิบต่ำเกินไป ขอบเขตเซียนเหรินก็ไม่ถือว่าสูงถึงจะถูก”
หวังไจ่ยิ้มบางๆ “เพียงแต่ว่าคำพูดประโยคนี้ หากเถ้าแก่รองเป็นคนพูด ผู้คน คงชื่นชอบ แต่หากคนอย่างข้าเป็นคนพูด ก็ไม่ต่างจากหญิงชราทาชาดหน้าแดง ทำให้คนชิงชังรังเกียจ”
ไม่ใช่คนต่างถิ่นทุกคนที่จะเป็นเหมือนเฉินผิงอันที่กลายเป็นคนกันเองในใจของ ผู้ฝึกกระบี่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่
หวังไจ่รู้สึกดีใจแทนเฉินผิงอัน แต่ก็มีความเสียใจร่วมด้วย
หวังไจ่ลังเลอยู่เล็กน้อย ก่อนจะเขียนตัวอักษรเล็กเท่าหัวแมลงวันเพิ่มไว้บนป้ายสงบสุขของตัวเอง ‘ประพฤติตนมีเมตตากรุณา ขอแค่ยินดีทำ ความเมตตากรุณาก็จะมาสู่ตน หวังให้ผู้ที่ยินดีทำเช่นนี้ ไร้ความกลัดกลุ้มทุกข์ใจ’
หวังไจ่พบว่าห่างจากข้างกายตนไปไม่ไกลมีเด็กหนุ่มหิ้วเหล้าคนหนึ่งยืนอยู่ นามว่าเจี่ยงชวี่ มีชาติกำเนิดมาจากตรอกซัวลี่
หวังไจ่หมุนตัวกลับมายิ้มเอ่ยกับเด็กหนุ่มว่า “บอกกับเถ้าแก่รองของพวกเจ้า สักคำว่าเหล้ารสชาติไม่เลว พยายามขายให้ได้มากๆ หน่อย เป็นเงินที่ได้มาโดย ชอบธรรม ก็สามารถทำได้อย่างเปิดเผย”
เจี่ยงชวี่ยิ้มเขินอาย พยักหน้ารับแรงๆ
หวังไจ่กระดกเหล้าในกาดื่มจนหมด วางกาเปล่าไว้บนโต๊ะคิดเงินแล้วจากไปพร้อมเสียงหัวเราะดังกังวาน พอเดินออกจากประตูก็กุมหมัดเอ่ยกับพวกผู้ฝึกกระบี่จำนวนมากที่นั่งอยู่ริมทางด้วยเสียงดังกังวานว่า “ขายกระบี่แต้มสุราใครกล้าซื้อ แต่ดื่มพันจอกมิเก็บเงิน”
รอบด้านเงียบสงัด คล้ายว่าอยู่ในการคาดการณ์อยู่แล้ว หวังไจ่จึงพูดกลั้วหัวเราะเสียงดังว่า “ถ้าอย่างนั้นก็เปลี่ยนประโยคใหม่ เอาให้ตรงไปตรงมายิ่งกว่าเดิม หวังว่าในอนาคตสักวันหนึ่ง เซียนกระบี่ทุกท่านที่มาดื่มเหล้าที่นี่ ลูกค้าจะเป็นดั่งปลายักษ์ สูบน้ำร้อยสาย ทว่าเถ้าแก่ไม่เก็บเงินเทพเซียนแม้แต่เหรียญเดียว”
ยังคงไม่มีใครรับน้ำใจ
มีคนหลุดหัวเราะพรืดเอ่ยว่า “ใต้เท้าวิญญูชนคงไม่ได้วางยาพิษลงในเหล้าหรอกกระมัง? ต่อให้เถ้าแก่รองนิสัยแย่แค่ไหน แต่เรื่องแบบนี้เขาไม่มีทางทำได้ลงคอ วิญญูชนผู้ยิ่งใหญ่ อริยะปราชญ์ผู้สูงส่งใสสะอาด ก็ไม่ควรทำร้ายเถ้าแก่รองถึงจะถูก”
หวังไจ่ไม่ได้ตอบโต้ เพียงจากไปพร้อมรอยยิ้ม พอห่างไปไกลแล้วก็ยกแขนขึ้น ชูนิ้วหัวแม่มือ “ดีใจมากที่ได้รู้จักเซียนกระบี่ทุกท่าน”
ทันใดนั้นเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ดังไปทั่วร้านเหล้า
“โดนเถ้าแก่รองสิงร่างหรือเปล่า? หรือว่าเป็นเถ้าแก่รองที่สวมรอยเขามา? วิธีการเช่นนี้ เกินไปแล้ว เกินกว่าเหตุไปแล้ว”
“เถ้าแก่รองร้ายกาจนัก แม้แต่วิญญูชนสายเหวินเซิ่งก็ยังกลายมาเป็นสหายของเขา ได้อย่างนั้นหรือ?”
“ถือว่าเป็นวิญญูชนที่ยังมีมโนธรรมหลงเหลืออยู่ในจิตใจบ้าง”
วิญญูชนหวังไจ่เดินไกลออกมาจากร้านเหล้า มาเดินอยู่ในตรอกเล็ก ควักตราประทับเรียบง่ายที่สลักจากหินขาวใส่แวววาวดุจหยกออกมา เป็นตราประทับที่เฉินผิงอัน มอบให้เขาหวังไจ่ มีทั้งลายริมขอบ แล้วก็มีทั้งชื่อคนแกะสลักและเวลาที่แกะสลัก
เนื้อหาที่สลักไว้ริมขอบคือ ‘คนเดินบนทางดินโคลนไม่เหนื่อยหน่าย วีรบุรุษสังหารโจรไม่บันทึกลงตำรา ผู้กล้าแท้จริงไม่สง่างาม ภูผาหินสูงตระหง่าน เทียมขอบฟ้า’
ตัวอักษรที่สลักตรงกลางคือ ‘ที่แท้คือวิญญูชน’
……
ในที่สุดเผยเฉียนก็ขบคิดจนเข้าใจ
นางที่รู้ตัวช้าที่สุดจึงคิดอยากจะชดเชยวันเวลาที่ใช้ไปอย่างเสียเปล่าด้วยการฝึกหมัดให้มากขึ้น
ต้องนอนแช่อยู่ในถังยาครั้งแล้วครั้งเล่า จากนั้นก็ลุกขึ้นไปนอนบนเตียง พอรักษาอาการบาดเจ็บจนหายดีแล้วก็ค่อยไปฝึกหมัดกับหมัวมัวเฒ่าอีกรอบ
ป๋ายหมัวมัวไม่อยากจะสอนหมัดอันหนักหน่วงให้แก่ท่านเขยของตนเท่าใดนัก ทว่ากับแม่หนูน้อยผู้นี้ นางกลับยินดีอย่างมาก
ไม่ใช่ว่าไม่ชอบ ตรงข้ามกันเลยด้วยซ้ำ ในบรรดาลูกศิษย์และนักเรียนของท่านเขย ป๋ายเลี่ยนซวงถูกใจเผยเฉียนมากที่สุด
ภายนอกเหมือนขี้ขลาด แต่ในดวงตาทั้งคู่ของแม่นางน้อยกลับมีแววตาที่โหดเหี้ยมที่สุด
ทุกวันนี้กวอจู๋จิ่วไม่ถูกกักบริเวณแล้ว จึงมักจะมาเตร็ดเตร่ที่นี่เป็นประจำ นางจะอยู่ตั้งแต่ต้นจนจบ มองดูเผยเฉียนที่ถูกซัดจนหมอบกระแตครั้งแล้วครั้งเล่า จนกระทั่งท้ายที่สุดลุกขึ้นไม่ไหว นางก็จะวิ่งห้อไปแบกเผยเฉียนขึ้นหลังเบาๆ
บางครั้งกวอจู๋จิ่วอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำก็จะถามวิชาหมัดจากอาจารย์จ้ง
วันนี้หลังจากที่เผยเฉียนฟื้นขึ้นมา กวอจู๋จิ่วก็นั่งอยู่ตรงธรณีประตูแล้ว นางมานั่งคุยเล่นเป็นเพื่อนศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่ยังลงจากเตียงมาเดินไม่ได้ ช่วยศิษย์พี่หญิงใหญ่คลายความกลัดกลุ้ม
ส่วนศิษย์พี่หญิงใหญ่อยากจะคุยกับนางหรือไม่ กวอจู๋จิ่วไม่สนใจหรอก ถึงอย่างไรศิษย์พี่หญิงใหญ่ก็ต้องยินดีอยู่แล้ว พอพูดเหนื่อยแล้ว กวอจู๋จิ่วก็จะหยิบแท่นฝนหมึกสี่เหลี่ยมอันนั้นขึ้นมา เป่าลมใส่หนึ่งที เป็นการโอ้อวดศิษย์พี่หญิงใหญ่
วันนี้ป๋ายโส่วเดินผ่านมานอกเรือนอีกครั้ง ประตูไม่ได้ปิด ป๋ายโส่วหรือจะกล้าหาเรื่องซวยใส่ตัว เขาจึงรีบเดินเร็วๆ ผ่านไป
กวอจู๋จิ่วจึงกดเสียงเบาๆ ถามว่า “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ตัวเล็ก เจ้ารู้สึกว่าป๋ายโส่วผู้นั้นชอบเจ้าหรือไม่?”
เผยเฉียนเหมือนถูกฟ้าผ่า “ว่าไงนะ?!”
กวอจู๋จิ่วกล่าวอย่างแปลกใจ “แค่นี้ก็มองไม่ออกหรือ? เจ้าเชื่อหรือไม่ว่าหากข้าไปถามป๋ายโส่ว เขาต้องบอกว่าไม่ชอบแน่นอน? แต่เจ้าก็น่าจะเคยได้ยินประโยคนี้กระมัง คำพูดที่หลุดออกมาจากปากของบุรุษล้วนเป็นผีที่ออกมาตากแดดตอนกลางวัน”
เผยเฉียนไม่สนใจคำพูดนี้ของกวอจู๋จิ่วแล้ว ดูเหมือนว่าป๋ายโส่วจะพูดหรือไม่พูด ก็ล้วนเป็นเรื่องเล็กทั้งนั้น เผยเฉียนกำหมัดทุบลงบนเตียง “น่าโมโหจะตายอยู่แล้ว!”
กวอจู๋จิ่วก้มหน้าเช็ดแท่นฝนหมึกพลางทอดถอนใจ “ข้ายังรู้อีกว่ามีแม่นางแก่ๆ คนหนึ่งมักจะพูดเป็นประจำว่า สตรีที่ออกเรือนไปแล้วก็คือน้ำที่สาดออกไป ถ้าอย่างนั้นวันหน้าก็ถือว่าศิษย์พี่หญิงใหญ่คือคนของสำนักกระบี่ไท่ฮุยแล้ว เก้าอี้ของศิษย์พี่หญิงใหญ่ในศาลบรรพจารย์ที่บ้านเกิดของอาจารย์ก็จะต้องว่างเปล่า นี่แสดงว่านอกจากอาจารย์แล้ว ก็จะกลายเป็นฝูงมังกรที่ขาดหัวหรือไม่ น่ากลุ้มเสียจริง”
เผยเฉียนเอ่ยอย่างเดือดดาล “เจ้าอย่าได้หวังจะมาแย่งตำแหน่งข้า! เก้าอี้ตัวนั้นของข้าแปะกระดาษที่เขียนชื่อเอาไว้แล้ว นอกจากอาจารย์พ่อ ใครก็นั่งไม่ได้!”
กวอจู๋จิ่วร้องอ้อหนึ่งที “ถ้าอย่างนั้นก็ไว้ค่อยพูดกันวันหน้า ไม่ได้รีบร้อนเสียหน่อย”
เผยเฉียนพลันเอ่ยว่า “ทำไมป๋ายโส่วจะไม่ชอบเจ้าล่ะ?”
กวอจู๋จิ่วเงยหน้า พูดด้วยสีหน้าจริงจังว่า “เขาไม่ได้ตาบอดสักหน่อย ศิษย์พี่หญิงใหญ่ที่ดีขนาดนี้เขากลับไม่ชอบ ดันมาชอบข้าอย่างนั้นหรือ?”
เผยเฉียนยกสองแขนกอดอก หัวเราะร่าเอ่ยว่า “นั่นก็ไม่แน่หรอก”
กวอจู๋จิ่วหัวเราะคิกคัก “เมื่อครู่นี้ล้อศิษย์พี่หญิงใหญ่เล่นหรอกน่า ใครเชื่อคนนั้นต้องเดินหัวทิ่ม”
เผยเฉียนมุมปากกระตุก
ก่อนที่เผยเฉียนจะถามเสียงเบาว่า “กวอจู๋จิ่ว เมื่อไหร่จะไปเที่ยวเล่นหาข้าที่ ภูเขาลั่วพั่วล่ะ?”
กวอจู๋จิ่วได้ยินคำถามกลับไม่มีท่าทางสดชื่นสักเท่าไร “ข้าตัดสินใจเองไม่ได้หรอก ท่านพ่อท่านแม่ควบคุมเข้มงวดนัก ช่วยไม่ได้จริงๆ”
เผยเฉียนเงียบไปชั่วครู่ก็คลี่ยิ้มกล่าวว่า “คำพูดไม่น่าฟังจากความหวังดี ต่อให้เจ้าจะไม่ชอบฟังก็ต้องฟังเอาไว้ ถึงอย่างไรพ่อแม่หรือพวกผู้อาวุโสของเจ้าพูดเต็มที่ แค่ไหนก็ตำหนิเจ้าได้แค่ไม่กี่คำ พูดมากหน่อย กลับกลายเป็นพวกเขาเองที่ตัดใจ ไม่ลง”
กวอจู๋จิ่วคิดแล้วก็พยักหน้าเอ่ยว่า “ตกลง”
เงียบกันไปครู่หนึ่ง กวอจู๋จิ่วก็ชำเลืองตามองไม้เท้าเดินป่าที่วางไว้บนโต๊ะ ฉวยโอกาสตอนที่ศิษย์พี่หญิงใหญ่ยังไม่นอนหลับกรนครอกๆ ช่วยนางเช็ดไม้เท้า เดินป่า พ่นน้ำลายใส่ชายแขนเสื้อแล้วเช็ดถู สุดท้ายแม้แต่ใบหน้านางก็เอาไปถูด้วย มีความจริงใจอย่างยิ่ง
“ศิษย์พี่หญิงใหญ่ ขอข้ายืมหีบไม้ไผ่ใบเล็กของเจ้าบ้างสิ?”
“ทำไม? เพราะอะไรต้องให้?”
“ก็สะพายแล้วสวยดีนี่นา ศิษย์พี่หญิงใหญ่ทำไมพูดจาไม่ใช่สมองเช่นนี้? หัวสมองที่ว่องไว เหตุใดถึงใช้งานไม่ได้เสียแล้วเล่า?”
เผยเฉียนรู้สึกว่าพูดคุยกับกวอจู๋จิ่วช่างเหนื่อยใจยิ่งนัก
“ศิษย์พี่หญิงใหญ่ เต้าหู้เหม็นอร่อยมากจริงๆ หรือ?”
“หอมอร่อยมากเลยล่ะ!”
“กินเต้าหู้เหม็นไปแล้ว เวลาตดก็หอมด้วยหรือไม่?”
“กวอจู๋จิ่ว ทำไมเจ้าถึงได้น่ารำคาญอย่างนี้นะ?!”
จากนั้นเผยเฉียนก็เห็นว่าเจ้าคนที่นั่งอยู่บนธรณีประตูขยับปากไม่หยุด พูดภาษาคนใบ้ ก็แค่ไม่มีเสียงเท่านั้น
ต่อให้เผยเฉียนแสร้งทำเป็นไม่มองนาง นางก็ยังมีความสุขกับการทำอย่างนั้น หากเผยเฉียนเหลือบไปมองนางโดยไม่ทันระวัง นางก็จะยิ่งขยับปากสนุกสนาน เข้าไปใหญ่
เผยเฉียนกล่าวอย่างเหนื่อยใจ “เจ้าพูดใหม่อีกรอบเถอะ ถูกเจ้าทำให้รำคาญก็ยังดีกว่าข้าต้องปวดกบาล”
กวอจู๋จิ่วพลันเอ่ยว่า “หากมีวันใดที่ข้าไม่สามารถพูดกับศิษย์พี่หญิงใหญ่ได้ ศิษย์พี่หญิงใหญ่ก็ต้องคิดถึงความน่ารำคาญของข้ากระมัง ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะพูดมากให้เจ้ารำคาญ เจ้าจะได้จำข้าได้มากๆ หน่อย”
เผยเฉียนมองแม่นางน้อยที่คลี่ยิ้มอย่างเหม่อลอยไร้คำพูด
เงาร่างชุดเขียวของคนผู้หนึ่งมานั่งที่ธรณีประตู เขายกมือบอกเป็นนัยแก่เผยเฉียนว่าให้นอนต่อไป
เฉินผิงอันนั่งอยู่ข้างกายกวอจู๋จิ่ว ยิ้มกล่าวว่า “อายุน้อยๆ ห้ามพูดแบบนี้ ขนาดอาจารย์ยังไม่พูด แล้วพวกเจ้าจะพูดได้อย่างไร”