บทที่ 613 ศัตรูมาถึง เซียนกระบี่อยู่
ครั้งนี้กวอจู๋จิ่วกลับไปบ้านก็ไม่ได้เดินเตร็ดเตร่เข้าถนนเส้นโน้นออกตรอกเส้นนี้ ไม่ทำตัวเป็นแมวน้อยที่กระโดดขึ้นบนหลังคาของเพื่อนบ้านใกล้เคียงบนถนนอวี้ฮู่อย่างที่เคยทำอีกแล้ว เพราะข้างกายมีอาจารย์ตามมาด้วย ดังนั้นนางจึงอยู่ในกฎระเบียบอย่างเห็นได้ชัด
มีเด็กหนุ่มคุ้นหน้าคุ้นตากันดีคนหนึ่งฟุบตัวอยู่บนหัวกำแพง ยิ้มถามว่า “ลวี่ตวน ทำไมวันนี้ถึงไม่ผ่านด่านมาสังหารแม่ทัพแล้วเล่า สองวันมานี้ข้าฝึกเวทกระบี่จนประสบผลสำเร็จ จะต้องเฝ้าด่านไว้ได้อย่างแน่นอน ส่วนเจ้าก็ด้แต่เดินอ้อมผ่านทางไปแต่โดยดี!”
กวอจู๋จิ่วเงยหน้าขึ้น พูดด้วยสีหน้าเหลอหรา “เจ้าเป็นใครกัน?”
เด็กหนุ่มเห็นว่ากวอจู๋จิ่วแอบขยับตาให้ตนก็รีบหายตัวไปทันที
และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่เฉินผิงอันได้มาเยือนจวนตระกูลกวอบนถนนอวี้ฮู่ เซียนกระบี่กวอเจี้ยออกมาต้อนรับด้วยตัวเอง เฉินผิงอันเพียงแค่ส่งกวอจู๋จิ่วที่ ประตูหน้าบ้าน ปฏิเสธคำเชื้อเชิญของกวอเจี้ยอย่างละมุนละม่อม ไม่ได้เข้าไปนั่ง ในบ้าน เพราะถึงอย่างไรเซียนกระบี่ลั่วซานของสายอิ่นกวานก็จับตามองตนอยู่ จวนหนิงไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ทว่าเซียนกระบี่กวอเจี้ยกับตระกูลยังต้องสน อย่างน้อยที่สุดก็ต้องทำท่าทางแสดงให้เห็นว่าตนสนใจ
กวอเจี้ยลากกวอจู๋จิ่วเดินเข้าไปในบ้าน พลางถามชวนคุยว่า “อยู่ที่นั่นคุยอะไรกับศิษย์พี่หญิงใหญ่ตัวเล็กของเจ้าบ้าง?”
กวอจู๋จิ่วเอ่ย “ท่านพ่อ ต่อให้ท่านลงทัณฑ์อย่างโหดเหี้ยม ข้าก็ไม่มีทางเอ่ยแม้แต่ คำเดียว ข้ากวอจู๋จิ่วเป็นใคร คือบุตรสาวของเซียนกระบี่ใหญ่กวอเจี้ย อะไรที่ ไม่ควรพูด ข้าก็จะไม่พูดแม้แต่คำเดียว”
กวอเจี้ยก้มหน้าลงมองบุตรสาวที่ยิ้มหวาน แล้วจึงตบศีรษะเล็กของนางเบาๆ “มิน่าถึงได้พูดกันว่าบุตรสาวเก็บไว้ในบ้านนานไม่ได้ บิดาต้องเจ็บปวดใจ”
กวอจู๋จิ่วถาม “แต่ท่านแม่ข้าไม่ได้เป็นแบบนี้นะ พอแต่งให้ท่านพ่อแล้วก็ยังคอยปกป้องบ้านเดิมอยู่ทุกเรื่องไม่ใช่หรือ? ท่านพ่อเองก็ด้วย ทุกครั้งที่น้อยใจท่านแม่ก็ต้องคอยไประบายความทุกข์ให้อาจารย์ตัวเองฟัง หรือไม่ก็ไปดื่มเหล้ากับสหายเซียนกระบี่ที่คุ้นเคยกัน ทว่ายามไปเยือนบ้านพ่อตากลับแกล้งทำตัวน่าสงสาร ท่านแม่น่ะรำคาญท่านจะตายอยู่แล้ว ท่านคงไม่รู้กระมังว่า ท่านตาข้าเคยมาหาข้า บอกให้ข้าช่วย เกลี้ยกล่อมท่านว่าอย่าไปที่นั่นอีกเลย ถือว่าพ่อตาอย่างเขาขอร้องลูกเขยอย่างท่านล่ะ สงสารเขาเถิด ไม่อย่างนั้นสุดท้ายแล้วคนที่ซวยที่สุดก็คือเขา ไม่ใช่ลูกเขยอย่างท่าน”
กวอเจี้ยเคยชินกับคำพูดทิ่มแทงใจดำของบุตรสาวแล้ว แค่ชินก็ดีไปเอง แค่ชินก็ดีไปเองนั่นแหละ ดังนั้นพ่อตาของตนก็น่าจะเคยชินได้แล้ว คนครอบครัวเดียวกัน ไม่จำเป็นต้องเกรงใจกัน
เดิมทีอารมณ์ของกวอเจี้ยเต็มไปด้วยพยับเมฆ เวลานี้กลับเหมือนเมฆเคลื่อนหายแสงจันทร์ส่องสว่างได้หลายส่วน ก่อนหน้านี้จั่วโย่วมาหาเขาครั้งหนึ่ง เป็นเรื่องดี เพราะมาพูดคุยด้วยเหตุผล ไม่ได้ออกกระบี่ ตนโชคดีกว่าเซียนกระบี่ใหญ่เยว่ชิงผู้นั้นมากนัก แน่นอนว่าถึงแม้จะไม่ได้ออกกระบี่ แต่จั่วโย่วก็ยังพกกระบี่มา อันที่จริง ส่วนลึกในใจของกวอเจี้ยซาบซึ้งใจอย่างยิ่งที่ผู้ที่เวทกระบี่สูงสุดในโลกผู้นี้พกกระบี่ มาเยือนถึงบ้าน กับคนหนุ่มคนเมื่อครู่ กวอเจี้ยก็ชื่นชมมากเหมือนกัน ดูเหมือนว่า ลูกศิษย์สายของเหวินเซิ่งจะเชี่ยวชาญการใช้เหตุผลนอกเหนือจากการพูดจา อีกทั้งยังพูดให้คนอื่นนอกจากกวอเจี้ยและตระกูลกวอฟังอีกด้วย
กวอเจี้ยหวังมาโดยตลอดว่าลวี่ตวนผู้เป็นบุตรสาวจะได้ออกไปดูภูเขาห้อยหัวที่อยู่ด้านนอก เลียนแบบหนิงเหยาที่ได้ออกไปชมทัศนียภาพห่างไกลยิ่งกว่า กลับมาช้าหน่อยก็ไม่เป็นไร เพียงแต่อย่าเห็นว่าบุตรสาวของตนชอบความครึกครื้นมาตั้งแต่เด็ก แต่นางกลับไม่เคยแอบไปเยือนภูเขาห้อยหัวเลยสักครั้ง กวอเจี้ยเคยบอกให้ภรรยาบอกบุตรสาวเป็นนัยๆ ทว่าบุตรสาวกลับบอกเหตุผลที่ทำให้คนมิอาจตอบโต้ได้
กวอจู๋จิ่วบอกว่าตอนที่นางยังเด็กต้องเปลืองแรงอย่างมากกว่าจะปีนไปถึงหลังคาบ้านของตัวเองได้ เห็นดวงจันทร์วางอยู่บนหัวกำแพงของกำแพงเมืองปราณกระบี่ก็คิดว่าสักวันจะไปลูบมันดู ผลคือรอจนนางโตขึ้น อาศัยความสามารถของตัวเองเดินขึ้นไปบนหัวกำแพงได้แล้ว ถึงได้ค้นพบว่าแท้จริงแล้วไม่ได้เป็นอย่างที่นางคิด ดวงจันทร์อยู่ห่างจากหัวกำแพงเมืองไปไกลแสนไกล เอื้อมมือคว้าไม่ถึง ดังนั้นนางจึงไม่ยินดีจะเดินทางไปไหนไกลๆ อีกแล้ว หัวกำแพงของกำแพงเมืองปราณกระบี่สูงขนาดนั้น ต่อให้นางเขย่งสุดปลายเท้าเอื้อมมือออกไปก็ยังจับดวงจันทร์ไม่ได้ ไปถึงภูเขาห้อยหัวก็ยิ่งคว้าไม่ถึง ไม่น่าสนใจสักนิด
ครั้งนี้จั่วโย่วมาเยือนเพราะหวังว่ากวอจู๋จิ่วจะได้เป็นลูกศิษย์ของเฉินผิงอัน ศิษย์น้องเล็กของเขาอย่างเป็นทางการ ขอแค่ตระกูลกวอตอบตกลงเป็นพอ ประเด็นสำคัญคือต้องการให้กวอจู๋จิ่วติดตามเหล่าศิษย์พี่ชายหญิงร่วมสำนักเดินทางไปเยือนศาลบรรพจารย์ภูเขาลั่วพั่วในแจกันสมบัติทวีป ไปกราบไหว้อาจารย์ปู่ หลังจากนั้นก็สามารถอยู่ต่อที่ภูเขาลั่วพั่ว หรือจะไปท่องเที่ยวที่อื่นก็ได้ หากแม่นางน้อยคิดถึงบ้านจริงๆ ก็สามารถกลับมายังกำแพงเมืองปราณกระบี่ช้าหน่อยก็ได้
กวอเจี้ยรู้สึกว่าเป็นไปได้
จั่วโย่วที่พกกระบี่มาเยือนถึงบ้านเปิดปากเอ่ยเช่นนนี้ กวอเจี้ยผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบไม่กล้าไม่ตอบตกลงนี่นา และเซียนกระบี่คนอื่นๆ ก็ไม่สามารถหาเหตุผลอะไรมาตำหนิเขาได้ หากหาเหตุผลที่ว่านั้นเจอก็ไปพูดกับจั่วโย่วเองเลย
แต่จู่ๆ กวอจู๋จิ่วกลับเอ่ยว่า “ท่านพ่อ ระหว่างที่เดินมา อาจารย์ถามข้าว่าอยากไปบ้านเกิดของเขา ติดตามพวกศิษย์พี่หญิงใหญ่ตัวเล็กไปยังใต้หล้าไพศาลหรือไม่ ข้าเสี่ยงตายละเมิดคำสั่งของอาจารย์ ปฏิเสธไปแล้ว ท่านว่าข้าใจกล้าหรือไม่ สมกับเป็นวีรสตรีผู้ยิ่งใหญ่หรือไม่?!”
กวอเจี้ยถอนหายใจอยู่ในใจ ยิ้มถามว่า “ทำไมถึงไม่ตอบตกลงไป? ใต้หล้าไพศาลมีกฎการกราบไหว้อาจารย์เข้าสำนักอยู่หลายข้อ ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ของ พวกเราไม่อาจเปรียบเทียบด้วยได้ ไม่ใช่ว่าผู้ถ่ายทอดมรรคาพยักหน้าตอบตกลงแล้วก็ไม่ต้องคุกเข่าโขกหัว แค่ดื่มสุราคารวะง่ายๆ ก็พอแล้ว เจ้ายังต้องไปกราบภาพเหมือน จุดธูปไหว้ในศาลบรรพจารย์ มีพิธีการยิบย่อยมากมาย หากเจ้าอยากเป็นลูกศิษย์ ผู้สืบทอดที่แท้จริงของเฉินผิงอัน เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม”
กวอจู๋จิ่วส่ายหน้า “เมื่อใดที่อาจารย์จะกลับบ้านเกิด ข้าค่อยตามเขาไป หากข้าจากไปแล้ว ใครจะช่วยดูแลสวนดอกไม้ของท่านพ่อ?”
กวอเจี้ยพยายามขึงหน้าให้เครียดขรึม พูดโน้มน้าวอย่างหวังดีว่า “คราวหน้าที่ ตีพวกแมลงก็ออมวิชากระบี่เอาไว้หน่อย ไม่ใช่ว่าฟันต้นไม้ดอกไม้ไปพร้อมกันด้วย”
กวอจู๋จิ่วกล่าวอย่างเสียดาย “น่าเสียดายที่ศิษย์พี่หญิงใหญ่ไม่ยอมมอบไม้เท้าเดินป่าให้ข้า ไม่อย่างนั้นอย่าว่าแต่สวนดอกไม้ของท่านพ่อเลย หากในจวนตระกูลกวอยังมีแมลงสักตัวบินได้ ท่านพ่อก็มาซักไซ้เอาความผิดจากข้า มาตัดหัวสุนัขของข้าได้เลย”
หลังแยกกับบุตรสาว กวอเจี้ยก็ไปดูสวนดอกไม้ หลังจากที่บุตรสาวกราบอาจารย์ก็ไปเยือนจวนหนิงทุกวัน ไม่มีอารมณ์มาดูแลสวนดอกไม้แล้ว ดังนั้นต้นไม้ดอกไม้ ในสวนจึงเจริญงอกงามเป็นพิเศษ กวอเจี้ยยืนอยู่ในศาลาที่ห้อมล้อมด้วยช่อบุปผาเพียงลำพัง มองทัศนียภาพที่ดอกไม้ชูช่อบานสะพรั่งจับกลุ่มกันเป็นช่อเป็นพวง อย่างงดงาม แต่อารมณ์ของเขากลับไม่ได้ชื่นบานนัก หากบุปผางาม ดวงจันทร์ก็ กลมโต ทุกเรื่องสมบูรณ์แบบไปหมด คนจะยังมีชีวิตเป็นอมตะได้อย่างไร
ดังนั้นกวอเจี้ยจึงยินดีให้บุปผาโรยราคนอยู่กันครบหน้ามากกว่า
ทางฝั่งของจวนหนิง หนิงเหยายังคงปิดด่าน
เผยเฉียนเรียนวิชาหมัดจากป๋ายหมัวมัว
จ้งชิวกำลังฝึกท่าเดินนิ่ง ใช้ปณิธานกระบี่ที่อัดแน่นเต็มฟ้าดินมาขัดเกลาปณิธานหมัด
เฉาฉิงหล่างกำลังฝึกตน
ชุยตงซานลากพี่ใหญ่น่าหลันไปดื่มเหล้าด้วยกัน
เฉินผิงอันที่หลังออกมาจากจวนตระกูลกวอและถนนอวี้ฮู่แล้วก็ไปที่ร้านเหล้าที่ยิ่งนานวันกิจการก็ยิ่งขยับขยายใหญ่ ตามกฎเดิม เถ้าแก่จะไม่ไปแย่งที่นั่งกับลูกค้า เพียงแค่นั่งดื่มเหล้าอยู่ข้างทางเท่านั้น น่าเสียดายที่ฟ่านต้าเช่อไร้คุณธรรม ถึงกับดื่มเงินค่าเหล้าส่วนที่เหลือจากเงินร้อนน้อยหนึ่งเหรียญนั้นไปรวดเดียวหมด ตนจึงได้แต่ไปจ่ายค่าเหล้ากับเด็กหนุ่มเจี่ยงชวี่ เจี่ยงชวี่ปลุกความกล้าเอ่ยว่าก่อนหน้านี้ไม่นานเขาเบิกเงินเดือนล่วงหน้ามาจากพี่หญิงเตี๋ยจ้าง สามารถเลี้ยงเหล้าถ้ำสวรรค์จู๋ไห่กาหนึ่งให้กับท่านเฉินได้ เฉินผิงอันไม่ตอบตกลง บอกว่าใช่ว่าตนไม่อยาก แต่ไม่กล้า หลีกเลี่ยงไม่ให้ชื่อเสียงที่ดีงามอย่างถึงที่สุดของตนในกำแพงเมืองปราณกระบี่เกิด จุดด่างพร้อยเล็กๆ ในฐานะบัณฑิต จะไม่รู้จักทะนุถนอมชื่อเสียงได้อย่างไร
เจี่ยงชวี่จึงไปดูแลลูกค้าต่อ ในใจคิดว่า แต่ท่านเฉิน บัณฑิตที่ไม่รู้จักทะนุถนอมชื่อเสียงแบบท่านนี้ก็ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เหมือนกันนะ
เฉินผิงอันดื่มเหล้าอย่างสบายอารมณ์ ขอเหล้าจากสหายที่นั่งอยู่ข้างๆ ไปสองชาม แล้วถึงได้ลุกไปยังผนังสองด้านใหม่เอี่ยมเพื่ออ่านชื่อและเนื้อหาบนป้ายสงบสุขทั้งหมด
จากนั้นเฉินผิงอันก็หิ้วม้านั่งไปนั่งที่มุมเลี้ยวของตรอก โบกกิ่งไผ่สีเขียวมรกตปลั่งราวกับจะคั้นน้ำได้อย่างแรง เหมือนนักเล่านิทานในหมู่ชาวบ้านที่ชอบไปนั่งใต้สะพาน แล้วตะโกนเรียกหาคนฟังเสียงดัง
เฝิงคังเล่อเป็นคนแรกที่วิ่งมาถึง ไม่มีเวลาหยิบไหที่ยิ่งนานวันก็ยิ่งหนักอึ้งใบนั้น มาด้วย เด็กน้อยกระซิบข้างหูเถ้าแก่รอง คร่าวๆ คือบอกให้รู้ถึงความลำบากใจของตน ให้เถ้าแก่รองรู้จักอะไรควรไม่ควรเสียหน่อย อย่าได้พูดผิดเป็นอันขาด เฉินผิงอัน พยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
ส่วนค่าตอบแทนก็คือบอกให้ฝังคังเล่อเดินไปเรียกทุกคนให้มาหาตน เมื่อได้ยิน คำสัญญา และเถ้าแก่รองยังรับรองว่าจะไม่แฉตน เฝิงคังเล่อจึงตบไหล่ของเถ้าแก่รองหนักๆ ยกนิ้วโป้งให้ เอ่ยประโยคหนึ่งว่าพี่น้องคนดีช่างมีน้ำใจ
เฉินผิงอันชำเลืองตามองเฝิงคังเล่อ เด็กชายจึงรีบลดแรงมือมาเป็นตบไหล่เขาเบาๆ แทน จากนั้นเฝิงคังเล่อก็วิ่งออกไปแผดเสียงตะโกนเรียกคนดังลั่น บอกว่าในที่สุดเรื่องเล่าของนักเล่านิทานที่บัณฑิตไปตีกลองร้องทุกข์ฟ้องเทพอภิบาลเมืองก็ได้เปิดฉากขึ้นอีกครั้งหนึ่งแล้ว
นักเล่านิทานรอให้รอบกายมีคนมาออกันเนืองแน่นแล้วก็ขอเมล็ดแตงกำหนึ่งมาจากแม่นางน้อยที่อยู่ข้างกาย แล้วถึงได้เริ่มเล่าเรื่องแห่งขุนเขาสายน้ำที่เทพภูเขารังแกบุรุษบังคับขืนใจสตรีแต่งสาวงามเข้าเรือน ส่วนบัณฑิตที่ผ่านอุปสรรคนานัปการ ในที่สุดก็พบเจอกับความสุขในตอนท้ายอีกครั้ง
ทว่าพอพูดถึงว่าเทพภูเขาท่านนั้นกำเริบเสิบสาน มีอำนาจยิ่งใหญ่ ทำให้ เทพอภิบาลเมืองที่ได้ฟังคำร้องทุกข์ของบัณฑิตเกิดใจหวาดกลัวไม่กล้าช่วย พวกเด็กๆ ก็ไม่สบอารมณ์ทันใดนั้น เริ่มโห่ร้องต่อต้าน
มัวพูดพล่ามอะไรอยู่ ลำพังเพียงแค่เทพท่องทิวาราตรี ขุนนางผู้พิพากษาบุ๋นบู๊ แม่ทัพตรวนเหล็กในศาลเทพอภิบาลเมือง มีชื่อแซ่อะไร ตอนมีชีวิตอยู่เคยสร้างคุณความชอบอะไร แล้วพอตายไปแล้วสามารถกลายมาเป็นเทพในศาลเทพอภิบาลเมืองได้อย่างไร อักษรบนกรอบป้ายเขียนคำว่าอะไรไว้กันแน่ ชุดขุนนางบนร่างของ เทพอภิบาลเมืองมีบารมีแค่ไหน แค่เรื่องไม่สลักสำคัญพวกนี้ เถ้าแก่รองก็เล่ามา ตั้งนาน ผลคือสุดท้ายเถ้าแก่รองดันเอ่ยประโยคนี้ออกมา บอกว่าท่านเทพอภิบาลเมืองที่มีขุนนางผีใต้บังคับบัญชามากมายดุจก้อนเมฆ มีกองกำลังทหารที่แข็งแกร่ง กลับไม่ยินดีทวงความเป็นธรรมให้กับบัณฑิตผู้น่าสงสารอย่างนั้นหรือ?
เฉินผิงอันพบว่าเมล็ดแตงในมือหมดแล้วจึงหันหน้ามาเตรียมจะขอจากแม่นางน้อย คิดไม่ถึงว่าแม่นางน้อยจะหันตัวหนี ไม่ยอมมอบเมล็ดแตงให้เขาอย่างที่ไม่เคยทำ มาก่อน
เฝิงคังเล่อไม่มัวสนใจแล้วว่าจะถูกเถ้าแก่รองแฉว่าตอนนั้นตนไม่กล้าเคาะประตูไปพบเขาหรือไม่ เขามอบหมัดให้เฉินผิงอันเป็นรางวัลทันใด พูดอย่างเดือดดาลว่า “ไม่ๆ หากเจ้าไม่บอกตอนจบมาตามตรงก็ต้องเปลี่ยนเรื่องเล่าใหม่ให้มันสะใจกว่านี้หน่อย! ไม่อย่างนั้นวันหน้าข้าจะไม่มาอีกแล้ว เจ้าก็นั่งกินลมตะวันตกเฉียงเหนืออยู่ตรงนี้ไปคนเดียวเถอะ”
เด็กๆ คนอื่นต่างก็พากันพยักหน้ารับ
ยังคงเป็นพวกเซียนกระบี่ที่มาดื่มเหล้าที่มีแววตาดีเยี่ยม เถ้าแก่รองใจดำจริงๆ ด้วย
เรื่องเล่าขุนเขาสายน้ำที่ทำให้อารมณ์คนฟังย่ำแย่แบบนี้ ไม่ฟังก็ได้
เห็นเพียงว่าเถ้าแก่รองใช้มือข้างหนึ่งยกกิ่งไผ่ขึ้น มืออีกข้างหนึ่งประกบสองนิ้วเข้าด้วยกันแล้วสะบัดสองสามทีราวกับร่ายกระบวนท่ากระบี่ ก่อนถามว่า “คราวก่อนพูดถึงศาลเทพอภิบาล มีคนจำกลอนคู่หน้าประตูใหญ่ที่ข้าบอกไปแค่ครึ่งเดียวได้หรือไม่?”
เด็กหนุ่มคนหนึ่งเอ่ยว่า “คือประโยคว่า ‘ขอให้มโนธรรมควบคุมข้า ให้ข้าเป็น คนที่กระทำความดี ทิวาราตรีฟ้าดินกว้างใหญ่ จะเดินหรือนั่งก็สงบมั่นคง ยามค่ำ นอนบนเตียง จิตวิญญาณมั่นคงแม้ยามฝัน’”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม
เด็กหนุ่มถามว่า “ก่อนหน้านี้ก็ถามท่านไปแล้วว่าเหตุใดถึงไม่บอกอีกครึ่งหนึ่ง ท่านบอกแค่ว่าความลับสวรรค์มิอาจแพร่งพราย เวลานี้คงจะไม่มัวอมพะนำอยู่แล้วกระมัง?”
เฉินผิงอันเอ่ย “อมพะนำเอาไว้ก่อน ไม่ต้องรีบร้อน ให้ข้าได้เล่าเรื่องที่อีกยาวไกลกว่าจะจบนั่นเสียก่อน เห็นเพียงว่าในศาลเทพอภิบาลเมืองเงียบสงัดไร้สรรพสำเนียง ท่านเทพอภิบาลเมืองลูบหนวดไม่กล้าเอ่ยคำใด ขุนนางผู้พิพากษาบุ๋นบู๊และเทพท่องทิวาราตรีต่างก็ไร้คำพูด และเวลานี้เอง เมฆทะมึนพลันเคลื่อนมาบดบังท้องฟ้า บนโลกมนุษย์ไม่เหลือแสงไฟแม้เพียงน้อย ดวงจันทร์บนฟ้าก็ไม่สว่างอีกต่อไป บัณฑิตผู้นั้นกวาดตามองไปรอบด้าน ทุกความคิดสิ้นสูญ รู้สึกดั่งฟ้าถล่มดินทลาย ตนคงมิอาจช่วยสตรีที่รักได้แล้ว ในเมื่ออยู่ไม่สู้ตายก็ไม่สู้เอาหัวกระแทกเสาให้ตาย ไปเสีย จะได้ไม่ต้องทนมองเรื่องโสมมในโลกมนุษย์อีก”
พวกเด็กๆ อย่างเฝิงคังเล่อฟังด้วยความกลัดกลุ้มจะตายอยู่แล้ว
ใต้หล้าไพศาลนี่มันเป็นยังไงกันนะ
ทุกวันนี้คนที่มาฟังเรื่องเล่ามีมากมาย ยิ่งนานก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ เจ้าเถ้าแก่รองกลับดีนัก ดีแต่จะทำให้ข้าเฝิงคังเล่อเสียหน้า วันหน้าตนจะอยู่ในยุทธภพได้อีกอย่างไร เป็นเจ้าเถ้าแก่รองพูดเองนะว่าแท้จริงแล้วยุทธภพแบ่งเป็นเล็กใหญ่ เดินท่องอยู่ในยุทธภพเล็กข้างบ้านตัวเองเสียก่อน เมื่อฝึกปรือฝีมือจนเชี่ยวชาญแล้วก็ค่อยไปท่องในยุทธภพที่ใหญ่ยิ่งกว่าเดิม
เฉินผิงอันเอามือตบเข่าฉาด “ในชั่วเวลาเสี้ยวเส้นยาแดงผ่าแปดนั้นเอง คิดไม่ถึงว่าช่วงเวลาที่ความเป็นความตายของบัณฑิตห่างกันเพียงเส้นบางๆ กั้นขวาง เห็นเพียงว่านอกศาลเทพอภิบาลเมืองที่ม่านราตรีมืดมิดพลันปรากฏแสงสว่างจุดหนึ่ง เป็นจุดที่เล็กยิ่ง ท่านเทพอภิบาลเมืองพลันเงยหน้ามองไปแล้วหัวเราะเสียงดังก้องกังวาน เขาพูดเสียงดังว่า ‘สหายมาเยือน เรื่องนี้มิยากแล้ว’ ท่านเทพอภิบาลเมืองที่ยิ้มกว้างเดินอ้อมโต๊ะหนังสือออกมา เดินก้าวยาวๆ ลงจากบันได เดินออกไปต้อนรับด้วยตัวเอง ตอนที่เดินสวนไหล่กับบัณฑิตคนนั้น เขาเอ่ยประโยคหนึ่งเบาๆ บัณฑิตกึ่งเชื่อกึ่งกังขา จึงติดตามท่านเทพอภิบาลเมืองเดินออกไปจากห้องโถงใหญ่ของศาลเทพอภิบาลเมือง ทุกท่านรู้หรือไม่ว่าผู้ที่มาเยือนเป็นใคร?
หรือจะเป็นเทพภูเขาชั่วร้ายที่มาซักไซ้กล่าวโทษบัณฑิตถึงที่? หรือจะเป็นคนอื่นที่มาเยือน ทำให้สถานการณ์ร้ายๆ กลับกลายเป็นดีได้? หากอยากรู้ว่าเรื่องนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป โปรดรอฟัง…”
แม่นางน้อยพลันยื่นมือออกมา ส่งเมล็ดแตงกำหนึ่งให้นักเล่านิทาน “อย่ารอไปเล่า ครั้งหน้าเลย เล่าวันนี้แหละ เล่าวันนี้เลย มีเมล็ดแตง แถมยังมีอีกมากด้วย”
เด็กหนุ่มคนที่เอ่ยเนื้อความครึ่งหนึ่งบนกลอนคู่หน้าประตูศาลเทพอภิบาลเมืองกล่าวอย่างขุ่นเคืองว่า “อย่าไปขอร้องเขา อยากเล่าก็เล่า ไม่อยากเล่าก็ตามใจ ถึงอย่างไรหลังจากฟังเรื่องนี้จบ วันหน้าข้าก็จะไม่มาที่นี่อีกแล้ว”
เห็นเพียงว่านักเล่านิทานรับเมล็ดแตงไปจากมือของแม่นางน้อย จากนั้นก็โบกกิ่งไม้ไผ่อย่างแรง “พอมองอย่างละเอียด เพียงชั่วพริบตานั้น จุดแสงที่เล็กอย่างยิ่ง ก็พลันขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น เพียงไม่นานก็มีแสงจำนวนมากกว่าเดิมปรากฏขึ้น ทีละจุดทีละเสี้ยว มารวมตัวกันจนกลายเป็นเหมือนดวงจันทร์ ดวงใหม่ เส้นแสงเหล่านี้แหวกอากาศยามราตรีอยู่เหนือถนน เจอทะเลเมฆก็ฝ่า ทะเลเมฆ ประหนึ่งเซียนที่เดินอยู่บนเส้นทาง เมื่อเทียบกับห้าขุนเขาแล้วยังสูงยิ่งกว่า และบนผืนดินกว้างใหญ่แห่งนั้น พวกผู้ฝึกตนน้อยใหญ่ พวกชาวบ้านคนธรรมดาทั้งหลายต่างก็ต้องสะดุ้งตื่นจากความฝัน ออกจากประตูหรือไม่ก็เปิดหน้าต่างเงยหน้าขึ้นมา พอมองเห็นแล้วก็ต้องตะลึงงันกันไปเลย!”
พูดมาถึงตรงนี้ นักเล่านิทานรีบแทะเมล็ดแตงทันที “อย่าเร่งๆ ขอแทะเมล็ดแตงสักสองสามเมล็ดก่อน”
พอแทะเมล็ดแตงไปแล้ว เฉินผิงอันก็เอ่ยต่อว่า “ยิ่งขยับเข้าใกล้ศาลเทพ อภิบาลเมือง บัณฑิตก็ยิ่งได้ยินเสียงฟ้าร้องครืนครั่นดังชัดเจน ราวกับว่ามีเทพมารัว ตีกลองสายฟ้าอยู่เหนือศีรษะไม่หยุด ทั้งกังวลว่าท่านเทพอภิบาลเมืองจะเป็นพวกตะเภาเดียวกับท่านเทพภูเขา แต่ขณะเดียวกันในใจก็เกิดความหวังขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง หวังว่าฟ้าดินที่กว้างใหญ่นี้จะมีใครสักคนที่ยินดีช่วยทวงความเป็นธรรมให้แก่ตน
ต่อให้สุดท้ายแล้วจะไม่ได้รับความเป็นธรรม เขาก็พร้อมน้อมรับ ถึงอย่างไรเส้นทางในโลกมนุษย์ก็ไม่ได้มีแต่โคลนเละไปเสียทั้งหมด ถึงอย่างไรจิตใจของผู้อื่นก็สามารถปลอบประโลมจิตใจของข้าได้”
ทุกคนที่อยู่รอบม้านั่งตัวเล็กกลั้นหายใจ เงี่ยหูรอฟัง
“บัณฑิตต้องยกมือข้างหนึ่งบังตาอย่างห้ามไม่ได้ นั่นเป็นเพราะแสงนั้นยิ่งนาน ก็ยิ่งเจิดจ้าแสบตา เป็นเหตุให้บัณฑิตที่เป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาไม่อาจจ้องมองได้อีก อย่าว่าบัณฑิตเลยที่เป็นเช่นนี้ แม้แต่เทพอภิบาลเมืองและขุนนางผู้ช่วยของเขาก็ล้วนเป็นเช่นนี้ ไม่อาจเพ่งมองแสงสว่างเจิดจ้าที่อยู่ระหว่างฟ้าดินนั่นโดยตรงได้ แสงสว่างนั้นกว้างแค่ไหน พวกเจ้าลองเดาดูสิ? มันกว้างมากจนถึงขนาดสาดส่องไปรอบรัศมีร้อยลี้ของศาลเทพอภิบาลเมือง ประหนึ่งเวลากลางวันที่ดวงอาทิตย์ลอยอยู่กลางนภา หากเป็นเทพภูเขาตัวเล็กๆ ที่ออกเดินทาง จะมีขบวนที่ใหญ่โตขนาดนี้ได้อย่างไร?!”
เฝิงคังเล่อถามหยั่งเชิง “หรือจะมีเซียนกระบี่ผ่านทางมา?”
แม่นางน้อยสองคนที่นั่งขนาบซ้ายขวาของเฝิงคังเล่อพยักหน้ารับอย่างแรง “ต้องใช่แน่นอน ท่านเฉินเคยบอกว่าเหล่าเซียนกระบี่มีจิตใจใสสะอาด กระบี่ปลดปล่อยแสงเจิดจ้า”
เฉินผิงอันกล่าว “ถูกต้องแล้ว ก็คือเซียนกระบี่ที่ลงจากภูเขามาฝึกประสบการณ์! แต่ไม่ได้มีเพียงแค่นี้เท่านั้น เห็นเพียงว่าเซียนกระบี่เด็กหนุ่มชุดขาวที่เป็นผู้นำขี่กระบี่มาถึงศาลเทพอภิบาลเมืองก่อนใคร จากนั้นจึงเก็บกระบี่บิน พลิ้วกายยืนนิ่ง บังเอิญนัก คนผู้นี้ก็มีแซ่เฝิง นามว่าคังเล่อเช่นกัน คือเซียนกระบี่คนใหม่ที่เพิ่งจะมีชื่อเสียงของใต้หล้า ชอบผดุงความเป็นธรรมเป็นที่สุด เขาพกกระบี่ออกท่องยุทธภพ ตรงเอวห้อยไหใบเล็กๆ ส่งเสียงเคร้งคร้าง เพียงแต่ไม่รู้ว่าด้านในบรรจุสิ่งใดไว้ จากนั้นก็บังเอิญยิ่งกว่า ข้างกายเซียนกระบี่ท่านนี้ยังมีเซียนกระบี่หญิงที่งดงามอยู่อีกคนหนึ่ง และนางก็มีนามว่าซูซิน ทุกครั้งที่ขี่กระบี่ลงจากภูเขาจะชอบพกเมล็ดแตงไว้ใน ชายแขนเสื้อ ยามที่ลงจากภูเขามาแล้วเจอเรื่องไม่เป็นธรรม
เมื่อขจัดความอยุติธรรมได้เรียบร้อยแล้ว นางก็จะกินเมล็ดแตง หากมีใครซาบซึ้งในตัวนาง เซียนกระบี่หญิงท่านนี้ก็ไม่ต้องการเงิน แค่มอบเมล็ดแตงให้นาง สักเล็กน้อยก็พอ”
เฝิงคังเล่ออึ้งงันเป็นไก่ไม้ พอคืนสติกลับมาก็รีบยืดเอวตั้ง อีกนิดก็เกือบจะหลั่งน้ำตาแล้ว เขากล่าวอย่างซาบซึ้งว่า “เรื่องเล่านี้สนุกยอดเยี่ยมยิ่งนัก!”
แม่นางน้อยที่มีชื่อว่าซูซินรู้สึกเขินอายเล็กน้อย นางหน้าแดงก่ำ แล้วยังรู้สึกละอายใจด้วย วันนี้นางพกเมล็ดแตงมาน้อยไปหน่อย
ได้ยินนักเล่านิทานเอ่ยต่ออีกว่า “สวบๆๆ มีเซียนกระบี่พากันพลิ้วกายลงพื้น ไม่หยุด แต่ละท่านมีมาดสง่างาม บุรุษหากไม่หน้าตาหล่อเหลาดุจหยกก็มีพลังอำนาจน่าตื่นตะลึง ส่วนสตรีหากไม่งดงามปานบุปผาก็มีท่วงท่าองอาจเปี่ยมชีวิตชีวา ดังนั้นท่านผู้เฒ่าเทพอภิบาลเมืองที่พอจะเข้าใจว่าอะไรเป็นอะไรแล้ว แต่ก็ยังไม่แน่ใจมากพอจึงตกใจไม่น้อย พวกขุนนางผู้ช่วยและขุนนางผีตนอื่นๆ ก็ยิ่งจิตวิญญาณแกว่งไกว แต่ละตนพากันโค้งคำนับ ไม่กล้าเงยหน้ามองมา พวกเขาตกใจกันยิ่งนัก เหตุใด… เหตุใดถึงมีเซียนกระบี่โผล่มาทีเดียวมากมายขนาดนี้? และในบรรดาเซียนกระบี่ที่มีชื่อเสียงเลื่องลือเหล่านั้น นอกจากเฝิงคังเล่อกับซูซินแล้ว ยังมีโจวสุ่ยถิง จ้าวอวี่ซาน หม่าเซี่ยงเอ๋อร์…”
ลำพังเพียงแค่ชื่อแซ่ก็ร่ายออกมายาวเหยียด ระหว่างนี้นักเล่านิทานยังมองไปยังเด็กคนหนึ่งที่ไม่รู้ชื่อ เด็กคนนั้นจึงรีบตะโกนอย่างร้อนใจว่า “ข้าชื่อสือทั่น”
นักเล่านิทานจึงเพิ่มชื่อเซียนกระบี่สือทั่นเข้าไปอีกคนหนึ่ง
ส่วนเด็กหนุ่มจ้าวอวี่ซานที่ได้ยินชื่อตัวเองก็ยิ้มกว้าง เพียงแต่ไม่นานก็ตีหน้าเคร่งอีกครั้ง
หากในเรื่องเล่าต่อจากนี้ของนักเล่านิทานยังมีเซียนกระบี่จ้าวอวี่ซานอีก ถ้าอย่างนั้นก็จะลองฟังดู แต่หากไม่มี ก็ยังจะฟังอยู่ดี
แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าจะมีเซียนกระบี่จ้าวอวี่ซานที่ชื่อแซ่เหมือนเขาหรือไม่ แน่นอนว่าเด็กหนุ่มจ้าวอวี่ซานจากตรอกยากจนก็ต้องฟังเรื่องเล่าดูก่อนถึงจะรู้ได้ว่า มีหรือไม่มี
อันที่จริงต่อจากนั้นมา เรื่องเล่าก็ยังคงมีจุดหักเหอยู่เรื่อยๆ พวกเด็กๆ ยังคงช่างเลือก จะฟังเฉพาะเรื่องที่ตัวเองอยากฟังเท่านั้น
ไม่ว่าจะอย่างไร ด้านข้างม้านั่งและจุดที่ห่างออกไปก็ยังไม่มีใครที่เดินจากไป ยังคงอยู่ฟังเรื่องเล่าขุนเขาสายน้ำฉบับครบถ้วนสมบูรณ์จนจบ ในที่สุดบัณฑิตก็สมหวัง เซียนกระบี่ทุกคนเดินทางมาร่วมอวยพร บัณฑิตกับสตรีที่รักผ่านอุปสรรคนานาประการมาด้วยกัน ในที่สุดก็สามารถกราบไหว้ฟ้าดินแต่งงานกันได้ นับแต่นั้นก็มีชีวิตที่สุขสมบูรณ์ เรื่องราวจึงจบลงเช่นนี้
ไม่เพียงเท่านี้ ปกติทุกครั้งที่เรื่องเล่าจบเรื่อง พวกเด็กน้อยและเด็กหนุ่มเด็กสาวก็จะแยกย้ายกันไป ทว่าครั้งนี้กลับไม่มีใครจากไปทันที นี่ถือเป็นเรื่องที่หาได้ยากยิ่ง
เพียงแต่ครั้งนี้ นักเล่านิทานกลับไม่ได้พูดถึงเรื่องที่อยู่นอกเหนือจากเรื่องเล่า อีกแล้ว เพียงมองพวกเขาแล้วยิ้มกล่าวว่า “เรื่องเล่าก็คือเรื่องเล่า แต่เรื่องเล่าที่อยู่ ในตำราก็ไม่ได้มีอยู่แค่บนหน้ากระดาษเท่านั้น อันที่จริงพวกเจ้าก็จะมีเรื่องราวที่เป็นของตัวเอง ยิ่งนานวันไปก็ยิ่งจะเป็นเช่นนี้ วันหน้าข้าจะไม่ได้มาเป็นนักเล่านิทานอยู่ที่นี่อีกแล้ว หวังว่าหากมีโอกาส พวกเจ้าจะมาเป็นคนเล่าเรื่องราว ส่วนข้าจะมาเป็นคนฟังพวกเจ้าเล่า”
เฉินผิงอันหยิบม้านั่งลุกขึ้นยืน
มีเด็กคนหนึ่งเอ่ยอย่างขลาดๆ ว่า “ท่านเฉิน ท่านจะต้องกลับบ้านเกิด แล้วหรือ?”
เฉินผิงอันส่ายหน้ายิ้มกล่าว “เปล่า ข้าจะอยู่ที่นี่ต่อ แต่ข้าจะไม่ใช่นักเล่านิทานที่แต่งเรื่องโกหกหลอกคน แล้วก็ไม่ใช่นักบัญชีที่ขายเหล้าหาเงินอะไรอีกแล้ว ดังนั้นจึงมีเรื่องอีกมากที่รอให้ข้าต้องไปทำ”
เฉินผิงอันเดินจากไปแล้ว หลังเดินออกไปได้ระยะหนึ่งก็พลันหันหน้ากลับมา ยิ้มกล่าว “หากอยากรู้ว่าเรื่องนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป?”
พวกเด็กๆ หลายคนที่ลุกขึ้นยืนและเดินจากไปแล้วพากันหัวเราะครืน มีเพียงเสียงของคนไม่กี่คนที่เอ่ยคล้อยตาม แต่เสียงนั้นไม่ถือว่าเบาเลยจริงๆ “โปรดรอฟังตอนถัดไป!”
เฉินผิงอันหัวเราะ แล้วพูดพึมพำกับตัวเอง “เหลือไว้ เหลือไว้ก่อน”
เผยเฉียนตั้งใจฝึกหมัดอย่างยิ่ง ไม่ต่างจากปีนั้นที่อยู่บนภูเขาลั่วพั่ว เพราะกลัวว่า วันใดจู่ๆ อาจารย์พ่อจะไล่ให้ตนกลับไป ภูเขาลั่วพั่วดีมาก แต่ขอแค่ไม่มีอาจารย์พ่ออยู่ ก็ไม่ค่อยดีมากพอ
วันนี้ตอนฝึกหมัดป๋ายหมัวมัวออกแรงไม่มากนัก คาดว่าคงกินข้าวไม่อิ่มกระมัง
แต่เผยเฉียนก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะนางรู้สึกว่าตนใกล้จะฝ่าทะลุคอขวดขอบเขตสี่แล้ว! นี่ทำให้เผยเฉียนเบิกบานใจอย่างยิ่ง ยิ้มกว้างจนหุบปากไม่ลง พูดถ้อยคำน่าฟังมากมายกับป๋ายหมัวมัว
เพราะเผยเฉียนรู้สึกว่าในที่สุดตนก็มีเหตุผลพอให้อยู่ต่อที่กำแพงเมือง ปราณกระบี่อีกหลายวันแล้ว คิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันบอกเรื่องน่ายินดีกับอาจารย์พ่อ อาจารย์พ่อก็พาชุยตงซานเดินลงมาจากศาลาบนหน้าผาสังหารมังกร มาที่ลานประลองยุทธ บอกว่าสามารถเดินทางกลับบ้านเกิดได้แล้ว และต้องกลับตอนนี้เลย
เผยเฉียนมองห่านขาวใหญ่ ห่านขาวใหญ่ส่ายหน้าอย่างจนใจ ช่วยไม่ได้ อาจารย์ตัดสินใจแล้ว ศิษย์พี่เล็กก็ห้ามไว้ไม่อยู่
เผยเฉียนไม่ได้งอแง นางไม่กล้าแล้วก็ไม่อยากทำอย่างนั้น เพียงติดตามอยู่ ข้างกายอาจารย์พ่อไปเก็บสัมภาระที่เรือนของนางเงียบๆ หลังจากสะพายหีบไม้ไผ่ ใบเล็กเรียบร้อยก็หยิบไม้เท้าเดินป่าขึ้นมาถือไว้
ฤดูหนาวที่อากาศหนาวเหน็บ แดดจะแรงขนาดนี้ไปทำไม หากมีฝนตกลงมาหนักๆ ก็ดีน่ะสิ นางจะได้ออกจากจวนหนิงช้าหน่อย ได้หลบฝนอยู่ที่หน้าประตูใหญ่ ก็ยังดีนะ
เฉาฉิงหล่างเองก็ถือไม้เท้าเดินป่าไว้ในมือ สะพายห่อสัมภาระไว้บนไหล่ ปรากฏตัวอยู่หน้าประตูเรือนพร้อมกับอาจารย์ผู้เฒ่าจ้ง
เฉินผิงอันพาพวกเขาออกมาจากจวนหนิงด้วยกัน เดินเท้ากันไปตลอดทาง กระทั่งไปถึงประตูใหญ่ที่มีนักพรตหญิงวัยชราจากเรือนซือเตาและเซียนกระบี่ผู้เฒ่าเฝ้าพิทักษ์อยู่
เพียงแต่ว่าเดินไปได้ครึ่งทาง ชุยตงซานก็แวะไปที่อื่น บอกว่าจะไปรวมตัวกับพวกเขาที่โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ยของภูเขาห้อยหัว
เฉินผิงอันหยุดเดิน “ข้าคงไม่ไปส่งพวกเจ้าแล้ว เดินทางระวังกันด้วย”
เผยเฉียนก้มหน้า
เฉาฉิงหล่างมอบตราประทับชิ้นนั้นให้อาจารย์ เฉินผิงอันรับไว้ด้วยรอยยิ้ม
เผยเฉียนเงยหน้าขึ้น เอ่ยเสียงเบาว่า “อาจารย์พ่อ ข้าทิ้งของบางอย่างไว้บนโต๊ะของอาจารย์แม่ ฝากท่านบอกอาจารย์แม่ยามที่นางออกจากด่านมาด้วยนะ”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้าไม่ลืมหรอก กลับไปถึงภูเขาลั่วพั่วแล้ว เวลาพูดถึงกำแพงเมืองปราณกระบี่กับหน่วนซู่และหมี่ลี่ ห้ามเอาแต่โอ้อวดบารมีของตน อย่าพูดจาเหลวไหลกับพวกนาง เรื่องเป็นอย่างไรก็พูดไปอย่างนั้น”
เผยเฉียนพยักหน้ารับ ดวงตาแดงก่ำ “ล้วนฟังอาจารย์พ่อ”
ประหลาดมาก เมื่อก่อนล้วนเป็นนางที่อยู่ที่เดิม คอยส่งอาจารย์พ่อออกเดินทางไปไกล มีเพียงครั้งนี้ที่อาจารย์พ่ออยู่ที่เดิม แล้วเป็นคนส่งนางจากไป
กลับกลายเป็นว่าเสียใจมากกว่าเดิมเสียอีก
ถ้าอย่างนั้นวันหน้าตนจะยังออกจากภูเขาลั่วพั่วไปท่องยุทธภพตามลำพัง อีกหรือไม่? ทิ้งอาจารย์พ่อไว้ที่ภูเขาลั่วพั่วคนเดียว น่าสงสารจะตายไป
เฉินผิงอันหันหน้าไปมอง มีแม่นางน้อยคนหนึ่งกำลังวิ่งตะบึงตรงมา
ในที่สุดเผยเฉียนก็อารมณ์ดีขึ้นได้บ้างแล้ว ในใจคิดว่าหากศิษย์น้องหญิงเล็กกล้าไม่มาพบตน ถ้าอย่างนั้นก็ต้องเกิดเรื่องใหญ่แล้ว
กวอจู๋จิ่วพลันรวบสองเท้ายืนนิ่ง จากนั้นก็กระโดดดึ๋งมาหยุดอยู่ข้างกาย เผยเฉียน ยิ้มกว้างเอ่ยว่า “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ตัวเล็ก จะต้องจากลากับอาจารย์พ่อแล้ว ร้องเถิด รีบร้องไห้ออกมา! ร้องเสร็จแล้วก็จะสบายใจขึ้น เพราะข้างกายอาจารย์พ่อ มีข้าคอยดูแลอยู่แล้วไงล่ะ”
ต่อให้เผยเฉียนอยากร้องไห้ก็ร้องไม่ออกเสียแล้ว นางปลดหีบไม้ไผ่ใบเล็ก ที่แท้จริงแล้วภายในว่างเปล่า ยื่นส่งให้กวอจู๋จิ่ว แล้วเอ่ยว่า “ตกลงกันไว้ก่อนว่า ศิษย์พี่หญิงใหญ่แค่ให้เจ้ายืมเท่านั้น ไม่ได้ยกให้เจ้าเลย คราวหน้าที่พบกัน เจ้าห้ามคืนหีบไม้ไผ่ที่ผุพังมาให้ข้าล่ะ มีรอยเสียหายนิดเดียวก็ไม่ได้ หากเจ้าไม่รับปาก ข้าก็จะไม่ให้เจ้ายืม”
กวอจู๋จิ่วรับหีบไม้ไผ่ใบเล็กมาแล้วสะพายไว้บนหลังทันที นางพยักหน้ารับอย่างแรง “ศิษย์พี่หญิงใหญ่วางใจได้เต็มที่เลย หีบไม้ไผ่ใบเล็กอยู่บนร่างข้า มองแล้วสวยงามยิ่งกว่า หากหีบไม้ไผ่ใบเล็กพูดได้ เวลานี้คงต้องยิ้มกว้างไม่หุบแล้ว แม้จะพูดได้ก็ถึงขั้นพูดไม่ออกแล้ว เพราะมัวแต่มีความสุข”
เผยเฉียนยื่นมือออกมา “คืนหีบหนังสือมาให้ข้า”
กวอจู๋จิ่วไม่รับคำ แต่กลับถามว่า “ศิษย์พี่หญิงใหญ่ให้ข้ายืมไม้เท้าเดินป่าด้วยเลยสิ หีบหนังสือใบเล็กบวกกับไม้เท้าเดินป่า เข้ากันได้ดียิ่งนัก ข้าจะต้องสะพาย หีบหนังสือใบเล็ก ถือไม้เท้าเดินป่าไว้ทุกวันแน่นอน พื้นหินเขียวและพื้นดินตาม ตรอกเล็กถนนใหญ่จะต้องถูกข้าทิ่มสวบๆๆ ให้ครบทุกหนแห่ง ข้าถึงจะยอมเลิกรา”
ใบหน้าเผยเฉียนเต็มไปด้วยอารมณ์ของคนที่ได้รับความไม่เป็นธรรม ให้ยืม หีบหนังสือใบเล็กแล้ว ได้คืบแล้วยังจะเอาศอก มีศิษย์น้องหญิงเล็กคนใดที่เป็นแบบนี้บ้าง ดังนั้นจึงรีบหันหน้าไปมองอาจารย์พ่อทันที
เฉินผิงอันจึงยิ้มกล่าวว่า “คราวหน้าที่ได้พบกับกวอจู๋จิ่วอีกครั้ง เมื่อนางคืน หีบไม้ไผ่ให้แล้ว เจ้าค่อยให้นางยืมไม้เท้าเดินป่าก็ได้”
เผยเฉียนหันไปเลิกคิ้วให้กวอจู๋จิ่ว
กวอจู๋จิ่วพยักหน้า “แบบนั้นก็ได้”
จากนั้นกวอจู๋จิ่วก็ดึงมือเผยเฉียนมาอยู่ข้างกาย แม่นางน้อยสองคนซุบซิบกันเบาๆ กวอจู๋จิ่วมอบกล่องไม้ใบเล็กใบหนึ่งให้กับเผยเฉียน บอกว่าเป็นของขวัญกราบภูเขาที่ศิษย์น้องหญิงเล็กมอบให้ศิษย์พี่หญิงใหญ่ เผยเฉียนไม่กล้ารับของมาส่งเดช จึงหันไปมองอาจารย์พ่ออีกครั้ง อาจารย์พ่อพยักหน้าให้นางด้วยรอยยิ้ม
เฉินผิงอันเอ่ยกับจ้งชิวว่า “อาจารย์จ้ง กลับไปถึงใต้หล้าไพศาลแล้วไม่ต้องรีบร้อนกลับแจกันสมบัติทวีป สามารถพาพวกเขาไปท่องเที่ยวที่ทักษินาตยทวีปก่อนได้ ข้ามีสหายอยู่คนหนึ่งชื่อว่าหลิวเสี้ยนหยาง ตอนนี้กำลังศึกษาเล่าเรียนอยู่กับสกุลเฉิน ผู้รอบรู้ แต่คราวนี้ชุยตงซานน่าจะติดตามพวกท่านไปไม่ได้แล้ว ที่บ้านเกิดยังมีเรื่อง อีกมากรอให้เขาไปทำ ดังนั้นพอไปถึงภูเขาห้อยหัวก็ยืมเงินเทพเซียนจากเขาให้ มากหน่อย บนเส้นทางการทัศนศึกษามีเรื่องงดงามอยู่มากมาย เอาแต่ชมภูเขาสายน้ำอย่างเดียวก็คงไม่ได้”
จ้งชิวยิ้มกล่าว “ยืมเงินเขามาครั้งหนึ่งแล้ว หากจะยืมอีกครั้งก็คงไม่เป็นไร”
เฉินผิงอันเอ่ย “เดินทางมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ครั้งนี้ ข้าไม่ได้พิจารณาเรื่องการเรียนวรยุทธของอาจารย์จ้งมากนัก ต้องขอโทษด้วย”
จ้งชิวส่ายหน้า “คำพูดเกรงใจเหลวไหลประเภทนี้ วันหน้าพูดกับข้าให้น้อยหน่อย”
เฉินผิงอันจึงไม่เอ่ยคำพูดเกรงใจอีก
สุดท้ายจ้งชิวเอ่ยว่า “ต่อให้เป็นหลักการเหตุผลที่ดีแค่ไหน ก็มีช่วงเวลาที่ไม่ถูกอยู่เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าตัวหลักการเหตุผลนั้นมีปัญหา แต่เป็นเพราะมนุษย์มีความยากลำบากและเรื่องไม่คาดฝันมากเกินไป ทั้งๆ ที่ข้าวหนึ่งอย่างเลี้ยงคนได้ร้อยแบบ ถึงท้ายที่สุดจะมีสักกี่คนที่ชอบข้าวชามนั้น แล้วมีสักกี่คนที่เคยนึกถึงว่ารสชาติที่แท้จริงของข้าวชามนั้นว่าเป็นอย่างไร”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “ข้าจะลองไตร่ตรองดูให้มาก”
จ้งชิวทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไป เขาอยากจะเอ่ยถ้อยคำปลอบใจ เพียงแต่มอง คนหนุ่มชุดเขียวผู้นี้แล้วก็รู้สึกว่าดูเหมือนจะไม่มีความจำเป็น จึงไม่พูดอะไรแล้ว
เผยเฉียนเรียกอาจารย์พ่อเบาๆ หนึ่งคำ แต่กลับพูดต่อไม่ออกอีก
กวอจู๋จิ่วที่สะพายหีบไม้ไผ่ใบเล็กเริ่มนับนิ้ว น่าจะกำลังคำนวณอยู่ในใจ ดูว่าเมื่อไหร่ศิษย์พี่หญิงใหญ่ถึงจะร้องไห้ขี้มูกโป่ง
หางตาของเผยเฉียนเหลือบไปเห็นการกระทำของกวอจู๋จิ่ว จึงไม่มีเวลามามัวเสียใจแล้ว แม่นางน้อยคนนี้น่ารำคาญจริงๆ
เฉาฉิงหล่างกุมหมัดบอกลา
เฉินผิงอันโบกมือเบาๆ จากนั้นก็สอดสองมือไว้ในชายแขนเสื้อ
หลังจากส่งพวกเขาไปแล้ว เฉินผิงอันก็พากวอจู๋จิ่วไปส่งที่หน้าประตูใหญ่ของนคร จากนั้นตนเองก็ขับเรือยันต์ไปที่หัวกำแพงเมือง
บนหัวกำแพงเมือง จั่วโย่วถาม “ไปกันหมดแล้วหรือ?”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
จั่วโย่วขมวดคิ้ว “มีอะไรก็พูดมาตามตรง”
เฉินผิงอันเริ่มคิดถึงช่วงเวลาที่มีเผยเฉียนและเฉาฉิงหล่างอยู่ข้างกายขึ้นมาบ้างแล้ว ยามนั้นศิษย์พี่ใหญ่ดูจะเกรงใจตนอยู่ไม่น้อยนะ
เฉินผิงอันเอ่ยเบาๆ “หากข้าหวังให้ศิษย์พี่ใหญ่รับปากอาจารย์ว่าจะออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ อันที่จริงก็ไม่ควรปฏิเสธเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส ควรจะรับปากเขาว่าจะจุดตะเกียงแห่งชะตาชีวิตไว้ที่ศาลบรรพจารย์ของภูเขาลั่วพั่ว เมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างน้อยที่สุดศิษย์พี่ใหญ่ก็ไม่ต้องอยู่ที่นี่เพราะข้า แล้วยังต้องมีความกังวลเพิ่มขึ้นมาด้วย”
จั่วโย่วเอ่ย “พูดจาแค่ครึ่งๆ กลางๆ ? ใครสอนเจ้า อาจารย์ของพวกเราหรือ?! เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสเล่าทุกอย่างให้ข้าฟังหมดแล้ว ข้าออกกระบี่เร็วหรือช้า เจ้าที่ไม่แม้แต่จะเป็นผู้ฝึกกระบี่ ต่อให้คิดจนหัวแตกก็คิดไม่ออกหรอก แล้วใครมอบ ความกล้าให้เจ้ามาคิดเรื่องวุ่นวายพวกนี้? เจ้าเอ่ยประโยคนั้นกับอวี้เจวี้ยนฟูว่าอย่างไร หรือว่าหลักการเหตุผลมีไว้แค่เอ่ยให้คนอื่นฟังเท่านั้น? หลักการเหตุผลในใจที่ได้มาอย่างลำบากยากแสน จะเหมือนในร้านเหล้าและบนตราประทับบนหน้าพัดพับที่ตัวเองไม่เก็บไว้ก็ขายแลกเงินมาทั้งหมดงั้นหรือ? หลักการเหตุผลผายลมสุนัขเช่นนี้ ข้าว่าไม่ต้องเรียนรู้สักข้อจึงจะดี”
เฉินผิงอันไร้คำพูดตอบโต้ไปชั่วขณะ
ปกติแล้วศิษย์พี่ใหญ่จะไม่พูดอะไรกับตนมากนัก วันนี้กลับพูดเยอะขนาดนี้ ดูท่าจะโมโหตนมากจริงๆ
ไม่เป็นไร
เฉินผิงอันคิดแผนการรับมือมาไว้นานแล้ว “ต่อให้อาจารย์จะยุ่งแค่ไหน ตอนนี้มีพวกเผยเฉียนเฉาฉิงหล่างอยู่บนภูเขาลั่วพั่ว ไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะไปเยี่ยมพวกเขาอยู่บ่อยๆ ศิษย์พี่ใหญ่สอนวิชากระบี่อย่างไร ข้าเชื่อว่าพวกศิษย์หลานของศิษย์พี่ใหญ่ก็จะต้องเล่าให้ให้อาจารย์ของพวกเราฟังทั้งหมด อาจารย์ฟังแล้วต้องดีใจมากแน่นอน”
คราวนี้เป็นจั่วโย่วบ้างที่พูดไม่ออก
เฉินผิงอันเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ถามว่า “ทางฝั่งของใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็มีคนมากมายที่ไม่ได้ลืมคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่ใช่หรือไม่?”
จั่วโย่วพยักหน้า “แน่นอน แต่ก็ยังไม่มีประโยชน์สักเท่าใด”
เฉินผิงอันถามอีก “หัวกำแพงทั้งสองด้านมีอริยะสองท่านของลัทธิขงจื๊อและลัทธิพุทธเฝ้าพิทักษ์ บวกกับม่านฟ้าที่มีอริยะลัทธิเต๋าคอยดูแลอยู่ นี่ก็เพื่อพยายามที่จะประคับประคองกำแพงเมืองปราณกระบี่ไม่ให้ถูกโชคชะตาของใต้หล้าเปลี่ยวร้างกัดกร่อนกลืนกินอย่างนั้นหรือ?”
จั่วโย่วเอ่ย “สำหรับอริยะของสามลัทธิแล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องที่ผ่อนคลายสักเท่าใด อริยะลัทธิขงจื๊อที่มีชาติกำเนิดมาจากพุทธบริษัทท่านนั้น ในอดีตหลังจากที่อาจารย์โต้วาทีล้มเหลว เขาก็ได้ไปอยู่สายของหย่าเซิ่ง ความรู้ลึกล้ำ ดังนั้นเจ้าอย่าได้คิดว่าสายของหย่าเซิ่งไม่ได้เรื่องไม่ได้ราว บัณฑิตอย่างพวกเรากลัวว่าผลประโยชน์ที่ตัวเองควรได้รับจะเกิดความเสียหายมากที่สุด จากนั้นก็จะร้อนรนกระวนกระวายใจ ตำหนิกล่าวโทษทุกคนทุกเรื่อง แล้วก็อย่าได้คิดว่าสายหลี่เซิ่งมีวิญญูชนหวังไจ่อยู่คนหนึ่งแล้วจะรู้สึกว่าลูกศิษย์ลัทธิขงจื๊อสายหลี่เซิ่งบนโลกทุกคนจะเป็นนักปราชญ์วิญญูชนกันไปทั้งหมด”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าไม่มีทางถูกใบไม้หนึ่งใบบังตาแล้วมองไม่เห็นขุนเขาเช่นนี้หรอก”
จงขุยวิญญูชนแห่งใบถงทวีปก็มีชาติกำเนิดมาจากสายหย่าเซิ่ง
จั่วโย่วถาม “ก่อนจะจากไป ชุยตงซานผู้นั้นพูดอะไรไหม?”
เฉินผิงอันส่ายหน้า “แค่เรื่องยิบย่อยเท่านั้น”
จั่วโย่วเงียบไปนาน ก่อนจะเอ่ยช้าๆ ว่า “ปีนั้นนอกจากอาจารย์แล้วก็ไม่มีใครเคยเห็นชุยฉานตอนที่เป็นเด็กหนุ่ม ตอนที่พวกเราได้พบเจอเขา เขาก็เป็นคนหนุ่มที่มีอายุพอๆ กับเจ้าในตอนนี้แล้ว”
เฉินผิงอันพลันเอ่ยว่า “ข้ายังคงเชื่อมาโดยตลอดว่า วิถีทางโลกใบนี้จะต้องยิ่งดีขึ้นเรื่อยๆ”
จั่วโย่วยิ้มกล่าว “ควรเป็นเช่นนี้”
เฉินผิงอันหันหน้ามาเอ่ย “ศิษย์พี่ใหญ่ หากเวลาปกติท่านยิ้มบ่อยๆ หน่อย อันที่จริงท่านก็หล่อเหลากว่าเว่ยจิ้นแห่งศาลลมหิมะเสียอีก”
จั่วโย่วย้อนถาม “ไม่ยิ้มก็เหมือนกันไม่ใช่หรือ?”
เฉินผิงอันยิ้มบางๆ “ข้าคิดว่าใช่ เพียงแต่ไม่รู้ว่าเว่ยจิ้นจะคิดเช่นไร”
จั่วโย่วอืมรับหนึ่งที “ไว้คราวหน้าข้าจะลองถามเขาดู”
เฉินผิงอันเอ่ยเสริมว่า “ยังต้องดูว่าการตอบคำถามข้อนี้ของเว่ยจิ้นจริงใจหรือไม่”
จั่วโย่วพยักหน้า “มีเหตุผล”
ศิษย์พี่ศิษย์น้องสองคนทอดสายตามองไปยังทิศไกลด้วยกันอยู่อย่างนี้
คนสนิทคุ้นเคยต่างจากไปไกล
ก็เหมือนอย่างวันนี้ที่เฉินผิงอันเป็นเช่นนี้
แล้วก็เหมือนก่อนหน้านี้ไม่นานที่ฉีจิ่งหลงพาป๋ายโส่วและผู้ฝึกกระบี่อายุน้อยส่วนหนึ่งของสำนักกระบี่ไท่ฮุยออกไปจากกำแพงเมืองปราณกระบี่
คนบนโลกด้านล่างภูเขาล้วนเป็นเช่นนี้ เทพเซียนบนภูเขาก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น
เวลาอีกหนึ่งปีของกำแพงเมืองปราณกระบี่แอบเดินจากไปอย่างเงียบเชียบ ถึงเวลาที่ฤดูใบไม้ผลิดอกใบไม้หญ้างอกงามอีกครั้ง
การปิดด่านของหนิงเหยาครั้งนี้คล้ายจะลืมวันเวลาไปแล้ว แต่อันที่จริงนี่ต่างหากจึงจะเหมือนผู้ฝึกตนที่พบเห็นได้ปกติทั่วไป
ฟ่านต้าเช่อยังคงไม่ฝ่าทะลุขอบเขต เพียงแต่ว่าพื้นฐานของขอบเขตประตูมังกรกลับดีมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วยังสนิทคุ้นเคยกับจวนหนิงกับตระกูลเยี่ยนมากแล้ว
ตอนนี้เยี่ยนจั๋วที่ได้รับการถ่ายทอดวิชาอย่างหมดหน้าตักจากผู้ถวายงาน อันดับหนึ่งของตระกูล วิชากระบี่จึงพัฒนาล้ำหน้าไปค่อนข้างมาก
เฉินซานชิวยังคงเป็นคุณชายเสเพลที่พอดื่มเหล้าไปแล้วก็ต้องใช้ผนังพยุงกาย
ต่งฮว่าฝูก็ยังคงเป็นคนที่ไม่ว่าเดินไปที่ไหน ซื้ออะไรก็ไม่เคยจ่ายเงินเองอยู่เหมือนเดิม
กิจการร้านเหล้าของเตี๋ยจ้างยังคงดีมาก แผ่นป้ายสงบสุขที่แขวนไว้บนผนัง ยิ่งนานก็ยิ่งมีมากขึ้น
ว่ากันว่าฉีโซ่วปิดด่านไปแล้ว หากออกจากด่านครั้งนี้ก็มีความหวังมากว่า จะเลื่อนเป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดได้
ผังหยวนจี้มักจะไปซื้อเหล้าที่ร้านเหล้าของเตี๋ยจ้างเป็นประจำ เพราะที่ร้านมีเหล้าชนิดใหม่มานำเสนอ เป็นเหล้ารสร้อนแรง เหล้าเผามีด เพียงแต่ว่าราคาแพง สักหน่อย เหล้าหมักหนึ่งกาต้องจ่ายสามเหรียญเงินเกล็ดหิมะ ดังนั้นเหล้าถ้ำสวรรค์ จู๋ไห่ที่หนึ่งกาหนึ่งเหรียญเกล็ดหิมะจึงไม่เพียงแต่ปริมาณการขายไม่น้อยลง กลับกันยังขายได้เพิ่มมากขึ้น แต่ผังหยวนจี้ไม่ขาดเงิน อีกทั้งเกาขุยสหายเซียนกระบี่ของเขาก็ชอบรสชาติของเหล้านี้ ดังนั้นผังหยวนจี้จึงรู้สึกว่าแค่ตนคนเดียวก็ช่วยซื้อเหล้าเผามีดของที่ร้านไปได้ครึ่งหนึ่งแล้ว น่าเสียดายที่แม่นางเตี๋ยจ้างเถ้าแก่ใหญ่ได้รับการถ่ายทอดวิชามาจากเถ้าแก่รองโดยแท้ ยิ่งนานวันก็ยิ่งขี้เหนียว ต่อให้ครั้งหนึ่งจะซื้อเหล้ามากแค่ไหนนางก็ไม่ยอมลดให้แม้แต่เหรียญเกล็ดหิมะเดียว ยังกลับเป็นฝ่ายบ่นผังหยวนจี้ว่าซื้อทำไมมากมายขนาดนี้ แล้วเซียนกระบี่คนอื่นๆ จะทำอย่างไร นางยินดีขายเหล้าให้ แต่ก็ถือว่าเจ้าผังหยวนจี้ติดค้างน้ำใจนาง
ผังหยวนจี้กลัดกลุ้มยิ่งนัก ไม่ว่าดื่มเหล้าอะไรเขาก็ไม่มีปัญหา แต่ตอนนี้ เกาขุยติดเหล้ายิ่งกว่าอะไร แต่ดันไม่มีเงินจ่าย เพราะกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่เกาขุยหล่อเลี้ยงไว้ถึงด่านที่สำคัญ จึงเปลี่ยนจากเศรษฐีที่เอวห้อยเงินหมื่นพวงกลายมาเป็นคนยากจนที่ไม่มีแม้แต่ข้าวสารจะกรอกหม้อ นี่เป็นเรื่องที่ปกติที่สุดในกำแพงเมืองปราณกระบี่ บางครั้งที่มีเงิน ในกระเป๋าก็มีเงินเหลือเป็นกอบเป็นกำจริงๆ แต่พอ ไม่มีเงิน เงินสักแดงก็ไม่เหลือติดกาย แล้วยังต้องเก็บนู่นผสมนี่หรือไม่ก็หยิบยืมมาจาก คนอื่น
แต่ตอนนี้เรื่องที่ผังหยวนจี้สนใจที่สุดก็คือเต้าหู้เหม็นนั้นจะวางขายเมื่อใด
คนที่มาช่วยงานระยะยาวในร้าน ไม่รู้ว่าเหตุใดถึงไม่ใช่เด็กหนุ่มสองคนจากตรอกหลิงซีและตรอกซัวลี่อีกแล้ว แต่เปลี่ยนมาเป็นสามคน เด็กหนุ่มคนหนึ่งเด็กสาวคนหนึ่ง และยังมีเด็กน้อยตัวดำอีกหนึ่งคน ล้วนเป็นเพื่อนบ้านใกล้เคียงของเถ้าแก่ใหญ่เตี๋ยจ้าง ทว่าคนที่มือไม้คล่องแคล่วที่สุดกลับเป็นคนที่อายุน้อยที่สุด เวลาอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำพวกนักดื่มนักพนันต่างก็ชอบหยอกล้อเจ้าเด็กน้อยผู้นี้ เพราะอย่าเห็นแค่ว่าเด็กชายอายุน้อย
แท้จริงแล้วอารมณ์ร้ายยิ่งนัก ไม่สนหรอกว่าเจ้าจะเป็นเซียนกระบี่หรือไม่ กล้าติดเงิน ฝันไปเถอะ กล้าหยิบผักดองและบะหมี่หยางชุนไปมากเกิน ก็จะต้อง ถูกเขาถลึงตาใส่ แม้จะช่วยยกผักดองไปให้ที่โต๊ะหรือที่ริมทาง แต่อย่าหวังว่าจะได้เห็นสีหน้าดีๆ ของเด็กน้อย
ตั้งแต่หน้าหนาวของปีก่อนจนถึงฤดูใบไม้ผลิของปีนี้ เถ้าแก่รองเก็บตัวเงียบไปค่อยออกมา เขาแทบจะไม่ได้ปรากฏตัว เพียงแต่กวอจู๋จิ่วขยันแวะไปเยี่ยมเยือนจึงยังพอจะได้พบหน้าอาจารย์ของตนบ้าง พอเจอหน้าก็จะถามว่าเหตุใดศิษย์พี่หญิงใหญ่ถึงยังไม่กลับมา ทุกวันนี้หีบไม้ไผ่ใบเล็กที่นางสะพายอยู่เริ่มเกิดความผูกพันกับนางแล้ว คราวหน้าที่พบเจอศิษย์พี่หญิงใหญ่ หีบหนังสือต้องเปิดปากพูดว่ามันได้ใหม่แล้ว ลืมเก่าไม่อยากกลับบ้านแล้วแน่นอน
ทางฝั่งของจวนหนิง น่าหลันเย่สิงกระวนกระวายเล็กน้อย เป็นฝ่ายไปถาม ยายเฒ่าป๋ายเลี่ยนซวงด้วยตัวเองว่าวิธีฝึกกระบี่เช่นนี้ของท่านเขย รีบร้อนหวังผลสำเร็จเกินไปหน่อยหรือไม่ จะไม่มีปัญหาจริงๆ หรือ? ขนาดเขาน่าหลันเย่สิง ยังแทบไม่กล้าออกกระบี่แล้ว
ป๋ายหมัวมัวเองก็ร้อนใจเหมือนกัน เพียงแต่คุณหนูปิดด่าน แล้วนางจะไปพูดกับใครได้? ดังนั้นจึงให้น่าหลันเย่สิงไปหาศิษย์พี่ใหญ่ของท่านเขยที่อยู่บนหัวกำแพง
น่าหลันเย่สิงเองก็คิดว่ามีเหตุผล จึงไปที่นั่น ผลคือศิษย์พี่ใหญ่ของท่านเขยอำมหิตยิ่งกว่า บอกว่าหากผู้อาวุโสน่าหลันรู้สึกว่าศิษย์น้องเล็กไปฝึกกระบี่กับท่าน เป็นการถ่วงเวลาการกลับคืนสู่ขอบเขตเซียนเหรินของท่าน ก็ให้ศิษย์น้องเล็กมาฝึกกระบี่ที่หัวกำแพงเมืองแล้วกัน
น่าหลันเย่สิงออกมาจากหัวกำแพงด้วยใบหน้าดำทะมึน ป๋ายหมัวมัวเฝ้ารออยู่ที่หน้าประตู พอได้ยินประโยคชวนให้คนโมโหนี้ของจั่วโย่วก็เกือบอดไม่ไหวแล่นไป หัวกำแพงเมือง น่าหลันเย่สิงต้องเกลี้ยกล่อมอยู่นานถึงจะยอมล้มเลิกความคิด
เกลี้ยกล่อมกันไปแล้ว ในใจน่าหลันเย่สิงก็แอบแย้มยิ้มเบิกบาน ถูกจั่วโย่วเรียกว่า ‘ผู้อาวุโสน่าหลัน’ ถูกใจนัก ไปดื่มเหล้าดีกว่า พรุ่งนี้ท่านเขยมาซ้อมกระบี่กับตนก็อย่าโทษหากท่านปู่น่าหลันจะโหดร้ายไร้ปราณี ดื่มเหล้าไปมาก ลงมือจึงไม่รู้จักหนักเบา กะกำลังของกระบี่บินไม่ถูก
หลังจากฝนฤดูใบไม้ผลิที่บ้างก็ตกหนักบ้างก็ตกเบาผ่านไปหลายครั้ง ไอร้อน ก็เริ่มลอยกรุ่นขึ้นมาระหว่างฟ้าดิน
วันนี้เฉินผิงอันนั่งอยู่ในศาลาเพียงลำพัง เอาสองมือสอดกันไว้ในชายแขนเสื้อ เอนหลังพิงเสาศาลา นั่งงีบหลับรับลมเย็นๆ
บนหัวกำแพงเมือง จั่วโย่วลืมตาแล้วลุกขึ้นยืน เอามือกดด้ามกระบี่ หรี่ตามองไปยังทิศไกล
ทางทิศใต้ของหัวกำแพงเมือง ทะเลทรายกว้างไกลหมื่นลี้พัดตัวหอบโถมเข้ามามืดฟ้ามัวดิน
เม็ดกรวดเม็ดทรายคลุ้งตลบ ถึงขนาดสูงกว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่ ประหนึ่งคลื่นกระทบฝั่งที่โถมเข้าหากำแพงเมือง
ภิกษุที่นั่งอยู่บนเบาะรองนั่งและอริยะสวมชุดลัทธิขงจื๊อที่นั่งอยู่บนหัวกำแพงสองฝั่งซ้ายขวาของจั่วโย่วต่างก็ยื่นฝ่ามือออกมาในเวลาเดียวกัน กดหมอกขาวเหล่านั้นเบาๆ
อริยะลัทธิเต๋าท่านหนึ่งที่ถือไม้ปัดฝุ่นหางกวาง (คือไม้ปัดฝุ่นชนิดหนึ่งที่ทำจากหางกวาง ด้ามแบนอยู่ตรงกลาง ด้านข้างสองฝั่งเป็นขนกวางที่แผ่ออก ความกว้างประมาณหนึ่งฝ่ามือ) สีขาวหิมะนั่งขัดสมาธิอยู่บนจุดที่สูงอย่างถึงที่สุด เมื่อ นักพรตเฒ่าทอดสายตามองไป สิ่งที่สายตามองเห็นก็คือทะเลเมฆใต้ฝ่าเท้าแหวกออกด้วยตัวเองทีละชั้น
มีแม่นางน้อยมัดผมแกละลักษณะเหมือนเด็กหญิงคนหนึ่ง เดิมทีนางกำลัง อ้าปากหาว ฟุบตัวอยู่บนหัวกำแพง นั่งเหม่อมองกาเหล้าที่เปิดผนึกดินแล้ว เวลานี้ดีใจจึงกลิ้งตัวหมุนไปหลายตลบ แล้วจึงกระโดดผลุงขึ้นยืน สายตาเป็นประกายระยิบระยับ ตะโกนเสียงดังด้วยน้ำเสียงอ่อนเยาว์ว่า “ต่ำกว่าขอบเขตหยกดิบลงไป ออกไปจากหัวกำแพงเมืองให้หมด! ทางฝั่งทิศเหนือใครที่ขอบเขตมากพอก็มารวมตัวให้ครบจำนวนคน!”
เฉาชิงตูเดินออกจากกระท่อมช้าๆ สองมือไพล่หลัง มาหยุดอยู่ข้างกายจั่วโย่วแล้วกระโดดขึ้นบนหัวกำแพงเบาๆ ยิ้มถามว่า “เก็บปราณกระบี่เอาไว้กินแทนข้าวหรือ?”
จั่วโย่วเงียบงันไม่เอ่ยคำใด กระบี่ที่พกไว้ไม่ได้ชักออกจากฝัก เพียงแต่ไม่เก็บปราณกระบี่ไว้อย่างยากลำบากอีกแล้ว แต่พุ่งรุดไปเบื้องหน้า
นอกกำแพงเมืองปราณกระบี่ ทรายเหลืองเหมือนชนกระแทกผนัง พริบตาเดียวก็สลายกลายเป็นเศษฝุ่น ยากที่จะขยับเข้าใกล้หัวกำแพงเมืองได้อีกแม้แต่เสี้ยวเดียว
ไม่เพียงเท่านี้ กำแพงเมืองปราณกระบี่ที่มองไม่เห็นนั้นยังขยับไปทางทิศใต้ต่อ ทรายเหลืองที่กลิ้งหลุนๆ จึงถอยกรูดออกห่างไปหลายสิบลี้
สุดท้ายฟ้าดินกลับคืนสู่ความสดใส การมองเห็นเปิดกว้าง ไร้สิ่งใดบดบังสายตา
ทางฝั่งของนครทางเหนือมีแสงกระบี่พร่างพราวหลายเส้นผุดขึ้นมา ก่อนจะพากัน เก็บกระบี่ไปหยุดอยู่บนหัวกำแพงเมืองทางทิศใต้
สุดท้ายบนหัวกำแพงของกำแพงเมืองปราณกระบี่
มีผู้ฝึกกระบี่มากมายดุจก้อนเมฆ
เฉินชิงตู จั่วโย่ว
ต่งซานเกิง ใต้เท้าอิ่นกวาน เฉินซี ฉีถิงจี้ น่าหลันเสาเหว่ย เฒ่าหูหนวก ลู่จือ
เยว่ชิง หนิงเหลียนอวิ๋น อู๋เฉิงเพ่ย โจวเฉิง หมี่ฮู้ หมี่อวี้ ซุนจวี้เฉวียน เกาขุย เถาเหวิน หลี่ทุ่ยมี่ผู้ฝึกกระบี่เซียนเหรินผู้ถวายงานตระกูลเยี่ยน…
หานไหวจื่อแห่งอุตรกุรุทวีป เว่ยจิ้นแห่งแจกันสมบัติทวีป หยวนชิงสู่แห่ง ทักษินาตยทวีป ลี่ไฉ่แห่งทะเลสาบกระบี่ฝูผิง ขู่เซี่ยแห่งราชวงศ์เส้าหยวน
เฉินชิงตูมองไปยังทิศไกล พูดกลั้วหัวเราะเอ่ยว่า “ตอนนี้มีเจ้าแก่หนังเหนียว ผู้นั้นช่วยหนุนหลัง ความกล้าหาญก็เปี่ยมล้นอยู่ไม่น้อย มีคนหน้าใหม่ๆ มาหลายคนทีเดียว อืม มากันไม่น้อยด้วย พวกที่มีที่นั่งในรูหนูก็น่าจะมากันครบแล้ว”