บทที่ 615 ไยจึงพูดมาก
ผู้ฝึกตนที่บรรลุมหามรรคาอย่างแท้จริง มีดีอยู่ข้อหนึ่ง นั่นคือดูเหมือนว่าจะไม่มีการจากเป็นจากตายอะไร ขอแค่โชควาสนามาถึงก็สามารถกลับมาพบกันใหม่ได้ อีกครั้ง
หนึ่งหมื่นปีแล้วอย่างไร ตนก็ยังได้พบกับเฉินชิงตู ส่วนเฉินชิงตูก็ยังได้พบกับตนอยู่ดีไม่ใช่หรือ?
อย่างเดียวที่ต่างออกไปก็หนีไม่พ้นเป็นตนที่ยืนอยู่ตรงท่าข้ามของแม่น้าแห่งกาลเวลาฝั่งนี้ ส่วนเฉินชิงตูยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม
เด็กชายไม่คิดจะมองคนหนุ่มที่เขาไม่รู้ชื่อแซ่คนนั้นเลยสักนิด เพียงแค่แหงนหน้ามองไปยังตาเฒ่าที่เอาสองมือไพล่หลัง เฉินชิงตูที่มีฉายาว่าเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส
นับตั้งแต่ที่สติปัญญาเปิดโล่ง อาจารย์กับศิษย์พี่ต่างก็ไม่เคยปิดบังอะไรตน ดังนั้นเฉินชิงตูจึงไม่เพียงแต่เป็นคนรู้จักของอาจารย์เท่านั้น ยังเป็นคนรู้จักของเขาด้วย
ปีนั้นผู้ฝึกกระบี่ที่เป็นนักโทษอาญาสามคนซึ่งมีวัยวุฒิสูงที่สุด วิชากระบี่สูงที่สุด และพลังพิฆาตรุนแรงที่สุดจับมือกันออกเดินทางไกล ฉวยโอกาสที่รากฐานมหามรรคาของใต้หล้าเปลี่ยวร้างยังไม่มั่นคง ดวงตะวันจันทราหมุนเวียนเปลี่ยนผัน สี่ฤดูกาลสลับผันแปร ยังไม่มีการกำหนดกฎเกณฑ์ที่แน่นอน แต่ไม่ว่าจะอย่างไร ในเวลานั้นอาจารย์ของเขาก็คือเจ้าของใต้หล้าเปลี่ยวร้างที่ทุกคนให้การยอมรับแล้ว เฉินชิงตูกับ ผู้นำนักโทษอาญาอีกสองคนอย่างกวนจ้าว หลงจวิน ยอมจ่ายค่าตอบแทนเป็นการที่ต้องถูกฟ้าอำนวยดินอวยพรสยบเวทกระบี่ แต่ก็ยังจะพกกระบี่รุดไปภูเขาทัวเยว่ให้ได้ นี่ก็ถือว่าเป็นการถามกระบี่ต่อตลอดทั้งใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้ว
การต่อสู้ครั้งนั้นไม่ว่าจะเป็นระหว่างการต่อสู้หรือผลลัพธ์ ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ก็ไม่เคยมีบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์ คนที่รู้เรื่องวงในก็ยิ่งมีน้อยจนนับนิ้วได้ เด็กชาย ได้ฟังศิษย์พี่ที่เป็นผู้สืบทอดคนหนึ่งของภูเขาทัวเยว่เล่าให้ฟังว่า ตอนนั้นภายในรัศมีหนึ่งหมื่นจั้ง นั่นก็เรียกได้ว่าฟ้าพลิกแผ่นดินคว่าอย่างแท้จริง ลำพังเพียงแค่ภูเขา ทัวเยว่ก็หดเตี้ยลงไปถึงครึ่งหนึ่ง นั่นคือผลลัพธ์จากการที่เจ้าของชุดคลุมขาดวิ่นตัวนั้นปล่อยกระบี่ออกไปตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ ส่วนเค้าโครงช่วงแรกเริ่มสุดของแม่น้าเย่ลั่วในทุกวันนี้ ว่ากันว่าก็เกิดจากตนที่ปล่อยกระบี่ฟันไป ถึงได้ก่อให้เกิดทัศนียภาพ อันยิ่งใหญ่งดงามในภายหลัง
เพียงแต่ตนนั้นมีสภาพอเนจอนาถมากที่สุด จิตวิญญาณไม่ครบถ้วน กระจัดกระจายไปสี่ทิศ คนที่เฝ้าพิทักษ์ภูเขาทัวเยว่แต่ละรุ่นจึงมีหน้าที่อย่างหนึ่งที่ ไม่แพร่งพรายให้คนนอกรู้ นั่นคือช่วยตนรวบรวมจิตวิญญาณ จนกระทั่งถึงวันนี้ก็ยังทำได้แค่รวบรวมหนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณที่มีมาแต่เดิม จากนั้นก็เอาจิตวิญญาณอื่นๆ มาประกอบชดเชย ส่วนโครงกระดูกเนื้อหนังมังสาล้วนดับสูญอย่างสิ้นเชิงไปนานแล้ว ไร้ความหวังที่จะสร้างขึ้นมาใหม่ สำหรับข้อนี้ก็ต้องบอกว่าเขาไม่ได้โชคดีเหมือน หลงจวินผู้นั้น จะดีจะชั่วฝ่ายหลังก็ยังมีศีรษะที่เป็นของตัวเองเหลือเอาไว้ น่าเสียดาย ก็แต่ถูกปีศาจใหญ่โครงกระดูกที่ตนตั้งชื่อให้ว่าหยกขาวตนนั้นเหยียบเล่นไว้ใต้ฝ่าเท้า หากอารมณ์ดีก็รินเหล้าที่อยู่ในจอกใส่ ร่ายเวทคาถานอกรีตอีกเล็กน้อย ก็สามารถเรียกหุ่นเชิดที่มีพลังการต่อสู้เทียบเท่ากับเซียนกระบี่ใหญ่คนหนึ่งออกมาได้ น่าเสียดายที่ตนไม่อาจเรียนรู้เวทคาถานี้ได้ ไม่อย่างนั้นขอแค่เมื่อใดที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ถูกตีแตก เรื่องสนุกจะมีน้อยได้หรือ?
เพียงแต่ว่าไม่รู้เหตุใด หลงจวินที่แค่สูญเสียหนึ่งจิตสองวิญญาณ ทั้งๆ ที่เก็บรักษาสติปัญญาเอาไว้ได้เกินครึ่ง ในฐานะคนบนเส้นทางเดียวกันที่ในอดีตติดตามเฉินชิงตูออกกรีฑาทัพไปทั่วทิศ คือเซียนกระบี่ยุคแรกเริ่มสุดของเผ่ามนุษย์ เขากลับไม่เพียงแต่ไม่เคยปรากฎตัวบนโลกมนุษย์ด้วยโฉมหน้าที่แท้จริง แม้แต่ศีรษะที่เดิมที่เป็นของเขา ก็ยังไม่เก็บเอาไป
ปล่อยให้หยกขาวที่พลังพิฆาตสูสีกับตนเหยียบหัวกะโหลกนั้นไว้ ส่วนตัวเองกลับแสร้งทำเป็นมองไม่เห็น แต่กลับกลายเป็นว่าดันเคียดแค้นเฉินชิงตูที่ในอดีตเคยเป็นเพื่อนรักเข้ากระดูกดำเสียได้
เด็กชายยกมือขึ้นปิดปากที่หาวหวอด รอคอยอีกฝ่ายลงมืออย่างสงบ จุดจบ ถูกกำหนดมาไว้นานแล้ว น่าเบื่อจริงๆ
มองเฉินชิงตูไปแล้ว จึงไล่สายตามองไปยังหญิงสาวที่ยืนอยู่ริมหัวกำแพงผู้นั้นบ้าง
หนิงเหยา
คือผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ที่มีชื่อเสียงเลื่องลืออยู่ในใต้หล้าเปลี่ยวร้างมานาน นี่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับว่าขอบเขตของนางในเวลานี้สูงหรือต่า แต่เป็นเพราะความสูงต่าของขอบเขตนางในอนาคตได้ถูกกำหนดแล้วว่านางจะมีตำแหน่งอยู่ในใจของปีศาจใหญ่มากมายในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง
อะไรที่เรียกว่าผู้มีพรสวรรค์?
นั่นคือผู้ที่ดูเหมือนว่าขอแค่ไม่สนใจพวกเขาแค่ไม่กี่วันไม่กี่ปี ‘อนาคต’ นั้นก็จะมาถึงในชั่วพริบตา ระหว่างนี้จะไม่มีเรื่องไม่คาดฝันใดๆ ไม่มีหมื่นหนึ่งใดๆ ทั้งสิ้น
ตนเป็นเช่นนี้ เจ้าลูกผสมที่แบก ‘ชั้นวางกระบี่’ กลไกของสำนักโม่ผู้นั้นก็น่าจะถือว่า ใช่ครึ่งหนึ่งกระมัง อีกฝ่ายมีชื่อที่ประหลาดอย่างมาก ชื่อว่าเป้ยเชี่ย (สะพายหีบ)
อาจารย์ของเป้ยเชี่ยนั่นต่างหากถึงจะร้ายกาจอย่างแท้จริง
แม้แต่อาจารย์ตนก็ยังเอ่ยประโยคว่า ‘น่าเสียดายที่นิสัยไม่เหี้ยมมากพอ เป็นเหตุให้เวทกระบี่ไปไม่ถึงจุดสูงสุด ไม่อย่างนั้นตัวเลือกที่เหมาะสมที่จะให้มาสยบกำแพงเมืองปราณกระบี่มากที่สุด ก็คือคนผู้นี้แล้ว’
ได้ยินมาว่าทวีปแดนเทพแผ่นดินกลางของใต้หล้าไพศาลยังมีคนหนุ่มที่เรียน วิชาหมัดอีกคนหนึ่ง มีนามว่าเฉาสือ เขาเองก็เป็นคนประเภทเดียวกับตนเหมือนกัน
ศีรษะของปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานที่เด็กชายเหยียบไว้ใต้ฝ่าเท้าถือว่าเป็นศิษย์พี่ผู้สืบทอดสายของภูเขาทัวเยว่ในนามเหมือนกัน เพียงแต่ว่ายามที่อยู่ในคุกของกำแพงเมืองปราณกระบี่น่าจะได้รับบาดเจ็บทางกายสาหัสเกินไป ตบะจึงถูกลดทอนไปมหาศาล เฉินชิงตูถึงได้กระชากหัวของเขาออกมาได้อย่างง่ายดาย ทว่า ต่อให้ขอบเขตบินทะยานไม่มั่นคง ร่างกายก็ยังคงเป็นร่างกายของปีศาจใหญ่แห่ง ใต้หล้าเปลี่ยวร้าง หากเปลี่ยนมาเป็นตนในเวลานี้ ต่อให้เหวี่ยงอาวุธเซียนหลายชิ้นฟันลงไปหลายปีก็ยังทำได้ไม่สำเร็จ นี่ก็แสดงว่าเฉินชิงตูร้ายกาจมากจริงๆ ครั้งนี้ติดตามอาจารย์ออกจากภูเขา มาเยี่ยมเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ ได้เห็นคนที่กำลังจะตายมากมายขนาดนั้น อีกทั้งบนหัวกำแพงยังมีแต่เซียนกระบี่ห้าขอบเขตบน ตัวจริงเสียงจริง ก็นับว่ามาไม่เสียเที่ยวแล้ว
ความคิดส่วนใหญ่ของเด็กชายที่อายุสิบสองปีแต่กลับยังมีรูปโฉมเป็นเด็กน้อย คนนี้ล้วนอยู่บนสนามรบ ทว่าเวลาเพียงแค่ไม่กี่ชั่วพริบตา เขาก็ตีปากตัวเองพลางเอ่ยว่า “หากข้าจงใจไม่สังหารเจ้า เหลือชีวิตไว้ให้เจ้าครึ่งหนึ่งด้วยความหวังดี หนิงเหยาจะลงมาต่อสู้แทนเจ้าหรือไม่? หากเป็นไปได้ ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าเจ้าโชคดีไม่น้อยเลย วันหน้าสองใต้หล้า หรือแม้กระทั่งสี่ใต้หล้าก็ล้วนต้องจดจำเจ้าได้ ได้กลายเป็นคนแรกที่ข้าเลือกต่อสู้ด้วยหลังออกจากภูเขา แล้วยังไม่ตายอีกด้วย”
ผู้เฒ่าขี่กระบี่ที่บนบ่าแบกกระบองยาวซึ่งก่อนหน้านี้ใช้วิชาอภินิหาร ‘จำศีลหน้าหนาวตายไปครึ่งตัว’ ฮุบกลืนกึ่งกลางภูเขาสูงตระหง่านหลายสิบลูกของใต้หล้าเปลี่ยวร้างไปในรวดเดียว แล้วก็นอนหลับมายาวนานหลายพันปี เวลานี้ยิ้มถามสตรีที่สวมชุดคลุมมังกรเบาๆ ว่า “เด็กคนนี้คิดได้เองกะทันหัน หรือได้รับคำสั่งจากท่านบรรพบุรุษ?”
สตรีส่ายหน้า “ในสายตาของท่านบรรพบุรุษมีเพียงเฉินชิงตูและตลอดทั้งกำแพงเมืองปราณกระบี่เท่านั้น ไม่มีอารมณ์มาสนใจเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งพวกนี้หรอก”
ในฐานะเจ้าของแม่น้าเย่ลั่วและสายน้าหมื่นลี้อีกสามสิบหกเส้น นางจึงไม่เคยเข้าสู่การจำศีลอันยาวนาน หรือควรจะพูดว่าเป็นเพราะมีงูยาวสีแดงสดตัวนั้นคอยช่วงชิงบนมหามรรคาอยู่กับนาง นางจึงไม่อาจฝึกตนอย่างสงบได้ ทั้งสองฝ่ายต่อสู้เอาเป็นเอาตายกันมาสามพันปี ศิษย์ลูกศิษย์หลานบาดเจ็บล้มตายไปนับไม่ถ้วน ก็มีแค่ตบะของสองฝ่ายที่ไม่ได้รับความเสียหายใดๆ กลับกันยังเดินขึ้นสู่ที่สูงได้อย่างมั่นคง กองกำลังใต้บังคับบัญชาที่ตายไปก็ล้วนถือเป็นอาหารเสริมบำรุงกำลังชิ้นใหญ่ของพวกนาง เมื่อเทียบกับการแอบกินปีศาจใหญ่ตัวหนึ่งทุกๆ สามวันห้าวันให้ต้องเสียชื่อตัวเองเปล่าๆ แล้ว ถือว่าคุ้มค่ากว่ามาก นี่ก็หนีไม่พ้นว่าทุกๆ ระยะเวลาแปดร้อยหรือหนึ่งพันปี ทั้งสองฝ่ายต้องนัดทำสงครามกันสักครั้ง แม้จะบอกว่าทำสงคราม แต่แท้จริงแล้วก็แค่สองฝ่ายร่วมกันสร้างฟ้าดินแห่งหนึ่งขึ้นมาตัดขาดกับฟ้าดินภายนอก แล้วเผยร่างจริง สร้างความอึกทึกครึกโครมฟ้าดินสั่นสะเทือนที่อย่างมากก็แค่เจ้าตีข้าทีหนึ่ง ข้าตีเจ้าทีครั้ง ระหว่างนี้ก็แค่ต่างฝ่ายต่างทำลายอาวุธกึ่งเซียนชิ้นสองชิ้นกับ สมบัติอาคมกองใหญ่ที่มีคนมาประเคนให้ให้เละเทะ สุดท้ายเมื่อเล่นสนุกพอแล้ว ก็ค่อยทุบตีฟ้าดินขนาดเล็กให้พังทลาย จงใจทำให้ร่างจริงของตนมีสภาพน่าสังเวชเลือดท่วมตัวสักหน่อย แค่นี้ก็ถือว่ามีคำอธิบายให้ทุกฝ่ายได้แล้ว เพราะถึงอย่างไร ทั้งสองฝ่ายต่างก็รู้ดีว่าพลังการต่อสู้แท้จริงไม่ได้ต่างกันมากนัก หากคิดจะเข่นฆ่ากันเอาจริงเอาจังขึ้นมาจริงๆ คนรุ่นเดียวกันจำนวนไม่น้อยที่มีบัลลังก์อยู่ในบ่อโบราณก็ไม่ถือสาที่จะร่วมมือกันกลืนกินพวกนาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าโครงกระดูกผู้นั้น ที่ชอบทำอะไรลับๆ ล่อๆ ขุดดินลึกสามฉื่อเพื่อควานหา เป็นเหตุให้ปีศาจใหญ่หลายตัวในประวัติศาสตร์ที่แอบรักษาบาดแผลอยู่เงียบๆ รักษาไปรักษามากลับตายไปอย่างเงียบเชียบ แต่แท้จริงแล้วกลับถูกจับไปหลอมเป็นหุ่นเชิด นี่จึงเป็นเหตุให้มองภายนอกพลังการต่อสู้ของปีศาจใหญ่หยกขาวไม่สูงนัก แต่แท้จริงแล้วทรัพย์สมบัติกลับหนาลึกล้า ลึกจนมองไม่เห็นก้นบึ้ง
ผู้เฒ่าขี่กระบี่ใช้สองมือตบกระบองยาวเบาๆ “ถ้าอย่างนั้นก็น่าสนใจแล้ว ข้าชอบเจ้าเด็กคนนี้ พอไปถึงใต้หล้าไพศาล ข้าจะต้องมอบของขวัญพบหน้าให้เขาสักชิ้น”
สตรีสวมชุดคลุมมังกรถือเป็นคู่บำเพ็ญเพียรครึ่งตัวของผู้เฒ่าขี่กระบี่ นางเอ่ยสัพยอกว่า “ลูกศิษย์คนสุดท้ายของท่านบรรพบุรุษ เจ้าก็มีคุณสมบัติจะมอบของขวัญให้เขาด้วยหรือ?”
ผู้เฒ่ายิ้มกล่าว “จะรับไว้หรือไม่ก็เป็นเรื่องของเด็กคนนั้น แต่จะมอบให้หรือไม่กลับเป็นเรื่องของข้า ไม่รับ หนึ่งกระบองฟาดลงไป จิตวิญญาณแหลกสลาย แล้วค่อยกลับคืนมาใหม่ ใต้หล้าไพศาลขึ้นชื่อว่ามีสมบัติวิเศษแห่งฟ้าดินมากมาย แค่เอา เส้นเอ็นกระดูกและจิตวิญญาณมาประกอบกันจะมีอะไรยาก ไม่แน่ว่ายามที่เด็กคนนี้เผยตัวอีกครั้ง อาจมีพรสวรรค์ดีกว่าตอนนี้ก็ได้ ท่านบรรพบุรุษยังต้องขอบคุณที่ข้าช่วยเหลือด้วยซ้า เพราะหากอาจารย์ลงมือสังหารลูกศิษย์ด้วยตัวเอง ถึงอย่างไรก็จะทำลายความสัมพันธ์เอาได้”
เด็กชายที่ชื่อเดิมว่า ‘กวนจ้าว’ พลันยิ้มกว้าง ศึกหลังออกจากภูเขาของตนครั้งนี้ เปลี่ยนคู่ต่อสู้ที่แท้จริงเป็นหนิงเหยาน่าจะดีกว่า
แล้วก็จริงดังคาด เมื่อได้รับการบอกเป็นนัยจากตน
ปีศาจใหญ่หน้าตาหล่อเหลาที่ตรงเอวห้อยน้าเต้าเลี้ยงกระบี่งดงามก็ชำเลืองมอง หนิงเหยาที่อยู่บนหัวกำแพงเมืองอีกครั้ง แล้วก็คงรู้สึกเหมือนกันว่าหากหนิงเหยาลงสนามรบ ตัวเองน่าจะได้ผลเก็บเกี่ยวมากกว่า ดังนั้นปีศาจใหญ่ท่านนี้จึงตบน้าเต้าเลี้ยงกระบี่หนึ่งครั้ง แสงกระบี่เส้นหนึ่งก็พุ่งออกมาจากน้าเต้า ตรงดิ่งไปยังคนหนุ่มที่มาถ่วงธุระสำคัญของพวกเขา ขอแค่หนิงเหยาตายอยู่ใต้หัวกำแพงเมือง เขาถึงจะมีโอกาสถลกหนังหน้าของนังเด็กนั่นมากขึ้น ใบหน้าของหนิงเหยานี้เป็นวัตถุงดงามชิ้นใหญ่ที่เขาหวังว่าจะได้ครอบครองพอๆ กับหนังหน้าของฮูหยินแห่งภูเขาชิงซานและเทพีแห่งการต่อสู้เผยเปย
หลังจากที่แสงกระบี่เส้นนั้นพุ่งออกมาจากน้าเต้าก็ตรงดิ่งออกไปเป็นเส้นตรง แม้จะบอกว่าเป็นแสงกระบี่หนึ่งเส้น แต่แท้จริงแล้วกลับหนาใหญ่ราวกับปากบ่อน้า พลังอำนาจของงปราณกระบี่เปี่ยมล้นจนทำให้ปณิธานกระบี่และปราณกระบี่ที่เดิมทีไหลรินไม่หยุดนิ่งอยู่ระหว่างฟ้าดินถูกปั่นคว้านจนเละไปนับไม่ถ้วน แสงกระบี่พุ่งไปอย่างรวดเร็วจนเป็นเหตุให้แสงกระบี่ไปกระแทกโดนตัวคนหนุ่มชุดเขียวแล้ว ทว่า บนพื้นดินกลับเพิ่งจะเกิดร่องหนากว้างลึกหลายจั้งเพราะถูกปราณกระบี่ฉีกออก
สนใจกฎกติกาในสนามรบบ้างหรือไม่ สนใจสถานะปีศาจใหญ่ขั้นสูงสุดบ้างหรือไม่?
ใต้หล้าเปลี่ยวร้างไม่มีความพิถีพิถันในเรื่องพวกนี้จริงๆ
ศึกสิบสามครั้งนั้นใต้หล้าเปลี่ยวร้างแพ้แล้ว แต่ปีศาจใหญ่ที่รวมถึงฉงกวงเป็น หนึ่งในนั้น มีใครบ้างที่คิดเป็นจริงเป็นจัง?
พวกที่คิดเป็นจริงเป็นจังก็มีแค่พวกเซียนกระบี่และใต้หล้าไพศาลเท่านั้น
หลังจากละเมิดสัญญา ปีศาจใหญ่สองตนที่เป็นตัวแทนใต้หล้าเปลี่ยวร้างเอ่ยคำสาบานต้องตายคาที่ในทันที
ใต้หล้าเปลี่ยวร้างเสียเปรียบมากนักหรือ?
สามารถแลกชีวิตกับเซียนกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้ ฝ่ายตัวเองมีปีศาจใหญ่หลายตนตายไป จะนับเป็นอะไรได้ ใต้หล้าเปลี่ยวร้างมีคนให้ตายมากพอก็แล้วกัน แต่สิ่งที่ทำให้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างปวดหัวมาโดยตลอดอย่างแท้จริงก็คืออีกฝ่ายอาศัยกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่แข็งแกร่งมิอาจทำลายมาช่วยให้พวกเซียนกระบี่ระดับสูงสุดสามารถรุกและถอยได้ตามใจปรารถนา เซียนกระบี่ทุกท่านที่แค่บาดเจ็บไม่ถึงกับตาย คราวหน้าก็ลงสนามต่อสู้ได้ใหม่ นั่นต่างหากจึงจะเป็นปัญหายุ่งยากอย่างแท้จริง! เรื่องขอบเขตถดถอยคือหายนะที่ใหญ่ที่สุดบนเส้นการฝึกตนที่ทั้ง ใต้หล้าเปลี่ยวร้างและใต้หล้าไพศาลเห็นพ้องร่วมกัน
แต่กลับมีเพียงผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่เท่านั้นที่ขอบเขตถดถอยทว่ากลับแทบจะเรียกไม่ได้ว่าถดถอยอย่างแท้จริง!
หลังจากปีศาจใหญ่ตบน้าเต้าเลี้ยงกระบี่ปล่อยกระบี่ออกไปทีหนึ่งก็เริ่มรอคอยผลลัพธ์ที่อยู่แค่ว่าจะชนะมากหรือชนะน้อยอย่างสงบ
ขอแค่คนหนุ่มผู้นั้นตาย ลูกศิษย์ของท่านบรรพบุรุษก็แค่รับช่วงต่อ เพราะยังมี หนิงเหยาอีกคนไม่ใช่หรือ? คนของกำแพงเมืองปราณกระบี่รักศักดิ์ศรีกันนักนี่ แถมศักดิ์ศรีที่ว่านั้นต่อให้ตายก็ยังจะต้องรักษาไว้เสียด้วย
หากทำให้เฉิงชิงตูไม่สบอารมณ์จึงเลือกจะลงมือกับตน ท่านบรรพบุรุษก็ไม่มีทางเลอะเลือนแน่นอน เขาจะต้องเปิดศึกโกลาหลขึ้นมาทันที ทั้งฝ่ายศัตรูและฝ่ายตัวเองต่างก็ประหยัดแรงกายแรงใจ แค่เปิดฉากสงครามอย่างแท้จริงเสียตั้งแต่ตอนนี้ จะเป็นไรไป?
ทางฝั่งของหัวกำแพงเมือง เฉินชิงตูไม่ได้แสดงท่าทีดีใจหรือไม่สบอารมณ์ใดๆ เพราะก่อนที่ปีศาจใหญ่ตนนั้นจะยื่นมือตบไปน้าเต้าเลี้ยงกระบี่ เขาก็ยิ้มเอ่ยขึ้นมาก่อนแล้วว่า “จั่วโย่ว ในฐานะศิษย์พี่ใหญ่ ช่วยเก็บกวาดสนามรบที่ศิษย์น้องทำเละให้สะอาดสะอ้านก็คงไม่ยากกระมัง? หากอีกฝ่ายทำเกินขอบเขตจริงๆ เจ้าก็ออกจาก หัวกำแพงไปได้เลย ข้าจะช่วยคุมหลังให้เอง”
จั่วโย่วพยักหน้ารับ
ดังนั้นบนพื้นดินเบื้องหน้าคนหนุ่มชุดเขียว จุดที่แสงกระบี่พุ่งไปจึงมีปราณกระบี่นับสิบล้านกลุ่มพวยพุ่งขึ้นมาอย่างฉับพลัน ปั่นทำลายแสงกระบี่ที่บุกมาอย่างดุดัน เส้นนั้นจนแตกกระจุยกระจาย
“แค่นี้ก็ลงมือแล้ว? คู่ต่อสู้ไม่ใช่ข้าหรือ?”
หลังจากที่ปีศาจใหญ่ซึ่งเฝ้าพิทักษ์อยู่บนหอหยกเรือนอัญมณีนับร้อยนับพันแห่งตนนั้นพลิ้วกายลงบนพื้นก็ไม่ได้เก็บจวนตระกูลเซียนบรรพกาลที่ค้นหาแล้วรวบรวมมา อย่างยากลำบากพวกนั้นลงไป เรือนน้อยใหญ่จึงล้อมวนอยู่รอบกายเขา หมุนวนไปช้าๆ ประหนึ่งดวงดาวที่โคจรอยู่ข้างกายเซียน ปีศาจใหญ่ยกมือขึ้นช้าๆ ตำหนักโบราณขนาดเท่าฝ่ามือที่ตลอดทั้งหลังล้วนเป็นหยกขาวหิมะก็พุ่งไปยังกลางอากาศเหนือหัวคนทั้งสองที่อยู่บนสนามรบ แล้วพลันขยายใหญ่ มืดฟ้ามัวดิน ก่อนจะกระแทกเข้าใส่ทั้งลูกศิษย์ของบรรพบุรุษและคนหนุ่มชุดเขียว ไม่แบ่งแยกว่าเป็นคนกันเองหรือศัตรู
จั่วโย่วชักกระบี่ออกจากฝัก ปณิธานกระบี่บนร่างอยู่ไกลเกินกว่าจะเรียกได้ว่ามากมายมหาศาล แทบจะเรียกว่าเปลี่ยวเหงานิ่งสงบด้วยซ้า และเขาก็เพียงยกกระบี่ฟันฉับลงไปง่ายๆ
ตำหนักหยกขาวที่ใหญ่ราวขุนเขาแห่งนั้นถูกแบ่งผ่าออกเป็นสองท่อน ไม่เพียงเท่านี้ ปราณกระบี่ยังกระเซ็นไปรอบด้าน ตัวตำหนักแหลกสลายกลายเป็นผุยผง หินก้อนใหญ่ปริแตก เศษหยกร่วงกราวราวกับสายฝนตกกระหน่า
ปีศาจใหญ่ที่ลักษณะคล้ายเซียนตนนั้นไม่เสียดายแม้แต่น้อย กลับกันยังลูบหนวดพูดกลั้วหัวเราะเสียงดัง “เวทกระบี่ดี น้าหนักมากพอ”
ปีศาจใหญ่หันหน้าไปมองชายฉกรรจ์เคราดกที่พกดาบสะพายกระบี่ “เป็นอย่างไร? ผู้ฝึกกระบี่ที่ยืนอยู่ข้างกายเฉินชิงตูคนนี้ ยกให้เจ้าจัดการดีไหม?”
ชายฉกรรจ์เคราดกกล่าวอย่างเฉยเมยว่า “อยู่บนสนามรบ ให้จั่วโย่วสังหารเจ้าก่อน แล้วข้าค่อยช่วยแก้แค้นให้เจ้า หากจะขอบคุณข้าก็หุบปากไปซะ ไม่อย่างนั้นคงถึงคราวที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ต้องขอบคุณข้าบ้างแล้ว”
ปีศาจใหญ่ทอดถอนใจ “ต่อให้ข้าสังหารจั่วโย่วได้ก็ยังเป็นการค้าที่ขาดทุนอยู่ดี เพราะถึงอย่างไรต่อให้ซุ้มป้ายของสกุลเฉินผู้รอบรู้ในทักษินาตยทวีปจะดีแค่ไหน แต่ก็ยังถือว่าเป็นของใหม่เอี่ยม ตอนนี้ข้าทะนุถนอมเห็นค่าพวกของเก่าแก่ที่เก็บรักษามานานหลายปีมากกว่า แต่ละชิ้นล้วนเป็นของรักของข้า เหลืออยู่เพียงชิ้นเดียวบนโลก หากไม่มีก็คือไม่มีแล้วจริงๆ จะไปหาที่ไหนได้อีก ยังคงเป็นผู้ฝึกกระบี่อย่างพวกเจ้า ที่ผึ่งผายมากกว่า ยามเข่นฆ่ากันขึ้นมาก็ไม่เคยสนใจผลได้ผลเสียพวกนี้”
บนหัวกำแพง ผังหยวนจี้เริ่มเดือดดาล เขาพูดเสียงทุ้มหนักว่า “ปีศาจใหญ่พวกนี้ลงมือเพราะจงใจช่วยสร้างบรรยากาศให้แก่เจ้าเดรัจฉานน้อยตนนั้น หมายจะข่มกำราบสภาพจิตใจของเฉินผิงอัน!”
เฉินซานชิวสีหน้าเคร่งเครียด
นี่ก็คือสนามรบของกำแพงเมืองปราณกระบี่ พาตัวไปตกอยู่ในวงล้อมสังหารเพราะหวังเอาชนะ ส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยมีจุดจบที่ดี เผ่าปีศาจของใต้หล้าเปลี่ยวร้างชอบผู้ฝึกกระบี่ที่ใช้อารมณ์เหนือเหตุผลเป็นที่สุด
ในเรื่องของการทำสงคราม ต่อให้เจ้าจะเป็นเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบน หากรู้สึกว่า ไม่ว่าใครก็สามารถใช้หนึ่งกระบี่ทิ่มให้ฟ้าเทลาดลงมาได้ นั่นก็ยากที่จะสมใจหวังแล้ว เพราะมีแต่จะทำให้เผ่าปีศาจสมปรารถนา มอบคุณความชอบครั้งหนึ่งหรืออาจเป็นชุดให้อีกฝ่ายไปเสียเปล่าๆ
ปีศาจใหญ่หลายตนชอบจงใจสร้างสถานการณ์ กุมผู้ฝึกกระบี่ที่บาดเจ็บสาหัสเอาไว้ในมือ ก่อนจะค่อยๆ ฉีกแขนทึ้งขาของเขาอย่างเนิบช้าแล้วยัดใส่ปากเคี้ยว หรือไม่ก็ค่อยๆ ถลกหนังดึงเส้นเอ็นของผู้ฝึกกระบี่ที่อยู่ในมือออกทีละนิด แต่ละวิธีอำมหิตทารุณ โหดร้ายจนมิอาจทนมอง ผู้ฝึกกระบี่ที่ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้มีแต่จะอยู่ ไม่สู้ตาย ส่วนผู้ฝึกกระบี่ที่ถูกพันธนาการวิญญาณ แม้แต่จะฆ่าตัวตายก็ยังเป็น ความเพ้อฝัน สิ่งที่ปีศาจใหญ่ต้องการก็คือหลอกล่อให้ผู้ฝึกกระบี่จำนวนมากกว่าเดิมออกมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ เข้าไปเข่นฆ่าใจกลางถิ่นของพวกมัน
หากเซียนกระบี่คนใดลงมือก็จะมีปีศาจใหญ่เข้ามาล้อมไว้ในชั่วพริบตา หลังจบเรื่อง ก็แบ่งคุณความชอบทางการศึกกัน และในประวัติศาสตร์ก็เคยมีบทเรียนที่อาบนองไปด้วยเลือดอยู่มากมาย
ผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ที่เป็นลูกรักของสวรรค์ถูกจับตัวไป ผู้อาวุโสในตระกูลหรือ ผู้ฝึกกระบี่ที่ถ่ายทอดวิชาให้ไปช่วยเหลือ ต้องตาย หากมีเซียนกระบี่ไปช่วยอีก ก็ตายอีก เซียนกระบี่ที่เป็นสหายสนิทไปช่วย ก็ยังต้องตายอยู่ดี
สุดท้ายกลับกลายเป็นผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์คนนั้นที่ตายช้าที่สุด เคยมีผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ที่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์เช่นนี้ ถึงขั้นที่ว่าท้ายที่สุดแล้วก็ยังไม่ถูกปีศาจใหญ่สังหาร คนหนุ่มที่มือเท้าไม่เหลือ กระบี่บินแตกสลายถูกปีศาจใหญ่ตนนั้นโยนทิ้งไว้บนพื้น ขณะที่เผ่าปีศาจถอนกำลังออกไป ยังออกคำสั่งให้เผ่าปีศาจทุกตนเดินอ้อมเขาไป ทิ้งลูกรักแห่งสวรรค์ผู้นั้นไว้ให้แก่กำแพงเมืองปราณกระบี่ คนหนุ่มสาวหลายคนที่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตถูกทำลายจนพังภินท์ สะพานแห่งอมตะถูกสะบั้นไม่เหลือชิ้นดี ส่วนใหญ่ก็มักมีจุดจบที่ว่า หากไม่รวบรวมเรี่ยวแรงที่เหลืออยู่ฆ่าตัวตายบนสนามรบ ก็จะถูกยกออกไปจากสนามรบ แล้วค่อยฆ่าตัวตายตอนที่กลับเข้ามาในนคร
ใต้หล้าเปลี่ยวร้างมองแค่แพ้ชนะและเป็นตาย ไม่เคยสนใจว่าขั้นตอนเป็นอย่างไร
หนิงเหยาเอ่ย “ถ้าอย่างนั้นพวกมันก็ต้องเสียใจภายหลัง”
จั่วโย่วกุมกระบี่ในมือที่ชักออกจากฝักเบาๆ ปลายกระบี่ชี้ตรงไปยังปีศาจใหญ่ที่เรียกตำหนักหยกขาวออกมาเมื่อครู่นี้
เบื้องหน้าเส้นที่ผู้เฒ่าชุดเทาและปีศาจใหญ่ขอบเขตสูงสุดสิบสี่ตนยืนอยู่พลันมี น้ำวนลูกใหญ่ยักษ์ปรากฏขึ้นมา ก่อนที่ปลายกระบี่หลายต่อหลายเล่มจะแหวกอากาศผุดออกมาช้าๆ
ราวกับว่าระหว่างใต้หล้าไพศาลและกำแพงเมืองปราณกระบี่มีฟ้าดินขนาดเล็กเพิ่มขึ้นมาอีกสิบห้าแห่ง
นี่เท่ากับว่าผู้ฝึกกระบี่จั่วโย่วแห่งใต้หล้าไพศาลถามกระบี่ต่อปีศาจใหญ่ทุกตนในเวลาเดียวกัน
อันที่จริงทั้งสองฝ่ายของใต้หล้าเปลี่ยวร้างและกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ไม่ว่า จะมีขอบเขตอะไร ทุกคนต่างรู้กันดีว่า บนสนามรบในวันนี้ ฝั่งของกำแพงเมือง ปราณกระบี่ ยิ่งเป็นคนที่โดดเด่นสะดุดตามากเท่าไร ศึกใหญ่ในครั้งถัดไปก็ยิ่งมีโอกาสตายมากเท่านั้น คนที่ไม่ต้องตายก็จะกลายเป็นคนที่รนหาที่ตาย คนที่เดิมทีตาย ช้าหน่อยก็ได้ กลับจะตายเร็วยิ่งกว่าเดิม
อันดับแรกก็คือเฉินผิงอัน
ตามมาด้วยจั่วโย่ว
สายเหวินเซิ่งของใต้หล้าไพศาลไม่เคยใช้เหตุผลจริงๆ เสียด้วย
ชายฉกรรจ์ร่างกำยำสวมชุดเกราะสีทองพลันเผยร่างจริงที่ใหญ่โตมโหฬาร เกราะทองที่สวมอยู่บนร่างขยายใหญ่ไปตามกัน ยังคงกักขังปีศาจใหญ่ตนนี้ไว้ อย่างแน่นหนา ชายฉกรรจ์เกราะทองยื่นมือมาดันปลายกระบี่เล่มนั้นเอาไว้แล้วผลักกระบี่ยาวออกไปด้านหลังพร้อมกับน้าวน สุดท้ายทั้งกระบี่ยาวและน้าวนก็ แตกกระจาย เสื้อเกราะสีทองบนร่างถูกปราณกระบี่เหล่านั้นกระเซ็นมาโดน ชายฉกรรจ์ไม่แม้แต่จะชายตามอง เพียงก้มหน้าลงมองรูโหว่เล็กๆ ที่ปรากฎอยู่บน ฝ่ามือสีทองของตน น่าเสียดายที่เพียงไม่นานก็ถูกแสงสีทองเข้มข้นที่อยู่จุดอื่นบนนิ้วแผ่มากลบทับเติมเติมรูโหว่นี้ ชายฉกรรจ์ร่างกำยำเดือดดาลไม่น้อย หวนกลับสู่ ร่างมนุษย์อีกครั้ง เพียงแต่ว่าพอมาคิดดูอีกครั้งก็ตัดสินใจแล้วว่าศึกใหญ่ครั้งถัดไป จั่วโย่วที่วิชากระบี่ไม่ต่าผู้นี้ต้องให้ตนเป็นคนรับมือเสียแล้ว
บนเส้นแนวหน้าเส้นนั้น ปีศาจใหญ่ที่มีบัลลังก์อยู่ในบ่อโบราณต่างก็พากัน ร่ายวิชาอภินิหาร บางคนก็ออกหมัดต่อยกระบี่บินและน้าวนให้สลายไปพร้อมกัน
บางส่วนที่มีความเคลื่อนไหวครึกโครมหน่อยก็ถึงกับแผ่นดินสะเทือน ยกตัวอย่างเช่นเซียนกระบี่ที่ยืนอยู่ข้างฝ่าเท้าของปีศาจใหญ่โครงกระดูกหยกขาวที่ใช้กระบี่ปะทะกระบี่ ปลายกระบี่สองเล่มที่ขนาดเล็กใหญ่แตกต่างกันอย่างชัดเจนกระแทกดันกัน ก่อให้เกิดสะเก็ดไฟจำนวนนับไม่ถ้วนประหนึ่งฝนไฟที่พร่างพราวตกกระหน่าลงสู่พื้นดิน
ปีศาจใหญ่บางตนที่มีวิชาอภินิหารลี้ลับก็ยกมือสร้างฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่งขึ้นมารับมือ
ชายฉกรรจ์เคราดกไม่ได้ลงมือด้วยตัวเอง เพียงแค่ให้ลูกศิษย์ขี่กระบี่ทะยานขึ้นกลางอากาศ ออกกระบี่มาต้านทานไว้เท่านั้น
ชายฉกรรจ์ที่สวมชุดลัทธิขงจื๊อรับมือได้อย่างผ่อนคลายที่สุด เขาปล่อยให้กระบี่บินขนาดยักษ์พุ่งออกมาจากน้าวน ระหว่างที่มันพุ่งเข้าใส่ ปราณกระบี่ของกระบี่บินก็ หดเล็กลงด้วยตัวเองอยู่กลางอากาศ ขนาดของกระบี่บินก็ยิ่งเปลี่ยนแปลงไป อย่างรวดเร็ว สุดท้ายกลายเป็นกระบี่บินขนาดจิ๋วที่หยุดลอยอยู่เบื้องหน้าบุรุษสวมชุดลัทธิขงจื๊อ เขาประกบสองนิ้ว ยิ้มบางๆ บิดหมุนข้อมือง่ายๆ กระบี่บินก็หัน ปลายแหลมเข้าหากำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วพุ่งไปยังจุดที่ห่างไปไกลแสนไกล หายวับไปอย่างไร้ร่องรอย
อริยะลัทธิขงจื๊อที่นั่งอยู่ปลายสุดฝั่งหนึ่งของหัวกำแพงเมืองใช้สองนิ้วคีบรับ แล้วเหวี่ยงกระบี่บินเล่มนั้นเข้าไปในเมฆหมอกสีขาวกลิ้งหลุนๆ ที่เป็นภาพมายาจำแลงของแม่น้าแห่งกาลเวลา นาทีถัดมาอยู่ดีๆ กระบี่บินเล่มนั้นก็ทิ้งตัวดิ่งในแนวตรงหล่นใส่ศีรษะบุรุษชุดลัทธิขงจื๊อที่นั่งอยู่ทางทิศใต้ บุรุษผู้นั้นคลี่ยิ้ม ยกชายแขนเสื้อขึ้นโบก กระบี่บินพลันหายไป กระบี่บินแหลมคมที่มีกลิ่นอายของแม่น้าแห่งกาลเวลาติดอยู่เล็กน้อยจึงหวนกลับคืนสู่ฟ้าดินอีกครั้ง
บนสนามรบ เด็กคนนั้นไม่สนใจแสงกระบี่ที่แหวกอากาศมาถึงด้านหลังตัวเอง รวมไปถึงตำหนักหยกขาวเหนือศีรษะที่ถูกกระบี่จากหัวกำแพงเมืองฟันให้แตก กระจุยกระจายเลยแม้แต่น้อย
เพียงแต่ว่าเศษแสงกระบี่ที่ออกมาจากน้าเต้าเลี้ยงกระบี่และเศษซากของ ตำหนักหยกขาวทำให้ปราณกระบี่รอบสนามรบของทั้งสองฝ่ายวุ่นวาย การมองเห็นของเด็กชายจึงเกิดความพร่าเลือนเสี้ยวเล็กๆ
เด็กชายกระตุกมุมปาก หยิบศีรษะของปีศาจใหญ่ที่เดิมทีอยู่ใต้ฝีเท้าขึ้นมาแล้วเตะโด่งลอยไปไกล มันจะได้ไม่เกะกะขวางทางตน ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของภูเขาทัวเยว่ ที่ตายไปอย่างสิ้นซากแล้วจะยังนับเป็นศิษย์พี่อะไรอยู่อีก
เด็กน้อยดึงเท้ากลับมา จากนั้นก็ทำเพียงแค่ยืนอยู่ที่เดิม ไม่หลบไม่เลี่ยง
ในที่สุดอีกฝ่ายก็ยินดีจะลงมือแล้ว ช่างเป็นคนดีที่นิสัยอ่อนโยนเสียจริง
ต่อให้จะระวังตัวแจขนาดนี้ก็ยังไม่มีความหมายอะไร ออกจากหัวกำแพงเมืองมาคุมเชิงกับตน คิดจะมีชีวิตรอดอยู่นั้นยาก แต่หากอยากตายกลับง่ายที่สุด
เพียงแต่พอคิดว่าควรจะจัดการกับศพและวิญญาณของอีกฝ่ายอย่างไรถึงจะล่อให้หนิงเหยาที่อยู่บนหัวกำแพงยอมลงมาเปิดศึกกับตน แล้วตายตามอีกฝ่ายไป เด็กชายกลับรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย
วิธีประเภทที่กัดมือกัดเท้าแทะหน้าคนนั่น เขาทำไม่ลงจริงๆ เขาไม่ใช่เผ่าปีศาจสักหน่อย ไม่มีร่างจริงที่ใหญ่โตร้อยจั้งพันจั้ง ต่อให้ตนอ้าปากกว้างที่สุดก็ต้องกัด ต้องแทะอยู่นานเท่าไรถึงจะทำให้อีกฝ่ายสะอิดสะเอียนได้ กลัวก็แต่ว่าคนอื่นยังไม่ทันสะอิดสะเอียน ตนอาจต้องอาเจียนซะก่อน
นอกจากนี้ตนก็ยังเป็นแค่ผู้ฝึกกระบี่ครึ่งตัวที่จิตวิญญาณไม่มั่นคง ลำพังเพียงแค่ฝึกกระบี่ก็เหนื่อยยากเปลืองแรงมากอยู่แล้ว วิชาตระกูลเซียนอย่างการใช้จิตวิญญาณมาจุดแทนไส้ตะเกียงอะไรนั่น ตนจึงไม่เคยเรียนมาก่อนเลย
เด็กชายที่ตั้งชื่อให้ตัวเองว่า ‘หลีเจิน’ รู้สึกเพียงว่าหากต้องสู้ก็คือสู้ ผลคือ พอมาอยู่บนสนามรบจริงๆ กลับค้นพบว่าพอตนคิดเรื่องที่ไม่สำคัญพวกนี้ขึ้นมาก็นึกเสียใจภายหลังแล้วที่เมื่อก่อนไม่ยอมตั้งใจฝึกกระบี่ให้มากกว่านี้ และนี่คงจะทำให้พวกศิษย์พี่ชายหญิงบางคนที่แอบซ่อนความเคียดแค้นริษยาไว้ในใจดีใจกันแทบตายแล้ว
หลีเจินกวาดตามองไปรอบด้าน จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
อีกฝ่ายนับว่าพอมีฝีมือ คือผู้ฝึกกระบี่ที่มีกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตสองเล่ม
กระบี่บินเล่มหนึ่งเล็กบางคมกริบ ประหนึ่งด้ายเส้นหนึ่ง มีปณิธานความเก่าแก่อบอวล แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายยามลมพัดต้นไม้ส่งเสียงดังคลื่นกระทบฝั่ง ค่อนข้างคล้ายคลึงกับกระบี่บินของเซียนกระบี่หลายคนที่พลังพิฆาตไม่มาก แต่กลับฆ่าคนได้อย่างรวดเร็ว
วัตถุแห่งชะตาชีวิตอีกเล่มหนึ่งมีพลังอำนาจดุจสายฟ้าถักทอ ไม่มีปิดบังอำพราง ไม่คิดจะหลบซ่อนตัวแม้แต่น้อย นี่คล้ายคลึงกับเซียนกระบี่ที่โดดเด่นเหนือผู้อื่นเพราะมีพลังพิฆาตสูงมากกว่า
มิน่าเล่าถึงสามารถทำให้เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสให้ความสำคัญได้ ยังถือว่าพอจะมีฝีมือเล็กๆ น้อยๆ อยู่บ้าง
เพียงแต่ว่ามีความประหลาดอยู่นิดๆ ทั้งๆ ที่เรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมาพร้อมกันถึงสองเล่ม แต่กลับไม่ใช้สังหารศัตรู อีกฝ่ายยังคงพุ่งเข้ามาประชิดตัว อีกทั้งยังเคลื่อนไหวรวดเร็วไม่น้อย
เด็กชายกลัดกลุ้มเล็กน้อย วัตถุนอกกายของตนมีมากเกินไปแล้ว หลังออกมาจากภูเขาทัวเยว่กับอาจารย์ วันๆ ก็ยุ่งอยู่แต่กับการรับของขวัญ อันดับแรกก็เป็นพวกศิษย์พี่ชายหญิงที่ยืนกรานจะมอบให้ ภายหลังก็เป็นพวกปีศาจใหญ่ที่จำชื่อไม่ได้ยัดเยียดให้ คิดว่าตนเป็นคนที่รับของของคนอื่นส่งเดชจริงๆ หรือ? นี่มันถ่วงเวลาการฝึกตนกันชัดๆ แต่คิดไม่ถึงว่าวันนี้พอจะเอามาใช้ประโยชน์ได้แล้ว ไม่อย่างนั้นหากขอบเขตสูงขึ้น ทุกๆ ระยะเวลาช่วงหนึ่งจะต้องคอยจัดการกับของผุพังพวกนี้ จะยกให้คนอื่น ก็ไม่เต็มใจ จะทิ้งไปก็เสียดายอีก เพราะฉะนั้นอาจารย์จึงกล่าวได้ถูกต้องแล้ว อย่าขี้เกียจฝึกตนมากเกินไป เลื่อนเป็นห้าขอบเขตบนให้ได้โดยเร็วแล้วค่อยขี้เกียจ ก็ยังไม่สาย จะดีจะชั่วก็เรียนรู้วิชาอภินิหารจักรวาลในแขนเสื้อให้เป็นเสียก่อน เพราะจะช่วยลดทอนเรื่องยุ่งยากได้มากมาย ต่อให้มีสมบัติอาคมกองกันเป็นภูเขา ก็ไม่ต้องกลัว ศิษย์พี่หญิงคนนั้นที่ตอนนี้ปิดด่านไปแล้วเคยเอ่ยว่า ใต้หล้าไพศาลร่ารวยเกินไป รวยจนพวกเขาไม่อาจจินตนาการได้ถึง สำนักตระกูลเซียนมีมากมายดุจขนวัว พวกผู้ฝึกตนน้อยใหญ่ ขอบเขตสูงต่าพวกนั้นต่างก็ฉลาดกันมาก ยิ่งกลัวตายอย่างมาก เพื่อไม่ให้ตัวเองตาย ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่สนใจทั้งนั้น พอไปถึงที่นั่นก็ลองเล่นกับใจ คนดู จะต้องสนุกมากแน่ๆ
เด็กชายลังเลอยู่ครู่เดียวก็ตัดสินใจได้ กินกระบวนท่านี้ของเขาสักครั้งแล้วกัน หากแน่จริงก็เรียกกระบี่บินออกมาอีกเล่ม แล้วเขาก็จะกินอีกเล่ม หรือถ้ามีสมบัติหนักตระกูลเซียนก็ขว้างใส่หัวเขาได้เลย
แม้จะยอมถอยก้าวนี้ให้อีกฝ่าย แต่ก็ไม่ถ่วงเวลาสำหรับการปูพื้นกระบวนท่าถัดไปของเขาแม้แต่น้อย บอกแล้วว่าจะให้อีกฝ่ายตายเร็วๆ นั่นไม่ใช่แค่คำคุยโว เสียหน่อย
ดังนั้นแม้เด็กคนนั้นจะยืนนิ่งไม่ขยับก็จริง ทว่าพื้นดินในรัศมีสิบจั้งกลับลอยตัวขึ้นมาจั้งกว่าราวกับว่ามีแท่นดินสูงขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่แห่งหนึ่งถูกดึงขึ้นมา จากนั้นเพียงเสี้ยววินาที สี่ด้านแปดทิศ ไม่เพียงแต่สนามรบที่คนทั้งสองอยู่
แม้แต่บริเวณใกล้เคียงกับหัวกำแพงเมืองซึ่งอยู่ห่างออกไป กลางอากาศสูงเหนือหัวกำแพงเมืองไปอีกร้อยจั้งพันจั้งก็มีปณิธานกระบี่บริสุทธิ์ประเภทหนึ่งที่มาจาก ต้นกำเนิดเดียวกันบนมหามรรคา แต่กลับไม่ใช่ปราณกระบี่ พวกมันมารวมตัวกันกลายเป็นของจริงที่จับต้องได้อย่างไม่มีลางบอกเหตุ ตัดสลับถักทอในอยู่แท่นสูงแห่งนี้ แต่ละเส้นร้อยรัดพัวพันเข้าด้วยกัน มากมายนับหมื่นเส้น ภายใต้แสงแดดสาดส่อง ปณิธานกระบี่สีขาวหิมะแต่ละเส้นส่องประกายแสงเรื่อเรือง ถักทอกันออกมาเป็น กรงขังปณิธานกระบี่แห่งหนึ่งที่คล้ายจะกักกันเด็กชายคนนั้นไว้ภายใน
คนชุดเขียวไม่ได้เลือกจะเข้าต่อสู้ประชิดตัว วินาทีก่อนที่กรงขังจะปรากฎขึ้นก็เหมือนเขาจะสัมผัสได้ถึงความผิดปกติของฟ้าดินจึงเปลี่ยนทิศทางการโคจร เพียงแต่ว่าไม่ได้หยุดยืนนิ่ง เพียงแค่ชะลอความเร็วให้ช้าลง ประหนึ่งผีเร่ร่อนในรูปลักษณ์ ควันสีเขียวเส้นหนึ่งที่ล่องลอยอยู่นอกรัศมีสิบจั้งของเด็กชาย จะไม่ยอมเข้าใกล้กรงขังที่ปณิธานกระบี่เยียบเย็นอึมครึมแห่งนั้นเด็ดขาด มือทั้งคู่ของเขาถือยันต์ปึกใหญ่ไว้ ฝั่งละปึก มองดูแล้วมากมายราวกับไม่มีที่สิ้นสุด เขาโยนมันออกไปง่ายๆ บ้างก็ปล่อยให้ยันต์ล่องลอยด้วยตัวเอง บ้างก็ฝังเลื่อมลงไปในพื้นดินโดยรอบ บางครั้งที่มี ยันต์กระดาษเหลืองขยับเข้าใกล้แท่นดินที่สูงจากพื้นชุ่นกว่าๆ นั้นก็จะถูกแสงกระบี่หยุดนิ่งที่เกิดจากการรวมตัวกันของปณิธานกระบี่คอยกรีดผ่าให้เป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยอย่างเงียบเชียบ สุดท้ายเศษชิ้นส่วนของยันต์ก็ร่วงกระจายอยู่บนแท่นสูง
หลีเจินรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย “ไม่กล้าแลกชีวิตกับข้าหรือ? เจ้าช่างเป็นผู้ฝึกกระบี่ที่น่าเบื่อเสียจริง อุตส่าห์ให้โอกาสเจ้ากระโจนเข้าหาความตายอย่างกล้าหาญ กลับไม่ยอมคว้าเอาไว้ ข้าไม่ใช่ญาติของเจ้าเสียหน่อย ที่นี่ของพวกเราไม่มีประเพณีเผากระดาษเหลืองในวันชิงหมิงหรอกนะ นี่เจ้ากำลังทำอะไร?”
หลีเจินเดินหน้าไปอย่างเนิบช้า กรงขังก็เคลื่อนตามเขาไปด้วย ปณิธานกระบี่ที่เดิมทีกระจายอยู่ระหว่างฟ้าดินยิ่งขยับเข้ามารวมตัวกันมากขึ้น กรงขังยิ่งขยายใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าเหตุใด ปณิธานกระบี่บรรพกาลมากมายที่อยู่บนมรรคาเดียวกันแต่กลับไม่ได้มาจากต้นกำเนิดเดียวกันทั้งหมดนอกกำแพงเมืองปราณกระบี่
บัดนี้ถึงได้เลือกจะหยุดนิ่งอย่างหาได้ยากยิ่ง ทั้งไม่ได้ไล่ตามปณิธานกระบี่ประเภทนั้นไป ผสมปนเปเป็นพวกเดียวกัน แต่ก็ไม่ได้ขัดขวางอีกฝ่ายดั่งศัตรู
เซียนกระบี่ผู้เฒ่าสองท่านที่ต่างก็เคยแกะสลักตัวอักษรไว้บนหัวกำแพงอย่างเฉินซีและฉีถิงจี้ใช้เสียงในใจคุยกัน “คือปณิธานกระบี่ที่ผู้อาวุโสกวนจ้าวเคยทิ้งไว้ในอดีต หมื่นปีที่ผ่านมานี้ไม่เคยโปรดปรานเด็กรุ่นหลังคนใดของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ก็ไม่แปลกแล้ว”
ฉีถิงจี้ขมวดคิ้วพูดเสียงหยัน “ผู้อาวุโส? คนทุเรศโสมมที่เพื่อให้เวทกระบี่ของตนเดินขึ้นสู่ที่สูงก็สามารถทรยศวิถีกระบี่เช่นนี้ คู่ควรให้เจ้าและข้าเรียกว่าผู้อาวุโสได้ ด้วยหรือ?”
เฉินซีไม่อยากจะเถียงกับเขาเรื่องนี้ เพียงเอ่ยอย่างปลงปนิจจังว่า “โชคดีที่เฉินผิงอันหนีได้เร็ว ไม่อย่างหากติดอยู่ในนั้น ขนาดผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดก็ยังต้องสละเรือนกายทิ้งถึงจะมีโอกาสรอดชีวิตเสี้ยวหนึ่ง เพียงแต่ว่าเมื่อเป็นเช่นนี้จะยังต่อสู้กันอย่างไรได้ต่อ”
ฉีถิงจี้มองไปยังทิศไกล “ปณิธานหมัดของเฉินผิงอันจะขึ้นสู่ยอดเขาสูงสุดของตัวเองได้ก็ต้องมีขั้นตอนของการเก็บและปล่อย เจ้าลูกกระต่ายผู้นั้นก็ไม่ได้อยู่เฉยๆ เหมือนกัน ทั้งยังเป็นคนที่รู้จักสร้างโอกาสและคว้าโอกาสเอาไว้ในมือ ไม่อย่างนั้นหากมาถึงก็เล่นลูกไม้นี้ทันที ก็คงไม่ได้ผ่อนคลายเช่นนี้ ปณิธานกระบี่เกินครึ่งที่เหลืออยู่ย่อมต้องเข้าไปขัดขวาง ยังดีที่เฉินผิงอันเองก็ไม่ถือว่าเสียเปรียบสักเท่าไร โอกาสที่จะได้ยืมใช้มหามรรคาแห่งฟ้าดินมาขัดเกลาปณิธานที่แท้จริงของวิชาหมัด มีให้พบเห็นได้ไม่บ่อยนัก ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นแค่ค่ายกลกระบี่ที่ถูกยืมใช้ได้แค่ชั่วคราว ประคับประคองตัวได้ไม่ค่อยนานนัก”
เฉินซีส่ายหน้า “อย่าลืมล่ะว่าสถานะของอีกฝ่ายตอนนี้คืออะไร ของดีที่มีอยู่ ติดกายย่อมไม่น้อยแน่นอน”
หลีเจินสาวเท้าเดินอยู่บนสนามรบอย่างผ่อนคลาย เขายิ้มเอ่ยว่า “ผ่านไปหนึ่งกระบวนท่าแล้ว ปล่อยให้เจ้าเตร็ดเตร่ส่งเดชอยู่อย่างนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง อย่าคิดว่าอยู่ห่างจากข้าแล้วจะสามารถจัดวางค่ายกลยันต์ได้ตามใจชอบ เจ้ารู้หรือไม่ว่า คนแบบเจ้าช่างน่ารำคาญนัก คิดว่าข้าจะแค่ยืนให้เจ้าเล่นงานอย่างเดียวจริงๆ งั้นหรือ?”
เด็กคนนั้นสะบัดชายแขนเสื้อก็มีตราประทับอาคมหยกใสแวววาวชิ้นหนึ่งหลุดร่วงออกมา แล้วเขาใช้ก็เท้าเหยียบมันให้ทะลุแท่นดินสูงลงไปสัมผัสกับพื้นดินด้านล่างจากนั้นก็โยนกระบี่ไร้ฝักที่หักเหลือแค่ครึ่งเดียวออกมา บนตัวกระบี่มีสนิมขึ้นเขรอะ แสงกระบี่ขุ่นมัว
เด็กชายสะบัดเจดีย์วิเศษทองสัมฤทธิ์เล็กจิ๋วชิ้นหนึ่งออกมาจากชายแขนเสื้ออีกครั้ง ราวกับว่าจำลองแบบมาจากป๋ายอวี้จิงของใต้หล้ามืดสลัว เพียงแต่ว่าเจดีย์วิเศษอยู่ในสภาพใกล้จะแตกพังเต็มที รอยแตกร้าวเห็นได้อย่างชัดเจน สภาพไม่น่าจะใช้งานได้สักเท่าไร มีความเป็นไปได้ว่าร่ายใช้ได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น เจดีย์วิเศษร่วงลงไปด้านล่าง เพียงแต่ว่าเพราะน้าหนักมีมากเกินไปจึงจมดิ่งหายเข้าไปในแผ่นดินไม่เหลือร่องรอยอีก
หลีเจินก้าวเดินไม่หยุดนิ่ง แต่ละครั้งล้วนทำเช่นนี้ นั่นคือพอโยนสมบัติตระกูลเซียนชิ้นหนึ่งออกมาแล้วเขาก็จะเหยียบมันไว้ทิ้งที่เก่า เดินไปทิ้งไปพลางพูดไปด้วยว่า “ทุกครั้งที่ข้าเหยียบลงไปก็จะมีช่องโหว่เล็กๆ หนึ่งช่อง นั่นยิ่งเป็นการเตือนเจ้าด้วยความหวังดีว่ากระบี่บินของเจ้ามิอาจฝ่าค่ายกลกระบี่มาได้ อย่างน้อยที่สุดก็สามารถฉวยโอกาสนี้บังคับกระบี่บินให้มุดลงพื้น ดูสิว่าจะสามารถทะลุจากล่างขึ้นมาแทงข้าด้านบนได้หรือไม่ เจ้ากลับดีนัก ไม่รู้จักรับน้าใจ ยืนกรานจะรอความตายให้จงได้ เอาเถิด ถ้าอย่างนั้นก็มาดูกันว่าสรุปแล้วเจ้าจะโยนยันต์กระดาษเหลืองชิงหมิงได้มาก หรือจะเป็นสมบัติของข้าที่ช่วยเจ้ากวาดสุสานได้เร็วยิ่งกว่า”
มีครั้งหนึ่งหลีเจินโยนม้วนภาพทิ้งไปจากชายแขนเสื้อ แต่กลับพบว่าพอร่วงลงพื้นแล้วมันไม่ได้คลี่ออก แต่อันที่จริงนั่นก็ไม่ได้ถ่วงรั้งการโคจรของสมบัติอาคม แต่กระนั้นเด็กชายก็ยังทรุดตัวลงนั่งยอง จับมันคลี่ออก จึงเห็นว่าเป็นภาพ สิบแปดเซียนกระบี่ที่สภาพขาดวิ่นไม่เหลือชิ้นดีแล้ว
คลี่ภาพออกแล้วหลีเจินถึงได้ลุกขึ้นแล้วเดินต่ออีกครั้ง ฝีเท้าที่ก้าวเดินเนิบช้า ทว่าทุกก้าวกลับพุ่งตัวไปได้ไกลหลายสิบจั้ง
ทุกครั้งที่หลีเจินมีความเคลื่อนไหว เส้นยาวๆ ของค่ายกลกระบี่ที่อยู่ใกล้ที่สุดก็จะอ้อมผ่านเท้าของเด็กชายไปด้วยตัวเอง หลีเจินไม่จำเป็นต้องใช้จิตสื่อถึงพวกมันเลยด้วยซ้ำ
แล้วหลีเจินก็เดินเล่นอย่างผ่อนคลายอยู่เช่นนี้ ทุกๆ ระยะสามสี่ลี้ก็จะโยน สมบัติชิ้นหนึ่งทิ้งไป สุดท้ายเพราะคิดว่าหากระดับขั้นของสมบัตินั้นแย่เกินไปจึงไม่คิดจะหยิบออกมาให้ขายขี้หน้าผู้อื่นแล้ว ในที่สุดหลีเจินก็หยุดยืนนิ่ง ยื่นสองนิ้วออกมาคีบเส้นยาวของปณิธานกระบี่เส้นหนึ่งที่หยุดลอยอยู่ตรงหน้าในแนวเฉียงห่างไป หนึ่งจั้ง เขาคีบมันแล้วเขย่าเบาๆ ก็พลันเกิดเสียงดังอื้ออึง ก่อนจะยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “สรุปแล้วเวทกระบี่ของกวนจ้าวนักโทษอาญาคนเก่าสูงส่งแค่ไหนกันแน่ ตอนนี้ แม้แต่ข้าเองก็ยังยากจะจินตนาการได้ถึง ในอดีตเขาเคยเป็นบุคคลยิ่งใหญ่แบบใดที่พกกระบี่เดินขึ้นสู่ที่สูงพร้อมกับเฉินชิงตู ใช้กำลังคนเอาชนะสวรรค์ น่าเสียดายที่ข้าก็จำไม่ได้แล้ว”
คนชุดเขียวยืนอยู่ห่างไปเบื้องหน้ายี่สิบกว่าจั้ง ในที่สุดก็เลิกหนีสักที ก็ถูกนะ เพราะไม่มีความจำเป็นอีกแล้ว
หลีเจินไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะบอกว่าคนผู้นี้โง่หรือปัญญาอ่อนกันแน่
ที่ไม่ยอมหนีเพราะเห็นว่าค่ายกลกระบี่ข้างกายตนกำลังจะสลายหายไปอย่างนั้นหรือ? อีกฝ่ายคิดจริงๆ หรือว่าค่ายกลกระบี่นี้แค่ปกป้องไม่ให้ตนโดนกระบี่บินหรือยันต์ ลอบทำร้าย?
หลีเจินถาม “ใช่แล้ว เจ้าชื่อว่าอะไร?”
หลีเจินเห็นว่าเขาไม่มีท่าทีจะเปิดปากพูดก็เอ่ยอย่างเอือมระอาว่า “เจ้านี่เป็นคนอย่างไรกันแน่นะ ตำรามากมายของใต้หล้าไพศาลที่แพร่มาถึงใต้หล้าเปลี่ยวร้างต่างก็บอกไว้ว่า การช่วงชิงกันของยอดฝีมือล้วนเปิดเผยตรงไปตรงมา เจ้าเรียกขานด้วย วิชาหมัด ข้าเอ่ยทักทายด้วยกระบวนท่าวิชากระบี่ พวกมดตัวน้อยที่ดูอยู่ด้านข้างก็แค่รับผิดชอบไชโยโห่ร้อง จุ๊ปากชื่นชม แบบนั้นน่ะครึกครื้นจะตายไป จากนั้นก็เอาความสามารถก้นกรุออกมาใช้ ทำให้แต่ละคนปากอ้าตาค้างอึ้งงันเป็นไก่ไม้ สถานที่ ไร้เสียงกลับเหนือกว่าสถานที่มีเสียง แต่เจ้าดูตัวเองสิ เจ้าไม่รู้สึกผิดต่อเซียนกระบี่มากมายที่ชมศึกอยู่บนหัวกำแพงบ้างหรือไร? เพราะเจ้าทำตัวเป็นคนใบ้ ข้าเลยหมดอารมณ์ไปด้วย”
ตั้งแต่ช่วงแรกที่หลีเจินเริ่มพูด ค่ายกลกระบี่ก็เริ่มสลายตัวแล้ว ปณิธานกระบี่บริสุทธิ์ ที่ตัดสลับกันเริ่มหม่นหมองไร้ประกาย เพียงแต่ว่าไม่ได้หวนคืนกลับสู่ฟ้าดินทั้งอย่างนี้ แต่คล้ายกลายมาเป็นปราณวิญญาณหมอกควันที่พากันพุ่งเข้าไปในช่องโพรงต่างๆ ของเด็กชาย
หลีเจินส่งเสียงเรอดังเอิ้ก พ่นไอหมอกกลุ่มหนึ่งออกมา ล้วนเป็นปณิธานกระบี่กลุ่มเก่าที่ก่อนหน้านี้ค่อนข้างขุ่นมัว เมื่อเข้าไปในช่องโพรงของเขาแล้วก็ถูกขับออกมาจากฟ้าดินขนาดเล็กอย่างร่างกายมนุษย์
เซียนกระบี่ใหญ่บางคนเห็นภาพนี้เข้าก็หันหน้าไปมองเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส
เฉินชิงตูส่ายหน้า ยิ้มกล่าวว่า “อะไรที่ควรเป็นของเขาก็ต้องเป็นของเขา ใครที่รนหาที่ตายก็ยังต้องตายอยู่ดี”
หลีเจินยิ้มถามว่า “ขณะที่ค่ายกลกระบี่สลายหายไป มีช่องโหว่เล็กๆ ปรากฏขึ้นหกจุด ช่องโหว่ใหญ่สองจุด แต่เจ้าก็ยังอดทนข่มกลั้นไม่ลงมือได้อีกหรือ? เจ้าคงรู้สึก ใช่ไหมว่าข้าพูดมากไปหน่อย ข้าคิดว่าเจ้าน่ารำคาญ แต่เจ้ายิ่งรำคาญข้ามากกว่า?”
หลีเจินหุบยิ้ม สายตาสงบนิ่ง แล้วพลันดีดนิ้ว “บังเอิญนัก ข้าเองก็จัดวางค่ายกลเสร็จพอดี ขนาดผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตบนยังแทบต้านรับไม่ไหว ดังนั้นตอนนี้เจ้าก็ไปตายได้แล้ว”
บนเส้นทางที่หลีเจินก้าวเดินผ่านไปก่อนหน้านี้ ระหว่างฟ้าดินพลันมีตัวอักษร สีทองอ่อนจางร้อยเรียงกันเป็นเส้นปรากฏขึ้นมา ระดับความสูงต่าต่างกันเล็กน้อย บางจุดก็ตัวอักษรมาก บางจุดก็ตัวอักษรน้อย เดี๋ยวขาดเดี๋ยวประติดประต่อ แต่สุดท้ายก็เชื่อมโยงเข้าด้วยกันเป็นเส้น ตัวอักษรสีทองประหนึ่งถ้อยคำที่แท้จริงซึ่งเขียนไว้บนกระดาษยันต์สีทอง เนื้อหาด้านในล้วนเป็นถ้อยคำที่หลีเจินพร่าพูดก่อนหน้านี้ บางส่วนเป็นถ้อยคำที่เอ่ยออกจากปาก แต่เมื่อมองผ่านภาพแสงที่ เปล่งประกายวิบวับนั้นไป ก็เห็นได้ชัดว่ามีถ้อยคำมากมายที่เป็นความในใจซึ่งหลีเจินไม่ได้เอ่ยออกมา จุดที่โยนสมบัติมากมายลงไปซึ่งรวมถึงตราประทับห้าอสนี เจดีย์วิเศษทองสัมฤทธิ์ กระบี่หักขึ้นสนิมและม้วนภาพเซียน จะมีตัวอักษรอยู่รวมกันมากที่สุด
บนพื้นดิน สายฟ้าสีทองใหญ่มหึมาเส้นหนึ่งก่อตัวขึ้นเป็นวงกลมขนาดใหญ่ที่บิดเบี้ยว โอบล้อมสนามรบของทั้งสองฝ่ายกินรัศมีร้อยจั้ง
ในจุดที่สูงยิ่งกว่ากำแพงเมืองปราณกระบี่ ทะเลเมฆมารวมตัวอย่างพร้อมเพรียงกัน สายฟ้าส่งเสียงครืนครั่นขานรับกับบ่อสายฟ้าบนแผ่นดินอยู่ไกลๆ
เวลาเดียวกันนั้นตราประทับอาคมห้าอสนีก็ลอยขึ้นสูงช้าๆ ปลดปล่อยประกายแสงสว่างเจิดจ้า
เจดีย์วิเศษร้อยจั้งที่รอบด้านมีรัศมีแสงหลากสีล้อมวนพลันตั้งตระหง่าน
กระบี่หักพลันระเบิดออกเป็นเศษชิ้นส่วน ก่อนที่ชิ้นส่วนเหล่านั้นจะจัดเรียงขบวนตามริมขอบของบ่อสายฟ้า
มีเซียนกระบี่สิบแปดคนเดินออกมาจากในม้วนภาพวาดช้าๆ ต่อให้จะถูก ปณิธานกระบี่และฟ้าดินสยบข่ม ทำให้เรือนกายแต่ละท่านเล็กเท่าเมล็ดงา ทว่า พวกเขาที่เกิดจาก ‘ปณิธานที่แท้จริงของเซียนกระบี่’ กลับยังมีปราณกระบี่เปี่ยมล้น แต่ละคนขี่กระบี่ลอยตัวระพื้นดิน ประหนึ่งการโคจรทางธรรมชาติของปราณกระบี่ สุดท้ายเซียนกระบี่ตัวเล็กเท่าเมล็ดงาสิบแปดท่านก็แยกย้ายกันไปเฝ้าพิทักษ์สมบัติ แต่ละชิ้น
เพราะสมบัติมากมายที่มองดูคล้ายว่าหลีเจินโยนลงพื้นอย่างไม่ใส่ใจ ต่างก็มีภาพปรากฎการณ์ที่แตกต่างกัน
ไยจึงพูดมาก แน่นอนว่าเป็นเพราะมีสมบัติอยู่มากเกินไป
ตอนนี้ตบะยังไม่สูงมากพอ ก็ได้แต่ใช้สมบัติอาคม อาวุธกึ่งเซียนและอาวุธเซียนมาช่วยเหลือ
หลีเจินไม่อ้าปากหาว แล้วก็ไม่เปิดปากพูดอะไรอีกแล้ว เขามองคนหนุ่มที่เป็นศัตรูของตัวเองด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
มือข้างหนึ่งกำเข้าหากันหลวมๆ ในมือคือเม็ดกระบี่ที่กลิ้งหมุน ไม่มีภาพปราฎการณ์ของแสงศักดิ์สิทธิ์ส่องสว่างเจิดจ้าแม้แต่น้อย แต่กลับเป็นอาวุธเซียนชิ้นหนึ่ง
อีกมือหนึ่งก็กำเป็นหมัดหลวมๆ เช่นเดียวกัน ทว่ากลับไม่มีเม็ดกระบี่ระดับของอาวุธเซียน แต่เป็นยันต์บรรพบุรุษของภาพห้าขุนเขาที่แท้จริงในโลกรุ่นหลัง
กำแพงเมืองปราณกระบี่ รวมไปถึงยุคสมัยที่ยาวนานยิ่งกว่าก่อนที่กำแพงเมืองปราณกระบี่จะถูกสร้างขึ้นมา แต่ไหนแต่ไรมาเซียนกระบี่ก็ชอบที่จะใช้กำลังของมนุษย์เอาชนะคะคานสวรรค์อยู่เสมอ
ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนให้เจ้าแบกรับทัณฑ์สวรรค์เอาไว้ก่อน
ทัณฑ์สวรรค์ผ่านไปก็ตามมาด้วยทัณฑ์ปฐพี
หลังจากทัณฑ์ปฐพีผ่านไป หลีเจินยังมีของขวัญพบหน้าอีกชิ้นหนึ่ง นั่นก็คือ ใช้สถานะของผู้ฝึกกระบี่แห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้างมาถามกระบี่จากผู้ฝึกกระบี่ของ กำแพงเมืองปราณกระบี่
ดังนั้นด้านหลังของหลีเจินจึงมีเซียนชุดดำเรือนกายสูงหลายจั้งหลายคน ปรากฏตัวขึ้น เรือนกายของพวกเขาพร่าเลือนไม่หยุดนิ่ง มีเพียงกระบี่ยาวในมือเท่านั้นที่เพราะปณิธานกระบี่หลอมรวมกันแสงกระบี่จึงสว่างจ้าพร่าตา
เซียนกระบี่คนหนึ่งในนั้นตัวสูงกว่าเซียนกระบี่ทุกท่าน ใบหน้าของเขาชัดเจน สีหน้าเฉยเมย เรือนกายมั่นคงมากที่สุด ก็คือเซียนกระบี่เผ่ามนุษย์ในยุคบรรพกาลอย่าง กวนจ้าว
หลีเจินขมวดคิ้ว
เห็นเพียงว่าคนชุดเขียวเอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือหนึ่งกำเป็นหมัดวางไว้เบื้องหน้า สายตาฉายประกายเจิดจ้า คนชุดเขียวไม่ม้วนชายแขนเสื้ออีกต่อไป ท่ามกลาง พายุลมกรดที่เกิดจากทัณฑ์ดินทัณฑ์ฟ้ามารวมตัวกัน ชายแขนเสื้อกว้างใหญ่ของเขาโบกสะบัด แขนเสื้อสองข้างพองโป่งประดุจบรรจุลมเย็นไว้เต็มเปี่ยม นั่นจึงยิ่งทำให้ชายแขนเสื้อนั้นกว้างขยายไปอีก มองดูคล้ายว่ามีดอกบัวสีเขียวเข้มดอกหนึ่งที่เพราะเข้มเกินไปสีจึงดำมืดจนใกล้เคียงกับสีหมึกกำลังผลิบาน เขายิ้มตาหยีถามว่า “มีแค่นี้หรือ?”