บทที่ 616 หลีเจินตายแล้ว
หัวคิ้วของหลีเจินคลายออก เรื่องไม่คาดฝันเล็กๆ ไม่อาจส่งผลต่อทิศทาง การดำเนินไปของสถานการณ์ใหญ่ได้
หลีเจินเดินนำออกมาจากบ่อสายฟ้าที่มีสมบัติบนภูเขาสิบแปดชิ้นเป็น จุดศูนย์กลางของค่ายกลก่อน กวนจ้าวที่จำแลงร่างมาจากปณิธานกระบี่ก็เดินตามมาติดๆ เซียนกระบี่ชุดดำคนอื่นๆ ก็ทยอยตามมาด้วย
หลีเจินหันหน้ามาเอ่ยว่า “ช่างเข้าใจใช้จิตหยางเดินทางไกลเป็นเวทอำพรางตา ได้ดียิ่งนัก บ่อสายฟ้าแห่งนี้ ทัณฑ์ฟ้าดินสองครั้งนี้ ถือว่ามอบให้เจ้าแล้ว”
ค่าตอบแทนไม่น้อย สมบัติสิบแปดชิ้น ตาค่ายกลสิบแปดแห่ง หลังจาก ทัณฑ์สวรรค์ทัณฑ์ปฐพีผ่านพ้นไป วัตถุที่มีระดับขั้นเป็นสมบัติอาคมเหล่านี้จะต้องพังไปเกินครึ่ง อาวุธเซียนสองชิ้นในนั้นอย่างตราประทับอาคมห้าอสนีและเจดีย์วิเศษ ป๋ายอวี้จิงจำลองอาจจะไม่ถูกทำลายไปนับแต่นี้ แต่ก็จะต้อง ‘ขอบเขตถดถอย’ กลายไปเป็นระดับขั้นของสมบัติอาคมแทน
เพียงแต่ว่าเขาหลีเจินที่เป็นลูกศิษย์คนสุดท้ายของท่านบรรพบุรุษ สามารถยอมรับค่าตอบแทนน้อยนิดแค่นี้ได้สบายอยู่แล้ว
เพียงแต่เรื่องไม่คาดฝันเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดติดกันครั้งครั้งเล่า อันดับแรกคือคนผู้นี้ออกจากหัวกำแพงเมืองมาแทนหนิงเหยา จากนั้นก็ไม่ได้เข้ามาต่อสู้ประชิดตัวเขา ทำให้กรงขังปณิธานกระบี่ที่มีปราณสังหารเข้มข้นแห่งนั้นไม่ได้เอามาใช้ประโยชน์ ตอนนี้แม้แต่เขาก็ยังถูกหลอกไปด้วย อีกฝ่ายทิ้งไว้เพียงจิตหยินที่ออกจากช่องโพรงมาคอยแบกรับทัณฑ์สวรรค์จากบ่อสายฟ้าที่มากพอจะทำให้ผู้ฝึกกระบี่ขอบเขตหยกดิบบาดเจ็บสาหัสได้ นี่ทำให้หลีเจินไม่สบอารมณ์นัก
อายุเพียงสิบสองปี แต่วาจาและการกระทำกลับกำเริบเสิบสาน ไม่เห็นหัวใคร พร่าพูดไม่หยุดปาก เหยียบศีรษะของปีศาจใหญ่ไว้ใต้ฝ่าเท้า ยืนนิ่งไม่ขยับรับการโจมตีจากเขาหนึ่งครั้ง
คนผู้นี้กลับไม่หลงกลเขาเลยสักเรื่อง
หากเปลี่ยนมาเป็นผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์คนอื่นของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่ แต่ละคนไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่า คาดว่านอกจากหนิงเหยาแล้ว คนอื่นๆ คงจะตาย จนตายไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว
หลีเจินอดไม่ไหวหันหน้าไปมองอีกครั้ง
หลังจากที่หลีเจินพูดเปิดโปงความลับ บุรุษชุดเขียวผู้นั้นก็ไม่อำพรางตัวตนอีกต่อไป สองเท้าลอยพ้นเหนือพื้น ชายแขนเสื้อพลิ้วไสว ขยับออกห่างจากอาณาเขตของ ทัณฑ์ปฐพีมาเล็กน้อย เห็นเพียงว่าพอเขาพลิกหมุนข้อมือหนึ่งครั้ง ในมือก็ถือพัดพับไม้ไผ่หยกอันหนึ่งที่หุบเข้าหากัน ใช้มันตีลงบนฝ่ามือเบาๆ บนเสื้อปรากฏริ้วกระเพื่อมระลอกหนึ่ง ก่อนที่เวทอำพรางตาของชุดสีเขียวบนร่างจะสลายหายไป กลายมาเป็นชุดคลุมยาวสีขาวหิมะ คนผู้นั้นสบตาหลีเจินพลางยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “สร้างค่ายกลเอิกเกริกใหญ่โตขนาดนี้ แต่กลับทำได้แค่กักตัวจิตหยินเล็กๆ อย่างข้าเอาไว้ เสียดายไหมเล่า? จะจากไปแบบนี้น่ะหรือ? ไม่อยู่ในบ่อสายฟ้า จับตามองดูข้าสลายกลายเป็นฝุ่นควันหรืออย่างไร? ไม่กังวลว่าทัณฑ์สวรรค์จะฆ่าข้าไม่ตาย ทุกสิ่งที่ทำมาก็จะ สูญเปล่าอย่างนั้นหรือ?”
คนผู้นั้นมือหนึ่งถือพัด จากนั้นก็ยกมืออีกข้างขึ้น กลางฝ่ามือยังมีร่องรอย ของยันต์กระดาษสีเขียวแผ่นหนึ่งหลงเหลืออยู่ มองดูเหมือนมีดินโคลนสีเขียว เปื้อนเปรอะมือ
ก็แค่ยันต์แผ่นเดียวเท่านั้น แต่กลับทำให้อาวุธกึ่งเซียนและอาวุธเซียนหลายชิ้นของหลีเจินขอบเขตถดถอย หรือไม่ก็ถูกทำลายไปโดยตรง
ประเด็นสำคัญคือยังทำให้ร่างจริงออกไปพ้นจากพื้นที่แห่งความตายได้
เซียนกระบี่หลายคนบนหัวกำแพงต่างพากันถอนหายใจโล่งอก
ตายอย่างกล้าหาญ แต่อย่างไรก็ตายอยู่ดี
หลีเจินยิ้มกล่าว “จิตหยินก็คือจิตหยิน ไม่ใช่เวทอำพรางตาอะไร หากไม่มีอยู่แล้วก็คือไม่มีจริงๆ ดูเหมือนว่าขอบเขตผู้ฝึกตนของเจ้าจะไม่สูง แล้วนับประสาอะไรกับที่อายุยังต่ากว่าสามสิบปี ต่อให้ขอบเขตสูงแค่ไหน แต่จะสูงกว่าหนิงเหยาและผังหยวนจี้ได้หรือ? ต่อให้มีสมบัติล้าค่าติดกาย หรือหากมีหมื่นหนึ่งที่ทำให้เจ้าสามารถโคจร วิชาอภินิหารประหลาดต้านทานทัณฑ์ฟ้าทัณฑ์ดินได้ครู่หนึ่งจริงๆ แต่เจ้าก็ยังต้องตายอยู่ดีไม่ใช่หรือ ไม่แน่ว่าอาจมอบโชควาสนาอย่างหนึ่งให้ข้าเปล่าๆ ด้วย คนอื่นมอบ ให้ข้า ยังไม่แน่เสมอไปว่าข้าจะยินดีรับ แต่หากแย่งมาจากบนร่างของเจ้า ต่อให้เป็นสมบัติอาคมผุๆ ชิ้นหนึ่ง ข้าก็ยังรู้สึกว่ามีความหมายอย่างมาก”
หลีเจินค่อยๆ ออกห่างไปจากบ่อสายฟ้า เดินไปพลางหันหน้ามาเอ่ยด้วยว่า “แม้ข้าจะไม่รู้ว่าเจ้าเป็นเทพเจ้าจากฝ่ายใด และกำแพงเมืองปราณกระบี่มีคนที่น่าสนใจอย่างเจ้าตั้งแต่เมื่อไร แต่ข้ารู้ว่าหนิงเหยาแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้ยินชื่อข้ามาจนหูแทบแฉะแล้ว เจ้าเป็นฝ่ายเสนอตัวมาส่งของขวัญกลับคืนแทนเฉินชิงตู หนิงเหยาไม่ห้ามปรามเจ้า เฉินชิงตูยังกล้าลงเดิมพันครั้งใหญ่ นับตั้งแต่นาทีนั้นมา ข้าก็รู้แล้วว่าเจ้าต้องตายอย่างแน่นอน จ่ายค่าตอบแทนนิดหน่อยจะเป็นไรไป ไม่แน่ว่าฆ่าเจ้าอาจไม่แย่ไปกว่าสังหารหนิงเหยาเลยก็ได้”
หลีเจินชี้ไปยังจุดสูงของกำแพงเมืองปราณกระบี่ “ค่าตอบแทน? วันหน้าตลอดทั้งหัวกำแพงเมืองก็คือสถานที่ฝึกตนของข้าแล้ว”
หลีเจินมองไปยังคนหนุ่มที่ชุดขาวพลิ้วไสวแล้วโบกมือ “ไปดีล่ะ”
จิตหยินแหลกสลาย นับแต่นี้ไปจิตวิญญาณไม่ครบถ้วน สำหรับผู้ฝึกตนแล้วก็ถือว่า ทิ้งโรคร้ายที่ต่อให้เป็นเทพเซียนก็ยากจะช่วยเหลือเอาไว้ พลังการต่อสู้ก็ยิ่งถูกหักลบไปเกินครึ่ง
จิตหยินตนนั้นยิ้มบางๆ ชายแขนเสื้อทั้งสองพลันสั่นสะเทือน แผ่นยันต์ประหนึ่งเมฆเคลื่อนคล้อยสายน้าไหลที่กลบฟ้ากลบดิน ยันต์ที่ก่อนหน้านี้โยนออกไปล้วนถูกสมบัติอาคมของหลีเจินบดขยี้ให้แหลกยับไปแล้ว ไม่เป็นไร ยันต์ของข้ามีค่อนข้างมาก
ยันต์ห้าธาตุ ยันต์วิชาอสนี ยันต์รอยหิมะ ยันต์ปราณหยางส่องไฟใน ‘มหัศจรรย์ที่แท้จริงตำราสีชาด’ ยันต์ข้ามแดนที่ฉีจิ่งหลงถ่ายทอดให้ ยันต์ค้นภูเขาที่นักเรียนอย่างชุยตงซานเป็นผู้สอน รวมๆ กันแล้วไม่ต่ากว่ายี่สิบชนิด
ก่อนหน้านี้ยันต์ทั้งหลายไม่อาจรวมตัวสร้างค่ายกลได้ แน่นอนว่าเป็นเรื่อง น่าเสียดาย แต่ก็ยังสามารถอาศัยการโคจรของปราณวิญญาณในแก่นยันต์จำนวนมากที่หลงเหลืออยู่มาช่วยสำรวจดูการโคจรลมปราณในจุดที่เล็กละเอียดของ ทัณฑ์ฟ้าทัณฑ์ดิน
หลีเจินพลันหยุดเดิน ถามว่า “ก่อนหน้านี้เจ้าทำท่าพร้อมยอมรับความตาย เพราะจงใจล่อให้ข้ารีบทิ้งค่ายกลแห่งนี้?”
จิตหยินชุดขาวนั้นยิ้มบางๆ “เจ้าลองเดาดูสิ”
หลีเจินเอ่ยเตือนด้วยความหวังดี “ตั้งใจรับทัณฑ์สองอย่างนั้นให้ดีเถอะ อย่าลืมล่ะว่า รอให้ทัณฑ์ทั้งสองเริ่มต้นขึ้น หุ่นเชิดเซียนกระบี่เมล็ดงาที่เฝ้าพิทักษ์สมบัติทั้ง สิบแปดชิ้นก็จะว่างงานแล้ว ทุกครั้งที่ออกกระบี่ล้วนเทียบเท่ากับการโจมตีอย่างเต็มกำลังของผู้ฝึกกระบี่เซียนดิน”
หลีเจินมองไปยังจุดหนึ่ง “เผยร่างจริงได้แล้วไหม?”
ก่อนหน้านี้หลีเจินแอบเล่นตุกติกบนศีรษะของเซียนกระบี่ตระกูลเยว่ หลังจากยันต์ประหลาดที่ช่วยอีกฝ่ายอำพรางลมปราณหายไปแล้ว ไม่ว่าจะไปซ่อนตัวอยู่ที่ไหนก็ไม่มีประโยชน์
จุดที่สายตาของหลีเจินมองไปมีริ้วคลื่นเหมือนลายน้าแผ่ออกมา ก่อนที่บุรุษสวมชุดเขียวซึ่งชายแขนเสื้อสองข้างม้วนขึ้น ข้างกายมีกระบี่บินจำลองของเซียนกระบี่ สองเล่มที่ภูเขาชังกระบี่อุตรกุรุทวีปเป็นผู้สร้างอย่างซ่งเจิน ไฮเหลยบินล้อมวนจะเดินออกมา
กระบี่บินสองเล่มพุ่งวูบหายไป
หลีเจินไม่เอ่ยอะไรอีก เซียนชุดดำสองท่านที่เกิดจากปณิธานกระบี่รวมตัวกันทะยานร่างออกไป แสงกระบี่ใหญ่ดุจสายรุ้ง
เท้าข้างหนึ่งของเฉินผิงอันเหยียบลงบนพื้น ร่างหายวับไปจากที่เดิม หลบพ้น แสงกระบี่ทั้งสองเส้นมาได้ เซียนกระบี่ชุดดำอีกสองท่านรุดหน้าออกมา คนหนึ่งที่ถือกระบี่ยืนอยู่เบื้องหน้าหลีเจิน ส่วนอีกคนหนึ่งร่างหายวับไปไม่เหลือเงา
มีเพียง ‘กวนจ้าว’ ร่างสูงใหญ่ที่ปณิธานกระบี่หลอมรวมกันได้เข้มข้นที่สุดจนเหมือนตัวจริงมากที่สุดที่ยังคงยืนอยู่ด้านหลังหลีเจินอยู่ตลอดเวลา
ผู้ฝึกกระบี่ที่ขอบเขตไม่สูง แต่ขณะเดียวกันก็เป็นผู้ฝึกยุทธที่ขอบเขตไม่ต่า?
คนผู้นี้เป็นอย่างไรกันแน่นะ?
ความไม่สบอารมณ์ในใจของหลีเจินลดหายไปหลายส่วน
ปีศาจใหญ่ฉงกวงก้มหน้าค้อมเอว ยืนอยู่ด้านหลังผู้เฒ่าชุดสีเทา ทำท่าจะพูด แต่ก็ไม่พูด
ผู้เฒ่าชุดเทายิ้มกล่าว “เมื่อใต้หล้าเปลี่ยวร้างปิดประตูลง ทุกคนก็ล้วนเป็นคนกันเอง คราวนี้หลีเจินเสียเปรียบเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร จะบอกว่าใครแพ้ใครชนะตั้งแต่ตอนนี้ ยังเร็วเกินไปนัก”
มีเพียงเจอกับความยากลำบากมาก่อน ถึงจะรู้จักตั้งใจฝึกกระบี่ ส่วนลึกในใจ จะได้ไม่มีอคติต่อตัวตนของ ‘กวนจ้าว’ อีก
ปีศาจใหญ่ฉงกวงคลี่ยิ้มประจบ แต่เพียงครู่เดียวก็พลันขนลุกขนชัน
ผลลัพธ์ไม่ใช่ว่าหลีเจินต้องชนะเท่านั้นหรอกหรือ?
ผู้เฒ่าชุดเทาเอ่ย “ก็แค่ไม่แพ้เท่านั้น”
ปีศาจใหญ่ฉงกวงรู้สึกถึงเหงื่อที่ไหลลงมาตามสันหลัง
ผู้เฒ่าชุดเทายิ้มกล่าว “อยู่ใกล้กันขนาดนี้ แล้วยังยืนมานานขนาดนั้น ลมปราณของมหามรรคาก็ถูกเจ้าแย่งไปไม่น้อย ถือเสียว่าเป็นของรางวัลจากการต่อยตีเล็กๆ น้อยๆ สองครั้งก่อนหน้านี้แล้วกัน”
ปีศาจใหญ่ฉงกวงค้อมเอวก้าวถอยหลัง จากไปอย่างเงียบเชียบ
บนหัวกำแพงเมือง จั่วโย่วไม่ได้ออกกระบี่ฟันไปยังทะเลเมฆทัณฑ์สวรรค์นั่น
ผู้ฝึกกระบี่รุ่นเยาว์ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่อายุต่ากว่าสามสิบปีล้วนเป็นผู้มีพรสวรรค์ในผู้มีพรสวรรค์กันทุกคน นี่ก็คือช่วงเวลาอันดีงามที่เพิ่งเคยเกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาหลายพันปีของกำแพงเมืองปราณกระบี่
ช่วงเวลาแห่งความเจริญรุ่งเรืองที่เกิดขึ้นคราวก่อน ก็คือครั้งที่สงครามของ กำแพงเมืองปราณกระบี่โหดเหี้ยมรุนแรงมากที่สุด เป็นเหตุให้บนหัวกำแพงเมือง เหลือเพียงเฉินชิงตูคนเดียวที่คอยเฝ้าพิทักษ์
แต่คราวนี้ ตลอดสามสิบสี่สิบปีที่ผ่านมา กำแพงเมืองปราณกระบี่ให้การปกป้องคุ้มครองเด็กกลุ่มนี้อย่างดีเยี่ยม แน่นอนว่าค่าตอบแทนก็คืออาจารย์กระบี่เซียนดินมากมายที่ต้องตายไปเพราะช่วยคุมท้ายให้พวกเด็กๆ
ผังหยวนจี้เอ่ย “หากเปลี่ยนมาเป็นข้า ห้าอสนีที่หล่นลงมาจากฟ้า ปราณสังหารที่ผุดมาจากดิน ย่อมไม่มีทางหลบพ้นแน่นอน ได้แต่ฝืนต้านรับเอาไว้ แล้วก็ต้องตายแน่ๆ”
เกาโย่วชิงน้องสาวของเกาเหย่โหวเอ่ยเสียงเบา “ข้ามีแต่จะตายเร็วยิ่งกว่า ตายตั้งแต่ตอนอยู่ในค่ายกลกระบี่แห่งนั้น”
ต่งฮว่าฝูกล่าว “เจ้าสัตว์เดรัจฉานน้อยผู้นั้นคือลูกศิษย์คนสุดท้ายของภูเขาทัวเยว่ นอกจากพี่หญิงหนิง พวกเราทุกคนล้วนต้องแพ้แน่นอน นี่เป็นเรื่องปกติ ไม่ต้องคิดมาก เจ้าลองดูพวกเราสิ มีใครที่สามารถเอาอาวุธกึ่งเซียนและสมบัติอาคมออกมาได้มากมายขนาดนั้นในรวดเดียว? ดังนั้นหากอิงตามคำกล่าวของเฉินผิงอัน รับมือกับกับพวกคนมีเงินมีอำนาจมีที่พึ่งประเภทนี้ ไม่ควรเป็น ‘ข้าตัวเดียววิ่งกระหืดกระหอบ เอาหัวไปมอบให้คนอื่น’ ‘ต้องให้อีกฝ่ายมาหาเรื่องพวกเราทั้งกลุ่มเพียงลำพัง’ ถึงเวลานั้นเมื่อทุกคนแบ่งทรัพย์สินกันก็จะรวยกันเละ”
ผังหยวนจี้เอ่ย “หลักการเป็นอย่างนี้ก็จริง แต่พวกเราก็ต้องดูด้วยว่าเจ้าสัตว์เดรัจฉานน้อยตนนั้นสามารถควบคุมสมบัติอาคมได้มากมายขนาดนี้ในรวดเดียว นี่ไม่ใช่สิ่งที่คนทั่วไปสามารถทำได้ ครั้งนี้เฉินผิงอันจับคู่ต่อสู้กับเขา ก็ถือว่าโชคดีที่เป็นเฉินผิงอัน กลลวงน้อยใหญ่ของอีกฝ่ายถึงได้ไม่เห็นผลทันตา ศึกครั้งหน้าพวกเราจะต้องระมัดระวังคนประเภทนี้มากเป็นพิเศษ”
ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มคนหนึ่งที่ไม่ค่อยสนิทกับหนิงเหยา เฉินซานชิวและเตี๋ยจ้างแห่งร้านเหล้าเท่าใดนักเอ่ยประโยคที่มีความเป็นธรรม “หากเปรียบกันที่ความอำมหิตแล้วล่ะก็ เจ้าสัตว์เดรัจฉานน้อยก็มาเจอคนผิดแล้ว”
หนิงเหยาเงยหน้ามองทัณฑ์สวรรค์ทะเลเมฆเงียบๆ
หากเปลี่ยนเป็นนาง คิดจะต้านรับไว้คงไม่ยาก แต่ผลกระทบจะลึกล้ายาวไกล ปัญหาจะค่อนข้างมาก
เฉินชิงตูยิ้มกล่าว “แม่หนูหนิง ถ้าหากเป็นเจ้าที่ลงสนามรบ แน่นอนว่าไม่มีทางมีการเดิมพันนั้น อีกอย่างในเมื่อเฉินผิงอันถูกข้าลากขึ้นมาบนหัวกำแพงเมือง ก็ไม่มีทางมีคำว่า ‘ถ้าหาก’ นี้”
เฉินชิงตูพลันนึกถึงเรื่องในอดีตเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่หาได้ยากสำหรับเขา จึงเอ่ยว่า “อู๋เฉิงเพ่ยเคยถามอาเหลียงว่า ใต้หล้านี้ใครกันแน่ที่ไม่อาจตาย สรุปแล้วเกี่ยวข้องกับแซ่สกุลและตระกูลหรือไม่”
“อาเหลียงเองก็จนปัญญาเหมือนกัน คำถามแบบนี้ตอบได้ยากนักล่ะ เพราะฉะนั้นภายหลังถึงได้แต่ไปเยือนภูเขาทัวเยว่และแม่น้าเย่ลั่ว”
เฉินชิงตูหัวเราะ หันหน้ามามองหนิงเหยา “ข้าย่อมให้ความสำคัญในตัวเจ้าและเฉินผิงอัน แต่ก็แน่นอนว่าข้าไม่คิดว่าพวกเจ้าตายไม่ได้ หากจะให้อธิบายก็ออกจะซับซ้อนไปสักหน่อย แม่หนูหนิง เจ้าเข้าใจความหมายของข้าหรือไม่?”
หนิงเหยาพยักหน้ารับ “เข้าใจ แต่ข้าไม่พอใจอย่างยิ่ง ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อ เฉินผิงอัน”
จั่วโย่วแค่นเสียงหยันเอ่ยว่า “คนที่ไม่พอใจ ยังต้องนับรวมข้าเข้าไปอีกคน”
ทว่ารอยยิ้มของเฉินชิงตูกลับยิ่งฉีกกว้าง พูดคุยกับแม่หนูหนิงมักจะไม่เปลืองแรงเสมอ และความตรงไปตรงมาของจั่วโย่วก็ดีมากเหมือนกัน “นี่แหละดีแล้ว ไม่ใช่ว่าไม่เอา ใจใส่เรื่องใดเลย ไม่พอใจนั่นแหละถึงจะดี ไม่อย่างนั้นจั่วโย่วก็คือบทเรียนที่มีให้เห็น ฝึกกระบี่อะไร ทำไมถึงฝึกกระบี่ เป็นตายคืออย่างไร ล้วนเหมือนถูกผีบังตามาโดยตลอด กระทั่งวันนี้ถึงพอจะเหมือนผู้ฝึกกระบี่ที่แท้จริงคนหนึ่งขึ้นมาได้บ้าง”
จั่วโย่วแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน เพียงพึมพำกับตัวเองว่า “ผู้ฝึกกระบี่ที่แท้จริง”
ผู้ฝึกกระบี่ที่แท้จริงจะออกกระบี่เพื่อโลกมนุษย์ จะลืมความเป็นความตาย หลุดพ้นไปจากความเป็นความตาย
เรื่องใหญ่ที่ยิ่งคิดลึกซึ้งก็ยิ่งยากจะทำได้สำเร็จเรื่องนี้ก็คือเรื่องเล็กที่สามารถทำได้โดยบังเอิญ
แล้วก็เป็นเรื่องประหลาดที่ผู้ฝึกกระบี่ห้าขอบเขตกลางหลายคนสามารถทำได้ แต่กลับกลายเป็นเซียนกระบี่ห้าขอบเขตบนที่ยิ่งนานก็ยิ่งไม่อาจทำได้
ยิ่งโลกมนุษย์เสื่อมทรามเท่าไร ก็ยิ่งเกิดความหมดอาลัยตายอยากไม่ยินดีมากเท่านั้น แต่พอโลกมนุษย์ดีงามขึ้นเรื่อยๆ กลับกลายเป็นว่าตัดใจไม่ได้ หากเวทกระบี่ไม่สูง ต่อให้ตัดใจไม่ได้ก็ช่วยไม่ได้ ไม่สู้ตายเพื่อคนอื่นให้สิ้นเรื่องสิ้นราวกันไป แต่พอเวทกระบี่สูงมากพอ ก็จะมีความสามารถให้หาเหตุผลร้อยพันประการให้ตัวไม่ต้องตาย นี่ก็คือเรื่องปกติที่สมเหตุสมผลตามหลักฟ้าดิน มิอาจเรียกร้องเปลี่ยนแปลง
วัตถุอย่างใจคนนี้ ไม่เสียแรงที่ปีนั้นคือกรงขังที่น่าสนใจที่สุดที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์สร้างขึ้นมา
ส่วนกรงขังอีกแห่งหนึ่งก็คือทัศนคติที่มนุษย์มีต่อการไหลหายไปของแม่น้าแห่งกาลเวลา อริยะปราชญ์ยุคบรรพกาลแบ่งแยกฟ้าดิน ปวงประชาในรุ่นหลังได้รับการปกป้องอย่างที่มองไม่เห็น เพียงแค่ชมทัศนียภาพจากบนฝั่ง นี่จึงเป็นเหตุให้ขาดความหมายบางอย่างอยู่เสมอ ดังนั้นไม่ว่าใครก็ตาม ก่อนที่จะได้บรรลุมรรคา อย่างแท้จริง ต่อให้จะเป็นขอบเขตบินทะยานก็อดรู้สึกว่าชีวิตคนคือมายาเลื่อนลอย ไร้แก่นสารไม่ได้ นี่คือปัญหายากใหญ่เทียมฟ้าที่ตลอดหมื่นปีที่ผ่านมาอริยะปราชญ์ของสามลัทธิและเมธีร้อยสำนักพยายามตามหาวิธีคลี่คลายอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย
การแสวงหาความจริงของผู้ฝึกตนขอบเขตเซียนเหริน การใช้ปราณแห่งความเที่ยงธรรมยิ่งใหญ่กำหนดใจคนของลัทธิขงจื๊อ
การทำลายทิฐิในตัวเองของลัทธิพุทธ การหวนกลับคืนสู่จุดดั้งเดิมของลัทธิเต๋า ล้วนเป็นการลงแรงทำเรื่องนี้อย่างลำบากเหนื่อยยาก
ทุกคนต่างก็พยายามมีชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก แต่ขณะเดียวกันทุกคนก็แสวงหาความตายอยู่เงียบๆ ช่างขัดแย้งกันเองเหลือเกิน นี่ถึงเป็นเหตุให้จำเป็นต้องไขว่คว้าในคำว่ามนุษย์มีชีวิตอยู่บนฟ้าดิน รูปลักษณ์เหมือนทัศนียภาพกลางแสงตะวัน จิตใจ ดุจดั่งดวงจันทราบนฟากฟ้า มองเห็นทุกอย่างกระจ่างแจ้ง สว่างชัดแจ่มใส
เฉินชิงตูเอ่ยประโยคประหลาดอย่างหนึ่งกับหนิงเหยา “ไม่ว่าผลลัพธ์คืออะไร ก็ไม่ต้องรู้สึกว่าศึกนี้เฉินผิงอันเสียเปรียบมากเกินไป”
หนิงเหยาไม่รับคำ
เฉินชิงตูจึงยิ้มกล่าว “ข้าไม่ได้ขอร้องให้เฉินผิงอันเป็นคนออกจากหัวกำแพงไปส่งของขวัญกลับคืนเสียหน่อย”
บนสนามรบ ฝุ่นผงคลุ้งตลบ
เซียนชุดดำสามท่านที่เรือนกายดั่งภาพมายาล่องลอยพากันออกกระบี่ แต่ละท่านล้วนยึดตำแหน่งหนึ่งอยู่ตลอดเวลา โอบล้อมกักตัวเฉินผิงอันไว้ภายใน แสงกระบี่ พร่างพราว พลังอำนาจดุจอสนีบาต ไม่มีกฎระเบียบใดๆ ให้พูดถึง เอาแต่ออกกระบี่ใส่เฉินผิงอันรัวอุตลุด
หลังจากที่เซียนชุดดำคนหนึ่งในนั้นขยับเข้ามาใกล้แล้วปล่อยหมัดกระแทกเข้าใส่ เรือนกายก็สั่นสะเทือนและจางหายไป เพียงแต่ว่าไม่นานก็มีปณิธานกระบี่เข้ามารวมตัวกันอีกครั้ง วัตถุไร้ชีวิตที่เกิดจากการรวมตัวกันของปณิธานกระบี่ก็แค่หม่นหมองลงไปเล็กน้อยเท่านั้น ยังคงออกกระบี่ได้เหมือนเดิม อีกทั้งแสงกระบี่ก็เร็วและหนักหน่วงอย่างถึงที่สุด
แล้วก็มีเซียนท่านหนึ่งถูกแสงกระบี่ของฝ่ายตัวเองกระแทกโดน จากนั้นก็เหมือนกับคนตายที่ฟื้นคืนชีพใหม่
สนามรบอีกฝั่งหนึ่งที่พลังการต่อสู้แตกต่างกันอย่างชัดเจน ทะเลเมฆที่ซุกซ่อนวิชาเวทอสนีเที่ยงแท้ลดตัวลงต่า แผ่นดินถูกบ่อสายฟ้ายกดึงให้สูงขึ้น เห็นได้ชัดว่า ฟ้าดินกำลังจะเชื่อมต่อกัน เพื่อบดขยี้สังหารจิตหยินชุดขาวที่อยู่ตรงกลาง
เซียนชุดดำคนที่สามที่แฝงตัวอยู่ในที่มืดตลอดเวลาเผยกายหยุดยืนนิ่ง โดยไม่ทันรู้ตัว ตอนนี้จึงกลายเป็นว่ามีกันทั้งหมดสี่ฝ่าย
ชั่วเวลาเพียงลัดนิ้วมือ ผืนแผ่นดินด้านหลังเซียนชุดดำทั้งสี่ด้านพลันสั่นสะเทือน มีเทพเซียนผุดขึ้นมาจากพื้นดิน กายธรรมแห่งราชาสวรรค์ทั้งสี่ท่านตั้งตระหง่าน ประหนึ่งเทวรูปสีสันสดใสที่มีชีวิตชีวามากที่สุดบนโลกมนุษย์ เมื่อเซียนกระบี่ทั้งสี่ท่านทำมุทรากระบี่พร้อมกัน กายธรรมราชาสวรรค์ทั้งสี่ท่านก็ลืมตาขึ้นอย่างพร้อมเพรียง เผยให้เห็นดวงตาถลึงกว้างอย่างดุดันของราชาสวรรค์
เทวรูปหนึ่งในนั้นมีแสงสีทองไหลวนทั่วทั้งร่าง เป็นประกายสีสันงดงาม บนศีรษะสวมมงกุฎห้าพุทธะ (หมวกทรงตั้งห้าช่องเรียงต่อกัน แต่ละช่องจะเป็นทรงห้าเหลี่ยมปลายแหลม ด้านในมีรูปของพระพุทธเจ้าปางต่างๆ คล้ายกับหมวกที่ พระถังซัมจั๋งหรือภิกษุเสวียนจั้งในเรื่องไซอิ๋วสวมใส่) สวมเสื้อเกราะสีทอง ประดับไข่มุกอัญมณี มือขวาถือธงปลายแหลม
เทพองค์หนึ่งคล้ายกับคนร่างทอง สวมเสื้อเกราะสีม่วงอมแดง ใบหน้าแสดงถึงความโกรธเกรี้ยวอย่างชัดเจน มือขวาถือหอก ปลายหอกทิ่มพื้น อีกมือหนึ่งถือ กระจกวิเศษสาดส่องพื้นดิน
ส่วนกายธรรมของราชาแห่งสวรรค์อีกองค์หนึ่งนั้น แขนซ้ายข้างแนบลำตัวถือดาบ ในฝ่ามือประคองสมบัติ
องค์เทพองค์สุดท้ายมีมังกรล้อมพันอยู่รอบกาย มือขวาถือเชือกสีแดง เล่าลือ กันว่าสามารถสยบราชามังกรได้ทุกตน
หลีเจินแบ่งสมาธิทำสองเรื่องในเวลาเดียวกัน ทั้งมองร่างจริงของศัตรูที่อยู่ในค่ายกล แล้วก็สำรวจตรวจตราจิตหยินหยุดขาวที่อยู่ท่ามกลางทัณฑ์ฟ้าดินอย่างละเอียดไปพร้อมกันด้วย
ราชาแห่งสวรรค์ทั้งสี่องค์ต่างก็ถือสมบัติแตกต่างกัน ใช้แสงเรืองรองของสมบัติเหล่านั้นมาแผ่ปกคลุมฟ้าดินขนาดเล็กใหม่อีกครั้ง หลังจากที่เซียนกระบี่ชุดดำทั้งสี่ท่านสร้างค่ายกลเสร็จแล้ว เรือนกายก็สลายหายไปเอง กลายมาเป็นปณิธานกระบี่ที่บริสุทธิ์หลายเสี้ยว
เฉินผิงอันปล่อยหนึ่งหมัดออกไปด้วยกระบวนท่าไอเมฆเหนือบึงใหญ่ ทำให้ ม่านฟ้าของฟ้าดินขนาดเล็กสั่นสะเทือนไม่หยุด ตอนนี้จึงยังไม่มีพลานุภาพสวรรค์ ลดตัวลงมาสยบพื้นดิน
ขณะเดียวกันนั้นกระบี่บินชูอีก็พุ่งออกมาจากช่องโพรงแห่งชะตาชีวิตเพื่อเข่นฆ่าปณิธานกระบี่ที่ขยับเข้ามาใกล้เรือนกาย
หลีเจินกระตุกมุมปาก ความสามารถก้นกรุของอีกฝ่ายมีไม่น้อยเลยจริงๆ กระทั่งบัดนี้ถึงเพิ่งจะถูกบีบให้เรียกออกมาต้านรับศัตรู
จิตของหลีเจินขยับไหวเล็กน้อย ‘กวนจ้าว’ ที่อยู่ด้านหลังก็เดินออกมาด้านหน้าหนึ่งก้าว ประหนึ่งองค์เทพผู้พิทักษ์ที่คอยปกป้องหลีเจิน
แสงกระบี่สีเขียวเข้มประหนึ่งสายฟ้าเส้นหนึ่งใช้ความเร็วที่เกินใครจะคาดการณ์ได้ถึงปักตรึงเข้าไปในเรือนกายของกวนจ้าวในเสี้ยววินาที ตัวกระบี่แหวกผ่านทะลุออกไปโดยตรง ปลายกระบี่ที่สั่นส่ายเบาๆ อยู่ห่างจากหว่างคิ้วของหลีเจินแค่หนึ่งฉื่อเท่านั้น
หลีเจินก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว เรือนกายที่ล่องลอยของกวนจ้าวยิ่งรวมตัวกันหนาแน่น หมายจะยื่นสองนิ้วไปพันธนาการกระบี่บินที่ลอบโจมตีได้อำมหิตอย่างถึงที่สุดเล่มนั้น
คิดไม่ถึงว่ากระบี่บินสีเขียวที่โจมตีไม่สำเร็จจะถอยกรูดแล้วหายวับไป
คนธรรมดาที่เรือนกายอ่อนแอ ต่อให้ได้ครอบครองสมบัติอาคมบนภูเขา ก็ควบคุมไม่ได้ มีแต่จะประสบเคราะห์ภัยเท่านั้น
หลักการเดียวกัน ไม่ใช่เซียนดินทุกคนที่สามารถควบคุมอาวุธกึ่งเซียนชิ้นหนึ่งได้อย่างสมบูรณ์
ส่วนเรื่องที่จะทำให้อาวุธเซียนยอมรับเป็นนายก็ยิ่งยากราวกับเดินขึ้นสวรรค์
แต่ตอนนี้ในมือของหลีเจินมีอาวุธเซียน อีกทั้งยังมีถึงสองชิ้น
หลีเจินยกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้น คือยันต์บรรพบุรุษที่วาดเป็นภาพห้าขุนเขาที่แท้จริงทั้งหมดเอาไว้ มีนามว่ายันต์สามขุนเขา
หากเรียกใช้ก็ต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาลอย่างที่ต่อให้เป็นหลีเจินก็ยัง แทบกระอัก เอามาใช้รับมือกับหนิงเหยา หลีเจินตัดใจได้ แต่ให้เอามาใช้รับมือกับ คนหนุ่มตรงหน้า เขากลับไม่ใคร่จะยินดีนัก
ดังนั้นหลีเจินจึงกุมมือเป็นหมัดหลวมๆ ต่อไป มืออีกข้างที่แบออกมีเม็ดกระบี่กลิ้งหลุนๆ อยู่กลางฝ่ามือ มันเคยเป็นกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของตน หรือควรจะบอกว่าเป็นของกวนจ้าวผู้นั้น ศึกบนภูเขาทัวเยว่ เดิมทีมันแตกพังไม่เหลือชิ้นดีแล้ว เพียงแต่ภูเขาทัวเยว่จ่ายค่าตอบแทนมหาศาลเพื่อหล่อเลี้ยงมันมานานนับหมื่นปี ถึงได้ค่อยๆ กลับคืนสู่จุดสูงสุด ในประวัติศาสตร์ ทุกครั้งที่มีศึกใหญ่โจมตีเมืองจะต้องมีปีศาจใหญ่ที่รับหน้าที่ใช้เวทลับบรรพกาลมาสกัดดึงเอาปณิธานกระบี่ของกวนจ้าว จากกำแพงเมืองปราณกระบี่แล้วส่งไปยังภูเขาทัวเยว่อย่างลับๆ
ในบรรดาคนเหล่านั้นก็มีปีศาจใหญ่ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของภูเขาทัวเยว่ตนนั้นที่พาตัวมาเสี่ยงอันตรายด้วยตัวเอง หมายจะขโมยปณิธานกระบี่ให้ได้มากกว่าเดิม นั่นถึงได้ถูกต่งซานเกิงร่วมมือกับเฉินซีกักตัวเอาไว้
จับตัวปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานตัวเป็นๆ ตนหนึ่ง ไม่ได้ง่ายเหมือนการสังหารปีศาจใหญ่สักตน
เมื่อหลีเจินแบมือออก เม็ดกระบี่ก็สั่นระริกเบาๆ เป็นเหตุให้ฟ้าดินรอบกาย หลีเจินเริ่มบิดเบือน และกวนจ้าวเซียนกระบี่ที่เกิดจากการรวมตัวกันของปณิธานกระบี่ก็ถึงกับหันหน้ามามอง ทั้งๆ ที่มันไร้ชีวิต ทว่าเวลานี้กลับเผยแววตาซับซ้อนที่เหมือนคนอย่างมากออกมา
หลีเจินเงยหน้าขึ้น กำมือเป็นหมัดอีกครั้ง ยิ้มบางๆ เอ่ยกับ ‘กวนจ้าว’ ว่า “นี่คือของของข้า ไม่ใช่ของของเจ้า”
กวนจ้าวโบกกระบี่เบาๆ ปัดการโจมตีจากกระบี่บินสีเขียวเข้มที่โผล่มาอย่างกะทันหันทิ้งไป
หลีเจินไม่สนใจกระบี่บินที่ปรากฏตัวอย่างลึกลับอีก เขาก้าวยาวๆ ไปด้านหน้า เดินทะลุร่างมายาของกวนจ้าวไปชมศึกต่ออีกครั้ง
คนหนุ่มผู้นั้นทนมือทนเท้าได้เก่งจริงๆ กายธรรมราชาสวรรค์จ้วงทวนเข้าใส่ เขากลับยกแขนขึ้นบัง ร่างทั้งร่างที่โดนพละกำลังจากการโจมตีจึงทำให้สองขาผลุบ จมเข้าไปในพื้น
บนหัวกำแพงเมือง พวกผู้มีพรสวรรค์รุ่นเยาว์แลกเปลี่ยนความเห็นโดยใช้เสียงในใจกันต่อไป
ต่งปู้เต๋อยิ้มบางๆ เอ่ยว่า “เป็นการประมือที่เฉินผิงอันไม่เหลือเรี่ยวแรงให้เอาคืนอีกแล้ว เอนเข้าข้างเดียว ชัยชนะเอนเข้าข้างเดียวจริงๆ”
กวอจู๋จิ่วพยักหน้ารับอย่างแรง “เจ้าเดรัจฉานน้อยผู้นั้นร้ายกาจจริงๆ สามารถเรียกตัวเองเป็นพี่เป็นน้องกับฉีโซ่วได้แล้ว วันหน้าเจอกันบนสนามรบ ก่อนทั้งสองฝ่ายจะตีกันก็สามารถระบายความรู้สึกในใจที่มีต่อกันก่อนได้”
เฉินซานชิวได้แต่ยิ้มจืดเจื่อน
การที่พวกเขาพูดจาอย่างผ่อนคลายซึ่งมองดูเหมือนแฝงอารมณ์ขันเช่นนี้ แท้จริงแล้วความรู้สึกคือตรงกันข้าม เพราะในใจของทุกคนเคร่งเครียดยิ่งนัก
ลำพังแม่หนูลวี่ตวนที่ไม่กลัวฟ้าไม่เกรงดิน เวลานี้ก็เหงื่อท่วมเต็มหน้าผาก กลัดกลุ้มใจอย่างมากแล้ว
ระหว่างที่ทะเลเมฆลดลงต่า ผืนดินยกขึ้นสูง ฟ้าดินยังไม่ประกบติดกันโดยสมบูรณ์นั้น บ่อสายฟ้าที่อยู่บนพื้นดินคอยขานรับกับทะเลเมฆ ทำให้มีห้าอสนีกระแทกลงใส่ผืนดิน ระหว่างฟ้าดินยิ่งมีแส้สายฟ้าเส้นยาวเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะผ่าลงบนพื้น พวกมันยังแยกตัวออกเป็นสายฟ้าเส้นเล็กเส้นน้อยจำนวนนับไม่ถ้วนที่แฝงไว้ด้วยสัจธรรมแท้จริงแห่งอสนีซึ่งแลบแปลบปลาบอย่างไร้ระเบียบ จิตหยิน ชุดขาวที่ถูกล้อมอยู่ภายในได้แต่ทะยานลมคอยหลบเลี่ยง ไม่เพียงแต่ต้องหลบ เสาสายฟ้าห้าอสนีที่กระแทกครืนครั่นลงมาบนพื้น ยังต้องหลบแสงสายฟ้าวุ่นวายที่เหมือนต้นไม้แตกกิ่งก้านสาขาในเสี้ยววินาทีพวกนั้นด้วย
แต่เมื่อฟ้าและดินเชื่อมติด สองทัณฑ์ประกบซ้อน
ต้องไม่มีที่ให้หลบเลี่ยงอีกอย่างแน่นอน
หลีเจินยิ้มเอ่ยกับกายธรรมทั้งสี่ “ไม่ต้องรีบร้อน ผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่เดิมที มีเส้นทางวรยุทธยาวไกลผู้นี้ จะต้องค่อยๆ กลายเป็นโครงกระดูกที่ยืนค้าง ลิ้มรสชาติของการที่คนธรรมดาเป็นเทพด้วยตัวเองแน่”
เอ่ยประโยคนี้จบ หลีเจินก็เงยหน้ามองหนิงเหยา ได้ยินศิษย์พี่หญิงของภูเขา ทัวเยว่บอกว่า ผู้ฝึกกระบี่ของกำแพงเมืองปราณกระบี่ชอบหลงกลกับดักนี้มากที่สุด
คนหนุ่มที่จิตหยินแยกจากร่างจริงอยู่ในสนามรบคนละแห่ง คาดว่าคงจะเป็นเพียงข้อยกเว้นที่มีไม่มากเท่านั้น
เพียงแต่หนิงเหยาไม่แม้แต่จะชายตามองหลีเจิน ทำเพียงแค่จ้องนิ่งไปยัง ทะเลเมฆที่ยิ่งนานความเร็วในการลดระดับลงมาก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น
หนิงเหยาไม่สนใจคำท้าทายของหลีเจิน
ทว่าบนพื้นดินที่อยู่ห่างจากหัวกำแพงเมืองไปไกลกลับมีกระบี่บินทยอยกัน พุ่งเข้าหาหลีเจิน ประหนึ่งผู้ฝึกกระบี่ถามกระบี่
คราวนี้ไม่ได้มีแค่แสงกระบี่สีเขียวเข้มอีกแล้ว แต่มีกระบี่ถึงสามเล่มที่พุ่งไปถึงพร้อมกัน
เล่มแรกคือซงเจินที่เล็กบางราวกับเข็มร้อยด้าย
กวนจ้าวส่งกระบี่ออกไปหนึ่งที กระบี่บินเล่มนั้นก็เปลี่ยนแปลงทิศทางการโคจรกะทันหัน พลันหายวับไปอย่างร่องรอย บนพื้นดินมีเพียงร่องหนึ่งที่ทอดยาวเป็น เส้นลึก
กวนจ้าวบิดหมุนข้อมือออกกระบี่ต่ออีกครั้ง คือไฮเหลยที่พลังอำนาจน่า ครั่นคร้ามเล่มนั้น ยังคงถอยร่นโดยที่ไม่ทันได้ต่อสู้ เพียงแต่ว่าถูกปราณกระบี่ที่ เปี่ยมล้นของกวนจ้าวแผ่ลามมาโดน ตอนที่ถอยหนี ปลายกระบี่จึงเอนลงเล็กน้อย
หลีเจินรู้สึกว่าน่าสนุก
ที่แท้กระบี่บินทั้งสองเล่มก็เป็นแค่หมอนปักลายบุปผาที่แสร้งทำท่าข่มขู่ให้คนกลัวเท่านั้นเองหรือ?
หากอยู่บนสนามรบทั่วไป บางทีอาจทำให้คนตกใจมากจริงๆ เพราะบนเส้นแห่งความเป็นความตายในหลายๆ ครั้ง นี่ก็มากพอจะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้แล้ว
มีเพียงกระบี่บินสืออู่ที่แฝงปราณสังหารอย่างแท้จริงที่แหวกอากาศจากที่ไกลมาทางด้านข้าง วาดวงโค้งพุ่งเข้าใส่ท้ายทอยของหลีเจินอย่างว่องไว
ตอนนี้กวนจ้าวถูกขอบเขตและความคิดของหลีเจินถ่วงเป็นภาระ เป็นเหตุให้ ไม่อาจออกกระบี่โดยอาศัยสัญชาตญาณได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งยังไม่ใช่จุดสูงสุดของ ร่างจริง เซียนกระบี่กวนจ้าวที่ออกกระบี่ไม่ทันจึงยื่นมือไปกุมกระบี่บินเล่มนั้น ไว้เสียเลย
หลีเจินไม่สนใจการลอบสังหารพวกนี้แม้แต่น้อย
ต่อให้โดนกระบี่แทงครั้งสองครั้งก็ยังไม่เป็นไร
แล้วนับประสาอะไรกับที่ยังมีกวนจ้าวคอยช่วยสกัดกระบี่ให้
สิ่งเดียวที่หลีเจินเป็นกังวลในตอนนี้ก็คือต้องการยืนยันให้แน่ใจว่าร่างจริงของ คนหนุ่มผู้นั้นใช่ร่างจริงที่ครบถ้วนสมบูรณ์จริงๆ หรือไม่ หรือว่าเป็นแค่จิตหยาง กายนอกกายเท่านั้น
หากร่างจริงยังคงหลบอยู่ที่มุมใดมุมหนึ่งที่ไม่มีใครรับรู้เพื่อคอยฉวยโอกาสโจมตี ก็จะมีเรื่องไม่คาดฝันเล็กๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ใหญ่ แต่กลับทำให้เขาหลีเจินต้องขายหน้าผู้อื่นเกิดขึ้นอีกครั้ง เพราะถึงอย่างไรคู่ต่อสู้คนนี้ก็ดูเหมือนว่าไม่ค่อยเหมือนพวกผู้ฝึกกระบี่ที่ตรงไปตรงมาสักเท่าไร
น่าจะเป็นคนอย่างจั่วโย่วที่อยู่บนหัวกำแพงเมืองถึงจะถูก
หลีเจินคิดแล้วก็รู้สึกว่าตนควรรอให้สนามรบทั้งสองแห่งนี้ยุติลงก่อนจะดีกว่า แต่ตนอยู่ว่างๆ แบบนี้ก็ดูไม่เข้าท่าสักเท่าไร
จึงเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่ได้รับการขนานนามว่าได้รับความโปรดปราณจากสวรรค์เป็นพิเศษออกมา กระบี่บินพุ่งทะยานขึ้นฟ้า ลากเอาเส้นแสงสีขาวหิมะเส้นหนึ่งตามหลังไปด้วย สุดท้ายจำแลงกลายมาเป็นดวงจันทราสุกสกาวอยู่บน ท้องนภาของใต้หล้าเปลี่ยวร้าง ประชันแสงกับดวงตะวัน
ดวงจันทร์กลมโตลอยอยู่บนม่านฟ้า แสงจันทร์ประดุจสายน้าที่ไหลรินลงมายังโลกมนุษย์ สาดสะท้อนรัศมีหลายร้อยลี้รอบสนามรบ พอถูกแสงจันทร์สาดส่อง ปณิธานกระบี่ของเซียนกระบี่บรรพกาลส่วนใหญ่ก็ล้วนหยุดชะงัก
บ่อสายฟ้าคือฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่ง อาศัยสมบัติอาคมและความสามารถด้านการจัดวางค่ายกลที่ตัวหลีเจินคิดว่ามีฝีมือแค่ผิวเผินก่อขึ้นมา
เซียนชุดดำทั้งสี่ท่านเป็นทั้งเวทอำพรางตา แล้วก็ไม่ใช่เวทอำพรางตา เมื่อกายธรรมตั้งตระหง่าน ก็กลายเป็นฟ้าดินขนาดเล็กอีกแห่งหนึ่ง
เมื่อหลีเจินเรียกกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตออกมา ก็กลายเป็นฟ้าดินแห่งที่สาม
หลีเจินเพ่งสายตามองไป แสงจันทร์ที่สาดส่องลงบนพื้นดินมีกลิ่นอายการไหลเวียนของแม่น้าแห่งกาลเวลาปะปนอยู่ ดังนั้นเมื่อความคิดของหลีเจินหยุดนิ่ง ฟ้าดินขนาดเล็กแห่งที่สามด้านนอกกรงขังฟ้าดินเล็กสองแห่งก็หยุดชะงักตามไปด้วย ร้อยกว่าจั้งใต้พื้นดินก็ถูกครอบคลุมไว้ภายใน
เรื่องจริงพิสูจน์ให้เห็นว่าคนหนุ่มไม่มีวิธีการรับมือที่มากกว่านี้ ซึ่งนี่แสดงถึงว่าร่างจริงของเขาไม่ได้ไปหลบซ่อนอยู่ที่อื่น
กลับเป็นกระบี่บินจริงๆ เท็จๆ สามเล่มที่พอจะรู้กาลเทศะอยู่บ้าง ไม่มาโรมรันตอแยหลีเจินอีกต่อไป เพียงแค่บินวูบวาบอยู่ห่างไปไกลเหมือนแมลงวันไร้หัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกระบี่บินจำลองสองเล่มที่แสร้งวางท่าน่ากลัวที่เวลานี้ยิ่งโงนเงนจะร่วงมิร่วงแหล่ มองดูแล้วน่าขันอย่างยิ่ง
ในฟ้าดินขนาดเล็ก นอกจากปณิธานกระบี่ของเซียนกระบี่ที่ราวกับว่าไม่ถูก มหามรรคาของฟ้าดินพันธนาการ เพียงแค่ความเร็วในการไหลวนชะลอช้าลงแล้ว ปราณกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนที่เหลืออยู่ล้วนแหลกสลายกลายเป็นผุยผงอยู่ใน กระแสน้ำแห่งกาลเวลา
หลีเจินผ่อนลมหายใจโล่งอก เพราะว่าไม่มีเรื่องไม่คาดฝันเล็กๆ เกิดขึ้นมากกว่านี้ แต่นี่ก็ทำให้เขาผิดหวังเล็กน้อย
กระบี่บินที่อยู่ในมือของกวนจ้าวหนีไปแล้ว ความคมของกระบี่บินเล่มนั้นนับว่าไม่ธรรมดาเลย
เพียงแต่กวนจ้าวเองก็ไม่ได้เป็นอะไร การที่แสงกระบี่สีเขียวเข้มเส้นนั้นบุกไปบุกกลับอย่างไร้ประโยชน์เป็นเวลานาน ถึงอย่างไรก็หนีไม่พ้นชะตากรรมที่ต้อง แหลกสลายไปตามเจ้านายที่มอดม้วยอยู่ดี
มันกับเจ้าของที่น่าสงสารของมันก็แค่กำลังดิ้นรนก่อนตายเท่านั้น
ฟ้าดินในบ่อสายฟ้าแห่งแรก ผืนฟ้าและผืนดินเชื่อมติดกันแล้ว กลางอากาศ สูงเหนือพื้นดิน ล่างหัวกำแพงเมือง คือคลื่นยักษ์ปราณกระบี่ที่สาดกระเซ็นออกมาจากสี่ด้านแปดทิศเหมือนเซียนกระบี่พร้อมใจกันเรียกกระบี่บินออกมา
จิตหยินตัวเล็กๆ
ฟ้าดินขนาดเล็กแห่งที่สองที่มีราชาสวรรค์สี่ท่านเฝ้าพิทักษ์ ร่างจริงที่ใช้สถานะของผู้ฝึกยุทธเต็มตัวออกหมัดมากกว่า เวลานี้มือทั้งสองข้างลามไปถึงหัวไหล่ของ คนหนุ่มมีแต่กระดูกขาวที่โผล่ให้เห็น การที่หลีเจินบอกว่าต้องการให้เขากลายเป็นโครงกระดูก เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เป็นถ้อยคำเพ้อเจ้อของคนปัญญาอ่อนที่นอนฝันอะไร
ในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งที่สอง เฉินผิงอันที่เลือดท่วมไปทั้งตัวยังคงออกหมัด ไม่หยุด ใช้กระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าโจมตีจุดอับแห่งหนึ่งของฟ้าดินขนาดเล็ก
หมัดทั้งสองล้วนมีแต่กระดูกขาว
ทุกครั้งที่ออกหมัดและเก็บหมัดมา กระบี่บินชูอีก็จะเข้าไปแทงเสริมในจุดที่หมัดกระแทกลงไป
กระบี่บินสืออู่ที่อยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กแห่งที่สามพลันหันปลายกระบี่มา ราวกับต้องการจะใช้ปลายกระบี่ของตัวเองดันกับปลายกระบี่ของชูอี
กระบี่บินสองเล่มดันเสียดสีกัน สิ่งกีดขวางที่สกัดกั้นฟ้าดินก็เกิดช่องโหว่เสี้ยวหนึ่ง
หมัดสุดท้ายในกระบวนท่าเทพตีกลองสายฟ้าของคนชุดเขียวจ่ายค่าตอบแทนด้วยการแขนหัก ต่อยเปิดฟ้าดิน ท่ามกลางภาพบรรยากาศที่แสงใสแวววาวเจิดจ้า พร่าตา เขาวิ่งทะยานเป็นเส้นตรง ตรงดิ่งเข้าหาบุคคลที่เป็นดั่งลูกรักที่สวรรค์ภาคภูมิใจที่สุดในใต้หล้าเปลี่ยวร้าง หลีเจิน
เพียงแต่ว่าเมื่อฝ่าฟ้าดินขนาดเล็กแห่งหนึ่งมาได้ก็ต้องมาอยู่ในฟ้าดินขนาดเล็กอีกแห่งหนึ่ง เดิมทีร่างกายควรหยุดชะงัก อีกทั้งยังบาดเจ็บสาหัส ความเร็วในการ วิ่งตะบึงควรจะช้ากว่าก่อนหน้านี้จึงจะสมเหตุสมผล
แต่ปณิธานหมัดขั้นสูงสุดของบนร่างกลับไหลทะลักเหมือนน้าตกสาดกระจาย ราวกับมีองค์เทพผู้สูงส่งเข้าสิงร่าง ทำให้การวิ่งตะบึงของเฉินผิงอันเร็วดุจสายฟ้าฟาด พริบตาเดียวก็พุ่งออกไปได้หลายสิบจั้ง เมื่อปณิธานหมัดสีทองกระแทกชนเข้ากับกระแสน้ำแห่งกาลเวลาที่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของหลีเจินสร้างขึ้นมา ก็เป็น ฝ่ายหลังที่ระเบิดแตกไปโดยตรง
หนิงเหยาที่อยู่บนหัวกำแพงเมืองดวงตาเป็นประกายวาว จุดที่สายตามองไป ก็คือเฉินผิงอันผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่ยังคงสวมชุดเขียวแต่กลับไม่มีปิ่นหยกขาวอยู่แล้ว ฝืนใจตัวเองไม่ให้หันไปมองจุดที่ทัณฑ์สวรรค์บ่อสายฟ้าที่ฟ้าและดินเชื่อมโยงกัน
หลีเจินไม่กำมือเป็นหมัดหลวมๆ อีกต่อไป มือข้างหนึ่งกำเป็นหมัดเบาๆ เลือดเนื้อของแขนทั้งแขนเริ่มแยกจากกัน กระดูกขาวแตกละเอียด
คิดไม่ถึงว่าจะอเนจอนาถถึงขั้นต้องใช้ยันต์อาวุธเซียนในมือชิ้นนี้
แขนทั้งข้างของหลีเจินหายวับไป สีหน้าซีดขาวเล็กน้อย แต่จุดที่เดิมทีกำ เป็นหมัดกลับมียันต์บรรพกาลที่เก่าแก่แผ่นหนึ่งลอยอยู่กลางอากาศ
เห็นเพียงว่าคนหนุ่มที่แขนข้างหนึ่งห้อยร่องแร่ง มือซ้ายสะบัดชายแขนเสื้อ ก็มีชุดคลุมยาวสีทองชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้นมา เขาวิ่งตะบึงไปด้านหน้าต่ออีกครั้ง แต่เวลาเดียวกันนั้นชุดคลุมยาวก็สวมลงบนร่างโดยอัตโนมัติ
นาทีถัดมา บนพื้นดินก็ปรากฏเทือกเขายาวที่มียอดเขาสามยอดสลับสล้างเรียงต่อกัน
มองไม่เห็นคนหนุ่มที่เปลี่ยนจากชุดสีเขียวมาสวมชุดคลุมยาวสีทองผู้นั้นอีกแล้ว
เส้นยาวสีทองเส้นหนึ่งพุ่งผ่านกลางอากาศของกำแพงเมืองปราณกระบี่ไป
ข้ามผ่านเทือกเขาใหญ่ทั้งสามลูกนั้น
หนึ่งกระบี่ฟันผ่าฟ้าดินขนาดเล็กที่กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตแสงจันทร์และ กระแสน้ำแห่งกาลเวลาร่วมกันสร้างขึ้นมา ร่วงตกลงบนศีรษะของหลีเจินโดยตรง
หลีเจินโยนเม็ดกระบี่ที่อยู่ในมือออกไป พริบตาเดียวมันก็หลอมรวมเข้าที่ กลางหว่างคิ้วของของกวนจ้าวเซียนกระบี่ที่อยู่ข้างกาย
เรือนกายล่องลอยของเซียนกระบี่กวนจ้าวมีแสงกระบี่สาดส่องออกมาใน ชั่ววินาที เรือนกายที่สูงหลายสิบจั้งถือกระบี่ยาวสกัดขวางกระบี่สีทองเล่มนั้นเอาไว้
เลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ดของหลีเจิน ในใจมีแต่ความเคียดแค้น
จะตายคนเดียวก็ไม่ได้ ยังต้องลากตนลงน้ำไปด้วย!
เดิมทีมีเพียงแค่หนิงเหยาเท่านั้นที่มีคุณสมบัติจะทำให้ตนต้องจ่ายค่าตอบแทนยิ่งใหญ่ขนาดนี้!
เพื่อควบคุมยันต์อาวุธเซียนชิ้นนั้น ก็ต้องหักหนึ่งจิตหนึ่งวิญญาณของเขาหลีเจินออกไป! และเม็ดกระบี่นั้นก็ต้องหลอมรวมเข้ากับจิตแห่งกระบี่ของกวนจ้าว
ความตั้งใจเดิมของหลีเจินก็คือต้องการสละกวนจ้าวที่มีมูลค่าเทียบเท่ากับ อาวุธเซียนสองชิ้น บวกกับยันต์สามขุนเขาเพื่อเอามาแลกชีวิตกับหนิงเหยาผู้นั้น!
ไม่อย่างนั้นหลังจากนี้ขอแค่จิตแห่งกระบี่ของตนสัมผัสกับ ‘กวนจ้าว’ แม้เพียงเล็กน้อย ก็หมายความว่าชีวิตนี้จะไม่อาจควบคุมกวนจ้าวหุ่นเชิดที่ในมือถืออาวุธเซียนชิ้นหนึ่ง และเดิมทีตัวเขาเองก็เป็นอาวุธเซียนชิ้นหนึ่งได้อย่างแท้จริงอีกแล้ว นั่นจะกลายเป็นซี่โครงไก่สำหรับเขา ยิ่งทำลายจิตแห่งเต๋าของเขาหลีเจินในชาตินี้ กวนจ้าว ที่เคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับเฉินชิงตู แม้จะตายก็ไม่ยอมทำเหมือนหลงจวินนักโทษที่เก่าแก่ที่สุดของกำแพงเมืองปราณกระบี่อะไรนั่น เดิมก็ควรตายไปอย่างหมดจด ตายไปอย่างรวดเร็วฉับไวไปนานแล้ว
หลีเจินพลันมองจุดสูงหลังจากที่ฟ้าดินและดินเชื่อมโยงกันแล้ว เบิกตากว้าง มองจ้องเป๋งตรงไป
คือปิ่นหยกขาวชิ้นหนึ่งที่ค่อยๆ ร่วงลงมา
ไม่เหลือจิตหยินชุดขาวนั้นอยู่แล้วจริงๆ
กลางอากาศเหนือศีรษะ เจี้ยนเซียนอาวุธเซียนที่ตอนพุ่งมาเป็นแสงสีทองที่รวมตัวกันแน่นหนาปะทะเข้ากับกระบี่ยาวในมือของกวนจ้าว
นอกจากจุดที่หลีเจินยืนอยู่แล้ว พื้นดินรอบด้านพลันยุบยวบลงไปหลายสิบจั้ง
ระหว่างปิ่นหยกสีขาวกับหลีเจิน มีกระบี่บินอย่างซงเจิน ไฮเหลยที่ตั้งแต่ต้น จนจบแสร้งทำท่าอ่อนแอลอยอยู่พอดี
กลายเป็นเส้นตรงเส้นหนึ่งอย่างพอดิบพอดี
ระหว่างที่ปิ่นหยกขาวร่วงลงมาก็ปรากฏร่างของเฉินผิงอันคนหนึ่ง
วินาทีนั้นเฉินผิงอันเหยียบลงบนกระบี่บินซงเจิน วินาทีถัดมาก็เหยียบลงบนไฮเหลย
ก่อนจะได้เป็นผู้ฝึกยุทธขอบเขตทะยานลม ก็ควรต้องมีวิชาขี่กระบี่หลบหนีเอาชีวิตรอด
ดังนั้นชุยตงซาน ฉีจิ่งหลงและน่าหลันเย่สิงต่างก็ร่วมกันศึกษาจนได้วิชาลับนี้ออกมา
ก่อนหน้านี้กระบี่บินสองเล่มอย่างซงเจิน ไฮเหลยถูกหล่อหลอมให้กลายเป็นวัตถุที่คล้ายคลึงกับ ‘ยันต์’ นี่จึงเป็นเหตุให้สามารถใช้ซงเจิน ไฮเหลยมาเป็นเหมือน จุดเชื่อมต่ออย่างหนึ่งกลางแม่น้าแห่งกาลเวลา ช่วยให้เฉินผิงอันสามารถถอยหนีจากสนามรบไปได้ร้อยลี้กว่า หรืออาจถึงขั้นหลายร้อยลี้
แต่ถึงท้ายที่สุดแล้ว สำหรับผู้ฝึกยุทธเต็มตัวอย่างเฉินผิงอัน วิธีการหนีเอา ชีวิตรอดก็ยังควรจะเอามาใช้เป็นวิธีเข่นฆ่าเอาชีวิตกับผู้อื่นถึงจะถูก!
อันที่จริงร่างจริงของเฉินผิงอันก็หลอมรวมเป็นหนึ่งอยู่กับจิตหยินตลอดเวลา เพียงแค่ทำให้ฝ่ายตรงข้ามรู้สึกว่าจิตหยินของตนออกจากร่างเดินทางไกล ถอนตัวออกไปจากบ่อสายฟ้าเท่านั้น
‘จิตหยิน’ ที่จงใจอยู่ในทัณฑ์สวรรค์ทะเลเมฆ ทัณฑ์ดินบ่อสายฟ้าถูกเซียนกระบี่เมล็ดงาสิบแปดท่านทำร้ายบาดเจ็บสาหัส เพียงแต่วินาทีสุดท้าย ร่างจริงกับจิตหยินได้เข้าไปซ่อนอยู่ในปิ่นหยกที่ปักอยู่บนมวยผมของจิตหยินด้วยกัน
ไม่อย่างนั้นหากรีบแอบเข้าไปหลบด้านใน บางทีในชั่วเวลาเพียงเสี้ยววินาที ปิ่นหยกขาวที่ไร้เจ้าของไปชั่วขณะชิ้นนั้นก็อาจตกอยู่ในมือของศัตรูก็เป็นได้
ส่วนชูอี สืออู่ ซงเจิน ไฮเหลย กระบี่บินรวมแล้วสี่เล่มต่างก็ไม่อาจเก็บร่าง เฉินผิงอันผู้ฝึกยุทธเต็มตัวที่เป็นจิตหยางกายนอกกาย และชุดคลุมอาคมจินหลี่ที่มีระดับอาวุธเซียนชิ้นนั้นได้
ขอแค่ทั้งสองอย่างนี้ไม่ตาย แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว
ในเวลาเพียงเสี้ยววินาทีที่ความคิดไม่กี่อย่างโลดแล่น ไม่พูดถึงเรื่องขอบเขตและเวทกระบี่ หากพูดถึงความคิดความกังวลที่มีมาก ต่อให้เจ้าเป็นเซียนกระบี่บน หัวกำแพงก็ยังสู้ข้าเฉินผิงอันไม่ได้
ทุกอย่างที่ทำลงไปก็เพื่อออกกระบี่ในยามนี้
หลีเจินเงยหน้าขึ้นมองด้วยสีหน้าซับซ้อน ต่อให้ใช้ทุกวิถีทางที่มี แต่แล้ว จะอย่างไรเล่า เพราะดูเหมือนว่าผลลัพธ์ที่เลวร้ายที่สุด หมื่นหนึ่งที่เรื่องไม่คาดฝัน ทับซ้อนรวมกันจะมาเยือนแล้วจริงๆ
เฉินผิงอันยื่นมือออกไปคว้า แล้วท่องหนึ่งคำ
หนึ่งกระบี่ฟันฉับลงไป ผ่าร่างของหลีเจินเป็นสองท่อนโดยตรง
หลีเจินเพียงแค่เบี่ยงศีรษะเล็กน้อย
ดังนั้นในที่สุดจึงพอจะรักษาหัวที่สมบูรณ์แบบเอาไว้ได้
กระบี่ยาวในมือเป็นเพียงแค่ปณิธานกระบี่จำลองที่รวมตัวขึ้น คิดว่าทุกครั้งที่ เฉินผิงอันถูกจั่วโย่วสอนกระบี่อยู่บนหัวกำแพง เขาใช้เวลาไปอย่างเสียเปล่าจริงๆ งั้นหรือ
ไม่ใช่เจี้ยนเซียนที่ยังคงคุมเชิงอยู่กับกวนจ้าว
ยามบัณฑิตพิศมองโลกมนุษย์ หมื่นสรรพสิ่งล้วนสามารถดึงนำมาให้ตัวเองใช้ได้
หลังจากที่เฉินผิงอันพลิ้วกายลงบนพื้น กระบี่ยาวปณิธานกระบี่ก็แหลกสลาย เท้าของเขาเหยียบอยู่บนศีรษะนั้น ปล่อยหนึ่งหมัดออกไปกักให้จิตวิญญาณทั้งหมดที่พยายามจะเผ่นหนีไปทั่วทิศให้อยู่ในหมัด
จิตวิญญาณที่หลงเหลืออยู่ของหลีเจินซึ่งเดิมทีก็ไม่สมบูรณ์อยู่แล้วจึงถูก ผู้ฝึกกระบี่คนหนึ่งที่เขายังคงไม่รู้ชื่อกุมไว้ในมืออยู่อย่างนั้น ก่อนที่อีกฝ่ายจะยกมือขึ้นเบาๆ ใช้พายุหมัดที่พอจะมีเสียงสายฟ้าฤดูใบไม้ผลิสะเทือนครืนครั่นให้ได้ยินแว่วๆ กักขังจิตวิญญาณของหลีเจินไว้อย่างแน่นหนา
เฉินผิงอันกระทืบศีรษะนั้นจนแหลกเละ ห้านิ้วงอเป็นตะขอ แทรกซอนเข้าไปในจิตวิญญาณของอีกฝ่าย เอ่ยถามว่า “เจ้าเศษสวะน้อย เหตุใดถึงไม่พูดจ้ออีกแล้วเล่า?”
จิตวิญญาณของหลีเจินไม่ได้ดิ้นรนใดๆ กระตุกมุมปาก เตรียมจะพูด แต่กลับถูกเฉินผิงอันใช้พายุหมัดระเบิดจนแหลกกระจุยกระจาย “ข้าขอร้องให้เจ้าพูดเพิ่มหรือ? เจ้าทำได้หรือ?”
ระหว่างฟ้าดินมีเพียงปราณกระบี่พายุลมกรด พัดให้เส้นผมตรงจอนและชุดคลุมยาวของคนหนุ่มปลิวสะบัด
ปีศาจใหญ่สิบสี่ตนที่อยู่บนเส้นแนวหน้าห่างไปไกล มีจำนวนไม่น้อยที่ทำท่ากระเหี้ยนกระหือรืออยากลงมือ
ผู้เฒ่าชุดเทากลับยกมือขึ้น ห้ามปรามไม่ให้บุคคลในอันดับสูงสุดของ ใต้หล้าเปลี่ยวร้างเหล่านี้ลงมือกับคนหนุ่มคนนั้น เขาเดินก้าวออกไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ยิ้มเอ่ยว่า “ไอ้หนู สภาพจิตใจไม่เลวเลย”
ไม่เพียงเท่านี้ ผู้เฒ่าชุดเทายังโบกมือสลายร่างของกวนจ้าวที่กลืนกินเม็ดกระบี่อาวุธเซียนเข้าไปด้วย
แม้กระทั่งขุนเขาใหญ่จากยันต์สามขุนเขาก็หายไป
เฉินผิงอันก็กุมเจี้ยนเซียนที่พุ่งมาหาเขาไว้ในมือ ปลายกระบี่ชี้ตรงไปที่ผู้เฒ่าชุดเทา การกระทำเช่นนี้เป็นการท้าทายอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ปากกลับเอ่ยว่า “ห้ามเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็กเชียวนะ ข้าคนนี้ขี้ขลาดที่สุดเลยล่ะ”
ผู้เฒ่าชุดเทายิ้มบางๆ เอ่ยว่า “หยุดเมื่อพอสมควรเถิด กลับกำแพงเมืองปราณกระบี่ของเจ้าไปซะ”
เฉินผิงอันถือเจี้ยนเซียน หมุนตัวเดินจากไป
ระหว่างทางที่เดินไปนั้นเขาก็เก็บทุกอย่างมาจนเกลี้ยง ต่อให้อยู่ในสภาพผุผัง แค่ไหนก็เอา แม้แต่หัวของปีศาจใหญ่ขอบเขตบินทะยานก็ยังไม่เว้น เก็บรวบเข้าวัตถุ จื่อชื่อพร้อมกันรวดเดียวหมด
จิตหยินชุดขาวพุ่งออกมาจากปิ่นหยกขาว จิตหยางกายนอกกายที่เรือนกาย เกินครึ่งมีแต่กระดูกขาวโผล่ออกมา พากันมารวมตัวกับเฉินผิงอัน สามรวมเป็นหนึ่ง อีกครั้ง
เฉินผิงอันที่อยู่บนสนามรบพลันหยุดยืนนิ่ง ยื่นมือออกมา กำเป็นหมัดแล้วชูขึ้นสูง จากนั้นก็ดึงมือกลับมาช้าๆ ยิ้มมองหนิงเหยา เอาหมัดทุบหัวใจตัวเองเบาๆ ผลคือเลือดทะลักออกมาจากจุดที่ทุบลงไป เรือนกายเซถอย จากนั้นก็ถูกเจี้ยนเซียนที่อยู่ในมือซึ่งมีจิตเชื่อมโยงถึงกัน ‘ลาก’ พาบินขึ้นไปบนหัวกำแพงเมือง
ระหว่างนี้ปีศาจใหญ่หน้าตาหล่อเหลาอดใจไม่ไหวจริงๆ หมายจะตบน้าเต้า เลี้ยงกระบี่อีกครั้ง ใช้ปราณกระบี่สังหารคนหนุ่มที่ขัดหูขัดตาที่สุดคนนั้นให้ตายๆ ไปเสีย
เพียงแต่พอตบลงไปหนึ่งครั้ง น้าเต้าเลี้ยงกระบี่กลับไม่มีความเคลื่อนไหว จึงเหลือบไปมองผู้เฒ่าชุดเทา ปีศาจใหญ่ท่านนี้จึงหดมือกลับมาอย่างขลาดๆ
ผู้เฒ่าชุดเทาเดินออกไปหนึ่งก้าว ยืนอยู่บนพื้นดินระหว่างปีศาจใหญ่สิบสี่ตนและเซียนกระบี่ทั้งหมดของกำแพงเมืองปราณกระบี่ เขาผายมือออกมา “เฉินชิงตู ตามคำสัญญา เชิญออกกระบี่ได้”
เฉินชิงตูยิ้มถาม “วางมาดใหญ่โตขนาดนี้ มาปรึกษากันก่อน สองทีเป็นอย่างไร?”
ผู้เฒ่าชุดเทาดึงมือกลับ คลี่ยิ้ม คร้านจะต่อปากต่อคำ
เฉินชิงตูหันหน้ามามองเฉินผิงอันแล้วกวักมือเรียก “จะปล่อยให้เจ้ายุ่งอย่าง เสียเปล่าไม่ได้ ข้าจะสอนเจ้าออกกระบี่ด้วยตัวเองสักครั้ง”
เฉินชิงตูยื่นมือมากดไหล่เฉินผิงอัน
ไม่เพียงแต่บนหัวกำแพงเมืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่เท่านั้น ยังมีจุดที่สายตาของปีศาจใหญ่ขั้นสูงสุดมองไปเห็น ไม่เหลือทะเลเมฆอีกแม้แต่นิดเดียว
ไม่เพียงเท่านี้ บนพื้นดินระหว่างปีศาจใหญ่กับหัวกำแพงเมือง แม้แต่ฝุ่นสักเม็ด ก็ยังยอมอยู่แนบติดพื้นแต่โดยดี
บนหัวกำแพงเมืองของกำแพงเมืองปราณกระบี่ ด้านหลังเฉินชิงตูกับเฉินผิงอันพลันมีผู้เฒ่าชุดขาวล่องลอยคนหนึ่งปรากฎตัว เขานั่งขัดสมาธิอยู่บนหัวกำแพง ยื่นฝ่ามือใหญ่ออกมากุมกระบี่ยาว แค่ทิ่มกระบี่ลงไปยังศีรษะของผู้เฒ่าชุดเทาง่ายๆ ไม่มีเวทกระบี่ใดๆ ให้เอ่ยถึง
เม็ดทรายสีเหลืองซัดตลบคละคลุ้งอีกครั้ง
ครู่หนึ่งต่อมา เมื่อฝุ่นผงนิ่งสงบลง ผู้เฒ่าชุดเทายังคงยืนอยู่บนสนามรบ แต่เรือนกายกลับลอยขึ้นกลางอากาศ มือทั้งสองไพล่หลังอยู่ตลอดเวลา เขารักษาสัญญาเป็นอย่างดี นั่นคือยอมรับกระบี่นั้นจากเฉินชิงตูตามข้อตกลง
ปีศาจใหญ่ขอบเขตสูงสุดสิบสี่ตน ส่วนใหญ่ล้วนจิตวิญญาณแกว่งไกวไม่มั่นคง
มีถึงครึ่งหนึ่งในนั้นที่หันไปมองด้านหลังอย่างพร้อมเพรียงกันโดยไม่ได้นัดหมาย
ผู้เฒ่าชุดเทาหมุนตัวเดินจากไป
เขาก็คือการแสดงออกของมหามรรคาแห่งใต้หล้าเปลี่ยวร้าง เจอกับหนึ่งกระบี่นี้ของเฉินชิงตู ก็หนีไม่พ้นให้ใต้หล้าเปลี่ยวร้างรับกระบี่นี้เฉินชิงตูของเอาไว้เท่านั้น ไม่ได้สำคัญอะไรเลย
นับแต่โบราณมาใต้หล้าเปลี่ยวร้างก็เป็นสถานที่ยากจนแร้นแค้น หนึ่งกระบี่ผ่านไป ภูเขาสายน้าหมื่นลี้พังทลาย แล้วจะอย่างไร
เพียงแต่ผ่านไปหมื่นปี เวทกระบี่ของเฉินชิงตูก็สูงขึ้นแล้วจริงๆ
เพราะยังคงมีปณิธานกระบี่อีกเกือบครึ่งที่ไม่ได้ทำตามคำสั่งของผู้เฒ่าชุดเทา ยังคงร่วงใส่จุดที่อยู่ห่างไปหมื่นลี้ด้านหลังปีศาจใหญ่
เฉินชิงตูตบไหล่เฉินผิงอัน “เรียนรู้เป็นแล้วหรือยัง?”
เฉินผิงอันยกสองมือเช็ดหน้าลวกๆ ล้วนเป็นเลือดสดที่ไหลออกมาหลังจากเรียนวิชากระบี่นี้เป็นแล้ว เขาไม่ได้ตอบคำถามของเซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโส แต่ถามว่า “เด็กหนุ่มนั่นไม่ได้ตายใช่ไหม?”
เฉินชิงตูยิ้มกล่าว “เดิมทีก็ไม่มีชีวิตอยู่แล้ว จะเรียกว่าตายได้อย่างไร แต่หากพูดถึงแค่เด็กหนุ่มที่เกิดจากการนำจิตวิญญาณมาประกอบรวมกัน ไม่พูดถึงกวนจ้าว กลับถือว่าตายอย่างจริงแท้แน่นอนแล้ว เมื่อเด็กหนุ่มตายไป กวนจ้าวก็ตายเพิ่ม มากขึ้น พูดประโยคที่ชวนหดหู่กับเจ้าอีกสักคำ จิตแห่งกระบี่ที่แท้จริงของกวนจ้าว ไม่ค่อยเหมือนกับของหลงจวิน อันที่จริงยังไม่เคยทรยศจากวิถีกระบี่ ดังนั้น จิตวิญญาณส่วนหนึ่งที่สำคัญที่สุดของกวนจ้าวจึงยังหลบซ่อนอยู่ในภูเขาทัวเยว่ จงใจไม่นำออกมามอบให้เด็กหนุ่มคนนั้น ไม่อย่างนั้นหากจิตดั้งเดิมที่แท้จริงของ กวนจ้าวเผยตัวบนโลก แล้วยังได้เม็ดกระบี่นั้นหลอมรวมเข้าไปในจิตแห่งกระบี่
เมื่อกวนจ้าวกลับคืนมายังกำแพงเมืองปราณกระบี่ สำหรับพวกสัตว์เดรัจฉานของใต้หล้าเปลี่ยวร้างแล้ว ก็เท่ากับการหาปัญหาใส่ตัวชัดๆ”
เฉินชิงตูชี้ไปยังชุดคลุมยาวขาดวิ่นที่อยู่ท่ามกลางกลุ่มปีศาจใหญ่ “ส่วนท่านผู้นี้ หลงจวินในอดีต เป็นคนที่เคียดแค้นใต้หล้าไพศาลมากที่สุด ปีนั้นถูกข้าลากไปที่ภูเขาทัวเยว่ด้วยกัน ยามออกกระบี่กลับไม่เลอะเลือนแม้แต่น้อย ถือเป็นเซียนกระบี่ที่อยากตายเป็นคนแรกสุดของกำแพงเมืองปราณกระบี่เลยกระมัง ตายไปครั้งหนึ่งแล้ว เขาก็รู้สึกว่าตัวเองไม่มีอะไรติดค้างกับกำแพงเมืองปราณกระบี่อีก ควรจะได้ใช้ สถานะของผู้ฝึกกระบี่นักโทษอาญาที่ถูกเนรเทศมาถามกระบี่กับใต้หล้าไพศาลแล้ว ข้าเข้าใจได้ แต่รับไม่ได้ ดังนั้นผู้ที่สามารถมาเยือนกำแพงเมืองปราณกระบี่ได้ต้องไม่มีผู้ฝึกกระบี่ ‘หลงจวิน’ เป็นหนึ่งในนั้นแน่นอน”
เฉินชิงตูร้องเอ๊ะหนึ่งที ก่อนจะพูดอย่างประหลาดใจ “เจ้าไม่มีความรู้สึกละอายใจต่อ ผู้อาวุโสกวนจ้าวสักนิดเลยหรือ? นี่ไม่เหมือนเจ้าเฉินผิงอันเท่าไรเลยนะ”
เฉินผิงอันเอ่ยอย่างเฉยเมย “อย่าว่าแต่เด็กหนุ่มที่สติไม่ดีคนนั้นเลย ต่อให้ ร่างจริงของผู้อาวุโสกวนจ้าวมาปรากฏตัวตรงหน้าข้า แล้วกล้าพูดประโยคแบบนั้นออกมา ข้าก็ฟันเขาให้ตายได้เหมือนกัน”
เฉินผิงอันหันหน้าไปมองทางทิศใต้
เมื่อผู้เฒ่าชุดเทาจากไป ปีศาจใหญ่สิบสี่ตนก็พากันถอยร่น ปีศาจใหญ่ตนอื่นๆ ก็ถอนกำลังออกไป
เฉินผิงอันหลับตาลง มารดามันเถอะ ถึงกับขอบเขตถดถอยเสียได้ แล้วยังถดถอยรวดเดียวไปหลายขอบเขต ยังดีที่อาศัยประสบการณ์ท่องอุตรกุรุทวีปก่อน หน้านี้มาพยายามฝืนแบกรับทัณฑ์ฟ้าดินทั้งสองเอาไว้ได้ จึงสามารถหาข้อชดเชยโดยเลื่อนขั้นให้ผู้ฝึกยุทธได้ ขอแค่สะพานแห่งความเป็นอมตะไม่ขาดสะบั้น วัตถุแห่ง ชะตาชีวิตที่สำคัญทั้งสี่ชิ้นยังคงอยู่ครบ
ตอนนี้ตนเป็นแค่ผู้ฝึกลมปราณขอบเขตห้า ขอบเขตถดถอยชาติสุนัขแค่ไม่กี่ขอบเขตก็ไม่ถือว่าร้ายแรงนัก ขอแค่อาศัยกระบี่ที่เซียนกระบี่ใหญ่ผู้อาวุโสสอนให้ พยายามบ่มเพาะกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตตามความหมายที่แท้จริงเล่มหนึ่งขึ้นมาให้ได้ ก็เรียกว่าโชคมาพร้อมเคราะห์…
หนิงเหยาแบกเฉินผิงอันขึ้นหลัง
ช่วงเสี้ยวนาทีสุดท้ายก่อนที่สติสัมปชัญญะของเฉินผิงอันจะวูบหายไป อย่างสิ้นเชิง เขาได้ยินเสียงแตรสัญญาณแว่วๆ
การโจมตีเมืองเริ่มขึ้นแล้ว