Skip to content

Sword of Coming 68

บทที่ 68 ใต้หล้ามีฤดูใบไม้ผลิ

กายธรรมใหญ่ยักษ์ของฉีจิ้งชุนเป็นสีขาวล่องลอย นั่งตัวตรงอย่างเคร่งขรึมอยู่บนแผนที่ทางเหนือสุดของแจกันสมบัติทวีปบูรพา

ทะเลเมฆหมอกซัดตลบปั่นป่วน แล้วค่อยๆ ลดตัวลงด้านล่าง ขยับเข้าใกล้ศีรษะของฉีจิ้งชุนอย่างต่อเนื่อง

ฉีจิ้งชุนเงยหน้าขึ้นมอง คลี่ยิ้มสง่างาม

เหนือทะเลเมฆมีน้ำเสียงที่ทรงพลานุภาพดังขึ้นมา “ฉีจิ้งชุน เจ้าต้องรู้ว่าวิถีแห่งสวรรค์ไร้ความเห็นแก่ตัว! เจ้าเป็นคนของลัทธิขงจื๊อ เกิดความเห็นใจต่อภัยพิบัติที่ถ้ำสวรรค์หลีจูต้องเผชิญ เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ ทว่าหากเปลี่ยนใจเสียตั้งแต่ตอนนี้ ก็ยังพอมีพื้นที่ให้หวนกลับ”

ตามหลังคำพูดของเซียนบนฟ้าท่านนี้เหมือนว่าจะมีเสียงอสนีบาตลอดทะลวงอยู่ท่ามกลางทะเลเมฆเป็นระลอก ฟ้าแลบฟ้าร้องที่เกิดขึ้นเพียงพริบตาเดียวแล้วหายวับไปเหล่านั้นแทรกซึมออกมาจากเบื้องล่างของทะเลเมฆอย่างต่อเนื่อง

เวทอาคมตามหลังคำพูด

มีเสียงเซียนอีกท่านหนึ่งหลุดหัวเราะพรืด “จะมัวเปลืองน้ำลายกับเจ้าหนอนหนังสือนี่ทำไม! คิดจะกระทำการยิ่งใหญ่ค้ำฟ้าค้ำดินก็ต้องถามหมัดของข้าก่อนว่ายินยอมหรือไม่!”

เวลาเดียวกันนั้นทะเลเมฆถูกมือใหญ่ยักษ์สีทองมลังเมลืองข้างหนึ่งควานลงมาด้านล่าง แหวกเมฆหมอกหนาชั้นให้กระจายตัวออกจากกัน เผยให้เห็นหลุมโพรงหลุมหนึ่ง ก่อนที่เสาลำแสงเสาหนึ่งจะพุ่งมาตกตรงหน้ากายธรรมของฉีจิ้งชุน

ทางทิศตะวันตกมีเสียงสวดมนต์ภาษาบาลีดังขึ้น ตามมาด้วยน้ำเสียงเปี่ยมเวทนา “โยมฉี เมื่อใจสงบ ย่อมบรรลุในพระพุทธภูมิ”

ฉีจิ้งชุนกล่าวเสียงหนัก “หลังสังหารมังกรสำเร็จ เมืองเล็กจึงได้เสวยสุขอยู่กับโชคชะตายิ่งใหญ่เป็นเวลาสามพันปี บุตรหลานรุ่นหลังมีความสามารถโดดเด่น ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการกินข้าวของปีเม่าในปีอิ๋น (กินข้าวที่สะสมไว้ในปีหน้า อุปมาว่ารายรับไม่พอรายจ่ายจึงต้องดึงเงินที่เก็บสะสมไว้มาใช้ล่วงหน้า) เพียงแต่ว่าในเมื่ออริยะทั้งสี่ท่านต่างก็ตั้งกฎเอาไว้ นักพรตกลุ่มแรกสุดที่เลือกจะตั้งรกรากอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูก็ไม่มีความเห็นแตกต่าง แน่นอนว่าข้าฉีจิ้งชุนย่อมไม่มีสิทธิ์จะไปชี้ไม้ชี้มือกับเรื่องนี้ ตอนนี้วิถีแห่งสวรรค์ต้องการสยบฟ้าดินแห่งนี้ ก็มาได้เลย ก็แค่เปลี่ยนให้ข้าฉีจิ้งชุนเป็นคนแบกรับหายนะแทนชาวบ้านในเมืองเพียงคนเดียว วิถีสวรรค์และกฎเกณฑ์ต่างก็ไม่ได้ร่วงลงสู่ความว่างเปล่า ทุกท่านจะขัดขวางไปทำไม?”

เซียนที่ยื่นมือออกมากวนให้ทะเลเมฆเกิดเป็นหลุมโพรงขนาดใหญ่เปล่งเสียงหัวเราะอย่างกำเริบเสิบสาน “ฮ่าๆ เจ้าคนแซ่ฉี เจ้าไม่รู้ต้นสายปลายเหตุจริงๆ หรือว่าแกล้งโง่กันแน่?”

ไม่รู้ว่าฉีจิ้งชุนยื่นมือข้างหนึ่งออกมาเมื่อไหร่ ฝ่ามือของเขากำเป็นหมัดหลวมๆ กุมไข่มุกเม็ดที่ซ่อนถ้ำสวรรค์หลีจูไว้กลางมือ

คิดดูแล้วท้องฟ้ายามกลางวันเหนือเมืองเล็กที่อยู่ในถ้ำสวรรค์กลางฝ่ามือของเขาคงพลันเปลี่ยนมาเป็นม่านราตรีอย่างน่าอัศจรรย์ใจในเสี้ยววินาที

เวลานี้ฝ่ามือขาวราวหิมะที่ปกป้องถ้ำสวรรค์หลีจูเอาไว้เหมือนได้รับการจู่โจมอย่างไร้รูปลักษณ์จากสี่ด้านแปดทิศ เสียงเปรี้ยงๆ ดังสนั่น บนหลังมือมีสายฟ้าโค้งงอสีขาวสาดประกายออกมาอย่างต่อเนื่อง และยังมี “เกล็ดหิมะ” ที่มองดูเหมือนเล็กราวขนนก แต่ในความเป็นจริงกลับใหญ่โตดุจขุนเขาที่หลุดออกจากหลังมือของฉีจิ้งชุนไม่ขาดสาย ทว่ายังไม่ทันได้ร่วงลงสู่พื้นก็แหลกสลายกลายเป็นกลุ่มควันเสียก่อน

เซียนเหนือเมฆที่นั่งอยู่ใกล้กับโพรงทะเลเมฆเอ่ยเย้ยหยัน “เป็นแค่ปัญญาชนขงจื๊อตัวเล็กๆ กลับกล้าละเมิดมหามรรคา ไม่เจียมตัว! ถ้าอย่างนั้นก็ให้ข้าผู้เป็นเซียนเล่นเป็นเพื่อนเจ้าก่อนก็แล้วกัน!”

หากมองขึ้นไปจากจุดที่อยู่ไกลแสนไกลของแจกันสมบัติทวีปบูรพา ทั้งยังต้องสามารถฝ่าค่ายกลอำพรางตาที่เหล่าเซียนร่วมมือกันสร้างขึ้นไปได้ ก็จะสามารถมองเห็นภาพเหตุการณ์ยิ่งใหญ่อย่างถึงที่สุดนี้ได้รำไร ท่ามกลางช่องโพรงใหญ่ซึ่งเกิดจากทะเลเมฆที่ถูกแหวกออกเผยให้เห็นจุดดำจุดหนึ่งที่พุ่งดิ่งลงสู่เบื้องล่างก่อน จากนั้นก็เป็นปลายกระบี่ท่อนหนึ่ง สุดท้ายในที่สุดก็เปิดเผยโฉมหน้าทั้งหมด มันคือกระบี่บิน “ขนาดจิ๋ว” เล่มหนึ่งที่ยาวเท่านิ้วมือร่างกายธรรมของฉีจิ้งชุน

เล่มแรกเพิ่งจะเผยกาย เล่มที่สองก็ตามมาติดๆ พวกมันร่วงลงในจุดที่ต่างกัน เล่มที่สาม เล่มที่สี่ทยอยกันพุ่งจากทะเลเมฆบนท้องนภา รวมทั้งหมดคือกระบี่บินสิบสองเล่ม

จากวิถีเส้นเดียวกันแยกตัวออกไป ลอยตัวอยู่กลางอากาศสูง

ประหนึ่งการจัดขบวนของกองทัพม้าเหล็กที่ถูกคนขี่กระชับสายบังเหียนแน่น เพียงรอคำสั่งเดียวก็พร้อมบุกทะลวงค่ายศึกแนวหน้า

เหนือทะเลเมฆ ยักษ์สีทองตนหนึ่งนั่งขัดสมาธิอย่างผ่อนคลาย ลืมตาสีทองใหญ่ยักษ์เบิกกว้าง หมัดทั้งคู่วางไว้บนหัวเข่า นิ้วชี้มือขวาค่อยๆ ยื่นออกมา งอแล้วดีดหนึ่งที

กระบี่บินเล่มหนึ่งพุ่งแทงเข้าไปยังแขนข้างที่กำเป็นหมัดหลวมๆ ของฉีจิ้งชุนก่อนเป็นอันดับแรก

ความเร็วที่กระบี่บินร่วงลงมารวดเร็วราวสายฟ้าแลบ บนวิถีโคจรของมันยังลากดึงก้อนเมฆให้ทอดยาวเป็นเส้นสายติดต่อกัน

พริบตาเดียวกระบี่บินก็แทงทะลุแขนของกายธรรมฉีจิ้งชุน ในขณะที่อยู่ห่างจากพื้นเพียงเส้นยาแดงผ่าแปดก็หยุดชะงักในฉับพลัน

เหนือทะเลเมฆ นิ้วชี้มือขวาของยักษ์สีทองกวาดเป็นวงเบาๆ กระบี่บินจึงตวัดเป็นแนวเส้นโค้ง ย้อนกลับมากลางอากาศสูง ขณะเดียวกันนิ้วมือข้างซ้ายก็เคาะเบาๆ กระบี่บินเล่มหนึ่งที่เดิมทีลอยอยู่กลางอากาศพลันร่วงลงมาแล้วแทงทะลุแขนของฉีจิ้งชุนอีกครั้ง

นิ้วมือสองข้างยกขึ้นแล้วร่วงลง

กระบี่บินสิบสองเล่มร่วงลงมาในแนวดิ่ง แต่ย้อนกลับเป็นเส้นโค้ง

ขึ้นๆ ลงๆ ซ้ำไปซ้ำมา

ฉีจิ้งชุนเห็นว่าพอแขนข้างนั้นถูกค่ายกลกระบี่บินจู่โจมถี่ยิบหลายระลอกก็เต็มไปด้วยบาดแผล เกิดหลุมสีดำจำนวนนับไม่ถ้วน เมื่อเทียบกับกายธรรมใหญ่โตที่เดิมทีเป็นสีขาวแวววาวไปทั้งร่างแล้ว จึงดูน่าสะพรึงกลัวเด่นชัดมากเป็นพิเศษ

สำหรับเรื่องนี้ สีหน้าของฉีจิ้งชุนยังเป็นปกติ ครั้นจึงเห็นว่ากระบี่บินพุ่งเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง เตรียมเปิดฉากจู่โจมสังหารครั้งใหม่

ช่างบีบคั้นใจคนยิ่งนัก

ฉีจิ้งชุนเอ่ยคำสี่คำด้วยท่วงท่าผ่อนคลาย “ลมฤดูใบไม้ผลิสมใจปรารถนา”

กระบี่บินเล่มหนึ่งยังคงแทงตรงมาที่แขนของฉีจิ้งชุน เพียงแต่ว่าคราวนี้ไม่รอให้ทะลุเข้ามาในเนื้อ มันกลับเหมือนเข็มบางๆ เล่มหนึ่งถูกลมเย็นพัดโชยให้ลอยลิ่วเอนเอียง ไม่เพียงแต่กระบี่เล่มนี้เท่านั้น กระบี่บินอีกสิบเอ็ดเล่มที่เหลือต่างก็ไม่ได้รับการยกเว้น พวกมันล้วนย้อนกลับมามือเปล่า บินล้อมวนอยู่รอบกายธรรมของฉีจิ้งชุน บินเชื่องช้าไล่ตามวงโคจรบางอย่างที่กำหนดชัดแน่นอน ตัวกระบี่สั่นสะท้าน คอยฉวยจังหวะโจมตีพลางส่งเสียงร้องเบาๆ

ไม่เพียงแค่นี้เท่านั้น สายลมวสันตฤดูที่พัดโชยอยู่ทั่วท้องนภาเป็นระลอกยังช่วยประคองก้อนเมฆที่ลดตัวลงต่ำเอาไว้อย่างไม่เปิดเผยร่องรอยด้วย

ยักษ์สีทองตนนั้นเปิดเปลือยแผ่นอก แผ่กลิ่นอายความโอหังลำพองออกมาจากทั่วร่าง เขาหลุบตามองต่ำจากที่สูง เมื่อเห็นว่ากระบี่บินสิบสองเล่มนั้นถึงขนาดหาช่องโหว่ใดๆ ไม่เจอ ก็ร้องอุทานด้วยความประหลาดใจ “เอ๊ะ?”

ฉีจิ้งชุนไม่ได้สนใจการโจมตีจากกระบี่บินที่สำหรับนักพรตบนโลกแล้วมีพลานุภาพยิ่งใหญ่อย่างหาใดเปรียบไม่ได้ เขาเอาแต่จ้องมองหมัดข้างที่กำหลวมๆ ของตัวเองอยู่ตลอดเวลา

บนโลกมีคำพูดที่บอกว่าคนแก่ไข่มุกเหลือง ไข่มุกอย่างถ้ำสวรรค์หลีจูที่ลอยอยู่กลางอากาศเหนือแจกันสมบัติทวีปบูรพาเม็ดนี้อยู่มาสามพันปีแล้ว เดิมทีควรอยู่ในมือของหร่วนซิ่วอริยะคนถัดไปเป็นเวลาอีกหกสิบปี ทว่าปราการด้านนอกที่ห่อหุ้มไข่มุกเอาไว้กำลังจะแหลกสลายไปอย่างสิ้นเชิง เหมือนเครื่องปั้นชิ้นหนึ่งที่สีเคลือบชั้นนอกหลุดลอกออกจนสิ้น เมื่อถึงเวลาที่วิถีแห่งสวรรค์บดทับลงมา ย่อมต้องพังราบเป็นหน้ากลอง แม้ว่าจะไม่มีคนตายคาที่ในทันที แต่ทุกคนในเมืองจะสูญเสียโอกาสได้กลับมาเกิดใหม่ ด้วยเหตุนี้ฉีจิ้งชุนยังตั้งใจอ่านคัมภีร์ของพระพุทธศาสนา ซ้ำยังถึงขั้นอนุมานผลลัพธ์ที่น่ากลัวอย่างหนึ่งออกมาได้ว่า คนหกพันกว่าคนจะถูกนำมาใช้เป็น “แพะรับบาป” ที่ต้องแบกรับพลานุภาพจากสวรรค์ อาจต้องกลายมาเป็นผีเร่ร่อนอยู่ในดินแดนแห่งพระพุทธทิศประจิมทุกชาติทุกภพ ไม่อาจหลุดพ้นตลอดกาล

หร่วนฉงผู้ฝึกตนสำนักการทหาร อาจารย์หลอมกระบี่ ในฐานะที่เป็นอริยะคนสุดท้ายซึ่งรักษาการณ์ถ้ำสวรรค์หลีจู เมื่อถึงเวลานั้นหน้าที่ของเขาจะไม่ใช่การพิทักษ์ความปลอดภัยของประชากรในเมืองเล็ก แต่เป็นไม่ปล่อยให้ใครหนีพ้นการลงโทษจากวิถีสวรรค์ไปได้

เสียงหัวเราะของยักษ์สีทองตนนั้นดังกระหึ่มดุจรัวกลัว ครืนครั่นไปทั่วท้องฟ้ารอบด้าน “มีคนบอกว่าเจ้าฉีจิ้งชุนไม่ธรรมดา มีอักษรแห่งชะตาชีวิตสองตัว นอกจากอักษรคำว่าชุนแล้ว ยังมีคำว่าจิ้งที่ทำลายกฎเกณฑ์อีกคำหนึ่ง มาๆๆ มาให้ข้าผู้เป็นเซียนได้เปิดหูเปิดตาสักหน่อย!”

ทุกครั้งที่ยักษ์ตนนั้นเอื้อนเอ่ยหนึ่งคำ ก็จะต้องใช้หมัดกระแทกลงบนหัวเข่าหนึ่งครั้ง

เมื่อสามครั้งผ่านไป ทะเลเมฆก็เหมือนน้ำในหม้อที่เดือดปะทุพล่านรุนแรง

ก้นของทะเลเมฆ ลมเย็นที่เดิมทีมองไม่เห็นด้วยตาเปล่าก็เกิดการส่ายไหว เส้นแสงปั่นป่วน เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่างสลับกันไป

ยักษ์ตนนั้นกล่าวว่า “เจ้ามีลมวสันตฤดู ข้าผู้เป็นเซียนก็มีฝนอาคมกระบี่บินให้เอามาสาดใส่หน้าของเจ้า!”

จบคำ เส้นสีทองจำนวนนับไม่ถ้วนก็ลอดทะลวงทะเลเมฆแล้วแทรกซึมเข้าไปในลมเย็นอีกครั้ง

หากใช้ร่างของยักษ์มาเป็นตัวเปรียบเทียบ เส้นสีทองเหล่านั้นก็เหมือนลายปักเข็มเล็กๆ ที่ยาวเท่าเล็บมือ เพียงแต่ว่ามีจำนวนแน่นขนัด นับพันนับหมื่น พอรวมตัวกันแล้ว อานุภาพจึงเกรียงไกรสะเทือนขวัญสั่นประสาท

ฉีจิ้งชุนยังคงจ้องนิ่งไปที่หมัดตัวเอง ต่อให้ได้ยินเสียงก็ยังไม่เปลี่ยนสีหน้า เอ่ยเบาๆ ว่า “ฝนที่ดีต้องรู้จักฤดูกาล จะโปรยปรายเมื่อฤดูใบไม้ผลิมาเยือน”

เห็นเพียงว่าพื้นดินรอบด้านกายธรรมที่นั่งอย่างสำรวมมีหยดฝนเป็นเม็ดๆ สาดยิงออกมา ฝนทุกเม็ดมองดูเหมือนจะเล็กจ้อยจนไม่อาจวัดขนาดได้ ทว่าแท้จริงแล้วล้วนใหญ่ดุจบ่อน้ำ

จากนั้นหยดฝนที่สาดกระเซ็นอย่างต่อเนื่องเหล่านี้ก็ไหลทวนกลับคืนไปบนฟ้าเสียงเปาะแปะๆ อย่างผิดธรรมชาติ

ม่านฝนแขวนพลิกกลับ

เพียงแค่เพราะฉีจิ้งชุนอริยะสำนักขงจื๊อท่องกลอนบทนั้น

ฝนอาคมกระบี่บินที่ส่องแสงสีทองพร่างพราวร่วงจากบนลงล่าง ทว่าม่านน้ำฝนวสันตฤดูที่เกิดจากผืนแผ่นดินกลับผุดจากล่างขึ้นสู่บน

ปะทะกันอย่างรุนแรง!

บรรยากาศเหนือศีรษะอึมครึมหนักอึ้งนับหมื่นชั่ง ทว่าฉีจิ้งชุนกลับไม่ยิน ไม่ยล

รอบด้านหมัดนั้นของฉีจิ้งชุนมีเจียวและมังกรสายฟ้าหลายตัวผุดขึ้นจากความว่างเปล่า ก่อนจะพุ่งจู่โจมลงบนหลังมือของเขา

สีสันของสายฟ้าแบ่งออกเป็นสามชนิด สีแดงสด สีม่วงเข้ม สีขาวหิมะ มองดูเหมือนวุ่นวายไร้ระเบียบ ทว่าทั้งสามกลับแบ่งแยกกันอย่างชัดเจน อีกทั้งยังไม่โรมรันพัวพันกัน ต่างก็แยกกันไปถักทอตาข่ายใหญ่สามปาก

เศษเนื้อของหมัดกายธรรมปลิวว่อนดั่งขนนกลอยลิ่ว และขนาดก็เล็กเหี่ยวลงอย่างต่อเนื่อง

ฉีจิ้งชุนเอ่ยเบาๆ “ลมนิ่งคลื่นสงบ”

สายฟ้าสามสี มีเพียงสายฟ้าสีหิมะเท่านั้นที่หยุดนิ่งไม่ขยับอย่างไม่มีลางบอกเหตุ แต่สายฟ้าอีกสองสีกลับยังคงเคลื่อนโคจรตามกฎเกณฑ์ดังเดิม นี่จึงเป็นเหตุให้สายฟ้าสีแดงสดเส้นหนึ่งพุ่งชนสายฟ้าสีหิมะเส้นหนึ่งแตกสลาย ส่วนสายฟ้าสีม่วงเข้มก็พุ่งเข้ากระแทกสายฟ้าสีแดงสด ตาข่ายฟ้าตาถี่ที่ไม่มีช่องโหว่กลับเปลี่ยนมาเป็นวุ่นวายไร้ระเบียบ

เหนือทะเลเมฆมีน้ำเสียงแหบชราดังขึ้นเนิบนาบ “การเคลื่อนไหวมีกฎเกณฑ์!”

เพียงแค่ชั่วกะพริบตา ตาข่ายสายฟ้าอาคมสามปากที่เดิมทีมีแนวโน้มว่าจะเกิดความวุ่นวายกลับคืนมามีระเบียบเปี่ยมอานุภาพอีกครั้ง

แล้วพากันพุ่งเข้ากระแทกโจมตีหมัดกายธรรมของฉีจิ้งชุน

ฉีจิ้งชุนถอนหายใจเบาๆ

“ปะทะกันเล็กๆ น้อยๆ พอสมควรแล้ว ฉีจิ้งชุน เจ้ากล้ารับหมัดนี้ของข้าผู้เป็นเซียนหรือไม่!”

หมัดสีทองหมัดหนึ่งร่วงลงจากช่องโพรงกลางทะเลเมฆกระแทกเข้าใส่ศีรษะของฉีจิ้งชุน

ฉีจิ้งชุนยกมือขวาที่ว่างเปล่าชูขึ้นสูง หันฝ่ามือขึ้นด้านบน สกัดกั้นหมัดที่กดอัดลงมา

กายธรรมของฉีจิ้งชุนพลันดิ่งฮวบลงไปร้อยจั้ง เพียงแต่ว่าทะเลเมฆก็ถูกลมเย็นพัดแรงขุมหนึ่งขับดันขึ้นไปร้อยจั้งเช่นกัน

ราวกับว่าระหว่างฟ้าและดินถูกดึงระยะห่างออกจากกันสองร้อยจั้ง

“มาอีก!”

เซียนร่างทองปล่อยหมัดออกมาติดต่อกัน ทุกหมัดล้วนมีอานุภาพหนักนับหมื่นชั่ง เกรงว่าไม่ว่าจะเป็นขุนเขาอู่ชิวของราชสำนักใดก็ตามในแจกันสมบัติทวีปบูรพาก็คงไม่อาจต้านทานหมัดนี้ของเขาได้

กายธรรมฉีจิ้งชุนที่เป็นสีขาวหิมะเพียงแค่ยกแขนขึ้นสูง

อันดับแรกคือฝ่ามือของกายธรรมพุ่งทะลุหลุมใหญ่ จากนั้นทั้งฝ่ามือก็แตกออกดังปัง ตามมาติดๆ ด้วยข้อต่อแต่ละข้อของแขนที่ถูกหมัดสีทองต่อยจนแหลกยับ

ฉีจิ้งชุนที่กายธรรมเสียหายอย่างหนักยังคงไม่รู้สึกรู้สา ความสนใจทั้งหมดของเขายังคงอยู่ที่มือข้างซ้ายที่กำเป็นหมัดไว้หลวมๆ

จากหมัดลามมาทั่วทั้งแขน แล้วมาถึงที่หัวไหล่ล้วนถูกปกคลุมไปด้วยอักขระสำนักเต๋าที่เป็นดั่งสายฟ้าส่ายวน ตัวอักษรทุกตัวใหญ่เท่าห้องห้องหนึ่ง

น้ำเสียงแก่ชราดังขึ้นต่ออีกครั้ง “อย่าได้เลอะเลือนดื้อดึง ฉีจิ้งชุน หากเจ้ายินดี สามารถติดตามนักพรตผู้ต่ำต้อยอย่างข้าฝึกตนต่อไปได้”

ฉีจิ้งชุนหันหน้าไปมองเงียบๆ ก้มลงจ้องมองแขนข้างที่เต็มไปด้วยรูพรุน ซึ่งตอนนี้เต็มไปด้วยอักขระพยากรณ์เหนือล้ำที่อริยะผู้ควบคุมสำนักเต๋าสายหนึ่งร่ายไว้ ช่างเป็นการทำตามบัญชาสวรรค์ได้ดียิ่งนัก

ฉีจิ้งชุนพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ หนึ่งครั้ง ก่อนเอ่ยเสียงหนักว่า “นิ่งสงบ…”

น้ำเสียงแก่ชราแฝงความเดือดดาลอย่างหนัก “ฉีจิ้งชุน เจ้าบังอาจ!”

เสียงตวาดเกรี้ยวกราดกลบทับสองคำตามหลังคำว่า “นิ่งสงบ” ของฉีจิ้งชุน

กลางอากาศสูงมีนิ้วสองข้างประกบกันเป็นกระบี่ แหวกผ่าทะเลเมฆแล้วตวัดฟันลงมาอย่างง่ายดาย!

ฟันแขนข้างที่กำเป็นหมัดของฉีจิ้งชุนให้หลุดออกมาจากไหล่โดยตรง!

ห่างออกไปไกลมาก มีเสียงถอนหายใจเปี่ยมไปด้วยความเสียดายอย่างยากจะสัมผัสได้ดังขึ้น

อริยะสำนักขงจื๊อห้ามละเมิดกฎ

ฉีจิ้งชุนไม่ควรข้ามบ่อสายฟ้าบ่อนั้นของสำนักเต๋าไป

หลังจากที่กระบี่ดัชนีตัดแขนของฉีจิ้งชุนขาดแล้วก็ดูเหมือนว่าความโมโหของเจ้านายมันยังคงอยู่ นิ้วทั้งสองจึงหดกลับเข้าไปในทะเลเมฆอย่างรวดเร็ว แล้วก็ไม่ได้เลิกราเพียงเท่านี้ แต่ใช้ความเร็วที่มากกว่าเดิมแทงเข้าไปยังหมัดที่ลอยอยู่กลางอากาศซึ่งเป็นดั่งไม้ที่ไม่มีลำต้น ดั่งน้ำที่ไม่มีแหล่งกำเนิด

ฉีจิ้งชุนหดแขนข้างขวาเหนือศีรษะที่เหลือแค่ครึ่งท่อนลงมาบังเหนือไข่มุกอย่างรวดเร็ว เพื่อโอบประคองปกป้องพื้นที่เบื้องหน้าตัวเองเอาไว้

นิ้วสองข้างของเซียนยังคงบุกมาข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้ง แทงทะลวงแขนกายธรรมของฉีจิ้งชุนอย่างไม่ลังเล หมัดที่มาจากยักษ์สีทองของโพรงใหญ่ก็ยิ่งกระแทกลงบนศีรษะของกายธรรมฉีจิ้งชุนอย่างหนักหน่วง

กายธรรมของฉีจิ้งชุนส่ายโอนเอนเหมือนจะล้มลง

แม้ว่าแขนจะขาดพิการ ทว่าชายอาภรณ์ยังคงโบกสะบัดดั่งบุคลิกของบัณฑิต แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งน่าสังเวชจนแทบทนมองไม่ได้

ถูกต่อยแสกหน้าอีกหมัด กายธรรมของฉีจิ้งชุนจึงดิ่งฮวบลงมาต่อเนื่อง

หมัดแล้วหมัดเล่าติดต่อกันราวกับว่าหากไม่ต่อยให้บัณฑิตคนนี้จมลึกลงไปใต้ดินก็จะไม่ยอมเลิกราเด็ดขาด

กายธรรมที่เสียหายพังภินท์ปกป้องหมัดที่อยู่เบื้องหน้า ปกป้องไข่มุกเม็ดนั้น ปกป้องถ้ำสวรรค์หลีจูที่อยู่ข้างในไข่มุก ปกป้องชาวประชาที่พอพบหน้าก็เรียกเขาว่า “ท่านฉี” เหล่านั้นไว้อย่างแน่นหนา

ริมฝีปากกายธรรมนี้ขยับเบาๆ ท่องคาถาไร้เสียง “หมู่ดาวโคจรติดตามกัน ดวงอาทิตย์และดวงเดือนสับเปลี่ยน สี่ฤดูกาลหมุนเวียน ธรรมชาติแปรเปลี่ยน ลมและฝนโปรยปราย หมื่นสรรพสิ่งพากันถือกำเนิด ได้รับการหล่อเลี้ยงบำรุง…”

ในถ้ำสวรรค์ขนาดเล็ก

กลางโรงเรียนในเมือง ไม่มีเด็กนักเรียนอยู่อีกแม้แต่คนเดียว

มีปัญญาชนสำนักขงจื๊อชุดเขียวนั่งอยู่เพียงลำพัง ไม่เพียงแต่เคราสองข้างที่ขาวโพลน แม้แต่เส้นผมก็ยังกลายเป็นสีดอกเลาด้วย

เลือดสดหลั่งรินออกจากทวารทั้งเจ็ดของบัณฑิต เปรอะเปื้อนจนมองเห็นผิวเนื้อไม่ชัด

จิตวิญญาณแหลกสลาย แหลกเหลวยิ่งกว่าเครื่องปั้นที่ถูกขว้างลงพื้นอย่างแรงเสียอีก

ทว่าบัณฑิตกลับมีสีหน้าเปี่ยมสุข หลับตาคลี่ยิ้ม สิ้นใจจากไปในฉับพลัน

ใต้หล้ามีข้าฉีจิ้งชุน

ใต้หล้าอภิรมย์ ข้าก็อภิรมย์

ปีนี้ ใต้หล้าแห่งนี้ ฤดูใบไม้ผลิจากไปช้ามาก ฤดูร้อนมาเยือนสายมาก

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version