Skip to content

Sword of Coming 69

บทที่ 69 ม่านราตรี

ดูเหมือนว่าเมืองเล็กจะเจอเข้ากับเหตุการณ์สุนัขสวรรค์กลืนดวงอาทิตย์[1]ที่ร้อยปียากจะพานพบสักครั้ง จู่ๆ ท้องฟ้าก็มืดสนิท ต่อให้ยื่นมือออกมาก็ยังมองไม่เห็นนิ้วทั้งห้าของตัวเอง

บวกกับที่เทวรูปนอกเมืองพากันแหลกสลายเหมือนไม้ไผ่ระเบิดแตก เสียงระเบิดนี้ยิ่งนานก็ยิ่งดังถี่ขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเมืองทั้งเมืองเงียบสงัดลงเพราะท้องฟ้ามืดมิด เสียงนี้จึงบาดหูมากเป็นพิเศษ ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่ยิ่งเป็นการเพิ่มการคาดเดาของชาวบ้านในเมืองให้ลึกล้ำยิ่งขึ้น หวนนึกไปถึงรถม้าและเกวียนเทียมวัวที่บรรทุกลูกหลานตระกูลใหญ่ขับออกจากเมืองก่อนหน้านี้ พวกชาวบ้านร้านตลาดก็ยิ่งกระวนกระวายไม่เป็นสุข

ทุกครั้งที่ข้าทาสบริวารในกำแพงประตูสูงใหญ่ของสี่แซ่สิบตระกูลยกโคมไฟขึ้นแขวนสูงโดยพละการ จะต้องโดนตวาดด่าเสียงดังทันทีโดยไม่มีข้อยกเว้น พ่อบ้านบางคนที่มีนิสัยฉุนเฉียวขี้โมโหยังถึงขั้นตบโคมไฟเหล่านั้นให้ร่วงลงแล้วเหยียบจนเละด้วยสีหน้าดุดัน ใช้สายตาราวกับมองศัตรูคู่อาฆาตจับจ้องคนทั้งบนและล่างจวนที่กระทำไปด้วยความหวังดี

ทางฝั่งของร้านตีเหล็ก เฉินผิงอันกับหนิงเหยากำลังนั่งกินข้าวกลางวันกันอยู่ข้างบ่อน้ำ พอฟ้ามืดลง แม้เฉินผิงอันจะแปลกใจ แต่เขาก็ยังไม่หยุดก้มหน้าพุ้ยข้าวใส่ปาก อาหารของร้านตีเหล็กรสชาติไม่เลว ทุกมื้อของลูกจ้างที่ไม่ว่าจะเป็นระยะสั้นหรือระยะยาวก็ล้วนได้แบ่งเนื้อตุ๋นน้ำแดงอวบอ้วนยาวเท่านิ้วชี้มาชิ้นหนึ่ง นอกจากนี้ยังราดน้ำมันให้หนึ่งกระบวย ข้าวก็มีมากพอ แต่เนื้อมีแค่ชิ้นเดียว เฉินผิงอันกินข้าวประมาณสองถ้วยใหญ่ ดังนั้นทุกครั้งที่ได้รับแบ่งเนื้อชิ้นหนึ่งมาจากพ่อครัว เพราะมีน้ำแกงให้มาด้วย ถ้วยแรกเขาจึงมักจะกินแต่ข้าวไม่แตะเนื้อ กินจนถึงช่วงท้าย เนื้อตุ๋นน้ำแดงชิ้นนั้นจึงค่อยๆ ลดจากยอดข้าวบนถ้วยไปอยู่ก้นถ้วย พอวิ่งไปเติมข้าวถ้วยที่สองค่อยจัดการกับเนื้อชิ้นนั้นจนเกลี้ยง

ทุกครั้งที่หนิงเหยาเห็นเฉินผิงอันกินข้าวแบบนี้ก็รู้สึกอยากหัวเราะเล็กน้อย

ทว่าหร่วนซิ่วกลับไม่เหมือนหนิงเหยา ในสายตาที่เด็กสาวชุดเขียวมองไปยังเฉินผิงอันเหมือนจะเขียนอักษรสี่คำใหญ่ไว้ว่า คนแบบเดียวกัน

เวลานี้มือข้างหนึ่งของเฉินผิงอันถือถ้วยสีขาวใบใหญ่ว่างเปล่า อีกมือหนึ่งถือตะเกียบ พยายามหรี่ตากวาดมองรอบด้าน แต่ก็ยังได้แค่เห็นภาพในระยะสองสามจั้งเพียงรำไร

สองวันมานี้นอกจากเป็นวัวเป็นม้าให้กับร้านตีเหล็กของอาจารย์หร่วนแล้ว เฉินผิงอันต้องดึงเวลาว่างสามชั่วยามไปฝึกเดินนิ่ง ตอนกลางวันหนึ่งชั่วยาม นั่นคือตอนเที่ยงถึงยามเว่ย (ยามเว่ยคือเวลา 13.00-15.00 น.ในที่นี้จึงเท่ากับเที่ยงถึงบ่ายสอง) ตอนกลางคืนสองชั่วยาม นั่นคือยามไฮ่ (เวลา 21.00-23.00 น.) ถึงยามโฉ่ว (เวลา 01.00-03.00 น.) ตอนท้ายๆ เฉินผิงอันทดลองเดินนิ่งพร้อมกับประกบสิบนิ้วทำท่าเจี้ยนหลูตามไปด้วย แต่เฉินผิงอันค้นพบว่าหากทำเช่นนี้จะทำให้ตนหายใจไม่สะดวก ฝีเท้าก็ยิ่งไม่มั่นคง จึงล้มเลิกอย่างเด็ดขาด แล้วเลือกเวลาว่างช่วงทำงานที่คนไม่ให้ความสนใจฝึกท่าเจี้ยนหลูบำรุงร่างกาย อันที่จริงสำหรับเฉินผิงอันแล้วนี่ก็คือเป็นการเปลี่ยนท่าขึ้นรูปเครื่องปั้นในอดีตมาเป็นท่ายืนนิ่งเจี้ยนหลูตามตำราเขย่าขุนเขาเท่านั้น

การฝึกเดินนิ่งช่วงเที่ยงวันถึงยามเว่ย ช่วงแรกเริ่มหนิงเหยายังเดินตามอยู่ด้านหลังเขา แสร้งทำท่าชี้นิ้วสั่งสอนอยู่สองสามครั้ง จากนั้นก็ไม่ปรากฏตัวอีก เฉินผิงอันไม่อยากให้เกิดคำซุบซิบนินทา เวลากลางวันที่ฝึกท่าหมัดจึงจะเดินไปตามธารน้ำตอนล่าง พอวิ่งออกจากอาณาบริเวณของร้านตีเหล็กแล้วถึงได้เริ่มฝึกฝน แล้วเดินย้อนกลับไปมาหนึ่งรอบ ระยะทางพอๆ กับเดินประมาณสิบลี้

สำหรับเฉินผิงอันแล้ว นี่ถือเป็นกฎประจำบ้านอย่างใหม่ที่ต่อให้ฟ้าผ่าก็ไม่ยอมขยับไปไหน (เปรียบเปรยว่ายืนกรานไม่เปลี่ยนแปลง)

เวลานี้นั่งอยู่บนปากบ่อ หนิงเหยามองท้องฟ้าที่เหมือนถูกผ้าสีดำห่มคลุมลงมา คิ้วทั้งคู่ที่เรียวยาวดุจกระบี่จนทำให้นางสูญเสียภาพลักษณ์ของหญิง “งามหยดย้อย” ขมวดเข้าหากันน้อยๆ

เฉินผิงอันถามเสียงเบา “เกี่ยวข้องกับท่านฉีหรือเปล่า?”

หนิงเหยาไม่คิดจะบอกความจริงแก่เขา จึงแค่ให้คำตอบที่คลุมเครือ “ในเมื่อท่านฉีเป็นเจ้าของถ้ำสวรรค์แห่งนี้ก็น่าจะเกี่ยวข้องกับเขากระมัง”

เฉินผิงอันถามอีก “ตามคำบอกของซ่งจี๋ซินและจื้อกุยก่อนหน้านี้ เดิมทีท่านฉีคิดจะออกจากเมืองเล็กไปพร้อมกับจ้าวเหยาเด็กรับใช้ในโรงเรียนของเขา แต่ทำไมสุดท้ายเขาถึงไม่ไป?”

หนิงเหยาส่ายหน้ากล่าวยิ้มๆ “ความคิดของอริยะบุคคลก็เหมือนเส้นทางมังกรสายหนึ่ง (หมายถึงลักษณะภูมิประเทศที่ทอดยาวเหมือนมังกรว่ายวน) ที่สามารถทอดยาวไปเป็นพันเป็นหมื่นลี้ ข้าเดาไม่ถูก แล้วก็คร้านจะเดาด้วย”

พูดประโยคนี้จบ นางก็ยัดถ้วยและตะเกียบของตัวเองไปไว้ในมือของเฉินผิงอัน ส่วนตัวเองลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปยังกระท่อมดินเหนียวที่เป็นของนาง หนิงเหยาเองก็แปลกใจมากว่าทำไมอาจารย์หร่วนถึงได้เกรงใจตนขนาดนี้ หรือว่าอาจารย์หร่วนมองตัวตนของนางออก? แต่ความเป็นไปได้นี้ควรจะมีน้อยมากสิ เพราะอย่างไรซะภูเขาห้อยหัวก็ไม่ได้อยู่ในแจกันสมบัติทวีปบูรพา แล้วนับประสาอะไรกับที่ภูเขาห้อยหัวแทบจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับโลกภายนอก ชื่อเสียงโด่งดัง แต่จำนวนคนมีน้อยมาก อีกอย่างต่อให้เป็นภูเขาห้อยหัวเองก็ยังไม่อาจแน่ใจในตัวตนของนางได้ เพียงแต่หนิงเหยาเป็นคนมีนิสัยเมื่อถึงท่า เรือย่อมจอดตรง (อุปมาถึงคนมีนิสัยตรงไปตรงมา) ไม่ตรงข้าก็สามารถใช้กระบี่ฟันให้เกิดทางตรงได้ ความหวังดีที่อาจารย์หร่วนมือหลอมกระบี่อันดับหนึ่งในแจกันสมบัติทวีปบูรพาเสนอให้ นางจึงยิ้มรับมาอย่างเปิดเผย

พอเฉินผิงอันรับถ้วยกับตะเกียบมาก็เตรียมจะลุกเอาไปเก็บที่ห้องครัว แต่กลับค้นพบว่าห่างออกไปไม่ไกลมีคนคนหนึ่งกำลังเดินมาทางนี้ คือชายหนุ่มที่สวมเสื้อแขนกว้างคนหนึ่ง ลักษณะของเขาเหมือนบัณฑิตยิ่งกว่าบัณฑิตเฉินซงเฟิงเสียอีก ให้ความรู้สึกอย่างหนึ่งที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก ค่อนข้างคล้ายท่านฉี แต่ก็มีความคล้ายกับใต้เท้าซ่งผู้ตรวจการที่เคยเจอในตรอกหนีผิง

พอชายหนุ่มคนมองเห็นเด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่นั่งเหม่ออยู่บนปากบ่อเพียงลำพัง แถมยังมองประสานสายตากับตัวเอง เขาก็ตกตะลึงไปเล็กน้อย เดินมาหยุดอยู่ข้างกายเด็กหนุ่มแล้วเอ่ยด้วยใบหน้ายิ้มอบอุ่น “ข้ามาหาช่างหร่วนเพราะมีธุระบางอย่าง เจ้ารู้หรือไม่ว่าเขาอยู่ที่ไหน?”

คราวนี้เฉินผิงอันไม่ได้แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เหมือนตอนที่พบไช่จินเจี่ยนและฝูหนันหัวในตรอกหนีผิง แต่บอกทิศทางที่ชัดเจนกับคนผู้นั้นไปโดยตรง

หนึ่งเพราะแม่นางหนิงเคยบอกให้ตนรู้ถึงความร้ายกาจของช่างหร่วน สองชายที่อยู่เบื้องหน้าผู้นี้ไม่ได้ให้ความรู้สึกชั่วร้ายมีเลศนัยแก่เฉินผิงอัน

เฉินผิงอันถามอย่างมีมารยาท “ต้องการให้ข้านำทางหรือไม่?”

ชายหนุ่มไม่ได้รีบร้อนจากไป แต่มองเฉินผิงอันแล้วยิ้มบางๆ “ไม่ต้องหรอก แค่เดินไม่กี่ก้าว ไม่รบกวนเจ้าแล้ว ขอบคุณเจ้ามากนะ”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับด้วยรอยยิ้ม ตัวเองเดินไปทางห้องครัว ส่วนชายหนุ่มเดินไปยังห้องหลอมกระบี่ห้องหนึ่งที่อยู่ห่างไปไกล

หลังจากคืนถ้วยและตะเกียบแล้ว เฉินผิงอันค้นพบว่าพวกลูกศิษย์ที่มาทำงานชั่วคราวต่างก็รวมตัวกันอยู่ในห้องสองสามห้อง จุดไฟตะเกียง พูดคุยกันว่าทำไมกลางวันกลางคืนถึงพลิกกลับสับเปลี่ยน มีคนพูดยืนยันน่าเชื่อถือว่ามีเซียนภูเขาของภูเขาใหญ่บางแห่งข้ามผ่านดินแดนมา ทำให้น้ำในลำธารและในบ่อลดระดับลง เลยสร้างความเดือดดาลให้แก่เทพพิทักษ์ลำธารซึ่งมีหน้าที่ดูแลแม่น้ำลำธาร เทพเซียนจึงต่อสู้กันรุนแรงจนฟ้ามืดดินมัว แล้วก็มีคนใช้คำพูดของคนเฒ่าคนแก่มาโต้กลับ บอกว่าภูเขาใหญ่แถบเมืองของพวกเราล้วนถูกราชสำนักสั่งปิดไปหมดแล้ว ไฉนเลยจะมีเทพภูเขา อีกอย่างลำธารสายเล็กแค่นี้ย่อมไม่มีทางมีเทพแม่น้ำอยู่แน่นอน

เฉินผิงอันไม่ได้เข้าร่วมกับพวกเขา อย่างไรซะก็มีเวลาว่างเลยอาศัยการมองเห็นที่เหนือกว่าคนทั่วไปของตนเดินไปยังบ่อน้ำบ่อสุดท้าย ก่อนจะลงไปใต้บ่อแล้วขนดินออกจากบ่อตะกร้าแล้วตะกร้าเล่า

มีครั้งหนึ่งตอนที่ปีนบันไดไม้ขึ้นมาถึงปากบ่อเห็นว่าชายหนุ่มคนนั้นเดินกลับออกมาจากห้องหลอมกระบี่พอดี เขาเองก็เห็นเงาร่างของเด็กหนุ่มเหมือนกัน แต่ไม่ได้เดินมาใกล้ แล้วก็ไม่ได้หยุดเดิน เพียงแค่ยกมือขึ้นโบกบอกลาเฉินผิงอันอยู่ไกลๆ เท่านั้น

เฉินผิงอันรู้สึกปลงอนิจจังเล็กน้อย ไม่ว่าคนผู้นี้จะดีหรือเลว อย่างน้อยที่สุดเขาก็ไม่เหมือนกับคนต่างถิ่นที่มาจากเขาตะวันเที่ยง เขาเมฆาเรือง นครลมเย็นและนครมังกรเฒ่า

เฉินผิงอันขนดินออกจากบ่อครั้งแล้วครั้งเล่า สุดท้ายมีรอบหนึ่งที่ขนออกมาพบว่าหร่วนซิ่วมายืนอยู่ใกล้รอกตรงปากบ่อ กลางฝ่ามือวางผ้าเช็ดหน้าผืนหนึ่งที่มีขนมชิ้นกะจิ๋วหลิวกองพูน รอจนเฉินผิงอันปรากฎตัว หร่วนซิ่วก็ยื่นฝ่ามือให้เขา เฉินผิงอันที่ตัวเต็มไปด้วยดิน มือทั้งสองข้างสกปรกเปรอะเปื้อนส่ายหน้ายิ้ม หร่วนซิ่วเลยนั่งลงบนปากบ่อ ก้มหน้ากินขนมที่ทำอย่างประณีตจากร้านยาสุ่ยตรอกฉีหลง เพียงไม่นานเด็กสาวชุดเขียวก็ตกอยู่ในภวังค์ของการกิน ร่างทั้งร่างแผ่กลิ่นอายแห่งความสุขชื่นบาน

เฉินผิงอันขนดินออกมากองกลับไปกลับมา หลังผ่านไปได้หลายสิบครั้ง เด็กสาวมัดผมหางม้าก็ไม่อยู่แล้ว แต่ทิ้งผ้าเช็ดหน้าและขนมอบก้อนหนึ่งไว้บนปากบ่อ นั่นคือขนมดอกท้อแช่เหล้าที่มีชื่อเสียงที่สุดของร้านยาสุ่ย เฉินผิงอันอึ้งงัน ได้แต่ปลดตะกร้าด้านหลังวางไว้ข้างฝ่าเท้า นั่งอยู่บนปากบ่อใกล้กับผ้าเช็ดหน้า ใช้ชายเสื้อเช็ดมือ สองนิ้วคีบชิ้นขนมขึ้นมาวางลงในปาก

เฉินผิงอันพยักหน้าแรงๆ อร่อยมากดังคาด

จะอย่างไรซะที่ตัวเองกินเข้าไปก็เท่ากับเงินสิบอีแปะพอดี พอคิดถึงตรงนี้ เฉินผิงอันก็ยิ่งรู้สึกว่าอร่อยมากกว่าเดิม

หลายชั่วยามหลังจากนั้น สีท้องฟ้ายังคงมืดมน บนท้องฟ้ามีเสียงรัวกลองทุ้มทึบดังมาเป็นระลอก นอกจากนี้แล้ว อันที่จริงเมืองเล็กก็ไม่มีความผิดปกติใดๆ ช่างหร่วนเองก็ให้ลูกจ้างชั่วคราวของร้านกลับบ้านใครบ้านมันไปพักผ่อนสองวัน ไม่จำเป็นต้องรออยู่ที่นี่ให้ “ฟ้าสว่าง” แล้วทำงานต่อ ซึ่งนับว่าหาได้ยากยิ่ง

เฉินผิงอันจึงถือโอกาสนี้ย้อนกลับเข้าไปในเมือง ไปที่บ้านของหลิวเสี้ยนหยางรอบหนึ่ง เมื่อไม่พบว่ามีของหายไปก็รีบดับไฟ ลงกลอนประตูบ้านแน่นหนา แล้วจึงวิ่งกลับไปที่บ้านของตัวเองในตรอกหนีผิง

ไม่รู้ว่าทำไม เฉินผิงอันถึงได้รู้สึกว่าเมืองเล็กในวันนี้หนักอึ้งไปด้วยกลิ่นอายแห่งความตาย ไม่มีพลังชีวิตอยู่เลย

เฉินผิงอันไม่รู้ว่าตอนที่เขาวิ่งผ่านสะพานแบบคานแห่งนั้น

บนผิวน้ำใต้สะพานมีเงาร่างของหญิงสาวสูงใหญ่ ชายอาภรณ์ปลิวไสวตามสายลมลอยขึ้นมา นางสวมกระโปรงสีขาวหิมะ เส้นผมขาวโพลน มือและเท้าที่เปิดเปลือยอยู่ภายนอกล้วนมีผิวพรรณที่ขาวนวลราวหยกมันแพะ

นางกำลังเอียงศีรษะ ใช้น้ำในลำธารแทนกระจก มือข้างหนึ่งจัดผม อีกข้างหนึ่งสางผม ใครก็มองโฉมหน้าของนางได้ไม่ชัด

—-

[1] เหตุการณ์สุริยุปราคา เพราะชาวจีนในสมัยโบราณเชื่อว่าสุริยุปราคาเกิดจากสุนัขสวรรค์ที่กลืนพระอาทิตย์ลงไป

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version