Skip to content

Sword of Coming 70

บทที่ 70 ฟ้าสว่าง

สภาพการณ์ของเมืองเล็กในเวลานี้เหมือนถาดทรายที่แม่ทัพต้าหลีสั่งให้คนสร้างขึ้น สงครามปิดฉากลงแล้ว ถาดทรายจึงถูกทอดทิ้งหมดประโยชน์ในการใช้งาน เลยใช้ผ้าสีดำปกคลุมเอาไว้อย่างไม่ใส่ใจ

เฉินผิงอันจุดตะเกียงน้ำมันดวงหนึ่งขึ้นในบ้านพักของตัวเอง แล้วเริ่มทำความสะอาดบ้าน เหรียญทองแดงแก่นทองสามถุง มีเงินก้งหย่าง เงินอิ๋งชุนและเงินยาเซิ่งอย่างละถุง หนึ่งถุงองค์ชายต้าสุยเป็นผู้มอบให้ บอกว่าเพื่อเป็นการขอบคุณที่ทำให้เขาได้พบเจอกับปลาหลีสีทองตัวนั้น สองถุงกู้ช่านเป็นคนทิ้งไว้ ถือว่าเป็นเงินซื้อปลาหนีชิว

ส่วนเงินอีกสองถุงที่เฉินตุ้ยรับปากว่าจะให้เขาเป็นสินน้ำใจนั้น ระหว่างที่เดินทางออกจากภูเขา เฉินผิงอันได้ขอให้เฉินตุ้ยมอบมันให้แก่หลิวเสี้ยนหยาง แม้เฉินตุ้ยจะสงสัย แต่ก็ไม่ปฏิเสธ บางทีอาจเป็นเพราะค่อนข้างแปลกใจกับการเลือกของเด็กหนุ่มผู้ยากจน หรือไม่ก็เป็นเพราะอารมณ์หลังจากได้เซ่นไหว้บรรพบุรุษสำเร็จอยู่ในขั้นไม่เลว เฉินตุ้ยถึงได้คลี่ยิ้ม เอ่ยอ่อนโยนจากใจจริงบอกให้เฉินผิงอันวางใจอย่างที่หาได้ยาก นางกล่าวว่าคำสัญญาของลูกหลานสายตรงสกุลเฉินแห่งอิ่งอินอย่างนางมีค่ายิ่งกว่าเหรียญทองแดงแก่นทองสองถุงนั่นเสียอีก อันที่จริงเฉินผิงอันเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ไม่กล้าเชื่ออย่างหมดใจ เพียงแต่พอหนิงเหยาได้ยินคำว่า “ลูกหลานสายตรงสกุลเฉินแห่งอิ่งอิน” จึงมาบอกเป็นการส่วนตัวให้เฉินผิงอันสบายใจได้

ตราประทับที่ท่านฉีทยอยมอบให้สองครั้ง มีทั้งหมดสี่ชิ้น ตราประทับสองชิ้นแรกที่ได้มาคือคำว่า “จิ้งซินเต๋ออี้” และ “เฉินสืออี” ซึ่งสลักบนหินดีงูที่ท่านฉีเก็บไว้เอง ส่วนตราประทับสองชิ้นหลังท่านฉีสลักจากหินดีงูที่เฉินผิงอันเป็นคนมอบให้ หนึ่งสลักด้วยตัวอักษรเสี่ยวจ้วน อีกหนึ่งสลักด้วยตัวอักษรลี่ซู ที่บังเอิญก็คือตราประทับทั้งสองชิ้นสามารถประกบเข้าด้วยกันกลายมาเป็นภาพภูเขาเขียวและน้ำสีมรกรตได้พอดี หนึ่งหนาใหญ่หนึ่งบอบบาง ซึ่งท่านฉีแยกกันสลักคำว่า “ซาน” (ภูเขา) และ “สุ่ย” (น้ำ) สองคำ ตามคำบอกของหนิงเหยา น่าจะพอเรียกได้ว่าเป็น “ตราประทับภูเขาและน้ำ” คู่หนึ่งได้

เฉินผิงอันนำกระดาษสามแผ่นที่นักพรตลู่เขียนเทียบยาไว้สองชุดวางลงบนโต๊ะ

หนิงเหยาเคยรังเกียจว่าตัวอักษรของนักพรตลู่จืดชืดไร้รสชาติ กลิ่นอายของความน่านิยม ความร่ำรวย ความรุ่งเรือง ความศักดิ์สิทธิ์ ไม่มีเลยสักอย่าง ก็เหมือนตัวอักษรแบบบรรจงกว่านเก๋อที่จวี่เหริน (ผู้ผ่านการสอบรับราชการระดับชนบท) และซิ่วไฉ (ผู้สอบผ่านระดับอำเภอ ซึ่งจะมีการจัดสอบปีละครั้ง) ของราชสำนักในโลกมนุษย์ต้องใช้ในการสอบเคอจวี่ที่เป็นระเบียบมีกฎมีเกณฑ์ แต่ไม่มีความน่าสนใจ

แน่นอนว่าเฉินผิงอันมองไม่ออกถึงความตื้นลึกของท่วงทำนอง และความสูงต่ำในพรสวรรค์การเขียนตัวอักษรของนักพรตหนุ่ม แล้วก็ไม่มีทางดูถูกกระดาษสามแผ่นนี้เพียงเพราะหนิงเหยาประเมินมันไม่สูง อีกอย่างก่อนหน้าที่นักพรตลู่จะจากไปได้บอกกับเขาเองว่า คิดจะซื้อหนังสือในเมืองเล็กแห่งนี้เพื่อเรียนรู้ตัวอักษรนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย หากเฉินผิงอันคิดจะเรียนตัวอักษรก็สามารถเรียนจากเทียบยาของเขาได้

เฉินผิงอันในเวลานี้หยิบกระดาษแผ่นสุดท้ายขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ก่อนหน้านี้ตอนที่เห็นตัวอักษรสีชาดสี่คำว่า “คำสั่งลู่เฉิน” ซึ่งประทับแนบท้าย เขาไม่ได้คิดอะไรลึกซึ้ง เพียงแต่วันนี้เมื่อตัวเองก็มีตราประทับเป็นของตัวเองสี่ชิ้น จึงรู้สึกว่าตัวอักษรเล็กๆ เหล่านั้นน่ารักน่าสนิทสนมมากเป็นพิเศษ เฉินผิงอันนึกถึงว่าวันหน้าเมื่อในกระเป๋าของตนมีเงินเหลือ สักวันจะซื้อหนังสือมาเก็บสะสมเป็นของตัวเอง จากนั้นก็จะนาบประทับคำว่า “เฉินสืออี” ลงไปเบาๆ ในหน้าปกในหรือหน้าสุดท้าย พอนึกถึงเรื่องนี้ เฉินผิงอันก็อดที่จะหัวเราะปากกว้างไม่ได้

เพียงแต่ไม่นานเฉินผิงอันก็รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย มีตราประทับแล้วก็ต้องมีหมึกประทับ ดูเหมือนว่าข้างๆ ร้านยาสุ่ยในตรอกฉีหลงที่ขายขนมโดยเฉพาะจะมีร้านขายของจิปาถะทุกอย่างอยู่ด้วย หน้าร้านแขวนป้ายเขียนสองตัวอักษรว่า “ฉ่าวโถว” (ยอดหญ้า) เอาไว้ ซ่งจี๋ซินและจื้อกุยสาวใช้ของเขามักจะเข้าร้านนี้บ่อยๆ สี่สมบัติในห้องหนังสือหรือเครื่องเขียนงดงามใดๆ ของซ่งจี๋ซินก็ล้วนซื้อมาจากที่นั่น

เฉินผิงอันลังเลอยู่ชั่วครู่ รู้สึกว่ารอให้ตัวเองอ่านหนังสือออกเมื่อไหร่ วันไหนเจอตำราที่ถูกใจตั้งแต่แรกเห็นแล้วค่อยไปซื้อหมึกประทับมาสักตลับ

นอกจากนี้ยังมีหินดีงูที่เขาเลือกสรรอย่างตั้งใจเก็บไว้ในถุงผ้าป่านใบหนึ่ง มีเจ็ดแปดก้อน สีสันแตกต่างกัน ต่อให้ออกจากน้ำมานานแล้ว ทว่าสีสันก็ยังคงไม่จืดจาง ปากถุงเปิดอ้าอยู่บนโต๊ะ หินหลากสีก้อนใหญ่สุดมีขนาดเท่าฝ่ามือของชายฉกรรจ์ ขนาดกลางเท่ากำปั้นเด็ก ขนาดเล็กเท่าไข่ห่าน วางเรียงแนบชิดติดกัน ลักษณะน่ารักชวนมอง

เดิมทีเฉินผิงอันคิดจะมอบให้หลิวเสี้ยนหยาง แม้ว่าซ่งจี๋ซินจะเป็นบัณฑิตที่พูดจาร้ายกาจไม่น่าฟัง แต่ก็มีประโยคหนึ่งที่เขาพูดได้มีเหตุผลอย่างมาก ความหมายคร่าวๆ ของมันก็คือ ของชนิดเดียวกัน วางไว้ในร้านแผงลอยนอกตรอกหนีผิง ขายแค่ไม่กี่อีแปะ ยังต้องใช้เวลานานมากกว่าจะขายออก แต่หากเอาไปวางไว้ในชั้นของร้านฉ่าวโถวก็ตั้งราคาขึ้นต้นถึงสามสี่ตำลึง ลูกค้าอยากซื้อก็ซื้อ ไม่อยากซื้อก็ไสหัวไป

คนพูดไม่มีเจตนาแต่คนฟังคิดไกล เฉินผิงอันรู้สึกว่าคำพูดประโยคนี้ของซ่งจี๋ซินมีเหตุผลอย่างมาก ดังนั้นหากเก็บหินดีงูไว้ที่เขา เอาไว้ในเมืองเล็ก คาดว่าต่อให้ตายก็คงขายราคาสูงไม่ได้ แต่หากมอบให้หลิวเสี้ยนหยาง นำไปยังสถานที่กว้างใหญ่อย่างที่ตั้งของสกุลเฉินแห่งอิ่งอินอะไรนั่น ต่อให้ถูกคนหลอกกดราคา ก็ต้องได้เงินมากกว่าตอนอยู่กับเฉินผิงอันมากแน่นอน

ส่วนเรื่องที่ว่าให้ตัวเองอยู่อาศัยในกระท่อม ส่วนเพื่อนได้ภูเขาเงินภูเขาทองไปครอง สองอย่างนี้อะไรดีอะไรร้าย สำหรับเฉินผิงอันแล้ว ไม่จำเป็นต้องพิจารณาเลยแม้แต่น้อย

ไม่อย่างนั้นเขาจะเป็นเพื่อนกับหลิวเสี้ยนหยางไปทำไม?

ดังนั้นต่อให้เฉินผิงอันจะรู้สึกว่าหลิวป้าเฉียวแห่งสวนลมฟ้าไม่ใช่คนเลวร้าย แต่ไม่ว่าปากหลิวป้าเฉียวจะเรียกตนเป็นพี่เป็นน้องอย่างไร ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบเฉินผิงอันก็ไม่เคยคิดเป็นจริงเป็นจัง แล้วก็ไม่คล้อยตามด้วย

สุดท้ายเฉินผิงอันหยิบปิ่นหยกชิ้นนั้นขึ้นมา ท่านฉีบอกว่านี่คือปิ่นที่อาจารย์ของเขาเคยมอบให้ เป็นเพียงวัตถุธรรมดาชิ้นหนึ่ง ไม่ใช่สมบัติล้ำค่าอะไร

บนปิ่นหยกสลักตัวอักษรเล็กๆ ไว้แปดคำ

หนิงเหยาเคยอธิบายด้วยประโยคว่า “หวนคำนึงถึงวิญญูชน ผู้อ่อนโยนนุ่มนวลดุจหยก”

วิญญูชน

แม้เฉินผิงอันจะไม่เคยเรียนหนังสือมาก่อน แต่ก็ยังคงรู้สึกว่าคำคำนี้ต้องเป็นคำเรียกขานที่มีความสำคัญมากอย่างแน่นอน

หน้าประตูมีเสียงของหนิงเหยาดังลอยมา “ทำไมไม่ปักปิ่นหยกชิ้นนี้ด้วยเล่า? ในเมื่อเขาเต็มใจมอบให้เจ้า ก็ย่อมต้องหวังว่าเจ้าจะใช้งานมันอย่างเต็มที่”

เฉินผิงอันที่กำลังเหม่อลอยหันไปมอง คลี่ยิ้มถาม “เจ้ามาได้อย่างไร?”

หนิงเหยานั่งลงบนเก้าอี้ตรงข้ามกับเฉินผิงอัน ปรายตามองปิ่นที่อยู่ในมือของอีกฝ่าย “ข้าเคยดูอย่างละเอียดมาก่อนแล้ว เป็นแค่ปิ่นธรรมดาชิ้นหนึ่งจริงๆ ไม่มีกลไกลลับอะไรซุกซ่อนอยู่ ตอนแรกข้ายังนึกว่ามันจะเป็นถ้ำสวรรค์แห่งหนึ่งเสียอีก”

เฉินผิงอันไม่เข้าใจที่นางพูด “อะไร?”

หนิงเหยามอง “สมบัติสืบทอดใต้กรุของตระกูล” ของเฉินผิงอันที่วางอยู่บนโต๊ะ พลางเอ่ยอธิบายว่า “ถ้ำสวรรค์ที่มีเอกลักษณ์ เคยได้ยินคำพูดแบบนี้ไหม? พวกชาวบ้านแค่คิดว่านี่เป็นคำพูดของพวกบัณฑิต ไม่เห็นเป็นจริงเป็นจัง ทว่าเรื่องนี้กลับมีความพิถีพิถันอย่างมาก ถ้ำสวรรค์ใต้หล้าแบ่งออกเป็นสองชนิด ชนิดแรกก็คือถ้ำสวรรค์หลีจูที่พวกเราอยู่กันในเวลานี้ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในถ้ำสวรรค์ขนาดใหญ่สิบแห่ง ถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กสามสิบหกแห่ง ก็คือถ้ำสวรรค์จากคำว่า ‘ถ้ำสวรรค์พื้นที่วิเศษ’ บางแห่งที่อาณาบริเวณกว้างขวางก็ไม่รู้ว่ามีพื้นที่กี่พันกี่หมื่นลี้ ในตำนานเล่าลือกันว่าบรรพจารย์เต๋ามีถ้ำสวรรค์เหลียนฮวา (ดอกบัว) อยู่แห่งหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นหนึ่งในถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กสามสิบหกแห่ง แต่ใบบัวใบหนึ่งที่อยู่ในนั้นก็ใหญ่กว่าเมืองหลวงของราชวงศ์ต้าหลีพวกเจ้าเสียอีก”

เฉินผิงอันสะดุ้งตกใจ ถามอย่างกังขา “เป็นไปไม่ได้กระมัง?”

หนิงเหยายิ้มแล้วชูนิ้วโป้งขึ้นมา ก่อนตวัดเข้าหาตัวเอง กล่าวด้วยความมั่นใจเต็มที่ “ข้าเองก็ไม่เชื่อเหมือนกัน ฉะนั้นวันหน้าเมื่อข้าไปดูให้เห็นเองกับตาแล้ว จะกลับมาบอกความจริงแก่เจ้า!”

เฉินผิงอันพูดเบาๆ “สถานที่แปลกประหลาดขนาดนั้น คงไม่ใช่ว่าใครก็สามารถเข้าไปได้กระมัง?”

หนิงเหยาหัวเราะคิก “เจ้าคิดว่าข้าเป็นใคร?”

เฉินผิงอันรีบเบี่ยงหัวข้อสนทนา “แม่นางหนิง เจ้าพูดเรื่องถ้ำสวรรค์ต่อเถอะ”

หนิงเหยาหยิบหินดีงูขนาดเล็กกะทัดรัดสีดอกท้อชิ้นหนึ่งขึ้นมากุมไว้ในมือแล้วลูบคลึง “ไม่ว่าจะเป็นถ้ำสวรรค์ขนาดใหญ่แห่งใดก็ตามล้วนสามารถเชื่อมโยงเข้ากับฟ้าดิน ปราณวิญญาณเปี่ยมล้น นั่นต่างหากถึงจะเป็นจวนตระกูลเซียนที่สมชื่ออย่างแท้จริง หากผู้ฝึกลมปราณฝึกตนอยู่ในนั้นจะเหนื่อยน้อย แต่ได้ผลมาก เจ้าของถ้ำสวรรค์ หากไม่ใช่คนที่มีโชควาสนายิ่งใหญ่ติดตัวจะไม่อาจครอบครอง เพราะจะถูกยอดฝีมือในสามลัทธิร้อยสำนักแบ่งสรรปันส่วนกันจนสิ้น ไม่อนุญาตให้เขาได้แตะต้องแม้แต่ปลายเล็บ ถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กสามสิบหกแห่งคล้ายคลึงกับพื้นที่ลับที่ถูกอำพรางเอาไว้ เหมือนสตรีที่อุ้มผีผาปิดบังใบหน้า ซึ่งในบรรดานั้นถ้ำสวรรค์เถาหยวน (ต้นกำเนิดต้นท้อหรือแดนสวรรค์) มีทัศนียภาพสวยงามมากที่สุด ถ้ำสวรรค์กังเฟิง (ลมกรด) อันตรายมากที่สุด ถ้ำสวรรค์หลีจู…”

เฉินผิงอันถามอย่างใคร่รู้ “ถ้ำสวรรค์ของพวกเราเป็นอย่างไร?”

หนิงเหยากระตุกมุมปากโค้งขึ้น ยื่นสองนิ้วออกมาทำท่าประกอบ “เล็กที่สุด มีขนาดเพียงเท่านี้ พื้นที่เท่าแมวดิ้นตาย ไม่มีค่าพอให้พูดถึง”

เฉินผิงอันถึงขั้นยกขาขึ้นขัดสมาธิ ฟุบหมอบอยู่บนโต๊ะอย่างเกียจคร้าน จากนั้นจึงชูหมัดขึ้น ทยอยยกนิ้วขึ้นทีละนิ้วพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนกลั้วหัวเราะ “แต่ข้าอยู่ที่นี่ได้เจอกับท่านฉี หยางเหล่าโถว หลิวเสี้ยนหยาง กู้ช่าน แน่นอนว่ายังมีเจ้า แม่นางหนิง”

หนิงเหยาก็หัวเราะเหมือนกัน “ยังมีถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กอีกประเภทหนึ่งที่เป็นสถานที่เอาไว้เก็บสิ่งของ สำนักพุทธมีคำพูดบอกว่าในเมล็ดเจี้ยจื่อ (มัสตาร์ด) มีเขาพระสุเมรุ สำนักเต๋าก็มีคำบอกว่าในแขนเสื้อมีฟ้าดิน สำนักอีกร้อยสำนักที่เหลือก็มีคำพูดแตกต่างกันออกไป ซึ่งความหมายหลักๆ ก็คือ ‘พื้นที่เพียงคืบก็สามารถรองรับฟ้าดิน’ พูดง่ายๆ ก็คือวัตถุขนาดใหญ่ไม่มากกลับสามารถเก็บของเล่นไว้ได้มากมาย เพียงแต่ว่าเมื่อเปรียบเทียบกับถ้ำสวรรค์พื้นที่วิเศษที่แท้จริงแล้ว สมบัติที่ถูกสวมหัวว่า ‘ถ้ำสวรรค์’ ประเภทนี้ห้ามเก็บของที่มีชีวิต หนึ่งในสินสอดที่มีค่ามากที่สุดของท่านแม่ข้าในอดีตก็คือกำไลหยกวงหนึ่ง ขนาดเล็กใหญ่ของถ้ำสวรรค์ที่อยู่ด้านในใหญ่พอๆ กับห้องนี้”

เด็กหนุ่มรองเท้าแตะที่ไม่รู้ว่าด้านนอกฟ้าสูงแผ่นดินหนาแค่ไหนรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย “เล็กแค่นี้เองหรือ เจ้าดูใบบัวใบเดียวของบรรพจารย์เต๋าสิ ใหญ่เท่านครแห่งหนึ่งเชียวนะ”

หนิงเหยาอับอายจนพานมาเป็นความโกรธ จึงโน้มตัวไปด้านหน้า ยื่นมือออกไปกะจะตบหัวเฉินผิงอันสักที เฉินผิงอันรีบเอนตัวไปด้านหลัง หลบซ้ายหลบขวาอย่างว่องไว

หนิงเหยาลงมือหลายครั้งแต่ยังไม่โดนเป้าหมาย พลันฉุกคิดวิธีขึ้นมาได้ มือที่กำหินดีงูสีดอกท้อเอาไว้จึงทำท่าจะขว้างหินออกไป

เฉินผิงอันรีบพูดอย่างลนลาน “อย่าขว้างนะ อย่าขว้าง ถ้าขอบถูกกระแทกบิ่น เงินที่จะได้ต้องหายไปมากแน่!”

หนิงเหยาเบ้ปาก วางหินดีงูลง ทว่าจู่ๆ นางกลับยกมือขึ้นอีกครั้ง

ทำเอาเฉินผิงอันตกใจรีบหลับตาลง ทำใจทนมองไม่ไหว

เสียงเพี๊ยะดังหนึ่งครั้ง ก้อนหินถูกตบลงบนโต๊ะอย่างแรง หนิงเหยากุมท้องหัวเราะดังลั่น

พอเฉินผิงอันลืมตาก็พูดอย่างอ่อนใจว่า “แม่นางหนิง เจ้าอย่าเล่นเป็นเด็กอย่างนี้สิ”

หนิงเหยาเลิกคิ้วกระบี่แคบเรียวยาวของตัวเองขึ้น ใช้ข้อศอกปัดหินก้อนนั้นร่วงลงไปจากบนโต๊ะ

เฉินผิงอันยกมือสองข้างเกาหัว หน้ามุ่ย

หนิงเหยาหัวเราะคิก ยื่นมืออีกข้างหนึ่งออกมาจากใต้โต๊ะ ก้อนหินที่เดิมทีควรตกกระแทกพื้นนอนนิ่งอยู่กลางฝ่ามือขาวนวลของนาง

เฉินผิงอันยังคงยกมือสองข้างขึ้นกุมหัว ท่าทางน่าสงสาร

หนิงเหยาไม่หยอกล้อเฉินผิงอันอีกต่อไป แต่ถามด้วยสีหน้าจริงจัง “หลังจากนี้เจ้าจะทำอะไร?”

เฉินผิงอันครุ่นคิดแล้วตอบตามความจริง “ช่วยอาจารย์หร่วนทำงานแรงงานพวกนั้นเสร็จแล้ว ข้าอยากจะขึ้นเขาไปเผาฟืน จะได้ถือโอกาสเก็บยาสมุนไพรไปขายให้ร้านตระกูลหยางด้วย”

หนิงเหยาลังเลอยู่เล็กน้อยก่อนถามว่า “ถ้าอย่างนั้นนอกจากวานรย้ายภูเขาของเขาตะวันเที่ยงตัวนั้นและหญิงแต่งงานแล้วของตระกูลซวี่นครลมเย็นแล้ว เจ้าคิดจะทำยังไงกับสกัดคงคาเจินจวินหลิวจื้อเม่า เขาตะวันเรืองเบื้องหลังไช่จินเจี่ยนและนครมังกรเฒ่าเบื้องหลังฝูหนันหัว? หากวันหนึ่งพวกเขามาหาเรื่องเจ้า เจ้าจะหนีไปอยู่ที่ไหน?”

หนิงเหยาไม่รอให้เฉินผิงอันตอบก็พูดเสียงหนักต่ออีกครั้ง “ฉะนั้นตอนนั้นนักพรตลู่ถึงได้บอกกับเจ้าว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เจ้าต้องทำหน้าหนายืนกรานอยู่ที่ร้านตีเหล็กให้ได้ เพราะนี่คือหนทางที่ถูกต้อง”

เฉินผิงอันกล่าวอย่างเป็นกังวล “แล้วถ้าสร้างปัญหาใหญ่ให้กับช่างหร่วนล่ะ จะทำอย่างไร?”

หนิงเหยาหัวเราะเสียงเย็น “อริยะท่านหนึ่งที่ควบคุมการโคจรถ้ำสวรรค์ยังจะต้องกลัวปัญหาอีกหรือ?”

เฉินผิงอันพยักหน้า “ถ้าอย่างนั้นข้าจะกลับไปถามช่างหร่วน บอกความจริงทั้งหมดแก่เขาก่อน ดูว่าเขาจะยินดียอมรับข้าเป็นลูกศิษย์ระยะยาวหรือไม่”

หนิงเหยามือหนึ่งเท้าคาง อีกมือหนึ่งพลิกหินดีงูพวกนั้นเล่น “อยู่ในเมืองเล็กแห่งนี้ ไม่มีอะไรที่เหรียญทองแดงแก่นทองหนึ่งถุงแก้ไขไม่ได้ หากมี ก็จ่ายสองถุง”

เฉินผิงอันหน้าม่อย “ข้าเสียดายนี่นา”

หนิงเหยามองด้วยหางตา “ตอนที่เจ้าคิดจะยกพวกมันให้หลิวเสี้ยนหยางทั้งหมด ทำไมไม่รู้จักเสียดายบ้าง?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “คนละเรื่องกัน เอามาเทียบกับไม่ได้”

หนิงเหยาเหลือกตามองสูง “วันหน้าหากผู้หญิงคนไหนโชคร้ายแต่งเป็นเมียเจ้า ข้าว่านางคงอยากจะตบเจ้าให้ตายทุกวันเลยล่ะ”

เฉินผิงอันกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “หากมีภรรยาจริงๆ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ข้าไม่ได้โง่สักหน่อย จะปล่อยให้ภรรยาตัวเองลำบากได้อย่างไร”

หนิงเหยาทำหน้าไม่เชื่อ สีหน้าเต็มไปด้วยแววดูแคลน

เด็กหนุ่มที่ผิวดำราวกับถ่านยกมือทั้งคู่กอดอก นั่งขัดสมาธิ ทำสีหน้าเย่อหยิ่ง แค่นเสียงอย่างหาดูได้ยาก “หากภรรยาข้าต้องได้รับความไม่เป็นธรรม อย่าว่าแต่วานรเฒ่าเขาตะวันเที่ยงเลย ต่อให้จะเป็นบรรพจารย์เต๋าอะไรที่เจ้าพูดถึง ข้าก็จะฟันเขาให้ตาย ตายหรือไม่ยังไม่พูดถึงก่อน แต่ยังไงก็ต้องได้ฟันก่อนค่อยว่ากัน!”

หนิงเหยาตกตะลึงอย่างมาก นางถึงกับอ้าปากค้าง

ความรู้สึกบอกกับนางว่าเฉินผิงอันไม่ใช่คนกร้าวกระด้าง แน่นอนว่ายกเว้นตอนที่เขาฆ่าไช่จินเจี่ยนและตอนที่ปั่นหัววานรย้ายภูเขา เวลาปกติที่อยู่ร่วมกัน เฉินผิงอันเหมือนคนที่ไม่มีทางโกรธตลอดกาล นิสัยก็ดี ไม่ถือทิฐิ ไม่ร้อน ไม่หนาว

คำพูดเหล่านี้หากพวกลูกรักแห่งสวรรค์อย่างฝูหนันหัว ซ่งจี๋ซิน ฯลฯ เป็นคนพูด หนิงเหยาคงไม่รู้สึกแปลกใจอะไร แต่พอมันออกมาจากปากของเฉินผิงอัน หนิงเหยากลับไม่ค่อยกล้าเชื่อ นางจึงอดไม่ไหวถามว่า “ทำไมล่ะ?”

เฉินผิงอันยิ้มกว้าง “ชีวิตนี้ของพ่อข้าเคยทะเลาะกับคนแค่ครั้งเดียว เพื่อแม่ของข้า เพราะมีคนของตรอกฉีหลงด่าแม่ข้า พ่อข้าโมโหหนักเลยไปต่อยตีกับเขาอย่างรุนแรง ตอนที่กลับมาถูกแม่ข้าบ่นนานมาก แต่พ่อมาพูดกับข้าเป็นการส่วนตัวว่า สู้ชนะหรือไม่เป็นเรื่องหนึ่ง แต่จะสู้หรือไม่สู้กลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ผู้ชายหากปกป้องภรรยาตัวเองไม่ได้จะแต่งนางเข้าบ้านมาทำไม?!”

หนิงเหยาแปลกใจเล็กน้อย “หืม?”

เฉินผิงอันเกาหัว พูดเขินๆ “พ่อข้าเผาเครื่องปั้นเก่งมาก แต่เรื่องต่อยตีกลับไม่ได้เรื่องเลย ตอนกลับมาหน้าเขียวจมูกบวม ถูกคนซ้อมเสียยับเยิน”

หนิงเหยายกมือกุมขมับ ไม่อยากพูดอะไรอีก

นางเงียบไปครู่หนึ่ง ครั้นจึงลุกขึ้นแล้วพูดว่า “ไปล่ะ กลับร้าน”

เฉินผิงอันถาม “ให้ข้าไปส่งเจ้าที่หน้าตรอกหนีผิงไหม?”

หนิงเหยาพูดเสียงสะบัด “ไม่ต้อง”

เฉินผิงอันไม่ได้ดึงดัน เพียงเดินไปส่งนางที่หน้าประตูบ้าน

หนิงเหยาไม่ได้หันกลับมา แต่ก็รู้ดีว่าเด็กหนุ่มยืนอยู่ตรงหน้าประตูตลอดเวลา

คนดีที่ไม่คร่ำครึ หัวใจของพวกเขามักจะอบอุ่นสดใสมากเป็นพิเศษ ดั่งดอกทานตะวัน

เดิมทีนี่ก็เป็นเรื่องที่งดงามมากอยู่แล้ว

เด็กหนุ่มตรอกหนีผิงผู้ไร้ที่พึ่งถูกคนต่างถิ่นพวกนั้นเรียกขานคำแล้วคำเล่าว่าเป็นเด็กบ้านนอกชะตาต่ำต้อย เป็นมดตัวจ้อยยากจนที่ต้องขุดดินกินเป็นอาหาร

ทว่าสุดท้ายแล้วเด็กหนุ่มก็มีชีวิตของตัวเองที่ต้องใช้ เขาเองก็อยากให้ตัวเองมีชีวิตที่ดี ไม่หวังว่าจะได้เสวยสุข เพราะในความเป็นจริงเด็กหนุ่มก็เป็นเด็กที่สามารถทนความลำบากมาได้ตั้งแต่เล็ก เขาแค่คิดอย่างไร้เดียงสาว่าหากพ่อแม่ที่อยู่ใต้ดินรับรู้ได้ พวกเขาต้องวางใจได้แน่ แม้บ้านตระกูลเฉินจะมีเฉินผิงอันอยู่แค่คนเดียว แต่คนเดียวก็มีชีวิตที่ดีได้เหมือนกัน นี่หมายความว่าบ้านหลังนี้ที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้ไม่เลวเลยทีเดียว แม้ว่าในบ้านหลังนี้จะเหลือเพียงคนคนเดียวก็ตาม

ต่อให้มีเงินซื้อกลอนคู่ เด็กหนุ่มก็ต้องติดมันเพียงลำพัง จะไม่มีคนมาคอยบอกเฉินผิงอันว่าเขาติดเอียงหรือว่าติดตรง อักษรตัวฝู (福 ความสุข/โชคลาภ) ที่ติดอยู่บนประตูก็ต้องให้ตนปีนบันไดขึ้นไปติดเองโดยที่ไม่มีคนช่วยประคอง

มนุษย์มีชีวิตอยู่บนโลก ต้องรับผิดชอบความเป็นความตายด้วยตัวเอง เขาไม่คิดจะวอนขอสิ่งใดจากสวรรค์

ดังนั้นคนแบบนี้มองดูเหมือนจะนิสัยดี แต่แท้จริงแล้วกลับใจแข็งมากเป็นพิเศษ ชะตาจึงแข็งมากเช่นกัน

เด็กสาวที่เดินออกมาจากตรอกหนีผิงพลันรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย แล้วก็รู้สึกผิดด้วย

เพราะตนจากมาโดยไม่ได้บอกลา

หลังกลับเข้ามาในห้อง เฉินผิงอันนั่งเหม่อลอยอยู่ต่อหน้าตะเกียงน้ำมัน

สะลึมสะลืองัวเงีย เฉินผิงอันเหมือนจะหลับไม่หลับ คล้ายจะฝันไม่ฝัน

ดูเหมือนว่าจู่ๆ เขาก็เดินมาถึงฝั่งทิศใต้ของสะพานแบบคาน เพียงแต่พอจะจำได้เลือนๆ ว่าตลอดทางที่เดินมานั้นมืดสนิท แม้แต่ตัวเขาเองก็ยังมองเห็นภาพบรรยากาศที่ห่างตัวไปได้แค่ไม่กี่คืบ

หลังจากที่เท้าของเขาเหยียบลงบนบันไดขั้นแรก ระหว่างฟ้าดินพลันมีแสงสว่างส่องเจิดจ้า

เฉินผิงอันเดินข้ามสะพานมาอย่างมึนงง แล้วจู่ๆ ตรงกลางสะพานแบบคานก็มีแสงสีขาวโพลนราวหิมะจ้าพร่าตาอย่างถึงที่สุดเปล่งวูบขึ้นมา ดูเหมือนว่าจะสว่างยิ่งกว่า แฝงปณิธานที่น่าเคารพเลื่อมใสมากยิ่งกว่าแสงเมื่อครู่นี้เสียอีก ทั้งๆ ที่เฉินผิงอันปวดตาจนน้ำตาไหล แต่ไม่รู้ว่าทำไมกลับสามารถมองเห็นภาพเหตุการณ์ประหลาดที่อยู่ข้างในนั้นได้อย่างชัดเจนยิ่งกว่าเก่า

มีบุคคลสูงใหญ่คนหนึ่ง ใบหน้าเลือนรางยืนอยู่กลางสะพาน

คล้ายคลึงกับท่านฉีที่เฉินผิงอันพบเห็นครั้งแรกในตรอกเล็กซึ่งอาภรณ์ปลิวไสว ทั่วร่างเป็นสีขาวโพลนประดุจเทพเซียน

ทว่าท่ามกลางจิตสำนึกสับสนวุ่นวายดั่งม้าป่าที่หลุดจากบังเหียน เฉินผิงอันกลับมั่นใจอย่างถึงที่สุดว่าบุคคลที่อยู่ตรงหน้าผู้นี้เลื่อนลอยเป็นเพียงภาพมายายิ่งกว่าท่านฉี ราวกับว่าระยะทางระหว่างเขาหรือนางผู้นี้กับโลกมนุษย์ห่างไกลยิ่งกว่า

เฉินผิงอันเดินไปข้างหน้าช้าๆ ข้างหูเหมือนได้ยินเสียงแผ่วเบาเปี่ยมเสน่ห์ล่อลวงจิตใจคนของหญิงสาวดังขึ้น “คุกเข่าลงก็จะมีมหาโชคมาเยือน”

หลังจากนั้นก็มีเสียงตวาดเปี่ยมบารมีสะเทือนขวัญผู้คนดังขึ้นมา “เป็นแค่มนุษย์ธรรมดา ยังไม่รีบคุกเข่าลงอีก!”

แล้วก็ตามมาด้วยน้ำเสียงที่ราบเรียบสงบนิ่ง “ดั่งมนุษย์บนโลกที่ต้องคุกเข่าให้แก่กษัตริย์ ญาติและอาจารย์ แค่คุกเข่าแล้วแลกมาด้วยการได้เดินขึ้นสู่ยอดสูงสุดแห่งมหามรรคา จะไปยากอะไร”

ยังมีเสียงแก่ชราแหบพร่าดังขึ้นด้วย “การคุกเข่าครั้งนี้ก็เท่ากับว่าได้เดินผ่านสะพานอมตะ เดินขึ้นบันไดสวรรค์ ข้ามผ่านปราการฟ้าดิน อย่ามัวชักช้า รีบคุกเข่าลงซะ ไม่รับของที่สวรรค์ประทาน จะกลับกลายเป็นว่าต้องถูกสวรรค์ลงโทษ!”

เสียงที่คุ้นเคยเสียงหนึ่งตะโกนแข่งขึ้นมาสุดกำลัง “เฉินผิงอัน หยุดเดินเดี๋ยวนี้! ทั้งไม่ต้องเดินหน้า แล้วก็อย่าหมุนตัวกลับ ยิ่งห้ามคุกเข่า แค่ยืนอยู่ที่เดิมให้ได้หนึ่งก้านธูปก็พอ เจ้ามีร่างเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา จะแบกรับเจตจำนงแห่งปราณเทพได้สักเท่าไหร่กันเชียว? อย่าทำเรื่องที่ผิดต่อกฎสวรรค์…”

เหมือนจะเป็นเสียงเตือนและสั่งสอนจากหยางเหล่าโถว

เพียงแต่ว่ายิ่งเป็นช่วงท้าย เสียงของผู้เฒ่าก็ยิ่งแผ่วเบาลงเรื่อยๆ

เวลาเดียวกันนั้นเสียงหัวเราะอ่อนโยนก็ดังขึ้นด้วย “เฉินผิงอัน ไม่สู้ยืนให้ตรงแล้วลองเดินหน้ามาสักสองสามก้าวล่ะ?”

เสียงนี้เหมือนเสียงของท่านฉี

เฉินผิงอันอาศัยสัญชาตญาณของตัวเองยืนตัวตรงแน่ว หยุดฝีเท้า กวาดมองไปรอบด้านด้วยสายตาเลื่อนลอย

เขารู้แค่ว่าตัวเองมีคำถามมากมายที่อยากจะถามท่านฉี

เสียงจอแจอีกมากมายดังขึ้นๆ ลงๆ ไม่ขาดสาย “นี่คือโชควาสนาที่หม่าขู่เสวียนสมควรได้รับ! เด็กอย่างเจ้ารีบไสหัวออกไปซะ!”

“ต่อให้เป็นหม่าขู่เสวียนก็เอาไปไม่ได้ ควรจะตกสู่มือของหนิงเหยาตัวอ่อนเซียนสวรรค์ผู้นั้น เจ้าจะนับเป็นอะไรได้!”

“สกุลเฉินของเจ้าสายนี้คือโคลนเละที่ฉาบไม่ติด ควรจะเลิกจุดธูปไปนานแล้ว ยังกล้าจะปรารถนาในวัตถุเทพ เจ้าลูกผสมหน้าด้านไร้ยางอาย!”

“เฉินผิงอัน เจ้าเป็นห่วงเป็นใยพวกหนิงเหยาและหลิวเสี้ยนหยางมากไม่ใช่หรือ หมุนตัวกลับเมืองเล็กไปเถอะ เก็บโชควาสนานี้ไว้ให้เพื่อนเจ้า ไม่ใช่ว่าจะดียิ่งกว่าหรอกหรือ? ฉีจิ้งชุนใช้ความตายของเขาแลกมาด้วยความปลอดภัยของมนุษย์ธรรมดาอย่างพวกเจ้าแล้ว วันหน้าจงวางใจเป็นเศรษฐี แต่งเมียมีลูก ยังกลับมาเกิดได้ใหม่ ไม่ใช่ว่าดีมากหรอกหรือ?”

“หากกล้าเดินมาข้างหน้าอีกก้าว ต่อให้เจ้าตายไป ข้าก็จะเอากระดูกเจ้ามาป่นให้เป็นผงแล้วโปรยทิ้ง!”

เฉินผิงอันเดินออกไปหนึ่งก้าว

สะพานพลันสั่นสะเทือน

ฟ้าดินเงียบสงัด เสียงจอแจหายวับไป

มีทั้งคนที่ถอนหายใจ มีทั้งคนที่หวาดกลัว บ้างก็ตื่นตระหนก บ้างก็เคารพกริ่งเกรง บ้างปลงอนิจจัง อารมณ์ซับซ้อนยุ่งเหยิง

หลังจากเดินออกไปหนึ่งก้าว เฉินผิงอันก็ก้าวต่อเป็นก้าวที่สองอย่างเป็นธรรมชาติ และเวลานี้เอง เขาเพิ่งค้นพบว่าตัวเองเดินเคียงบ่าอยู่กับท่านฉี

ตลอดทั้งสะพานแบบคานรวมถึงนอกสะพานพลันเปลี่ยนมาเป็นมืดมิดมองไม่เห็นแม้แต่ห้านิ้วของตัวเอง

ก่อนหน้านี้ตอนที่เด็กหนุ่มหยุดเดินก็ไม่น้ำตาไหลเพราะเส้นแสงที่สว่างจ้าอีกแล้ว ทว่าเวลานี้จู่ๆ กลับมีก้อนแล่นมาจุกในลำคอ เขาจึงถามอย่างเฉียบไวว่า “ท่านฉี ท่านจะไปแล้วหรือ?”

“อืม จะไปแล้ว ข้างนอกมีคนมากมายหวังให้ข้าตาย ข้าจึงไม่อาจเลือกได้ด้วยตัวเอง”

“ท่านฉี แล้วพวกเรากำลังจะไปพบใคร?”

“ไม่ใช่ ‘พวกเรา’ แต่เป็นเจ้า เจ้าจะต้องไปพบ…ผู้เฒ่าคนหนึ่ง?”

เสียงปังพลันดังสนั่นหวั่นไหว

ดูเหมือนท่านฉีจะถูกคนผู้หนึ่งโจมตีจนปลิวกระเด็น แต่ท่านฉีกลับหัวเราะอย่างเบิกบาน สุดท้ายไม่ลืมพูดเน้นเสียงว่า “เฉินผิงอัน มหามรรคาอยู่ใต้ฝ่าเท้าเจ้าแล้ว ไป!”

เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง ยกเท้าเตรียมจะเดินออกไปเป็นก้าวที่สาม

มีเสียงหนึ่งที่คลอเสียงหัวเราะแผ่วเบาดังมาจากที่ไกลแสนไกล สูงแสนสูง ซึ่งลอดทะลวงปราการหลายชั้นของฟ้าดินมาถึงในชั่วพริบตาเดียว “เรื่องเดิมไม่ควรทำซ้ำเกินสามครั้ง ไปถึงแล้วจงหยุด”

ตรงกลางสะพานมีเสียงแค่นเย็นชาของคนผู้หนึ่งดังขึ้นมา

เฉินผิงอันพลันสะดุ้งตื่น ค้นพบว่าตัวเองนอนฟุบอยู่บนโต๊ะ ตะเกียงน้ำมันยังคงลุกไหม้ เด็กหนุ่มหันไปมองนอกหน้าต่างโดยไม่รู้ตัว

ฟ้าสว่างแล้ว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version