Skip to content

Sword of Coming 78

บทที่ 78 เข้าฝัน

ผ่านไปห้าวันแล้ว เบื้องใต้แสงอาทิตย์อัสดง ในที่สุดเฉินผิงอันก็เหยียบขึ้นไปบนยอดเขาเอ๋าโถว (หัวเต่ายักษ์) ที่ทางการเพิ่งระบุลงไปใหม่ในแผนที่ ในรัศมีหลายสิบลี้ของยอดเขาแห่งนี้มีเพียงมันที่ตั้งตระหง่านโดดเด่น สูงเสียดแทงเข้าไปในชั้นเมฆ เฉินผิงอันกัดแผ่นกานปิ่ง (ขนมชนิดหนึ่งที่ทำจากแป้ง เป็นแผ่นกลม นิยมนำไปย่างไฟกิน) แข็งแห้งชิ้นหนึ่ง นั่งอยู่บนกิ่งของต้นสนโบราณต้นหนึ่งบนยอดเขาที่กิ่งยื่นออกไปนอกหน้าผา ลมเย็นโชยมาเป็นระลอก พัดพาให้จอนผมข้างแก้มของเด็กหนุ่มปลิวไสวอย่างเหิมเกริม

ตะกร้าไม้ไผ่ถูกปลดวางอยู่ใต้ต้นไม้ เฉินผิงอันยังไม่ใจกล้าถึงขนาดที่จะแบกตะกร้าปีนขึ้นมาบนต้นไม้ ในอดีตเด็กหนุ่มมองการปีนเขาเป็นเพียงงานที่เหนื่อยยากงานหนึ่งเท่านั้น เพราะเอาแต่คิดจะติดตามฝีเท้าของผู้เฒ่าเหยาอย่างกระชั้นชิด ไม่เหมือนตอนนี้ที่เหนื่อยเมื่อไหร่ก็หยุดเดิน ทอดสายตามองภูเขาเขียวน้ำมรกตที่อยู่ห่างไปไกล อีกทั้งทัศนียภาพจำนวนมากที่ทำให้เฉินผิงอันทอดถอนใจด้วยความทึ่งในอดีตล้วนอยู่ในภูเขาใหญ่ที่ราชสำนักต้าหลีปิดผนึกไว้ทั้งสิ้น เด็กหนุ่มจึงได้แต่เดินอ้อมตามผู้เฒ่านิสัยเงียบขรึม ยอดเขาเอ๋าโถวก็คือหนึ่งในกรณีนี้

ภูเขาและลำธารตลอดทางที่เดินผ่านม เฉินผิงอันได้เห็นทัศนียภาพยิ่งใหญ่งดงามที่แปลกตามากมาย มีกลุ่มน้ำตกที่ทับซ้อนกันเป็นชั้นๆ สายรุ้งเล็กๆ ที่แขวนตัวพาดโค้งหลังฝนตก ใกล้ราวกับว่าเพียงแค่เด็กหนุ่มเอื้อมมือคว้าก็สามารถนำพวกมันกลับไปเก็บรักษาที่บ้านได้ มีหน้าผาสูงชันที่นกนับพันนับหมื่นบินมารวมตัวกัน เกล็ดหิมะมากมายที่ร้อยเรียงเข้าด้วยกันคล้ายม่านหิมะขาวโพลนที่แขวนอยู่บนผนัง มียอดเขาอันตรายที่มีเพียงทางสายเล็กลาดชันเท่านั้นที่ถึงจะพาไปสู่ยอดเขา สุดท้ายเดินเข้าไปในก้อนหินราบกว้างขนาดใหญ่ การมองเห็นพลันเปิดกว้าง ทำให้คนอดกลั้นหายใจไม่ได้ ยามค่ำคืนเด็กหนุ่มสวมเสื้อทับอีกหนึ่งตัว เมื่องัวเงียหลับไปพร้อมตะกร้าที่ยังแบกอยู่บนหลังก็คล้ายจะได้ยินเสียงพึมพำเบาๆ ของเซียนบนสวรรค์

หลังจากที่ขึ้นเขาลงห้วยอีกสามวัน ในที่สุดเฉินผิงอันก็มาถึงภูเขาเสินซิ่วที่ช่างหร่วนพูดถึง ระยะห่างประมาณสิบกว่าลี้ทางทิศตะวันตกและทิศเหนือต่างก็มีภูเขาเที่ยวเติงและยอดเขาเหิงซั่วตั้งทำมุมอยู่กับยอดเขาเสินซิ่ว ประหนึ่งมียักษ์สามตนที่ต่างก็ยืนตระหง่านกันอยู่คนละมุม

จากที่ปรากฏบนแผนที่ ในรัศมีร้อยลี้รอบยอดเขาสองลูกนี้มีภูเขาเล็กใหญ่ทั้งหมดห้าลูกสลับสล้าง ภูเขาลูกเล็กได้แก่ยอดเขาฉ่ายอวิ๋น (เมฆสีรุ้ง) และยอดเขาเซียนฉ่าว (หญ้าเซียน) ภูเขาลูกอื่นมีขนาดค่อนข้างใหญ่ได้แก่ภูเขาเติงซินไถ (แท่นไส้ตะเกียง) ภูเขาหวงหู (ทะเลสาบเหลือง) และภูเขาเป่าลู่ (ยันต์วิเศษ) ก่อนหน้าที่เฉินผิงอันจะมาภูเขาเสินซิ่ว ได้ไปที่ภูเขาเซียนฉ่าวและภูเขาหวงหูมาก่อน ภูเขาเซียนฉ่าวใหญ่กว่าภูเขาเจินจู (ไข่มุก) ระดับหนึ่ง แม้ว่าตัวภูเขาจะเล็กเตี้ย แต่กลับมีพืชหญ้าหนาดกมากเป็นพิเศษ และต้นไม้ใหญ่ที่สูงเสียดฟ้าก็ค่อนข้างมาก ส่วนภูเขาหวงหูนั้น สาเหตุน่าจะเป็นเพราะกลางภูเขามีทะเลสาบขนาดเล็กอยู่แห่งหนึ่ง มองไกลๆ น้ำทะเลสาบออกเหลือง แต่มองใกล้กลับใสกระจ่างอย่างถึงที่สุด เพียงแต่ว่านอกจากทะเลสาบขนาดเล็กนี้แล้ว เฉินผิงอันรู้สึกว่าเมื่อเทียบกับภูเขาเสินซิ่วที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของตนแล้ว ภูเขาหวงหูกลับด้อยกว่ามาก

ช่วงเวลาต่อมาเฉินผิงอันใช้เวลาสี่วันเต็มในการเดินเตร็ดเตร่รอบภูเขาเสินซิ่วและยอดเขาเหิงซั่ว สุดท้ายจึงเลือกยอดเขาได้สามลูก

ภูเขาเซียนฉ่าว ภูเขาเป่าลู่และยอดเขาฉ่ายอวิ๋น ภูเขาเซียนฉ่าวเล็ก ภูเขาเป่าลู่ใหญ่ ส่วนยอดเขาฉ่ายอวิ๋นสูง

ภูเขาเป่าลู่หนึ่งในนั้น เฉินผิงอันใช้เวลามากที่สุด ภูเขาลูกนี้เรียกได้วาเขาสูงเทียมเมฆพร้อมธารน้ำสายยาวได้อย่างแท้จริง ท่ามกลางภูเขามากมายที่เฉินผิงอันเคยไปเยือน ขนาดของมันเป็นรองแค่ภูเขาพีอวิ๋นกับภูเขาเสินซิ่วเท่านั้น แต่เฉินผิงอันก็รู้สึกกังวลใจเล็กน้อย ภูเขาเป่าลูมีขนาดใหญ่ถึงเพียงนี้ ซ้ำยังอยู่ใกล้กับยอดเขาเหิงซั่ว ขนาดเฉินผิงอันที่ไม่ได้เป็นผู้ฝึกตนยังรู้สึกได้ถึงความยอดเยี่ยมของภูเขาลูกนี้ แล้วมีเหตุผลใดที่ช่างหร่วนจะไม่ละทิ้งภูเขาเตี่ยนเติง (จุดตะเกียง) มาเลือกภูเขาเป่าลู่?

เฉินผิงอันลองคำนวณดู ภูเขาสามลูกที่ตนเลือกไว้น่าจะต้องใช้เงินเหรียญทองแดงแก่นทองประมาณสี่สิบห้าเหรียญ จะเหลืออีกสามสิบหกเหรียญ ภูเขาเจินจูต้องใช้เงินอิ๋งชุนเหรียญหนึ่งแน่นอน แต่กระนั้นก็ยังเหลืออีกตั้งสามสิบห้าเหรียญ มากพอจะให้เฉินผิงอันใช้จ่ายมือเติบโดยการซื้อภูเขาลูกใหญ่ตามความหมายที่แท้จริงอีกลูกหนึ่ง! เพราะอย่างไรซะช่างหร่วนก็เคยบอกว่า แม้แต่เทือกเขาคูเฉวียน ภูเขาเซียงฮั่วที่มีขนาดใหญ่เท่ากับภูเขาเสินซิ่วแห่งนี้ก็ยังมีราคาแค่ยี่สิบห้าถึงสามสิบเหรียญทองแดงแก่นทองเท่านั้น

ช่างหร่วนยังเปิดเผยเจตนารมณ์สวรรค์ บอกว่าในรัศมีพันลี้ของสถานที่แห่งนี้ ราชสำนักต้าหลีจะแต่งตั้งมหาเทพของเทือกเขาหนึ่งองค์ เทพภูเขาสามท่านและเทพลำธารอีกหนึ่งท่าน สำหรับเรื่องนี้ วันที่สองหร่วนซิ่วก็เคยอธิบายให้เขาฟังอย่างละเอียด คำว่าเทพภูเขานั้น ก็คือบุคคลที่เหมาะสมผู้หนึ่งซึ่งราชสำนักเลือกมาจากกรมพิธีการ อาจจะเป็นบุคคลในประวัติศาสตร์ซึ่งมีชื่อเสียงของพื้นที่นั้นๆ หรือจะเป็นนักรบผู้มีคุณูปการซึ่งเคยพลีชีพเพื่อชาติในสมรภูมิก็ได้ จากนั้นฮ่องเต้ต้าหลีจะทรงแต่งตั้งให้เป็นเทพภูเขา โดยการใช้พู่กันจุ่มชาดแดงที่พิเศษด้ามหนึ่งเขียนชื่อของคนผู้นั้นลงในหนังสือลำดับศักดิ์วงศ์ตระกูลแห่งแว่นแคว้นอย่างเป็นทางการ แล้วจึงจุดธูปกราบไหว้ เป็นอันเสร็จพิธี ความหมายแฝงของการทำเช่นนี้ก็คือ ในฐานะโอรสสวรรค์ที่เป็นตัวแทนของสวรรค์คอยตรวจตราโลกมนุษย์ นี่คือการแจ้งให้เทพชั้นสูงทราบ ซึ่งโดยทั่วไปก็ถือว่าจบเรื่องแล้ว

หลังจากนั้นก็แค่สั่งให้สำนักโหราศาสตร์สร้างแผ่นทองป้ายหยกมอบให้ราชครูเขียนราชโองการด้วยตัวเอง แล้วสั่งให้คนนำไปฝังไว้ตรงตีนเขา สุดท้ายถึงจะให้ส่วนราชการเชิญคนสร้างรูปปั้นดินเหนียวร่างทองขึ้นมาหนึ่งองค์ แล้วนำไปประดิษฐานไว้ในวัดเทพภูเขา เทพภูเขาท่านนั้นจะมีคุณสมบัติที่จะได้เสพสุขกับควันธูปซึ่งชาวบ้านจุดให้อย่างเปิดเผย โดยที่เขาจะคอยเฝ้าพิทักษ์ปกป้องสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในขอบเขตของภูเขาลูกนั้น และคอยสยบกำราบ ปราบปรามหรือขับไล่วิญญาณสิ่งอัปมังคลที่ข้ามล้ำขอบเขตเข้ามา

เฉินผิงอันไม่คาดหวังว่าภูเขาสามลูกใกล้กับภูเขาเสินซิ่วที่ตนเลือกจะมีเทพภูเขาท่านหนึ่งคอยช่วยพิทักษ์ปกป้องเขตบ้านของเขา แต่นำความหวังไปไว้ที่ภูเขาลูกใหญ่ซึ่งต้องจ่ายเงินมากที่สุดลูกนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ กิจการหลักของครอบครัวจะได้รับการปกป้องจากช่างหร่วนสามร้อยปี ส่วนภูเขาใหญ่โดดเดี่ยวที่ห่างไกลจากพื้นที่แห่งนี้ หากสามารถเชิญเทพภูเขาท่านหนึ่งมาได้ ก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะทำให้เฉินผิงอันวางใจได้มาก

ส่วนภูเขาเจินจูที่เป็นเพียงเนินเขาขนาดเล็กมีค่าแค่เหรียญอิ๋งชุนเหรียญเดียวนั้น คาดว่านอกจากเฉินผิงอันแล้วก็คงไม่เข้าตาใครอีก

เวลานี้เฉินผิงอันนั่งอยู่บนหน้าผาหินขนาดใหญ่บนยอดเขาฉ่ายอวิ๋น ด้านหน้าวางแผนที่ภูมิศาสตร์ฉบับใหม่ของต้าหลีแผ่เอาไว้ เด็กหนุ่มท่องจำชื่อภูเขาลูกใหญ่และตำแหน่งทางภูมิศาสตร์เหล่านั้นจนขึ้นใจแล้ว แต่กระนั้นก็ยังไม่อาจตัดสินใจได้ว่าจะซื้อภูเขาลูกสุดท้ายเป็นลูกไหน

เด็กหนุ่มรองเท้าแตะใช้มือสองข้างเท้าคาง หัวคิ้วขมวดเป็นปมแน่น ร่างโยกไปข้างหน้าและข้างหลังเบาๆ

ความคิดของเด็กหนุ่มล่องลอยไปไกลหมื่นลี้

ซื้อภูเขาแล้วจะทำอะไรได้อีก อันที่จริงเฉินผิงอันไม่ค่อยมีความมั่นใจเท่าใดนัก

แต่พอคิดถึงว่าในสามร้อยปี ตนยังคงเป็นเจ้าของภูเขาห้าลูกนั้นในนามอยู่ตลอดเวลา เดิมทีนีก็ถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีมากแล้ว

แต่งภรรยาเป็นอันดับแรก ก่อร่างสร้างตัว จากนั้นก็ส่งมอบให้แก่บุตรชายบุตรสาว ในอนาคตบุตรชายบุตรสาวก็จะมอบให้กับบุตรชายบุตรสาวของพวกเขาอีกที

ที่แท้เรื่องการแต่งภรรยา แม้จะไม่ใช่เรื่องฉุกเฉินเร่งด่วน แต่ก็จำเป็นต้องพิจารณาให้ดี

พอคิดมาถึงตรงนี้ เฉินผิงอันที่หัวเราะเฮอๆ อย่างโง่งมก็พลันคืนสติ แล้วก็ให้รู้สึกลำบากใจเล็กน้อย

เฉินผิงอันเอนตัวไปด้านหลัง เริ่มรู้สึกงวง เลยคิดอยากจะงีบหลับสักพัก ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน พอลืมตาขึ้นมา เฉินผิงอันก็รู้สึกปวดหัวครามครัน ตอนนี้ตนฝันตอนกลางวันด้วยหรือ?

นี่เป็นครั้งที่สามแล้วที่ตนเจอกับคนชุดขาว

ครั้งแรกบนสะพานแบบคาน ครั้งที่สองใต้สะพานหินโค้ง บวกกับครั้งนี้บนยอดเขา

คราวนี้คนชุดขาวร่างสูงใหญ่ที่อาบไล้อยู่ท่ามกลางแสงหิมะสีขาวโพลนนั่งขัดสมาธิ อยู่ห่างจากเฉินผิงอันแค่สองจั้ง ทว่าเฉินผิงอันกลับไม่สามารถมองเห็นโฉมหน้าของอีกฝ่ายได้ชัด

เฉินผิงอันรู้สึกว่าจะเอาแต่หวาดกลัวอยู่อย่างนี้ก็ไม่ใช่เรื่อง จึงปลุกความกล้า เปิดปากถามอย่างระมัดระวัง “ท่านผู้อาวุโส…”

เพี๊ยะ!

ความรู้สึกในนาทีถัดมาของเฉินผิงอันคือปวดแสบปวดร้อนเหมือนกับตอนที่ถูกหางวัวตบหน้าเมื่อครั้งยังเป็นเด็ก

เฉินผิงอันที่สะดุ้งตื่นจากความฝันผุดลุกขึ้นนั่ง ค้นพบว่าตัวเองนั่งอยู่ที่เดิม กวาดตามองไปรอบด้าน ไม่มีอะไรผิดปกติ แต่พอลูบคลำซีกหน้าด้านข้างของตัวเองกลับยังเจ็บอยู่ไม่คลาย

ต่อให้คิดจนสมองแตก เด็กหนุ่มก็ยังไม่เข้าใจสาเหตุ ได้แต่เกาหัวอย่างมึนงง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version