บทที่ 79 ตราประทับรับวสันต์
เฉินผิงอันยังไม่ออกจากภูเขาก็สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฟ้าพลิกดินของเมืองเล็ก นอกจากทอดสายตามองเมืองเล็กจากยอดเขาของภูเขาตี้เจินจึงเห็นว่ารอบด้านเต็มไปด้วยฝุ่นผงที่คลุ้งตลบแล้ว ห่างออกไปไกลตรงแถบยอดเขาหย่วนมู่ ยังได้เห็นหนุ่มฉกรรจ์เกือบร้อยคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพวกช่างเผาเครื่องปั้น มีพละกำลังโดดเด่น อดทนต่อความยากลำบากและงานหนักได้ดีกำลังตัดต้นไม้ยักษ์อยู่ใต้แสงอาทิตย์ร้อนแผดเผา
เฉินผิงอันจึงเดินเข้าไปใกล้ หาคนคุ้นเคยที่เคยเผาเครื่องปั้นในเตาเผาเดียวกันมาคนหนึ่ง พอถามจึงรู้ว่าที่แท้เมืองเล็กต้องการสร้างสี่สิ่งปลูกสร้างใหญ่อย่างที่ว่าการอำเภอ หอเหวินชาง ศาลอู่เซิ่งและวัดเทพอภิบาลเมืองพร้อมกันรวดเดียว ผู้นำคือผู้ตรวจการหนุ่มคนล่าสุด แซ่อู๋นามยวน ส่วนตำแหน่งนายอำเภอนั้น คือตำแหน่งทางการอะไรกันแน่ แล้วที่ว่าการอำเภอคือสถานที่แบบใด ชาวบ้านในเมืองเล็กไม่เข้าใจ แล้วก็ไม่สนใจ รู้แค่ว่าในเวลานี้มีงานที่มั่นคงงานหนึ่งเพิ่มมาชั่วคราว ค่าจ้างน่าสนใจอย่างมาก เมื่อเทียบกับการเผาเครื่องปั้นในเตามังกรเมื่อครั้งอดีตแล้ว มีแต่จะดียิ่งกว่า
ก่อนหน้านี้งานเตาเผาถูกล้มเลิก ไฟในเตามอดดับ ชายฉกรรจ์ที่ทำงานในเตาเผาทำงานหลังสู้ฟ้าหน้าสู้ดินกันตลอดทั้งปี ได้แต่พูดคุยอยู่กับเทือกสวนไร่นา หาเลี้ยงครอบครัวไม่ใช่เรื่องง่าย อีกทั้งยังได้เงินแค่ไม่กี่เหรียญทองแดง ดังนั้นตอนนี้คนทั่วทั้งเมืองเล็กจึงฮึกเหิมดีใจ มองอู๋ยวนใต้เท้าอู๋เป็นดั่งเทพเจ้าแห่งโชคลาภ นอกจากนี้เหล่าผู้เฒ่าร่ำรวยของสี่แซ่สิบตระกูลที่มักจะเก็บตัวเงียบ สำหรับใต้เท้าอู๋น้อยที่หนุ่มกว่าพวกเขาหนึ่งรอบหรืออาจถึงขั้นสองรอบอายุนั้น นอกจากจะมีท่าทางให้ความเคารพแล้ว การพูดการจายังเผยความใกล้ชิดดุจปลากับน้ำ ส่วนพวกคนที่มองการณ์ไกลยิ่งกว่านั้นกลับอำพรางความประจบเอาใจไว้ ชาวบ้านในเมืองไม่ได้ตาบอด ต่อให้จะเป็นเพียงกบใต้กะลา ความรู้ตื้นเขิน แต่ความสามารถในการสังเกตสีหน้าและคำพูดกลับไม่แย่
อู๋ยวนนายอำเภอคนปัจจุบันให้ประมุขของสี่แซ่สิบตระกูลออกหน้าว่าจ้างชายฉกรรจ์ในเมืองห้าหกร้อยคนเพื่อให้ขึ้นเขาไปตัดไฟ ขนย้ายไม้ออกมาจากภูเขา เพื่องานนี้ยังมีการขุดทางลาดเพื่อกว้านต้นไม้ยักษ์จำนวนมากซึ่งใช้ทำเป็นเสาเอกและคานโดยเฉพาะด้วย หากอาศัยกำลังคนให้แบกลงมาจากภูเขาจะสูญเสียเวลาและกำลังคนมากเกินไป ดังนั้นจึงสามารถนำไปวางไว้ในทางลาดสายนั้น ไม้ใหญ่ลำหนึ่งก็จะไหลลื่นลงมาถึงตีนเขาด้วยตัวเอง เพียงแต่ว่าเมื่อทำเช่นนี้ ยอดเขาหย่วนมู่ก็จะเหมือนแผลเป็นที่ถูกกรีดบนใบหน้าของคนผู้หนึ่ง
นอกจากขึ้นเขาแล้ว ยังต้องลงน้ำ ผู้ชายหลายคนของเมืองเล็กช่วยกันลงแรงไปขนทรายย้ายก้อนหินจากที่ธารน้ำสายเล็ก ทางประตูฝั่งตะวันออกของเมืองเล็กถูกเลือกเป็นที่ตั้งของที่ว่าการอำเภอ บ้านดินเหนียวหลังเล็กของเจิ้งต้าเฟิงจึงถูกทุบทิ้ง กระทุ้งดินให้แน่นเพื่อสร้างรากฐานที่มั่นคง แม้แต่รั้วประตูไม้ที่ไม่รู้ว่าทนลมทนฝนมากี่ปีแล้วก็ยังถูกรื้อทิ้งทั้งหมดด้วย
ตอนที่เฉินผิงอันเดินออกจากภูเขา ไม่ได้เลือกเดินบนทางเส้นเล็กระหว่างภูเขาที่คดเคี้ยวเลี้ยวลด แต่เลือกเหยียบเดินบนก้อนหินกลางธารน้ำโดยตรง กระโดดดึ๋งๆ ไปตามธารน้ำตอนล่าง จึงประหยัดเวลาได้มาก ชาวบ้านในเมืองบางส่วนเห็นเงาร่างของเด็กหนุ่มแบกตะกร้าก็ไม่รู้สึกแปลกใจ คนส่วนใหญ่ล้วนรู้ว่าในตรอกหนีผิงมีเด็กกำพร้าอยู่คนหนึ่งที่เชี่ยวชาญการเก็บสมุนไพรและเผาฝืนมาตั้งแต่เด็ก เวลาขึ้นเขาเมื่อไหร่ก็ราวกับกลายร่างเป็นลิง ไม่ว่าใครก็ไล่ตามไม่ทัน
เฉินผิงอันหยุดลงตรงจุดที่ธารน้ำสองเส้นมาบรรจบกัน ที่แท้หากเดินลงไปอีกสองจั้งจะมีผาหินที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อ ทว่าตอนนี้มีคนกลุ่มหนึ่งรวมตัวกันอยู่ บนริมชายฝั่งและบนหินสีดำก้อนหนึ่งที่โผล่พ้นผิวน้ำใกล้กับผาหินต่างก็มีชายหนุ่มเรือนกายบึกบึนยืนอยู่ตำแหน่งละหนึ่งคน ตรงเอวของพวกเขาล้วนพกดาบที่ฝักร้อยรัดด้วยเส้นใยสีทอง สวมชุดคลุมยาวสีดำสะอาดสะอ้าน ปิดบังใบหน้าด้วยผ้าบางสีดำชั้นหนึ่ง มัดผมปักปิ่น ทั้งร่างแผ่กลิ่นอายคมกริบ
วินาทีที่เด็กหนุ่มรองเท้าแตะเผยกาย คนทั้งสองพลันย้ายเส้นสายตามาจ้องมองเฉินผิงอันที่โผล่พรวดออกมาอยางไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย มือก็กดกุมอยู่บนด้ามดาบ
เฉินผิงอันที่แบกตะกร้าไม้ไผ่บนหลังยืนนิ่งไม่ขยับ สีหน้าเป็นปกติ
เด็กหนุ่มผ่านประสบการณ์ช่วงชิงชีวิตในตรอกเล็กกับไช่จินเจี่ยนและฝูหนันหัวมาสองครั้ง ภายใต้การไล่ฆ่าจากวานรพิทักษ์ภูเขาของเขาตะวันเที่ยงต้องเผ่นหนีไปสี่ทิศ สุดท้ายยังต้องประมือกับหม่าขู่เสวียนคนวัยเดียวกันในสุสานเทพเซียนอีก หากคู่ต่อสู้ไม่ใช่เทพเซียนผู้สูงส่งก็เป็นพวกตัวประหลาดที่ผ่านมาร้อยสมรภูมิ หรือไม่ก็เป็นคนโชคดีที่ชะตาสวรรค์ลิขิตไว้ ทว่าสุดท้ายแล้วเฉินผิงอันก็ยังมีชีวิตอยู่รอดมาได้
ดังนั้นสายตามืดทะมึนของชายพกดาบสองคนสามารถสามารถทำให้ชาวบ้านร้านตลาดหวาดหวั่นพรั่นพรึงได้ แต่กลับไม่อาจทำให้เฉินผิงอันเกิดอารมณ์ได้มากมายเท่าใดนัก
ทว่าเฉินผิงอันไม่ต้องการให้เกิดปัญหาแทรกซ้อน เพิ่งจะคิดเดินขึ้นฝั่ง จากนั้นเดินตามทางเลียบริมน้ำกลับเข้าไปในเมือง แต่กลับค้นพบว่ามีชายหนุ่มคนหนึ่งที่เป็นดั่งดวงเดือนที่ถูกห้อมล้อมด้วยหมู่ดาว หันไปพูดกับข้ารับใช้พกดาบที่ยืนอยู่ในธารน้ำสองสามคำ ฝ่ายหลังก็รีบปล่อยมือที่กุมด้ามดาบทันที ชายหนุ่มที่เดิมทีนั่งขัดสมาธิจึงลุกขึ้นยืนช้าๆ ไม่นึกว่าเขาจะสูงกว่าข้ารับใช้พกดาบสองคนถึงครึ่งศีรษะ ผิวพรรณขาวนวลดุจสตรี ใบหน้าค่อนข้างอ่อนละมุน เขาหันมากวักมือให้เฉินผิงอัน เอ่ยด้วยภาษาท้องถิ่นของเมืองด้วยสีหน้าอ่อนโยนเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องกลัว เจ้าเดินไปตามเส้นทางเดิมของเจ้าก็พอ พวกเราไม่ใช่คนเลวร้าย”
ภาษาท้องถิ่นที่อีกฝ่ายพูดค่อนข้างติดขัดอยู่บ้าง แต่เฉินผิงอันกลับเข้าใจอย่างชัดเจน หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่ เฉินผิงอันจึงส่งยิ้มให้อีกฝ่าย ยื่นมือชี้ไปบนชายฝั่ง บอกให้รู้ว่าอีกไม่นานตนก็จะขึ้นฝั่งแล้ว จึงไม่อยากรบกวนการคุยเล่นกันของพวกเขา
ไม่รอให้ชายหนุ่มผู้นั้นพูดอะไร ร่างของเฉินผิงอันกระโดดอย่างปราดเปรียวอยู่ไม่กี่ทีก็ขึ้นไปบนฝั่งได้แล้ว เพียงไม่นานเรือนกายผอมแห้งนั้นก็หายวับไปบนทางสายเล็กท่ามกลางป่าไม้เขียวขจีที่เริ่มรกครึ้ม
ชายหนุ่มที่ค่อนข้างคล้ายสตรีดึงมือกลับอย่างไม่สบอารมณ์นัก เหล่าข้ารับใช้ที่อยู่ข้างกายหัวเราะอย่างอดไม่ไหว ชายหนุ่มจึงกล่าวอย่างกระอักกระอ่วน “เด็กเก็บสมุนไพรคนนั้นฝีมือไม่ธรรมดา เห็นไหม ข้าบอกแล้วว่าที่นี่คือสถานที่อันมีภูมิตําแหน่งวิเศษ ย่อมเป็นที่กําเนิดชนผู้ประเสริฐ ดังนั้นพวกเจ้าอย่าเอาแต่บ่นว่าที่นี่ไม่รุ่งเรืองคึกคักเหมือนในเมืองหลวง สถานที่เล็กๆ ก็มีความพิเศษและมีเอกลักษณ์ของสถานที่เล็กๆ เช่นกัน”
ไม่พูดยังดี แต่การกระทำที่นี่ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง[1]ของขุนนางผู้เป็นดั่งบิดาของชาวบ้านท่านนี้กลับเรียกเสียงหัวเราะฮาครืนจากคนรอบกาย
ชายร่างสูงใหญ่ผู้นี้ก็คืออู๋ยวนเทพเจ้าแห่งโชคลาภในสายตาของชาวบ้าน ผู้ตรวจการงานเตาเผาควบนายอำเภอเมืองหลงเฉวียน (น้ำพุมังกร) คนแรก เมื่อเผชิญหน้ากับเสียงหัวเราะเยาะจากเหล่าข้ารับใช้ เขากลับไม่หงุดหงิด พอนั่งลงก็ยังพูดคุยถึงหัวข้อก่อนหน้านี้ต่อไป “ที่ว่าการอำเภอหลงเฉวียน หอเหวินฉาง ศาลอู่เซิ่ง วัดเทพอภิบาลเมือง สิ่งปลูกสร้างสี่แห่งนี้ ลำพังแค่กรอบป้ายที่กระจัดกระจาย อย่างน้อยก็ต้องมีสิบห้าสิบหกชิ้น สำหรับการที่ถ้ำสวรรค์หลีจูร่วงลงมาอย่างมั่นคง แล้วเชื่อมดินแดนเข้ากับเขตพื้นที่ของต้าหลีอย่างปลอดภัย สามารถรักษาสภาพทางทางภูมิศาสตร์ดั้งเดิมไว้ได้ถึงเจ็ดแปดส่วน โดยที่ไม่มีเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งใหญ่เกิดขึ้น เป็นเหตุให้ฝ่าบาททรงพระโสมนัส ถึงกับพระราชทานกรอบป้ายคำว่า ‘เวินกู้จือซิน’ (ได้ความรู้ใหม่จากการทบทวนของเก่า) ให้แก่หอเหวินชาง…”
ตอนที่อู๋ยวนพูดมาถึงตรงนี้ ชายหนุ่มบุคลิกสง่างามกล่าวกลั้วหัวเราะเบาๆ ว่า “ใต้เท้าอู๋ ท่านไม่ได้ช่วยที่ว่าการอำเภอของพวกเราขอภาพอักษรฝีพระหัตถ์มาจากฝ่าบาทบ้างหรือ?”
อู๋ยวนถอนหายใจ “ขอสิ ทำไมจะไม่ขอล่ะ แต่ฝ่าบาทไม่ทรงตอบรับ ข้าจะมีวิธีใดอีก แต่เรื่องนี้จะโทษฝ่าบาทก็ไม่ได้ เพราะอย่างไรซะที่ว่าการอำเภอเล็กๆ เพียงแห่งเดียว แต่ได้ฝีพระหัตถ์พระราชทานจากฝ่าบาท จะให้พวกผู้ปกครองเขต พวกขุนนางท้องถิ่นใช้ชีวิตกันยังไง? วันหน้าข้ายังจะอยู่ในวงการขุนนางได้หรือเปล่า?”
ทุกคนยิ้มอย่างเข้าใจ
อู๋ยวนจึงเอ่ยปลอบใจทุกคน “ยังดีที่ท่านหลิวและหัวหน้าบัณฑิตฉีแห่งกว๋อจื่อเจียน (สถาบันการศึกษาสูงสุด) ต่างก็รับปากกันไว้แล้วว่า เมื่อถึงเวลานั้นจะให้คนนำกรอบป้ายสองชุดมาส่ง เป็นกรอบป้ายที่ไว้แขวนในที่ว่าการอำเภอกับศาลอู่เซิ่ง ปัญหาตอนนี้ก็คือที่หอเหวินชางยังขาดอีกสามป้าย วัดเทพอภิบาลเมืองก็ขาดสองป้าย ทุกคนตรงนี้ช่วยกันคิดหาวิธีหน่อยดีไหม? หรือจะต้องให้ข้าจับพู่กันเขียนเองจริงๆ? ลายมือยึกยือของข้า แม้แต่อาจารย์ข้ายังรู้สึกสิ้นหวัง แน่นอนว่าหากพวกเจ้าไม่รู้สึกขายหน้า ข้าย่อมเขียนให้ได้ โอกาสเดียวในชีวิตที่จะนำตัวอักษรของตนเข้ากรอบขึ้นป้าย ในที่สุดก็มาถึงแล้ว!”
ชายหนุ่มที่บุคลิกไม่ธรรมดาผู้นั้นครุ่นคิด “ถ้าอย่างนั้นก็ให้ท่านปู่ข้าเขียนจดหมายฉบับหนึ่งส่งไป ท่านปู่ของข้ากับท่านป๋ายฉิวที่เก็บตัวเงียบผู้นั้นมีความสัมพันธ์ที่ไม่เลวต่อกัน ลองดูว่าจะช่วยคิดหาวิธีช่วงชิงความมีหน้ามีตามาให้แก่ใต้เท้าอู๋ของพวกเราได้หรือไม่”
อู๋ยวนตบไหล่เขา “ถ้าอย่างนั้นหน้าตาของข้าผู้เป็นขุนนางก็ต้องมอบให้เจ้าแล้ว หากว่าจำนวนของกรอบป้ายไม่พอ หน้าตาของใต้เท้านายอำเภอตกพื้นเก็บกลับคืนมาไม่ได้ ถึงเวลานั้นค่อยมาซักถามเอากับเจ้า”
สีหน้าของชายหนุ่มแข็งกระด้าง รู้สึกเหมือนตัวเองขุดหลุมให้กับตัวเอง
เพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ ที่อายุต่างกันไม่มากพากันเผยสีหน้าเห็นใจ นิสัยของใต้เท้าอู๋คนนี้ขึ้นชื่อเรื่องการปีนป่ายขึ้นที่สูง เพียงให้เกียรตินิดหน่อยก็กล้าจะเปิดโรงย้อมผ้าที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง เจ้ายังกล้าจะเปรียบเทียบความหนาของหนังหน้ากับคนแบบนี้น่ะหรือ?
คนหนุ่มที่รัศมีความเป็นขุนนางยังไม่มากพอเหล่านี้ต่างก็เป็นเลขานุการซึ่งเป็นตำแหน่งขุนนางอันแพร่หลายของราชวงศ์ทางทิศเหนือในแจกันสมบัติทวีปบูรพา
ตำแหน่งนี้แบ่งของเป็นบุ๋นและบู๊สองชนิด เลขานุการฝ่ายบุ๋นก็เหมือนกุนซือผู้ให้คำปรึกษา คอยวางแผน ขจัดภัยและกำจัดความเป็นกังวลให้แก่เจ้านาย เลขานุการฝ่ายบู๊ก็อย่างชายหนุ่มร่างกำยำที่ตรงเอวห้อยดาบปักด้ายสีทองสองคนนั้น ซึ่งรับผิดชอบเป็นข้ารับใช้ประจำกาย คอยรักษาความปลอดภัยให้แก่ขุนนางผู้เป็นเจ้านาย แต่ว่าตำแหน่งเลขานุการนี้ถือว่าอยู่ในระดับของขุนนางผู้น้อย ไม่ถือเป็นขุนนางอย่างเป็นทางการของราชสำนัก ตระกูลสูงศักดิ์มักจะจ้างหรือไม่ก็เชิญเลขานุการบุ๋นบู๊มาให้แก่ลูกหลานของตน แน่นอนว่าราชสำนักก็มีจำนวนจำกัดในการแบ่งสรร จำนวนคนเริ่มจากสองคนถึงยี่สิบคน ซึ่งทั้งหมดล้วนสามารถรับเงินเดือนจากต้าหลีได้
อู๋ยวนเกิดมาในตระกูลยากจน ไม่อาจเชิญเลขานุการมาเป็นการส่วนตัวได้ เลขานุการฝ่ายบุ๋นเหล่านี้ล้วนเป็นคนที่ทางราชสำนักจัดสรรมาให้ แต่อำเภอหลงเฉวียนที่อยู่บนดินแดนของต้าหลีก็เป็นแค่อำเภอขนาดใหญ่แห่งหนึ่งเท่านั้น เทียบไม่ได้แม้แต่กับเขตการปกครอง (หรือจวิ้นตู ซึ่งในสมัยโบราณมีขนาดใหญ่กว่าอำเภอ) เดิมทีจะได้รับการจัดสรรเป็นเลขานุการบุ๋นบู๊อย่างละหนึ่งคนเท่านั้น แต่เห็นได้ชัดว่าเลขานุการฝ่ายบู๊ที่พกฝักดาบรัดพันด้วยเส้นใยสีทองสองคนนั้นคือยอดฝีมือทางการทหารของต้าหลีซึ่งเคยมีคุณูปการที่โดดเด่น หาไม่แล้วคงไม่มีคุณสมบัติที่จะพกดาบเล่มนี้ได้
อันที่จริงการที่อู๋ยวนได้กลายมาเป็นขุนนางผู้เป็นดั่งบิดาคนแรกของอำเภอหลงเฉวียนแคว้นต้าหลีก็สามารถอธิบายให้เห็นถึงปัญหาได้มากมายแล้ว
อาจารย์ผู้มีพระคุณที่อบรมสั่งสอนนายอำเภอหนุ่มก็คือราชครูแห่งต้าหลีผู้มีสมญานามว่า “ซิ่วหู่”
พ่อตาในอนาคตของเขาคือพลเอก[2] บางท่านที่อยู่บนหลังม้าในสมรภูมิรบชายแดนต้าหลีมาครึ่งชีวิต
หลังจากการล้อเล่นผ่านไป อู๋ยวนก็เอ่ยด้วยสีหน้าจริงจัง “สิ่งปลูกสร้างทั้งสี่นี้มีขั้นตอนการก่อสร้างใหญ่มากอยู่แล้ว แล้วนับประสาอะไรกับที่พื้นที่แถบสุสานเทพเซียนและภูเขาเครื่องปั้น คนของเมืองเล็กตั้งแต่อาจารย์หร่วนอริยะไปจนถึงคนของสี่แซ่สิบตระกูลที่อยู่บนถนนฝูลวี่และตรอกเถาเย่ต่างก็ทำแค่พอเป็นพิธีเหมือนกันหมด เห็นได้ชัดว่าอันดับต่อมาย่อมไม่ราบรื่น ต้องมีอุปสรรคแน่ ทว่าเรื่องใหญ่และปัญหาอย่างแท้จริงคือกรมพิธีการ สำนักโหราศาสตร์และสำนักศึกษาสามฝ่ายของราชสำนักที่จะมารวมตัวกันที่นี่ในลำดับถัดไป เพื่อดำเนินการเรื่องการแต่งตั้งเทพภูเขาและเทพลำธาร หากไม่เป็นเพราะเรื่องเทพพิทักษ์ขุนเขาได้รับการต่อต้านมากเกินไปจนฝ่าบาททรงลังเลพระทัย หาไม่แล้วฝ่าบาทคงเสด็จมาเยือนอำเภอหลงเฉวียนของพวกเราด้วยพระองค์เอง”
อู๋ยวนเห็นสีหน้าของพวกเขาที่หนักอึ้งไม่แพ้กันก็ควักเอากานปิ่ง (ขนมชนิดหนึ่งที่ทำจากแป้ง เป็นแผ่นกลม นิยมนำไปย่างไฟกิน) ออกมากัดแรงๆ แล้วพูดอยางผ่อนคลายว่า “สุดท้ายแล้ววัดใหญ่อันเป็นที่สถิตของมหาเทพขุนเขานี้จะได้สร้างขึ้นบนภูเขาพีอวิ๋นที่อยู่ในเขตปกครองของพวกเราหรือไม่ จะกลายมาเป็นขุนเขาอุดรแห่งใหม่ของต้าหลีหรือไม่ พวกเราไม่อาจเข้าไปยุ่งเกี่ยวด้วยได้จริงๆ พวกเราน่ะก็เป็นแค่ปลาตัวเล็กกุ้งตัวน้อยในที่ว่าการอำเภอเท่านั้น ดังนั้นอย่าหวังว่าจะแทะกานปิ่งเป็นขุนนางใหญ่ตำแหน่งสำคัญเลย ปล่อยให้พวกขุนนางเฒ่าสวมชุดเหลืองชุดม่วงพวกนั้นเหนื่อยกันไปเองเถอะ”
อารมณ์ของผู้คนรอบด้านเริ่มดีขึ้นมาได้บ้าง
อู๋ยวนกัดกานปิ่งเงียบๆ ลังเลอยู่ชั่วครู่ก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงอู้อี้ฟังไม่ชัด “มีข่าวหนึ่งที่ทั้งเป็นข่าวดี แล้วก็เป็นข่าวร้าย หลังจากราชวงศ์สกุลหลูถูกล้มล้าง จะจัดการกับพวกราฎรที่สิ้นชาติเหล่านั้นอย่างไร เป็นปัญหาข้อใหญ่มาโดยตลอด อันดับต่อไปอำเภอหลงเฉวียนของพวกเราต้องรับนักโทษประหารมาห้าพันถึงหนึ่งหมื่นคน คนดีคนชั่วปะปนกัน สามลัทธิเก้าสำนักล้วนมีหมด ดังนั้นกองทัพของต้าหลีจึงต้องตรวจตราอย่างเข้มงวดมาตลอดทาง รับผิดชอบพานักโทษประหารเหล่านี้มาส่งที่นี่ สำหรับพวกเราแล้ว การกระทำนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ข้อดีอยู่ที่ ในที่สุดอำเภอหลงเฉวียนของพวกเราก็มีรูปร่างของอำเภอใหญ่กับเขาบ้างแล้ว ส่วนข้อเสียก็คือบรรยากาศเลวร้าย ทำให้พวกเราที่เดิมทีก็ไม่คุ้ยเคยกับสถานที่อยู่แล้วยิ่งไม่รู้ว่าควรจะลงมือจากจุดไหน จำเป็นต้องลงแรงดึงพวกเจ้าถิ่นที่เลือกอยู่ต่อในเมืองเล็กมาเป็นพวกอย่างสุดกำลัง”
ชายหนุ่มที่มีชาติกำเนิดเป็นลูกหลานตระกูลสูงศักดิ์ แต่กลับมาเป็นเลขานุการถามขึ้นว่า “สามารถแยกตระกูลใหญ่พวกนั้นออกจากกันแล้วค่อยไล่จัดการไปทีละตระกูลได้ไหม?”
อู๋ยวนส่ายหน้าอย่างไม่ลังเล “ยาก เพิ่งจะมาถึงแรกๆ ใครจะยอมเชื่อพวกเรา?”
อู๋ยวนกลาวเสียงหนัก “แทนที่จะโอ้อวดแสดงความฉลาด แหวกหญ้าให้งูตื่น ไม่สู้ค่อยเป็นค่อยไป พวกเรามาเยือนสถานที่ที่มีประวัติศาสตร์ซับซ้อนมากที่สุด แน่นอนว่าทุกท่านจะได้ช่วงชิงอนาคตที่ดีงามไปพร้อมกับข้าอู๋ยวน แต่มีเรื่องหนึ่งที่พวกเราต้องเข้าใจให้ชัดเจน การขัดเกลาครั้งใหญ่ภายใต้อุปสรรคที่หนักหนาถึงจะแลกมาด้วยความร่ำรวยสูงศักดิ์ ดังนั้นพวกเจ้าหากใครอยากจะเลื่อนขั้นร่ำรวยภายในปีสองปี ข้าคิดว่าสามารถหันหัวกลับได้เสียตั้งแต่ตอนนี้ ข้าอู๋ยวนจะช่วยออกค่าเดินทางให้เอง”
สีหน้าของเลขานุการบุ๋นและบู๊หกคนเด็ดเดี่ยว ไม่มีใครมีความคิดที่จะถอยหนีเพราะกลัวความยากลำบาก
อู๋ยวนเอ่ยขึ้นเบาๆ “จงจำไว้ว่า อย่ากระทำการใดด้วยความมุทะลุ”
นี่ไม่ใช่คำพูดพล่อยๆ จากอู๋ยวน แต่เป็นเพราะหลังจากเข้ามาในเมืองเล็กได้ไม่นาน เขาเคยต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ที่ชวนอึดอัดใจมาก่อน ตอนนั้นที่ทางการต้าหลียกกำลังไปปราบปรามผู้ฝึกลมปราณของแม่น้ำจื่อแยนผู้นั้น เป็นเขาอู๋ยวนที่ดึงดันจะเสี่ยงอันตรายจากการถูกราชสำนักลงโทษ เลือกสังหารก่อนค่อยรายงานอย่างเด็ดขาด หวังทำลายสภาพการณ์ที่ชะงักงัน ช่วงชิงความรู้สึกดีจากอาจารย์หร่วนมาก่อน จากนั้นค่อยอาศัยอำนาจของอริยะสยบสี่แซ่สิบตระกูลในเมืองเล็ก
ความจริงพิสูจน์ให้เห็นว่าทางฝ่ายฮ่องเต้ไม่ได้ซักไซ้เอาความผิด ทว่าปฏิกิริยาตอบสนองของอาจารย์หร่วนอริยะบุคคลในเวลานั้นกลับทำให้เหงื่อเย็นหลั่งเต็มกระดูกสันหลังของอู๋ยวน ปรารถนาจะตบบ้องหูตัวเองแรงๆ สักที
มีคนถามอย่างใคร่รู้ “พวกชาวบ้านและนักโทษเหล่านั้น เอามาเป็นแรงงานช่วยพวกผู้ฝึกลมปราณบุกเบิกภูเขาหรือ?”
อู๋ยวนพยักหน้ารับ “นอกจากนี้แล้ว ราชสำนักจะยังให้ผู้ฝึกลมปราณควบคุมวานรด้ายทองเยาว์วัยอีกสองตัวมาพร้อมกับนักรบเสื้อเกราะเซี่ยหลิ่งและหุ่นเชิดบุกเบิกภูเขาของพรรคมหายันต์ลัทธิเต๋า รีบบุกเบิกภูเขาทั้งหกสิบกว่าลูกให้ครบถ้วนในเวลาสิบปี วัดลัทธิเต๋า ศาลาหอเรือน มีครบหมดทุกอย่าง”
เหล่าคนหนุ่มที่อยู่ข้างกายอู๋ยวนต่างก็เผยสีหน้าเคลิบเคลิ้มเลื่อมใส
ทางฝั่งของเมืองเล็ก บนพื้นที่ราบเรียบมีหอเรือนสูงผุดขึ้นมา ท่ามกลางภูเขาลึกมีจวนของเทพเซียนเพิ่มขึ้นมามากมาย
ทุกคนมองหน้ากันแล้วยิ้ม ไม่ต้องพูดก็เข้าใจได้ ในฐานะที่พวกเขาเป็นขุนนางกลุ่มแรกในประวัติศาสตร์ของอำเภอหลงเฉวียน จึงถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องถูกบันทึกลงในหน้าประวัติศาสตร์ แล้วมีหรือที่จะไม่กล้าร่วมแรงร่วมใจกัน ไม่ยอมซื่อสัตย์ภักดีต่อเสาหลักอย่างอู๋ยวนที่ถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องมีอนาคตยาวไกลไร้ขีดจำกัด?
……
บนบอดเขาพีอวิ๋น ชายหนุ่มที่มีใฝแดงกลางหว่างคิ้วสะบัดชายแขนเสื้ออย่างไม่ใส่ใจหนึ่งครั้ง ทะเลเมฆที่ปกคลุมไปครึ่งค่อนภูเขาก็ถูกแหวกออกไปฝั่งซ้ายและขวา เมื่อทอดสายตามองไปไกล ปลายทางการมองเห็นมีรถลากเทียมวัวตันหนึ่งและรถม้าคันหนึ่งปรากฏขึ้นมา
เขาพูดกลั้วหัวเราะอย่างร่าเริง “เปิดการเดิมพันแล้ว เปิดการเดิมพันแล้ว ฉีจิ้งชุน หากครั้งนี้ข้าชนะ ถ้าอย่างนั้นควันธูปสองก้านที่เจ้าเค้นสมองครุ่นคิดแทบตายเพื่อทิ้งเอาไว้คงต้องถูกตัดขาดอย่างสิ้นเชิงแล้ว น่าสงสารซะจริง”
นิ้วมือทั้งสองของเด็กหนุ่มคีบตราประทับชิ้นหนึ่งเอาไว้ อักษรที่สลักบนตราประทับคือคำว่า “ใต้หล้ารับวสันต์” (จากคำว่าเทียนเซี่ยอิ๋งชุน)
นิ้วมือของเด็กหนุ่มที่ยิ้มตาหยีพลันเพิ่มแรง ตราประทับปริแตก แล้วแหลกลาญกลายเป็นผุยผง เพียงไม่นานก็สลายไปท่ามกลางฟ้าดิน
การที่เขาสามารถบีบตราประทับให้แหลกสลายได้ง่ายดายขนาดนี้ ก็เพราะความหมายแท้จริงของคำทั้งสี่คือความสิ้นหวังสุดขีด ดุจใจคนที่หมดอาลัยตายอยาก เป็นเหตุให้มันสลายตัวเองมานานแล้ว
เขาดึงสายตากลับคืนมาอย่างรวดเร็ว สุดท้ายมองไปยังเด็กหนุ่มแบกตะกร้าคนหนึ่งที่เดินมุ่งหน้าไปทางเมืองเล็กเพียงลำพัง
—-
[1] ที่นี่ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง มาจากเรื่องเล่าของชายคนหนึ่งชื่อจางซานที่เก็บหอมรอมริบจนวันหนึ่งมีเงินอยู่สามร้อยตำลึง ด้วยกังวลว่าจะมีคนมาขโมยไป จะเก็บไว้ข้างตัวก็กลัวถูกล้วง เก็บไว้ในลิ้นชักก็กลัวถูกค้น คิดไปคิดมา จึงลงเอยที่การขุดดินหลังบ้านตอนกลางคืนแล้วฝังเงินลงไป พอกลบดินเป็นอันเรียบร้อยแล้วก็กลัวจะมีคนมาขุดเอาไปอีก จางซานเลยวิ่งกลับเข้าไปในบ้าน คว้ากระดาษพู่กันขึ้นมาเขียนคำว่า “ที่นี่ไม่มีเงินสามร้อยตำลึง” แปะไว้ที่ฝาบ้าน เสร็จแล้วจึงกลับเข้าบ้านไปนอน
เพื่อนบ้านของจางซานชื่อหวังเออร์ ได้ยินเสียงขุดดินมาสิบกว่านาทีแล้วก็เงียบไป นึกสงสัยว่าเกิดอะไรก็ขึ้น ก็เลยตื่นมาดู พอเห็นกระดาษแผ่นนั้นใต้แสงจันทร์ ก็พอเดาได้ว่าเกิดอะไรขึ้น หวังเออร์เลยขุดเอาเงินสามร้อยตำลึงนั้นไปแล้วกลบดินเหมือนเดิม พอเสร็จเรียบร้อยแล้วหวังเออร์เกิดกังวลขึ้นมาว่า จางซานตื่นมาตอนเช้าอาจจะรู้ว่าตนเองขโมยเงินไป ก็เลยคว้ากระดาษขึ้นมาเขียนตัวอักษร “หวังเออร์เพื่อนบ้านไม่ได้ขโมย” แปะไว้ข้างๆกระดาษแผ่นแรก
สุภาษิตที่นี่ไม่มีเงินสามร้อยตำลึงจึงเป็นคำเปรียบเปรยหมายถึง “อยากปกปิดซ่อนเร้น กลับกลายเป็นเปิดเผยให้โลกรู้”
[2] ซ่างจู้กั๋ว (上柱国) แปลตามตัวคือคานสูงที่ค้ำยันประเทศ ซึ่งเป็นตำแหน่งขุนพลระดับสูงของกองทัพนับแต่ยุคชุนชิว