Skip to content

Sword of Coming 88

บทที่ 88 แต่งหน้าขึ้นแสดง

เฉินผิงอันเหลือบมองแขกไม่ได้รับเชิญที่ตรงเอวห้อยฝักดาบไม้ไผ่เขียวแล้วแสร้งทำท่างุนงงไม่เข้าใจ “มือกระบี่?”

ชายฉกรรจ์มือหนึ่งจับงอบ มือหนึ่งตบด้ามดาบเบาๆ ยิ้มบางกล่าวว่า “ตอนนี้ยังหากระบี่ที่เหมาะกับข้าไม่เจอ ดังนั้นจึงได้แต่ใช้มันมาแทนที่ ทำให้คนใช้ดาบใต้หล้าอับอายก่อนชั่วคราว”

ได้ยินลักษณะการพูดการจาที่ค่อนข้างคุ้นเคย เฉินผิงอันกลับรู้สึกคลายใจ คิดว่าหลิวเสี้ยวหยางคงจะเป็นเพื่อนกับชายคนนี้ได้เป็นอย่างดี

ด้านหลังเฉินผิงอันและหลี่เป่าผิง พ่อลูกคู่นั้นเดินเคียงบ่ากันมาช้าๆ เด็กสาวจูลู่ไม่ค่อยเห็นด้วยนักจึงเอ่ยหยัน “แค่ราชามังกรหาวก็สูบน้ำจากแม่น้ำได้ทั้งสาย ช่างพูดจาวางโตนัก ท่านพ่อ สมองไอ้หมอนี่มีปัญหาหรือเปล่า?”

จูเหอเห็นว่าอีกด้านหนึ่งของเอวชายฉกรรจ์ยังแขวนน้ำเต้าใส่เหล้าสีเงินยวงไว้อีกลูกหนึ่ง ขนาดประมาณฝ่ามือ ถูกขัดถูจนเรียบรื่นแวววาว แค่มองก็รู้แล้วว่าเป็นของเก่าที่มีอายุหลายปี จึงพูดกับบุตรสาวของตัวเองเสียงเบา “แม้จะสัมผัสไม่ได้ว่าการไหลเวียนของลมปราณเขามีอะไรผิดปกติ เพียงแต่ทอดยาวกว่าคนทั่วไปเล็กน้อย แต่ก็ยังต้องระวังเอาไว้ แม้ว่าชีวิตนี้พ่อจะไม่เคยออกจากบ้านเดินทางไกล แต่เคยได้ยินท่านบรรพบุรุษเล่าเรื่องเกร็ดประวัติชีวิตในยุทธภพมาไม่น้อย เขาบอกว่าการเดินาทงในยุทธภพต้องระวังแม่ชี หลวงจีนเฒ่า เด็กเล็กและคนขี้เหล้า นอกจากนี้แล้ว ยิ่งเป็นพวกที่ไม่เหมือนปรมาจารย์ยอดฝีมือมากเท่าไหร่ก็ยิ่งไม่อาจประมาทได้เท่านั้น”

เด็กสาวร้องอ้อหนึ่งที ทั้งตื่นเต้นทั้งฮึกเหิม แทบอยากจะให้ชายฉกรรจ์ที่หน้าตาไม่สะดุดตาผู้นั้นเป็นนักฆ่าไปให้รู้แล้วรู้รอด จะได้ใช้เป็นหินลับมีดให้แก่นางที่เพิ่งก้าวเข้าสู่วงการต่อสู้พอดี

เฉินผิงอันถาม “เจ้ามาหาข้า?”

ชายฉกรรจ์ยิ้มกว้าง “ข้าจะไปส่งเจ้าที่ชายแดนต้าสุย ก่อนจะไปถึงที่นั่น พวกเราเดินทางร่วมกัน จะได้ช่วยดูแลกัน”

เฉินผิงอันถามหยั่งเชิง “เจ้ารู้สึกช่างหร่วนที่ตีเหล็ก?”

ชายฉกรรจ์พยักหน้ารับ “ต้องรู้จักอยู่แล้ว”

เฉินผิงอันผ่อนลมหายใจหนึ่งที

ก่อนจะออกจากเมืองเล็ก หนึ่งในการแลกเปลี่ยนก็คือ ช่างหร่วนรับปากตนว่า ก่อนหน้าที่จะไปถึงด่านเย่ฝู่อันเป็นพื้นที่สำคัญของสำนักการทหารที่ตั้งอยู่ริมชายแดนของต้าหลี เขาจะช่วยรับประกันความปลอดภัยให้แก่ตน

เฉินผิงอันเชื่อว่าช่างหร่วนไม่มีทางผิดคำพูด โดยเฉพาะที่คนผู้นี้ปรากฏตัวเร็ว แทบจะโผล่ออกมาใต้เปลือกตาของช่างหร่วน ดังนั้นจึงไม่น่าจะเป็นคนของหนึ่งในสามกองกำลังอย่างเขาตะวันเที่ยง เขาเมฆาเรืองและนครมังกรเฒ่า อีกทั้งด้านหลังยังมีพ่อลูกจูเหอจูลู่ปรากฏตัวอย่างทันเวลา จึงช่วยเพิ่มความมั่นใจให้เฉินผิงอันมากขึ้น

ทว่าเฉินผิงอันยังกลัวจะเกิดเหตุไม่คาดฝัน

เขาจึงถามว่า “ถ้าอย่างนั้นเจ้าไปหาช่างหร่วนกับข้าที่เมืองเล็กก่อน แล้วพวกเราค่อยเดินทางลงใต้? พอดีข้าเพิ่งรู้ด้วยว่า แท้จริงแล้วแม้ออกจากประตูตะวันออกของเมืองจะอ้อมอยู่บาง แต่ก็มีทางสายใหญ่ให้เดิน ทั้งรถลากเทียมวัวและรถม้าก็ล้วนเดินได้ สรุปคือเร็วกว่าที่พวกเราจะข้ามเขาข้ามแม่น้ำ”

รอยยิ้มของชายฉกรรจ์มีเลศนัย “ระวังตัวขนาดนี้เชียว? ไม่กล้าได้กล้าเสียเหมือนลูกยุทธจักรเอาเสียเลย”

เฉินผิงอันไม่ได้หันกลับไป สายตายังคงจ้องเป๋งไปที่ชายฉกรรจ์ผู้นั้น แต่เอ่ยเสียงหนักว่า “จูเหอ เจ้าช่วยบอกให้จูลู่พาเป่าผิงกลับเมืองเล็กไปก่อนได้หรือไม่ พวกเราไม่รีบร้อน”

จูเหอเข้าใจต้นสายปลายเหตุได้ทันทีจึงพยักหน้ารับ “แบบนี้ย่อมดีที่สุด”

จากนั้นจูเหอก็หันไปพูดกับบุตรสาว “ลู่เอ๋อร์ เจ้าพาคุณหนูกลับไปก่อน ข้ากับเฉินผิงอันจะอยู่คุยกับพี่อาเหลียงท่านนี้เสียหน่อย ดื่มเหล้าก็ดี ประลองฝีมือก็ช่าง เจอกันถือเป็นวาสนา ไม่มีอะไรที่เกินไป”

แม่นางน้อยชุดแดงที่ถูกจูลู่จับมือไม่มีความลังเลใด แล้วก็ไม่ได้ร้องโยเยว่าจะอยู่กับอาจารย์อาน้อยของนาง เพียงแค่กระตุกชายแขนเสื้อของเฉินผิงอันแล้วพูดเบาๆ ว่าระวังตัวด้วยนะ จากนั้นจึงเดินเร็วๆ จากไปพร้อมกับจูลู่อย่างเด็ดเดี่ยว หลี่เป่าผิงไม่อืดอาดยืดยาดแม้แต่น้อย กลับเป็นสาวใช้ที่เป็นดั่งลูกวัวเกิดใหม่ไม่กลัวเสือเสียอีกที่เต็มไปด้วยความผิดหวัง ปรารถนาอย่างยิ่งที่จะแลกตำแหน่งกับบิดาตัวเอง

พอชายฉกรรจ์คนนั้นเห็นภาพการจากลานี้ก็ถึงกับกลอกตามองสูง ปลดน้ำเต้าใส่เหล้าลง เอนหลังพิงลาขนสีขาวตัวนั้น กระดกเหล้าขึ้นดื่มหนึ่งอึกแล้วหลุดหัวเราะ “ให้แม่หนูน้อยพานังหนูนั่นจากไปก่อนได้เลย หนึ่งก้านธูปให้หลัง นายท่านใหญ่อย่างพวกเราสามคนค่อยไปที่เมืองเล็ก”

จากนั้นชายฉกรรจ์ก็ชูน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีเงินยวงในมือขึ้น ยื่นมือตบลงบนหลังลา มองมาทางจูเหอ ถามยิ้มๆ ว่า “เจ้าเองก็ถือเป็นมือดีของพื้นที่แถบหนึ่ง จะไม่รู้จักของเล่นชิ้นนี้เชียวหรือ?”

เขาตบศีรษะตัวเอง “ลืมไปว่าถ้ำสวรรค์หลีจูของพวกเราเพิ่งจะเปิดออก เจ้ารู้สิถึงจะแปลก ไม่เป็นไรๆ พวกเราค่อยๆ คุยกันไปก็ได้ มีเวลาให้คุยมากมาย”

ชายฉกรรจ์ผู้นี้ชี้ไปที่ต้นหลิ่วเก่าแก่ที่ทอดขวางอยู่บนผิวน้ำ “พวกเราไปนั่งคุยกันที่นั่นดีไหม?”

เฉินผิงอันกับจูเหอสบตากัน รู้สึกว่าเป็นอย่างนี้ย่อมดีที่สุด จะได้สามารถสังเกตการณ์ไปเงียบๆ

ชายฉกรรจ์จูงลาสีขาวตัวนั้นเดินตามอยู่ด้านหลังเฉินผิงอันกับจูลู่ พอมาถึงข้างต้นหลิ่วเก่าแก่ก็ปล่อยเชือกออกจากมือ ปล่อยให้ลาตัวนั้นเล็มหญ้าตามสบาย ส่วนตัวเขาเดินขึ้นไปบนต้นหลิ่ว เดินตามลำต้นไปเรื่อยๆ จนพ้นออกจากชายฝั่งถึงได้นั่งลง หยิบงอบขึ้นมาวางบนศีรษะอีกครั้ง ยกน้ำเต้าบรรจุเหล้าสีเงินยวง เงยหน้ากรอกเหล้าเข้าปาก แล้วพลันหันหน้ามา ยื่นเหล้าส่งให้พลางถามยิ้มๆ “ใครอยากดื่มบ้าง? สนุกคนเดียวไม่สู้สนุกหลายคน เหล้าต้มเซียนขุยกังหนึ่งตำลึงราคาสองตำลึงเงิน คือความปรารถนาดีจากตระกูลเศรษฐีของต้าสุย ตลอดทางที่เดินทางขึ้นเหนือ ข้าดื่มไปดื่มมา ได้ลองลิ้มรสชาติเหล้าไม่ต่ำกว่าร้อยชนิด แต่สุดท้ายแล้วก็มีเหล้าต้มเซียนนี่แหละที่รสชาติเยี่ยมที่สุด”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าไม่ดื่มเหล้า”

จูเหอก็ส่ายหน้าเช่นกัน “ฝึกวรยุทธ์ยังไม่สำเร็จ ไม่กล้าดื่มเหล้า”

ชายฉกรรจ์ส่ายหน้าตาม มองพวกเขาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเสียดาย “ที่แท้ก็ไม่ใช่พวกใจนักเลง ก่อนหน้านี้ไม่นานข้ารู้จักจอมยุทธ์น้อยคนหนึ่ง ช่างองอาจรักอิสระอย่างแท้จริง…”

ชายฉกรรจ์ผู้นั้นพลันค้นพบว่าเฉินผิงอันและจูเหอมีสีหน้าประหลาด เขาจึงสงสัยเล็กน้อย แต่ก็ไม่อาจหลุดมาดของยอดฝีมือได้ จึงได้แต่ดื่มเหล้าปกปิดความมึนงงของตัวเอง

เฉินผิงอันกระแอมเบาๆ หนึ่งที ชายฉกรรจ์จึงถาม “มีอะไร?”

เฉินผิงอันยื่นนิ้วชี้ไปยังตำแหน่งที่ห่างออกไปนอกสุดของต้นหลิ่วโบราณที่คอหักเอียงพับ

ชายฉกรรจ์ขมวดคิ้ว หันหน้ามองตามไป ผลกลับกลายเป็นว่าเห็นขาสองข้างบดบังเส้นสายตา สีหน้าของชายฉกรรจ์เปลี่ยนเป็นมาแข็งทื่อในชั่วพริบตา พลันเงยหน้าขึ้น จึงเห็นชายวัยกลางคนสีหน้าไร้อารมณ์ผู้หนึ่งที่อย่างน้อยน่าจะหนักหนึ่งร้อยห้าสิบหกสิบจิน (ประมาณ 75-80 กก.) ไอ้หมอนี่กลับยืนล่องลอยอยู่บนยอดกิ่งหลิวบอบบาง คนผู้นี้ปรากฏตัวอย่างลึกลับ ทำเอาชายฉกรรจ์สวมงอบสะดุ้งตกใจ พอนั่งไม่มั่นคงจึงพลัดตกลงไปในน้ำ สภาพอเนจอนาถอย่างถึงที่สุด

ผู้ที่มาก็คือหร่วนฉงอริยะสำนักการทหาร เหมือนอย่างที่หยางเหล่าโถวบอกไว้ เขาไม่มีความสนใจในความเคลื่อนไหวตลอดระยะพันลี้รอบด้าน เว้นเสียจากพวกที่คิดจะแหกกฎท้าทายอย่างชุยฉานเท่านั้น หร่วนฉงที่ใจคิดแต่จะหลอมกระบี่ถึงจะลงมือ หร่วนฉงไม่รู้สึกว่าจะมีคนกล้าลงมือกับเฉินผิงอันในรัศมีร้อยลี้ เพราะนั่นคือการตบหน้าเขาหร่วนฉงอย่างจัง และใบหน้าของผู้ฝึกกระบี่ชั้นที่สิบเอ็ดของสำนักการทหารคนหนึ่งก็มีแต่จะหนักกว่า ไม่มีเบากว่าใบหน้าของราชวงศ์หนึ่ง ดังนั้นหร่วนฉงจึงคร้านจะคอยจับตามองความเคลื่อนไหวของแถบนี้ ก็แค่การจับคู่เดินทางระหว่างเด็กหนุ่มรองเท้าแตะกับแม่นางน้อยผู้ไร้เดียงสาคนหนึ่งเท่านั้น จะมีค่าพอให้เขาต้องจับตามองด้วยตัวเองได้อย่างไร?

แต่หร่วนฉงถูกวัตถุสิ่งหนึ่งกระตุกความสนใจ

มีคนแกว่งวัตถุชิ้นนั้น หร่วนฉงก็สัมผัสได้ทันทีว่าด้านในวัตถุชิ้นนั้นซุกซ่อนปราณกระบี่ที่ทั้งบริสุทธิ์และมากไพศาลเอาไว้ อีกทั้งความรู้สึกนี้ยังคุ้นเคยอย่างถึงที่สุด มันแผ่กลิ่นอายของความใกล้ชิดและความเศร้าเสียใจขุมหนึ่ง สำหรับเรื่องนี้ หร่วนฉงทีฝึกตนอยู่ในสำนักมาหลายปี แม้จะไม่เคยเห็นกับตาตัวเอง แต่ก็เคยได้ยินมานานแล้ว จึงรีบเดินทางมาจากร้านตีเหล็กในทันที

เวลานี้เห็นคนผู้นั้นมีสภาพเทียบไม่ได้กับมนุษย์ธรรมดา หร่วนฉงไม่เพียงแต่ไม่รู้สึกเย้ยหยัน กลับยังเพิ่มความเคร่งเครียดขึ้นมาอีกเสี้ยวหนึ่ง เขาถามว่า “ใช่เว่ยจิ่นแห่งหอเทพเซียนหรือไม่?”

ชายฉกรรจ์ที่ตกลงไปในธารสายเล็กตบผิวน้ำอย่างขุ่นเคือง กว่าจะลุกขึ้นยืนตรงได้ไม่ใช่เรื่องง่าย หลังจากเก็บน้ำเต้าบรรจุเหล้าขึ้นมาจากในน้ำแล้วก็ปลดงอบออกมาสลัด เงยหน้าขึ้นมองตัวการ กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าชื่ออาเหลียง”

หร่วนฉงหลุบตามองลงมาที่เขา สายตาเต็มไปด้วยแววสำรวจตรวจสอบ ก่อนถามว่า “ขอให้ข้ายืมเหล้าดื่มสักคำสองคำได้หรือไม่?”

ชายฉกรรจ์โยนน้ำเต้าบรรจุเหล้าขึ้นสูงให้หร่วนฉง “ทำไมจะไม่ได้เล่า? แต่ต้องคืนให้ข้าด้วย”

หร่วนฉงรับกาเหล้ามาแล้วดื่ม ถามยิ้มๆ “ไม่ใช่เหล้าห้าเหลืองหรอกหรือนี่?”

พอชายฉกรรจ์ได้ยินอย่างนี้ก็ยิ่งโมโหเดือด กลอกตาตอบ “ขึ้นราคาแล้ว”

หร่วนฉงหัวเราะร่า โยนน้ำเต้าบรรจุเหล้ากลับคืน ถามว่า “ทำไมเจ้ามาถึงเร็วนัก? ข้ายังนึกว่าเร็วสุดก็ต้องประมาณสิบวัน”

ชายฉกรรจ์ที่เรียกตัวเองว่าอาเหลียงเดินตัวเปียกมะลอกมะแลกขึ้นฝั่งพลางสบถด่าไปด้วย “เจ้ามายุ่งอะไรด้วย? เป็นอริยะแล้วร้ายกาจนักหรือไง”

หร่วนฉงถาม “จะไปนั่งที่ร้านข้าสักหน่อยไหม? ลูกสาวข้าเลื่อมใสเจ้ามานานมากแล้ว”

อาเหลียงชี้มาที่ตัวเองแล้วหัวเราะ “เลื่อมใสข้า? ถ้าอย่างนั้นสายตาของลูกสาวเจ้าก็เยี่ยมจริงๆ”

ดูเหมือนหร่วนฉงจะรู้ถึงความไร้สาระหาแก่นสารของคนผู้นี้นานแล้ว จึงแค่ถามว่า “หรือว่าครั้งนี้เจ้าเป็นคนรับผิดชอบเรื่องภูเขาหลงจี๋ (สันหลังมังกร)?”

อาเหลียงโบกมือ “ไม่ใช่ข้า ยังมีคนอื่น”

หร่วนฉงมองชายฉกรรจ์สวมงอบที่ดูไม่มีท่าทีสนใจกับสิ่งใดแล้วก็พลันหัวเราะ “หรือว่าระหว่างทางที่เดินทางขึ้นเหนือ เจ้าเจอเข้ากับแม่ชีน้อยคนนั้น?”

สีหน้าอาเหลียงเป็นปกติ “เจ้าพูดอะไร ข้าฟังไม่เข้าใจ”

หร่วนฉงถอนหายใจอยู่ในใจ ไม่หยั่งเชิงแล้วก็ไม่พูดอะไรมากอีก

ศาลลมหิมะสำนักของหร่วนฉงมีผู้ฝึกกระบี่ที่ชื่อเสียงโด่งดังท่านหนึ่ง อายุยังน้อย แถมยังมีพรสวรรค์ น้อยนักที่จะอยู่ในสำนัก ต่อให้เป็นในศาลลมหิมะก็ยังมีคนที่ไม่รู้ชื่อแซ่ของคนผู้นี้ ตอนที่เขายังเด็กได้ถูกบุรพาจารย์คนหนึ่งของศาลลมหิมะที่ลงจากเขาไปหาประสบการณ์หมายตา แล้วรับตัวไว้เป็นศิษย์คนสุดท้าย ดังนั้นลำดับศักดิ์จึงสูงมาก เป็นเหตุให้ตอนที่เขาขึ้นเขาเป็นครั้งแรก แม้จะมีอายุแค่ประมาณยี่สิบปี ทว่าพวกนักพรตที่อายุมากนับร้อยปีต่างก็ยอมเรียกเขาว่าปรมาจารย์แต่โดยดี ภายหลังบุรพาจารย์จงซิ่งท่านนั้นของศาลลมหิมะฝ่าด่านล้มเหลว บวกกับที่คนมีพรสวรรค์ของสายเขาเริ่มโรยรา ความสัมพันธ์ระหว่างผู้ฝึกกระบี่หนุ่มกับศาลลมหิมะจึงยิ่งห่างเหินมากขึ้นไปอีก

คนผู้นี้เดินทางไปทั่วยุทธภพมาเจ็ดแปดปี นอกจากวันรำลึกถึงอาจารย์ถึงจะปรากฏตัวในสำนักบ้างเป็นบางครั้งแล้ว นอกจากนั้นก็ยังคงไปไหนมาไหนเพียงลำพัง ต่อให้กลับมาถึงศาลลมหิมะก็ไม่เคยไปพูดคุยทักทายกับใคร ได้ยินว่าในอดีตเมื่อนานมากแล้วเขาเคยได้รับน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มูลค่าควรเมืองมาลูกหนึ่ง แต่เขากลับไม่ใช้มันมาหล่อเลี้ยงกระบี่บิน กลับย่ำยีวัตถุฟ้าโดยการนำมาบรรจุเหล้าหนักนับร้อยนับพันจิน ในเวลาหนึ่งปีมีเวลาอย่างน้อยครึ่งปีที่ดื่มเหล้าเมามาย ด้วยเหตุนี้จึงถูกขนานนามว่าเซียนกระบี่ขี้เมา พอเมาทีหนึ่งก็ปล่อยให้ลาสีขาวหิมะแบกพาไป ลาพาไปที่ไหนก็ไปที่นั่น

ก่อนหน้าที่หร่วนฉงจะออกมาจากศาลลมหิมะได้ยินว่า ไม่รู้ทำไมคนผู้นี้ถึงไปตกหลุมรักแม่ชีสาวคนหนึ่งที่ถูกขนานนามว่า “มีโชควาสนาเป็นอันดับหนึ่งของทวีป” ตั้งแต่แรกเห็น นับแต่นั้นมาก็ตกอยู่ในห้วงรักอย่างไม่อาจถอนตัว จนใจที่ชายมีใจแต่หญิงไร้ไมตรี แม่ชีโฉมสะคราญไม่มีใจจะหาคู่บำเพ็ญตนเลยแม้แต่น้อย เรื่องนี้จึงกลายมาเป็นเรื่องสนุกบนภูเขาที่ครึกโครมกันไปทั้งแจกันสมบัติทวีปบูรพา

หร่วนฉงครุ่นคิด “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนเจ้าไปส่งพวกเขาที่ด่านเย่ฝู่ของต้าหลีด้วย”

ชายฉกรรจ์พยักหน้ารับ

หร่วนฉงประสานมือบอกลา แล้วร่างก็วูบหายไป

มีเพียงยอดกิ่งหลิ่วที่ส่ายไหวเบาๆ

จูเหอถามอย่างระมัดระมัง “อาเหลียง…ท่านผู้อาวุโสคือคนเซียนของศาลลมหิมะหรือ?”

ชายฉกรรจ์จูงลา กล่าวอย่างเกียจคร้าน “ข้าไม่สนิทกับศาลลมหิมะ”

จูเหอหัวเราะโดยไม่รู้สึกกระอักกระอ่วนเลยแม้แต่นิดเดียว

นักบู๊บนโลกล้วนมีทัศนคติที่ไม่ค่อยดีกับผู้ฝึกลมปราณอยู่แล้ว แต่ว่าสำหรับนักพรตศาลลมหิมะและเขาเจินอู่แล้ว นั่นเป็นบุคคลที่ยังต้องยกนิ้วโป้งให้

ก่อนหน้านี้จูเหออาจรู้สึกว่าคนผู้นี้พูดจาวางโตโอหังเกินไป ท่าทางก็กวนโอ๊ย ทว่าหลังจากที่อริยะหร่วนฉงมาถึงและจากไปในครั้งนี้ พอจูเหอหันหน้ากลับมามองเขาอีกครั้ง ชายฉกรรจ์สวมงอบหน้าตาธรรมดาตรงหน้าผู้นี้กลับสมแล้วที่เป็นเจินเหรินผู้ไม่เปิดเผยโฉมหน้า คือเทพเซียนที่อำพรางตัวอยู่กับชาวบ้านร้านตลาด คาดว่าดาบยาวฝักไม้ไผ่สีเขียวนั่นต้องเป็นอาวุธสังหารที่พอชักออกจากฝักแล้วมีอานุภาพน่าครั่นคร้ามสะท้านโลกาแน่นอน

อาเหลียงดื่มเหล้าอึกใหญ่เพิ่มความอบอุ่นให้ร่างกาย แล้วพูดกับเฉินผิงอันว่า “แม่นางน้อยคนนั้นกลับมาแล้ว”

เฉินผิงอันหันกลับไปมอง ไม่เพียงแต่หลี่เป่าผิงและจูลู่เท่านั้นที่เดินย้อนกลับมาทางเดิม ยังมีใบหน้าที่คุ้นเคยอีกสองใบ และล่อตัวหนึ่งที่สองข้างลำตัวห้อยห่อสัมภาระหนักอึ้ง

หลี่ไหวและหลินโส่วอี

เฉินผิงอันวิ่งเหยาะๆ เข้าไปหา หลี่เป่าผิงมีสีหน้าบูดบึ้งไม่พอใจ จูลู่เอ่ยด้วยน้ำเสียงใสกังวาน “พวกเราเจอเด็กสองคนนี้กลางทาง บอกว่าจะติดตามคุณหนูไปขอเรียนที่สำนักศึกษาซานหยาด้วย เมื่อครู่นี้ท่านบรรพบุรุษของพวกเราเผยกายและเอ่ยสั่งความ บอกให้ข้ากลับมาหาพวกเจ้า”

เฉินผิงอันไม่ถามจูลู่ว่าท่านบรรพบุรุษคือใคร แต่หันไปมองหลี่ไหวที่ทำท่าลับๆ ล่อๆ และหลินโส่วอีที่เหมือนคุณชายสูงศักดิ์ผู้ตกต่ำ

หลี่ไหวทำคอแข็งพูดถ้วยถ้อยคำที่เต็มไปด้วยเหตุผล “พวกเราไม่ติดตามพวกเจ้าไปหากินประทังชีวิต หรือจะให้อยู่เป็นขอทานในเมืองเล็ก”

หลินโส่วอียังคงมีท่าทางเย็นชาดุจเดิม “หวังเสี่ยงภัยเพื่อวาสนา”

หลี่เป่าผิงแค่นเสียงเย็น “พวกเราสามารถเดินทางออกจากประตูตะวันออก ไปที่สำนักศึกษาด้วยตัวเองก็ได้ ทำไมต้องให้อาจารย์อาน้อยกับข้าพาตัวถ่วงอย่างพวกเจ้าสองคนไปด้วย?”

หลี่ไหวกล่าวเดือดดาล “หลี่เป่าผิง! จะดีจะชั่วพวกเราก็เปนสหายร่วมทุกข์ที่เคยผ่านความเป็นความตายด้วยกันมานะ!”

หลินโส่วอีไม่ได้เล่นแง่อย่างหลี่ไหว เขากล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ข้ากับหลี่ไหว อย่าว่าแต่ไปสำนักศึกษาซานหยาเลย แม้แต่ชายแดนของต้าหลีก็ยังไปไม่ถึง”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ ใช้มือกดลงบนศีรษะของหลี่เป่าผิงเบาๆ ห้ามไม่ให้นางพูด จากนั้นจึงถามว่า “แล้วสือชุนเจียกับต่งสุ่ยจิ่งสองคนล่ะ แน่ใจแล้วนะว่าจะไม่มาด้วย?”

หลินโส่วอีอธิบาย “ทางร้านยาสุ่ยจะมีคนพาสือชุนเจียไปที่เมืองหลวง ส่วนต่งสุ่ยจิ่งที่พอรู้ว่าวันหน้าโรงเรียนในเมืองจะเปิดทำการอีกครั้งจึงทำงานระยะสั้นอยู่ในร้านตีเหล็กแทนเจ้าชั่วคราว”

เฉินผิงอันมองเด็กนักเรียนสามคนอย่างหลี่เป่าผิง หลี่โหวและหลินโส่วอีพลางเอ่ยยิ้มๆ “ถ้าอย่างนั้นก็เริ่มออกเดินทางกันเถอะ”

อาเหลียงจูงลาขนขาวกลับมาจากริมธารน้ำ พอเห็นหลี่ไหวกับหลินโส่วอีก็กล่าวด้วยสีหน้าไม่เต็มใจ “มีแม่นางน้อยที่น่ารักคนหนึ่งมาเพิ่มก็ช่างเถอะ แต่ลูกหมาอย่างพวกเจ้าสองคนนี่ มันยังไงกัน?”

หลี่ไหวผรุสวาทเสียงดัง “เจ้าเป็นใคร?!”

อาเหลียงตอบหน้าตาเฉย “ข้าคือพ่อที่พลัดพรากจากเจ้าไปนานหลายปี พ่อแท้ๆ”

หลี่ไหวเหมือนโดนสายฟ้าฟาด จ้องชายแปลกหน้าเขม็ง

ชายฉกรรจ์กลับเป็นฝ่ายที่โดนจ้องจนขนลุกเสียเอง หรือว่าพ่อแม่ของเจ้าเต่าน้อยตัวนี้เคยมีเรื่องราวช่วงหนึ่งที่ไม่อาจบอกเล่าให้ใครฟังจริงๆ?

หลี่ไหวกลับมามีสีหน้าทึ่มทื่อเหมือนเดิมอย่างรวดเร็ว เขากระตุกมุมปาก ปรายตามองชายฉกรรจ์สวมงอบด้วยสีหน้ารังเกียจ พึมพำว่า “คิดจะสู้กับข้า?”

ชายฉกรรจ์สะอึก จุ๊ปากพูด “โอ้โห น้ำตื้นมีเต่าน้อยเยอะจริงๆ ด้วย”

หลี่ไหวยกสองมือกุมท้ายทอย บ่นพึมพำ “ไม่ฟังๆ เต่าท่องคัมภีร์”

จู่ๆ เฉินผิงอันก็ถามขึ้นมาว่า “อาเหลียง ทำไมเจ้าถึงพูดภาษาถิ่นของเมืองเล็กเราได้?”

ชายฉกรรจ์ยิ้มตาหยี “เจ้าไปถามหร่วนฉงเองสิ”

เฉินผิงอันมองเขา แล้วพลันหัวเราะ “ช่างเถอะ”

ชายฉกรรจ์ยื่นนิ้วชี้หน้าเฉินผิงอัน เอ่ยสั่งสอน “อายุยังน้อย แต่คิดมากขนาดนี้ ไม่ใช่เรื่องดี”

อาเหลียงที่เรียกตัวเองว่ามือกระบี่แต่กลับพกดาบ กับลาขนสีขาวตัวนั้นของเขา

เฉินผิงอันและหลี่เป่าผิงที่ต่างคนต่างแบกตะกร้าไม้ไผ่ หลี่ไหวและหลินโส่วอีที่สองมือว่างเปล่า และยังมีพ่อลูกจูเหอจูลี่ที่เดินอยู่รั้งท้ายสุด

คนเจ็ดคนที่ฐานะพิเศษเดินทางมุ่งลงใต้พร้อมกัน

เพราะอาเหลียงที่มาจากสถานที่เดียวกับช่างหร่วนบอกว่าเส้นทางที่เขาใช้เดินมา เดินได้ไม่ยากนัก อีกทั้งยังเดินเลียบแม่น้ำเถี่ยฝู่ลงใต้ได้ตลอดทาง เพียงไม่นานก็จะมองเห็นถนนใหญ่ของต้าหลีที่กำลังเร่งสร้างทั้งวันทั้งคืน

แต่การเดินๆ พักๆ หลังจากนั้นมา อาเหลียงยังคงยินดีที่จะรับฟังความคิดเห็นของเฉินผิงอัน

ช่วงระหว่างหยุดพัก หลี่ไหววิ่งมาถามชายฉกรรจ์สวมงอบอย่างไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่น้อย แถมยังเท้าเอวถาม “นี่! อาเหลียง ลาตัวนี้ของเจ้าคือตัวผู้หรือตัวเมีย?”

ชายฉกรรจ์ไม่ได้รังเกียจเด็กคนนี้ แค่รำคาญเล็กน้อยเท่านั้น “เกี่ยวอะไรกับเจ้าด้วย”

“ให้ข้าขี่สิ?”

“ขนาดข้าเองยังตัดใจขี่ไม่ลง แล้วเจ้าอาศัยอะไร? คิดว่าตัวเองเป็นลูกชายแท้ๆ ของข้าจริงๆ หรือไง”

“หากเจ้ายกลาให้ข้า กลับไปข้าจะให้แม่ข้าแต่งงานกับเจ้า ตกลงไหม? แน่นอนว่าหากแม่ข้าไม่ตอบรับ ก็โทษข้าไม่ได้ จะยังไงลาตัวนี้ก็ยังต้องเป็นของข้า”

“ไสหัวไปทั้งเจ้าและแม่ของเจ้านั่นแหละ!”

“อาเหลียงเอ๋ย ไม่ใช่ว่าข้าจะว่าเจ้าหรอกนะ แต่ไอ้นิสัยแบบนี้ของเจ้า วันหน้าสมควรต้องเปลี่ยนแล้วล่ะ”

หลี่ไหวเอามือสองข้างไพล่หลัง ส่ายหัวถอนหายใจเดินจากไป

ทิ้งชายฉกรรจ์สวมงอบที่ได้เปิดโลกใบใหม่ไว้เพียงลำพัง

……

ริมธารน้ำ คนสองคนเดินไปทางร้านตีเหล็ก คนหนึ่งคือหร่วนฉง อีกคนคือผู้เฒ่าผมขาวโพลน แต่ใบหน้ากลับแดงปลั่ง ฝ่ายหลังก็คือท่านบรรพบุรุษที่จูลู่สาวใช้เอ่ยถึง เสาหลักสำคัญอย่างแท้จริงของตระกูลหลี่หนึ่งในสี่แซ่ใหญ่

หลี่เป่าผิงเป็นหลานรักของเขา ตระกูลหลี่ที่ฝากความหวังไว้ที่นาง ย่อมไม่มีทางปล่อยให้นางมีคนติดตามเป็นแค่พ่อลูกคู่นั้นแน่นอน หากไม่เป็นเพราะวันนี้อาจารย์หร่วนเผยตัว บรรพบุรุษตระกูลหลี่ที่ฝึกลมปราณประสบความสำเร็จต้องคุ้มกันพาหลี่เป่าผิงไปส่งให้ถึงด่านเย่ฝู่แน่นอน

ผู้เฒ่ายิ้มเฝื่อน “อาจารย์หร่วน คนผู้นี้ก็คือผู้ช่วยที่ท่านเชิญมาจากศาลลมหิมะงั้นหรือ? ดูแล้วช่าง…”

หร่วนฉงตัดบทตรงๆ “ไม่เหมือนยอดฝีมือ แต่กลับเหมือนพวกเสเพลในตลาดมากกว่า ใช่ไหม?”

หร่วนฉงเอ่ยเนิบช้า “ตอนที่ข้ารับน้ำเต้าบรรจุเหล้าลูกนั้นมาดื่ม ได้ตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว ปราณกระบี่แห่งชะตาชีวิตในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ลูกนั้นยังมีพลังชีวิตอยู่ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นการสืบทอดที่แท้จริงของศาลลมหิมะ อีกทั้งเดิมทีสายของหอเทพเซียนศาลลมหิมะนี้ก็มีน้อยอยู่แล้ว เว่ยจิ่นยิ่งมีนิสัยเฉยเมยไม่ชอบผูกมิตรกับใคร กลับชอบพเนจรไปทั่วยุทธภพมากกว่า นิสัยจะประหลาดไปสักหน่อยก็พอจะเข้าใจได้ แม้ว่าบนโลกก็มีวิธีการชั่วช้าอย่างสังหารคนแล้วช่วงชิงเอาวัตถุแห่งชะตาชีวิตมาครอง แต่ตบะของเว่ยจิ่นไม่มีทางต่ำแน่ คิดจะช่วงชิงน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่และปราณกระบี่กลุ่มนั้นมาจากเขาอย่างราบรื่น…”

หร่วนฉงพลันหัวเราะ “ถ้าอย่างนั้นวันนี้ต่อให้ข้าหร่วนฉงลงมือ ก็ไม่อาจขัดขวางเรื่องที่คนผู้นั้นคิดจะทำได้”

ผู้เฒ่าถอนหายใจ “จะพูดอย่างนี้ก็ไม่ได้ หากสามลัทธิหนึ่งสำนักไม่ช่วงชิงเอาวัตถุสยบความชั่วร้ายคว้าชัยชนะกลับไป ค่ายกลยังคงอยู่ เรื่องราวหลายอย่างก็คงไม่ต้องให้อาจารย์หร่วนยุ่งยากแบบนี้”

หร่วนฉงครุ่นคิด “หลังจากนี้ข้ายังต้องไปหาคนของสายร่องต้าหนี (ต้าหลีหรือปลาซาลาแมนเดอร์ยักษ์) ศาลลมหิมะ เพื่อทำความเข้าใจกับสถานการณ์สักหน่อย พวกเขาเองก็อยู่ห่างจากที่นี่ไปไม่ไกลแล้ว พอดีกับที่เรื่องเกี่ยวกับการแบ่งแท่นสังหารมังกรบนภูเขาหลงจี๋ไม่อาจพูดตรงๆ กับคนของเขาเจินอู่ได้ ระหว่างนี้หากมีเรื่องไม่คาดคิดใดๆ เกิดขึ้นในเมืองเล็ก รบกวนหลี่เหล่าไปหาซิ่วซิ่ว ให้นางใช้กระบี่บินส่งจดหมายไปให้ข้า”

ศาลลมหิมะ เขาเจินอู่ คือสำนักการทหารสองแห่งใหญ่ของแจกันสมบัติทวีปบูรพา หนึ่งใต้หนึ่งเหนือ ความสัมพันธ์ของทั้งสองฝ่ายไม่ดีไม่ร้าย หลักๆ แล้วถือว่าเป็นประเภทน้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง แน่นอนว่าในช่วงเวลาสำคัญที่เกี่ยวข้องกับเรื่องใหญ่ ย่อมต้องปล่อยวางอคติที่มีต่อกันลงแล้วเลือกร่วมมือกันเล่นงานศัตรู

ซึ่งเขาเจินอู่จะให้ความสำคัญกับการพัฒนาของราชวงศ์ทางโลกเบื้องล่างภูเขามากกว่า ราชวงศ์ของต้าหลีก็มีนักพรตของเขาเจินอู่อยู่เป็นจำนวนมาก ราชวงศ์สกุลหลูที่ล่มจมไปแล้ว ผู้ใต้บังคับบัญชาสกุลเกาต้าสุย ล้วนมีเงาของนักพรตเขาเจินอู่อยู่ ส่วนใหญ่แล้วล้วนเป็นข้ารับใช้ผู้ติดตามแม่ทัพใหญ่ลงสนามรบ หรือไม่ก็ขุนพลฝ่ายบู๊ระดับกลางที่ครอบครองอำนาจแท้จริงไว้ในมือ

ส่วนศาลลมหิมะนั้นจะชื่นชอบอยู่เพียงลำพังมากกว่า มักจะไปเยือนตามซากปรักของสมรภูมิโบราณใหญ่แต่ละแห่ง ค่อนข้างคล้ายคลึงกับจอมยุทธ์พเนจร มีวรยุทธ์สูงล้ำติดกาย ทุกเรื่องล้วนขึ้นอยู่กับอารมณ์ อารมณ์ดีหน่อยก็ปราบมารกำจัดปีศาจผดุงคุณธรรม อารมณ์ไม่ดีก็หาคนมาประลองคาถาเวทกระบี่ ส่วนใหญ่เป็นพวกชอบบุกไปที่อื่นโดยไม่ได้รับเชิญ เจ้าของบ้านจะเต็มใจต้อนรับหรือไม่ ก็ต้องตีกับพวกเขาสักครั้งหนึ่งก่อนค่อยว่ากัน แต่พวกคนที่มีนิสัยประหลาดเหล่านี้ของศาลลมหิมะกลับไม่ชอบเอาเรื่องต่อยตีไปป่าวประกาศ ยิ่งไม่มีทางฆ่าคน ดังนั้นต่อให้ถูกนักพรตศาลลมหิมะซ้อมจนอ่วม ก็ไม่ต้องเป็นกังวลว่าคนนอกจะรู้เรื่องน่าอายในบ้าน

สำหรับเรื่องกระบี่บิน ผู้เฒ่ากล่าวด้วยความสงสัย “อาจารย์หร่วน ที่บ้านข้าก็มีกระบี่บินส่งจดหมายคุณภาพไม่เลวอยู่หลายเล่ม…”

อาจารย์หร่วนโบกมือยิ้มๆ “ไม่เหมือนกัน ห่างชั้นกันไม่น้อย”

ผู้เฒ่าเข้าใจทันควัน จึงกล่าวด้วยความอับอาย “มาพูดคุยเรื่องกระบี่บินต่อหน้าอาจารย์หร่วน ช่างน่าหัวเราะ ช่างน่าหัวเราะจริงๆ”

หร่วนฉงพลันเอ่ยปลงตกขึ้นมาเสียงเบา “ต้นไม้อยากหยุดนิ่ง แต่ลมไม่หยุดพัด”

……

สตรีแต่งงานแล้วสวมชุดชาววัง เรือนกายเล็กกะทัดรัดแต่กลับอวบอิ่มกำลังเดินอยู่ในตรอกหนีผิง

ด้านหลังมีคนสามคนติดตามมาห่างๆ หนึ่งคือชายวัยกลางคนร่างกำยำบึกบึน สีหน้าเด็ดเดี่ยว

หนึ่งคือผู้เฒ่าหน้าขาวไร้หนวด มองดูเหมือนอ่อนแอเปราะบาง คอยหรี่ตาอยู่ตลอดเวลา

หนึ่งคือหญิงสาวที่โอบกระบี่ยาวเล่มหนึ่งไว้ในอ้อมอก พู่กระบี่สีทองขดตัวอยู่บนหน้าอกที่อวบอิ่มของนางพอดี

สุดท้ายสตรีแต่งงานแล้วผู้นั้นมาหยุดอยู่ตรงหน้าประตูบ้านของซ่งจี๋ซิน แล้วจึงเอ่ยยิ้มๆ “เรื่องอย่างการขโมยกลอนปีใหม่นี่ มีแต่ชุยฉานเท่านั้นที่ทำได้”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version