บทที่ 87 จอมปราชญ์น้อย
หากเฉินผิงอันอยู่ตัวคนเดียว ต่อให้ต้องแบกของหนักขึ้นเขา วันหนึ่งเดินได้หนึ่งร้อยลี้ก็ไม่ใช่เรื่องยาก ต้องรู้ว่าระหว่างนี้ยังจำเป็นต้องข้ามลำธารผ่านห้วย ปีนผนังไต่หน้าผา ดังนั้นเฉินพิงอันพาแม่นางน้อยชุดแดงมาด้วยในครั้งนี้จึงเดินอย่างผ่อนคลาย เป็นเหตุให้เมื่อมีเวลาว่างจึงเริ่มฝึกเดินนิ่ง เพราะมีหลี่เป่าผิงอยู่ข้างกาย จึงไม่ได้ฝึกท่ากระบวนหมัดที่ต้องใช้พละกำลังและทุ่มเทสมาธิทั้งหมด แต่ปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ ถึงขั้นที่ว่าเพื่อคอยดูแลหลี่เป่าผิง เขายังจงใจผ่อนความเร็วในการเดินนิ่งและลดความกว้างของการย่างเท้าลง นี่จึงทำให้เฉินผิงอันที่กว่าจะเจอเคล็ดลับการฝึกได้ไม่ใช่ง่ายๆ เหมือนกลับคืนสู่สภาพเดิมในฉับพลัน ท่าทางการเดินจึงแปลกพิกลอีกครั้ง
ตอนนี้คนทั้งสองเดินมาได้ประมาณยี่สิบกว่าลี้แล้ว หลี่เป่าผิงยังคงเหลือกำลัง ไม่ได้มีท่าทางว่าเหน็ดเหนื่อย แม่นางน้อยแค่ยื่นมือออกมาเช็ดเหงื่อที่หน้าผาก เอ่ยถามว่า “อาจารย์อาน้อย เจ้ากำลังฝึกหมัดอยู่หรือ?”
เฉินผิงอันหยุดการฝึกเดินนิ่ง พยักหน้ารับ “ใช่แล้ว”
หลี่เป่าผิงจึงถามอีก “แล้วเจ้ารู้หรือไม่ว่าวิชาหมัดนี้ที่เจ้าฝึก รากฐานของวิชาหมัด ช่องโพรงชี่ฝู่ที่เป็นต้นกำเนิดนั้นอยู่ตรงไหน?”
เฉินผิงอันมึนงง “หมายความว่าอย่างไร? ข้ารู้แค่ว่าในร่างมนุษย์มีช่องโพรงอยู่มากมาย ที่ข้ารู้ตัวอักษรหลายร้อยตัว หลักๆ แล้วก็เพราะจำชื่อของช่องโพรงพวกนั้น แต่พวกมันมีความเกี่ยวข้องกับการฝึกหมัดอย่างไรกันแน่ ข้ายังไม่ทันได้ถาม มีแม่นางหนิงคนหนึ่งที่เคยอ่านตำราหมัดของข้า ไม่ได้บอกข้า นางพูดแค่ว่าเรื่องการฝึกหมัดนั้นจะใช้ทางลัดไม่ได้ ต้องค่อยๆ ฝึกฝนไปทีละนิด ส่วนพี่หญิงหร่วนที่เจ้ารู้จักกลับบอกว่านางเป็นคนฝึกกระบี่ เส้นทางแห่งโชคชะตาที่สืบทอดมาจากตระกูลของนางไม่อาจแพร่งพรายให้คนนอกรู้ได้ ดังนั้นจึงไม่ได้บอกอะไรข้ามากนัก”
ในความเป็นจริงแล้ว เด็กหนุ่มรองเท้าแตะในเวลานั้นรู้สึกว่าตนถูกกำหนดมาแล้วว่าต้องอยู่ในเมืองเล็กไปชั่วชีวิต ดังนั้นจึงมีเวลาและโอกาสให้คอยไปสอบถามหร่วนซิ่วอยู่เรื่อยๆ
หลี่เป่าผิงเบิกตากว้าง สีหน้าเหลือเชื่อ เพิ่มระดับน้ำเสียง “อาจารย์อาน้อย! แม้แต่เรื่องนี้เจ้าก็ยังไม่รู้ แต่ยังกล้าฝึกหมัด? เจ้ารู้หรือไม่ว่าหากฝึกวิชาหมัดมั่วซั่ว โดยเฉพาะวิชาหมัดของลัทธินอกรีตที่จะทำลายพลังชีวิตรากฐานได้ง่ายมาก แท้จริงแล้วการฝึกวรยุทธก็พอๆ กับการหาพื้นที่หาชัยภูมิของโหรแผ่นดิน เพียงแต่ว่าพวกโหรแผ่นดินตามหาเทือกเขาและช่องโพรง คนฝึกยุทธตามหาและขุดค้นที่ซ่อนสมบัติในกายตนเอง เมื่อหาเจอแล้ว เจ้ายังต้องใช้วิธีการที่เหมาะสมถึงจะถือว่าเดินเข้าสู่หนทางการฝึกวรยุทธอย่างเป็นทางการ ไม่ได้ๆ อาจารย์อาน้อย ข้าจำเป็นต้องอธิบายเรื่องนี้กับเจ้า อธิบายชัดเจนเมื่อไหร่เจ้าถึงจะฝึกวิชาหมัดได้!”
ดูจากสีหน้าที่ยืนกรานของนางแล้ว เฉินผิงอันลองคิดดูก็รู้สึกว่าไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไร พอดีกับที่ด้านหน้ามีต้นหลิ่วโบราณโค้งงอต้นหนึ่ง ซึ่งเกินครึ่งต้นเอียงลงไปหาผิวน้ำของลำธารพอดี เหมือนสะพานโค้งแห่งหนึ่งที่ก่อสร้างไม่สำเร็จ เขาจึงจูงมือหลี่เป่าผิงไปยืนพิงตรงลำต้นของมัน แม่นางน้อยนิสัยร่าเริงไม่เหมือนใคร บอกว่าจะนั่งบนกิ่งไม้ให้ได้ เฉินผิงอันจึงได้แต่อุ้มนางขึ้นไปบนกิ่งไม้ ส่วนตัวเองยืนอยู่ด้านข้างเพื่อคอยกันไม่ให้นางพลัดตกลงมา
หลังจากที่นางนั่งลงบนกิ่งไม้ด้วยความพึงพอใจแล้ว ก็วางท่าเหมือนจอมปราชญ์น้อยคนหนึ่งที่สอนหนังสืออยู่ในโรงเรียนด้วยสีหน้าเต็มไปด้วยชีวิตชีวา กระแอมหนึ่งที เตรียมจะอธิบายหลักการให้อาจารย์อาน้อยท่านนี้ฟังดีๆ หลีกเลี่ยงไม่ให้เขาหลงเดินทางผิด หากฝึกวิชาจนทำร้ายร่างกายเข้าจริงๆ นางจะไม่เสียดายและสงสารอีกฝ่ายจนตายเลยหรือ?
หลี่เป่าผิงล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “การที่ข้าพ่อจะเข้าใจวิธีการฝึกวรยุทธบางส่วนคร่าวๆ ก็เพราะว่าที่บ้านข้ามีสาวใช้คนหนึ่งชื่อว่าพี่จูลู่ บุรพาจารย์มองออกว่านางมีพรสวรรค์ในการฝึกวรยุทธ์มาตั้งแต่เด็ก แถมข้ายังสนิทกับนางมาก ซ้ำพี่จูลู่ยังเป็นพวกเงียบขรึม จะพูดเรื่องความในใจกับข้าคนเดียวเท่านั้น ข้าจึงได้รู้ว่าการฝึกวรยุทธคืออะไร เสียดายก็แต่ตอนที่ข้าอายุหกขวบได้แอบฝึกเดินบนเจ้าสิ่งที่เรียกว่าเสาเข็มวัวอยู่ด้านหลังพี่จูลู่ สนุกมากเลยล่ะ เสาเข็มไม้ที่สูงที่สุดแทบจะเท่าหลังคาบ้านเลยทีเดียว แต่มีอยู่ครั้งหนึ่งพื้นรองเท้าข้าลื่น ไม่ทันระวังเลยร่วงลงไป แต่อันที่จริงข้าไม่ได้เป็นอะไรเลย ทว่าพี่จูลู่กลับเดือดร้อนเพราะข้า ถูกบุรพาจารย์ลงโทษอย่างรุนแรง หลังจากนั้นเป็นต้นมา ทุกครั้งที่พี่จูลู่ฝึกวรยุทธตอนเช้าเย็น และยังมีตอนที่หลบอยู่ในห้องเพื่อนอนแช่อ่างอาบน้ำสมุนไพร ก็ไม่เคยพาข้าไปเล่นด้วยอีกเลย”
เฉินผิงอันรู้สึกเหมือนวัวสันหลังหวะ พี่จูลู่ที่แม่นางน้อยกล่าวถึง ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นเด็กสาวปราดเปรียวที่วันนั้นโดนตนขว้างเศษกระเบื้องใส่หน้าอกและศีรษะ ตอนนั้นเขาแอบบุกเข้าไปในจวนใหญ่ตระกูลหลี่ ใช้หนังสติ๊กยิงขวดกระเบื้องใส่อาหารนกสองขวดแตก สาวใช้ที่ปกป้องอยู่ข้างกายเด็กหญิงเขาตะวันเที่ยงค้นพบร่องรอยของเขาก่อน และจึงไต่กำแพงขึ้นมาบนหลังคาอย่างรวดเร็ว สุดท้ายกระโดดข้ามมายังหลังคาที่เขาซ่อนตัวอยู่ ทำให้ทุกครั้งที่เฉินผิงอันนึกถึงจะต้องรู้สึกว่านางร้ายกาจมากเสมอ
สำหรับเจ้าหมอนี่ที่ไม่ยอมรับเสียทีว่าเป็นอาจารย์อาน้อยของตน หลี่เป่าผิงอยากจะพูดทุกเรื่องที่ตนรู้ออกมาให้หมด “ยกตัวอย่างเช่น บ้านของผีขี้ขลาดสือชุนเจียมีร้านค้าอยู่ร้านหนึ่ง กิจการรุ่งเรือง จึงสามารถนำเงินไปต่อเงิน ทรัพย์สมบัติจึงถูกต่อยอดออกไป ด้านนั้นร้านของตระกูลสือชุนเจียถึงได้กลายมาเป็นหนึ่งในร้านค้าเก่าแก่ไม่กี่ร้านที่อยู่มานานที่สุดของเมืองเล็กเรา ทว่าหากมีแต่ออกไม่มีเข้า ไม่รู้จักเรียกลูกค้าเข้าร้าน ถ้าอย่างนั้นเพียงไม่นานก็จะยากจนข้นแค้น ร้านต้องปิดกิจการลง ใช่ไหม?”
พอได้ยินคำว่ากิจการ คำว่าได้เงิน เฉินผิงอันผู้หลงใหลในเงินทองก็พลัน “ตาสว่าง” ขึ้นมาทันที กล่าวอย่างกระจ่างแจ้งว่า “ทุกคนล้วนมีรากฐานทางครอบครัว ฝึกหมัดฝึกได้ดี ก็จะสามารถมีเงินต่อเงิน หากฝึกไม่ดีก็ต้องขาดทุน แต่หากไม่ฝึกวรยุทธ์เลย ก็จะรักษากิจการของบรรพบุรุษไว้ได้อย่างแน่นหนา?”
หลี่เป่าผิงครุ่นคิด พยักหน้าพูด “ความหมายก็ประมาณนี้แหละ อาจารย์อาน้อย เจ้าเคยได้ยินคำพูดแบบหนึ่งไหม? เรียกว่าฝึกหมัดเรียกความชั่วร้าย โดยเฉพาะพวกวิชาหมัดนอกรีต ท่าปล่อยหมัดรุนแรงที่ถูกเรียกว่าสามปีฝึกสำเร็จ เรียนจบต่อยคนตาย จู่โจมว่องไวดุดัน มองดูเหมือนเปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจ เวลาต่อยคนต้องร้องฮึฮึ ฮะฮะ แต่แท้จริงแล้วกลับทำร้ายร่างกายได้มากที่สุด เพราะพวกเขาไม่รู้จักตำแหน่งชีพจร ถือเป็นการฝึกด้วยวิธีที่ไม่เหมาะสม หลายคนเพิ่งจะถึงวัยกลางคน แต่กลับมีโรครุมเร้า จะได้มีชีวิตอยู่จนแก่หรือไม่ก็ยังบอกได้ยาก ต่อให้อยู่ถึง แต่สภาพก็จะเอนจอถาถอย่างมาก เพราะตั้งแต่วันแรกที่พวกเขาเริ่มฝึกก็ไม่ได้เลี้ยงลมปราณเลี้ยงร่างกาย แต่เป็นเหมือนพวกลูกล้างลูกผลาญที่ใช้สมบัติของบรรพบุรุษอย่างฟุ่มเฟือย”
หากใช้คำพูดของบุรพาจารย์ตระกูลหลี่ก็คือ แม่หนูหลี่เป่าผิงคนนี้เกิดมาก็ไม่ได้เอาก้นมาด้วย แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงกำลังพูดได้อารมณ์จึงคิดจะลุกขึ้นยืนบนกิ่งต้นหลิ่วเก่าแก่ แต่กลับถูกสายตาของอาจารย์อาน้อยของนางมองมาจึงต้องกดความคิดนั้นลงไป แล้วพูดต่ออย่างไม่ใคร่จะพอใจนัก “ดังนั้นอาจารย์อาน้อย เจ้าต้องดูไว้เป็นบทเรียน ต้องหาวิธีการที่แท้จริงของวิชาหมัดให้เจอ วิชาหมัดบนโลกใบนี้มีมากมาย การที่ความสำเร็จมีแบ่งสูงแบ่งต่ำ อนาคตมีมากมีน้อย ก็ต้องดูที่ว่าเจ้าจะหาช่องโพรงแห่งชะตาชีวิตอย่างน้อยสองช่องของวิชาหมัดแต่ละสำนักได้เจอหรือไม่ เมื่อหาเจอแล้ว อันดับต่อมาก็ต้องดูที่ว่าจะสามารถหาเส้นทางที่ดีที่สุด เส้นทางที่มีการบำรุงช่องโพรงนั้นมากที่สุด เหมือนลมวสันต์แปรเปลี่ยนเป็นสายฝนหล่อเลี้ยงหมื่นสรรพสิ่งเจอหรือไม่ ต่อให้ระดับของตำราหมัดจะไม่สูง แต่ขอแค่เป็นเส้นทางที่ถูกต้องก็สามารถสร้างร่างกายให้แข็งแกร่ง ต่ออายุขัยได้เช่นกัน แต่หากเดินผิดทาง ยิ่งตำราหมัดดีเท่าไหร่ก็ยิ่งทำพังได้มากเท่านั้น”
เฉินผิงอันจมสู่ภวังค์ของการใคร่ครวญ ตนสามารถสัมผัสได้ถึงการดำรงอยู่ของปราณขุมนั้น ในร่างเหมือนมีมังกรเพลิงตัวเล็กตัวหนึ่งที่ไม่มีบ้านให้กลับว่ายวนสะเปะสะปะอยู่ในเตาหลอมขนาดใหญ่ ก่อนหน้านี้มังกรเพลิงตัวนี้คล้ายแมลงวันที่ไม่มีหัว พุ่งชนตรงโน่นตรงนี้ไปทั่ว พอเจอผนังก็หันหัวกลับ ตอนนี้ขอบเขตการเคลื่อนไหวของมันยิ่งขยายใหญ่มากขึ้นเรื่อยๆ แต่สุดท้ายแล้วก็จะย้อนกลับมาอยู่ใกล้กับช่องโพรงชี่ฝู่ตรงหน้าท้องเสมอ วนเวียนไม่อยู่นิ่ง คล้ายเด็กเล็กที่ออกไปเล่นนอกบ้าน พอเหนื่อยแล้วก็อยากจะกลับบ้าน เพียงแต่ว่ายังหาประตูหน้าบ้านที่แท้จริงไม่เจอชั่วคราว
กระแสลมปราณที่ลี้ลับมหัศจรรย์ขุมนี้ไม่เคยมอบความรู้สึกที่ไม่สบายตัวหรือเจ็บปวดใดๆ ให้แก่เฉินผิงอัน กลับยังทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกอบอุ่นเหมือนตากแดดอยู่ในวันที่หนาวเหน็บด้วยซ้ำ สำหรับการรับสัมผัสต่ออวัยวะภายในของร่างกาย เฉินผิงอันมีความรู้สึกที่เฉียบไวมากมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก ดังนั้นหากจุดไหนของร่างกายตนเกิดปัญหา เขาจึงค้นพบได้อย่างรวดเร็ว ตอนนั้นที่อยู่ในตรอกหนีผิง ไช่จินเจี่ยนแห่งเขาเมฆาเรืองบอกว่าเขาจะมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน นางอาจรู้สึกว่าเด็กหนุ่มตรอกยากจนคงคิดว่านางล้อเล่นเฉยๆ แต่แท้จริงเฉินผิงอันแน่ใจตั้งแต่ตอนนั้นแล้วว่านางไม่ได้พูดโกหก
ในเมื่อไม่สัมผัสได้ถึงความผิดปกติใดๆ เฉินผิงอันจึงปล่อยกระแสปราณขุมนั้นเอาไว้ดังเดิม ลึกๆ ในใจยังมีความใคร่รู้เสี้ยวหนึ่ง อยากจะดูว่ามันจะเลือกช่องโพรงไหนเป็นที่พักพิงของตัวมันเอง
หลี่เป่าผิงแกว่งขาน้อยๆ สองข้าง ยกแขนกอดอก “ว่ากันว่ารากฐานของการฝึกวรยุทธ์ก็คือการปล่อยลมปราณ เผด็จการมากเลยล่ะ แตกต่างจากคำว่าเลี้ยงลมปราณ หลอมลมปราณของผู้ฝึกลมปราณอย่างสิ้นเชิง ฝ่ายหลังยิ่งมีมากยิ่งดี จุกจิกในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่การฝึกวรยุทธ์ไม่เหมือนกัน เมื่อเจ้าหาลมปราณขุมแรกสุดนั้นเจอ ก็เหมือนกับต้องบุกโจมตีฝ่าหน้าด่านแต่ละแห่งเข้าไป ขับไล่กำจัดปราณดั้งเดิมที่พักพิงอยู่ในช่องโพรงชี่ฝู่ให้สลายไปสิ้น แล้วแปรเปลี่ยนกลายมาเป็นลมปราณขุมแรกสุดนั้น สุดท้ายเมื่อความคิดบังเกิดก็สามารถโคจรกระแสลมปราณทั่วร่างไปไกลร้อยลี้หรือหลายร้อยลี้ได้รวดเดียวเพียงชั่วพริบตา ขอบเขตที่เก้าถึงขั้นสามารถไปไกลได้เป็นพันลี้ เพียงครู่เดียวก็ดึงพลังแฝงทั่วร่างมาใช้ เหมือนแม่ทัพใหญ่ท่านหนึ่งเพียงโบกมือก็สามารถควบคุมออกคำสั่งพันกองทัพหมื่นม้า อานุภาพนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด แค่คิดก็พอจะทราบได้ ไม่ด้อยไปกว่าการที่ผู้ฝึกลมปราณสามารถควบคุมลมทะยานบนอากาศเลยแม้แต่น้อย”
จู่ๆ หลี่เป่าผิงก็พูดด้วยสีหน้าลึกลับ “พี่จูลู่บอกว่า หากเป็นปรมาจารย์วิถีการต่อสู้ เดินบนผนังวิ่งบนหลังคาไม่ถือเป็นอะไรได้ แถมยังสามารถขี่ลมเดินทางไกลเหมือนกับผู้ฝึกลมปราณเลยด้วย หากขยับไปข้างหลังอีกนิด ได้เลื่อนขั้นเป็นมหาปรมาจารย์ขอบเขตหยุดนิ่ง คิดจะฆ่าพวกผู้ฝึกลมปราณหัวสูงสักกลุ่มก็ง่ายเหมือนบิดคอไก่ ดีดนิ้วฆ่าคน มือหยิบเรื่อยเปื่อยตามใจชอบ”
เฉินผิงอันถามยิ้มๆ “หากการฝึกยุทธ์ร้ายกาจขนาดนี้จริงๆ แน่นอนว่าย่อมเป็นเรื่องดี แต่ทำไมการที่จะบอกว่าร้ายกาจหรือไม่ร้ายกาจ ต้องใช้การฆ่าคนง่ายหรือยากมาวัดด้วย?”
หลี่เป่าผิงตะลึงงัน ส่ายหน้าอย่างตรงไปตรงมา “เรื่องนั้นข้าไม่เคยคิดมาก่อน พี่จูลู่เป็นคนบอกแบบนี้ ตอนที่พูดเรื่องพวกนี้ พี่จูลู่มีท่าทางเลื่อมใสศรัทธาอย่างมาก เหมือนข้าที่ทุกวันล้วนฝันว่าจะสามารถจับปลาได้สักตัวหนึ่งนั่นแหละ”
แม่นางน้อยครุ่นคิดเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “แต่มาลองคิดอย่างละเอียดดูแล้ว ตามคำพูดของพี่จูลู่ ดูเหมือนว่าคนฝึกยุทธ์กับคนฝึกบำเพ็ญตบะ เกิดมาก็ไม่ถูกกันอยู่แล้ว ฝ่ายหลังชอบดูถูกฝ่ายแรก รู้สึกว่าการฝึกยุทธ์เป็นวิชาต่ำต้อย คือแมลงน่าสงสารที่พรสวรรค์ไม่ดีพอจึงไม่อาจฝึกบำเพ็ญตบะได้ ดังนั้นจึงมองพวกเขาเป็นคนชั้นล่าง ด่าพวกนักบู๊ว่าเป็นสุนัขเฝ้าประตูของราชวงศ์บนโลกมนุษย์ ส่วนฝ่ายแรกก็รู้สึกว่าพวกคนที่ฝึกบำเพ็ญตบะแต่ละคนหัวสูง จมูกชี้ฟ้า ไม่ใช่คนดีอะไร อาศัยอะไรเหล่านักสู้ที่คลำทางฝ่าฝันอยู่ในยุทธภพถึงถูกกล่าวหาว่าใช้วิชายุทธ์บ่อนทำลายความสงบ เห็นๆ กันอยู่ว่าพวกผู้ฝึกลมปราณมีเพียงหยิบมือเดียว แต่กลับได้ยึดครองเทือกเขาใหญ่ที่มีชื่อเสียงและถ้ำสวรรค์พื้นที่มงคลจำนวนนับไม่ถ้วน ซ้ำยังฮึกเหิมลำพองใจ เรียกตัวเองว่าเซียนบนภูเขาที่ใช้วิชาอภินิหารมาฝึกความเป็นอมตะ การที่ได้รับความเคารพเลื่อมใสจากคนธรรมดาและนักบู๊ที่อยู่ด้านล่างภูเขา เดิมก็เป็นเรื่องที่ถูกต้องตามหลักฟ้าดิน”
หลี่เป่าผิงพลันหัวเราะ “แต่ว่าข้อพิพาทพวกนี้ อาจารย์อาน้อยเจ้าไม่ต้องสนใจ น่าเบื่อจะตาย”
หลี่เป่าผิงทำท่าจะพูดแต่ก็หยุดไป คล้ายนึกถึงเรื่องอะไรขึ้นมาได้ แต่ก็ยากจะเอื้อนเอ่ย จึงรู้สึกร้อนตัวเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ตัดสินใจว่าจะแสดงความจริงใจ เพราะไม่อยากจะหลอกอาจารย์อาน้อยของนางเอง แม่นางน้อยจึงเอ่ยขอโทษหน้าม่อย “พี่จูลู่และอาจูเหอพ่อของนาง เดิมทีจะเดินทางไปยังชายแดนทางใต้ของต้าสุยพร้อมกับพวกเราด้วย แต่ข้ากลัวว่าอาจารย์อาน้อยจะไม่ชอบพวกเขา ข้าเลยหลอกพวกเขาว่าจะไปรอพวกเขาที่ประตูตะวันออก หากอาจูเหออยู่ด้วย เขาต้องสามารถสอนให้อาจารย์อาน้อยฝึกหมัดได้แน่นอน เพราะว่าพี่จูลู่ฝึกวรยุทธ์กับบิดาของนางมาตั้งแต่เด็ก ท่านบรรพบุรุษเคยพูดกับข้าเป็นการส่วนตัวว่า ถึงแม้พรสวรรค์การฝึกวรยุทธ์ของจูเหอจะมีจำกัด แต่กลับมีฝีมือในการสอนวรยุทธ์ให้คนอื่น คู่ควรกับคำเรียกขานว่า ‘พระวิสุทธิอาจารย์’ ต่อให้เอาไปโยนไว้ในจวนตระกูลสูงศักดิ์ที่ใหญ่โตดุจ ‘คฤหาสน์’ ของเมืองหลวงต้าหลี ก็สามารถกลายเป็นแขกผู้ทรงเกียรติได้ ตอนนี้ท่านอาจูเหอไม่อยู่แล้ว พี่จูลู่ก็ไม่อยู่แล้ว…”
เฉินผิงอันรีบเอ่ยปลอบ “ไม่เป็นไรๆ แม้ว่าข้าจะไม่มีอาจารย์มาสอนฝึกหมัดอะไร มีเพียงตำราหมัดเล่มเดียว ตอนนี้ขนาดตัวอักษรในตำราหมัดก็ยังรู้จักไม่หมด ก็ยิ่งไม่กล้าฝึกมั่วซั่ว แค่ฝึกยืนนิ่งกับเดินนิ่งเท่านั้น แต่ก็แน่ใจแล้วว่ามันสามารถบำรุงหล่อเลี้ยงร่างกายและจิตวิญญาณ ไม่ส่งผลร้าย หากจะฝึกอย่างจริงจัง เกรงว่าคงต่อรอให้ข้าอ่านตำราหมัดเล่มนั้นจนเข้าใจก่อนค่อยว่ากัน เรื่องนี้ไม่รีบร้อน เดิมทีข้าก็ไม่ได้ฝึกหมัดเพื่อแสวงหาขอบเขตอะไรอยู่แล้ว แค่เอามาใช้ต่อชีวิต ไม่ได้คิดอะไรมากขนาดนั้น”
แต่เห็นได้ชัดว่าหลี่เป่าผิงตกอยู่แต่ในภวังค์ความคิดของตัวเอง แถมยังคิดเตลิดไปไกลเป็นพันเป็นหมื่นลี้ ดังนั้นแม่นางน้อยยิ่งพูดก็ยิ่งรู้สึกผิด ปากเบะลง มีแววว่าจะร้องไห้ “ชาวบู๊ฝึกวรยุทธ์ อาจารย์นำพาเข้าประตู ฝึกฝนอยู่ที่ตน แต่อาจารย์เป็นคนที่สำคัญมาก คำว่าประตูที่ว่านี้ ธรณีประตูมีสูงมีต่ำ อีกทั้งหลังจากที่อาจารย์พาเข้าประตูใหญ่บานแรกแล้ว เนื่องจากความสามารถมีจำกัด จำต้องปล่อยมือไม่สนใจ หรือว่าสามารถพาไปยังประตูลานด้านหลังได้ในคราวเดียว สภาพการณ์จะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นอาจารย์ต้องเป็นพระวิสุทธิ์อาจารย์ จะหาแค่อาจารย์ที่มีชื่อเสียงอย่างเดียวไม่ได้”
แม่นางน้อยสูดจมูก น้ำตาใกล้จะหลั่งลงมาจากกรอบตาอยู่รอมร่อ “อาจารย์อาน้อยเจ้าคือผู้มีพรสวรรค์ด้านการฝึกยุทธ์ที่พันปียากจะพานพบสักครั้ง หากข้าทำให้เจ้าต้องพลาดการเป็นยอดฝีมือ ข้าควรจะทำอย่างไรล่ะ?”
เฉินผิงอันไม่มีเวลามาสนใจแล้วว่านางไปได้ข้อสรุปเหลวไหลว่าตนเป็นผู้พรสวรรค์ได้อย่างไร ภารกิจที่เร่งด่วนในเวลานี้คือห้ามทำให้นางร้องไห้ออกมาเด็ดขาด แม่นางน้อยเสียใจขึ้นมา ความรู้สึกที่มอบให้คนนั่นคือความเสียใจสุดซึ้งอย่างแท้จริง ไม่ได้เหมือนเด็กทั่วไปที่ร้องไห้งอแง เฉินผิงอันพลันเกิดแรงบันดาลใจ จึงยกมือขึ้น ฝ่ามือวางตรงหน้าแม่นางน้อย หลังจากกำเป็นหมัดเบาๆ ก็พูดเสียงดังหนึ่งคำ “หยุด!”
หลี่เป่าผิงคือเด็กฉลาดที่สมองแล่นเร็วมาก นางจึงอึ้งตะลึง หยุดทำนบน้ำตาที่มีแนวโน้มว่าจะพังทลายลงทันที “อาจารย์อาน้อย เจ้าทำอะไรน่ะ?”
เฉินผิงอันโบกหมัด หัวเราะฮ่าๆ “เป็นยังไงล่ะ อาจารย์อาน้อยร้ายกาจไหมล่ะ ทำให้เจ้าไม่ร้องไห้ได้ด้วย”
เพื่อปลอบใจแม่นางน้อย เฉินผิงอันก็ทุ่มสุดตัวแล้วจริงๆ ถึงกับยอมรับว่าตัวเองคืออาจารย์อาน้อยของนางเป็นครั้งแรก
แม่นางน้อยถึงกับหลุดหัวเราะ
นางรู้สึกว่าไม่ใช่ตัวเองไม่เสียใจแล้ว แต่ความดีใจมีมากกว่าความเสียใจ
เฉินผิงอันโล่งอกเหมือนยกภูเขาลง ฝ่ามือทั้งคู่วางทาบบนลำต้นของต้นหลิ่วเก่าแก่ เอียงตัวเล็กน้อยก็ขึ้นไปนั่งอยู่ข้างกายแม่นางน้อย
ใต้ฝ่าเท้าของคนทั้งสองวางตะกร้าหนึ่งเล็กหนึ่งใหญ่
หลี่เป่าผิงเอ่ยเบาๆ “ท่านอาจูเหอบอกกับพี่จูลู่บ่อยๆ ว่า หากไม่ฝึกหมัดอย่างจริงจัง ผีจะสิงร่างสามปี ฝึกหมัดอย่างจริงจัง หนึ่งหมัดต่อยเทพตายได้ หากคนที่ฝึกวรยุทธ์ป่วยเมื่อไหร่ จะยุ่งยากกว่าคนธรรมดาที่ต้องไปหาหมอรักษาอย่างมาก เคยมีอยู่สองครั้งที่พี่จูลู่เกือบจะผ่านไปไม่ได้ เมื่อครั้งแรกผ่านไป ร่างทั้งร่างของนางไม่อาจฟื้นตัวได้เกือบครึ่งปี ช่วงเวลานั้นนางเหมือนคนขี้โรค เวลาปกติแม้แต่ถังน้ำก็ยกไม่ขึ้น ครั้งที่สองรุนแรงยิ่งกว่า พอข้ารู้เรื่องก็ยกม้านั่งตัวเล็กไปตัวหนึ่ง แอบเจาะหน้าต่างกระดาษให้เป็นรู ผลกลับกลายเป็นว่าเห็นพี่จูลู่นอนกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่บนเตียงอย่างเจ็บปวด คนข้างๆ ช่วยกันกดก็กดไม่อยู่ สุดท้ายแม้แต่เล็บมือของนางก็ยังฉีกเปิด เลือดสดไหลหลั่ง น่าสงสารมาก สุดท้ายที่บ้านเชิบเถ้าแก่ร้านยาตระกูลหยางให้เอายามาส่ง ถึงจะไม่เจ็บปวดอีกต่อไป แล้วอาการก็ค่อยๆ สงบลง แต่ตอนนั้นท่านบรรพบุรุษยืนอยู่ตรงหน้าประตูลานบ้าน ไม่ได้เข้ามาในลาน เพียงส่ายหัวแล้วหมุนตัวจากไป ราวกับว่าเสียดายและผิดหวัง หลังจบเรื่องข้าเคยถาม ท่านบรรพบุรุษบอกแค่ว่าชีวิตรักษาเอาไว้ได้เพราะยาสมุนไพร แต่ความหวังที่จะเลื่อนสู่ขั้นที่แปดกลับหายไปแล้ว วันหน้าไม่ต้องตั้งใจอบรมปลูกฝังพี่จูลู่อีก หาไม่แล้วจะกลับเป็นการทำร้ายนาง หากโชคดีถึงขั้นวาสนายิ่งใหญ่เทียมฟ้า ก็สามารถเลื่อนสู่ขอบเขตที่เจ็ดได้ แต่หากโชคไม่ดี แม้แต่ขอบเขตที่หกก็ยังอยู่ไกลเกินกว่าจะคาดหวัง”
หลี่เป่าผิงหันหน้ามาหา กล่าวอย่างเป็นกังวล “อาจารย์อาน้อย เจ้าอย่าป่วยแบบนี้เด็ดขาดเลยนะ ข้าไม่เข้าใจอะไรสักอย่าง ต้องช่วยอะไรไม่ได้แน่!”
เฉินผิงอันกล่าวยิ้มๆ “ไม่หรอก อีกอย่างต่อให้ป่วยจริง แน่นอนว่าข้าสมมติน่ะนะ งั้นเจ้าเองก็ไม่ต้องกลัว ข้าทนความเจ็บปวดได้ดี นี่ไม่ได้โม้นะ”
หลี่เป่าผิงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง ยื่นมือไปวางบนแขนเขาแล้วบิดเบาๆ “อาจารย์อาน้อย เจ็บหรือไม่?”
เฉินผิงอันตบศีรษะเล็กของนางเบาๆ จากนั้นมองไปยังทางเล็กที่คนทั้งสองเดินมา “รู้หรือไม่ว่าตอนที่อาจารย์อาน้อยรู้สึกแย่มากที่สุดคือตอนไหน?”
แม่นางน้อยส่ายหน้าอย่างแรงเหมือนกลองป๋องแป๋ง
เฉินผิงอันยันมือสองข้างไว้บนลำต้นไม้ น่องเล็กไขว้กัน แล้วแกว่งเบาๆ อย่างสบายใจเหมือนแม่นางน้อย เด็กหนุ่มหรี่ตา กล่าวกลั้วหัวเราะเสียงเบา “คือครั้งที่สองที่ข้าขึ้นเขาไปเก็บสมุนไพรคนเดียว ตอนนั้นข้าเพิ่งจะสี่ขวบกว่า ไม่ถึงห้าขวบดี ตอนออกจากบ้าน คิดอยากจะเก็บสมุนไพรกลับมาให้ได้เยอะมากที่สุด ถึงได้จงใจเล็กตะกร้าใบที่ใหญ่ที่สุด ทว่าไม่ทันเดินออกจากเมืองเล็กก็เหนื่อยเกือบตายแล้ว พอออกจากเมืองเล็กแล้วมองเห็นภูเขา ตอนนั้นเป็นวันที่แดดร้อนจ้า ไหล่ถูกเชือกรัดตะกร้าเสียดสีจนปวดแสบปวดร้อน แผ่นหลังก็ยิ่งทรมานมากกว่า อันที่จริงความเจ็บปวดตอนนั้นยังพอทน ข้าไม่ได้กลัวเท่าไหร่นัก แต่เรื่องที่ทำให้ข้าสิ้นหวังก็คือ ภูเขาลูกนั้นอยู่ห่างไกลมาก ราวกับว่าต่อให้เดินทั้งชีวิตก็ไม่มีทางไปถึง บวกกับที่ตอนนั้นห่างจากครั้งแรกที่ขึ้นเขาไม่นานเท่าไหร่ ตุ่มน้ำใต้ฝ่าเท้าจึงเล่นงานอย่างรวดเร็ว จากนั้นอาจารย์อาน้อยอย่างข้าก็กัดฟันเดินไปร้องไห้ไป แถมยังต้องคอยถามตัวเองอยู่ตลอดเวลา นี่ยังไม่ทันเดินถึงตีนเขาเลย กลับบ้านก่อนดีกว่าไหม จะอย่างไรก็อายุน้อย ตะกร้าใหญ่ขนาดนี้ ทางบนภูเขาไกลขนาดนั้น กลับบ้านไปก็ไม่น่าอายหรอก ท่านแม่ต้องไม่โทษเจ้าแน่”
หลี่เป่าผิงฟังอย่างตั้งใจ ถามเสียงเบาว่า “อาจารย์อา แล้วท้ายที่สุดเจ้ายอมแพ้หรือไม่?”
เด็กหนุ่มรองเท้าแตะส่ายหน้ายิ้มๆ “ไม่ ตอนนั้นข้าพลันนึกขึ้นมาได้ว่า ไม่ว่าจะอย่างไร เดินไปถึงตีนเขาก็ยังดี ถึงที่นั่นแล้วค่อยย้อนกลับ จากนั้นพอข้าเดินไปถึงตีนเขาจริงๆ พอนั่งร้องไห้อยู่บนพื้นก็คิดขึ้นมาอีกว่า ไม่อย่างนั้นก็ขึ้นเขาเถอะ เก็บสมุนไพรให้ได้สักต้นแล้วค่อยกลับบ้านดีไหม? แล้วข้าก็เริ่มปีนเขา ปีนไปปีนมา พอเห็นสมุนไพรพวกนั้น ร่างทั้งร่างก็เหมือนมีพลังขึ้นมา เป็นเรื่องที่ประหลาดมาก”
หลี่เป่าผิงร้องว้าวหนึ่งที แล้วเอ่ยชม “อาจารย์อา เจ้าต้องเก็บสมุนไพรมาได้เต็มตะกร้าแล้วค่อยลงจากเขากลับบ้านแน่ๆ ใช่ไหม?!”
แม่นางน้อยพูดมาถึงตรงนี้ ใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจแทนเขา
เฉินผิงอันส่ายหน้า “เปล่าเลย จนกระทั่งพระอาทิตย์ใกล้จะตกดิน สมุนไพรก็ยังเก็บได้ไม่เต็มก้นตะกร้า ข้าก็ลงจากเขาแล้ว หนึ่งเพราะสมุนไพรไม่ได้หาได้ง่ายนัก เจอยากมาก ตัวเล็กขนาดนั้น แบกตะกร้าใหญ่เดินอยู่บนภูเขา อันที่จริงเป็นเรื่องยากกว่าเก็บสมุนไพรเสียอีก สองก็เพราะว่าเหนื่อยมากจริงๆ อีกอย่างก็คือคิดว่าหากยังไม่กลับ ฟ้ามืดแล้วต้องอยู่บนภูเขาคนเดียว แน่นอนว่าตอนนั้นข้ากลัวมาก ทว่าสิ่งที่ข้ากลัวมากที่สุดก็คือ…”
หลี่เป่าผิงรออยู่นานก็ยังไม่ได้ยินประโยคถัดไป จึงถามอย่างแปลกใจ “อาจารย์อาน้อยกลัวอะไรมากที่สุด?”
“ไม่มีอะไร”
เด็กหนุ่มรองเท้าแตะส่ายหน้า เอ่ยเสียงอ่อนโยน “เพราะตอนหลังก็ไม่กลัวแล้ว”
แม่นางน้อยเข้าใจอารมณ์ของคนได้ดีจึงไม่ได้ซักไซ้ถามต่อ
เฉินผิงอันคืนสติ หันไปยิ้มให้นาง “พูดเรื่องพวกนี้กับเจ้า ไม่ได้จะบอกเจ้าว่าอาจารย์อาร้ายกาจมากแค่ไหน อันที่จริงเด็กในเมืองเล็กที่มีชีวิตลำบากล้วนผ่านเรื่องแบบนี้กันมาทั้งนั้น ไม่มีอะไรแปลกประหลาดแม้แต่น้อย ที่ข้าพูดเรื่องพวกนี้ก็เพราะรู้สึกว่าวันนี้เจ้าเล่าเรื่องเกี่ยวกับการฝึกยุทธ์ได้ดีมาก เหมือนกับตอนที่อาจารย์อาน้อยแอบวิ่งไปโรงเรียนตอนยังเด็กแล้วเห็นอาจารย์ฉีสอนหนังสือ เจ้าบอกไม่ใช่หรือว่าไม่มีอาจารย์หญิง ไม่มีจอมปราชญ์หญิง ข้ารู้สึกว่าวันหน้าเมื่อไปถึงสำนักศึกษาซานหยา รอจนเจ้าอ่านหนังสือได้มากพอแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะได้กลายเป็นอาจารย์และจอมปราชญ์ที่สอนหนังสืออยู่ในสำนักศึกษาคนแรกก็ได้นะ”
พอแม่นางน้อยชุดแดงได้ยินอาจารย์อาเล็กพูดแบบนี้ก็พลันปลดปล่อยปณิธานแห่งความฮึกเหิม ชูสองหมัดขึ้นโบก “หลี่เป่าผิง เจ้าทำได้! ต้องทำได้แน่!”
เฉินผิงอันมองดูอยู่เงียบๆ รู้สึกว่าหากอาจารย์ฉียังอยู่บนโลกใบนี้ ต้องดีใจมากอย่างแน่นอน
เพียงแต่ว่าต่อมาแม่นางน้อยกลับพูดประโยคที่ทำให้เด็กหนุ่มปวดหัวแปล๊บ “เพราะหลี่เป่าผิงมีอาจารย์อาน้อยที่ร้ายกาจที่สุดในใต้หล้า!”
เด็กหนุ่มทำได้เพียงแสร้งทำเป็นหูทวนลม
ช่วงเวลางดงามที่ท่ามกลางธรรมชาติรายล้อม เด็กหนุ่มและแม่นางน้อยนั่งเคียงบ่ากัน ต่างคนต่างวาดหวังถึงปรารถนาที่งดงาม
……
มุมลับตาบนชายฝั่งตรงข้ามของธารน้ำ หนึ่งชายและดรุณีน้อยนางหนึ่งนั่งขัดสมาธิกินอาหารแห้ง
เด็กสาวที่สายตาเต็มไปด้วยประกายเฉียบคมกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ท่านพ่อ คุณหนูติดตามเจ้าคนทึ่มผู้นี้จะผ่านชายแดนต้าหลีของพวกเราไปได้อย่างราบรื่นจริงๆ หรือ? ได้ยินว่าที่นั่นทำสงครามกันบ่อย แถมยังทหารที่กลายมาเป็นโจรอีกมากมาย ไม่สงบสุขอย่างยิ่ง”
ชายผู้นั้นเอ่ยหยอกล้อ “ลืมไปแล้วหรือว่าใครที่สั่งสอนเจ้า? ศึกแรกในชีวิตหลังจากฝึกวรยุทธ์ ไม่เพียงแต่แพ้ แถมยังแพ้อย่างน่าเจ็บใจด้วย”
เด็กสาวกล่าวขุ่นเคือง “นั่นเป็นเพราะท่านพ่อไม่อนุญาตให้ข้าโคจรลมปราณโดยพลการ กลัวว่าข้าจะรับแรงกดดันขุมนั้นไม่ไว้ ตอนนี้แค่มือข้างเดียวของเขาก็สามารถตบเจ้าคนตรอกหนีผิงนั่นให้คว่ำได้”
ชายวัยกลางคนถามยิ้มๆ “ยอดฝีมือขอบเขตที่สองของวิถีวรยุทธ์อย่างเจ้า มั่นใจจริงๆ รึ?”
เด็กสาวเอ่ยเตือนเสียงดัง “ท่านพ่อ ขอบเขตสองสูงสุด!”
บุรุษยกกาน้ำขึ้นมาดื่มหนึ่งอึก แล้วส่ายหัว “เจ้าเอาชนะเขาไม่ได้ เว้นเสียแต่ว่าเป็นการประลองแบบฉับไว เจ้าถึงจะพอมีโอกาสชนะ”
เห็นได้ชัดว่าเด็กสาวไม่เชื่อ เด็กหนุ่มคนนั้นเพิ่งจะเริ่มเดินเข้าสู่ประตูใหญ่แห่งวิถีวรยุทธ์เท่านั้น ก่อนหน้านี้ตอนที่คนทั้งสองคุมเชิงกันอยู่บนหลังคาบ้านตระกูลหลี่ เขาก็แค่ได้เปรียบด้านชัยภูมิถึงโชคดีชนะไปได้
บุรุษเอ่ยเย้า “เจ้ามันใจร้าย เขาเล่นงานเจ้าในบ้าน ตอนที่เจ้าหงายลงพื้น ยังไม่ลืมช่วยดึงเจ้าขึ้นมา หากเปลี่ยนมาเป็นพ่อ ต่อสู้กับศัตรู ไม่เสียบเศษกระเบื้องใส่หัวเจ้าเพิ่มก็ถือว่ามีน้ำใจมากแล้ว”
“ถึงได้บอกว่าเขาโง่ไงล่ะ”
เด็กสาวแค่นเสียงเย็น “คนฝึกวรยุทธ์ มีเมตตาดุจสตรี คนแบบนี้ มีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน!”
บุรุษทำสีหน้าตะลึง “เจ้าเป็นสาวเป็นนาง ฝีมือต่อสู้ไม่เก่งกาจ วิถีวรยุทธ์ไม่สูง แต่กลับพูดหลักการของมหามรรคาได้เป็นฉากเป็นตอน ใครสอนเจ้า? แต่ข้าไม่เคยพูดเรื่องพวกนี้กับเจ้าแน่ล่ะ”
เด็กสาวเชิดคาง “คุณชายรองของพวกเราเป็นคนพูด! แม้คุณชายรองจะเป็นบัณฑิตที่มีแต่ตำราพิชัยสงครามอยู่เต็มหัว แต่เขาไม่เคยเอาแต่พูดถึงคุณธรรมน้ำใจ บอกแค่ว่าเมตตาคุมทหารไม่ได้ ต้องฆ่าให้เด็ดขาด”
บุรุษขมวดคิ้ว กำลังจะอธิบายหลักการที่ถูกต้องกับบุตรสาวผู้ขาดความรอบคอบให้ชัดเจน แต่กลับพลันลุกขึ้นยืน เอ่ยเสียงหนัก “ข้ามลำธาร!”
เด็กสาวลุกขึ้นตาม “ท่านพ่อ เกิดอะไรขึ้น ไหนบอกว่าจะแอบตามคุณหนูไปเงียบๆ อย่างไรล่ะ?”
น้ำเสียงบุรุษยังไม่ผ่อนคลายลง “มีคนมา ต้องระวังให้มาก!”
บิดาและบุตรสาวสองคนจึงพุ่งทะยานข้ามลำธารไป
……
เฉินผิงอันและหลี่เป่าผิงเพิ่งจะเดินออกจากต้นหลิ่วโบราณ เริ่มเร่งเดินทางอีกครั้งก็ค้นพบว่ามีคนผู้หนึ่งปรากฏตัวอยู่สุดปลายทางของการมองเห็น
เฉินผิงอันวางตะกร้าลงก่อน จากนั้นจึงให้หลี่เป่าผิงมายืนด้านหลังตัวเอง
หากอยู่ทางฝั่งทิศตะวันออกของเมืองเล็ก ไม่ว่าจะเจอกับใคร ต่อให้เป็นเทพเซียนหรือภูตผีปีศาจ เฉินผิงอันล้วนไม่รู้สึกแปลกใจ
แต่บนเส้นทางลงใต้ที่แม้แต่ทางเดินก็กำลังจะหายไปเส้นนี้ ไม่ว่าพบเจอใคร เฉินผิงอันก็ไม่กล้าประมาททั้งสิ้น
ห่างออกไปไกล
ชายฉกรรจ์คนหนึ่งที่เรือนกายไม่ถือว่าสูงใหญ่ แล้วก็ไม่ถือว่าแข็งแกร่งบึกบึนกำลังเดินขึ้นหน้ามาทางเฉินผิงอันและหลี่เป่าผิง เห็นเพียงว่าเขาจูงลาสีขาวตัวหนึ่ง หมวกสวมงอบ สะพายห่อผ้าเอียงๆ พันผ้ารอบขา มือถือไม้เท้าที่ทำจากไม้ไผ่ชิ้นหนึ่ง ตรงเอวห้อย…ดาบยาวฝักไม้ไผ่สีเขียวหนึ่งเล่ม?
ชายผู้นี้หยุดฝีเท้าเมื่อเดินมาได้ห้าหกก้าว ไม่ได้ขยับเข้ามาใกล้ต่อ เขาปลดงอบลง เผยให้เห็นใบหน้าที่ไม่โดดเด่น ก่อนยิ้มบางๆ “เจ้าชื่อเฉินผิงอันใช่ไหม? สวัสดี ข้าชื่ออาเหลียง เหลียงจากซ่านเหลียงที่แปลว่าจิตใจดีงาม”
สุดท้ายชายผู้นั้นพูดเสริมอีกหนึ่งประโยค “ข้าคือมือกระบี่คนหนึ่ง”