Skip to content

Sword of Coming 86

บทที่ 86 คนบนเส้นทางเดียวกัน

บ้านบรรพบุรุษของตระกูลหยวนในตรอกเอ้อหลาง ชุยฉานที่ร่างอาบไปด้วยเลือดนั่งอยู่บนเก้าอี้ มือทั้งสองสลับกันเป็นตราประทับแจกันสมบัติ รักษาเปลือกหุ้มร่างนี้ไม่ให้แหลกสลายไปอย่างยากลำบาก นี่ไม่เพียงแค่เพราะเปลือกนอกร่างนี้หามาได้ยากยิ่ง อีกทั้งเรือนกายนี้ยังเหมือนกรงขังแห่งหนึ่งที่ขังดวงวิญญาณของเขาเอาไว้ ในเวลาสั้นๆ อย่าว่าแต่พาวิญญาณเทพล่องลอยมาไกลระหว่างเมืองหลวงต้าหลีกับอำเภอหลงเฉวียนเหมือนก่อนหน้านี้เลย หากร่างกายนี้ถูกทำลาย เขาก็จะต้องกลายมาเป็นคนที่ดวงวิญญาณแตกแยก ไม่สมประกอบ ชีวิตนี้ต้องกลายมาเป็นพวกปลาและกุ้งในบ่อที่รองอยู่ใต้ฝ่าเท้าห้าขอบเขตกลางจริงๆ พวกพยัคฆ์และหมาป่าที่ก่อนหน้านี้หมอบกราบกรานอยู่ตรงหน้าเขาด้วยความหวาดกลัว ตอนนี้คิดจะฆ่าเขากลับง่ายเพียงแค่ยกฝ่ามือ

แม้ว่าทั้งกายและใจต่างก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่หลังจากถ่มเลือดออกมาหนึ่งคำ ชุยฉานก็ยังคงประคองพนักวางมือ ลุกขึ้นยืนทั้งที่มือเท้ายังสั่นเทา เขารู้ดีอยู่แกใจว่า ยิ่งเป็นเช่นนี้ก็ยิ่งร่วงดิ่งลงไปเร็วเท่านั้น ชุยฉานเงยหน้าขึ้นมาเพดานที่เปิดโล่ง ตรงนั้นเคยมีเสียงของหร่วนฉงอริยะสำนักการทหารร่วงลงมา เพียงแต่ว่าในเวลานี้แม้แต่เวทอภินิหารที่จะพูดคุยกับหร่วนฉงแบบลับๆ เขาก็สูญเสียไปแล้ว

ชุยฉานเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “ออกมา”

เด็กหนุ่มคนหนึ่งที่หน้าตางามประณีตไร้ที่ติคนหนึ่งเดินออกมาจากประตูห้องด้านข้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความหวาดกลัว พอเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าฉุยชานก็ทำอะไรไม่ถูก

ชุยฉานเชื่อใจในสายลับเดนตายลูกน้องตัวเองที่แฝงตัวอยู่ในเมืองเล็ก แต่ก็แค่เชื่อในใจภักดีที่พวกเขามีต่อตนที่เป็นราชครูต้าหลีเท่านั้น ทว่าไม่วางใจในศักยภาพของพวกเขาเลยแม้แต่น้อย ไม่เคยวาดหวังว่าพวกเขาจะสามารถคุ้มครองตนกลับไปส่งที่เมืองหลวงอย่างปลอดภัย ไม่แน่ว่ายังไม่ทันเดินออกไปจากเมืองเล็ก ซ่งจ่างจิ้งหรือไม่ก็หมากบางตัวที่ผู้หญิงคนนั้นวางไว้ในสี่แซ่สิบตระกูลอาจจะฉวยโอกาสลงมือก็เป็นได้

ดังนั้นชุยฉานจึงออกคำสั่งแก่เด็กหนุ่ม “ไปหาช่างหร่วนที่ร้านตีเหล็ก เชิญให้เขามาที่นี่สักรอบหนึ่ง บอกกับเขาไปตรงๆ ว่าข้าชุยฉานมีเรื่องอยากจะขอร้องเขา ยินดีทำการค้าครั้งใหญ่กับเขาหนึ่งครั้ง เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการแต่งตั้งเทพภูเขาของภูเขาเสินซิ่ว อย่าลืมว่า ไปเชิญ หากหร่วนฉงไม่ยอมมา เจ้าก็ไม่ต้องกลับมาที่บ้านหลังนี้อีกแล้ว วิญญาณเล็กน้อยที่ถูกข้ารวบรวมจัดวางไว้ในร่างกายของเจ้าชั่วคราวทนทานการจู่โจมจากลมพายุปราณหยางได้ไม่กี่วันเท่านั้น”

สีหน้าของเด็กหนุ่มซีดขาวราวหิมะ พยักหน้ารับแรงๆ

ชุยฉานนั่งกลับลงไปบนเก้าอี้อย่างอ่อนระโหย เอ่ยสั่งความ “หลังออกจากประตูไปแล้ว ทำสีหน้าให้เป็นธรรมชาติหน่อย อย่าทำหน้าอมทุกข์เหมือนพ่อแม่ตาย หาไม่แล้วแม้แต่คนปัญญาอ่อนก็รู้ว่าเกิดปัญหาขึ้นกับข้า”

เด็กหนุ่มพยักหน้ารับอย่างขลาดๆ แล้วสาวเท้าเร็วๆ ก้าวจากไป

ชุยฉานหลับตาลง ช่างน่าขันยิ่งนัก ต้องตกมาอยู่ในสภาพที่ถูกกักขัง ปิดตายทางออกของดวงจิต ซ้ำตอนนี้ตนยังต้องช่วยซ่อมแซมปะชุน กลายมาเป็นช่างซ่อมให้กับกรงขังแห่งนี้

ทว่าชุยฉานเพิ่งจะหลับตา เสียงฝีเท้าที่คุ้นเคยระลอกหนึ่งก็ดังขึ้นมา ชุยฉานพลันลืมตา เตรียมจะตวาดใส่หุ่นเชิดที่ทำงานไม่ได้เรื่อง

เพียงแต่พอเห็นแขกไม่ได้รับเชิญที่อยู่ข้างกายเด็กหนุ่มเครื่องปั้นคนนั้น ชุยฉานก็รีบเปลี่ยนสีหน้าทันที หันไปแย้มยิ้มเอ่ยกับเด็กหนุ่ม “ไปยกเก้าอี้มาให้ผู้อาวุโสหยาง แล้วก็ยกน้ำชามาด้วย”

ผู้เฒ่าสูบยาสูบ มือหนึ่งไพล่หลัง กวาดตามองไปรอบด้าน ไม่มองราชครูหนุ่มผู้ตกอยู่ในสภาพอเนจอนาถ ปากพูดกลั้วหัวเราะ “ตราผนึกของที่แห่งนี้ เจ้าชุยฉานเป็นคนจัดวางกับมือตัวเอง ตอนนี้ข้าเป็นเหมือนคนที่บุกเข้ามา แต่เจ้าของบ้านกลับยังนอนกรนครอกๆ ใต้เท้าราชครู เจอปัญหาอะไรหรือเปล่า? ต้องการให้ข้าช่วยไหม?”

ชุยฉานส่ายหน้าให้กับคำถามของอีกฝ่ายด้วยสีหน้าปกติ “ไม่ต้องหรอก”

ผู้เฒ่านั่งลงบนเก้าอี้ที่เด็กหนุ่มยกมาให้ เขาอยู่ทางฝั่งตะวันออก ส่วนชุยฉานนั่งอยู่ทางทิศใต้หันหน้าไปยังทิศเหนือ ตรงกับกรอบป้ายของห้องโถงใหญ่ตระกูลหยวนพอดี ผู้เฒ่ามองเด็กหนุ่มที่สีหน้ามีทั้งความสำรวมและใคร่รู้แวบหนึ่งก็กล่าวอย่างปลงตกว่า “สำหรับเรื่องวิญญาณเทพ ฝีมือการสร้างของเจ้าไม่เลวเลยจริงๆ”

ชุยฉานถาม “บทสนทนาของพวกเราตอนนี้ หร่วนฉงจะได้ยินหรือไม่?”

หยางเหล่าโถวยิ้ม “หร่วนฉงนิสัยเป็นยังไง กินอิ่มว่างงานแล้วถึงจะมาแอบจับตาความเคลื่อนไหวของเจ้า หากไม่เป็นเพราะเจ้าท้าทายเขาครั้งแล้วครั้งเล่า เจ้านึกว่าเขาอยากจะสนใจใยดีเจ้านักหรือไง?”

ชุยฉานกล่าวเสียงหนัก “ระมัดระวังรอบคอบ ย่อมล่องเรือได้นานนับหมื่นปี”

ประโยคนี้ชุยฉานพูดกับผู้อาวุโสหยางคนนี้เป็นครั้งที่สองแล้ว ครั้งแรกคือตอนที่อยูภูเขาเครื่องปั้น

ผู้เฒ่าสูบยา “มีเหตุผล”

ชุยฉานรอเงียบๆ อยู่ครู่หนึ่ง “ได้แล้วรึ?”

ผู้เฒ่าพยักหน้ารับเบาๆ “ราชครูชุยพูดได้ตามสบายเลย”

ชุยฉานใช้หลังมือปาดคราบเลือดที่ซึมออกมาตรงมุมปาก เอ่ยถาม “ข้าควรเรียกท่านผู้อาวุโสว่าชิงถงเทียนจวิน? หรือชื่อนั้นที่โด่งดังยิ่งกว่า…”

ผู้เฒ่าตัดบทคำพูดของชุยฉานด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “พอแล้ว”

ชุยฉานไม่พูดต่อไปจริงๆ เพียงกล่าวอย่างปลงอนิจจังว่า “บอกตามตรง สงครามในครั้งนั้น ติดตรึงในใจผู้น้อยตลอดมา”

จู่ๆ ชุยฉานก็หัวเราะ “ไม่แค้นที่ไม่พบองค์เทพมากมาย แค้นเพียงองค์เทพมากมายไม่เห็นข้า นี่เป็นความปลงอนิจจังจากใจจริงที่ได้รับรู้เรื่องราวภายในเป็นครั้งแรกหลังจากได้ขอเล่าเรียนกับท่านอาจารย์ ตอนนั้นอาจารย์ตำหนิว่าข้าไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ พูดเรื่อยเปื่อยเหลวไหล ตอนนี้มาลองคิดดู อาจารย์ถูกแล้ว ข้าเองที่ผิด”

ผู้เฒ่าโบกมือ “อาจารย์และศิษย์ในสำนักของพวกเจ้าเกลียดชังกันเองก็ดี ศิษย์พี่ศิษย์น้องเข่นฆ่ากันเองก็ดี ข้าล้วนไม่สนใจ”

ชุยฉานเอ่ยเสียดสี “ถ้าอย่างนั้นเจ้ามาที่นี่ เพียงแค่ชมเรื่องสนุกจากข้าอย่างนั้นหรือ?”

หยางเหล่าโถวถาม “แค่ใคร่รู้เล็กน้อย ซ่งจ่างจิ้งอ๋องเจ้าแคว้นต้าหลี คนฝึกยุทธ์ที่ปณิธานอยู่บนวิถีการต่อสู้ในขอบเขตที่สิบเอ็ด ทำไมเจ้ากับเขาถึงได้เหมือนน้ำกับไฟที่ไม่ถูกกันขนาดนี้?”

ชุยฉานส่ายหน้า “ไม่ใช่ว่าข้าต้องการจะแตกหักกับซ่งจ่างจิ้งให้ตายกันไปข้าง แต่เป็นเพราะต้าหลีของพวกเรามีสตรีร้ายกาจคนหนึ่งที่ไม่อาจปล่อยเขาไว้ได้ ตอนนั้นเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตของเฉินผิงอันถูกทำลายก็เป็นเพราะฝีมือของนางที่แอบวางแผนอยู่เบื้องหลังลับๆ หากไม่มีคนตระกูลหม่าของตรอกซิ่งฮวาที่ละโมบในเงินทองลงมือ ก็ต้องมีพวกคนอย่างตระกูลหลิว ตระกูลซ่ง เป้าหมายก็เพื่อทำให้ลูกชายของนางคว้าโอกาสได้ง่ายยิ่งกว่าเดิม แน่นอน ข้าไม่ปฏิเสธว่าภายหลังข้าใช้เฉินผิงอันมาเล่นงานฉีจิ้งชุน เป็นการปล่อยเลยตามเลย ซึ่งถือเป็นหนึ่งในแผนการดุจเทพนิมิตที่มีน้อยมากตลอดชั่วชีวิตข้า ฝีมือวางหมากของฉีจิ้งชุนสูงกว่า ข้ายอมแพ้ แต่ข้าก็ยังไม่รู้สึกว่าหมากตานี้ของตัวเองแย่”

หยางเหล่าโถวพ่นควันยาสูบ หรี่ตาพูด “เครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตแตก เด็กหนุ่มตรอกหนีผิงคนนั้นก็เหมือนตะเกียงดวงหนึ่งที่เด่นชัดสะดุดตามากเป็นพิเศษ แน่นอนว่าง่ายที่จะสร้างสถานการณ์ดั่งแมงเม่าบินเข้ากองไฟ สิ่งที่สตรีผู้นั้นที่เจ้าคาดการณ์ไว้ไม่ผิด หากไม่เป็นเช่นนี้ เด็กสาวที่ถือกำเนิดจากการรวมตัวของจิงชี่และจิตวิญญาณที่หลงเหลืออยู่ของเจินหลงตัวนั้นคงไม่อาศัยสัญชาตญาณตรงดิ่งไปหาเฉินผิงอันตั้งแต่แรก เพียงแต่ว่ารอจนนางกระโดดออกจากบ่อขังมังกร มาถึงตรอกหนีผิง เดินโซซัดโซเซมาถึงหน้าประตูของบ้านทั้งสองหลัง นางถึงเพิ่งสัมผัสได้ว่าที่แท้ในบ้านของซ่งจี๋ซินมีปราณมังกรที่เข้มข้น สำหรับนางแล้วนี่คืออาหารเลิศรสที่สุดสำหรับนางในใต้หล้านี้ ดังนั้นนางจึงพยายามสุดชีวิตที่จะเคาะประตูบ้านเขา เสียดายก็แต่เรี่ยวแรงไม่เอื้ออำนวย จึงล้มลงบนกองหิมะหน้าประตูบ้านของเฉินผิงอัน ภายหลังก็ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นเฉินผิงอันที่ช่วยนางไว้ แต่พอนางฟื้นขึ้นมา แน่นอนว่าต้องไม่ยินยอมลงสัญญากับคนธรรมดาที่มีร่างเป็นมนุษย์คนนี้ เพราะอย่างไรซะนั่นก็ถือเป็นการฆ่าตัวตายอย่างหนึ่ง ชีวิตมนุษย์นั้นแสนสั้น สำหรับสิ่งมีชีวิตที่มีอายุขัยยาวนานอย่างนางแล้ว จึงไม่มีค่าพอให้พูดถึง ได้อิสระแค่ชั่วคราว ไม่ใช่สิ่งที่นางปรารถนา ดังนั้นนางจึงเรียกตัวเองว่าเป็นสาวใช้คนใหม่ของซ่งจี๋ซิน เฉินผิงอันจึงนำโชควาสนาแห่งมหามรรคาที่ใหญ่ที่สุดของถ้ำสวรรค์หลีจูประคองสองมือส่งออกไปอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว จะว่าไปแล้วเฉินผิงอันในเวลานั้นเหมือนคนทรยศของเผ่าพันธุ์ใหญ่ เหมือนขุนนางกบฏของแคว้นใหญ่ จึงถูกมรรคาสวรรค์กำราบอย่างไร้รูปลักษณ์ ไม่อาจเหนี่ยวรั้งโชควาสนาใดๆ เอาไว้ได้”

ผู้เฒ่าเอ่ยมาถึงตรงนี้ก็ส่ายหน้า “มองเห็น แต่ไม่อาจสัมผัส คว้าไว้ไม่อยู่”

หลังจากฟังผู้เฒ่าพูดเงียบๆ จนจบ ชุยฉานก็กลับเข้าประเด็นหลักอีกครั้ง “แม้แต่ฮ่องเต้ก็ยังเชื่อว่าน้องชายอย่างซ่งจ่างจิ้งไม่เคยปรารถนาในเก้าอี้มังกร เสียดายก็แต่ มีครั้งหนึ่งฝ่าบาทขอให้ข้าสอนหมากล้อมให้ สตรีผู้นั้นก็ยืนชมอยู่ด้านข้าง คอยให้คำแนะนำแก่ฝ่าบาท เพื่อไม่ให้หมากจบเร็วเกินไปนัก”

“ฝ่าบาททรงตรัสถามข้ากะทันหันว่า จะมีวันใดที่อ๋องเจ้าแคว้นแห่งสมรภูมิรบที่ไม่มีคุณความชอบใดไม่อาจแต่งตั้งผู้นี้บุกเข้ามายึดครองเมืองหลวงต้าหลี ใช้มีดในมือขอบัลลังก์ตัวนั้นไปจากเขาหรือไม่”

“แน่นอนว่าข้าต้องตอบไปตามตรง บอกว่าท่านอ๋องไม่มีทางทำเช่นนั้นแน่ แต่ว่า หากมีวันหนึ่งที่พวกแม่ทัพนักสู้ผู้เหี้ยมหาญ ลูกน้องกลุ่มใหญ่ซึ่งมีคุณความชอบในการทำสงครามของท่านอ๋องเกิดความคิดอยากจะเป็นขุนนางผู้ประคับประคองมังกรขึ้นมา แล้วถึงเวลานั้นท่านอ๋องมีขอบเขตเป็นขั้นสิบ หรืออาจถึงขั้นสิบเอ็ดตามคำเล่าลือ รู้สึกว่าชีวิตน่าเบื่อ บวกกับที่ทุกคนข้างกายต่างก็ยุแยงปลุกปั่นว่า ไม่สู้ลองสวมชุดคลุมมังกร นั่งเก้าอี้มังกรก็ได้นี่นา จะได้ไม่ทำให้เหล่าทหารกล้าเสียกำลังใจ”

“พอข้าพูดประโยคนี้จบ ฮ่องเต้ต้าหลีท่านนั้นก็ทรงพระสรวลทันที สุดท้ายฮ่องเต้หันไปถามสตรีข้างกายว่า ‘เจ้าคิดว่าอย่างไร?’ สตรีผู้นั้นบอกว่า ‘ใจทะเยอทะยานของฝ่าบาทไม่มากพอ เพียงครึ่งหนึ่งของแจกันสมบัติทวีปบูรพาก็ทำให้ท้องอิ่มได้แล้ว แต่ซ่งจ่างจิ้งไม่เหมือนกัน ในอนาคตความสำเร็จบนมรรคาแห่งวรยุทธของเขาจะต้องสูงขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็ยิ่งต้องอยากเดินขึ้นสู่ที่สูงอย่างต่อเนื่อง’ หลังจากฟังประโยคนี้ของนางจบ ฝ่าบางก็ทรงแย้มพระโอษฐ์พลางตรัสว่าพวกเจ้าสองคนล้วนพูดจาเหลวไหล ใครที่พูดตำหนิติเตียน ทำลายเสาหลักของต้าหลีข้า ควรจะถูกลากไปตัดหัว แต่ว่าวันนี้เป็นวันดี เหมาะแก่การวางหมาก ไม่เหมาะลงมีด จะเก็บหัวของพวกเจ้าสองคนไว้ชั่วคราว”

หยางเหล่าโถวเอ่ยยิ้มๆ “ซ่งจ่างจิ้งเจอกับคู่ต่อสู้อย่างพวกเจ้าสองคนก็เป็นความซวยที่สะสมมาแปดชาติอย่างแท้จริง หนึ่งสตรีคอยเป่าหูอยู่ข้างหมอน หนึ่งคนรู้ใจคอยสาดโคลนอยู่ด้านข้าง”

ชุยฉานถามตรงเข้าประเด็น “มาหาข้าด้วยเรื่องอะไรกันแน่?”

หยางเหล่าโถวพูดประโยคประหลาดอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย “พวกเราเชื่อว่าขุนนางมีหลายประเภท ความร่ำรวยมีรากฐาน ความเป็นความตายมีชะตาเป็นตัวกำหนด แต่พวกเจ้าไม่เชื่อ”

เมื่อเกี่ยวพันถึงเรื่องนี้ ชุยฉานไม่คิดจะยอมถอยให้แม้แต่ก้าวเดียว ไม่มีความขวาดกลัวที่ความเป็นความตายถูกกุมอยู่ในมือของคนอื่นเลยแม้แต่น้อย จึงแค่นเสียงเย็น “แม้ข้าจะไม่รู้สึกว่าคนกลุ่มนี้ในปัจจุบันดีสักแค่ไหน แต่ข้าก็ยิ่งไม่รู้สึกว่าพวกเจ้าจะเป็นคนดีอะไร”

หยางเหล่าโถวเงยหน้ามองชุยฉาน “พูดมาเถอะ ฉีจิ้งชุนเลือกเฉินผิงอันไว้ทำอะไรกันแน่?”

ชุยฉานยิ้มตาหยี “เจ้าลองเดาดูสิ?”

เห็นได้ชัดว่าชุยฉานไม่ต้องการบอกคำตอบ

เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันไปถึงจิตใจแห่งการฝึกตนของเขา

หยางเหล่าโถวถาม “เจ้านึกจริงๆ หรือว่าข้าจะไม่สังหารเจ้า?”

ชุยฉานพยักหน้า “เจ้าไม่กล้า ต่อให้เป็นหมาตัวหนึ่งที่ข้าเลี้ยงไว้ เพื่ออนาคตและความร่ำรวย ในเวลาอาจจะกล้าสังหารฆ่า แต่มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่ไม่กล้า”

หยางเหล่าโถวเอ่ยยิ้มๆ “เจ้าฉลาดขนาดนี้ ทำไมถึงแพ้ให้ฉีจิ้งชุนได้?”

ชุยฉานทิ้งตัวลงบนพนักพิงหลัง เอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “มีประโยคหนึ่งของฉีจิ้งชุนที่สามารถตอบคำถามของเจ้าได้ ‘เรื่องราวบนโลกใบนี้ มีเพียงใจที่บริสุทธิ์ที่ไม่อาจหยั่งเชิง’”

หยางเหล่าโถวส่ายหน้า “เห็นไหม นี่ก็คือผลลัพธ์ที่พวกเจ้าไม่เชื่อในโชคชะตา ประหลาดพิสดาร ล่องลอยดั่งภาพมายา เมฆบดบังหมอกล้อมวน ไร้รากไร้ฐาน”

ชุยฉานหัวเราะฮ่าๆ “ทำไม ผู้อาวุโสคิดว่าข้าจะเดินไปบนเส้นทางสายนั้นของพวกเจ้าอย่างนั้นหรือ?”

หยางเหล่าโถวถามกลับ “ไม่อยากให้กระจกที่แตกไปกลับมาประสานกันอีกครั้ง หวนคืนสู่จุดสูงสุด? แล้วนับประสาอะไรกับที่ลาภยศและความสำเร็จซึ่งเจ้าเลื่อมใส โดยแก่นแท้แล้วก็ใช่ว่าจะไม่มีความเชื่อมโยงกับพวกเราเสียเลย”

ชุยฉานยื่นนิ้วออกมาหนึ่งนิ้ว ชี้ไปที่หยางเหล่าโถวด้วยนิ้วที่สั่นระริก หัวเราะจนเกือบน้ำตาไหล เอ่ยเสียดสีอย่างโอหัง “แม้ข้าชุยฉานจะเทียบกับอาจารย์ท่านนั้นของข้าไม่ได้ ไม่เก่งเท่าฉีจิ้งชุน แต่หากจะพูดถึงว่า เพื่อร่างทองคำอมตะแล้วถึงกับยอมเป็นหมาเฝ้าบ้านตัวหนึ่ง ถูกพวกคนที่เดิมทีก็ดูถูกข้าอยู่แล้วเรียกไปก็ไป โบกมือไล่ก็จากมา นั่นเป็นเพราะข้าบ้า หรือว่าเจ้าบ้ากันแน่? ผู้อาวุโส ข้าไม่ได้ว่าเจ้า แต่เจ้าป่วยจนร้อนใจเลยหาหมอมั่วซั่วหรือเปล่า? หรือว่าตกอยู่ในสภาพการณ์แบบข้า เพราะการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นฉับพลัน ไปทำลายแผนการบางอย่างที่วางไว้มาเนิ่นนานเข้า?”

หยางเหล่าโถวพูดด้วยประโยคเรียบง่าย “เจ้ารู้สึกว่าใครสามารถเรียกให้ข้าไปก็ไป เรียกให้มาก็มาได้?”

ชุยฉานพลันพรี่ตา สีหน้าเคร่งเครียด ไม่เอ่ยตอบ

หยาเหล่าโถวยกขาขึ้นขัดสมาธิ มองเพดานที่เปิดโล่งด้วยสีหน้าสงบ

คนบนโลกล้วนพูดกันว่าเงยหน้าสามฉื่อเจอองค์เทพ

แต่อันที่จริงกลับไม่มีมานานแล้ว

ชุยฉานสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง “แนะนำเจ้าว่าหากเคยใช้อุบายอะไรกับร่างของเด็กหนุ่มคนนั้น จึงรีบหยุดเสียแต่เนิ่นๆ เถอะ”

หยางเหล่าโถวส่ายหน้า พูดเนิบช้า “ไม่เคย”

ชุยฉานยิ้ม “คาดว่าก่อนหน้าที่ฉีจิ้งชุนจะตายไปก็คงเก็บกวาดปัญหาทั้งหมดเรียบร้อยแล้ว บวกกับที่ทั้งเจ้าและข้าต่างก็ถือว่ามือสะอาด ถ้าอย่างนั้นนอกจากสตรีผู้นั้นของเมืองหลวงต้าหลีที่อาจจะยังมีเจตนาร้ายแล้ว เฉินผิงอันก็ไม่ต้องกังวลภายหลังว่าจะ ‘สูงส่งอยู่เบื้องบน’ แล้ว”

หยางเหล่าโถวพลันพูดขึ้นว่า “ในเมื่อไม่อาจเป็นคนร่วมเส้นทางเดียวกันได้ ไม่เป็นไร พวกเราสามารถทำการค้าที่ยุติธรรมครั้งหนึ่งได้

ชุยฉานตอบอย่างไม่ลังเลโดยไม่แม้แต่จะถาม “ข้าตกลง”

เดินมาได้ระยะทางห้าลี้ เฉินผิงอันก็ให้แม่นางน้อยชุดแดงพักครู่หนึ่ง หลังนั้นก็เป็นสี่ลี้ แล้วก็สามลี้ที่จะหยุดพักครั้งหนึ่ง คนทั้งสองนั่งอยู่บนก้อนหินเรียบลื่นในธารน้ำ ตอนนี้การมุ่งหน้าไปทางใต้ของคนทั้งสองต้องเดินอ้อมชั่วคราว เพราะโดยส่วนใหญ่แล้วต้องเดินเลียบธารน้ำไป เพราะหากเป็นเส้นทางบนภูเขาจะยากลำบากยิ่งกว่า หลี่เป่าผิงไม่มีทางเดินตามทันแน่นอน แม้ว่าพละกำลังของแม่นางน้อยจะโดดเด่นกว่าคนวัยเดียวกันไปมาก แต่จะอย่างไรแล้วก็ยังเป็นแค่เด็กอายุแปดเก้าขวบ ต่อให้เป็นร่างกายที่มีรากฐานดีแค่ไหน สุดท้ายแล้วก็ยังสู้คนโตไม่ได้ เฉินผิงอันจึงไม่มีทางพาแม่นางน้อยเดินโดยใช้กำลังเท้าของตัวเองเป็นตัววัดเด็ดขาด

หลี่เป่าผิงที่เหงื่อโชกท่วมศีรษะนั่งอยู่ตรงนั้น มองเห็นว่าจู่ๆ เฉินผิงอันก็ถอดรองเท้าแตะ ม้วนขากางเกงขึ้นแล้วเดินลงน้ำไป คาดว่าคงเป็นเพราะผิวน้ำของลำธารกว้างค่อนข้างมาก ระดับสูงของน้ำจึงไม่เกินหัวเข่า สามารถมองเป็นปลาตัวเล็กสีเขียวจำนวนมากแหวกว่ายอย่างมีชีวิตชีวา ส่วนใหญ่แล้วตัวยาวประมาณฝ่ามือ

นับตั้งแต่ครั้งแรกที่เดินเข้าไปในลำธารเล็ก หลี่เป่าผิงก็ใฝ่ฝันว่าวันหนึ่งที่ตนจะสามารถจับปลาได้ ทว่าปลาที่แหวกว่ายเจ้าเล่ห์กว่าปูและกุ้งมากนัก หลี่เป่าผิงไม่อาจทำอะไรพวกมันได้เลย ในอดีตก็เคยเลียนแบบคนอื่นโดยการแอบตัดไม้ไผ่ท่อนหนึ่งมาทำคันเบ็ดตกปลา ทั้งๆ ที่ใช้เบ็ดตกปลา ตะขอตกปลาและไส้เดือนตกปลาเหมือนกับคนอื่นๆ แต่นางกลับไม่เคยตกปลาจากในลำธารมาได้ แม้นางน้อยมักจะไปนั่งหลบอยู่ใต้ร่มไม้ข้างลำธาร แม้ว่านางจะสามารถนั่งรอปลามาติดเบ็ดได้นานตลอดช่วงบ่าย แต่กลับไม่เคยได้รับผลเก็บเกี่ยวใดๆ ในขณะที่คนอื่นต่างก็ใช้หญ้าหางสุนัขมาร้อยปลาได้หลายพวง หรือไม่ในข้องจับปลาขนาดเล็กอัดแน่นไปด้วยตัวปลาแล้ว แต่ละคนต่างก็กลับบ้านไปหาพ่อแม่ด้วยความดีอกดีใจ มีเพียงแม่นางน้อยที่ต้องกลับไปด้วยมือเปล่า

ดังนั้นสำหรับเฉินผิงอันที่ดูเหมือนว่า ไม่ว่าจะเป็นการขึ้นเขาลงน้ำ เผาถ่านเก็บสมุนไพร ตกปลาจับงูล้วนไม่มีเรื่องใดที่ทำไม่ได้ แท้จริงแล้วกลับเป็นมีภาพลักษณ์ที่ยิ่งใหญ่อย่างถึงที่สุดในใจของแม่นางน้อย ความลับพวกนี้ นางเคยพูดให้สือชุนเจียฟังคนเดียวเท่านั้น

เวลานี้แม่นางน้อยเห็นเฉินผิงอันมองหาตำแหน่งหนึ่งใกล้ชายฝั่งก่อน ดูเหมือนว่าปลาส่วนใหญ่จะรวมตัวหลบกันอยู่ใต้ก้อนหินสีดำขนาดใหญ่ตรงแถบนั้น จากนั้นเขาก็เริ่มเดินเลยขึ้นไปเล็กน้อยแล้วสร้าง “ทำนบ” ขึ้นมาฝั่งหนึ่ง ยาวพอๆ กับความสูงของหลี่เป่าผิง ซึ่งทั้งหมดก่อขึ้นจากหินก้อนเล็กก้อนใหญ่ที่อยู่ใกล้กับในธารน้ำ ยังคงมีน้ำไหลลอดออกจากร่องก้อนหินลงไปด้านล่าง เฉินผิงอันไม่รีบร้อนใช้เศษหินและทรายมาอุดรูรั่ว แต่สร้างทำนบหนึ่งตั้งหนึ่งนอนอีกสองฝั่ง สุดท้ายจึงกลายมาเป็นเหมือนบ่อน้ำขนาดเล็กแห่งหนึ่ง

หลี่เป่าผิงมานั่งยองอยู่บนฝั่งใกล้กับบ่อน้ำ เบิกตาโตมองเฉินผิงอันที่เริ่มอุดรูโหว่อย่างคล่องแคล่วว่องไวด้วยความรู้สึกที่งดงาม ขณะเดียวกันหลี่เป่าผิงก็ค้นพบว่าเฉินผิงอันก้มหน้าก้มตาทำงาน สีหน้าเรียบเฉย มีสมาธิ จิตใจจมจ่อมอยู่กับมัน ไม่วอกแวก

เหมือนครั้งแรกที่แม่นางน้อยเห็นอาจารย์ฉียกพู่กันเขียนอักษรในโรงเรียน ในหัวใจนางก็มีความรู้สึกสบายใจบางอย่างที่บอกไม่ถูก

เมื่อทำนบด้านบนแทบจะแน่นหนาไร้รอยรั่ว ไม่มีน้ำซึมเข้ามาแล้ว ทำนบด้านข้างก็เป็นเช่นเดียวกัน ส่วนทำนบด้านล่างมีไว้แค่เพื่อป้องกันไม่ให้ปลาว่ายหนีสะเปะสะปะเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่ได้ใช้ทรายในแม่น้ำมาอัดให้แน่น ดังนั้นระดับน้ำใน “บ่อเลี้ยงปลา” บ่อนี้จึงค่อยๆ ลดระดับลง

ใบหน้าเล็กของหลี่เป่าผิงเต็มไปด้วยแววเปี่ยมสุข มือทั้งคู่กำเป็นหมัดแน่น ปากก็ท่องพึมพำ ตื่นเต้นยิ่งกว่าเฉินผิงอันที่นั่งพักบนก้อนหินเสียอีก

เฉินผิงอันเริ่มเดินลงไปในบ่อน้ำ ใช้มือทั้งสองวักน้ำออกด้านนอก

หลี่เป่าผิงจุ๊ปากพูด “เฉินผิงอัน เจ้าทำแบบนี้เรียกว่าจับปลาในบ่อแห้ง อ้อ ไม่ถูก นี่เป็นคำมีความหมายเชิงลบ ต้องบอกว่าถอนฟืนใต้กระทะต่างหาก!”

เฉินผิงอันถามยิ้มๆ “ก่อนหน้านี้มักเห็นเจ้าไปรอตกปลาอยู่ตรงริมธารน้ำเป็นประจำ ปลาตัวยาวที่สุดที่ตกได้คือประมาณเท่าไหร่?”

หลี่เป่าผิงถอนหายใจ “พวกปลาฉลาดเกินไป ข้าเลยได้แต่ใช้หญ้าหางสุนัขล่อพวกปูให้ออกมาจากรู ตกปลาน่ะยากมากเลย”

เฉินผิงอันอดถามไม่ได้ “เจ้าทำคันเบ็ดตกปลาเองหรือเปล่า?”

หลี่เป่าผิงพยักหน้ารับอย่างแรง “ใช่สิ ตรงมุมของลานหลังบ้านข้าปลูกไม้ไผ่ม่วงไว้ผืนหนึ่ง ว่ากันว่าท่านปู่ของท่านปู่ข้าเป็นคนปลูกเอาไว้ พวกบิดาข้าเฝ้าไว้อย่างแน่นหนา พอข้าเปิดปากบอกว่าจะขอมาทำเป็นคันเบ็ดตกปลาก็ถูกปฏิเสธทันที กว่าข้าจะขโมยตัดมาได้ท่อนหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย แถมยังต้องใช้กรรไกรค่อยๆ ตัด ค่อยๆ เล็ม ทำเอาข้าเหนื่อยแทบตาย”

น้ำในบ่อขุ่นมากขึ้นทุกขณะ เริ่มมีปลาที่ว่ายหนีเพ่นพ่านจนน้ำแตกกระจายแล้ว เฉินผิงอันมองเห็นเป็นเรื่องปกติ จึงเงยหน้ายิ้ม “ไม้ไผ่ท่อนนั้นไม่ถือว่าเล็กนัก เจ้ายังตัดหัวตัดหางมันด้วยหรือ?”

หลี่เป่าผิงกล่าวอย่างงงงัน “ใช่สิ ข้ากลัวว่าคันเบ็ดจะเล็กเกินไป ถ้าตกได้ปลาตัวใหญ่แล้วหักขึ้นมาจะทำอย่างไร หากไปหาเบ็ดตกปลาคันใหม่ที่ป่าไผ่ม่วง ต่อให้พ่อข้าไม่ตีข้า ตัวข้าเองก็ไม่อยากใช้กรรไกรไปจัดการกับไม้ไผ่พวกนั้นอีกแล้ว”

เฉินผิงอันพูดอ่อนใจ “มีใครเขาใช้ไม้ไผ่ทั้งปล้องมาตกปลาบ้าง? อันที่จริงปลาในลำธารของพวกเราล้วนตัวไม่ใหญ่ หากคันเบ็ดหนาเกินไป เจ้าก็จะไม่รู้สึกเลยว่ามันติดเบ็ดแล้วหรือว่างับเหยื่อแล้ว ถ้าก่อนหน้านี้ลองพวกมันงับเหยื่อไปได้ก่อนแล้ว ก็ไม่มีทางงับตะขอแน่นอน ปลาไม่โง่หรอกนะ หากเจ้าดึงคันเบ็ดขึ้นเร็วเกินไปก็ไม่มีทางตกใจได้ ตกปลาต้องทำคันเบ็ดที่มีขนาดกำลังดี ทั้งยังดูอากาศและฤดูกาลด้วย แล้วเจ้าก็ยังต้องหารังปลาให้เจอ ทั้งตะขอและเหยื่อตกปลาก็ล้วนมีความพิถีพิถันทั้งสิ้น”

แม่นางน้อยชุดแดงรู้สึกเหมือนฟังภาษาสวรรค์ ได้แต่อ้าปากกว้าง นางรู้สึกอึดอัดใจเล็กน้อย อันที่จริงแล้วยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่นางไม่ได้บอกกับเฉินผิงอัน ตะขอที่ร้อยไว้ตรงปลายเส้นเอ็นบนคันเบ็ดไม้ไผ่อันนั้นของนาง นางเอาเข็มเย็บผ้าของที่บ้านมาหักให้งอ อาจเป็นเพราะใหญ่เกินไป ปลาพวกนั้นคิดจะงับตะขอไปด้วยจึงค่อนข้างยากลำบาก

หลี่เป่าผิงบอกกับตัวเองในใจว่า ไม่เป็นไรๆ เด็กน้อยไม่รู้ความ เป็นเรื่องที่ให้อภัยกันได้

เฉินผิงอันเห็นว่าแม่นางน้อยค่อนข้างจะอึดอัด จึงได้แต่เอ่ยปลอบใจ “แต่ว่าตลอดปลายปีมานี้ เจ้าตกปลาไม่ได้สักตัว ข้ากลับรู้สึกว่าเจ้าเก่งมาก”

ดวงตาหลี่เป่าผิงเป็นประกายวาบ แม่นางน้อยเหมือนได้คลายปมในใจที่มีมานานหลายปี สีหน้าจึงสดชื่นขึ้นทันที

นางถามอย่างแปลกใจ “ทำไมต้องจับปลา พวกเรายังมีของกินอีกตั้งมาก”

เฉินผิงอันอธิบาย “เจ้าลองคิดดูสิ มีคำพูดหนึ่งบอกว่านั่งกินภูเขากลวง ขนาดภูเขายังถูกกินจนกลวงได้ แล้วนับประสาอะไรกับตะกร้าเล็กสองใบของพวกเรา ดังนั้นต้องประหยัดหน่อย วันหน้ายังต้องเดินทางอีกไกลนัก”

หลี่เป่าผิงเห็นด้วยอย่างยิ่งจึงกล่าวหมายมั่นปั้นมือ “จับปลาให้คนไม่สู้สอนคนจับปลา อย่างเรื่องแบบนี้และยังมีการตัดไม้ไผ่ ทำคันเบ็ด ตกปลาและช้อนปลา วันหน้าเจ้าต้องสอนข้าทั้งหมด”

“รับไป” เฉินผิงอันจับปลาแผ่นหินสีเขียวสลับแดงตัวหนึ่งแอย่างง่ายดาย แล้วจึงโยนให้แม่นางน้อยเบาๆ มองหลี่เป่าผิงที่มือเท้าพันกันให้วุ่นวายพลางพูดว่า “เจ้าอายุยังน้อยเกินไป ทำแค่เรื่องที่กำลังของตัวเองถึงก็พอ ไม่ต้องแข่งกับข้าไปเสียทุกอย่าง เดิมทีข้าก็ต้องดูแลให้เจ้าเดินทางไปขอเรียนที่สำนักศึกษาซานหยาอยู่แล้ว”

กว่าแม่นางน้อยจะใช้สองมือจับปลาตัวนั้นได้ไม่ใช่เรื่องง่าย นางกล่าวด้วยคำพูดที่เต็มไปด้วยเหตุและผล “ผิดแล้วๆ อาจารย์ฉีเคยบอกว่าพวกเราต้องอ่านหมื่นตำรา แล้วก็ต้องเดินทางหมื่นลี้ ในตะกร้าของพวกเรามีหนังสือแค่ห้าเล่ม ดังนั้นส่วนที่เหลือจึงจำเป็นต้องไปที่หอเก็บหนังสือของสำนักศึกษา ทว่าเดินทางหมื่นลี้ก็คือเรื่องที่คนเรียนหนังสือจำเป็นต้องทำเช่นกัน คำว่าแบกหีบหนังสือออกทัศนศึกษา ก็หมายความว่าสะพายหีบหนังสือเดินทางผ่านแม่น้ำและภูเขายิ่งใหญ่งดงามพลางแสวงหาวิชาความรู้ไปด้วย ทั้งสองอย่างล้วนไม่อาจขาด หาไม่แล้วก็ไม่ต่างจากเดินพิการเดินทาง”

“ข้างกายเจ้ามีหญ้าหางสุนัขอยู่มากมาย เอาร้อยแก้มปลาเข้าด้วยกันให้เป็นพวง ถ้ากลัวว่าจะขาดก็ใช้สักสองสามก้านก็ได้”

เฉินผิงอันสอนนางว่าควรจะจัดการกับของเชลยศึกอย่างไรพลางถามไปด้วยว่า “แบกหีบหนังสือออกทัศนศึกษาพูดถึงเดินสะพายหีบหนังสือหรือ? ใช่แบบที่เฉินซงเฟิงเมืองหลงเหว่ยแบกไว้หรือเปล่า? ถักจากไม้ไผ่ สวยมากเลย วันหน้าถ้าเดินผ่านป่าไผ่ ข้าสามารถทำให้เจ้าได้อันหนึ่ง แล้วก็จะได้ทำคันเบ็ดตกปลาด้วยเลย อยู่ภูเขากินภูเขา หากเดินลงไปด้านล่างอีก น้ำจะลึกขึ้น จะใช้วิธีแบบนี้จับปลาไม่ได้อีก”

แม่นางน้อยนั่งยองอยู่บนชายฝั่ง จับปลาแผ่นหินตัวนั้นที่ถูกโยนขึ้นมาบนฝั่งร้อยเป็นพวงเข้าด้วยกัน พอได้ยินคำพูดพวกนี้ก็ดีใจจนกระโดดโลดเต้น “จริงหรือ?!”

เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ข้าจะหลอกเจ้าไปทำไม? เอ๊ะ ระวังหน่อยๆ อย่ากระโดด เดี๋ยวทั้งคนทั้งปลาจะตกลงไปในน้ำ ปลาหนีไม่รอด แต่ถ้าคนป่วยขึ้นมาจะทำอย่างไร”

แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงนั่งยองลงไปอีกครั้ง กล่าวด้วยรอยยิ้มสดใส “ดีใจๆ ในที่สุดข้าก็จะมีหีบหนังสือใบเล็กเป็นของตัวเองแล้ว!”

เฉินผิงอันนั่งยองอยู่ในลำธารที่แทบจะแห้งขอดจนเห็นก้น ศีรษะแนบติดกับก้อนหิน ยื่นมือออกไปจับปลาที่อยู่ใต้แผ่นหิน “ปลาประเภทนี้หากตากแห้งก็จะสามารถกินได้สดๆ ถ้าเจ้ารังเกียจว่าสกปรก ข้าจะควักเครื่องในออก แต่ข้าเมื่อก่อนไม่จำเป็นต้องทำอย่างนั้น”

หลังจากความคิดของหลี่เป่าผิงตีกันอยู่ในหัวพักหนึ่ง นางก็กล่าวอย่างขลาดๆ ว่า “ถ้าอย่างนั้นควักเครื่องในออกดีกว่าไหม?”

เฉินผิงอันหยิบปลาแผ่นหินออกมาอีกตัว แล้วโยนขึ้นในพงหญ้าบนชายฝั่งเบาๆ “ตามใจเจ้าเลย อีกเดี๋ยวข้าจะทำให้”

หลี่เป่าผิงที่ในมือถือปลาสามพวงรีบพูด “ข้าทำเองๆ”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับแล้วคลำหาปลาใต้หินต่อไป

ครู่หนึ่งต่อมา เสียงตูมดังลั่น แม่นางน้อยที่อยู่ห่างไปไม่ไกลยืนอยู่ในลำธาร ร้องไห้จ้า

เฉินผิงอันรีบลุกขึ้นยืน วิ่งเร็วๆ ไปหา ตกใจถาม “เป็นอะไรไป?”

แม่นางน้อยร้องไห้ปานจะขาดใจ “มีปลาตัวหนึ่ง ข้าเพิ่งจะเอาออกมาจากหญ้าหางสุนัข ท่าทางใกล้จะตายแล้ว คิดไม่ถึงว่าพอวางลงน้ำ มันจะส่ายหางแล้วเผ่นหนีไปเลย! ข้าคว้าก็คว้าไม่อยู่…”

เฉินผิงอันรู้สึกขำอย่างมาก ก่อนจะก้มตัวช่วยนางม้วนขากางเกงที่เปียกชื้นแล้วขึ้นมาก่อน จากนั้นจึงอุ้มนางขึ้นวางบนฝั่งเบาๆ ให้นางถอดรองเท้าเอง บอกว่าเขาจะเป็นคนจัดการปลาพวกนี้ให้

แม่นางน้อยถอดรองเท้าอย่างว่าง่าย แต่ก็ยังร้องไห้เสียใจไม่เลิก รู้สึกว่าตัวเองทำเรื่องที่ผิดต่อเขาอย่างไม่น่าให้อภัย

รู้สึกราวกับว่าฟ้าจะถล่มลงมา

เฉินผิงอันที่อยู่ด้านข้างผ่าท้องปลา ควักเครื่องในด้วยท่าทางคล่องแคล่วคุ้นเคย พยายามกลั้นหัวเราะอย่างยากลำบาก เพราะคิดว่าไม่ควรสาดเกลือลงบนบาดแผลของแม่นางน้อยจะดีกว่า

สุดท้ายเฉินผิงอันหันหน้าไปมองแม่นางน้อย แล้วยกปลาสามพวงที่จัดการเรียบร้อยแล้วขึ้นมาเบาๆ

ปลายังคงมีมากมาย

แม่นางน้อยยิ้มออก หัวเราะเริงร่าทั้งที่ใบหน้ายังเต็มไปด้วยคราบน้ำตา “หนีไปตัวหนึ่ง ยังเหลือเยอะขนาดนี้เลยหรือ”

เฉินผิงอันเดินมานั่งลงข้างกายนาง ยื่นปลาสามพวงส่งให้ แล้วลูบศีรษะของนาง “ใช่สิ ดังนั้นวันหน้าหากเจอเรื่องแบบนี้อีกก็ไม่ต้องเสียใจมากขนาดนั้น”

แม่นางน้อยยกปลาสามพวงชูขึ้นสูง วางไว้ตรงหน้าตัวเอง กล่าวอย่างยินดี “ตกลง!”

เฉินผิงอันพูดเสียงอ่อนโยน “วันหน้าจะถักรองเท้าแตะที่พอดีกับเท้าของเจ้าให้สักสองสามคู่ รับรองว่าไม่กัดเท้า”

ดวงตาทั้งสองข้างของแม่นางน้อยเปล่งประกาย “ได้หรือ?”

เฉินผิงอันก้มหน้าช่วยนางบิดน้ำออกจากขากางเกง “ง่ายจะตายไป”

แม่นางน้อยถอนหายใจ “เจ้าทำเป็นหมดทุกอย่าง แต่ข้ากลับทำอะไรไม่เป็นเลยสักอย่าง”

เฉินผิงอันพูดยิ้มๆ “วันหน้าเจ้าก็สามารถสอนข้าอ่านหนังสือเขียนตัวอักษร ตัวอักษรที่ข้ารู้จักตอนนี้ยังมีไม่มาก ประมาณห้าร้อยกว่าตัวเท่านั้น”

พอหลี่เป่าผิงได้ยินประโยคนี้ก็พยักหน้ารับรัวๆ ราวไก่จิกข้าวสารทันที “ตกลงตามนี้!”

คนทั้งสองนั่งเคียงไหล่กัน มองน้ำในลำธารที่ไหลรินเอื่อยๆ หลี่เป่าผิงจึงถามขึ้นว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าลำธารน้อยสายนี้มีชื่อว่าอะไร?”

“ธารหลงซวี” (หนวดมังกร)

“ทำไมเจ้าถึงรู้ว่าลำธารน้อยชื่อว่าธารหลงซวี?”

“ครั้งก่อนตอนที่ข้าขึ้นเขาได้พกแผนที่สองฉบับไปด้วย ช่างหร่วนบอกว่ามันคือแผนที่ชัยภูมิของอำเภอหลงเฉวียนเรา บนแผนที่ระบุว่าเป็นธารหลงซวี แต่ว่าหลังจากที่ไหลไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้แล้วหักมุมกลับมาทางทิศใต้แล้ว เส้นสีแดงบนแผนที่กลับค่อยๆ หนาขึ้น จากนั้นก็เปลี่ยนชื่อเป็นแม่น้ำเถี่ยฝู” (ยันต์เหล็ก)

“แบบนี้เองหรือ งั้นข้าจะบอกเจ้าบ้าง ราชสำนักต้าหลีของพวกเรามีหกกรม กรมพิธีการหนึ่งในนั้นแบ่งออกอีกเป็นสวรรค์ แผ่นดินและมนุษย์สามฝ่าย ฝ่ายแผ่นดินรับผิดชอบวาดแผนที่พวกนี้ แต่ก็มีโหรแผ่นดินของสำนักโหรศาสตร์ช่วยนำทาง คนทั้งกลุ่มจะเดินทางไปทั่วเทือกเขาและแม่น้ำลำธาร เท่ากับว่าใช้ฝีเท้าแต่ละก้าว แต่ละก้าววัดขนาดของดินแดนราชวงศ์แห่งหนึ่งที่มีระยะทางหนึ่งพันลี้ หนึ่งหมื่นลี้ จากนั้นค่อยเขียนลงไปบนกระดาษทีละชุ่น ทีละฉื่อ เฉินผิงอัน เจ้าว่าขุนนางและโหรฝ่ายแผ่นดินพวกนั้นร้ายกาจมากไหมล่ะ?”

“ทำไม พอเจ้าโตขึ้นจะไปเป็นขุนนางฝ่ายแผ่นดินของกรมพิธีการ หรือไม่ก็โหรแผ่นดินของสำนักโหราศาสตร์อย่างนั้นหรือ?”

“เฉินผิงอัน เจ้าไม่รู้หรือไง? ผู้หญิงเป็นขุนนางไม่ได้หรอกนะ อีกทั้งไม่ใช่แค่ต้าหลีของพวกเราที่เป็นเช่นนี้ ดูเหมือนว่าจะเป็นแบบนี้ทั่วทั้งใต้หล้า อย่างข้ากับสือชุนเจีย หากจะเรียนหนังสือนั้นได้ แต่ก็ไม่เคยได้ยินว่ามีผู้หญิงเป็นอาจารย์สอนหนังสือหรือถูกคนเรียกว่าจอมปราชญ์”

“แบบนี้เองหรือ”

“ใช่แล้ว เฉินผิงอัน เจ้าบอกว่าปิ่นหยกที่เสียบอยู่บนผมเจ้าเป็นของอาจารย์ของอาจารย์ฉีที่มอบให้อาจารย์ฉี จากนั้นอาจารย์ฉีก็มอบให้เจ้า”

“ถูกต้อง”

“เฉินผิงอัน นับจากวันนี้ไป ข้าก็จะเรียกเจ้าว่าอาจารย์อาน้อยแล้วกัน!”

“ทำไมล่ะ?”

“หลังจากที่เจ้าเป็นอาจารย์อาน้อยของข้าแล้ว หากวันใดข้าทำให้เจ้าไม่พอใจ เจ้าตัดสินใจจะทอดทิ้งไม่สนใจใยดีข้า ก็ต้องถามใจตัวเองก่อนว่า—ข้าเฉินผิงอันเป็นถึงอาจารย์อาน้อยที่หลี่เป่าผิงรักและเคารพอย่างถึงที่สุด แน่นอนว่าต้องร่วมทุกข์ร่วมสุขไปกับแม่นางน้อยที่ดีขนาดนี้”

“ข้าไม่เป็นอาจารย์อาน้อยอะไรนั่นได้หรือเปล่า? วางใจเถอะ ข้าไม่มีทางทอดทิ้งเจ้าหรอก”

“ไม่ได้!”

“ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่ทำหีบหนังสือใบเล็กและรองเท้าแตะให้เจ้าแล้ว”

“ไม่เป็นไร ข้าไม่กลัวหรอก ข้าจะเรียกเจ้าว่าอาจารย์อาน้อย!”

“หืม?”

“บนโลกใบนี้จะมีอาจารย์อาน้อยคนไหนไม่ทำหีบหนังสือใบเล็กกับรองเท้าแตะให้ข้าบ้างล่ะ?!”

“…”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version