Skip to content

Sword of Coming 85

บทที่ 85 การทดสอบใหญ่ปิดฉากลง

ตอนที่เฉินผิงอันตื่นขึ้นมา ค้นพบว่าน้ำมันตะเกียงบนโต๊ะแห้งขอดลงแล้ว และท้องฟ้านอกหน้าต่างก็เริ่มสว่างรำไร

เขาจำได้แค่ประโยคห้าท่อนที่สตรีร่างสูงใหญ่ผู้นั้นกล่าวกับตน

“ความลับมากมายที่ข้าพูดไปก่อนหน้านี้ เมื่อเจ้าตื่นจากฝัน จะลืมทุกอย่างหมดสิ้น แล้วเจ้าก็ไม่ต้องพยายามย้อนนึก คิดซะว่าเป็นเพียงเรื่องที่ข้านึกจะพูดก็พูดเท่านั้น”

“หากข้าเผยกายในโลกตอนนี้ ต่อให้อริยะของแต่ละฝ่ายจะไม่มากำราบเจ้าและข้า แต่ด้วยสภาพเรือนกายและจิตวิญญาณของเจ้าในเวลานี้ก็ไม่อาจแบกรับได้ไหวอยู่ดี กลับจะส่งผลร้ายไร้ผลดีต่อเจ้า ดังนั้นพวกเรามากำหนดเวลาเป็นหนึ่งร้อยปี ขอแค่เจ้าสามารถกลายเป็นผู้ฝึกลมปราณชั้นที่สิบได้ภายในเวลาร้อยปีนี้ก็จะสามารถกลับคืนมายังสะพานหินโค้งในเมืองเล็กเพื่อนำกระบี่เหล็กไปได้”

“การที่ข้าเลือกเจ้าเป็นนายของตน หลังจากวันนี้เจ้าห้ามลำพองใจและพึงพอใจเพียงเพราะเรื่องนี้ แล้วก็ห้ามลืมกำพืดของตัวเองอย่างเด็ดขาด เวลาแปดพันปี ข้าได้พบเห็นลูกรักของสวรรค์ที่มีพรสวรรค์ค้ำฟ้าเลิศเลอมามากมายยิ่งนัก กลุ่มคนล่าสุดก็อย่างเช่นเฉาซี เซี่ยสือ รวมไปถึงพวกหม่าขู่เสวียน แต่พวกเขากลับไม่เคยเข้าตาข้า ดังนั้นการที่ข้าเลือกเจ้าจึงไม่ได้เพราะเวลาสุดท้ายใกล้จะมาถึงจึงถูกบีบให้ต้องเลือกด้วยความจนใจ”

“แม้ว่าตอนนี้จะไม่สามารถติดตามเจ้าออกไปต่อสู้ได้ ทว่าของขวัญพบหน้าย่อมต้องมีให้ สงครามสังหารมังกรเมื่อสามพันปีก่อนหน้านี้ ข้าอยู่ว่างๆ ไม่มีอะไรทำเลยมองดูพวกเด็กๆ อย่างพวกเขาทะเลาะกัน สนุกก็สนุกดีหรอก แต่ในเมื่อของหายไปส่วนหนึ่ง ข้าจึงเก็บเอาป้ายหยกขาวลักษณะไม่เลวมาชิ้นหนึ่ง มองดูแล้วก็แค่เรียบง่ายสบายตาเท่านั้น ไม่ได้มีลวดลายแกะสลักใดๆ ขนาดเล็กกะทัดรัด สามารถนำไปใช้เก็บของ ถือเป็นวัตถุจื่อฉื่อ (ฉื่อเป็นมาตรวัดของจีนเทียบเท่าหนึ่งฟุต) ที่มีอายุมากหน่อย เมื่อเทียบกับคลังแสงฟางชุ่น (ชุ่นเป็นมาตรวัดของจีนเทียบเท่าหนึ่งนิ้ว) หรือสุสานกระบี่ฟางชุ่น ที่นิยมกันในใต้หล้าทุกวันนี้ ก็มีแต่จะระดับสูงยิ่งกว่า พื้นที่ใหญ่พอๆ กับบ้านบรรพบุรุษในตรอกหนีผิงของเจ้า อีกทั้งยังไม่ต้องนำมาห้อยให้คนเห็น สามารถบำรุงให้อุ่นอยู่กลางช่องโพรงในกาย ข้าทำให้จิตของเจ้ากับมันเชื่อมถึงกันแล้ว เพียงแค่มือเจ้าสัมผัสสิ่งของใดแล้วฉุกคิดถึง ก็จะสามารถเก็บไว้ในช่องโพรงที่มีป้ายหยกชิ้นนั้นอยู่ นอกจากนักพรตขอบเขตบินทะยานที่พอจะฝืนผ่าออกได้แล้ว ก็จะไม่มีทางถูกทำลายได้อีก ข่าวร้ายก็คือมีเพียงรอให้เจ้าเป็นนักพรตห้าขอบเขตกลางเท่านั้นถึงจะสามารถควบคุมและใช้หยกชิ้นนี้ได้”

“อืม สุดท้ายก็คือชื่อเรียกว่าพี่สาวเทพเซียนนี้ถูกใจข้ามาก ดังนั้นข้าจึงเพิ่มปราณกระบี่ที่เล็กมากๆ อีกสามกลุ่มเพิ่มไว้บนร่างเจ้าให้เป็นพิเศษ”

เฉินผิงอันยืนเหม่อลอย

รู้สึกเหมือนอยู่กันคนละโลก

ก่อนหน้าที่จะไปจากเมืองเล็ก ตนก็แค่อยากจะกลับมาบ้านแล้วจุดตะเกียงทิ้งไว้รอให้ฟ้าสว่าง เพื่อชดเชยคืนโต้รุ่งก่อนวันปีใหม่ที่ถูกกำหนดไว้แล้วว่าปีนี้ไม่อาจทำได้ล่วงหน้าเท่านั้น

เฉินผิงอันรู้สึกว่าหัวตัวเองโตเท่าโตว (斗 เครื่องตวงข้าวของจีน คล้ายลังรูปสี่เหลี่ยม บางครั้งเป็นรูปกลอง ส่วนมากจะทำด้วยแผ่นไม้หรือแผ่นไม้ไผ่)

อย่าว่าแต่ขอบเขตห้าบนหรือชั้นที่สิบของผู้ฝึกลมปราณเลย ร่างกายของเฉินผิงอันในเวลานี้เป็นเหมือนกระท่อมไม้ผุพังลมเข้าได้แปดทิศ เพียงเจอลมหรือฝนก็ส่ายไหวโอนเอน ยากที่จะกักลมเก็บปราณเอาไว้ได้ แล้วจะฝึกลมปราณเป็นเทพเซียนได้อย่างไร? เฉินผิงอันไม่เพียงแต่ถูกกำหนดมาแล้วว่ามิอาจฝึกตน อีกทั้งหากอยากจะมีชีวิตอยู่ยังจำเป็นต้องอาศันการฝึกหมัดมาหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณและร่างกายด้วยถึงจะได้

หนิงเหยาเคยพูดอย่างไม่ตั้งใจว่า การจะทำลายช่องโพรงและฐานกระดูกของคนคนหนึ่งนั้นง่ายมาก ก็เหมือนกับที่ไช่จินเจี่ยนใช้ “แตะดรรชนี” กับเฉินผิงอันเพื่อบังคับเปิดช่องโพรงของเขา แต่หากคิดจะสร้างเรือนกายและจิตวิญญาณที่สมบูรณ์แบบขึ้นมาใหม่ โดยเฉพาะเรือนกายที่เหมาะสมกับการฝึกตนกลับยากยิ่งกว่าเดินขึ้นสวรรค์ หลักการนั้นง่ายมาก ประตูบ้านบานหนึ่งถูกเด็กเล็กเอามีดหั่นผักมาฟันมั่วซั่ว เพียงแค่ออกแรงเล็กน้อยก็พังได้ แต่หากคิดจะซ่อมแซมประตูบ้านใหญ่ที่แตกหักเสียหายให้กลับมาดีเหมือนใหม่ ย่อมเป็นเรื่องที่ยากมาก

อันที่จริงสิ่งที่เฉินผิงอันกลัวมากที่สุดก็คือ หลังจากรับปากหลี่เป่าผิงไปแล้วว่าจะคุ้มครองนางไปส่งที่สำนักศึกษาซานหยา ระยะทางต้องยาวไกล ตนจะสามารถรอดชีวิตกลับมายังบ้านเกิดได้หรือไม่ยังบอกได้ยาก แล้วจู่ๆ ทำไมถึงมีสัญญาหนึ่งร้อยปีโผล่ขึ้นมาอีก? ใช่ว่าตอนนั้นเฉินผิงอันจะไม่บอกความคิดของตัวเองอย่างตรงไปตรงมา แต่สตรีชุดขาวผู้นั้นกลับใช้ประโยคเดียวหยุดยั้งความคิดของเขา ไม่เป็นไร ตอนนี้ข้าไม่เหลือพื้นที่ให้เสียใจทีหลังอีกแล้ว จึงรับเจ้าเฉินผิงอันเป็นนาย หากเจ้าตายไป ข้าก็แค่รอตายแล้วกัน วันใดกระบี่โบราณเล่มนั้นร่วงลงสู่ธารน้ำ วิญญาณเทพของข้าก็จะสลายไปอย่างสิ้นซาก ไม่เป็นไร เจ้าไม่ต้องรู้สึกว่าติดค้างอะไรข้า จะโทษก็โทษที่ข้าตาบอด โทษคนอื่นไม่ได้

ตอนนั้นในใจเฉินผิงอันคิดว่า เจ้าพูดขนาดนี้แล้ว ข้ายังจะทำเฉยได้ลงคออีกหรือ? แล้วอะไรคือ “โทษคนอื่นไม่ได้” ก็ในเมื่อมีแค่เจ้ากับข้าสองคนไม่ใช่หรือไง?

เฉินผิงอันไม่รู้แม้แต่นิดว่าอะไรคือผู้ฝึกลมปราณชั้นสิบ แล้วก็ไม่รู้ว่าอะไรคือวัตถุจื่อฉื่อ อะไรคือวัตถุฟางชุ่น[1]

นอกจากอยู่ดีๆ ก็มีภาระหน้าที่ใหญ่เทียมฟ้าเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งอย่าง อันที่จริงส่วนลึกในใจของเด็กหนุ่มกลับรู้สึกปิติยินดีเล็กน้อย

ที่แท้นับแต่วันนี้เป็นต้นไป บนโลกใบนี้จะมีคนอีกคนหนึ่งที่ต้องการพึ่งพาตนเพิ่มขึ้นมา

ช่วงสุดท้ายของการพูดคุยในความฝัน เฉินผิงอันจำได้ว่าตนกับสตรีชุดขาวนั่งเคียงบ่ากันอยู่บนสะพานหินโค้งสีทองอร่ามที่ทอดยาวเหยียดจนมองไม่เห็นปลายทาง ราวกับเป็นเจียวและมังกรที่ลอดทะลวงอยู่ท่ามกลางทะเลเมฆ

เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง นอนคว่ำอยู่บนโต๊ะ คิดมาจนถึงช่วงสุดท้ายก็ยังรู้สึกว่าประโยคหนึ่งของผู้เฒ่าเหยาเข้าใจได้ง่ายที่สุด “ของที่ควรเป็นของเจ้า จงเก็บไว้อย่าทำหาย ของที่ไม่ควรเป็นของเจ้า ก็อย่าแม้แต่จะคิดครอบครอง”

เฉินผิงอันนำสิ่งของที่สมควรเก็บมาใส่ไว้ในตะกร้าสะพายหลังขนาดเล็กใบหนึ่ง ยกตัวอย่างเช่นของจุกจิกจำพวกหนังสติ๊ก ตะขอเกี่ยวปลา เอ็นตกปลา หินจุดไฟ เป็นต้น สุดท้ายหยิบถุงผ้าใบเล็กออกมาจากก้นไหอย่างระมัดระวังแล้วเอาเศษกระเบื้องใส่ถุงไว้ ของกระจุกกระจิกรวมกันแล้วก็มีไม่น้อย แต่ล้วนน้ำหนักไม่มาก ออกจากบ้านเดินทางไกลก็คล้ายกับการเดินบนเส้นทางภูเขาหนึ่งหรือสองร้อยลี้ของเฉินผิงอันในอดีต หากแบกน้ำหนักมากเกินไป ย่อมเป็นเรื่องเลวร้ายเหมือนใช้มีดทื่อเฉือนเนื้อตัวเอง ต้องรู้ว่าอยู่กับภูเขาต้องกินภูเขา อยู่กับน้ำกินน้ำ

เฉินผิงอันแบกตะกร้าใบเล็กขึ้นหลัง หลังจากใส่กุญแจประตูบ้านเรียบร้อยก็มายืนอยู่ในลานบ้าน มองเห็นกิ่งไหวที่พิงเอนอยู่กับมุมกำแพง ครุ่นคิดเล็กน้อยก็เปิดประตูบ้านใหม่อีกครั้ง แล้วเอามันไปไว้ในห้อง หลีกเลี่ยงไม่ให้วันหน้าถูกลมพัดตากแดดจนผุเปื่อยเร็วเกินควร

เฉินผิงอันพกเงินสองตำลึงที่ได้มาจากการขายสมุนไพรซึ่งเก็บจากการขึ้นเขาคราวก่อนติดตัว จากนั้นจึงไปที่ตรอกซิ่งฮวาและตรอกฉีหลง ฟ้ายังไม่สว่างดี เด็กหนุ่มรองเท้าแตะก็มานั่งยองอยู่นอกร้านที่ประตูปิดสนิท อดทนรออย่างใจเย็น รอจนเถ้าแก่ร้านเดินหาวมาเปิดประตู เด็กหนุ่มจึงเข้าไปซื้อเทียน เงินกระดาษ และยังซื้อเหล้าที่ชื่อว่าเหล้าต้มดอกท้อวสันต์จากร้านขายเหล้ามาหนึ่งไห สุดท้ายคิดจะซื้อขนมขู่เจี๋ยห่อหนึ่งมาจากร้านยาสุ่ย จำได้ว่าตอนเด็กท่านแม่เคยกินครั้งหนึ่งแล้วบอกว่าอร่อยมาก ยังพูดด้วยว่ารอวันเกิดครบห้าขวบของเฉินผิงอันเมื่อไหร่จะซื้ออีกครั้ง ดังนั้นเฉินผิงอันจึงจำได้แม่นยำเป็นพิเศษ เพียงแต่ว่าพอไปถึงร้านยาสุ่ย ลูกจ้างร้านกลับบอกว่าที่ร้านเลิกทำขนมชนิดนี้นานแล้ว แต่มีพ่อครัวเฒ่าคนหนึ่งที่ทำได้ ร้านใกล้จะปิดกิจการแล้ว พ่อครัวเฒ่าจึงติดตามพวกเถ้าแก่ไปเสวยสุขที่เมืองหลวงนานแล้ว เฉินผิงอันจึงได้แต่ซื้อขนมดอกท้อที่เมื่อวานหร่วนซิ่วยกให้หลี่เป่าผิงมาห่อหนึ่ง

เด็กหนุ่มเดินออกจากเมืองเล็ก ผ่านวัดเล็กที่ตอนนั้นหนีมาซ่อนวานรย้ายภูเขากับหนิงเหยา และยังเดินไปทางทิศใต้ต่อ จนกระทั่งมาหยุดอยู่ตรงหน้าเนินเขาขนาดเล็กแห่งหนึ่ง เด็กหนุ่มถึงได้เริ่มเดินขึ้นด้านบน มาถึงช่วงกึ่งกลางผู้เฒ่าที่เป็นที่นารกร้างไม่ปลูกพืชพรรณใดๆ มานานหลายปี นอกจากนี้ยังมีเนินดินเล็กๆ สองเนิน ในที่นาและบนเนินดินต่างก็ไม่มีวัชพืชขึ้น เฉินผิงอันยืนอยู่ด้านหน้าเนินดินเล็กๆ ทั้งสองนั้น ก่อนจะค่อยๆ ย่อตัวลงนั่งยอง ปลดตะกร้าสะพายหลังลงแล้วนำของที่จะใช้เซ่นไหวออกมาวางทีละอัน

เมืองเล็กผ่านกาลเวลามาพันปีแล้วก็พันปี ไม่รู้ว่าเป็นอย่างนี้มาตั้งแต่แรก หรือเพิ่งจะเปลี่ยนแปลงไปตามประเพณีนิยมของผู้คน เพราะไม่ว่าจะเป็นคนรวยหรือคนจน ยามที่มากราบไหว้บรรพบุรุษล้วนไม่มีใครคุกเข่าโขกหัว เพียงแค่ต้องจุดธูปสามดอกแล้วกราบสามครั้งเท่านั้น เด็กหนุ่มตรอกหนีผิงที่ได้รับอิทธิพลความเคยชินจาก “ประเพณีของตระกูลมาสี่รุ่น” แน่นอนว่าก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เพียงแต่ว่าก่อนที่จะจุดธูป เฉินผิงอันกลับทำเหมือนในอดีต นั่นคือหยิบดินกำมือหนึ่งข้างเท้าขึ้นมาโปรยหลงบนเนินดิน จากนั้นจึงกดลงไปเบาๆ

ครั้งนี้เนื่องจากรีบร้อนเดินทาง จึงได้แต่อาศัยดินที่อยู่ใกล้ หาไม่แล้วทุกครั้งที่เด็กหนุ่มขึ้นเขาจะต้องแอบเอาดินของภูเขาแต่ละแห่งมาที่นี่ด้วย แน่นอนว่าไม่ได้มีความหมายที่พิเศษอะไร เพียงแค่ทำแล้วสบายใจเท่านั้น เด็กหนุ่มมักจะรู้สึกว่าชีวิตนี้ตนไม่อาจตอบแทนพระคุณของพ่อแม่ได้อีก จึงสมควรทำอะไรให้พวกเขาบ้าง ตนจะได้สบายใจมากขึ้นอีกหน่อย บวกกับที่ผู้เฒ่าเหยาเคยบอกว่าคนสมัยก่อนที่ทำเครื่องปั้นดินเผาก็ทำเช่นนี้สืบทอดกันมาหลายสมัย ดังนั้นตลอดหลายปีมานี้เฉินผิงอันจึงยืนหยัดที่จะทำมาโดยตลอด

หลุมฝังศพเล็กสองหลุมอยู่ติดกัน พึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน

ไม่มีป้ายหน้าหลุมศพ

หลังจากจุดธูปสามดอกเสร็จ เฉินผิงอันก็ยกขึ้นไหว้หลุมศพสามครั้ง แล้วจึงปักธูปไว้หน้าหลุมศพ จากนั้นก็เปิดกาเหล้าเทลงด้านหน้าเบาๆ

สุดท้ายเฉินผิงอันยืนขึ้น หลับตาพนมมือทั้งสอง พูดบอกพ่อกับแม่อยู่ในใจ

บอกว่าคราวนี้ต้องพาแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงชื่อว่าหลี่เป่าผิงออกจากบ้านเดินทางไกล ไม่รู้ว่าต้องไปไกลจากบ้านเกิดกี่พันกี่หมื่นลี้

……

เด็กหนุ่มหน้าตางดงามคนหนึ่งยืนอยู่กลางวัดเล็กข้างทาง เงยหน้ามองชื่อมากมาย เรียงกันแน่นขนัด บิดๆ เบี้ยวๆ เล็กๆ ใหญ่ๆ บนผนังที่เขียนด้วยถ่าน

ในสายตาของชาวบ้าน นี่อาจเป็นเพียงการเล่นสนุกของพวกเด็กๆ ที่ไม่มีค่าพอให้พูดถึง ทว่าในสายตาของเด็กหนุ่มผู้นี้ นี่กลับเหมือนทางช้างเผือกพร่างพราวที่อยู่ท่ามกลางวันเวลาของประวัติศาสตร์

ถ้ำสวรรค์หลีจูที่ตั้งอยู่บนแผ่นดินของแจกันสมบัติทวีปบูรพาคือหนึ่งในถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กสามสิบหกแห่งที่เล็กที่สุด มีพื้นที่แค่หนึ่งพันลี้เท่านั้น หากไม่มีเวทอาคมผนึกเอาไว้ สำหรับผู้ฝึกลมปราณที่สามารถบังคับลมบินทะยานกลางอากาศได้แล้ว ทัศนียภาพเพียงเท่านี้ก็ไม่มากพอให้ชื่นชมแม้แต่น้อย ทว่านอกจากถ้ำสวรรค์หลีจูจะมีอาวุธอาคมที่เหล่าบุรพาจารย์และมหาปราชญ์ของร้อยสำนักทิ้งไว้หลังจากที่ตายในสงครามแล้ว สิ่งที่ทำให้ผู้คนอยากได้จนน้ำลายหกก็คือ บุคคลที่น้ำและดินของที่แห่งนี้ให้กำเนิดบ่มเพาะขึ้นมาที่เรียกได้ว่าฉลาดล้ำมหัศจรรย์ แตกต่างจากสถานที่แห่งอื่นอย่างแท้จริง

ลองจินตนาการดู ผู้ฝึกลมปราณใหญ่สองคนที่ผูกสมัครเป็นคู่บำเพ็ญตนคู่สร้างคู่สม นอกจากลูกหลานรุ่นหลังที่พวกเขาให้กำเนิดจะกลายมาเป็นห้าขอบเขตกลางแล้ว ความเป็นไปได้ที่จะเลื่อนสู่ห้าขอบเขตบนในวันหน้ากลับสูงกว่าเด็กๆ ที่สามารถพาออกไปจากเมืองเล็กของถ้ำสวรรค์หลีจูไม่มากเท่าไหร่ ต้องรู้ด้วยว่าเมืองเล็กแห่งหนึ่งจะมีคนได้สักกี่คน?

นี่เท่ากับเจียวหลงที่ออกมาจากบ่อน้ำ อีกทั้งทุกรุ่นล้วนมีหนึ่งถึงสองตัว ดังนั้นเมื่อถ้ำสวรรค์หลีจูแตกทลายและร่วงลงมาในครั้งนี้ ราชวงศ์ใหญ่ต่างๆ ของแจกันสมบัติทวีปบูรพาที่ขอแค่มีกษัตริย์ที่มีการตระหนักรู้ถึงความรุ่งโรจน์และเสื่อมถอยสักหน่อย ย่อมต้องรู้สึกเหมือนได้ยกภูเขาออกจากอก สกุลซ่งของต้าหลีตัดขาดเส้นทองใหญ่เทียมฟ้าเส้นนี้ สำหรับแผนการยิ่งใหญ่ที่จะควบกองม้าเหล็กลงใต้ ย่อมต้องได้รับผลกระทบแน่นอน

สายตาของชุยฉานจ้องนิ่งอยู่ที่เดิมเป็นนาน ความคิดมากมายประดังประเดเข้ามา การสอบเคอจวี่ของราชวงศ์มีมิตรภาพของผู้ร่วมสำนัก ร่วมวัย หรือร่วมบ้านเกิดมาเกี่ยวข้องด้วยนับแต่โบราณอยู่แล้ว

บนเส้นทางการฝึกตนก็เป็นเช่นเดียวกันนี้

ตอนนี้เรื่องราวของถ้ำสวรรค์หลีจูยุติลงแล้ว ใช้ค่าตอบแทนด้วยการสละชีพและมรรคหาแหลกสลายของคนบางคนแลกมาด้วยจุดจบที่ไม่เลว

ถ้าเช่นนั้นนักพรตใหญ่ทุกคนที่เดินออกไปจากถ้ำสวรรค์หลีจูล้วนต้องระลึกถึงพระคุณครั้งนี้ อยู่ที่ว่าจะมากหรือน้อยก็เท่านั้น ส่วนสี่แซ่สิบตระกูลรวมไปถึงกองกำลังที่อยู่เบื้องหลังพวกเขาก็ยิ่งเป็นเช่นนี้

เสียดายก็แต่ท่ามกลางมรสุมครั้งนี้ แม้สกุลซ่งของต้าหลีจะไม่มีส่วนลด แต่กลับไม่มีส่วนเพิ่มด้วยเช่นกัน ทว่าเดิมทีต้าหลีสามารถ “มีน้ำใจ” ได้มากกว่านี้สักหน่อย ยกตัวอย่างเช่นไม่ควรรีบรับปากเรื่องที่หร่วนฉงขอเข้ามาอยู่ในถ้ำสวรรค์หลีจูก่อนกำหนดเร็วขนาดนั้น หรือยกตัวอย่างเช่นหากรู้แต่แรกว่าถึงท้ายที่สุดแล้วฉีจิ้งชุนจะไม่ยอมใช้ตบะค้ำฟ้าเปี่ยมล้นของตัวเอง แต่ใช้แค่ตัวอักษรสองตัวมาต้านทานผู้เฒ่าทั้งหลายเหล่านั้น ถ้าเช่นนั้นตอนแรกที่สี่ฝ่ายต้องการเก็บเอาวัตถุสยบความชั่วร้ายของอริยะกลับคืนไป ต่อให้กรมพิธีการของต้าหลีจะไม่กล้าปฏิเสธ ก็ควรจะหาข้ออ้างที่สมเหตุสมผล บอกว่าไม่ถูกเหมาะสมกับกฎเกณ์ที่ตั้งไว้มาถ่วงเวลาออกไปสักหน่อย หรือยกตัวอย่างเช่นราชสำนักต้าหลีไม่ควรใช้นามของจดหมายจากทางบ้านไปป่าวประกาศให้กับสี่แซ่สิบตระกูลทราบเป็นการส่วนตัวว่าหายนะใหญ่กำลังจะมาถึง จงรีบย้ายเมล็ดพันธ์ผู้สืบทอดควันธูปของแต่ละตระกูลออกไปจากเมืองโดยไว อย่าให้ถูกลากไปติดร่างแหกับการกระทำละเมิดฟ้าดินของฉีจิ้งชุน เป็นต้น ซึ่งยังมีตัวอย่างอื่นๆ อีกมากมาย

หากฮ่องเต้ต้าหลีคืนสติ หรือมีใจละโมบไม่รู้จักพอเมื่อไหร่ ถ้าเช่นนั้นเขาที่เป็นราชครูซึ่งควบคุมและวางแผนการปกครองของครึ่งแคว้นอยู่ห่างไกลนับพันลี้ เกรงว่าคงต้องถูกชำระบัญชีย้อนหลังแน่นอน

เพียงแต่ว่าใบหน้าของชุยฉานราชครูที่ยืนอยู่กลางวัดเล็กในเวลานี้กลับเต็มไปด้วยความผ่อนคลายสบายอุรา ราวกับว่าไม่เห็นความพิโรธของฮ่องเต้ต้าหลีอยู่ในสายตาแม้แต่น้อย

ชุยฉานพูดกับตัวเองว่า “รออีกหน่อย”

ชุยฉานกวาดตามองไปรอบด้าน จดจำชื่อทั้งหมดเอาไว้ เตรียมจะสลัดชายแขนเสื้อเพื่อลบร่องรอยทั้งหมดทิ้งไป เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้วันหน้าถูกคนมีเจตนาร้ายมาเล่นงานเอาได้ ทว่าวินาทีที่เขากำลังจะลงมือนั้นเอง หร่วนฉงกลับมาปรากฏตัวอยู่หน้าประตูวัดเล็ก กล่าวพร้อมยิ้มเหี้ยม “เจ้าตัวดี ใจกล้ายิ่งนัก นี่เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว?”

ชุยฉานหัวเราะคิกคัก “ข้าก็ยังไม่ได้ทำไม่ใช่หรือ?”

เสียงหนึ่งดังเนิบนาบอยู่ใกล้ๆ กับวัดเล็ก “พวกเจ้าตีกันได้ตามสบาย ข้าจะเป็นคนรับผิดชอบเก็บกวาดความเละเทะให้เอง รับรองว่าจะไม่เกิดสถานการณ์อย่างปลาวาฬพลิกตัว เทือกเขาพังถล่มเด็ดขาด หลังจากที่พวกเจ้ารู้ผลแพ้ชนะแล้ว อย่างมากสุดภูเขาลำธารพันลี้นี้ก็จะถูกทำลายแค่หนึ่งหรือสองในสิบส่วนเท่านั้น หร่วนฉง แทนที่จะถูกไอ้หมอนี่ตามตอแยไม่เลิกรา ข้ารู้สึกว่าไม่สู้เจ้าตัดสินให้รู้ดำรู้แดงกับเขาไปเลยดีกว่า เหมือนประโยคที่ว่าไม่กลัวโจรขโมยของ แต่กลัวโจรจะนึกถึงไม่เลิก[2]มากกว่าไงล่ะ”

ชุยฉานหน้าไม่เปลี่ยนสี ยังหัวเราะฮ่าๆ “หยางเหล่าโถว ฆ่าคนไม่เห็นเลือด แถมยังเป็นผู้เฒ่าจับปลาที่ได้ประโยชน์ ช่างเป็นวิธีการที่ยอดเยี่ยมนัก”

หร่วนฉงพยักหน้า “ข้าเห็นด้วย”

ชุยฉานรีบยกมือขึ้นคารวะขออภัย ยิ้มพร้อมเอ่ยวิงวอน “ได้ๆๆ หลังจากนี้ข้าจะแค่เดินเตร่อยู่ในเมืองเล็กเท่านั้น พอใจหรือยัง? อริยะหร่วนต้า? แล้วก็ผู้อาวุโสหยาง?”

หร่วนฉงกำลังชั่งน้ำหนักผลดีผลเสียอย่างเห็นได้ชัด

ชุยฉานจึงเอ่ยเสริมด้วยประโยคสบายๆ “ต่อให้ผู้อาวุโสหยางมีความสามารถปกป้องภูเขาและลำธารแปดเก้าในสิบส่วน แต่หากข้ายืนกรานจะทำลายภูเขาเสินซิ่วและยอดเขาหวงซั่วให้เละล่ะ?”

ไม่รอให้หร่วนฉงพูดอะไร เสียงของหยางเหล่าโถวก็ดังขึ้นอีกครั้ง “หากเปลี่ยนมาเป็นข้า ข้าคงทนไม่ได้จริงๆ”

หร่วนฉงกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “รีบกลับไปที่ตรอกเอ้อหลาง”

ชุยฉานส่ายหัว เดินเนิบนาบออกไปจากวัดเล็ก ตอนที่ผ่านไหลหร่วนฉงไป ยังทำหน้าทะเล้นตาม “นิสัยของเด็กหนุ่ม” ด้วย

รอจนชุยฉานเดินข้ามไปยังชายฝั่งตรงข้ามของธารน้ำ หร่วนฉงถึงหมุนตัวกลับมา จึงเห็นผู้เฒ่านั่งสูบยาอยู่บนม้านั่งยาวที่ทำจากท่อนไม้แห้งของในวัด

ผู้เฒ่าไม่ได้เอ่ยเย้ยหยัน กลับยังคลี่ยิ้มอย่างที่หาได้ยาก “รักลูกสาวจริงๆ เลยนะ”

หร่วนฉงถอนหายใจ เห็นได้ชัดว่าอัดอั้นตันใจกับการที่ไม่ลงมือ ทั้งๆ ที่ถูกท้าทายจากชุยฉานอย่างถึงที่สุด เขาเดินมานั่งอยู่ตรงข้ามกับผู้เฒ่าหยาง เอนหลังพิงผนัง กระตุกมุมปาก “ไม่ติดค้างฟ้าดิน ตอนนี้แม้แต่กับทางฝ่ายของบุรพาจารย์ก็ยังใช้คืนจนหมดสิ้นแล้ว มีเพียงมารดาของนังหนูเท่านั้นที่ข้ายังติดค้าง แต่คนไม่อยู่แล้ว จะให้ข้าชดใช้คืนอย่างไร? จึงได้แต่นำสิ่งที่ติดค้างนางไปฝากไว้กับตัวของลูกสาวเท่านั้น”

หยางเหล่าโถวเอ่ยยิ้มๆ “ด้วยฐานะและความสามารถของเจ้า บวกกับความสัมพันธ์ที่เจ้ามีกับสกุลเฉินอิ่งอิน การที่จะตามหาภรรยาของเจ้าในชาตินี้คงไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้หรอกกระมัง”

หร่วนฉงส่ายหน้า “พรสวรรค์ของนางชาติก่อนไม่โดดเด่นนัก ก่อนตายยังไม่เลื่อนสู่ห้าขอบเขตกลางเลยด้วยซ้ำ ดังนั้นต่อให้กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ก็ไม่มีทางที่จะล่วงรู้เรื่องในอดีตชาติ ในสายตาของข้า เมื่อนางไม่มีความทรงจำเหล่านั้น แต่หลงเหลือแค่ร่างกายที่เป็นเพียงเปลือกนอก ถ้าเช่นนั้นนางก็ไม่ใช่ภรรยาของข้าอีกแล้ว ไปตามหานางจะมีความหมายอะไร? แค่คิดว่านางมีชีวิตอยู่ในใจตัวเองก็พอแล้ว”

หยางเหล่าโถวพยักหน้ารับ “นับว่าเจ้าคิดได้ ชั้นสิบของสำนักการทหารยากจะฝ่า การที่เจ้าสามารถแซงหน้าคนรุ่นเดียวกันไปได้ ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผล”

หร่วนฉงไม่ต้องการจะพูดถึงเรื่องนี้ให้ลึกซึ้งไปอีก จึงถามว่า “เจ้ารู้สึกว่าคนผู้นั้นแสร้งสร้างสถานการณ์ขู่ขวัญตบตาหรือไม่?”

หยางเหล่าโถวส่ายหน้ายิ้ม “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ดูถูกคนผู้นี้มากเกินไปแล้ว ชายชาตรีคนหนึ่ง กล้าสละตัวเองดึงฮ่องเต้ลงจากหลังมา (เปรียบเทียบว่าต่อให้เป็นเรื่องที่ยากหรืออันตรายแค่ไหน ต่อให้ตายก็ยังดึงดันจะทำ) คนผู้นี้น่ะ ข้าคาดว่าคงเป็นประเภทที่ยอมสละเนื้อทั้งร่างตัวเองเพื่อดึงบรรพจารย์เต๋าดึงพระศาสดาพุทธลงมาจากหลังม้า แน่นอนว่าข้าพูดถึงแค่เรื่องนิสัย ไม่ได้พูดถึงเรื่องความสามารถ”

หร่วนฉงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

หยางเหล่าโถวใช้กระบอกยาสูบชี้ไปที่พื้นหน้าประตูวัดเล็ก ตรงนั้นมีทางเล็กเส้นหนึ่งที่ถูกคนย่ำเดินจนเป็นทางที่แน่นหนา แล้วจึงเอ่ยเนิบช้า “ไอ้หมอนี่ไม่ค่อยเหมือนกับพวกเรา เขารู้สึกว่าตัวเองเดินอยู่บนสะพานไม้ท่อนเดียว ดังนั้นหากเขาเจอกับคนบนทางแคบ จะรู้สึกว่าหากไม่ฆ่าอีกฝ่ายให้ตาย ก็เท่ากับทำผิดต่อตัวเองอย่างมาก หรือหากภายหลังมีคนคิดอยากจะเดินแซงเขาไป ก็มีแต่ต้องตายสถานเดียว คนประเภทนี้ เจ้าไม่สามารถพูดได้ง่ายๆ ว่าเขาเป็นคนดีหรือคนเลว”

หร่วนฉงพลันกระโดดไปที่ปัญหาอีกข้อหนึ่งโดยพูดเสียงเนิบช้าว่า “บรรพบุรุษและพ่อแม่ของเฉินผิงอันเป็นเพียงแค่ชาวบ้านทั่วไปที่เติบโตขึ้นมาในเมืองเล็กแห่งนี้ บิดาของเขารู้ความลี้ลับของเครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตได้อย่างไร? อีกทั้งยังดึงดันที่จะทำลายเครื่องปั้นชิ้นนั้นโดยไม่เสียดายชีวิตด้วย? เห็นได้ชัดว่ามีคนจงใจเปิดเผยความลับสวรรค์ ต้องการให้เขาทำเรื่องนี้”

หยางเหล่าโถวเงียบงันไปนาน พ่นควันออกมาคำแล้วคำเล่า ในที่สุดก็พูดว่า “ตอนแรกเริ่มข้านึกว่าเป็นเพียงแค่การช่วงชิงทั่วไประหว่างตระกูล รอจนข้าตระหนักได้ถึงความผิดปกติก็สายไปเสียแล้ว ทว่าข้าเองก็คร้านจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการแก่งแย่งชิงดีที่สกปรกพวกนี้ แค่คิดถึงบ้างในยามที่เบื่อๆ เท่านั้น คิดดูแล้วนี่น่าจะเป็นแผนการใหญ่ที่ใช้เล่นงานฉีจิ้งชุนโดยเฉพาะ มองปราดๆ เหมือนเป็นพวกมือสมัครเล่นตัวเล็กๆ แต่พอมาถึงท้ายที่สุดถึงได้ค้นพบว่า นี่ต่างหากถึงจะเป็นท่าไม้ตายที่แท้จริง หากใช้คำพูดของยอดฝีมือหมากล้อม ถือว่าเป็นฝีมือของเทพเซียนครั้งหนึ่งเลยทีเดียว จะพูดให้ถูกต้อง นี่ไม่ได้เพียงแค่เพื่อเล่นงานฉีจิ้งชุนที่มีชะตาชีวิตดีเกินไป แต่เล่นงานโชคชะตาฝ่ายบุ๋นของสายเหวินเซิ่ง เพียงแต่ว่ามาจนถึงตอนนี้ ศึกสุดท้ายตอนที่ฉีจิ้งชุนยังมีชีวิตอยู่สะดุดตาเกินไป ทุกคนต่างก็เคยชินที่จะมองความเป็นความตายของฉีจิ้งชุนมาเป็นความดำรงอยู่และเสื่อมสลายของสายบุ๋นสายนั้นแล้ว และเรื่องจริงก็ต่างไปจากนี้ไม่มากนัก”

ผู้เฒ่ามองอริยะสำนักการทหารที่มีสีหน้าเคร่งเครียดพลางพูดว่า “ตอนที่เจ้าเข้ามาในถ้ำสวรรค์หลีจูก่อนกำหนด ข้าก็เคยสงสัยว่าเจ้าอาจจะเป็นหนึ่งในผู้บงการเบื้องหลัง หากไม่ใช่การแลกเปลี่ยนที่สวนลมหิมะและสกุลเฉินแห่งอิ่งอินได้ข้อตกลงร่วมกัน ทำให้เจ้าจำเป็นต้องออกแรงเพื่อสำนัก ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็คงเป็นคนที่ได้รับผลประโยชน์มหาศาลอย่างลับๆ จากสกุลเฉินแห่งอิ่งอินที่เป็น ‘ชาวลัทธิขงจื๊อซึ่งมีความรู้ที่ลึกซึ้งและถูกต้องแห่งโลก’ ถึงได้มาเปิดภูเขาตั้งสำนักอยู่ที่นี่”

หร่วนฉงกล่าวยิ้มๆ อย่างตรงไปตรงมา “ผู้อาวุโสหยางคิดซับซ้อนเกินไปแล้ว”

ผู้เฒ่าหลุดหัวเราะพรืด “คิดซับซ้อนไม่ได้หมายความว่าจะต้องคิดผิดเสมอไป การที่ตอนนี้เจ้าสามารถถามใจแล้วไม่ละอายได้ ก็เป็นแค่เพราะสำนักการทหารอย่างพวกเจ้าเชี่ยวชาญการทำเรื่องยุ่งยากให้เปลี่ยนเป็นง่ายดายก็เท่านั้น ไม่แน่ว่าวันหน้าเมื่อความจริงเปิดเผย เจ้าอาจจะเพิ่งค้นพบในภายหลังก็ได้ว่า ที่แท้ตนก็เป็นแค่หมากตัวหนึ่งเท่านั้น”

จิตใจของหร่วนฉงยังคงหนักแน่น มั่นคงดุจหินผา จึงหัวเราะเสียงดัง “ไม่เป็นไร หากสกุลเฉินแห่งอิ่งอินหรือกองกำลังฝ่ายไหนกล้ามองข้าเป็นหมากที่จัดวางบนกระดานได้ตามใจชอบ ถ้าอย่างนั้นก็รอให้ข้าหร่วนฉงจัดการหาทางถอยให้ลูกสาวตัวเองเมื่อไหร่ สักวันหนึ่งข้าจะต้องบุกไปสังหารพวกเขาแน่นอน!”

หร่วนฉงหัวเราะหยันอยู่ในใจ “หากเป็นเช่นนี้จริง ก็ตรงกับใจของข้าพอดี หนึ่งร้อยปี มากสุดหนึ่งร้อยปี ข้าก็จะสามารถสร้างกระบี่เล่มนั้นได้สำเร็จ แล้วจะยังที่ใดที่ข้าไปไม่ได้ จะมีคนใดที่ข้าสังหารไม่ได้?”

หร่วนฉงเก็บความคิดกลับคืน ถามอย่างใคร่รู้ “หรือว่าเด็กหนุ่มตรอกหนีผิงคนนั้นจะเป็นผู้สืบทอดควันธูปของฉีจิ้งชุนจริงๆ?”

หยางเหล่าโถวยกกระบอกสูบเก่าแก่เคาะเบาๆ ลงบนเก้าอี้ไม้ เปลี่ยนใบยาสูบจากถุงผ้าห้อยเอว กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์นัก “สวรรค์น่ะสิที่รู้”

หร่วนฉงรู้ว่าท่ามกลางการเวลายาวนานที่ผ่านมา ผู้เฒ่าตรงหน้าที่ลึกลับเกินจะคาดเดาผู้นี้ได้สั่งสมความลับมากมายไว้จนเต็มท้อง

หร่วนฉงจึงถามยิ้มๆ “คิดจะเข้าไปในเมืองเล็ก ทุกคนต้องมอบเหรียญทองแดงแก่นทองให้คนเฝ้าประตูเมืองก่อนคนละหนึ่งที ซึ่งคนเฝ้าประตูของรุ่นนี้ก็คือชายที่ชื่อเจิ้งต้าเฟิง ข้ารู้ว่าเหรียญทองแดงที่มีค่าควรเมืองพวกนี้ไม่ได้หล่นลงในกระเป๋าของฮ่องเต้ต้าหลี ดังนั้นผู้อาวุโสต้องเก็บมันไว้ในกระเป๋าตัวเองถึงจะสบายใจ? ผู้อาวุโสจะเอาเงินพวกนี้ไปทำอะไร?”

ผู้เฒ่าถามกลับ “หากข้าถามเจ้าหร่วนฉงว่า จะสร้างกระบี่เล่มที่ใจปรารถนาขึ้นมาได้อย่างไร เจ้าจะตอบหรือไม่?”

หร่วนฉงหัวเราะเสียงดังลั่น

หยางเหล่าโถวเอ่ยเรียบๆ ว่า “ข้าจะย้ายวัดแห่งนี้”

หร่วนฉงตะลึง แต่ไม่นานก็ตอบกลับ “ขอแค่ไม่ย้ายออกไปข้างนอก ข้าก็ไม่มีความเห็น”

ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ เอ่ยยิ้มๆ “เห็นแก่ความตรงไปตรงมาของเจ้า ข้าสามารถบอกความลับเล็กๆ อย่างหนึ่งแก่เจ้าได้”

หร่วนฉงพยักหน้ารับ บอกให้รู้ว่าตนล้างหูรอฟังอยู่

ผู้เฒ่าพ่นควันขโมงออกมาหนึ่งคำ พอควันกลุ่มใหญ่สลายหายไป ควันเส้นเล็กๆ ก็ร้อยรัดอบอวลอยู่ทั่วทั้งวัดเล็ก อันที่จริงก่อนหน้านี้วัดเล็กก็ถูกปกคลุมไปด้วยความสีขาวบางๆ ชั้นหนึ่งอยู่นานแล้ว เห็นได้ชัดว่าเพื่อป้องกันไว้ก่อน ผู้เฒ่าจึงเพิ่มการอำพรางวัดเล็กลงไปอีก ผู้เฒ่าถอนหายใจแล้วเอ่ยเนิบช้า “รู้หรือไม่ว่าความร้ายกาจที่สุดของฉีจิ้งชุนอยู่ตรงไหน?”

หร่วนฉงตอบยิ้มๆ “แน่นอนว่าย่อมต้องเป็นพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยม การตื่นรู้สูง ตบะน่าหวาดกลัว หาไม่แล้วมีหรือที่พวกบุคคลยิ่งใหญ่บนสวรรค์พวกนั้นจะยอมขายหน้าช่วยกันรับมือฉีจิ้งชุน?”

ผู้เฒ่าส่ายหน้า “สมมติว่าเฉินผิงอันเป็นคนที่ฉีจิ้งชุนเลือกจริงๆ ถ้าอย่างนั้นด้านนอกก็มีคนที่ใช้เฉินผิงอันเป็นกระบวนท่าที่ล้ำเลิศ ภายนอกมองดูเหมือนปล่อยปละละเลยเป็นเวลาสิบปีเต็ม แต่แท้จริงแล้วกลับแอบวางแผนอย่างระมัดระวัง ถึงขั้นที่ว่าระหว่างนี้แม้แต่ข้าก็ยังถูกหลอกใช้ ยอดเยี่ยมก็ตรงที่ คนผู้นั้นวางหมากนอกกระดาน วางเสร็จก็ปล่อยมือ หลังจากที่หมากตัวนั้นหยั่งรากได้แล้ว จะอย่างไรซะคนก็ไม่ใช่หมากที่ตายตัว จะต้องค่อยๆ บ่มเพาะจนเกิดอารมณ์ ดังนั้นยิ่งนานจึงยิ่งไม่เหมือนหมาก ท่าไม้ตายจึงยิ่งอำพรางตัวได้อย่างลึกล้ำ แล้วนับประสาอะไรกับที่ ข้างๆ หมากตัวนี้ยังมีหมากสำคัญอีกตัวหนึ่งที่มองดูเหมือนมีพละกำลังมหาศาลอยู่ด้วย นั่นก็คือซ่งจี๋ซินที่ฮ่องเต้ต้าหลีฝากความหวังของตระกูลซ่งเอาไว้ ซึ่งช่วยดึงดูดสายตาของฝ่ายต่างๆ สุดท้ายจึงสร้างสถานการณ์ใหญ่ยอดเยี่ยมที่เป็นดั่งเงามืดใต้แสงสว่างขึ้นมาได้สำเร็จ”

หร่วนฉงถามด้วยสีหน้าหนักอึ้ง “ฉีจิ้งชุนถูกเรียกขานว่าเป็นบุคคลที่มีหวังจะได้สร้างลัทธิตั้งตัวเป็นบุรพาจารย์ แม้จะมีคนจงใจใช้เรื่องนี้มาหาข้ออ้างสังหารฉีจิ้งชุน แต่ย่อมไม่ใช่คำพูดเหลวไหลทั้งหมดเป็นแน่ มีหรือจะมองเบาะแสอะไรไม่ออกเลยแม้แต่นิดเดียว?”

“ไอ้เรื่องวกไปวนมาพวกนี้ ข้าเองก็เพิ่งจะคิดได้ตอนนี้นี่เอง น่าสนใจ น่าสนใจจริงๆ! ขนาดพวกผู้ชมยังรู้สึกเช่นนี้ แล้วผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์เล่า?” ผู้เฒ่าพลันเปล่งเสียงหัวเราะดังสนั่น จนถึงขั้นสำลักเล็กน้อย ทั้งยังตบขาตัวเองฉาดใหญ่ จุ๊ปากเอ่ย “ทว่าผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์กลับมองออกตั้งนานแล้ว บัณฑิตอย่างฉีจิ้งชุนผู้นี้ไม่ว่านอนสอนง่ายเลยแม้แต่น้อย เจ้ารู้หรือไม่ว่าก่อนตายเขาทำอะไรบ้าง เขาจงใจไปหาข้า นอกจากจะมอบตราประทับอักษรภูเขาและน้ำที่ดูมีความรู้ให้เฉินผิงอันสองชิ้นแล้ว สุดท้ายฉีจิ้งชุนยังเดินเคียงไหล่กับเฉินผิงอันอยู่ช่วงระยะทางหนึ่ง และได้ทิ้งประโยคหนึ่งไว้ให้เฉินผิงอันเป็นสิ่งสุดท้าย หร่วนฉง เจ้าลองเดาดูสิ?”

หร่วนฉงถูกดึงความสนใจไปได้อย่างแท้จริง แต่ปากก็ยังพูดว่า “ความคิดของฉีจิ้งชุน ข้าเดาไม่ออกหรอก”

หยางเหล่าโถวถอนหายใจ “ฉีจิ้งชุนบอกว่า วิญญูชนหลอกได้ด้วยหลักการที่สมเหตุสมผล”

หร่วนฉงคิดตาม ตอนแรกก็ไม่เห็นด้วยสักเท่าไหร่ ทว่าครู่หนึ่งต่อมากลับหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย มาถึงท้ายที่สุดก็ถึงกับกำหมัดทั้งสองข้างแน่น ใบหน้าแดงก่ำ ส่ายหน้ากล่าวอย่างจนใจ “เมื่อสู้ไม่ได้ก็จำต้องยอมแพ้”

ผู้เฒ่าพยักหน้ารับ สายตาเลื่อนลอย “ความหมายในชั้นแรกก็คือ ให้เฉินผิงอันบอกข้า หรือไม่ก็บอกกับทุกคนว่า หากอยู่ในกฎเกณฑ์ ไม่ว่าจะเล่นงานเขาฉีจิ้งชุนอย่างไร แท้จริงแล้วล้วนไม่สำคัญ ชนะหรือแพ้ก็ดี เป็นหรือตายก็ช่าง เขาฉีจิ้งชุนมองออกอย่างทะลุปรุโปร่งมานานแล้ว”

ผู้เฒ่าลุกขึ้นยืน กล่าวเสียงหนัก “ความหมายชั้นที่สอง คือบอกแก่เฉินผิงอันในอีกสิบปีหรืออาจถึงร้อยปีให้หลัง บอกกับเขาว่าต่อให้ภายหลังรู้ความจริงแล้ว รู้ว่าตัวเองต่างหากถึงเป็นหมากตัวนั้นที่ทำให้ฉีจิ้งชุนตายอย่างแท้จริง เฉินผิงอันก็ไม่จำเป็นต้องรู้สึกผิด เพราะเขาฉีจิ้งชุนรู้ทุกอย่างมาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”

หร่วนฉงพลันลุกขึ้นยืน ก้าวยาวๆ จากไป “น่าเบื่อฉิบหาย ฉีจิ้งชุนผู้ยิ่งใหญ่ เสือกต้องมาตายอย่างน่าสมเพช หากเปลี่ยนมาเป็นข้า หากข้ามีความสามารถมีตบะแบบเขา คงเหยียบให้แจกันสมบัติทวีปบูรพาทะลุ ต่อยท้องฟ้าให้แตกเป็นรูไปนานแล้ว! อึดอัดขัดใจนัก ไปดื่มเหล้าดีกว่าโว้ย!”

ผู้เฒ่ายิ้ม เอามือข้างหนึ่งไพล่หลังเดินออกจากวัดเล็ก มือที่อยู่ด้านหลังขยับเบาๆ หนึ่งครั้ง วัดเล็กก็หายวับไปกลางอากาศ ถูกเก็บไว้ในฝ่ามือของผู้เฒ่าแล้วกำเอาไว้เบาๆ

“ชุยฉานราชครูต้าหลี เคยเป็นลูกศิษย์คนแรกของเหวินเซิ่งแห่งลัทธิขงจื๊อ ข้ารู้สึกว่าความสามารถของเจ้าคงไม่ได้มีแค่นี้ ถูกไหม? ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะตั้งตารอแล้วกัน”

……

หยางเหล่าโถวที่น้อยครั้งจะเดินออกนอกเมืองเล็ก พอมาเดินอยู่บนสะพานหินโค้ง หลังของเขากลับยิ่งงองุ้ม สีหน้าเคร่งเครียด ไม่เอ่ยอะไรสักคำ

เดินไปมาผ่านสะพานหินสองรอบล้วนผ่อนคลายง่ายดาย หลังจากผู้เฒ่าเดินลงจากสะพานหิน มุ่งหน้าไปยังเมืองเหล็ก สีหน้าของเขาเจ็บปวดเศร้าสร้อย พึมพำอยู่ในใจ “หรือว่าโอกาสยากจะไขว่คว้า ไม่อาจปล่อยให้หลุดมือไปได้จริงๆ? แม้แต่หม่าขู่เสวียนที่ถือกำเนิดขึ้นมาเพราะโชคชะตาก็ยังไม่มีคุณสมบัติจะได้พบหน้าเจ้า? ต่อให้เขาแค่กลายมาเป็นคนบนมรรคาเดียวกับเจ้า ไม่ใช่เจ้านาย ก็ไม่ได้งั้นหรือ?”

“เจ้าต้องการคนแบบไหนกันแน่ ถึงจะยอมรับได้? ไม่พูดถึงเวลาห้าพันปีที่สั่งสมมาก่อนหน้านี้ ลำพังแค่การดำรงอยู่ของถ้ำสวรรค์หลีจูก็เป็นเวลาสามพันปีเต็มแล้ว สามพันปีเชียวนะ! ท่ามกลางกาลเวลาที่ยาวนานขนาดนี้ ในแจกันสมบัติทวีปบูรพามีวีรบุรุษผู้โดดเด่นสะดุดตาปรากฎขึ้นตั้งมากเท่าไหร่? หากได้ความช่วยเหลือจากเจ้า พวกเขาจะไม่มีโอกาสปีนขึ้นสู่ชั้นที่สูงกว่าเดิมหรือ? เหนือกว่าชั้นที่สิบเอ็ด ชั้นที่สิบสอง ต่อให้จะเพิ่มมาอีกแค่สองชั้น แต่นั่นมันก็ตั้งขอบเขตเท่าใดแล้ว?”

ไร้เสียงตอบรับจากสะพานหิน

กระบี่เหล็กที่แขวนอยู่ใต้สะพานก็ยังคงนิ่งเฉยไม่ขยับ

ผู้เฒ่าพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ หนึ่งครั้ง กล่าวเย้ยหยันตัวเอง “เมื่อฟ้าดินไม่อำนวย แม้วีรบุรุษก็จนปัญญาจริงๆ ช่างเถอะๆ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ตามแต่ยถากรรมของเจ้าแล้วกัน ข้าเองก็จะได้ไม่ต้องคอยกังวลว่าจะเจอสุขพร้อมทุกข์ เพราะเจ้าทำลายควันธูปที่เหลือเพียงน้อยนิดของพวกเรา เป็นอย่างนี้ก็ดี เดิมพันน้อยๆ ให้พอเบิกบาน ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะแพ้หมดกระดาน”

เฉินผิงอันแบกตะกร้าไม่ใหญ่ไม่เล็กเดินย้อนกลับมาจากเนินเขาน้อย ระหว่างทางค้นพบว่าวัดแห่งนั้นหายไป เด็กหนุ่มกวาดตามองไปรอบด้านอย่างมึนงง เพื่อให้แน่ใจว่าตัวเองไม่ได้จำตำแหน่งผิด วัดเล็กที่ไว้ให้ผู้คนได้พักเท้าแห่งนั้นได้ถูกคนย้ายไปเหมือนย้ายก้อนหินไปแล้วจริงๆ เพียงแต่ว่าตอนนี้เฉินผิงอันไม่แปลกใจกับอะไรอีกแล้ว เพราะเมื่อเคยชินก็ดีไปเอง

เฉินผิงอันมาที่ร้านตีเหล็ก ไปที่บ้านดินเหนียวซึ่งก่อนหน้านี้ตนเก็บสมบัติส่วนตัวเอาไว้รอบหนึ่ง หยิบของที่สมควรหยิบขึ้นมา ทิ้งของที่สมควรทิ้งเอาไว้ แล้วถึงเดินออกจากประตูไปหาหลี่เป่าผิงแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดง

หลี่เป่าผิงยืนอยู่ด้านหน้าเขา เงยศีรษะเล็กๆ ขึ้นสูง ใบหน้านั้นเต็มไปด้วยความเบิกบาน

บนร่างของแม่นางน้อยแขวนถุงปักลาย ถุงหอมให้เต็มไปหมด ไม่ต่ำกว่าเจ็ดแปดชิ้น แถมยังสะพายตะกร้าเล็กใบหนึ่ง ด้านบนปิดทับด้วยงอบใบหนึ่งที่สามารถกันลมกันฝนได้ ซึ่งนำมาใช้ปิดทับของที่อยู่ในตะกร้าได้พอดี คาดว่าสิ่งเหล่านี้แม่นางน้อยคงเป็นคนเสนอ แล้วจากนั้นหร่วนซิ่วก็ช่วยเตรียมมาให้

หร่วนซิ่วเด็กสาวชุดเขียวยืนอยู่ข้างกายแม่นางน้อยชุดแดง ท่าทางลิงโลดเป็นพิเศษ

เฉินผิงอันมองแม่นางน้อยแล้วถามด้วยรอยยิ้ม “เอาของกินไปหรือยัง?”

หลี่เป่าผิงพยักหน้ารับ พูดเหมือนอยากจะอวด “ของเกินครึ่งในตะกร้าล้วนเป็นของกินที่พี่หญิงหร่วนมอบให้ข้า! ส่วนที่เหลือล้วนเป็นหนังสือ ไม่หนัก…ไม่หนักมากนัก!”

เฉินผิงอันกล่าว “แบกเหนื่อยเมื่อไหร่ก็บอกข้าแล้วกัน”

แม่นางน้อยยืดอกตั้ง กล่าวอย่างฮึกเหิม “ข้าจะเหนื่อยได้อย่างไร!”

หร่วนซิ่วพูดเสียงอ่อนโยน “แผนที่ทางทิศเหนือของแจกันสมบัติทวีปบูรพา ภาพเมืองต่างๆ ของต้าหลีและต้าสุย และยังมีแผนที่ขนาดเล็กยิ่งกว่าอีกหลายแผ่นล้วนอยู่ในตะกร้าสะพายหลังของหลี่เป่าผิงหมดแล้ว แต่ว่ารอให้เจ้าเดินออกไปนอกขอบเขตของต้าหลีเมื่อไหร่ จำเป็นต้องถามทางบ่อยๆ ถึงจะได้ ยังดีที่หลี่เป่าผิงพูดภาษาทางการของต้าหลีและภาษากลางที่ใช้ทั่วไปของแจกันสมบัติทวีปบูรพาเป็น จึงไม่น่าจะมีปัญหามากนัก อีกอย่างก็คือข้าเอาเงินและเหรียญทองแดงส่วนหนึ่งใส่ไว้ให้ด้วย เมื่อเทียบกับเหรียญทองแดงแก่นทองที่เจ้ามอบให้พ่อข้าแล้ว พวกมันไม่นับเป็นอะไรได้ ดังนั้นเจ้าเฉินผิงอันห้ามปฏิเสธเด็ดขาด”

เฉินผิงอันยิ้มอย่างเข้าใจ “ข้าไม่โง่สักหน่อย มีคนให้เงินจะไม่เอาได้หรือ?”

หร่วนซิ่วกล่าวอย่างขุ่นเคืองเล็กน้อย “เจ้าน่ะหรือไม่โง่?! เพื่อพวกเขาที่ไม่มีความเกี่ยวข้องอะไรแล้ว…”

เพียงแต่ว่าเพิ่งจะเอ่ยคำพูดที่ทำร้ายจิตใจคนออกมา เด็กสาวก็ให้เสียใจอย่างสุดซึ้ง อีกทั้งยังหยุดพูดอย่างรวดเร็ว ไม่เอ่ยอะไรอีกต่อไป

เพราะห่างออกไปไม่ไกลยังมีเด็กของโรงเรียนอีกสี่คนที่ไม่ได้เดินทางไปทัศนจรร่วมกันอีกยืนอยู่ด้วย

เฉินผิงอันที่แอบขยิบตาให้อยู่ตลอดระบายลมหายใจโล่งอก เอ่ยเสียงเบา “เรื่องพวกนั้นที่ข้าพูดไปเมื่อวาน คงต้องรบกวนแม่นางหร่วนแล้ว”

หร่วนซิ่วพยักหน้ารับ “วางใจเถอะ กุญแจพวกนั้นข้าจะเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี และทุกๆ สามวันห้าวันจะไปเก็บกวาดบ้านให้”

เฉินผิงอันสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง แล้วหันไปพูดกับหลี่เป่าผิง “ไปกันเถอะ”

หลี่เป่าผิงกล่าวอย่างร่าเริง “ไปกันเลย!”

หนึ่งคนโตหนึ่งเด็กเล็ก แม้แต่ตะกร้าที่สะพายหลังก็ยังเป็นหนึ่งใบใหญ่หนึ่งใบเล็ก

ท่ามกลางสายตาทุกคนที่มองมา คนทั้งสองยิ่งเดินก็ยิ่งห่างไปไกล

มุ่งหน้าลงใต้ไปยังต้าสุย

บนเส้นทาง แม่นางน้อยพูดจ้อยๆ เล่าให้ฟังถึงเรื่องน่าสนใจในเมืองเล็ก และในที่สุดก็พูดถึงเรื่องทัศนาจรเสียที นางกล่าวกับเฉินผิงอันด้วยประโยคที่เต็มไปด้วยเหตุผล “คนเรียนหนังสือแบกตะกร้าตำราเดินทางไปทัศนศึกษา พวกที่อายุมากหน่อล้วนต้องพกกระบี่ไว้ป้องกันกายด้วย อีกทั้งยังเป็นการแสดงให้เห็นว่าตัวเองมีครบทั้งบุ๋นและบู๊”

เฉินผิงอันหัวเราะ “ใช่สิ นั่นมันคนที่เรียนหนังสืออย่างพวกเจ้า ข้าไม่ใช่สักหน่อย”

แม่นางน้อยอึ้งงัน แล้วก็เงียบเสียงลง

ดูเหมือนว่าความจริงข้อนี้ทำให้นางหมดอาลัยตายอยากอยู่มาก

……

ชุยฉานซื้อเหล้าต้มชั้นดีไหหนึ่งจากร้านเหล้าของเมืองเล็ก แล้วจึงเดินเตร็ดเตร่ไปยังตรอกเอ้อหลาง

พอมาถึงบ้านบรรพบุรุษตระกูลหยวนหลังนั้น ตอนที่ชุยฉานไขกุญแจ มือของเขาหยุดชะงักไปเล็กน้อย แต่สุดท้ายก็ยังยกยิ้มแล้วผลักประตูให้เปิดออก

เขาเดินเร็วๆ เข้าไปข้างใน พอปิดประตูแล้วก็เดินมาอยู่ข้างบ่อน้ำ มองชายที่ยืนอยู่ใต้กรอบป้ายห้องโถงหลังซึ่งดูล่องลอยดั่งภาพมายา มีประกายแสงไหลเวียนวนไปทั่วร่าง ชุยฉานนั่งลงบนเก้าอี้ที่วางไว้ข้างบ่อน้ำ เปิดจุกไหเหล้าออกดมกลิ่น แล้วถึงหันหน้ากลับไปเอ่ยยิ้มๆ “ต่อให้เหลือดวงวิญญาณอยู่แค่เสี้ยวเดียว แต่บุกเข้ามาบ้านคนอื่นโดยพลการ ไม่ได้รับเชิญ ก็ไม่ใช่การกระทำของสุภาพชนอยู่ดี ฉีจิ้งชุน ศิษย์น้องฉี เจ้าว่าไหมล่ะ?”

คนผู้นั้นหันตัวกลับมา พอจะมองเห็นใบหน้าได้อย่างเลือนราง ซึ่งก็คือฉีจิ้งชุนอาจารย์ฉีของโรงเรียน แล้วก็เป็นเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาที่ใช้พละกำลังของคนคนเดียวต่อต้านมรรคาสวรรค์ผู้สุภาพสง่างามนั่นเอง

ฉีจิ้งชุนยิ้มบางๆ “วันนั้นมองภายนอกเหมือนเจ้ากับชุยหมิงหวงแสดงละครให้อู๋ยวนดู แต่แท้จริงแล้วกลับแสดงให้ข้าดู เหนื่อยหรือไม่?”

ชุยฉานยิ้มตอบตาหยี “อ้อ? แล้วเจ้ามองอะไรออกบ้างล่ะ?”

ฉีจิ้งชุนยืนอยู่ทางทิศเหนือของบ่อน้ำ ตรงข้ามกับชุยหมิงหวงที่นั่งอยู่ทางทิศใต้ เอ่ยถามว่า “ทำไมตบะของเจ้าถึงเลื่อนจากผู้ฝึกลมปราณชั้นสิบสอง ขอบเขตถดถอยมายังชั้นสิบได้?”

ชุยฉานเอนหลังพิงเก้าอี้ ส่ายกาเหล้าที่ใช้สองนิ้วคีบไว้ไปมา “ก็ไม่ใช่เพราะอาจารย์ท่านที่มีความรู้ค้ำฟ้าท่านนั้นของพวกเราหรือไง ใครเล่าจะคิดได้ว่าแท้จริงแล้วเจ้าเปลี่ยนโฉมหน้าใหม่มาตั้งนานแล้ว ดังนั้นการที่เทวรูปของท่านอาจารย์ลดระดับต่ำลงอย่างต่อเนื่อง เจ้าไม่เพียงแต่ไม่ได้รับผลกระทบ ขอบเขตกลับยิ่งไต่ทะยานขึ้นเรื่อยๆ กลับกลายเป็นข้าที่ทรยศออกจากสำนักมานานขนาดนั้น แต่ก็ยังไม่อาจหลุดพ้นผลกระทบจากสายบุ๋นของท่านผู้อาวุโส เรื่องที่ทำให้ข้าสิ้นหวังที่สุดก็คือ ข้าค้นพบว่าชั่วชีวิตนี้จะไม่มีหวังอาศัยความรู้ของตัวเองมาข่มทับหรือเอาชนะอาจารย์ได้อีก จะทำอย่างไรล่ะ? ข้าคงไม่ยอมทนเห็นตัวเองตายไปพร้อมกับอาจารย์ได้หรอก แต่ปัญหาอยู่ที่การโค่นล้มของเทวรูปอาจารย์ส่งผลกระทบอย่างใหญ่หลวง ไม่เหมือนก้อนหินที่ขว้างลงกลายทะเลสาบ แต่เหมือนภูเขาที่คว่ำลงในทะเลสาบเสียมากกว่า คลื่นที่เกิดขึ้นจึงใหญ่มาก นอกจากคนที่ขึ้นฝั่งไปแล้วอย่างเจ้า ก็แทบไม่มีใครหลบพ้น ข้าก็ยิ่งเป็นเช่นนี้ ดังนั้นข้าจึงคิดวิธีเล็กๆ อย่างหนึ่งขึ้นมาได้ ศิษย์น้องฉี เจ้าคิดว่าคืออะไรล่ะ?”

ฉีจิ้งชุนพยักหน้า “อาศัยหินภูเขาของคนอื่นทุบหยก ทำลายอัตตาของข้า”

สายตาของชุยฉานคมกริบ หยุดมือที่โยกกาเหล้า

ฉีจิ้งชุนถอนหายใจ “ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดก็คือความรู้ของเจ้าข่มทับอาจารย์และข้าฉีจิ้งชุน ได้รับการยอมรับจากฟ้าดินมนุษย์และเทพ แต่น่าเสียดายที่เจ้าทำไม่ได้ รองลงมาก็คือ เจ้าหวังให้สายบุ๋นของอาจารย์ขาดลงบนมือข้า จากนั้นเจ้าก็เป็นผู้รับช่วงต่อ ต่อให้ตำแหน่งในศาลเจ้าบุ๋นไม่อาจสูงได้เท่าอาจารย์ แต่ยังไงก็ดีกว่าเป็นราชครูต้าหลีนับพันนับหมื่นเท่า สุดท้ายก็คือใช้คนบางคนมาเป็นเงาของตัวเอง จากนั้นร่างจริงก็เข้าฌาน นึกนิมิตเหมือนสายพุทธ หากคนผู้นั้นสามารถรักษาจิตใจดั้งเดิมไว้ได้ ก็เท่ากับว่าเจ้าสามารถรักษาจิตใจดั้งเดิมบนอุปสรรคบางอย่างไว้ได้ สุดท้ายนี่จะกลายมาเป็นโอกาสแห่งมหามรรคที่จะทำให้เจ้าเลื่อนจากชั้นสิบไปยังชั้นสิบเอ็ด”

ฉีจิ้งชุนส่ายหน้า “ชุยฉาน รู้สึกใช่ไหมว่าการค้าขายของตัวเองในครั้งนี้ ไม่ว่าจะอย่างไรก็มีแต่กำไร ไม่มีขาดทุน? ข้ารู้ว่าเจ้าจัดวางแผนการรับมือป้องกันไว้เรียบร้อยแล้ว ต่อให้เฉินผิงอันจะยังคงรักษาสภาพจิตใจที่บริสุทธิ์ไว้ได้ เจ้าก็ยังจะใช้วิธีการที่ว่านั้นอยู่ดี ยกตัวอย่างเช่นพยายามขยายข้อเสียของเด็กพวกนั้นเพื่อทำลายสภาพจิตใจของเฉินผิงอันอย่างต่อเนื่อง เหมือนการใช้หินขูดกระจกที่จะทำให้ผิวกระจกขรุขระไม่ราบเรียบ สุดท้ายก็แตกกระจาย ถ้าอย่างนั้นหากเฉินผิงอันคือเมล็ดพันธ์บัณฑิตที่ข้าเลือกไว้สืบทอดควันธูปจริงๆ เจ้าก็จะได้รับผลสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ รับเอาโชคชะตาแห่งสายบุ๋นของอาจารย์และข้าฉีจิ้งชุนเก็บใส่กระเป๋าตัวเองอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย ได้ผลประโยชน์มากกว่าผลลัพธ์สุดท้ายของนึกนิมิตสายพุทธซึ่งเป็นวิธีที่สามมากนัก”

ชุยฉานหน้าเขียว

ฉีจิ้งชุนเอ่ยยิ้มๆ “หากเจ้ายอมเลือกที่จะปล่อยมือตั้งแต่ตอนนี้ ข้าสามารถรับปากว่าจะให้เจ้าได้รับผลสำเร็จในข้อที่สาม แม้ว่าเทียบกันแล้วจะแย่ที่สุด แต่สำหรับเจ้าชุยฉานแล้ว จะอย่างไรก็ยังเป็นเรื่องดีเทียมฟ้า ต้องใช้ชีวิตแบบวางแผนทุกขั้นทุกตอนเพื่อเอาตัวรอดไปวันๆ ในที่สุดก็ได้สมปรารถนาเสียที”

ชุยฉานลุกขึ้นยืน หัวเราะหยัน “ฉีจิ้งชุน เจ้ามันก็คือวิญญาณดวงหนึ่งที่ใกล้จะแหลกสลายเต็มที คนไม่ใช่ผีไม่เชิง! ยังจะมีสิทธิ์มายื่นข้อเสนอกับข้าอีกรึ?”

สีหน้าของฉีจิ้งชุนเป็นปกติ “ให้โอกาสเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย”

สีหน้าของชุยฉานดุดัน “เจ้ากล้าทำร้ายสภาพจิตของข้า?!”

ฉีจิ้งชุนหน้าเศร้า เอ่ยเบาๆ “ศิษย์พี่ชุย”

ชุยฉานพลันขว้างกาเหล้าในมือลงบนพื้น เดินขึ้นหน้าหนึ่งก้าว ยื่นมือชี้ไปยังฉีจิ้งชุนที่มีน้ำหนึ่งบ่อ และเพดานเปิดโล่งแห่งหนึ่งกั้นขวาง กล่าวเสียงเหี้ยม “ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าฉีจิ้งชุนจะเอาชนะข้าได้!”

ฉีจิ้งชุนเอามือหนึ่งไพล่หลัง อีกมือสะบัดชายแขนเสื้อ บ่อน้ำที่น้ำเหล้าไหลจากข้างเท้าของชุยฉานลงไปผสมรวมเผยภาพม่านน้ำมหัศจรรย์ที่มีระลอกน้ำกระเพื่อมเป็นริ้วๆ

เหมือนกับที่ชุยฉานทำก่อนหน้านี้ไม่มีผิดเพี้ยน

ไม่เสียแรงที่ในอดีตคือศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนัก

ยกมือหรือขยับเท้าก็ล้วนมีท่วงทำนองของบัณฑิต

ท่ามกลางม่านน้ำคือเด็กหนุ่มและแม่นางน้อยที่ด้านหลังแบกตะกร้าไม้ไผ่

แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงเดินเบี่ยงตัว กำลังเงยหน้าถามนู่นถามนี่จากเด็กหนุ่ม

เด็กหนุ่มรองเท้าแตะยิ้มพลางตอบคำถามประหลาดมากมายที่แม่นางน้อยสรรหามาถามด้วยความอดทน หากเป็นปัญหายากที่เขาไม่เข้าใจ เด็กหนุ่มจะบอกว่าไม่รู้

เด็กหนุ่มไม่รู้สึกว่าน่าอาย แม่นางน้อยเองก็ไม่รู้สึกเบื่อ

ฉีจิ้งชุนถาม “ชุยฉาน เจ้ายังไม่เข้าใจอีกหรือ?”

ชุยฉานจ้องภาพเหตุการณ์นั้นเขม็ง สีหน้าซีดขาว ริมฝีปากสั่นระริก พูดพึมพำ “นี่มันเป็นไปไม่ได้!”

สุดท้ายเขาเงยหน้าขึ้น ดวงหน้าใสพิสุทธิ์ของราชครูเด็กหนุ่มที่มีไฝกลางหว่างคิ้วบิดเบี้ยวจนน่ากลัว “ฉีจิ้งชุน เจ้าถึงขนาดเล็กผู้หญิงคนนี้เป็นลูกศิษย์ผู้สืบทอดเพียงคนเดียวของตนอย่างนั้นรึ?!”

ฉีจิ้งชุนมองใบหน้าของเด็กหนุ่มที่เดิมทีก็ไม่คุ้นตา ถามกลับยิ้มๆ “ทำไมจะไม่ได้?!”

ชุยฉานสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง มุมปากตวัดโค้ง “แต่ว่าจิตใจของเด็กหนุ่มไม่เปลี่ยน อย่างมากข้าก็แค่ถอนแผนการรับมือทั้งหมดที่เตรียมไว้ทิ้งไป กลับกันยังจะช่วยหาหินลับมีดให้เขาได้ตลอดทาง และข้าก็ยังจะชนะเหมือนเดิม! เพียงแต่ชนะน้อยหน่อยเท่านั้น ทำไม ฉีจิ้งชุน หรือเพื่อขัดขวางมหามรรคาของข้าแล้ว เจ้ายังจะหันกลับไปทำลายเฉินผิงอันผู้นั้นอีก?”

สีหน้าของชุยฉานบ้าคลั่ง ลำพองใจอย่างถึงที่สุด “ฮ่าๆ ข้ากับเด็กหนุ่มตรอกหนีผิงคนนั้นมีความสัมพันธ์แบบร่วมทุกข์ร่วมสุข แนบแน่นจนไม่อาจแยกจาก ฉีจิ้งชุน เจ้าจะมาสู้กับข้าได้อย่างไร?!”

ฉีจิ้งชุนเอ่ยเรียบๆ “ข้าแนะนำให้เจ้าตัดขาดความเชื่อมโยงนั้นเสียตั้งแต่ตอนนี้ หยุดมือตอนนี้ยังทันเวลา อย่างมากสุดก็ร่วงจากชั้นสิบมายังชั้นหก ถือว่ายังอยู่ในห้าขอบเขตกลาง”

ชุยฉานกล่าวด้วยสีหน้ามืดทะมึน “ฉีจิ้งชุน เจ้าเสียสติไปแล้วกระมัง?”

ฉีจิ้งชุนปรายตามองชุยฉาน ถอนหายใจ ยื่นสองนิ้วประกบกันแล้วส่ายเบาๆ “เรื่องราวบนโลกใบนี้ มีเพียงใจที่บริสุทธิ์ที่ไม่อาจหยั่งเชิง เจ้าชุยฉานเป็นคนฉลาดขนาดนี้ มีหรือจะไม่เข้าใจ”

เด็กหนุ่มรองเท้าแตะในแม่นางน้อยชุดแดงในภาพไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย แต่สายตาของชุยฉานกลับจ้องเป๋งไปที่หัวของเด็กหนุ่มซึ่งจู่ๆ ก็มีปิ่นหยกชิ้นหนึ่งปักอยู่ในผมเพิ่มขึ้นมา

สีหน้าของชุยฉานเต็มไปด้วยความอึ้งงัน ตื่นตะลึงและหวาดกลัว ยื่นนิ้วสั่นๆ ชี้ไปที่ฉีจิ้งชุน “ฉีจิ้ง…”

เขาถึงขนาดไม่ยอมพูดอักษรจิ้งคำสุดท้ายออกมา

พริบตานั้น

ชุยฉานที่จิตใจเสียการควบคุมจนแทบจะพังทลายพลันเลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด

เซกลับไปนั่งบนเก้าอี้ รีบใช้มือทั้งสองข้างสร้างตราประทับแจกันสมบัติขึ้นมาข้างหน้าตัวเองอย่างรวดเร็ว เอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “จิตนิ่งวิญญาณสงบ!”

ฉีจิ้งชุนเงยหน้าขึ้นมองเพดานเปิดโล่ง ไม่ได้มองชุยฉานซึ่งมีสภาพน่าเวทนาจนไม่อาจทนมอง พูดว่า “เมื่อเสียเปรียบก็ต้องจำให้แม่น ภายในหกสิบปี หากเจ้ายังกล้าแอบฉวยโอกาสเล่นงานคนอื่นอีก ข้าย่อมมีวิธีทำให้เจ้าลดจากผู้ฝึกลมปราณชั้นที่ห้ากลายมาไปเป็นมนุษย์ธรรมดา แน่นอนว่าด้วยนิสัยถึงทางตันแล้วก็ยังจะพุ่งชนมันให้พังของเจ้าต้องไม่เชื่อแน่ แต่ไม่เป็นไร เชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่เจ้า ครั้งแรกสุด ข้าเคยบอกเจ้าว่าอย่าสูญเสียความมั่นใจในตัวอาจารย์ เจ้าไม่เชื่อ ผลจึงขอบเขตถดถอย ก่อนหน้าที่ข้าจะมาถ้ำสวรรค์หลีจู ได้บอกเจ้าว่าอย่าลงมือกับสำนักศึกษาซานหยา เจ้าก็ยังไม่เชื่อ ดังนั้นครั้งนี้ก็แล้วแต่เจ้า”

ฉีจิ้งชุนไปจากบ้านบรรพบุรุษตระกูลหยวนตรอกเอ้อหลาง เดินอยู่บนโลกมนุษย์เป็นครั้งสุดท้าย อันดับแรกเขาไปที่โรงเรียน แล้วจึงไปที่สะพานหินโค้ง ก่อนจะไปยังหลุมศพศิษย์น้องหม่าจาน สุดท้ายฉีจิ้งชุนยังขึ้นไปบนสวรรค์ครั้งหนึ่ง

สุดท้ายของสุดท้าย

ฉีจิ้งชุนกลับมาบนพื้นดิน เดินเคียงไหล่อยู่ข้างกายเด็กหนุ่มรองเท้าแตะและแม่นางน้อยชุดแดงเงียบๆ

เพียงแค่พวกเขาไม่รู้ก็เท่านั้น

ทุกครั้งที่คนทั้งสามเดินออกไปหนึ่งก้าว เงาร่างของอาจารย์ฉีผู้นี้ก็จะสลายไปส่วนหนึ่ง

ในที่สุดเขาก็หยุดเดิน มองแผ่นหลังของเด็กสองคนที่มุ่งหน้าลงใต้ บัณฑิตท่านนี้มีความกังวล มีความเสียดาย มีความอาลัยอาวรณ์ มีความชื่นชม มีความภาคภูมิใจ

เขาโบกมือเบาๆ บอกลาโดยไร้เสียง

เป็นแบบนี้แหละ

ดีมากแล้ว

……

“เอ๊ะ? ทำไมจู่ๆ บนหัวเจ้าถึงมีปิ่นหยกชิ้นหนึ่งเพิ่มขึ้นมา?!”

“หา? ข้าไม่รู้เลย”

“ตั้งแต่เมื่อไหร่? เฉินผิงอัน! แท้จริงแล้วเจ้าเป็นคนมีเงิน ใช่ไหม?”

“ไม่ใช่จริงๆ อย่างน้อยที่สุดตอนนี้ก็ไม่ใช่ วันเวลาที่ข้ามีเงินก็มีอยู่แค่ไม่กี่วันเท่านั้น”

“ก็ได้ แล้วกระบี่ไม้ที่โผล่จากในตะกร้าเจ้าออกมาท่อนหนึ่งล่ะ เป็นมาอย่างไร?”

“ข้าเองก็ไม่รู้เหมือนกัน”

“เฉินผิงอัน! หากเจ้ายังเป็นแบบนี้อีก วันนี้ข้าจะไม่ชอบเจ้าแล้วจริงๆ นะ!”

“ข้าไม่รู้จริงๆ นี่นา…”

“ช่างเถอะๆ ค่อยไม่ชอบเจ้าพรุ่งนี้ก็แล้วกัน”

“…”

ท่ามกลางภูเขาเขียวน้ำมรกต แม่นางน้อยเดินตามข้างเด็กหนุ่ม

—-

[1] ฉื่อเป็นมาตรวัดของจีนเทียบเท่าหนึ่งฟุต ชุ่นเป็นมาตรวัดของจีนเทียบเท่าหนึ่งนิ้ว ในที่นี้คือเป็นคำเรียกขานแทนขนาดใหญ่กับเล็ก ซึ่งฉื่อใหญ่กว่าชุ่น

[2] กลัวโจรจะนึกถึงไม่เลิก หมายถึง หากของที่โจรขโมยไปแล้วก็จบกัน แต่หากเป็นของที่โจรนึกถึงตลอดเวลา เจ้าของก็ต้องคอยพะวงว่าโจรจะกลับมาขโมยอีกเมื่อไหร่ หรือความหมายที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านั้นก็คือสิ่งของที่เสียหายไปไม่น่ากลัว แต่สิ่งที่น่ากลัวคือผลกระทบทางจิตใจที่ได้รับเมื่อของเสียหาย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version