Skip to content

Sword of Coming 84

บทที่ 84 ข้ามีหนึ่งกระบี่

เฉินผิงอันมองไปรอบด้านทันใด เมื่อไม่เห็นว่ามีอะไรผิดปกติจึงจูงมือของแม่นางน้อย พูดเบาๆ ว่า “พวกเราไปคุยกันที่อื่น”

เฉินผิงอันใคร่ครวญ ริมธารน้ำเงียบสงบ ง่ายที่จะซ่อนตัวให้พ้นหูตาของผู้คน ทว่านับตั้งแต่ครั้งนั้นที่รู้สึกว่าในน้ำมีสิ่งสกปรกอยู่ เขาก็ไม่คิดจะลงน้ำง่ายๆ อีก

ด้วยความร้อนใจ หลังจากแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายแดงพูดประโยคนี้ออกมาแล้วก็รู้สึกเสียใจทีหลังทันที เพราะข้างกายเฉินผิงอันมีคนนอกคนหนึ่งอย่างพี่หญิงหร่วนผู้มัดผมหางม้าชุดสีเขียวยืนอยู่ แม้ว่าก่อนหน้านี้หลี่เป่าผิงจะเจอกับหร่วนซิ่วมาแล้วครั้งหนึ่งบนหินหลังควาย ตอนนั้นยังมีกุมารทองกุมารีหยกของลัทธิเต๋าคู่นั้นอยู่ด้วย คนหนึ่งเลี้ยงปลาตัวใหญ่สีเขียวและแดง ส่วนอีกคนหนึ่งจูงกวางสีขาวหิมะ ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับตระกูลของแม่นางน้อย แน่นอนว่าหร่วนซิ่วในเวลานี้มองไม่เห็นคนชั่วร้าย แต่สิ่งที่แม่นางน้อยกลัวมากที่สุดในตอนนี้ก็คือคนประเภทนี้นี่เอง คนที่ไม่คุ้นเคยกันมาครึ่งชีวิต มองเหมือนใจดีมีเมตตา ถึงท้ายที่สุดแม้ไม่เห็นว่าชักมีดออกมา แต่คนสนิทข้างกายกลับถูกแทงตายไปแล้ว

ตอนแรกเริ่มอาจารย์หม่าและคนแซ่ชุยผู้นั้นเดินทางร่วมกันด้วยความปรองดอง หยิบยกเนื้อหาในตำราและคัมภีร์มาพูดคุยกันอย่างถูกคอ บางครั้งยังขับขานบทกลอนพลางร่ำสุรา หากพูดตามคำพูดของหลี่ไหวก็คือ หากคนแซ่ชุยผู้นี้ไม่ใช่บุตรนอกสมรสของผู้เฒ่าหม่า ก็คงเป็นหลานชายคนโต หาไม่แล้วความสัมพันธ์คงไม่ดีขนาดนี้ ใครก็คาดไม่ถึงว่าอาจารย์หม่าที่กำลังคึกคักฮึกเหิมจะตายอยู่ในกำมืองของวิญญูชนชนผู้เที่ยงธรรมซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือไปทั่วหล้าท่านนั้น ตามคำบอกช่วงแรกเริ่มสุดของอาจารย์หม่า ในบรรดานักปราชญ์และวิญญูชนทั้งหมดของลัทธิขงจื๊อในแจกันสมบัติทวีปบูรพา มีสองคนที่โดดเด่นมากที่สุด ถูกขนานนามให้เป็น “วิญญูชนใหญ่และน้อย” และอาจารย์ชุยก็คือ “วิญญูชนน้อยแห่งกวานหู” ผู้มีชื่อเสียงเลื่องระบือ ก่อนหน้าที่เหตุการณ์ไม่คาดฝันจะเกิดขึ้น แทบทุกคนล้วนมีความประทับใจที่ดีเยี่ยมต่อชุยหมิงหวง สุภาพอ่อนโยน ซ้ำยังมีวิชาความรู้ ราวกับว่าไม่มีเรื่องอะไรที่เขาไม่รู้ ถามอะไรเขาล้วนตอบได้หมด มีเพียงหลินโส่วอีคนเดียวที่ไม่ชอบชุยหมิงหวงมาตั้งแต่แรก ทว่าหลินโส่วอีจากตระกูลใหญ่ของตรอกเถาเย่คล้ายจะมีสีหน้าเย็นชาประหนึ่งต้องการบอกทุกคนว่าเจ้าติดเงินข้าอยู่หลายล้านตำลึงมาตั้งแต่เกิด เนื่องด้วยเขาไม่สนิทกับเด็กคนอื่นๆ อีกสี่คน ดังนั้นช่วงแรกเริ่มสุดที่หลิวโส่วอีเอ่ยเย้ยหยันเสียดสีวิญญูชนชุยอยู่หลายครั้ง จึงไม่มีใครเข้าใจเขา เพียงนึกไปว่าหลินโส่วอีอิจฉาที่ชุยหมิงหวงมีบุคลิกเหมือนคุณชายผู้สง่างามยิ่งกว่าเขาเท่านั้น

แม้หร่วนซิ่วจะไม่รู้ว่าทำไมสายตาที่แม่นางน้อยมองตนถึงไม่ค่อยเป็นมิตรนัก แต่ก็ยังพูดเสนอว่า “ไม่สู้ไปที่ห้องหลอมกระบี่ที่เพิ่งสร้างใหม่ของพวกเราดีไหม?”

แม่นางน้อยที่ปิดปากเงียบสนิทบีบมือเฉินผิงอันแน่น ส่ายหน้าอย่างแรง สายตาเต็มไปด้วยแววขอร้อง “เฉินผิงอัน ข้าไม่ไปสถานที่ที่มีคนแปลกหน้าอยู่มากมาย ได้ไหม?”

เฉินผิงอันกระชับมือน้อยของหลี่เป่าผิงเบาๆ เอ่ยเสียงอ่อนโยน “เชื่อข้าเถอะ ห้องหลอมกระบี่ที่ร้านตีเหล็กเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุดแล้ว”

แม่นางน้อยเงยหน้ามองดวงตาคู่นั้นของเฉินผิงอันที่เหมือนน้ำในลำธารซึ่งนางเคยเห็นเมื่อครั้งเดินอยู่ริมน้ำเพียงลำพังเป็นครั้งแรกตอนยังเด็ก ใสกระจ่างจนเห็นก้น กระแสน้ำไหลรินเชื่องช้าปานนั้นจนทำให้เด็กอย่างนางในเวลานั้นรู้สึกว่าตนจะไม่เติบโตอีกตลอดกาลหรือไม่ แม่นางน้อยที่เพิ่งพบเจอกับเหตุการณ์เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายมา จู่ๆ ความรู้สึกไม่เป็นธรรมไร้ที่มาพลันตีขึ้นหัวใจ จึงร้องไห้โฮอีกครั้ง พูดเสียงสะอื้น “เฉินผิงอัน เจ้าห้ามหลอกข้า!”

สายตาเฉินผิงอันหนักแน่นมั่นคง “ไม่หลอกเจ้า!”

หร่วนซิ่วพาหนึ่งคนตัวโตหนึ่งคนตัวโลกมาถึงห้องหลอมกระบี่ ควักกุญแจออกมาเปิดประตู ส่วนตัวนางเองยืนอยู่ที่เดิม พูดเสียงอ่อนโยน “ข้าไม่เข้าไปแล้ว จะคอยดูต้นทางให้พวกเจ้าด้านนอก ต่อให้พ่อข้ามาก็จะไม่ยอมให้เขาเข้าไปเด็ดขาด”

เฉินผิงอันรู้สึกขัดเขินเล็กน้อย จึงพูดเสียงเบา “ช่วยหาอะไรมาให้นางกินสักหน่อยได้ไหม ข้าคาดว่ารออีกเดี๋ยวพอความตึงเครียดของนางคลายลง สภาพจิตใจต้องทรุดลงแน่ ถึงเวลานั้นท้องอิ่มย่อมมีกำลัง ตอนข้าเด็กๆ ก็มักจะเป็นแบบนี้”

หร่วนซิ่วพยักหน้ารับแรงๆ เบี่ยงตัวไปด้านข้างเล็กน้อย เห็นเพียงว่านางบิดข้อมือหนึ่งที ไม่รู้ว่าไปเอาถุงผ้าไหมใบเล็กมาจากไหนยื่นส่งให้เฉินผิงอัน “เอาขนมดอกท้อห้าก้อนทำใหม่ของร้านยาสุ่ยไปก่อนแล้วกัน อีกเดี๋ยวข้าจะไปเอาน้ำมาให้หนึ่งกา อย่าให้นางกินเร็วเกินไปนัก เดี๋ยวจะติดคอเอาได้”

เฉินผิงอันนั่งลงตรงข้ามกับหลี่เป่าผิง ต่างคนต่างนั่งอยู่บนม้านั่งตัวเอง แม้ว่าแม่นางน้อยจะรับขนมดอกท้อไป แต่กลับไม่มีท่าทีว่าจะกิน

เฉินผิงอันจึงพูดเบาๆ “เรื่องเป็นมาอย่างไรกันแน่ ลองเล่ามาเถอะ”

หลี่เป่าผิงพูดช้ามาก ขัดแย้งกับนิสัยทำอะไรรวดเร็วเร่งร้อนของนาง แต่การที่แม่นางน้อยพูดช้าก็ช่วยให้เฉินผิงอันจัดระเบียบความคิด สามารถพาตัวเข้าไปคิดในตำแหน่งของคนที่อยู่ในเหตุการณ์ได้พอดี ก่อนหน้าที่อาจารย์หม่าสูงวัยของโรงเรียนผู้นั้นจะตาย บนเส้นทางจากบ้านเกิดที่เด็กเล็กห้าคนมุ่งไปเพื่อทัศนาจรเป็นไปด้วยความราบรื่น รถลากเทียมวัวและรถม้าสองคันเดินไปได้หลายร้อยลี้ อาจารย์หม่าและชุยหมิงหวงแห่งสำนักศึกษากวานหูต่างก็พูดคุยกันถูกคอ กลายมาเป็นสหายต่างวัย แต่มีวันหนึ่ง ตอนที่อาจารย์หม่าตรวจการบ้านพวกเขา จู่ๆ กลับบอกว่าจะไปคุยเรื่องการเดินทางกับอาจารย์ชุย เพราะนับจากนี้ไปทั้งสองฝ่ายอาจต้องแยกย้ายกันไปคนละทาง เพราะอย่างไรซะใต้หล้านี้ก็ไม่มีงานเลี้ยงใดที่ไม่เลิกรา

แต่พวกเด็กๆ รออยู่นานมากก็ไม่เห็นว่าอาจารย์หม่าและชุยหมิงหวงจะกลับมา ดังนั้นหลี่เป่าผิงและหลี่ไหวจึงวิ่งไปตามหาพวกเขา ผลกลับกลายเป็นว่าหลี่ไหวพบอาจารย์หม่าที่นอนจมอยู่ในกองเลือดก่อน อย่าว่าแต่มือและเท้าเลย ผู้เฒ่าบาดเจ็บหนักจนแม้แต่กรอบดวงตาและใบหูต่างก็มีเลือดไหล ร่างกายของผู้เฒ่าให้ความรู้สึกเหมือนตะกร้าไม้ไผ่ใบหนึ่งที่ตักน้ำขึ้นมาจากในธารน้ำแล้วน้ำรั่วออกหมด อาจารย์หม่าที่ลมหายใจรวยรินบอกให้หลี่ไหวไปตามหลี่เป่าผิงมาหาเขาแค่คนเดียว พอหลี่เป่าผิงไปพบเขา ผู้เฒ่าเพียงแค่จับมือของนางเองไว้ ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด อาจจะเป็นเพราะความสดใสเฮือกสุดท้ายก่อนตาย หรืออาจจะเพราะพยายามเต็มกำลังเป็นครั้งสุดท้าย อาจารย์เฒ่าที่เดิมทีพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียว ในที่สุดก็สามารถสั่งเสียหลี่เป่าผิงอย่างเรียบง่ายด้วยประโยคติดๆ ขัดๆ

ตอนที่พูดมาถึงตรงนี้ แม่นางน้อยชุดสีแดงสดก็สะอึกสะอื้นจนพูดไม่เป็นคำ ร้องไห้จนกลายเป็นมนุษย์น้ำตา

ซ้ำเฉินผิงอันยังไม่ใช่คนที่ปลอบใจเก่ง ได้แต่ขยับม้านั่งมาอยู่ใกล้แม่นางน้อยอีกนิด ยื่นมือมาช่วยเช็ดน้ำตาให้นาง พูดซ้ำไปซ้ำมา “ไม่ร้องนะ ไม่ร้อง…”

เด็กหญิงสูดจมูกอย่างแรง พูดต่อไปว่า “อาจารย์หม่าจับมือข้า บอกกับข้าว่าต้องหาเจ้าให้เจอเพียงลำพังให้ได้ บอกให้เจ้าระวังคนที่มาจากสำนักศึกษากวานหูและเมืองหลวงสองคนนี้ ใครก็ห้ามเชื่อเด็ดขาด!”

เฉินผิงอันถามหน้าเครียด “พวกสือชุนเจียล่ะ?”

หลี่เป่าผิงที่ใบหน้าเต็มไปด้วยคราบน้ำตาพลันยิ้มปากกว้าง “พวกเขาสี่คนกำลังพาสารถีต่างถิ่นคนนั้นวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ตรอกหนีผิง หลินโส่วอีรู้สึกว่าสารถีคนนั้นไม่ใช่คนดี ไม่แน่ว่าอาจเป็นพวกเดียวกับคนแซ่ชุย ร่วมมือกันสังหารอาจารย์หม่า หลังจากที่พวกเราหาที่ฝังศพให้อาจารย์หม่าแล้ว สารถีก็บอกว่าไปที่สำนักศึกษาซานหยาไม่ได้แล้ว เพราะอาจารย์หม่าและอาจารย์ชุยเพิ่งได้ข่าวมาว่า สำนักศึกษาที่อาจารย์ฉีเป็นเจ้าขุนเขาได้ย้ายออกจากต้าหลีไปยังต้าสุยที่เป็นแคว้นศัตรูแล้ว ตอนนี้ไม่มีอาจารย์หม่านำทาง ไม่ต้องรอให้ไปถึงต้าสุย แค่พวกเราทุกคนไปถึงชายแดนของต้าหลีก็ต้องถูกพวกทหารชายแดนใช้ข้ออ้างว่าสมคบคิดกับแคว้นศัตรูมาสังหารพวกเราทิ้ง ตอนนั้นพวกเราเองก็ไม่มีหนาทงอื่น ถึงท้ายที่สุดอาจารย์หม่าก็ยังไม่ได้บอกว่าพวกเราควรทำอย่างไร ควรจะกลับเมืองเล็กเพื่อรออาจารย์คนถัดไป หรือควรจะไปขอเรียนที่สำนักศึกษาซานหยาในต้าสุยต่อ อาจารย์หม่าล้วนไม่ได้บอกพวกเรา ดังนั้นจึงได้แต่ตามสารถีคนนั้นกลับมาที่นี่ แต่สารถีก็บอกอีกว่าผู้อาวุโสในตระกูลของพวกเราล้วนย้ายไปที่เมืองหลวงต้าหลีหมดแล้ว หากไม่เชื่อก็สามารถไปถามคนในบ้านที่ยังอยู่ในเมืองเล็กได้ แค่ถามก็จะรู้ว่าเขาพูดเรื่องจริง เพราะทางการของต้าหลีล้วนให้ทุกตระกูลทิ้งคนส่วนหนึ่งไว้ในเมืองเล็ก

หร่วนซิ่วถือกาน้ำอันหนึ่งเดินเข้ามาในห้องหลอมกระบี่หลังจากเคาะประตูแล้ว หลี่เป่าผิงจึงรีบหุบปากฉับทันที

หร่วนซิ่วเดินออกไปแล้วยังไม่ลืมปิดประตูให้

เด็กหญิงรอให้ประตูห้องปิดลงแล้วถึงพูดต่อว่า “สารถีคนนั้นประหลาดมาก เขาจงใจถามพวกเราประโยคหนึ่งว่าใครรู้จักเด็กหนุ่มที่ชื่อเฉินผิงอัน คนที่อยู่ในตรอกหนีผิงบ้าง บอกว่าเขาจะช่วยนำคำพูดของอาจารย์หม่ามาบอกเจ้า ตอนนั้นข้าไม่ได้พูดอะไร”

เฉินผิงอันพยักหน้า “ทำถูกแล้ว กินอะไรก่อนเถอะ”

หลี่เป่าผิงเขมือบขนมสามก้อนติดกัน แล้วกรอกน้ำตามอีกหนึ่งคน ใช้หลังมือเช็ดหน้าลวกๆ พูดรัวเร็ว “ภายหลังพวกเราห้าคนเห็นโอกาสระดมความคิดกัน รู้สึกว่าจะรอความตายอย่างเดียวไม่ได้เด็ดขาด เลยคิดวิธีหนึ่งขึ้นมา หนึ่งวันก่อนหน้าจะกลับมาถึงเมืองเล็ก สือชุยเจียจึงเริ่มแกล้งป่วย ข้าต้องคอยดูแลนางตลอดเวลา จากนั้นข้าก็แอบบอกให้หลี่ไหวรู้ลักษณะของตรอกแถวๆ ตรอกหนีผิงเป็นการส่วนตัว บอกให้เขายอมรับว่าแท้จริงแล้วตัวเองรู้จักกับเจ้ามานานมากแล้ว เหตุผลก็คือหลี่เอ้อบิดาเขาเคยเป็นลูกจ้างร้านขายยา เคยมีเด็กหนุ่มแซ่เฉินตรอกหนีผิงคนหนึ่งมักจะไปซื้อยาสมุนไพรที่ร้านเป็นประจำ เพียงแต่ว่าตอนแรกที่สารถีถาม เขาไม่ทันนึกถึงเรื่องนี้”

เฉินผิงอันสงสัยเล็กน้อย

หลี่เป่าผิงอธิบายหน้าแดง “ข้ามักจะเห็นเจ้าขึ้นเขาไปเก็บยาสมุนไพรหรือไม่ก็แบกตะกร้าสมุนไพรใบใหญ่ลงจากเขาเพียงลำพังแถวธารน้ำของเมืองเป็นประจำ”

เฉินผิงอันไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี สายตาของเขาบอกให้รู้ว่าตนเข้าใจแล้ว

ขณะเดียวกันเฉินผิงอันก็รู้สึกหวาดผวาเล็กน้อย จึงกล่าวเสียงหนัก “อันที่จริงพวกเจ้าทำอย่างนี้อันตรายมาก”

แม่นางน้อยพยักหน้ารับ “ข้ารู้ ดังนั้นก่อนหน้าที่พวกเราห้าคนจะปรึกษากันเรื่องนี้ ข้าจึงพูดคุยกับพวกเขาอย่างชัดเจนแล้ว หลินโส่วอีบอกว่าชีวิตของหลี่เป่าผิงมีค่ามากที่สุดยังไม่รู้จักกลัวตายเลย เขาเป็นแค่บุตรนอกสมรสที่ผู้คนรังเกียจ ยิ่งไม่มีอะไรให้ต้องห่วง สือชุนเจียค่อนข้างโง่ บอกว่าจะอย่างไรซะนางก็ล้วนเชื่อฟังข้า หลี่ไหวบอกว่าจะกลัวทำไม อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด อีกอย่างต่อให้เกิดเรื่องขึ้นกับเขาจริงๆ แม้ว่าหลี่เอ้อบิดาของเขาจะไม่ได้เรื่อง ไม่มีความสามารถอะไรสักอย่าง แต่มารดาของเขาต้องช่วยเขาแก้แค้นแน่ ต่งสุ่ยจิ่งพูดง่ายตรงไปตรงมาที่สุด เขาบอกว่าตัวเองมีกำลังมาก หากเรื่องนี้ถูกเปิดโปงก็ให้พวกเราสี่คนหนีไปก่อน เขาจะสู้กับสารถีคนนั้นอย่างสุดชีวิตเอง”

“แต่ข้ารู้สึกว่าอันที่จริงก็ไม่ได้อันตรายขนาดนั้น หากสารถีคิดจะฆ่าพวกเราจริงๆ ก็ไม่จำเป็นต้องรอให้มาถึงเมืองเล็ก เขาต้องยังมีแผนการอย่างอื่นอยู่แน่ คาดว่าหนึ่งในเป้าหมายที่แท้จริงของผู้ที่บงการอยู่เบื้องหลังต้องเกี่ยวข้องกับเจ้า”

หลี่เป่าผิงกินขนมดอกท้อสองก้อนสุดท้ายจนหมด แล้วจึงสูดลมหายใจเข้าหนึ่งครั้ง “ภายหลังในที่สุดพวกเราก็มาถึงตรอกซิ่งฮวาของเมืองเล็ก ข้าเลยให้ต่งสุ่ยจิ่งและหลี่ไหวพาสารถีลงจากรถ บอกว่าสามารถพาเขาเดินทางลัดไปยังตรอกหนีผิง แต่แท้จริงแล้วหลี่ไหวจะพาเขาเดินอ้อมรอบใหญ่ ข้ารอให้พวกเขาไปแล้วก็รีบวิ่งลงจากรถไปหาเจ้าที่ตรอกหนีผิงทันที ผลกลับกลายเป็นว่าประตูหน้าบ้านและประตูบ้านของเจ้าต่างก็ใส่กุญแจไว้ โชคดีที่ตอนนั้นมีเพื่อนบ้านเจ้าเดินผ่าน พอข้าถาม ถึงได้รู้ว่าเจ้ามาเป็นลูกศิษย์อยู่ที่ร้านตีเหล็ก ตอนนั้นข้าร้อนใจแทบตายเลยจริงๆ”

คราวนี้เฉินผิงอันรู้สึกตื่นตะลึงเล็กน้อย “เจ้าเป็นคนคิดแผนการทั้งหมดนี้ขึ้นมาเองเลยหรือ?”

หลี่เป่าผิงส่ายหน้า “หลินโส่วอีก็เป็นคนออกความเห็นด้วย ยกตัวอย่างเช่นตอนแรกห้ามไปยังสถานที่ที่อยู่ห่างจากตรอกหนีผิงมากเกินแล้วบอกว่าที่นั่นก็คือตรอกหนีผิง เพราะทำแบบนั้นจะเผยพิรุธได้ง่าย และข้าก็จะได้ไม่ต้องวิ่งไกล ทางที่ดีที่สุดคือให้รถจอดที่ตรอกซิ่งฮวาบ้านของต่งสุ่ยจิ่ง ห่างจากตรอกหนีผิงไม่ไกลแล้วก็ไม่ใกล้เกินไป ยังพอมีพื้นที่ให้เดินอ้อม แล้วนับประสาอะไรกับที่พอไปถึงตรอกซิ่งฮวา สารถีต้องหาคนมาถามเพื่อยืนยันให้แน่ใจก่อนแน่นอน จากนั้นพวกเราค่อยหลอกเขาก็จะง่ายกว่าเดิมมาก”

หลี่เป่าผิงกดเสียงต่ำ “สุดท้ายก็พิสูจน์ให้เห็นว่าเป็นเช่นนี้จริง”

เฉินผิงอันอดลูบหัวของแม่นางน้อยพลางเอ่ยชมไม่ได้ “ร้ายกาจมาก”

หลี่เป่าผิงยิ้ม “หากเจ้าไม่อยู่บ้าน หลี่ไหวกับต่งสุ่ยจิ่งก็ยิ่งไม่ต้องห่วงเข้าไปใหญ่ ไม่ต้องกังวลว่าจะถูกบีบซักไซ้ให้เปิดเผยความจริงต่อหน้า”

หลี่เป่าผิงถามอย่างแปลกใจ “ทำไมอาจารย์หม่าของโรงเรียนและสารถีที่แม้แต่ภาษาถิ่นของเมืองเล็กก็ยังพูดไม่ค่อยชัดคนนั้นถึงอยากจะพบเจ้า?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าเองก็แปลกใจมากเหมือนกัน ตอนนี้รู้แค่ว่าอาจเกี่ยวข้องกับของไม่กี่ชิ้นที่อาจารย์ฉีมอบให้ข้า”

อาจารย์ฉีเคยพาตนไปขอใบไหว เพียงแต่ว่าตอนสุดท้ายกลับใช้ใบไหวที่มีอักษรเหยานั่นไปแล้ว

งั้นก็ปิ่นหยก? แต่อาจารย์ฉีและแม่นางหนิงต่างก็บอกว่าปิ่นชิ้นนี้ทำจากวัสดุธรรมดา เป็นเพียงปิ่นทั่วไปที่ใช้ปกผมเท่านั้น

ตราประทับ?

อารมณ์ของเฉินผิงอันหนักอึ้ง มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นสิ่งนี้

อาจารย์ฉีเคยมอบตราประทับให้ตนสองครั้ง ทั้งหมดรวมเป็นสี่ชิ้น

ก่อนหน้านี้ไม่นานหยางเหล่าโถวเพิ่งบอกว่าตนต้องเก็บรักษาตราประทับอักษรคำว่า “จิ้ง” ชิ้นนั้นให้ดีเป็นพิเศษ

ตราประทับที่หากรวมกันสมบูรณ์แบบแล้วจะเป็นสี่คำว่า “จิ้งซินเต๋ออี้” (สงบใจสมปรารถนา)

นอกจากนี้อาจารย์ฉีก็เคยพูดว่า หากวันหน้าได้เห็นภาพภูเขาและแม่น้ำที่รู้สึกว่าน่าสนใจก็สามารถใช้ตราประทับอักษรคำว่าน้ำและภูเขาคู่นั้นนาบประทับลงไปได้

หวนนึกถึงว่าแม่น้ำและภูเขาในรัศมีพันลี้หลังจากที่ถ้ำสวรรค์หลีจูร่วงลงสู่พื้นดินจะมีเทพภูเขาและเทพแม่น้ำมาเฝ้าพิทักษ์ ซึ่งภูเขาลั่วพั่วหนึ่งในภูเขาที่ตนกำลังจะซื้อไว้ก็เป็นเช่นเดียวกัน

จู่ๆ หลี่เป่าผิงก็ควักใบไหวสีเหลืองแห้งเหี่ยวออกมาสามใบ วางไว้ในฝ่ามือยื่นให้เฉินผิงอันดูพลางพูดด้วยน้ำเสียงเสียดาย “ใบไม้สีเขียวสดเหลืองแห้งหมดแล้ว”

เฉินผิงอันพลันกระจ่างแจ้ง ตอนนั้นต้องเป็นเพราะใบไหวร่มเงาบรรพบุรุษสามใบนี้แน่นอนที่ช่วยต่อชีวิตให้แก่อาจารย์หม่าของโรงเรียนท่านนั้น เขาถึงสามารถพูดได้มากขึ้นอีกหลายประโยค

และเรื่องนี้ก็เป็นเช่นนี้ หากไม่เป็นเพราะความเฉลียวฉลาดของหลี่เป่าผิงที่พกใบไหวสามใบนี้ติดตัวอยู่ตลอดเวลา เกรงว่าผู้เฒ่าคงพูดไม่ออกแม้แต่คำเดียวก็ต้องตายไปด้วยความไม่ยินยอมแล้ว

ตอนนี้เฉินผิงอันได้ย้ายสมบัติมีค่าทั้งหมดในบ้านมาเก็บไว้ที่ร้านตีเหล็กหมดแล้ว ช่างหร่วนยกกระท่อมดินเหนียวที่แม่นางหนิงเคยพักอาศัยอยู่ก่อนหน้านี้ให้กับเขา ไม่พูดถึงหินดีงูแปดก้อนที่สีสันยังคงสดใสดังปกติ หินดีงูธรรมดาที่มีขนาดเล็กใหญ่ไม่เท่ากันร้อยกว่าก้อนก็ถูกย้ายออกมาจากบ้านบรรพบุรุษที่ตรอกหนีผิงและจากลานบ้านของหลิวเสี้ยนหยาง ถูกนำมากองรวมกันไว้ตรงผนังของห้องที่นี่หมดแล้ว

แต่ตราประทับอักษรจิ้งกับตำราเขย่าขุนเขา สองอย่างนี้ เฉินผิงอันพกติดตัวไว้ตลอดเวลา

หลังจากไตร่ตรองอย่างลึกซึ้ง เฉินผิงอันก็พูดขึ้นเนิบช้า “ตอนนี้สารถีคนนั้นน่าจะรีบเดินทางมาที่ร้านตีเหล็กแล้ว ไม่อย่างนั้นเจ้าหลบอยู่ที่นี่ก่อนดีกว่า ข้าจะไปแอบพาสือชุนเจียและหลินโส่วอีที่ยังอยู่ในรถม้ามาก่อน? หากสารถีถาม ข้าสามารถฝากให้คนที่นี่บอกเขาได้ว่า ข้ามีความเคยชินที่ต้องออกไปเดินเล่นข้างนอก อีกอย่างรอให้สารถีไปถึงบ้านข้าที่ตรอกหนีผิง เขาคงจับได้เรื่องที่พวกเจ้าพาเดินอ้อม แนนอนว่าภายนอกเขาต้องไม่พูดอะไร แต่หลังจากนี้พวกเจ้าจะเจออันตรายจริงๆ แล้ว”

เฉินผิงอันมองเห็นว่าหลี่เป่าผิงยังลังเลจึงกล่าวเสียงหนัก “เชื่อข้า หากคนในครอบครัวพวกเจ้าย้ายออกไปกันหมดแล้ว ถ้าอย่างนั้นในเมืองเล็กแห่งนี้ก็เหลือแค่ที่นี่เท่านั้นที่ปลอดภัยที่สุด”

หลี่เป่าผิงครุ่นคิด แล้วจึงถามว่า “เจ้าเชื่อใจช่างหร่วนที่ตีเหล็กอยู่ที่นี่มากเลยหรือ?”

เฉินผิงอันส่ายหน้า “ข้าเชื่อใน ‘กฎเกณฑ์’ ที่อาจารย์ฉีเคยพูดถึงมากกว่า”

หลี่เป่าผิงยิ้มสดใส “ข้าเข้าใจแล้ว!”

หากหลี่เป่าผิงตัดสินใจไปแล้ว เพียงแค่ชั่วพริบตานางก็จะสามารถระดับพลังความเด็ดขาดที่น่าตะลึงออกมา “ในเมื่อเจ้าเชื่อพี่หญิงหร่วนคนนั้น ข้าก็จะให้นางพาข้าไปพาสือชุนเจียกับหลินโส่วอีมาที่นี่ แล้วหาที่ซ่อนตัว เจ้าจงไปพูดคุยและรับมือกับสารถีชั่วคนนั้นให้สบายใจ ลองไปดูก่อนว่าเขามีเป้าหมายอะไรกันแน่”

เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ได้เลย”

เฉินผิงอันพาหลี่เป่าผิงเดินออกจากห้องหลอมกระบี่ อาจเพราะต้องการหลีกเลี่ยงคำครหา หร่วนซิ่วจึงไปนั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กสีเขียวมรกตซึ่งห่างจากประตูค่อนข้างไกล กำลังโยกตัวไปซ้ายทีขวาทีอย่างไม่มีอะไรทำ

รอจนเฉินผิงอันบอกสิ่งที่เขาต้องการขอความช่วยเหลือจากนางจบแล้ว หร่วนซิ่วก็กล่าวอย่างไม่ลังเลว่า “ไม่มีปัญหา”

จากนั้นหร่วนซิ่วก็ย่อตัวลง หันกลับไปมองแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายสีแดงสด บอกเป็นนัยให้นางขึ้นมาขี่หลังตน

หลี่เป่าผิงทำหน้าไม่เต็มใจ “ข้าวิ่งเร็วนักล่ะ!”

หร่วนซิ่วพูดยิ้มๆ “ข้าต้องเร็วกว่าแน่”

แม่นางน้อยหันกลับไปมองเฉินผิงอันอย่างขุ่นเคือง เห็นได้ชัดว่าหวังให้เขาช่วยยืนยันว่าตนวิ่งได้รวดเร็วราวกับบิน

เฉินผิงอันเตรียมจะอ้าปากพูด หร่วนซิ่วที่สีหน้าจริงจังกลับชิงพูดกับหนึ่งคนโตหนึ่งเด็กเล็กคู่นี้เสียก่อนว่า “ข้าวิ่งกลับไปกลับมาได้หลายรอบ เจ้ากับเฉินผิงอันยังไม่ทันวิ่งไปถึงในเมืองเลย”

หลี่เป่าผิงเบ้ปาก “ข้ารู้ว่าใต้หล้านี้มีเทพเซียนมีภูตผี แต่เจ้านึกว่าเทพเซียนเป็นกันได้ง่ายขนาดนั้นเลยหรือ”

เฉินผิงอันจึงให้ข้อสรุปว่า “ทำตามที่พี่สาวบอก เร็ว!”

หลี่เป่าผิงถอนหายใจ ได้แต่ขึ้นขี่หลังหร่วนซิ่วแต่โดยดี ความอ่อนนุ่มสบายตัวทำให้แม่นางน้อยง่วงงุนจึงงีบหลับไป

ก่อนที่หร่วนซิ่วจะจากไปได้หันมาพูดกับเฉินผิงอันว่า “หากเกิดเรื่อง สามารถมาหาท่านพ่อข้าได้”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ

เสียงสวบดังหนึ่งที

แม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนมที่คล้องคอแมนางหร่วนพลันตกใจจนขนทั้งร่างตั้งชัน รู้สึกว่าข้างหูมีลมพายุพัดทะยานผ่านไป

นางหันหลังกลับไปมอง ทำไมกระท่อมถึงเปลี่ยนมาเล็กพอๆ กับแผ่นหินสีเขียวบนถนนฝูลวี่? ธารน้ำเส้นนั้นก็เล็กพอๆ กับเชือกเส้นหนึ่งแล้ว?

บนพื้นดิน เฉินผิงอันยืนอึ้งเป็นไก่ไม้ ได้แต่มองแม่นางหร่วนแบกหลี่เป่าผิงทะยานร่างขึ้นฟ้าและพริบตาเดียวก็หายวับไปคาตาตัวเอง

ในใจเด็กหนุ่มคิดว่า ที่แท้แม่นางหร่วนก็เหมือนแม่นางหนิงที่ต่างก็เป็นเทพเซียนนี่เอง

……

ในบ้านหลังหนึ่งของตรอกเอ้อหลางที่เงียบสงบ ชุยฉานยืนอยู่ข้างบ่อน้ำ เด็กหนุ่มซึมกะทือนั่งเงียบอยู่บนม้านั่งตัวเล็ก

ชุยฉานสั่งความเสียงเบา “ไปเอาน้ำมาถ้วยหนึ่ง”

เด็กหนุ่มรีบลุกขึ้นยืน ใช้มือประคองน้ำเย็นถ้วยหนึ่งมา

ชุยฉานรับน้ำถ้วยนั้นมา เพียงขยับข้อมือ น้ำในถ้วยก็ร่วงลงบนบ่อน้ำ กลายมาเป็นม่านน้ำสีเขียวบางๆ ชั้นหนึ่ง

ความคิดของชุยฉานขยับเคลื่อนเล็กน้อย ท่ามกลางม่านน้ำก็มีภาพเหตุการณ์ที่รถลากเทียมวัวและรถม้าที่ทยอยขับตามกันเข้ามาในเมืองเล็ก ทั้งคนและวัตถุล้วนปรากฏเด่นชัด

ชุยฉานใช้สองมือลูบชายแขนเสื้อ ตลอดทั้งร่างเผยความผ่อนคลายสบายอารมณ์สุดขีด เพิ่มน้ำหนักไปที่ปลายเท้าและตามมาด้วยส้นเท้า ร่างทั้งร่างจึงเหมือนกลายมาเป็นตุ๊กตาล้มลุกที่เอนไปข้างหน้าทีข้างหลังที

ไร้ซึ่งอารมณ์ตื่นเต้นกระวนกระวายอย่างที่ผู้ฝึกลมปราณคนหนึ่งควรมียามที่โอกาสแห่งการตื่นรู้มาเยือน

เมื่อชุยฉานมองเห็นแม่นางน้อยชุดสีแดงสดบอกลากับเด็กหญิงสองข้างแก้มแดงปลั่งวัยเดียวกันแล้วกระโดดลงจากรถม้า วิ่งตะบึงอยู่บนถนน จากนั้นสารถีผู้นั้นก็ถูกเด็กชายสองคนหลอกไปที่ตรอกซิ่งฮวา

ราชครูต้าหลีผู้นี้ก็ถึงกับจุ๊ปากพูด “ก่อนหน้านี้ข้ายังเย้ยหยันว่าสายลับที่ซ่งจ่างจิ้งเลี้ยงไว้กินอาจมเติบโตขึ้นมา นึกไม่ถึงว่าสายลับที่ข้าสั่งสอนมาก็ดื่มฉี่เติบโตมา พอๆ กันเลย”

แต่เพียงไม่นานชุยฉานก็สงบอารมณ์ลงได้ ม่านน้ำปรากฏภาพของหลี่เป่าผิงที่วิ่งตะบึงอยู่ตลอดเวลา เขาจึงพึมพำกับตัวเองว่า “เด็กของที่นี่ เดิมทีก็ฉลาดอยู่แล้ว โดยเฉพาะพวกซ่งจี๋ซิน จ้าวเหยาที่อายุค่อนข้างมากหน่อย ตามมาด้วยกลุ่มที่สองซึ่งมีแม่หนูน้อยคนนี้รวมอยู่ด้วย ดินอุดมสมบูรณ์ คนจึงมีความสามารถแท้ๆ ฉลาดเกินวัยยิ่งนัก ดูถูกไม่ได้เลยจริงๆ”

เมื่อเห็นแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงวิ่งไปยังสะพานหินโค้ง ประกายในดวงตาของชุยฉานก็มีริ้วคลื่นกระเพื่อมแรงเป็นระลอก ราวกับคลื่นยักษ์ที่ตีกระทบก้อนหิน

ชุยฉานย้ายสายตาไปเล็กน้อย ไม่จ้องมองม่านน้ำอีกต่อไป หลับตาลงผ่อนลมหายใจ รอจนลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เด็กหญิงก็วิ่งผ่านสะพานหินโค้งนั่นไปแล้ว

ชุยฉานขมวดคิ้วเล็กน้อย “เพราะวิธีการของเชื้อพระวงศ์ต้าหลีนองเลือดเหี้ยมโหดเกินไป ถึงได้ทำให้กระบี่โบราณเล่มนั้นเกิดอคติโดยธรรมชาติ? เป็นเหตุให้เกิดความรังเกียจข้าที่เป็นผู้ประคับประคองมังกรของต้าหลีตามไปด้วย? แต่ตามหลักแล้ว แม้ว่าประวัติศาสตร์ที่แท้จริงของกระบี่เล่มนี้จะไม่สามารถตรวจสอบได้ มีเพียงข่าวลือเล็กๆ น้อยๆ ที่เลื่อนลอย ทว่าในเมื่อเป็นกระบี่โบราณ ถ้าอย่างนั้นจะมีสงครามแบบใดบ้างที่ไม่เคยผ่านมาก่อน ไม่ควรจะใจแคบขนาดนี้กระมัง?”

ภาพเหตุการณ์ในม่านน้ำขยับเข้าไปใกล้ร้านตีเหล็กมากขึ้นทุกขณะ

ม่านน้ำที่ถูกสร้างขึ้นจากน้ำหนึ่งถ้วนพลันระเบิดแตกอย่างไร้สัญญาณบอกเหตุ

พอฝอยสะเก็ดน้ำจำนวนนับไม่ถ้วนที่สาดกระเซ็นไปสี่ด้านแปดทิศชนเข้ากับหน้าต่าง ผนัง เสา และคานในบ้านกลับทำให้จุดต่างๆ เหล่านั้นระเบิดเป็นรูโหว่เหลือคณานับ

แต่ว่าน้ำที่กระเด็นมาโดนชุยฉานกับเด็กหนุ่มกลับเหมือนชนลงบนผนังเหล็กผนังทองแดงไร้รูปลักษณ์ ที่เพียงชั่วพริบตาก็ระเบิดกลายเป็นสะเก็ดที่เล็กละเอียดยิ่งกว่าเดิม

เสียงของหร่วนฉงพลันดังลงมาจากเพดานที่เปิดอ้า “เจ้าอย่าได้คืบจะเอาศอก!”

ชุยฉานเงยหน้ายิ้มแต้ “อริยะชอบขี้เหนียว ไม่ให้ดูก็ไม่ให้ดีสิ มีอะไรพูดกันดีๆ ก็ได้ จะอย่างไรซะที่นี่ก็เป็นบ้านบรรพบุรุษของตระกูลหยวน วันหน้าพอข้ากลับไปเมืองหลวงแล้วถูกคนคิดบัญชีขึ้นมา จะทำอย่างไรล่ะ?”

ชุยฉานพูดกับตัวเอง “นักโทษและชาวบ้านที่เหลืออยู่ของราชวงศ์สกุลหลูคงมาถึงแล้วกระมัง”

ชุยฉานก้มหน้าเหลือบมองเด็กหนุ่มแวบหนึ่ง หลังจากถอนสายตากลับมาแล้ว นิ้วโป้งซ้ายขวาที่ซ่อนไว้ในชายแขนเสื้อก็เคาะลงเบาๆ เอ่ยเสียงแผ่ว “ป้องกันไว้ก่อน ป้องกันไว้ก่อนไงล่ะ”

……

ตอนที่หลี่ไหวและต่งสุ่ยจิงพาสารถีมาพบเฉินผิงอัน ฝ่ายหลังกำลังช่วยคนสร้างบ้านหลังหนึ่งอยู่

หลี่ไหวทำลับๆ ล่อๆ กลอกตาไปมารวดเร็ว

ต่งสุ่ยจิงสีหน้าเป็นปกติ มีบุคลิกของแม่ทัพใหญ่

เฉินผิงอันที่ฝุ่นเกาะเต็มร่างเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าคนทั้งสาม ถามด้วยความสงสัย “พวกเจ้ามาหาข้ารึ?”

หน้าตาของสารถีผู้นั้นไม่สะดุดตา มองดูแล้วคล้ายชาวไร่ชาวนาซื่อๆ จริงใจคนหนึ่ง เขากุมมือเดินมาตรงหน้าเฉินผิงอัน พูดเสียงเบา “เปลี่ยนที่พูดกันได้หรือไม่?”

เฉินผิงอันส่ายหน้ากล่าวเสียงหนัก “พูดกันที่นี่แหละ!”

แม้บนใบหน้าของสารถีจะเผยความไม่พอใจ แต่ในใจกลับค่อนข้างจะผ่อนคลาย นี่ต่างหากถึงจะเป็นนิสัยที่เด็กหนุ่มชาวบ้านคนหนึ่งควรมี

ชายวัยกลางคนลังเลเล็กน้อย “เจ้ารู้จักอาจารย์ฉีของโรงเรียนในเมืองเล็กใช่หรือไม่?”

เด็กหนุ่มรองเท้าแตะกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ “ในเมืองเล็กใครบ้างที่ไม่รู้จักอาจารย์ฉี แต่อาจารย์ฉีจะรู้จักพวกเราหรือไม่ ก็อีกเรื่องหนึ่ง”

หลี่ไหวที่ยืนอยู่ข้างๆ กลั้นเสียงหัวเราะชั่วร้าย

ต่งสุ่ยจิ่งแห่งตรอกซิ่งฮวามองเฉินผิงอันจากตรอกหนีผิงด้วยสายตาลึกล้ำ

มีเสียงคนคำรามเร่งรัดมาจากทางบ้านที่กำลังก่อสร้าง “เจ้าคนแซ่เฉินอย่าแอบอู้นะ รีบพูดกันให้เสร็จๆ แล้วไสหัวกลับมาทำงานซะ!”

เด็กหนุ่มถอนหายใจ พูดกับสารถีว่า “มีอะไรก็พูดมาเลยได้ไหม?”

ชายฉกรรจ์ใช้มือสองข้างถูแก้ม พ่นลมหายใจหนึ่งทีแล้วพูดเสียงเบา “ข้าคือนักรบเดนตายคนหนึ่งของราชสำนักต้าหลี รับผิดชอบปกป้องพวกเด็กๆ ที่เดินทางไปขอเรียนในสำนักศึกษาซานหยา แน่นอน ข้าไม่ปฏิเสธว่าตัวเองมีหน้าที่ต้องจับตามองไม่ให้พวกเขาถูกคนนอกพาตัวไป ยกตัวอย่างต้าสุย หรือยกตัวอย่างเช่นสำนักศึกษากวานหู เรื่องพวกนี้เจ้าฟังไม่เข้าใจก็ไม่เป็นไร เจ้าเชื่อหรือไม่ก็ไม่เป็นไร แต่ข้าไม่สนว่าเจ้าจะมีความสัมพันธ์กับอาจารย์ฉีอย่างไร แล้วก็ไม่สนว่าเจ้ารู้จักอาจารย์หม่าหรือไม่ ข้าแค่หวังให้ช่วงนี้เจ้าระวังตัวให้ดี เพราะครึ่งทางระหว่างที่อาจารย์หม่าพาพวกเราไปที่สำนักศึกษาซานหยาได้ถูกคนฆ่าตาย ก่อนที่อาจารย์หม่าจะตายได้คุยเล่นกับข้าบ้างเป็นบางครั้ง เขาเคยพูดถึงเจ้าโดยไม่ตั้งใจสองครั้ง ครั้งนี้บอกว่า เขาจำได้ว่าในอดีตเมื่อนานมาแล้ว ตอนที่เขากวาดพื้น มักจะมีเด็กคนหนึ่งมาชอบนั่งยองฟังบทเรียนอยู่นอกหน้าต่าง ครั้งที่สองบอกว่าก่อหน้าที่อาจารย์ฉีจะลาออกจากตำแหน่งอาจารย์ในโรงเรียนและตำแหน่งเจ้าขุนเขาสำนักศึกษา ได้พูดว่าเจ้าเองก็เป็นเมล็ดพันธ์บัณฑิตคนหนึ่ง เสียดายก็แต่เขาไม่สามารถพาเจ้าไปที่สำนักศึกษาซานหยาด้วยได้”

ชายฉกรรจ์ยิ้มเจื่อน “สงสารก็แต่เด็กพวกนี้ที่ตอนนี้กลายมาเป็นคนน่าสงสารไร้บ้านให้กลับอย่างแท้จริง ไม่กล้าไปที่สำนักศึกษา บ้านในเมืองเล็กก็ไม่มีแล้ว ต้องรู้ว่าสำนักศึกษาที่อาจารย์ฉีก่อตั้งไม่ใช่สถานที่ที่ใครก็เข้าไปเล่าเรียนได้ ว่ากันว่าคนนับล้านในเมืองหลวงต้าหลีของพวกเราสั่งสมกันมานานหลายปี ก็ยังมีคนที่เป็นลูกศิษย์ของสำนักศึกษาแค่สิบกว่าคนเท่านั้น ตอนนี้แต่ละคนล้วนเป็นขุนนางใหญ่กันหมด”

หลี่ไหวก้มหน้า มองไม่เห็นสีหน้า

ต่งสุ่ยจิงยืนอยู่ที่เดิม สีหน้าไร้อารมณ์

หร่วนซิ่วที่ยืนห่างไปไกลกระแอมเบาๆ หนึ่งที เฉินผิงอันหันหน้าไปมองจึงเห็นว่าเด็กสาวชุดเขียวยิ้มพลางพยักหน้าให้ตน

เฉินผิงอันเข้าใจทันที จึงเรียกชื่อหลี่ไหว “หลี่ไหว พวกเจ้าสองคนมานี่ ข้ามีเรื่องจะถามพวกเจ้าก่อน”

หลี่ไหวร้องอ้อหนึ่งที แล้วดึงต่งสุ่ยจิงเดินไปข้างหน้า

เมื่อชายฉกรรจ์ตระหนักได้ถึงความผิดปกต เฉินผิงอันก็พลันลากหลี่ไหวและต่งสุ่ยจิงไปอยู่ด้านหลังตัวเองเรียบร้อยแล้ว ส่วนตัวเขาเดินขึ้นหน้าไปหนึ่งก้าว พูดเสียงหนัก “ขอบคุณที่เจ้ามาทักทายข้า หลังจากนี้ข้าจะดูแลเด็กของโรงเรียนพวกนี้แทนอาจารย์หม่าเอง วันหน้าจะไปหาพ่อแม่ของพวกเขาที่เมืองหลวงหรือจะทำอะไร ข้าต้องถามความเห็นของพวกเขาก่อน”

ชายฉกรรจ์ยิ้มแห้ง “เฉินผิงอัน แบบนี้ไม่เหมาะกระมัง จะอย่างไรซะข้าก็สามารถคุ้มครองความปลอดภัยของพวกเขาได้ดีกว่าเจ้า”

เฉินผิงอันกล่าวยิ้มๆ “ไม่เป็นไร ตอนนี้ข้ามีเงิน อีกทั้งยังรู้จักกับใต้เท้าอู๋ยวนนายอำเภอ และยังมีต่งหูซื่อหลางฝ่ายขวาของกรมพิธีการ หากมีเรื่องจริงๆ ข้าจะไปหาพวกเขาเอง แน่นอนว่าต้องขอให้ช่างหร่วนของพวกเราช่วยนำความไปบอกก่อน”

สารถีผู้นี้มุ่ยปาก หางตาเหลือบไปมองแวบหนึ่งก็เห็นว่ามีชายร่างไม่สูงใหญ่ผู้หนึ่งยืนอยู่ใต้ชายคา

สารถีที่เดิมทีจิตสังหารผุดขึ้นมาแล้วพลันหลั่งเหงื่อเย็น หันไปยิ้มให้เฉินผิงอัน “ได้ ในเมื่อขนาดอาจารย์หม่ายังยอมเชื่อใจเจ้า ข้าก็ย่อมเชื่อในคุณธรรมของเจ้า เอาล่ะ เฉินผิงอัน หากวันหน้ามีธุระอยากขอให้ข้าช่วย ก็ไปหาข้าที่ตรอกซานหนวี่จ่งทางฝั่งทิศเหนือของเมือง บ้านหลังเล็กที่อยู่ทางฝั่งเหนือสุดของเมืองน่ะ”

เฉินผิงอันยิ้มกลับอย่างมีไมตรี “ตกลงตามนี้”

สารถีจึงหมุนกายจากไป

หน้าผากของเฉินผิงอันเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ รอจนคนผู้นั้นหายไปจากการมองเห็นอย่างสิ้นเชิงแล้วถึงหันไปพูดกับคนทั้งสอง “หลี่ไหว ต่งสุ่ยจิง ตามข้าไปพบหลี่เป่าผิง”

หลี่ไหวถาม “หลี่เป่าผิงบอกทุกอย่างกับเจ้าแล้ว?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ

ต่งสุ่ยจิงจึงถามบ้าง “แล้วสือชุนเจียกับหลินโส่วอีล่ะจะทำอย่างไร?”

เฉินผิงอันยิ้มตอบ “ไปรับตัวมาแล้ว”

ต่งสุ่ยจิงมองเขาโดยไม่พูดอะไรอีก

ยังคงเป็นในห้องหลอมกระบี่ที่ว่างเปล่าชั่วคราวห้องนั้น เฉินผิงอันยืนอยู่ เผชิญหน้ากับเด็กประถามของโรงเรียนทั้งห้าคนที่นั่งเรียงกันบนม้านั่งยาวสองตัว แบ่งตามอายุ ไล่เป็นลำดับจากสือชุนเจียตรอกฉีหลง หลินโส่วอีตรอกเถาเย่ ต่งสุ่ยจิงตรอกซิ่งฮวา หลี่เป่าผิงถนนฝูลวี่ หลี่ไหวที่อยู่ทางทิศตะวันตกสุดของเมืองเล็ก

นอกจากหลี่ไหวที่อายุน้อยสุด ห่างจากพวกเขาค่อนข้างมากแล้ว อันที่จริงอีกสี่คนที่เหลือต่างก็อายุห่างกันแค่ไม่กี่เดือนเท่านั้น

เฉินผิงอันถาม “หลี่ไหวและต่งสุ่ยจิงได้เล่าเหตุการณ์เมื่อครู่นี้ให้ฟังแล้ว พวกเจ้ารู้สึกว่าคนต่างถิ่นที่บอกว่าตัวเองเป็นนักรบเดนตายของต้าหลีคนนั้นคิดจะทำอะไรกันแน่?”

หลินโส่วอีที่ชุดคลุมหนังจิ้งจอกอันล้ำค่าหายไปนานแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ขนาดเรื่องที่ว่าทำไมเจ้าคนแซ่ชุยต้องสังหารอาจารย์หม่า พวกเรายังไม่รู้ แล้วยังจะรู้เรื่องอื่นอีกงั้นหรือ?”

สือชุนเจียยืนแนบติดอยู่กับไหล่ของหลี่เป่าผิง สีหน้าซีดขาดเล็กน้อย ยังคงมีท่าทางหวาดผวาไม่คลาย แต่พอกลับมาถึงเมืองเล็กแล้ว โดยเฉพาะได้เห็นหน้าเฉินผิงอันที่ค่อนข้างคุ้นเคยกัน ใจของเด็กหญิงที่มัดผมแกละคนนี้จึงมั่นคงขึ้นเยอะมาก อย่างน้อยก็ไม่ต้องกังวลว่าจู่ๆ ตัวเองจะมีสภาพน่าอนาถอย่างเช่นตอนที่อาจารย์หม่าตาย ตอนที่พวกเขาช่วยกันขุดหลุมฝังศพ สือชุนเจียตกใจจนต้องไปหลบอยู่ไกลๆ กุมหัวร้องไห้ ไม่ได้ช่วยอะไรเลยตั้งแต่ต้นจนจบ หลี่ไหวเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันนัก เขาไปหลบอยู่ห่างไกลยิ่งกว่านางเสียอีก ขบฟันดังกึดกัดด้วยความหวาดกลัว

และเวลานี้เองหลี่ไหวที่เอามือกุมท้อง หน้าตาห่อเหี่ยวก็พึมพำขึ้นมาเบาๆ “ทั้งหิวทั้งกระหาย คำว่าทั้งหิวและหนาว (เปรียบเปรยได้ถึงชีวิตที่ขัดสน) ก็เป็นเช่นนี้เอง ท่านพ่อท่านแม่ ตอนนี้ลูกชายของพวกท่านช่างมีชีวิตยากลำบากยิ่งนัก”

หลี่เป่าผิงหันกลับไปถลึงตาใส่ “หลี่ไหว!”

หลี่ไหวไหล่ลู่คอตก แอบกระตุกชายแขนเสื้อของต่งสุ่ยจิงที่อยู่ฝั่งขวาสุด “สุ่ยจิ่ง เจ้าหิวไหม?”

ต่งสุ่ยจิงกล่าวเรียบๆ “ข้าสามารถแกล้งทำเป็นไม่หิวได้”

หลี่ไหวกลอกตาใส่

หลี่เป่าผิงหมดอาลัยตายอยาก ยื่นมือไปจับผมแกละของสือชุนเจียโดยไม่รู้ตัวแล้วเหวี่ยงสะบัดแรงๆ “อันที่จริงตอนนี้ไม่ว่าเรื่องอะไรพวกเราก็สับสนมึนงงไปหมด มองไม่ออกเลยแม้แต่น้อย หลินโส่วอีพูดถูกแล้ว คนที่วางหมากของฝั่งตรงข้ามต้องเป็นยอดฝีมือแน่นอน พวกเราอ่อนด้อยเกินไป สิ่งที่สำคัญที่สุดในเวลานี้ก็คือรักษาชีวิตเอาไว้ให้ได้ หลังจากแน่ใจว่าปลอดภัยไร้กังวลแล้วค่อยพูดถึงเรื่องอื่น ยกตัวอย่างเช่นรีบไปหาคนในครอบครัวที่ย้ายไปอยู่เมืองหลวงของต้าหลี เพื่อบอกให้พวกเขารู้ว่าเราปลอดภัย”

ตอนที่หลี่เป่าผิงพูดประโยค “บอกให้รู้ว่าปลอดภัย[1]” ทุกคนต่างก็หันมามองเจ้าคนสวมรองเท้าแตะที่อยู่ฝั่งตรงข้ามโดยอัตโนมัติ

เฉินผิงอันเงียบไปนานกว่าจะถามว่า “ในเมื่อนึกไม่ออกว่าคนอื่นคิดอย่างไร ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็มาถามตัวเองให้แน่ใจก่อนว่าคิดอย่างไร”

เมื่อไม่เห็นว่าคนทั้งห้าที่อยู่ฝั่งตรงข้ามมีความเห็นแตกต่าง เฉินผิงอันจึงถามว่า “พวกเจ้าอยากไปเมืองหลวงของต้าหลีอย่างปลอดภัยเพื่อไปพบพ่อแม่ผู้อาวุโสของพวกเจ้า? หรือว่า…?”

หลี่ไหวโอดครวญด้วยความเจ็บปวด “ไม่รู้ว่าพ่อแม่ข้าพาพี่สาวของข้าไปเสวยสุขอยู่ที่ไหนแล้ว ข้าจะไปทำบ้าอะไรที่เมืองหลวง ด้วยนิสัยของคนในครอบครัวท่านอาข้า หากมีเงินขึ้นมาจริงๆ ก็มีแต่จะยิ่งรังแกข้ามากกว่าเดิม เมื่อก่อนมองข้าเป็นโจร หลังจากนี้จะไม่มองข้าเป็นศัตรูหรอกหรือ? ฟ้าดินกว้างใหญ่ แต่กลับไม่มีที่ให้ข้าหลี่ไหวพักพิงบ้างเลยหรือไร?”

หลี่เป่าผิงเดินอ้อมสือชุนเจียไปเขกมะเหงกใส่ ทำเอาหลี่ไหวหยุดคร่ำครวญทันที

ต่งสุ่ยจิงหยุดคิดเล็กน้อย ก่อนกล่าวอย่างอัดอั้น “ข้าอยากเรียนหนังสือ หากพ่อแม่ของข้ายังอยู่ในเมืองเล็ก ไม่เรียนก็ไม่เป็นไร ช่วยพวกเขาทำงานก็ได้ แต่ถ้าไปเมืองหลวง ข้ายังจะทำอะไรได้อีก? ขนาดภาษาทางการของต้าหลียังพูดไม่เป็น ข้าไม่ใช่หลี่เป่าผิงที่เป็นคนเรียนรู้ทุกอย่างได้รวดเร็ว อีกอย่างตอนที่ปู่ข้าจะตายก็เคยบอกว่าให้ตายอย่างไร ข้าก็ต้องอยู่ต่อในโรงเรียนให้ได้ บอกว่าวันหน้าถ้าไม่ได้เป็นบัณฑิตก็ไม่ต้องไปไหว้เขาที่สุสาน เขาไม่ยอมรับหลานอย่างข้า หากโรงเรียนของเมืองเล็กยังเปิดสอนต่อ ข้าก็จะอยู่ในเมืองเล็ก”

สือชุนเจียตาแดงก่ำ กล่าวอย่างขลาดๆ “ข้าอยากไปหาพ่อแม่ที่เมืองหลวง”

หลินโส่วอีที่นั่งอยู่ฝั่งซ้ายสุดของม้านั่งตัวยาวขมวดคิ้วมุ่น “ที่ไหนปลอดภัย ข้าก็ไปอยู่ที่นั่น”

หลี่เป่าผิงยกสองแขนขึ้นกอดอก สายตาเป็นประกายสดใสเปี่ยมชีวิตชีวา เอ่ยเสียงดังว่า “ข้าจะไปสำนักศึกษาซานหยา! ไปยังสถานที่ที่อาจารย์ฉีเคยเล่าเรียน!”

หลี่เป่าผิงลุกขึ้นยืน ยืนอยู่ตรงกลางระหว่างเฉินผิงอันและเพื่อนร่วมชั้นเรียนสี่คน นางยื่นนิ้วชี้ไปที่ต่งสุ่ยจิง “อย่าว่าแต่ต้าหลีเลย ต่อให้เป็นตลอดทั้งแจกันสมบัติทวีปบูรพา สำนักศึกษาซานหยาของอาจารย์ฉีก็ยังมีชื่อเสียงมากที่สุด หากปู่ของเจ้ารู้ว่าเจ้าเรียนอยู่ในโรงเรียนของเมืองเล็ก แต่ไม่ไปสำนักศึกษาซานหยา ข้าคาดว่าฝาโลงของเขาคงปิดไม่สนิทอีกแน่ๆ แน่นอนว่าถ้ากลัวตายเจ้าก็ไม่ต้องไป เรียนหนังสืออยู่ที่นี่ซะ ทนไปให้ได้สิบกว่าปีก็พอจะถือว่าเป็นบัณฑิตได้ครึ่งทางอยู่บ้าง จะอย่างไรก็คงดีกว่าตายอยู่กลางทางที่จะไปขอศึกษาต่อ”

คำพูดประโยคนี้ของหลี่เป่าผิงทำให้ต่งสุ่ยจิงอึดอัดใจจนหน้าแดงก่ำ

หลี่เป่าผิงชี้ไปที่หลินโส่วอี “เจ้าคือบุตรนอกสมรสที่ถูกคนดูถูกไม่ใช่หรือ? อีกอย่างลึกๆ ในใจเจ้าก็ดูถูกลูกหลานคนมีเงินที่เกิดบนถนนฝูลวี่อย่างข้ามากไม่ใช่หรือ? เมื่อเจ้าไปถึงสำนักศึกษาซานหยาแล้ว ใครยังจะกล้าดูถูกเจ้าอีก? แน่นอน อาจารย์ฉีเคยบอกว่า วิญญูชนไม่อยู่ใกล้สถานที่อันตราย ดังนั้นหากเจ้าหลินโส่วอีอยากจะอยู่ที่นี่ ข้าก็คร้านจะสนใจเจ้า”

พอสือชุนเจียเห็นหลี่เป่าผิงชี้นิ้วมาที่ตนก็ร้องไห้จ้าทันที

หลี่เป่าผิงทำสีหน้าโกรธเคืองที่นางไม่เอาถ่าน แต่ก็เวทนาที่นางโชคร้าย จึงกลับไปนั่งที่เดิม หลี่ไหวเลยพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงอัดอั้น “หลี่เป่าผิง ทำไมเจ้าไม่พูดถึงข้าบ้างล่ะ?”

หลี่เป่าผิงตอบ “ข้าไม่อยากพูดกับเจ้า”

หลี่ไหวอึ้งงัน หลังจากนั้นก็เงยหน้าขึ้นเงียบๆ ใบหน้าเต็มไปด้วยความเศร้าใจ

เฉินผิงอันไม่มองคนที่เหลืออีกสี่คน เอาแต่มองแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงคนเดียว ถามว่า “แน่ใจหรือว่าจะไปสำนักศึกษาซานหยา?”

หลี่เป่าผิงพยักหน้ารับ “อาจารย์ฉีเคยบอกว่า สำนักศึกษาซานหยาของพวกเราคือสถานที่เก็บรักษาตำราไว้มากที่สุด เป็นอันดับหนึ่งของทวีป! อาจารย์ฉียังเคยบอกด้วยว่า คำถามทุกอย่างของข้า ต่อให้เขาไม่อาจตอบได้ แต่ทุกอย่างล้วนสามารถหาคำตอบได้จากในตำราของที่นั่น!”

สำนักศึกษาซานหยาของพวกเรา

เห็นได้ชัดว่าแม่นางน้อยมองตัวเองเป็นลูกศิษย์ของสำนักศึกษาแห่งนั้นนานแล้ว

สุดท้ายเฉินผิงอันถามว่า “ไม่กลัวลำบากรึ?”

ความฮึกเหิมบนร่างของแม่นางน้อยลดลงเล็กน้อย “หากคนเดียวก็กลัวอยู่บ้าง”

เฉินผิงอันยิ้มกว้าง “ตกลง”

หลี่เป่าผิงทำหน้างงงัน “หืม?”

เฉินผิงอันกล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าจะไปสำนักศึกษาซานหยาเป็นเพื่อนเจ้าเอง”

หลี่เป่าผิงทำท่าจะพูดแต่ก็เงียบไป กรอบตาแดงก่ำ หากไม่เป็นเพราะข้างกายมีเจ้าพวกขี้ขลาดสี่คนนั่งอยู่ด้วยแม่ นางน้อยชุดแดงที่ฟ้าไม่กลัวดินไม่กลัวผู้นี้คงร้องไห้โฮไปนานแล้ว

ก็เหมือนกับในอดีตเมื่อนานมาแล้ว ครั้งแรกที่ “จับ” ได้ปูตัวนั้นจากธารน้ำ อันที่จริงตอนอยู่นอกบ้านนางแอบร้องไห้มาก่อนแล้ว ดังนั้นตอนที่วิ่งตะบึงกลับไปถึงบ้านถึงได้ภาคภูมิใจถึงเพียงนั้น

เฉินผิงอันกวักมือเรียกหลี่เป่าผิง พอหลี่เป่าผิงเดินมาหยุดอยู่ด้านหน้าตัวเองแล้ว เขาจึงหันไปพูดกับอีกสี่คนที่นั่งอยู่บนม้านั่งตัวยาว “พวกเจ้าสี่คนรออยู่ที่นี่สักเดี๋ยว ข้ากับหลี่เป่าผิงจะไปพูดธุระกับใครบางคนสักหน่อย ซึ่งเกี่ยวข้องกับพวกเจ้าด้วย ดังนั้นอย่าเพิ่งรีบร้อนจากไปไหน”

จากนั้นเฉินผิงอันก็จูงมือของแม่นางน้อยพากันเดินออกไปนอกห้องหลอมกระบี่

เด็กหนุ่มรองเท้าแตะเหมือนจะพูดกับตัวเอง แต่ก็คล้ายจะพูดกับใครบางคนด้วย “ข้าเคยบอกแล้วว่า เรื่องที่รับปากใครไว้ จะต้องทำให้ได้”

หลี่เป่าผิงเช็ดน้ำตาพลางพูดไปด้วยว่า “แต่ว่าตอนนั้นเจ้าเองก็บอกแล้วนี่นาว่า หากทำไม่ได้ก็ควรจะบอกให้รู้”

เฉินผิงอันส่ายหน้า เอ่ยเสียงอ่อนโยน “อาจารย์ฉีไม่อยู่แล้ว ข้าบอกไป เขาก็ไม่ได้ยิน”

……

เวลาสั้นๆ แค่ประมาณหนึ่งก้านธูปเท่านั้น ต่อให้เด็กหนุ่มจะพาแม่นางน้อยชุดแดงเดินจากไปไกลแล้ว แต่หร่วนฉงอริยะสำนักการทหารก็ยังคงนั่งเหม่อลอยอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวเล็กดังเดิม

หร่วนซิ่วเองก็นั่งอยู่บนเก้าอี้ มองเก้าอี้ตัวที่ว่างเปล่า ในใจยุ่งเหยิงขมวดเป็นปม

เด็กหนุ่มบอกให้หร่วนฉงช่วยซื้อภูเขาทั้งห้าลูกไว้ แต่อีกไม่นานเขาจะไปจากเมืองเล็ก หากกลับมาไม่ได้ก็จะมอบภูเขาสี่ในห้าลูกอย่างภูเขาลั่วพั่ว ภูเขาเป่าลู่ ยอดเขาฉ่ายอวิ๋น และภูเขาเซียนฉ่าวให้กับหลิวเสี้ยนหยาง กู้ช่าน หนิงเหยาและหร่วนซิ่ว ส่วนเขาจะเก็บเพียงภูเขาเจินจูที่ตั้งอยู่อย่างโดดเดี่ยวลูกนั้นไว้ให้ตัวเองเป็นเวลาสามร้อยปี

ร้านยาสุ่ยและร้านฉ่าวโถวที่อยู่ติดกันในเมืองเล็ก ช่างหร่วนสามารถจ้างคนมาช่วยดูแลได้ หากกิจการไม่ดี วันใดต้องปิดร้านลงก็ไม่เป็นไร แต่เขาจะทิ้งหินดีงูธรรมดาร้อยกว่าก้อนพวกนั้นเอาไว้ ขอให้ช่างหร่วนช่วยนำไปขายที่นั่น เงินที่ได้มาไว้ใช้ประคับประคองการหมุนเวียนของร้าน แม้ว่าจะไม่ต้องพิจารณาถึงผลกำไรของร้านค้าทั้งสอง แต่เด็กหนุ่มก็หวังว่าลูกจ้างทุกคนในร้านจะได้รับการแจ้งให้ทราบว่าเจ้าของร้านนี้ คือคนตระกูลเฉินที่อยู่ในตรอกหนีผิง พวกเขาเป็นคนเปิดร้านทั้งสองนี้

อีกอย่างก็คือช่างหร่วนจำเป็นต้องพาเด็กนักเรียนทั้งสี่คนไปส่งที่เมืองหลวงต้าหลีอย่างปลอดภัย

ค่าตอบแทนคือเด็กหนุ่มจะมอบแท่นสังหารมังกรครึ่งก้อน รวมไปถึงเหรียญทองแดงแก่นทองทั้งหมดที่เหลือจากการซื้อภูเขาและร้านค้าให้กับช่างหร่วน

หร่วนฉงไม่ได้ปฏิเสธ

แต่หร่วนฉงบอกว่าเขาทำได้แต่พาเฉินผิงอันและหลี่เป่าผิงไปส่งที่ชายแดนฝั่งทิศใต้ของต้าหลีเท่านั้น หากออกนอกขอบเขตไปแล้ว เป็นตายรวยจนล้วนอยู่ที่ชะตาฟ้าลิขิต

เฉินผิงอันพยักหน้าตอบรับ

ท่ามกลางแสงอัสดง หลังจากเฉินผิงอันจัดการหาที่พักให้เด็กทั้งห้าเรียบร้อยแล้ว ตนเองก็เดินไปยังเมืองเล็กเพียงลำพัง

เดินผ่านสะพานหินโค้ง เดินเข้าไปในเมืองเล็ก เดินเข้าไปในตรอกหนีผิง กลับไปถึงบ้านบรรพบุรุษของตนเอง ม่านรัตติกาลเยื้องกรายมาเยือน เด็กหนุ่มจุดตะเกียงดวงหนึ่งด้วยสีหน้าปกติ

เด็กหนึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามกับตะเกียง ไม่ยอมนอนทั้งคืน เหมือนกับช่วงตรุษจีนในอดีตทุกปีที่ต้องโต้รุ่งเพื่อต้อนรับปีใหม่

เปลวไฟบนตะเกียงส่ายไหว สาดสะท้อนดวงตานิ่งสงบหนักแน่นของเด็กหนุ่ม

……

บนสะพานหินโค้ง มีคนเอ่ยถามกลั้วหัวเราะ “ห้องมืดพันปี เพียงตะเกียงหนึ่งดวงสว่างทันที ผู้อาวุโส ได้หรือไม่?”

มีคนตอบกลับ “ได้”

……

เมื่อเฉินผิงอัน “ตื่นขึ้นมา” ค้นพบว่าตัวเองได้พบคนผู้นั้นเป็นครั้งที่สี่แล้ว คราวนี้เขาลอยตัวอยู่กลางอากาศ ชายแขนเสื้อสีขาวหิมะปลิวสะบัดทั้งที่ไม่มีลม

ปลายเท้าของคนผู้นั้นแตะพื้นเบาๆ แล้วเดินมาหาเฉินผิงอัน

ทุกครั้งที่ก้าวเดิน ใบหน้าของคนผู้นั้นจะชัดเจนขึ้นส่วนหนึ่ง

คนผู้นั้นยังคงมีเรือนกายสูงใหญ่ แต่กลับไม่ทำให้คนรู้สึกเทอะทะแม้แต่น้อย

ไม่นึกว่าคนผู้นั้นคือสตรีนางหนึ่ง

สำหรับเด็กหนุ่มแล้ว เขาพูดได้เพียงว่านางมีหน้าตางดงามอย่างถึงที่สุด งดงามจนไม่อาจงามไปมากกว่านี้ได้อีกแล้ว

นางยืนอยู่ข้างหน้าเด็กหนุ่ม และในที่สุดก็หยุดฝีเท้าลง ก้มตัวลงจ้องมองดวงตาใสบริสุทธิ์คู่นั้นของเด็กหนุ่ม ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ข้ารอมาแปดพันปีแล้ว เฉินผิงอัน แม้ว่าพรสวรรค์การฝึกตนของเจ้าจะห่างไกลเกินกว่าจะเทียบเคียงเจ้านายในอดีตของข้าได้ แต่ไม่เป็นไร”

นางก้มหน้าขยับเข้ามาใกล้อีกนิดจนหน้าผากแทบจะแนบชิดกับหน้าผากของเฉินผิงอัน “เฉินผิงอัน ข้าอยากจะขอให้เจ้าช่วยข้านำประโยคหนึ่งไปบอกแก่ใต้หล้าข้างนอกทั้งสี่แห่ง ได้หรือไม่?”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับโดยไม่รู้ตัว

หญิงสาวสูงใหญ่พลันคลี่ยิ้ม

แล้วจู่ๆ นางก็คุกเข่าลงข้างหนึ่ง ทว่าต่อให้เป็นเช่นนี้ นางแค่เงยหน้าเพียงเล็กน้อยเท่านั้นก็สามารถมองประสานสายตากับเฉินผิงอันที่เรือนกายผอมแห้งได้แล้ว

“ดี นับจากวันนี้เป็นต้นไป เฉินผิงอัน เจ้าก็คือเจ้านายคนที่สองและคนสุดท้ายของข้าแล้ว”

สีหน้าของเฉินผิงอันทึ่มทื่อ

สตรีร่างสูงใหญ่ที่ทั่วร่างแผ่วงแสงสีขาวหิมะหรี่ตาที่เรียวยาวทั้งคู่ลง มุมปากยกยิ้ม นางคุกเข่าข้างหนึ่งลงบนพื้น คุกเข่าให้กับเด็กหนุ่มที่ยังมึนๆ งงๆ สีหน้าของนางมีชีวิตชีวาสดใส ดวงตาคู่นั้นคล้ายบรรจุทัศนียภาพของแม่น้ำและภูเขาหมื่นลี้เอาไว้ นางกล่าวเสียงหนักว่า “เฉินผิงอัน ขอเจ้าโปรดท่องคำสัตย์ประโยคนั้นพร้อมข้าหนึ่งรอบ ได้หรือไม่?”

นางยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาตั้งวางตรงหน้าเด็กหนุ่ม

เฉินผิงอันก็ยื่นฝ่ามือข้างหนึ่งออกมาประกบกับมือนางเบาๆ

นางหลับตาลง เอ่ยเนิบช้า “มรรคาสวรรค์พังทลาย ข้าเฉินผิงอันมีเพียงหนึ่งกระบี่ ก็สามารถย้ายขุนเขา ตัดผ่าแม่น้ำ พลิกกลับมหาสมุทร ปราบปีศาจ สยบมาร บงการเทพ คว้าดาว ฟันแม่น้ำ ทำลายเมือง ผ่านภา!”

เด็กหนุ่มท่องตามนางในใจ “มรรคาสวรรค์พังทลาย ข้าเฉินผิงอันมีเพียงหนึ่งกระบี่ ก็สามารถย้ายขุนเขา ตัดผ่าแม่น้ำ พลิกกลับมหาสมุทร ปราบปีศาจ สยบมาร บงการเทพ คว้าดาว ฟันแม่น้ำ ทำลายเมือง ผ่านภา!”

—-

[1] 报声平安 ประโยคนี้มีสองความหมายคือบอกให้รู้ว่าปลอดภัย อีกความหมายหนึ่งคือบอกให้เฉินผิงอันรู้ เพราะชื่อผิงอันแปลว่าสงบสุข ปลอดภัย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version