Skip to content

Sword of Coming 95

บทที่ 95 ศาลเล็ก

แถบชายเขตฝั่งตะวันตกเฉียงใต้ของอำเภอหลงเฉวียน ภูเขาลั่วพั่วเหมือนต้นไม้ยืนต้นโดดเดี่ยวต้นหนึ่งที่เด่นชัดสะดุดตา

พอเข้ามาใกล้ขอบเขตของหลงเฉวียน คนกลุ่มหนึ่งก็ทำตามกฎระเบียบโดยเดินเท้าเข้ามา ไม่บังคับลมทะยานกลางอากาศหรือขี่กระบี่บิน หลังจากนั้นพวกเขาก็จะเข้าไปในภูเขาเพื่อตรวจสอบภูเขาหลงจี๋ที่มีแท่นสังหารมังกร ที่แห่งนั้นจะกลายมาเป็นหินลับกระบี่ก้อนที่ใหญ่ที่สุดของแจกันสมบัติทวีปบูรพา ต่อให้จะต้องแบ่งเป็นสามส่วน แม้จะได้ไปเพียงก้อนเดียว ก็ยังคงเป็นเช่นนี้อยู่ดี

สำหรับนักพรตที่มาจากปฐมสำนักแห่งสำนักการทหารของทวีปสี่คนนี้ การเดินเท้าขึ้นเขาข้ามลำธาร ไม่ถือเป็นงานหนักอะไร เพราะอย่างไรซะนักพรตสำนักการทหารของศาลลมหิมะก็เน้นย้ำในด้านการหล่อหลอมร่างกายและจิตวิญญาณมาโดยตลอด เรือนกายนี้ของพวกเขาก็คือหินลับมีดแห่งการฝึกตน ทั้งฝึกพละกำลังและฝึกจิตใจไปพร้อมๆ กัน

เมื่อคนทั้งสี่มองเห็นเงาร่างของอาจารย์หร่วนไกลๆ ก็พากันเพิ่มความเร็วฝีเท้า เป็นฝ่ายกุมมือคารวะผู้อาวุโสของสำนักท่านนี้ก่อน ลำดับศักดิ์ของหร่วนฉงในศาลลมหิมะไม่นับว่าสูงเกินไปนัก แต่ชื่อเสียงดีเยี่ยม หลังจากเปิดเตาหลอมกระบี่ระยะทางไกลที่มีชื่อเสียงเลื่องลือจรดเหนือใต้เตานั้น แล้วทยอยหลอมกระบี่ให้แก่สำนักสิบกว่าเล่ม จึงเป็นการสร้างบุญกุศลและบุญสัมพันธ์อันดีไว้มากมาย

ทว่าสิ่งที่ทำให้หร่วนฉงได้รับการยอมรับจากกองกำลังหกสายของศาลลมหิมะอย่างแท้จริงมาจากมรสุมครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง ในราชวงศ์สุ่ยฝู่ตอนกลางของแจกันสมบัติทวีปบูรพาซึ่งเป็นดั่งดวงอาทิตย์ที่ลอยอยู่กลางฟากฟ้า ต้าโม่ซานจวงคือที่พักตระกูลเซียนอันดับหนึ่ง ที่แห่งนั้นมีบุรพาจารย์หนุ่มพรสวรรค์ยอดเยี่ยมอยู่คนหนึ่งเพิ่งจะเลื่อนขอบเขตเป็นเซียนกระบี่พสุธา กำลังขาดอาวุธเหมาะๆ คู่มือ ได้ยินว่าวิชาการหลอมกระบี่ของหร่วนฉงสูงล้ำ จึงไปเยือนบ่อน้ำมรกตของศาลลมหิมะด้วยตัวเอง ขอให้หร่วนฉงหลอมกระบี่ให้ โดยรับปากว่าจะมอบผลประโยชน์ยิ่งใหญ่ค้ำฟ้าอย่างหนึ่ง ทว่าตอนนั้นหร่วนฉงรับปากว่าจะหลอมกระบี่ให้กับเด็กรุ่นเล็กของยอดเขาเหวินชิงคนหนึ่งไปแล้ว จำเป็นต้องใช้เวลาหลายปี ไม่ว่าเซียนกระบี่ผู้มีหัวแข็งดื้อรั้นคนนั้นจะโน้มน้าวอย่างไร หร่วนฉงก็พูดแค่ว่าการหลอมกระบี่ของตนนับแค่ว่าใครมาก่อนมาหลังเท่านั้น เขาสามารถหลอมกระบี่เล่มหนึ่งให้แก่ต้าโม่ซานจวงโดยไม่คิดค่าตอบแทน แต่ต้องรอให้กระบี่เล่มปัจจุบันที่หลอมอยู่ออกจากเตาเสียก่อน ด้วยเหตุนี้เซียนกระบี่หนุ่มจึงรู้สึกว่าหร่วนฉงจงใจทำให้ตนอับอาย ด้วยความโกรธเคืองจึงลงมืออย่างรุนแรง ตอนนั้นหร่วนฉงเป็นเพียงแค่นักพรตชั้นเก้า ต่อให้บาดเจ็บสาหัสก็ไม่ยอมก้มหัวให้ ศึกนั้นจึงสร้างชื่อเสียงให้แก่เขา

ด้วยเรื่องในครั้งนี้ ต้าโม่ซานจวงต้องจ่ายค่าตอบแทนมหาศาลอย่างที่มิอาจประเมินค่าได้ นอกจากเซียนกระบี่พสุธาผู้นั้นจะต้องถูกกักขังเพื่อรับโทษอยู่ในศาลลมหิมะห้าสิบปีแล้ว เวลาสั้นๆ เพียงหกปี หกสายของศาลลมหิมะต่างก็มีคนที่เดินทางไปท้ารบกับต้าโม่ซานจวง ตีจนทำให้กับต้าโม่ซานจวงซึ่งเป็นสำนักอันดับหนึ่งชื่อเสียงเลื่องลือของราชวงศ์สุ่ยฝู่ร่วงหล่นจากอันดับ กลายมาเป็นเพียงสำนักลำดับล่างสุดของกองกำลังชั้นรอง จนถึงทุกวันนี้ก็ยังไม่อาจฟื้นฟูกลับมาได้

หร่วนฉงยิ้มพลางกุมมือคำนับคนทั้งสี่กลับคืน ศาลลมหิมะไม่ได้มีธรรมเนียมพิธีการที่ซับซ้อน ต่อให้เป็นผู้น้อยพบเจอกับบุรพาจารย์ผู้มีตบะค้ำฟ้าก็ยังใช้การคำนับทักทายที่เรียบง่ายเช่นนี้

หร่วนฉงได้เล่าเรื่องกิจธุระบางส่วนของเขาหลงจี๋ รวมไปถึงหน่วยงานคร่าวๆ ของราชสำนักต้าหลีที่อยู่ในอำเภอหลงเฉวียนให้พวกเขาฟัง จากนั้นก็ถามว่า “ครั้งนี้เว่ยจิ้นแห่งหอเทพเซียนไม่ได้เดินทางขึ้นเหนือมาพร้อมกับพวกเจ้าหรือ?”

ผู้เฒ่าชุดขาวสะพายกระบี่คนหนึ่งตอบยิ้มๆ “ระหว่างทางสำนักได้ส่งข่าวมากับกระบี่บิน ครั้งนี้อาจารย์ลุงเว่ยเดินทางขึ้นเหนือจริงๆ เพียงแต่ว่าไม่ได้เดินทางมาพร้อมพวกเรา เหมือนจะได้ยินมาว่าครั้งนี้เทพธิดาเฮ้อเป็นตัวแทนของลัทธิเต๋าเดินทางเข้ามาในถ้ำสวรรค์หลีจูแห่งนี้ อาจารย์ลุงถึงได้เต็มใจเดินทางมาร่วมเรื่องสนุกกับเขาด้วย หากไม่ผิดไปจากที่คาด น่าจะได้เจอกับเทพธิดาเฮ้อที่เดินทางลงใต้กลับสำนักแล้ว”

หร่วนฉงถาม “พวกเจ้ามีใครได้พบเว่ยจิ้นไหม?”

ทั้งสี่ล้วนส่ายหน้า “ไม่เคยเห็นโฉมหน้าที่แท้จริงมาก่อน”

ผู้เฒ่าสะพายกระบี่ถาม “อาจารย์หร่วนถามเช่นนี้ มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นหรือ?”

หร่วนฉงโบกมือยิ้ม “แค่อยากรู้เท่านั้น หากข้าจำผิด ตอนเว่ยจิ้นอายุราวๆ สี่สิบปีก็นั่งอยู่ในขอบเขตชั้นที่สิบได้อย่างมั่นคงแล้ว และหอเทพเซียนก็จำเป็นต้องให้มีคนออกหน้ามาแบกรับหน้าที่เป็นเสาหลักของสายบุรพาจารย์หลิว”

คนทั้งห้าเดินไปบนเส้นทางภูเขาที่เงียบสงัด ผู้เฒ่าสะพายกระบี่มีวัยวุฒิและตบะสูงที่สุด คนอื่นๆ อีกสามคนล้วนควรเรียกเว่ยจิ้นว่าบุรพาจารย์ลุง ผู้เฒ่าเดินเคียงไหล่ไปกับหร่วนฉง หกสายของศาลลมหิมะมีหอเทพเซียนที่ควันธูปเบาบางที่สุด แทบจะตกอยู่ในสภาพการณ์ชวนสังเวเหมือนราชวงศ์ในโลกมนุษย์ที่มีการสืบทอดเพียงสายเดียวมาหลายยุคสมัย แล้วก็พอดีกับที่ว่าในเวลาสามร้อยปี หอเทพเซียนคือผู้ที่อุทิศตนให้กับศาลลมหิมะมากที่สุด ดังนั้นบ่อมรกตที่อาจารย์หร่วนเคยอยู่ ร่องต้าหนี (ต้าหลีหรือปลาซาลาแมนเดอร์ยักษ์) ของผู้ฝึกกระบี่เฒ่าจึงล้วนมีวาดหวังและตอบแทนหอเทพเซียนด้วยความปรารถนาดีและจากใจจริง ต่อให้ภูเขาทั้งหกลูกในศาลลมหิมะจะมีการช่วงชิงแก่งแย่งกันเอง แต่หากหอเทพเซียนที่เคารพกฎระเบียบอย่างเคร่งเครียด การสืบทอดมีขั้นมีตอนต้องล่มสลายไปอย่างสิ้นเชิง ถ้าเช่นนั้นไม่ว่าจะเป็นสายใดของศาลลมหิมะก็ไม่ถือว่าเป็นเรื่องดีทั้งสิ้น

พอผู้เฒ่าได้ยินประโยคนี้ก็ลูบเครา พูดยิ้มๆ “อาจารย์ลุงเว่ยมีพรสวรรค์เลิศล้ำ เป็นดั่งมังกรเทพที่เห็นหัวไม่เห็นหาง แล้วก็มีชื่อเสียงยิ่งใหญ่ในยุทธภพ ไม่แน่ว่าคราวหน้าเจอกัน เขาอาจจะกลายเป็นนักพรตใหญ่ชั้นห้าบนที่หนุ่มที่สุดของแจกันสมบัติทวีปบูรพาเราแล้วก็ได้”

หร่วนฉงเอ่ยเสียงเบา “ไม้ใหญ่เรียกลมแรง ยิ่งเป็นเช่นนี้ ก็ยิ่งต้องระวังตัว”

อาจารย์กระบี่เฒ่าหันกลับไปเห็นสีหน้าเคร่งเครียดของหร่วนฉงก็พลันกระจ่าง จึงเอ่ยเสียงหนัก “รอให้ธุระให้คราวนี้เสร็จสิ้น กลับไปถึงศาลลมหิมะ ข้าจะไปขอคำแนะนำจากเจ้าสำนัก ให้เรียกตัวอาจารย์ลุงเว่ยกลับมา ไม่ว่าอาจารย์ลุงเว่ยจะเป็นอย่างไร ทางที่ดีที่สุดก็ควรจะเลื่อนสู่ห้าชั้นบนให้สำเร็จเสียก่อน ค่อยกลับไปเดินทางในยุทธภพใหม่อีกครั้ง”

หร่วนฉงพยักหน้ารับ “นี่คือคำแนะนำที่รอบคอบ สมเหตุสมผล เชื่อว่าเว่ยจิ้นพเนจรอยู่ในยุทธภพมาหลายปีก็คงจะรู้ถึงความอันตรายและชั่วช้าของจิตใจคนดีแล้ว และต้องเข้าใจความเป็นห่วงเป็นใยของสำนักได้”

ผู้เฒ่าขยับปากแต่กลับไม่พูด

หร่วนฉงส่ายหน้า “สุดท้ายเว่ยจิ้นจะยอมกลับมาฝึกตนที่ศาลลมหิมะหรือไม่ ก็เป็นการตัดสินใจของเขาเอง”

หร่วนฉงพลันหันไปมองทางเมืองเล็ก กุมมือคารวะ “เกิดเรื่องกับซิ่วซิ่วของข้าเล็กน้อย ข้าต้องไปดูสักหน่อย คงไม่เดินทางร่วมกับทุกท่านแล้ว”

ผู้เฒ่าสะพายกระบี่เลิกคิ้วสูง ทั่วร่างแผ่ปราณสังหาร “อาจารย์หร่วน หากไม่สะดวกลงมือก็บอกได้ มอบให้ข้าจัดการเอง ใครกล้ารังแกซิ่วซิ่วของพวกเรา เบื่อจะมีชีวิตอยู่แล้วใช่ไหม?!”

หร่วนฉงยิ้มเข้าใจ “เรื่องเล็กเท่านั้น”

ร่างของหร่วนฉงทะยานขึ้นสูง พริบตาเดียวก็หายวับไป

อีกสามคนที่เหลือของศาลลมหิมะรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย ไม่รู้ว่าผู้เฒ่ารักและเอ็นดูหร่วนซิ่วขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ต้องรู้ว่าสิบกว่าปีมานี้ ส่วนใหญ่แล้วผู้เฒ่ามักจะแบกกระบี่ออกเดินทางไกล ไม่ค่อยอยู่บนภูเขามากนัก แน่นอนว่าคงไม่สนิทสนมกับแม่นางน้อยสักเท่าไหร่ ถึงขั้นที่ยังเทียบกับพวกเขาสามคนไม่ได้ด้วยซ้ำ กลับเป็นบุรพาจารย์ฉินของร่องต้าหนีเสียอีกที่ชื่นชอบแม่นางน้อยมาตั้งนานแล้วอย่างแท้จริง

สีหน้าผู้เฒ่าอาจารย์กระบี่เรียบเฉย เดินไปข้างหน้าอย่างเชื่องช้า เพียงแต่ในหัวมีคำพูดส่วนตัวที่บุรพาจารย์ฉินของสายตัวเองลอยขึ้นมาไม่หยุด “ศาลของศาลลมฟ้าเล็กเกินไป ไม่มีที่ว่างมากพอให้กับซิ่วซิ่ว”

ร้านฉ่าวโถว หร่วนฉงเดินเข้าไปในร้าน ลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็ไม่ได้ใช้ภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปบูรพาพูดกับบุตรสาวตัวเอง แม้ว่าเด็กสาวและสตรีแต่งงานแล้วเหล่านั้นจะเรียนภาษาทางการง่ายๆ เพื่อไว้ใช้สื่อสารกับคนต่างถิ่น แต่เรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นได้เสมอ หร่วนฉงจึงใช้นิ้วเคาะลงบนโต๊ะคิดเงินเบาๆ เด็กสาวเงยหน้าขึ้นอย่างมึนงง ถามด้วยความสงสัย “ท่านพ่อ ท่านมาได้อย่างไร วันนี้ไม่ต้องตีเหล็กไม่ใช่หรือ?”

หร่วนฉงเอ่ยเสียงอ่อนโยน “ออกมาพูดกันหน่อย”

พ่อลูกสองคนออกจากร้าน เดินอยู่กลางตรอกฉีหลงที่มีคนสัญจรบางเบา หลังจากที่หร่วนฉงปรากฏตัว นักรบเดนตายสายลับของต้าหลีพวกนั้นก็ถอยห่างออกไปอย่างเงียบเชียบ

นี่คือการถ่ายทอดความเคารพไร้เสียงอย่างหนึ่งให้แก่อริยะสำนักการทหาร

หร่วนฉงพยักหน้าเงียบๆ ให้กับการกระทำนี้ เพียงเห็นเหตุการณ์บางส่วนก็เข้าใจทะลุปรุโปร่ง ในใจคิดว่าต้าหลีมีพละกำลังที่แข็งแกร่งได้อย่างทุกวันนี้ หาใช่ไม่มีเหตุผบ

หร่วนซิ่วหงุดหงิดเล็กน้อย ถามว่า “คนตระกูลฉู่นครเฟิงผู้นั้นไปฟ้องท่านหรือ? บอกไว้ก่อนนะว่า ก่อนที่ข้าจะลงมือ ได้เตือนคนผู้นั้นไปหลายครั้งแล้ว”

หร่วนฉงยิ้ม “ต่อให้มอบความกล้าให้แก่ตระกูลฉู่นครเฟิงอีกหลายส่วน เขาก็ไม่กล้าเอาเรื่องเฮงซวยประเภทนี้ไปสร้างความรำคาญให้พ่อ ไม่แน่ว่าอีกไม่นานอาจมีคนเอาของขวัญชิ้นใหญ่มาขอขมาถึงบ้านเลยก็เป็นได้”

หร่วนซิ่วพึมพำ “แค่มองหน้าเจ้าหมอนั่นก็หงุดหงิดแล้ว สันดานพอๆ กับฟักข้อสั้นผู้นั้น ทั่วร่างมีแต่อกุศลกรรม ต่างกันแค่ว่าใครหนาใครบางเท่านั้น คนประเภทนี้หากเลื่อนขั้นเป็นชั้นห้ากลางเมื่อไหร่ ก็ไม่รู้ว่าต้องมีคนประสบเคราะห์มากแค่ไหน หากไม่เป็นเพราะกังวลว่าจะสร้างปัญหาให้ท่านพอ ตอนนั้นข้าคงตบเขาให้ตายในฝ่ามือเดียว วันหน้าจะได้ไม่ไปก่อกรรมทำชั่วกับใครอีก”

หร่วนฉงสูดลมหายใจเข้าลึกหนึ่งครั้ง หน้าผากมีเหงื่อผุดซึม โชคดีที่เมื่อครู่ตนขับเทพหยินออกจากช่องโพรงในกายไป และใช้ปราณแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งตรอกฉีหลง จึงไม่มีใครตรวจสอบความเคลื่อนไหวของที่แห่งนี้ได้ หาไม่แล้วหากคำพูดประโยคนี้ของหรวนซิ่วดังเข้าหูคนมีใจคิดร้าย นั่นแหละจะเป็นหายนะไร้ที่สิ้นสุดอย่างแท้จริง ผู้ฝึกลมปราณบนโลก ร้อยสำนักประชันแข่งขัน และในร้อยสำนักนั้นก็มีสำนักหยินหยางที่เชี่ยวชาญการตรวจสอบโชคชะตา อกุศลกรรมของคนอื่นมากที่สุด ทว่าความสามารถเหล่านั้นล้วนได้มาหลังการฝึกตนแทบทั้งหมด เวทอภินิหารที่ใช้ก็มักจะราบรื่นตามมาด้วย เหมือนการสาวรังไหมที่ต้องค่อยเป็นค่อยไปอย่างระมัดระวัง ส่วนลัทธิพุทธก็ยิ่งปิดบังอำพรางความสามารถด้านนี้ไว้อย่างลึกล้ำ มีแต่จะหลีกหนีให้ไกลห่าง มีเพียงสำนักการทหารเท่าน้นั้นที่ไร้ความกริ่งเกรงมากที่สุด ไม่ว่าใครก็กล้าสังหาร ใครก็ล้วนฆ่าได้ ทว่าสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นเพียงภาพลักษณ์จอมปลอมที่แสดงออกภายนอกเท่านั้น แต่บุตรสาวผู้นี้ของตนกลับแตกต่าง แตกต่างอย่างมาก

นับตั้งแต่เด็กนางก็สามารถมองทะลุใจคน มองเห็นเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาและเวรกรรมของพวกเขา เมื่อตบะเพิ่มพูนขึ้น นางยังถึงขั้นสามารถตัดทำลายผลกรรมได้โดยตรง หากฆ่าใคร ผลลัพธ์ที่จะตามมาก็ยิ่งน่าเหลือเชื่อเข้าไปใหญ่

นี่ไม่ใช่สิ่งที่ร่างเทพเพลิงซึ่งมีมาตั้งแต่เกิดจะสามารถอธิบายได้ทั้งหมด

หร่วนฉงรู้แค่ว่าในสายตาของบุตรสาวตน สีสันบนโลกใบนี้ของนาง แตกต่างไปจากคนอื่น

ด้วยเรื่องนี้ หร่วนฉงยังเคยพลิกค้นตำราทั้งหมดที่ศาลลมหิมะเก็บรักษาไว้ และมีเพียงคำบอกในตำราโบราณที่หายสาบสูญไปนานแล้วเล่มหนึ่งที่พอจะอธิบายถึงสาเหตุได้อย่างถูไถ

จิตวิญญาณแรกกำเนิด ก่อเกิดตามโชคชะตา

ดังนั้นก่อนหน้านี้หร่วนฉงถึงได้เป็นฝ่ายเรียกร้องขอมาอยู่ถ้ำสวรรค์หลีจูด้วยตัวเอง หวังช่วงชิงเวลาหกสิบปีในการอำพรางความลับสวรรค์ ก่อนหน้าที่หร่วนซิ่วจะเติบโตอย่างแท้จริง

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version