Skip to content

Sword of Coming 94

บทที่ 94 งดงามน่ากลืนกิน

ทางฝ่ายของร้านตีเหล็กมีบ่อน้ำถูกขุดได้รวมทั้งหมดเจ็ดบ่อ น้ำในบ่อหวานชื่น แต่ไอเย็นกลับอึมครึมน่าสะพรึงกลัว

เล่าลือกันว่าช่างหร่วนที่เคยอาศัยอยู่ในตรอกฉีหลงระยะหนึ่งคือเทพเซียนที่หลอมกระบี่เก่งมาก แม้แต่ราชสำนักก็ยังให้ความสำคัญกับเขาอย่างยิ่ง ขุนนางผู้เฒ่าของกรมพิธีการและใต้เท้าเสี่ยวอู๋ต่างก็เคยไปเยี่ยมเยือนเขาด้วยตัวเองมาก่อน ดังนั้นเรื่องที่บอกว่าฐานะของช่างหร่วนไม่ธรรมดาจึงไม่มีทางเป็นเท็จแน่ หลายคนต่างก็อยากยัดลูกหลานของตัวเองเข้าไปไว้ในร้านตีเหล็ก เสียดายก็แต่ที่ร้านไม่รับคนแล้ว แต่ช่างหร่วนเคยไปซื้อเหล้าในเมืองอยู่ครั้งหนึ่ง แล้วเลือกเด็กสองคนไปเป็นลูกศิษย์ วันต่อมาร้านเหล้าก็อัดแน่นไปด้วยผู้คน ทุกคนล้วนเป็นผู้ใหญ่ที่พาลูกหลานของบ้านตนมาเยือน ปัญหาอยู่ที่ไม่มีใครมาซื้อเหล้าอย่างแท้จริง ทุกคนล้วนแต่นั่งรอตาปริบๆ ว่าช่างหร่วนจะถูกตาใคร แต่พวกเด็กๆ ไม่สนใจอนาคตใดๆ ทั้งสิ้น สนแต่จะวิ่งเล่นสนุกสนาน ทำเอาทั้งร้านวุ่นวายอลหม่านหมาไก่อยู่ไม่เป็นสุข

อันที่จริงก่อนที่อู๋ยวนจะปรากฏตัวในอำเภอ คนในเมืองเล็กแห่งนี้รู้แค่ว่าตนคือราษฎรของต้าหลี เตาเผามังกรมีไว้เพื่อเผาภาชนะเครื่องเคลือบให้กับเชื้อพระวงศ์ต้าหลีใช้ เพียงแค่นี้เท่านั้น เรื่องอื่นๆ พวกเขาล้วนไม่รู้ การหมุนเวียนของประชากรในเมืองเล็กมีน้อยมาก แทบไม่มีการไปเยี่ยมญาติ ออกจากบ้านไปศึกษา แต่งงานให้กับคนต่างถิ่นหรืออะไรเลย ความไม่กตัญญูที่บันทึกไว้ในตำรา พวกผู้อาวุโสไม่เคยยกมาพูด เป็นอย่างนี้มาทุกรุ่นทุกสมัย คนบางส่วนของสี่แซ่สิบตระกูลที่รู้เรื่องภายในก็ยิ่งไม่กล้าเปิดเผยความลับสวรรค์

พวกคนโชคดีที่เครื่องปั้นแห่งชะตาชีวิตถูกเลือก สามารถเดินออกจากเมืองเล็กไปชื่นชมแม่น้ำและภูเขายิ่งใหญ่ด้านนอกได้ ก่อนหน้าที่ถ้ำสวรรค์หลีจูจะพังภินท์แล้วร่วงลงมาก็แทบไม่มีโอกาสได้สวมอาภรณ์หรูกลับคืนถิ่นกำเนิด นี่ก็คือหนึ่งในกฎที่อริยะสี่ฝ่ายของเมืองเล็กเคยตั้งไว้ในอดีต

ตอนนี้เมื่อฟังจากคำอธิบายของคนที่รู้ตัวอักษรซึ่งอ่านจากประกาศของอำเภอถึงได้รู้ว่า เนื่องด้วยเส้นทางภูเขาของอำเภอหลงเฉวียนในอดีตลาดชันอันตรายเกินไป ราชสำนักถึงต้องทุ่มกำลังมหาศาลถึงสามารถเปิดเส้นทางได้ แล้วก็เพื่อเรื่องเปิดภูเขาจึงต้องนำภูเขาเหล่านั้นมอบให้แก่บุคคลยิ่งใหญ่ที่ถูกใจฮวงจุ้ยของที่แห่งนี้ ขณะเดียวกันกลุ่มคนที่มีขุนนางลี่ฝาง[1]เป็นผู้นำก็เริ่มมาอธิบายถึงกฎเกณฑ์ต่างๆ เพื่อให้ชาวบ้านในปกครองฟังสามารถรับมือและคบค้าสมาคมกับคนต่างถิ่นได้

ยกตัวอย่างเช่นห้ามชี้หน้าชี้ตาคนต่างถิ่นมั่วซั่ว เด็กๆ ห้ามวิ่งไปชนคนที่สัญจรอยู่บนถนน ห้ามสัมผัสกับพาหนะของคนต่างถิ่นโดยพลการ เป็นต้น หากเกิดข้อขัดแย้งใดๆ ขึ้น ชาวบ้านต้องไปแจ้งที่ว่าการอำเภอหลงเฉวียนตามความเป็นจริง ห้ามตัดสินใจเองเด็ดขาด เพราะทางการจะเป็นผู้จัดการให้เอง

สี่แซ่สิบตระกูลไม่ได้กระตือรือร้นกับเรื่องเหล่านี้เท่าใดนัก ทั้งยังไม่มีท่าทีว่าจะออกหน้าช่วยที่ว่าการอำเภอทำในสิ่งที่พอจะทำได้ และยิ่งกว่านั้นคือความเพิกเฉยนิ่งดูดาย ส่วนเรื่องที่ว่าจะรอดูที่ว่าการอำเภอขายหน้าหรือไม่นั้น ก็มีเพียงอู๋ยวนและพวกจิ้งจอกเฒ่ากลุ่มนั้นที่รู้

การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในเมืองเล็ก สำหรับหร่วนซิ่วที่เติบโตมาในศาลลมหิมะปฐมสำนักของสำนักการทหารมาตั้งแต่เด็กแล้ว กลับไม่รู้สึกอะไรลึกซึ้งนัก หรือจะพูดอีกอย่างก็คือนางไม่สนใจเสียมากกว่า

นับตั้งแต่ที่นางได้พบกับฟักข้อสั้น (เปรียบเปรยถึงคนที่ทั้งอ้วนและเตี้ย) ผู้นั้นก็อารมณ์ขุ่นมาตลอด

สตรีแต่งงานแล้วจอมวางอำนาจผู้นั้นไม่เพียงแต่เดินอาดๆ เข้าไปในบ้านของเฉินผิงอัน ยังทำกุญแจทองแดงที่ใส่ไว้หน้าประตูบ้านและประตูห้องของเขาพัง ก่อนหน้านี้ตอนที่นางไปทำสะอาดบ้านทั้งสองหลัง ได้เห็นว่าคนกลุ่มนั้นกำลังเอากุญแจไปเปลี่ยนพอดี หร่วนซิ่วโกรธจนคิ้วกิ่งหลิวตั้งชัน วิ่งไปซักไซ้ถามเหตุผล ดูเหมือนว่าคนเหล่านั้นจะรู้ฐานะของนางจึงขออภัยอย่างนอบน้อม แต่พอนางถามว่าตัวการร้ายที่อยู่เบื้องหลังคือใครกันแน่ พวกเขากลับทำท่าเฉยเมยประมาณว่าต่อให้คุณหนูหร่วนตีพวกเราจนตาย พวกเราก็ไม่กล้าพูดเด็ดขาด หากเพียงเท่านี้ก็ยังพอทำเนา หร่วนซิ่วบอกให้พวกเขาเอากุญแจเก่าและลูกกุญแจใหม่ให้ตน พอกลับไปถึงร้านตีเหล็กก็เจอกับฟักข้อสั้นผู้นั้น ไม่คาดคิดว่านางจะยังกล้ายิ้มแย้มพูดว่าตนไม่ทันระวังถึงทำกุญแจพัง

หร่วนซิ่วยังทำตามสัญญา จ้างคนให้ไปซ่อมบ้านเก่าโทรมหลังหนึ่งในตรอกหนีผิงที่ไม่มีคนอยู่อาศัยซึ่งหลังคายุบกลายเป็นหลุมเบ้อเริ่ม คานบานผุกร่อน สีชาดหลุดร่อน หร่วนซิ่วบอกให้ช่างปูกระเบื้องของเมืองเล็กไปซ่อมแซมอย่างละเอียด เสริมกระเบื้องลงไปอย่างระมัดระวัง สุดท้ายด้วยความไม่วางใจจึงไปเฝ้าพวกเขาทำงานด้วยตัวเองเกินครึ่งวัน

นอกจากนั้นยังแขวนป้ายร้านยาสุ่ยและร้านฉ่าวโถวที่อยู่ติดกันให้เป็นในนามของเฉินผิงอัน ลูกจ้างของร้านเก่าแก่ทั้งสองจากไปถึงเจ็ดแปดส่วน จึงได้แต่จ้างลูกจ้างมาจากข้างนอก นางไม่กล้าเลือกพวกคนกะล่อน จึงให้คนในร้านตีเหล็กของตัวเองช่วยแนะนำสาวน้อยหรือไม่ก็สตรีแต่งงานแล้วที่นิสัยน่าไว้ใจ แต่มือเท้าคล่องแคล่วมาช่วยดูแลกิจการให้

ร้านยาสุ่ยยังคงขายขนมสารพัดรูปแบบต่อไป ส่วนร้านฉ่าวโถวก็ยังคงขายของจุกจิกจิปาถะ เครื่องเขียน ของตกแต่ง พิณโบราณ ภาพวาด มีครบหลากหลายชนิด

หากมีเวลาว่างจากร้านกระบี่ หร่วนซิ่วก็มักจะมานอนฟุบอยู่บนโต๊ะคิดเงินของร้านใดร้านหนึ่งอย่างเหม่อลอย เวลาส่วนใหญ่ของวันมักจะหมดไปอย่างเอ้อระเหยเช่นนี้ จะอย่างไรซะก็ไม่ต้องให้นางเรียกลูกค้า และนางก็ต่อรองราคากับใครไม่เป็น อันที่จริงร้านทั้งสองนี้ต่างก็ถือเป็นทรัพย์สินของเฉินผิงอัน เด็กสาวชุดเขียวจึงอยากจะขายขนมชิ้นหนึ่งให้สูงลิบลิ่วด้วยราคาสองก้อนเงิน เพียงแต่ว่านางก็ยังเป็นเด็กสาวที่มีจิตใจบริสุทธิ์ ไม่อาจรู้สึกดีที่จะทำเช่นนั้น ได้แต่ลังเลว่าควรจะช่วยเขาหาคนที่รู้จักสังเกตสีหน้าท่าทางผู้อื่น ช่วยให้ร้านทำกำไรได้เยอะขึ้นอีกหน่อยหรือไม่ แต่นางก็กลัวว่าหากหาคนเช่นนั้นมา พอเฉินผิงอันกลับมาแล้วจะไม่ชอบอีก

เพราะเขาไม่ใช่คนแบบนั้น

ดังนั้นปลายคางซึ่งเดิมทีกลมมนของเด็กสาวที่ขนมหวานไม่อาจทำให้นางน้ำลายสอด้วยความอยากกินได้อีกจึงเริ่มค่อยๆ เปลี่ยนมาเป็นเรียวแหลม

ประหนึ่งปลายแหลมของบัวตูมดอกเล็ก สะอาดพิสุทธิ์น่าหลงใหล

หร่วนฉงเคยพูดอยู่หลายครั้งว่า หากนางรู้สึกว่าอยู่ในเมืองเล็กแล้วน่าเบื่อ สามารถไปเดินเล่นที่ยอดเขาเหิงซั่วหรือภูเขาเสินซิ่วได้ เพราะทิวทัศน์ที่นั่นไม่เลวเลยทีเดียว เพียงแต่เด็กสาวกลับไม่เคยสนใจข้อเสนอนี้ เอาแต่บ่ายเบี่ยง หร่วนฉงจึงได้แต่หยุดพูดไปเอง ทว่ายิ่งเด็กสาวอุดอู้มากเท่าไหร่ เวลาที่ตีเหล็กหลอมกระบี่กลับยิ่งมีสมาธิเปี่ยมล้นมากเท่านั้น ขอบเขตจึงยิ่งไต่ทะยานพรวดพราด นี่ถึงทำให้หร่วนฉงวางใจได้ ในเมื่อดีต่อการฝึกตน เขาจึงไม่คิดจะยื่นมือเข้าแทรกอีก

เพราะสุสานของคนธรรมดาผู้หนึ่งถูกหญ้ารกครึ้มปกคลุมมานานแล้ว ถึงขั้นที่ว่าแม้แต่ลูกหลานของเขาก็แก่จนหัวขาวโพลน แต่คนที่เคยมีอายุเท่ากัน เนื่องจากฝึกตนประสบความสำเร็จ กลับยังคงมีชีวิตที่สดใสดุจสาวน้อยที่งดงาม

สองวันมานี้หร่วนซิ่วยิ่งหงุดหงิดใจ เพราะทุกครั้งที่นางกำลังนั่งเหม่ออยู่ในร้านจะต้องมีคนมารบกวนเสมอ

คือชายหนุ่มคนหนึ่งที่ตรงเอวพกขลุ่ยยาวสีชาดมีเอกลักษณ์ชิ้นหนึ่ง เขาสวมอาภรณ์ผ้าแพรรัดเข็มขัดหยก ศีรษะสวมกวานสีม่วงทอง ชอบวางมาดเย่อหยิ่งจองหอง แต่หน้าตาของคนผู้นี้เป็นเช่นไร นางกลับลืมไปแล้ว หรือบางทีควรพูดว่านางไม่เคยตั้งใจมองมาตั้งแต่แรก

เพราะนับตั้งแต่ที่จำความได้ หร่วนซิ่วก็พบเจอคนประเภทนี้มามากมายยิ่งนัก เพราะบิดาของนางคือหร่วนฉงที่ไม่เพียงแต่เป็นนักพรตใหญ่แห่งศาลลมหิมะ ยังเป็นอาจารย์หลอมกระบี่อันดับต้นๆ ในจำนวนน้อยนิดจนนับนิ้วได้ในแจกันสมบัติทวีปบูรพา

ทว่าพอมาถึงที่นี่ หร่วนฉงก็บอกกับนางว่าได้พูดคุยกับราชสำนักต้าหลีเรียบร้อยแล้ว ภายในเวลาหกสิบปี ต้าหลีไม่สามารถป่าวประกาศแก่ภายนอก ห้ามใช้ป้ายอักษรทองอย่างเขาหร่วนฉงมาวางแผนอะไรทั้งสิ้น หากเขาหร่วนฉงพบเข้า ปรึกษาก็พอปรึกษากันได้ แต่ผลลัพธ์จะออกมาเป็นเช่นไร หร่วนฉงไม่ขอรับรอง หลังจากที่ถ้ำสวรรค์ร่วงลงมาอยู่ในดินแดนของต้าหลี การสังหารเข่นฆ่าในครั้งนั้น หร่วนฉงไม่เพียงแต่แสดงความดุดันจนนักพรตที่มาโอบล้อมขวัญกระเจิง อันที่จริงแม้แต่ราชสำนักต้าหลีและกองกำลังบนภูเขาที่อยู่ห่างไกลออกไปก็ล้วนเห็นแจ้งนิสัยของอริยะอาจารย์หร่วนอย่างชัดเจนแล้ว จึงไม่มีใครเต็มใจเอาชีวิตของตัวเองมาพูดเหตุผลกับหร่วนฉง คนที่กล้าทำเช่นนี้ หากไม่ถูกหร่วนฉงตีจนตายในถิ่นของตนอย่างถูกทำนองคลองธรรม ก็ถูกลากเข้ามาในขอบเขตของเขาแล้วตีตายอย่างโจ่งแจ้ง

ไม่จำเป็นต้องให้หร่วนฉงพูดออกมาตามตรง บุคคลยิ่งใหญ่ที่แท้จริงเพียงน้อยนิดของต้าหลีกลุ่มนั้นก็ล้วนรู้ดีอยู่แก่ใจว่า บุคคลที่ห้ามแตะเกล็ดย้อนของอริยะซึ่งออกจากศาลลมหิมะมาก่อตั้งสำนักเป็นของตัวเองผู้นี้อย่างแท้จริง ก็คือบุตรสาวที่มีพรสวรรค์เลิศล้ำเป็นที่ยอมรับกันทั่วของเขาผู้นั้น หากไม่มีหร่วนซิ่วเป็นสาเหตุ หร่วนฉงก็ไม่มีทางออกจากศาลลมหิมะ แล้วรับถ้ำสวรรค์หลีจูจากมือฉีจิ้งชุนมาดูแลต่อเด็ดขาด เพราะตอนนั้นไม่มีใครมองว่าการเฝ้าพิทักษ์ถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กแห่งนี้เป็นงานที่ดี นั่นหมายความว่าตบะและขอบเขตของทั้งร่างจะต้องถูกมรรคาสวรรค์กดกำราบ แค่สามารถรักษาขอบเขตให้คงเดิมไม่ถดถอย ร่างกายและจิตวิญญาณไม่เสียหาย ก็ถือว่าเป็นขีดจำกัดสูงสุดแล้ว

แน่นอนว่าฉีจิ้งชุนคือข้อยกเว้น คือเรื่องไม่คาดฝันที่ยิ่งใหญ่มาก

ในเมื่อชีวิตจิตใจของหร่วนฉงคือบุตรสาวของเขา ต้าหลีจึงจงใจช่วยเก็บเป็นความลับ ไม่มีทางพูดถึงชื่อของหร่วนซิ่วกับคนนอกง่ายๆ เด็ดขาด

ดังนั้นจึงมีเจ้าคนที่ไม่รู้สายสนกลใน เดินเตร่มาถึงร้านฉ่าวโถวของตรอกฉีหลงโดยบังเอิญ พอเห็นเด็กสาวมัดผมหางม้าก็ตะลึงงันนึกว่าเห็นนางฟ้า ในใจคิดว่านางก็แค่เด็กสาวของร้านค้าร้านหนึ่งเท่านั้น ฐานะคงไม่สูงได้สักเท่าไหร่ ด้วยหน้าตาและภูมิหลังชาติตระกูลของเขา จะยังทำให้นางหลงรักตนตั้งแต่แรกเห็น ยินยอมพร้อมใจที่จะเป็นสาวใช้อยู่เคียงกาย คว้ามาไว้ในมือไม่ได้อีกหรือ?

แต่จะอย่างไรซะเขาก็มีภารกิจติดตัว ทางตระกูลให้เขามาซื้อภูเขาที่นี่ อีกทั้งตอนนี้เมืองเล็กยังเป็นสถานที่ซุ่มมังกรซ่อนพยัคฆ์ ไม่พูดถึงอริยะสำนักการทหารที่ตำแหน่งสูงส่งเหนือใคร อีกทั้งยังมีนิสัยโมโหร้ายขี้หงุดหงิด เอาแค่คนของกรมพิธีการและสำนักโหราศาสตร์ต้าหลีก็ล้วนอยู่ที่นี่กันครบ ว่ากันว่าแม้แต่นายอำเภอก็ยังเป็นลูกศิษย์ผู้น่าภาคภูมิใจของราชครูต้าหลี ดังนั้นคุณชายผู้นี้จึงปฏิบัติตามคำสั่งของบิดาอย่างเคร่งครัด เมื่อมาถึงเมืองเล็กก็วางตัวสงบเสงี่ยม เพราะหากไปก่อเรื่องขึ้นเมื่อไหร่ แม้แต่ศพเขา ตระกูลก็จะไม่มาเก็บให้ ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าทำตัวเหลวไหลเหมือนตอนที่อยู่ในเขตปกครองของตระกูลเขาเด็ดขาด อีกอย่างถึงแม้ว่าการบังคับขืนใจหญิงชาวบ้านจะเป็นสิ่งที่เขาคุ้นเคยดี แต่กลับเป็นเรื่องที่น่าเบื่ออย่างมาก

คาดว่าต่อให้ตีหัวตัวเองจนแตก คุณชายหนุ่มผู้หลงตัวเองก็คงคิดไม่ถึงว่าเด็กสาวท่าทางเซ่อซ่าเกียจคร้านผู้นั้นจะแซ่หร่วน

วันนี้เขาเดินข้ามธรณีประตูเข้ามาอีกครั้ง แสร้งทำเป็นเลือกของที่วางเรียงรายอยู่บนชั้นอย่างตั้งใจ จากนั้นก็แสร้งต่อรองราคากับหญิงแต่งงานแล้วคนหนึ่ง สุดท้ายจึงเอ่ยยิ้มๆ หันไปทักทายแม่นางน้อยชุดเขียวที่เหมือนเถ้าแก่น้อยโดยการโบกหินประดับโต๊ะหนังสือก้อนที่ค่อนข้างถูกใจซึ่งถืออยู่ในมือเบาๆ มือหนึ่งของเขาชูขึ้นสูง เขย่งเท้า ท่วงท่าเหมือนสาวน้อยเอวบางกำลังโบกมือ ราคาของมันคือสามสิบตำลึงเงิน เขาถามเด็กสาวคนนั้นว่าลดหน่อยได้หรือไม่ สามสิบตำลึงเงินแพงเกินไปจริงๆ

ทว่าแท้จริงแล้ว สำหรับเขา ต่อให้เป็นเงินสามสิบตำลึงทอง แล้วจะนับเป็นอะไรได้?

หร่วนซิ่วไม่แม้แต่จะเงยหน้า เพียงเอ่ยเสียงเรื่อยเฉื่อย “ไม่ได้”

ชายหนุ่มแสร้งยักไหล่อย่างสง่างาม บอกว่าหินก้อนนี้เขาซื้อแล้ว สุดท้ายเขายังเลือกของอีกสองชิ้น ถามสาวน้อยว่าซื้อของมากมายขนาดนี้คงลดราคาให้ได้แล้วกระมังท อีกทั้งเขายังอยู่เมืองเล็กอีกนาน ต้องกลับมาซื้ออีกบ่อยๆ กลายเป็นแขกประจำของร้านแน่…สรุปก็คือพูดจ้อไม่หยุด หร่วนซิ่วที่อยู่ตรงโต๊ะคิดเงินฟังแล้วรำคาญหู ยังคงตอบเสียงเอื่อย ไม่เงยหน้าเหมือนเดิม “จะซื้อของก็ได้ แค่จ่ายเงินตามราคาที่ตั้งไว้ก็พอ พูดให้น้อยหน่อย”

คุณชายหนุ่มผู้นั้นไม่โกรธกลับยังแย้มยิ้ม โอ้โห มองไม่ออกจริงๆ ที่แท้ก็เป็นม้าพยศจอมดื้อหรือนี่?

และเขาก็ไม่โกรธจริงๆ รู้สึกเพียงว่าอารมณ์อยากเอาชนะถูกกระตุ้น เดิมทีการซื้อภูเขาก็เรื่องที่แน่นอนดั่งตอกตะปูบนแผ่นไม้อยู่แล้ว เขาก็แค่ต้องออกหน้าลงนามให้กับตระกูลที่ร่ำรวยของตนเท่านั้น ทำไมไม่หาเรื่องสนุกที่ไม่ส่งผลกระทบต่องานใหญ่ล่ะ? ดังนั้นหลังจากที่เขาให้สตรีแต่งงานแล้วผู้นั้นห่อของทั้งสามชิ้นเสร็จเรียบร้อย ก่อนจะจากไปจึงพูดยิ้มๆ ว่า “แม่นางท่านนี้ พรุ่งนี้ข้าจะมาอีก”

ในที่สุดหร่วนซิ่วก็เงยหน้า สบตากับเขาตรงๆ เป็นครั้งแรก “วันหน้าเจ้าไม่ต้องมาอีก”

ชายหนุ่มจ้องเด็กสาวนิ่งๆ ด้วยความสนใจ ช่างเป็นใบหน้าที่ยิ่งมองก็ยิ่งชอบจริงๆ ไม่ใช่ความงามที่เครื่องประทินโฉมพื้นๆ จะสรรค์สร้างได้แน่นอน เขาจึงยิ้มตาหยี “ทำไมล่ะ?”

หร่วนซิ่วสีหน้าเรียบเฉย “ร้านนี้เป็นของ…เพื่อนข้า ข้าจึงตัดสินใจได้ว่าจะต้อนรับลูกค้าแบบไหนเข้าร้าน จะไม่ต้อนรับลูกค้าแบบไหนที่ขวางหูขวางตา”

คนผู้นั้นชี้จมูกตัวเอง รอยยิ้มยิ่งกว้างขึ้น “ข้าขวางหูขวางตา? เหตุใดแม่นางถึงพูดเช่นนี้เล่า”

หร่วนซิ่วฟุบกลับลงไปบนโต๊ะคิดเงินอีกครั้ง แล้วโบกมือ “เจ้าไปเถอะ ข้าไม่อยากพูดกับคนแบบเจ้า”

นอกร้านมีชายร่างกำยำสูงใหญ่คนหนึ่งยืนอยู่ ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่สบอารมณ์และความดุร้าย มองเด็กสาวบ้านนอกที่ไม่รู้จักความหวังดีของผู้อื่นคนนั้นด้วยสายตาเย็นชา

ชายหนุ่มโบกมือให้ข้ารับใช้คนนั้นยิ้มๆ สายตาบอกเขาเป็นนัยว่าอย่าทำให้อาหารในจานของตนตกใจ พอจ่ายเงินเสร็จ เขาก็เดินไปทางประตู ไม่ลืมหันกลับมาพูด “พรุ่งนี้เจอกันนะ”

หร่วนซิ่วถอนหายใจ ลุกขึ้นยืน เดินอ้อมโต๊ะคิดเงินไปพูดกับเจ้าคนที่เพิ่งจะข้ามออกจากธรณีประตูก็หันตัวกลับมายืนนิ่งๆ ผู้นั้น “ข้าแนะนำเจ้าว่าวันหน้าหัดฟังคำของคนอื่นให้มาก”

ชายหนุ่มเห็นเรือนกายอวบอิ่มน่าตะลึงของเด็กสาวก็ทอดถอนใจบอกตนเองว่า มาครั้งนี้มีโชคด้านสาวงามไม่น้อยจริงๆ

ส่วนเรื่องที่ว่าเด็กสาวพูดอะไร เขาย่อมได้ยินอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ยิ่งไม่คิดเป็นจริงเป็นจัง

ร่างของผู้ติดตามคนนั้นพลันขึงเกร็ง ชาไปทั้งหนังหัว เสียวสันหลังวาบ กำลังจะขยับตัวกลับเห็นว่าเด็กสาวชุดเขียวกับคุณชายของตนพุ่งไปยังผนังฝั่งตรงข้ามของตรอกฉีหลงด้วยกัน

เขาได้แต่มองคุณตายตัวเองถูกเด็กสาวใช้มือข้างหนึ่งกดหน้าผาก สุดท้ายทั้งศีรษะและแผ่นหลังของเขาต่างก็ฝังเข้าไปในผนังแถบนั้น

คุณชายหนุ่มพลันสูญเสียสติสัมปชัญญะ เลือดไหลออกจากทวารทั้งเจ็ด ผนังด้านหลังถูกแรงกระแทกจนเกิดรอยร้าวเหมือนใยแมงมุมขนาดยักษ์

เด็กสาวพูดกับชายที่ตาเหลือกแล้วหมดสติไปว่า “วันหน้าต้องหัดฟังคำแนะนำของคนอื่นบ้าง? เข้าใจไหม? หืม? ยังจะไม่ฟังหรือ?”

เด็กสาวยกขาขึ้นสูงแล้วเตะออกไปอย่างว่องไว

คุณชายที่เดิมทีก็น่าเวทนาสุดขีดอยู่แล้ว คราวนี้ทั้งร่างทั้งผนังพร้อมใจกันยุบยวบลงไป สภาพอเนจอนาถจนทนมองไม่ไหว

เด็กสาวหดขากลับมา หมุนกายเดินกลับมาที่ร้านแล้วพูดกับผู้ติดตามสูงใหญ่ที่ไม่กล้ากระดุกกระดิกว่า “ยกคนไป จำไว้ว่าต้องมาซ่อมผนังให้ดีเหมือนเดิมด้วย”

ผู้ติดตามนักบู๊ขอบเขตที่ห้าผู้นั้นกลืนน้ำลายลงคอ ไม่กล้าพูดแรงๆ แม้แต่คำเดียว

เขาเป็นเพียงแค่องค์รักษ์ประจำกายแต่ภายนอก เพราะงานหลักที่แท้จริงคือปรนนิบัติรับใช้ตระกูลต่างถิ่นตระกูลหนึ่ง ตอนนี้ยังไม่ต่างจากกองกำลังอื่นๆ มากมายที่ต้องขึ้นเขาไปเดินตามก้นพวกซื่อหลางกรมพิธีการและท่านชิงอูของสำนักโหราศาสตร์ของต้าหลีอยู่ต้อยๆ ทั้งเพื่อกระชับความสัมพันธ์กับราชสำนักต้าหลี แล้วก็เพื่อเป็นการตรวจสอบภูเขาสองลูกที่ต้องซื้อด้วยทองมหาศาลด้วย

ไม่ใช่ว่านักบู๊ขอบเขตห้าที่มีอยู่เต็มถนนจะถูกใครรังแกก็ได้ แต่เป็นเพราะการลงมือของแม่นางน้อยผมหางม้าผู้นี้น่ากลัวเกินไป

ต้องรู้ว่าคุณชายของตนเลื่อนสู่ชั้นที่สี่แล้ว แม้ว่าจะเทียบกับพวกมีพรสวรรค์ของตระกูลเซียนที่แท้จริงไม่ได้ แต่ขอแค่เลื่อนถึงชั้นที่ห้าได้ในท้ายที่สุด นั่นก็เท่ากับว่ามีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้ยึดครองพื้นที่แถบหนึ่ง เพราะจะอย่างไรซะบนแผ่นดินต้าหลีที่มีนักบู๊โดดเด่นมากมายแห่งนี้ เมื่อเทียบกันแล้ว ผู้ฝึกลมปราณย่อมมีชีวิตที่ดีกว่ามาก ดังนั้นภูเขาทั้งสองลูกจึงจะกลายมาเป็นพื้นที่ที่คุณชายตระกูลตนได้ลุกผงาด

นักบู๊ขอบเขตที่ห้าท่านนี้ไม่มีเวลาป่าวประกาศชื่อตระกูลตนเพื่อสยบขวัญเด็กสาวที่ลงมือโหดเหี้ยมคนนั้น เขารีบพุ่งไปยังผนังฝั่งตรงข้ามของตรอก ครู่หนึ่งต่อมา ชายที่ดวงตาแดงก่ำก็พลันหมุนตัวกลับมา สีหน้าเขียวคล้ำ ด่ากราดเสียงดัง “นังสารเลว! เจ้ารู้หรือไม่ว่าตัวเองทำลายรากฐานการฝึกตนของคุณชายข้าให้เละเทะหมดแล้ว?!”

หร่วนซิ่วเดินเข้าไปในร้านแล้ว พอได้ยินประโยคนี้ก็ชะงักเท้า แต่ไม่ได้หันตัวกลับมา เพียงแค่หันหน้ามาพูดว่า “รู้สิ ข้าตั้งใจไม่สังหารเขา เพราะจะเว้นชีวิตให้เขารับโทษ”

นักบู๊ผู้นั้นแทบบ้า นังหนูนี่คงไม่ใช่คนบ้าที่สมองมีปัญหาหรอกนะ?

เด็กสาวคลี่ยิ้ม “เจ้าด่าข้า ข้าไม่ถือสาเจ้า เพราะข้าจะไปคิดบัญชีกับตระกูลของเจ้าแทน ด้วยสันดานเดิมๆ ของพวกเจ้า โดยทั่วไปแล้วมักจะเป็นคนเด็กก่อเรื่อง คนแก่เก็บกวาด ดังนั้นเจ้าสามารถไปเรียกพวกผู้อาวุโสหรือมิตรสหายอะไรมาได้ บอกให้พวกเขามาหาเรื่องข้า วางใจได้ ข้าจะรอพวกเจ้าอยู่ที่นี่ ไม่ไปไหนทั้งนั้น หากพวกเจ้าไม่ทั้งมาแก้แค้น แล้วก็ไม่มีคนมาขอโทษ งั้นก็พูดกันให้เข้าใจก่อนว่า อย่านึกว่าจะทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นได้”

เด็กสาวครุ่นคิด “หากบรรพบุรุษหรือผู้ช่วยของตระกูลพวกเจ้าสามารถเอาชนะข้าได้จริงๆ ถ้าอย่างนั้นข้าก็คงต้องให้ท่านพ่อข้าออกหน้า ช่วยไม่ได้ ข้ามีญาติแค่คนเดียวเท่านั้น”

จู่ๆ เด็กสาวก็พลันอารมณ์ดี ต้องพยายามเม้มปากกลั้นยิ้ม ถึงจะไม่ให้ตัวเองแสดงความดีใจออกมาได้ชัดเจนนัก

นักบู๊ผู้นั้นมองรอยยิ้ม “ประหลาด” ของเด็กสาวตาค้าง แน่ใจแล้วว่านางเป็นคนบ้าจริงๆ

เขาไม่กล้าอยู่นาน เรื่องเร่งด่วนในเวลานี้คือพยายามรั้งตบะของคุณชายตัวเองเอาไว้ให้ได้ เขาจึงแบกคุณชายตัวเองขึ้นหลังแล้วห้อตะบึงไปในตรอกฉีหลง สามารถกลายมาเป็นองค์รักษ์ประจำกายของบุคคลสำคัญได้ย่อมไม่ใช่คนเขลา พอเขาวิ่งไปได้ระยะหนึ่งก็รีบตะโกนเสียงดังใส่มุมใดมุมหนึ่งของตรอกทันที “คุณชายของข้ามาจากตระกูลฉู่แห่งนครเฟิง เป็นแขกผู้ทรงเกียรติของต้าหลีพวกเจ้า! บรรพบุรุษของตระกูลข้าก็ยิ่งเป็นถึงรองเจ้าสำนักเขาไกวกระดิ่ง!”

แต่กลับไม่ได้รับการตอบสนองใดๆ

นักบู๊ท่านนี้พลันเย็นวาบไปทั้งใจ ชาดิกไปทั่วร่างกาย

เขาไม่นึกว่าสายลับต้าหลีที่ซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดกลับเลือกที่จะเห็นคนตายแล้วไม่ช่วย!

นี่ไม่สมเหตุสมผล ไม่ถูกต้องตามกฎเกณฑ์!

นักบู๊ร้อนใจราวมีไฟลน หรือว่าคุณชายของตนไปมีเรื่องกับตะปูแข็ง (เปรียบเปรยถึงคนที่มีอำนาจ) ที่ไม่สามารถตอแยด้วยได้? แต่ท่านบรรพบุรุษก็พูดชัดแล้วนี่นาว่า นอกจากอริยะสองท่านก่อนหลังที่ไม่ต้องพูดถึงแล้ว พวกงูเจ้าถิ่นที่ขดตัวอยู่ในเมืองเล็กมาหลายยุคหลายสมัยเหล่านั้นก็ไม่มีใครที่ประสบความสำเร็จมากนัก? ทำไมเด็กสาวในร้านค้าเล็กๆ คนหนึ่งกลับมีวรยุทธ์น่าตะลึงถึงเพียงนี้?

ห่างออกไปไกล ชายคนหนึ่งที่นั่งอยู่บนกำแพงมุมลับตาคนใช้มือข้างหนึ่งเท้าคาง หลังจากหาวเสร็จก็แค่นเสียงเย็น “คิดจริงๆ หรือว่าต้าหลีของข้ากลัวตระกูฉู่นครเฉิงของพวกเจ้า”

สุดท้ายเขาถอนสายตากลับมา มองไปยังร้านค้านั้นที่ไม่เห็นเงาร่างของเด็กสาวหลังโต๊ะคิดเงินแล้ว จึงหัวเราะเสียงเบา “ไม่เสียแรงที่เป็นแม่นางพูดง่ายอันดับหนึ่งของศาลลมหิมะในตำนาน”

เพียงไม่นานเขาก็เก็บรอยยิ้มกลับคืน สายตากวาดมองความเคลื่อนไหวรอบด้านต่ออีกครั้ง เพียงแค่มีลมพัดใบไม้ไหว เขาก็มีอำนาจเรียกใช้นักรบเดนตายของต้าหลีทุกคนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงให้ออกมาสังหารคนได้ทันที โดยที่ไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าตอบแทนและไม่ต้องคำนึงถึงผลลัพธ์ ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามจะเป็นใครก็ตาม

แต่ขณะเดียวกันเขาก็เดาออกว่า มรสุมครั้งนี้ไม่มีทางจบลงเพียงเท่านี้ ไม่แน่ว่าอาจเกี่ยวพันไปถึงองค์ฮ่องเต้ แน่นอนว่ายังมีอริยะหร่วนฉงด้วย เพราะตระกูลฉู่นครเฟิงสามารถยกเรื่องนี้สู่เบื้องบน ทำให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ ใช้มติมหาชนมาบีบบังคับราชสำนักต้าหลี ตอนนี้แคว้นต้าหลีกำลังรุ่งโรจน์เรืองอำนาจ ไม่กลัวอะไรทั้งสิ้น มีเพียงข้อวิพากษ์วิจารย์ของฝ่ายบุ๋นเท่านั้นที่ให้ความสำคัญถึงขีดสุดมาโดยตลอด ฮ่องเต้องค์ก่อนและองค์ปัจจุบันล้วนเป็นเหมือนกัน พวกเขาต่างก็อดทนอดกลั้นและปฏิบัติต่อบัณฑิตเป็นอย่างดี

เด็กสาวและสตรีแต่งงานแล้วหลายคนในร้านต่างอกสั่นขวัญผวา ไม่กล้าแม้แต่จะหายใจเสียงดัง ไหนเลยจะคิดว่าแม่นางซิ่วซิ่วที่ปกตินิสัยอ่อนโยนจะมีด้านนี้ด้วย? พอลงมือก็ทำให้คนคนหนึ่งเกือบตาย?

เด็กสาวนอนฟุบอยู่บนโต๊ะคิดเงินแล้วเหม่อลอยต่ออีกครั้ง

นางพลันนึกอะไรขึ้นมาได้จึงหยิบหินเล็กก้อนหนึ่งออกมาจากในลิ้นชัก แล้ววางบนโต๊ะ จากนั้นเด็กสาวก็เปลี่ยนท่า เอาแก้มแนบติดกับผิวโต๊ะ ยื่นมือดีดหินก้อนนั้นเบาๆ มองมันกลิ้งไปกลิ้งมา

แม่นางซิ่วซิ่ว งดงามน่ากลืนกิน (งดงามน่ากลืนกินภาษาจีนอ่านว่าซิ่วเซ่อเข่อชาน มีคำว่า “ซิ่ว” ตรงกับชื่อของซิ่วซิ่วที่แปลว่างดงามเลิศล้ำ)

—-

[1] ลี่ฝาง คือ ฝ่ายงานในที่ว่าการอำเภอซึ่งจะรับผิดชอบกิจธุระในด้านพิธีการเซ่นไหว้บวงสรวง การสอบ เป็นต้น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version