บทที่ 93 บนผนังมีตัวอักษร
บนเนินเขาขนาดเล็กที่สูงไม่เกินสิบกว่าจั้งมีคนยี่สิบกว่าคนยืนกระจายตัวกันอยู่ เสื้อผ้าและเครื่องประดับที่สวมใส่ไม่มีกำหนดตายตัว แต่สีหน้าและสายตาล้วนเหมือนสลักออกมาจากพิมพ์เดียวกัน
ชายร่างกำยำคนหนึ่งนั่งคุกเข่าข้างเดียว กำลังตรวจสอบศพสองศพที่ร่างแข็งทื่ออย่างละเอียด เขาใช้นิ้วมือเบิกเปลือกตาของศพหนึ่งขึ้น เผยให้เห็นลูกตาที่ปริแตกเหมือนเศษกระเบื้องร้าว
สตรีร่างเล็กเตี้ยคนหนึ่งที่เปลี่ยนมาสวมชุดผ้าฝ้ายเหมือนสตรีแต่งงานแล้วตามตลาดทั่วไปเดินขึ้นเนินเขามาช้าๆ ด้านหลังมีหญิงสาวโอบประคองกระบี่และผู้เฒ่าหน้าขาวเดินตามมา
นางไม่ได้ขยับเข้าไปใกล้ศพทั้งสอง เอามือปิดจมูกถามน้ำเสียงอู้อี้ “หวังอี้ฝู่ สรุปว่าอย่างไร?”
หวังอี้ฝู่ถอนหายใจ “คนทั้งสองต่างก็ตายด้วยดาบเดียวของยอดฝีมือ ร่างกายไม่มีบาดแผล แต่เส้นชีพจรในร่างล้วนปริแตก อวัยวะภายในเละละเอียดทั้งหมด”
สีหน้าของสตรีแต่งงานแล้วมืดทะมึน “ต้าหลีของพวกเรามีปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์แข็งแกร่งขนาดนี้ปรากฏตัว แถมยังมาพร้อมกันถึงสองคน อ๋องเจ้าแคว้นท่านนั้นของพวกเรามีชื่อเสียงด้านการจับตามองตรวจตราชายแดนอย่างเข้มงวดมาโดยตลอด แต่จะไม่สามารถคว้าจับเบาะแสในครั้งนี้ได้แม้แต่เสี้ยวเดียวเลยหรือ คงไม่ได้จงใจปล่อยให้ปลาหลุดรอดตาข่ายไปหรอกกระมัง?”
หวังอี้ฝู่ลังเลเล็กน้อย “เหนียงเหนียง หากข้าดูไม่ผิด นี่คือฝีมือของคนคนเดียว”
สตรีแต่งงานแล้วพลันหรี่ตา แผ่รัศมีคมกริบ “เจ้าพูดว่าอะไรนะ?!”
หวังอี้ฝู่ชี้ไปยังลำคอของคนทั้งสองที่มีรอยแดงเล็กบางอยู่เส้นหนึ่ง “เส้นที่อยู่ระหว่างคนตายทั้งสองเส้นนี้ มีความใกล้ชิดเชื่อมโยงกันอย่างแนบแน่น เห็นได้ชัดว่าเกิดจากการที่คนคนหนึ่งใช้ดาบปาดในแนวนอน”
สตรีแต่งงานแล้วสูดลมหายใจเข้าลึก พยายามข่มกลั้นไม่ให้ความเดือดดาลและปราณสังหารของตัวเองแสดงออกมาเด่นชัดเกินไป นางเอ่ยเยาะหยัน “ศาลลมหิมะเก่งกาจไร้เทียมทานขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่? แค่คนประหลาดผู้หนึ่งโผล่ออกมาก็สามารถฆ่าคนได้ง่ายดายเหมือนฆ่าไก่? สองคนนี้คือใคร เจ้าหวังอี้ฝู่ไม่รู้ แต่สวีหุนหรันรู้ ไหนลองพูดให้แม่ทัพใหญ่หวังของเราฟังดังๆ หน่อยสิ”
สีหน้าสวีหุนหรันกระอักกระอ่วน แข็งใจอธิบาย “คนหนึ่งคือปรมาจารย์วิถีวรยุทธ์ที่เพิ่งเลื่อนสู่ขอบเขตที่เจ็ด เชี่ยวชาญวิชาหมัด ถนัดการต่อสู้ในระยะประชิด คนหนึ่งคือนักพรตชั้นแปด ฝึกควบทั้งกระบี่บินและยันต์ของลัทธิเต๋า ในเวลายี่สิบปี คนทั้งสองร่วมมือกันสังหารหกครั้ง ไม่เคยมีครั้งไหนที่พลาด ตอนนี้ก็ยิ่งเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของศาลาใบไผ่ใต้บัญชาการของเหนียงเหนียง”
สตรีแต่งงานแล้วเดือดดาลสุดขีด เพียงแต่ว่าพยายามระงับไว้อย่างยากลำบากเท่านั้น เวลานี้จึงย้ายความโกรธไปลงที่อาจารย์กระบี่อันดับหนึ่งแห่งต้าหลี กรีดร้องเสียงแหลม “สวีหุนหรัน! บอกชื่อของพวกเขาด้วย! คนตายก็มีชื่อ!”
ผู้เฒ่าหวาดผวาอยู่ในใจ ก้มหน้าลงเล็กน้อย “นักบู๊ชื่อหลี่โหว นักพรตชื่อหูอิงหลิน ต่างก็เคยเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเพื่อเหนียงเหนียงมาหลายครั้ง สร้างคุณความชอบยิ่งใหญ่แก่ต้าหลีของพวกเรา”
นั่นถึงทำให้สีหน้าของสตรีแต่งงานแล้วดีขึ้นเล็กน้อย เพียงแต่ว่าไม่นานใบหน้าของนางก็เต็มไปด้วยความห่อเหี่ยว กล่าอย่างมีอารมณ์แต่ไร้พลัง “ใช่ หลี่โหวและหูอิงหลิน ปีนั้นเย่ชิ่งเสาหลักแห่งชายแดนของราชวงศ์สกุลหลูพวกเจ้าก็ถูกสองคนนี้ฆ่าตาย ไม่ได้ตายในแคว้นของศัตรู ไม่ได้ตายบนสนามรบ แต่มาตายอยู่ในแผ่นดินของต้าหลีเราเอง”
บางทีสตรีแต่งงานแล้วอาจตระหนักได้ว่าอาการสติหลุดของตนจะทำให้หวังอี้ฝู่หัวเราะเยาะ จึงเงื้อมีดเข้าใส่สกุลหลูที่แม่ทัพฝ่ายบู๊ผู้นี้เคยจงรักภักดี “พูดไปแล้วก็น่าขัน แรกเริ่มพวกเรารู้สึกว่าบุคคลสำคัญอย่างเย่ชิ่ง ข้างกายต้องมีผู้ฝึกลมปราณฝีมือเก่งกาจหลายคนคอยให้การอารักขาอย่างลับๆ เพื่อกำจัดเขา ข้ายังถึงขั้นจำต้องรวมมือกับอาของข้า ไหนเลยจะคิดว่า นับตั้งแต่แทรกซึมสู่ชายแดน แฝงตัวเข้าไปฆ่า จนกระทั่งทำงานสำเร็จแล้วถอยออกมา ราชวงศ์สกุลหลูกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลยแม้แต่นิดเดียว เขาเย่ชิ่งก็แค่ไปก่อกวนขั้วอำนาจตระกูลเซียนริมชายแดนแค่ไม่กี่ตระกูลเท่านั้น ต้องถูกราชสำนักโดดเดี่ยวถึงขั้นนี้เชียวหรือ? ฮ่องเต้สกุลหลูเลื่อมใส่เซียนบนภูเขามากที่สุดไม่ใช่หรือไร? ทำไมถึงท้ายที่สุดแล้วตระกูลเซียนที่ยินยอนตายไปพร้อมกับสกุลหลูของพวกเจ้าถึงมีแค่ตระกูลเดียวเท่านั้น?”
กล่าวประโยคเหล่านี้จบ สีหน้าของสตรีแต่งงานแล้วก็ปลอดโปร่งขึ้นไม่น้อย ในใจแช่มชื่นขึ้นมาก คำที่ว่าลำบากไม่กลัว ขอแค่ข้างกายมีคนที่ลำบากยิ่งกว่า เสวยสุขนั้นได้ แต่คนข้างกายห้ามมีความสุขมากยิ่งกว่า กล่าวได้ถูกต้องจริงๆ
เกรงว่านี่คงเป็นสาเหตุที่ทำให้นางยินดีมอบเด็กคนหนึ่งให้แก่ราชครูชุยฉาน แต่ไม่ใช่ฉีจิ้งชุนสำนักศึกษาซานหยา
ไม่ต้องเปลืองแรงกายแรงใจ ไม่ต้องกลัวว่าเมื่อเติบโตแล้วถูกคนรังแกจะดีแต่ร้องไห้หาพ่อหาแม่
สีหน้าหวังอี้ฝู่มีความหม่นหมองเสี้ยวหนึ่งวูบผ่านไป
เย่ชิ่งแม่ทัพใหญ่ ขุนนางผู้ภักดี เสาหลักแห่งแคว้น เฝ้าพิทักษ์ชายแดนให้แก่ราชวงศ์สกุลหลูมาสามสิบปี เคยต้านทานการจู่โจมครั้งใหญ่ของกองทัพริมชายแดนต้าหลีได้ถึงสามครั้ง ปีนั้นซ่งจ่างจิ้งเกือบจะตายอยู่ในสนามรบ ไม่รู้ว่าเคยสบถด่าว่าเย่ชิงเป็นตาแก่หัวดื้อไปกี่ครั้ง แต่พอถึงท้ายที่สุด หลังจากที่เย่ชิ่งตายไป แม้แต่เรื่องที่จะตามอวยยศให้แก่เขา ราชสำนักสกุลหลูก็ยังทะเลาะกันนานเป็นสิบวัน ประเด็นสำคัญคือต่อให้เป็นเช่นนี้ก็ยังไม่มีคำเอ่ยยกย่องชูเกียรติเท่าไหร่นัก เป็นเหตุให้ขวัญกำลังใจของกองทัพชายแดนที่มีทหารกล้าหกหมื่นนายและพลังในการต่อสู้ยังคงอยู่เริ่มแหลกสลายไปอย่างช้าๆ
ซ่งจ่างจิ้งบัญชาการทัพบุกเข้ามาอย่างง่ายดายเหมือนไปเยือนสถานที่ที่ไม่มีคนอยู่ เรื่องแรกที่เขาทำก็คือไปจุดธูปคารวะสุราที่สุสานของคนผู้นี้ด้วยตัวเอง หลังจบเรื่องกรมพิธีการต้าหลีพากันวิพากษ์วิจารณ์ กลับถูกซ่งจ่างจิ้งขว้างฎีกาฉบับหนึ่งใส่หน้าจนใบหน้าบวมฉึ่ง “ผู้กล้าจะมีอยู่แค่ในต้าหลีเราได้อย่างไร?”
ฮ่องเต้ต้าหลีอ่านตัวอักษรสามคำใหญ่ติดต่อกันหลายครั้งพร้อมกับส่งเสียงหัวเราะดังลั่นไม่หยุด ฮ่องเต้ผู้ทรงพระทัยเบิกบานแค่หันไปตรัสกับขันทีข้างกายด้วยรอยยิ้มว่า ประโยคนี้คือคำพูดในใจของน้องชาย ส่วนตัวอักษรเหล่านี้ คงต้องไปหาคนจับดาบมาเขียนแทนแน่นอน
อันที่จริงหญิงแต่งงานแล้วคอยสังเกตสีหน้าของแม่ทัพกล้าผู้สิ้นชาติคนนี้อยู่ตลอด ก่อนที่นางจะพยักหน้ากับตัวเองเงียบๆ แม้ว่าจะไม่ได้วางใจในตัวเขาอย่างเต็มที่เพราะเหตุนี้ก็ตาม
หากแม้แต่อารมณ์ปกติของคนทั่วไปก็ยังสูญเสียไปด้วย ย่อมต้องมีปณิธานที่หนักแน่นเด็ดเดี่ยวแน่นอน เอาไว้ทำอะไร? นอกจากจะกู้ชาติบ้านเมืองแล้วยังจะทำอะไรได้อีก?
ถ้าเป็นเช่นนั้นหวังอี้ฝู่ก็รนหาที่ตายจริงๆ
หากหวังอี้ฝู่เป็นเพียงแค่นักสู้ที่ดีแต่จะรบราฆ่าฟัน แล้วมีใจละเอียดรอบคอบจนสามารถแสร้งแสดงได้ถึงขั้นนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าหวังอี้ฝู่มีความสามารถ
แต่กระนั้นนางก็ไม่กลัว
สวีหุนหรันอาจารย์กระบี่ถามด้วยความสงสัย “เห็นๆ กันอยู่ว่าเหนียงเหนียงไปทักทายกับอาจารย์หร่วนมาแล้ว รับปากว่าจะไม่ลงมือในขอบเขตของอำเภอหลงเฉวียน และพวกเราก็ส่งจดหมายไปบอกหลี่โหว หูอิงหลิน ไม่ให้พวกเขากระทำการบุ่มบ่ามในช่วงนี้ ทุกอย่างรอให้ไปถึงชายแดนต้าหลีก่อนค่อยว่ากัน ตามหลักแล้วจะอย่างไรอาจารย์หร่วนก็ควรเห็นแก่หน้าเหนียงเหนียงถึงจะถูก คนของศาลลมหิมะผู้นั้นคงไม่ถึงขั้นไม่เห็นหน้าของเหนียงเหนียงกับอาจารย์หร่วนหรอกกระมัง?”
หวังอี้ฝู่ถาม “ยังตรวจสอบตัวตนอย่างละเอียดของชายพกดาบผู้นั้นไม่ได้หรือ?”
หญิงกุมกระบี่ส่ายหน้า “ยังไม่รู้ผล เรื่องแบบนี้พวกเราไม่อาจไปถามช่างหร่วนโดยตรง แล้วก็ยิ่งไม่อาจไปถามเอาความจากนักพรตสำนักการทหารของศาลลมหิมะผู้นั้น ได้แต่อาศัยให้สายสืบของต้าหลีค้นหาเบาะแสเอาเอง และกิจธุระด้านการข่าวที่ชายแดน เหนียงเหนียงก็ไม่สะดวกยื่นมือเข้าก้าวก่าย…”
กล่าวมาถึงเด็กสาวตรงนี้ก็หยุด ไม่พูดอะไรอีก
เพราะมันเกี่ยวพันถึงคลื่นใต้น้ำชั้นที่สูงที่สุดของการปกครองต้าหลี
หวังอี้ฝู่ถาม “เป็นไปได้ไหมว่าข้ารับใช้ตระกูลหลี่นามว่าจูเหอผู้นั้นจะมีฝีมือลึกล้ำอำพรางไว้?”
สตรีแต่งงานแล้วหลุดหัวเราะพรืด “เจ้าคนที่เป็นแค่นักสู้ขอบเขตห้าผู้นั้นน่ะหรือ ไม่มีค่าพอให้พูดถึงแม้แต่น้อย และตระกูลหลี่ก็ยิ่งไม่กล้าก่อกวนใต้หนังตาข้า”
อาจารย์กระบี่ผู้เฒ่าถอนหายใจหนึ่งที “แบบนี้ค่อนข้างจัดการยากสักหน่อย”
สตรีแต่งงานแล้วยิ้มหวานหยดย้อย “จัดการยาก? จัดการง่ายจะตายไป กลับเมืองหลวงทันที! ข้าจะไปร้องไห้กับฝ่าบาทเดี๋ยวนี้”
เรื่องนี้ จะอย่างไรซะก็เป็นคนอื่นที่ทำลายกฎเกณฑ์ของต้าหลี ถ้าอย่างนั้นฮ่องเต้ย่อมต้องยินดีออกหน้าให้นางแน่
……
หลี่เป่าผิงมีหีบหนังสือใบเล็กใหม่เอี่ยม ของชิ้นเล็กชิ้นน้อยในตะกร้าสะพายหลังจึงต้องย้ายรัง สองคนคนหนึ่งตัวเล็ก คนหนึ่งตัวใหญ่อาศัยโอกาสครั้งนี้ไปหาสถานที่เงียบสงบห่างไกลจากพวกหลี่ไหว แอบตรวจนับสมบัติของตัวเองเพื่อป้องกันการสูญหายหรือเสียหายในช่วงหยุดพักจากการเดินทาง
เฉินผิงอันก็ปลดตะกร้าของตัวเองลงเช่นกัน
กระบี่ไม้จากต้นไหวโบราณเล่มนี้ เดาเอาว่าอาจารย์ฉีน่าจะเป็นคนมอบให้ เพราะตอนนั้นจู่ๆ บนศีรษะของเฉินผิงอันก็มีปิ่นหยกปักเพิ่มขึ้นมา เฉินผิงอันและหลี่เป่าผิงจึงรู้สึกว่านี่น่าจะเป็นการกระทำด้วยความตั้งใจของอาจารย์ฉี ในเวลาปกติเฉินผิงอันมักจะเอากระบี่ไม้ไหววางพาดเอียงอยู่ในตะกร้า มีแค่ยามกลางดึกที่ผู้คนหลับสนิทเท่านั้นถึงจะเอาออกมาวางไว้บนหัวเข่า และนั่นทำให้จิตใจของเด็กหนุ่มสงบและปลอดภัย
หินดีงูสีเหลืองก้อนหนึ่งวางอยู่ใต้แสงอาทิตย์ก็สาดสะท้องเป็นเส้นใยสีเหลืองทองอร่ามงดงาม
ส่วนหินดีงูที่เหลือขนาดเล็กกะทัดรัดอีกสิบสองก้อนล้วนสีสันซีดจางไปจากเดิมหมดแล้ว แต่กระนั้นเนื้อสัมผัสก็ยังเนียนละเอียด ไม่ธรรมดาดุจเดิม
สำหรับของเล่นพวกนี้ หลี่เป่าผิงชื่นชอบจนวางไม่ลง นางถือหินดีงูสีเขียวก้อนนั้นไว้กลางฝ่ามือ ถล่าวว่า “อาจารย์อาน้อย ก้อนนี้ห้ามขายเด็ดขาดเลยนะ หินอีกสิบสองก้อนที่เหลือ วันหน้าต่อให้จะขายก็ต้องหาคนซื้อที่วินิจฉัยสินค้าออ หาไม่แล้วพวกเราต้องเสียเปรียบตายแน่”
เฉินผิงอันตอบด้วยรอยยิ้ม “นั่นมันแน่อยู่แล้ว”
ข้างในตะกร้าสะพายหลังยังมีหินสีดำยาวหนึ่งชุ่นอีกหนึ่งก้อน มองดูแล้วคล้ายแท่นสังหารมังกรอย่างยาก แต่เฉินผิงอันไม่กล้ามั่นใจ จำได้ว่าแม่นางหนิงเคยบอกว่าคิดจะผ่าแท่นสังหารมังกรมาทำหินลับกระบี่ที่ดีที่สุดในใต้หล้านั่น ไม่เพียงแต่ต้องให้เซียนกระบี่ลงมือ ยังจำเป็นต้องสูญเสียอาวุธที่มีค่ามากชิ้นหนึ่งด้วย แน่นอนว่าสำหรับเด็กหนุ่มในเวลานี้แล้ว อาวุธหรือวัตถุที่ล้ำค่าหรือไม่ก็ร้ายกาจอย่างมากนั้นล้วนสามารถเชื่อมโยงเข้ากับเงินทองได้โดยตรง
เฉินผิงอันรู้ว่านี่ต้องไม่ใช่สิ่งที่ช่างหร่วนยกให้ตนแน่ หรือจะเป็นอาจารย์ฉีที่มอบกระบี่ไม้ไหวให้เขาพร้อมกับหินลับกระบี่? หรือจะเป็นเทพเซียนหญิงสวมอาภรณ์สีขาวล่องลอยผู้นั้นที่ใช้เวทคาถาส่งมาให้? หรือจะบอกว่านี่เป็นของที่แม่นางหร่วนเก็บซ่อนไว้เป็นการส่วนตัว?
เฉินผิงอันปวดหัวเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้แม่นางหร่วนทิ้งทองหนึ่งก้อน เงินสองก้อนและเหรียญทองแดงธรรมดาอีกหนึ่งถึงไว้ในตะกร้าสะพายหลังของหลี่เป่าผิง มีอยู่ครั้งหนึ่งหลี่เป่าผิงเปิดถุงเงินโดยไม่ได้ตั้งใจ เฉินผิงอันถึงได้ค้นพบด้วยความตกตะลึงว่าด้านในมีเหรียญทองแดงแก่นทองปะปนอยู่หนึ่งก้อน
เงินยาเซิ่งก้อนนี้ หร่วนซิ่วต้องแอบใส่ไว้ให้แน่นอน
นี่ทำให้เฉินผิงอันตกใจสะดุ้งโหยง ตอนนั้นเขาถึงกับเหงื่อแตกพลั่กเต็มหน้า หากเลินเล่อจนไม่ค้นพบความจริงข้อนี้ แล้วไม่ระวังเอาเหรียญทองแดงเหรียญนี้ไปใช้เหมือนเหรียญทองแดงทั่วไป พอนึกถึงผลลัพธ์นั้น เฉินผิงอันก็แทบจะตบบ้องหูตัวเองสักสองทีไว้ล่วงหน้า
วัตถุชิ้นเล็กชิ้นน้อย เฉินผิงอันล้วนเก็บรวมกันไว้อย่างเป็นระเบียบ เหมือนสตรีแต่งงานแล้วที่มีความประณีตละเอียดอ่อนซึ่งกำลังจัดการดูแลบ้านหลังเล็กของตัวเอง
ทุกครั้งที่หลี่เป่าผิงเห็นภาพนี้มักจะอยากยิ้มเสมอ ในใจคิดว่าอาจารย์อาน้อยช่างเป็นงาน รู้จักใช้ชีวิตยิ่งนัก
ถ้าอย่างนั้นวันหน้าต้องเป็นแม่นางที่ยอดเยี่ยมขนาดไหนถึงจะคู่ควรกับอาจารย์อาน้อยของตน?
แม่นางน้อยรู้สึกว่ายากที่จะหาสตรีแบบนั้นได้เจอ นางจึงแอบเป็นกังวลอยู่เล็กๆ ในใจ
เด็กคนหนึ่งที่ทำท่าลับๆ ล่อๆ แอบขยับเข้ามาใกล้ พอถูกหลี่เป่าผิงจับได้ เขาก็มองไปยังหีบหนังสือใบเล็กข้างเท้าของนางแล้วพูดกับเฉินผิงอัน “เฉินผิงอัน หากเจ้าทำหีบไม้ไผ่ใบเล็กให้ข้าบ้าง ขอแค่ใหญ่กว่าและก็สวยกว่าของหลี่เป่าผิง ข้าจะเรียกเจ้าว่าอาจารย์อาน้อยบ้าง ดีไหม?”
เฉินผิงอันมองเขาแวบหนึ่ง ไม่พูดอะไร
หลี่ไหวร้อนใจเล็กน้อย แล้วก็ตัดสินใจที่จะยอมถอยหนึ่งก้าว “ถ้าอย่างนั้นก็ใหญ่เท่าหีบหนังสือของหลี่เป่าผิง คงจะได้แล้วกระมัง?”
เฉินผิงอันค้นพบโดยบังเอิญว่ารองเท้าหุ้มข้อของหลี่ไหวขาดวิ่นจนนิ้วเท้าโผล่ออกมา จึงกล่าวว่า “เดี๋ยวข้าทำรองเท้าแตะให้เจ้าสองคู่”
หลี่ไหวโมโหหนัก กระทืบเท้ากล่าว “ข้าไม่อยากได้รองเท้าแตะเฮงซวย ข้าอยากได้หีบหนังสือ! เอามาบรรจุตำราของนักปราชญ์! ข้าหลี่ไหวก็เป็นลูกศิษย์ของอาจารย์ฉีเหมือนกัน!”
เฉินผิงอันขมวดคิ้ว “จะไปไหนก็ไป”
หลี่ไหวตะลึงงัน มองประเมินสีหน้าของเฉินผิงอันอย่างละเอียด พอคนทั้งสองสบตากัน หลี่ไหวก็พลันหวาดกลัวร้อนตัวเล็กน้อย เด็กน้อยที่ฟ้าไม่กลัวดินไม่เกรงผู้นี้กลับไม่ได้อ้าปากด่าคนอย่างที่หาได้อยาก แต่เลือกจากไปอย่างขุ่นเคือง เพียงแต่ว่าวิ่งออกไปได้ไม่กี่ก้าว เขาก็หันกลับมาพูดอย่างจริงจัง “อย่าลืมรองเท้าแตะล่ะ ต้องสองคู่ด้วย จะได้เปลี่ยนกันใส่”
เฉินผิงอันพยักหน้ารับ
รอจนหลี่ไหววิ่งจากไปไกลแล้ว แม่นางน้อยถึงกล่าวด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเลื่อมใส “อาจารย์อาน้อย เจ้าร้ายกาจจริงๆ เจ้ารู้หรือไม่ว่าหลี่ไหวผู้นี้ ขนาดข้าก็ยังได้แค่อัดให้เขายอมแพ้เท่านั้น แต่กลับเถียงสู้เขาไม่ได้ ต่อให้เป็นอาจารย์ฉีที่พูดหลักเหตุผลให้เขาฟัง หลี่ไหวก็ไม่ชอบฟังนัก”
เฉินผิงอันยื่นมือไปลูบคลำศีรษะของแม่นางน้อย ก่อนจะสะพายตะกร้าขึ้นหลัง “เตรียมตัวออกเดินทาง อีกสองวันพวกเราก็คงจะได้เห็นทางเดินม้าของต้าหลีแล้ว”
แม่นางน้อยสะพายหีบหนังสือใบเล็ก
แม่นางน้อย ชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดง หีบไม้ไผ่มีเขียว
อันที่จริงอาเหลียงอดกลั้นเอาไว้อย่างยากลำบาก เขาอยากจะบอกคนตัวใหญ่กับคนตัวเล็กสองคนนี้มากว่า หากไม่เป็นเพราะเป่าผิงน้อยของพวกเราน่ารักมากพอ แค่แต่งการด้วยสีสันเช่นนี้ก็มากพอจะทำให้คนหัวเราะตายแล้ว
หลี่เป่าผิงพลันเอ่ยว่า “หลี่ไหวผู้นี้ค่อนข้างเหมือนเจ้าเด็กขี้มูกยืดในตรอกหนีผิงของอาจารย์อาน้อย”
เฉินผิงอันอึ้ง ดูเหมือนว่าจะไม่เคยเอาเด็กสองคนนี้เปรียบเทียบกันมาก่อน พอลองคิดอย่างละเอียดก็ส่ายหน้า “ไม่เหมือนหรอก วันหน้าหากมีโอกาสได้เจอกู้ช่าน เจ้าก็จะเข้าใจเอง”
แม่นางน้อยร้องอ้อรับหนึ่งที จะอย่างไรซะก็เป็นแค่การเอ่ยขึ้นอย่างไม่ใส่ใจ เพียงไม่นานความคิดของนางก็ย้ายไปอยู่ที่ว่าทางเดินม้าของต้าหลีจะมีหน้าตาเป็นอย่างไร
อันที่จริงเฉินผิงอันก็เหมือนกับหลี่เป่าผิง ตอนแรกๆ ก็รู้สึกว่ากู้ช่านเด็กขี้มูกยืดค่อนข้างคล้ายกับหลี่ไหว แต่พออยู่ด้วยกันนานวันเข้าถึงค้นพบว่าสองคนนี้แตกต่างกันมาก
มองดูเหมือนหลี่ไหวมีนิสัยพอๆ กับกู้ช่าน ปากร้าย พ่นคำที่เต็มไปด้วยพิษเหมือนมีตะขาบมีแมงป่องติดอยู่บนปาก คำพูดประโยคเดียวก็ทำให้คนโมโหจนสำลักได้ ทว่าในสายตาของเฉินผิงอัน คนทั้งสองกลับต่างกันมาก เป็นเด็กไม่มีคุณธรรมเหมือนกัน มีชีวิตที่ยากจนเหมือนกัน กู้ช่านมองดูคล้ายมีแต่ความคิดชั่วร้ายอยู่ในหัว กลอกตาเปลี่ยนสีหน้าเร็วยิ่งกว่าใคร แต่ความฉลาดเฉลียวเกินวัยของกู้ช่านนั้นส่วนใหญ่กลับถูกอำพรางไว้เสียมากกว่า ส่วนหลี่ไหวคือเม่นน้อยตัวหนึ่งอย่างแท้จริง จับใครได้ก็สลัดขนทิ่มแทง นี่เป็นเพราะหลี่ไหวมีทั้งพ่อและแม่ เหนือขึ้นไปยังมีพี่สาว จิตใจจึงไม่ซับซ้อน อีกทั้งยังเคยเรียนหนังสือในโรงเรียน เพื่อนร่วมชั้นข้างกายคือหลี่เป่าผิง และยังมีหลินโส่วอีและสือชุนเจียที่แก่กว่าเล็กน้อย โดยทั่วไปแล้วหลี่ไหวจึงไม่เคยลำบากมาก่อน
แต่กู้ช่านนั้นไม่เหมือนกัน มารดาที่เลี้ยงเขามาจนเติบใหญ่เพียงลำพัง บางครั้งจำต้องพูดว่าพลอยทำให้เขาเดือดร้อนไปด้วย เป็นเหตุให้อายุยังน้อยก็พบเจออารมณ์อบอุ่นและเย็นชาของมนุษย์มาจนคบ เฉินผิงอันเคยเห็นกับตาตัวเองว่า มีชายฉกรรจ์เนื้อตัวอวลไปด้วยกลิ่นเหล้าเดินผรุสวาทเสียงดังเข้ามาในตรอกหนีผิง พอเห็นกู้ช่านที่เที่ยวเล่นเสร็จแล้วกลับมาบ้าน ไม่พูดพร่ำทำเพลงก็เดินเข้าไปถีบที่ท้องของกู้ช่านอย่างแรง พอกู้ช่านล้มลงบนพื้น ชายคนนั้นยังเตะเข้าที่หัวเขาซ้ำเต็มแรงอีกครั้ง เด็กตัวเล็กเพียงนั้นนอนกุมท้องขดตัวอยู่ตรงมุมกำแพง แม้แต่ร้องไห้ก็ยังร้องไม่ออก
หากไม่เป็นเพราะเฉินผิงอันเห็นเข้าพอดีจึงวิ่งตะบึงเข้าไปหา เหวี่ยงหมัดต่อยจนชายฉกรรจ์คนนั้นเซถอยแล้วรีบแบกกู้ช่านขึ้นหลังไปร้านตระกูลหยาง สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่าจะมีต้นตอของโรคอะไรถูกทิ้งไว้ในร่างกู้ช่านหรือไม่
แล้วกู้ช่านก็ยิ่งเป็นประเภทแค้นฝังใจ ในใจมีสมุดบัญชีเล็กๆ อยู่เล่มหนึ่ง ทุกบัญชีล้วนถูกจดจำไว้อย่างชัดเจน วันนี้ใครเคยด่าหยาบคายใส่แม่ของเขา ชายฉกรรจ์ไร้ยางอายบ้านไหนเกี้ยวพาราสีแม้เขา เขาล้วนจดจำได้หมด แต่อาจเป็นเพราะอายุที่เพิ่มมากขึ้น เรื่องบางเรื่องและรายละเอียดบางอย่างจึงลืมไปแล้ว ทว่าสำหรับความเคียดแค้นที่มีต่อคนบางคน กู้ช่านย่อมไม่มีทางลืม แน่นอนว่าชายที่เตะเขาสองทีคนนั้น กู้ช่านยิ่งจำได้ขึ้นใจ เขาชื่ออะไร อาศัยอยู่ตรอกไหน ในบ้านมีใครบ้าง กู้ช่านล้วนรู้อย่างชัดเจน เวลาที่อยู่กับเฉินผิงอันเพียงลำพังมักจะโหวกเหวกว่าจะต้องขุดสุสานบรรพบุรุษคนผู้นั้นขึ้นมา แถมยังบอกด้วยว่าชายคนนั้นมีลูกสาวคนหนึ่ง รอนางโตเมื่อไหร่ เขาจะต้องนอนกับนาง รังแกนางให้ถึงที่สุด
อาจเป็นเพราะในเวลานั้นเด็กชายยังไม่รู้ว่าการนอนด้วยกันมีความหมายว่าอะไร รู้เพียงว่าเมื่อเป็นคำพูดที่เกี่ยวข้องกับมารดาของเขาซึ่งหญิงชายรุ่นลุงรุ่นป้าหลายคนชอบ “พูดเล่น” กัน เวลาสตรีแต่งงานแล้วเอ่ยคำว่าลักลอบ ผู้ชายมักจะพูดคำว่านอนเสมอ
จนถึงทุกวันนี้เฉินผิงอันก็ยังคงจำได้อย่างชัดเจน เด็กชายอายุแค่สี่กว่าขวบ ดวงหน้าเล็กๆ อ่อนเยาว์นั้นเต็มไปด้วยความดุร้าย สายตาอำมหิตฉายประกายเหี้ยมโหด
เฉินผิงอันเป็นกังวลเล็กน้อย แน่นอนว่าเขาย่อมหวังให้กู้ช่านที่อยู่ข้างนอกมีชีวิตที่ดียิ่งกว่าใคร แต่ขณะเดียวกันก็ไม่ต้องการให้กู้ช่านกลายมาเป็นเทพเซียนที่มีนิสัยอย่างไช่จินเจี่ยน ฝูหนันหัว
เห็นว่าอาจารย์อาน้อยใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว หลี่เป่าผิงจึงถามว่า “เป็นอะไรไป?”
หากเป็นเมื่อก่อน เฉินผิงอันคงพูดว่าไม่เป็นอะไร แต่ตอนนี้กลับพูดความในใจออกมาโดยตรง “ข้ากลัวว่าครั้งหน้าที่ได้เจอกับเจ้าเด็กขี้มูกยืด เขาจะกลายเป็นคนที่ข้าไม่รู้จัก”
หลี่เป่าผิงกล่าวอย่างสงสัย “เด็กเล็กโตเร็ว ถ้าหากผ่านไปสี่ห้าปี เจ็ดแปดปีแล้วค่อยได้พบกัน พวกเจ้าไม่รู้จักกันก็เป็นเรื่องที่ปกติมาก”
เฉินผิงอันยิ้มกว้าง พูดเหมือนให้กำลังใจตัวเองเสียมากกว่า “ข้าเชื่อว่ากู้ช่านจะต้องเป็นเด็กขี้มูกยืดของตรอกหนีผิงคนนั้นตลอดไป”
ส่วนเขาจะจำตนได้หรือไม่นั้น ไม่เป็นไร ขอแค่เด็กคนนั้นมีชีวิตที่ดี ก็ดียิ่งกว่าอะไรแล้ว
……
ตรงท้องน้ำของแม่น้ำเถี่ยฝู่มีหินผาชั้นขาดปรากฏขึ้น ซึ่งมันลดระดับลงไปข้างล่างอย่างรวดเร็ว ทำให้กระแสน้ำที่ไหลไปยังตอนล่างเพิ่มระดับความเชี่ยวกรากในทันที
เฉินผิงอันยืนฝึกหมัดอยู่บนหินผาริมแม่น้ำ ทุกครั้งที่เดินกลับไปกลับมาล้วนเป็นหกก้าวของการฝึกเดินนิ่งนั้น
ไม่รู้ว่าอาเหลียงมายืนอยู่ริมหินผาตั้งแต่เมื่อไหร่
สะเก็ดน้ำสาดกระเซ็น เสียงน้ำดังอึงอล ไอน้ำแผ่อบอวลเหมือนช่วงปลายฤดูใบไม้ผลิที่ไอเย็นมาเยือน แต่ไม่ได้ถึงกับหนาวเย็นเสียดกระดูก
อาเหลียงพูดเสียงดัง “หมัดนี้ที่เจ้าฝึกฝน ไม่ค่อยน่าสนใจเท่าใดนัก การเดินนิ่งนี้เป็นเพียงแค่กระบวนท่าเล็กๆ ในการเริ่มต้นเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นสำนักใดในยุทธภพก็ล้วนมีหมด แต่กลับเป็นการยืนนิ่งนั่นต่างหากที่ถือว่าพอใช้ได้ อย่างน้อยก็สามารถช่วยให้เจ้ามีชีวิตรอดต่อไปได้อย่างถูไถ คล้ายเป็นยาที่ใช้รั้งชีวิต ไม่มีชื่อเสียงหรือราคาแพง แต่ดีที่เป็นยาซึ่งใช้ถูกโรค”
เด็กหนุ่มรับฟังแล้วคลี่ยิ้ม ไม่ได้เอ่ยอะไร
เพราะผู้เฒ่าเหยาเคยบอกว่า เวลาฝึกหมัดห้ามระบายลมปราณออกมาเด็ดขาด
อาเหลียงพยักหน้ารับ “แต่ว่าเรื่องที่ไม่น่าสนใจ เมื่อคนที่น่าสนใจทำกลับกลายเป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างมาก เจ้าฝึกหมัดอย่างนี้ ปัญหามีไม่มากนัก บนเส้นทางแห่งการฝึกวรยุทธ์ เดิมทีก็เหมือนน้ำที่หยดลงหินทุกวัน อาศัยการขัดเกลาที่ละเอียดอ่อนโดยใช้เวลาอยู่แล้ว”
เฉินผิงอันฝึกหมัดจบก็เช็ดเหงื่อบนหน้าผาก เอ่ยถาม “อาเหลียง เจ้าคงไม่ใช่เว่ยจิ้นแห่งหอเทพเซียนอะไรนั่นหรอกกระมัง?”
อาเหลียงพูดยิ้มๆ “แน่นอนว่าไม่ใช่ กลอนที่เขาพร่ำท่องนั่นเป็นคำพูดเดิมๆ ซ้ำไปซ้ำมา คุณภาพของสุราก็ย่ำแย่ไร้ใดเปรียบ พอดื่มเหล้าเมาก็ชอบร้องไห้ขี้มูกยืด ยังสู้หลี่ไหวไม่ได้เลยด้วยซ้ำ ข้าจะเป็นคนนแบบนี้ได้อย่างไร”
เฉินผิงอันตะลึงไปชั่วครู่คล้ายกับคิดไม่ถึงว่าอาเหลียงจะพูดโผงผางขนาดนี้ “แล้วลากับน้ำเต้าบรรจุเหล้านั่นล่ะ?”
อาเหลียงกลอกตามองบน “ก็ย่อมต้องเป็นของเว่ยจิ้นทั้งหมดอยู่แล้ว ข้าไม่ได้เป็นคนพิถีพิถันขนาดเขา เหล้าก็ชอบดื่มอยู่หรอก แต่จะให้ขี่ลาชมทิวทัศน์อะไรนั่นกลับทำไม่ได้จริงๆ เนิบนาบขนาดนั้น ข้าคงร้อนใจตายไปเสียก่อน”
เฉินผิงอันถามอย่างระมัดระวัง “เขาคงไม่ตายไปแล้วหรอกนะ?”
อาเหลียงยิ้มอย่างมีเลศนัย “ข้าจะฆ่าเขาไปทำไม ฆ่าคนชิงสมบัติงั้นหรือ?”
เฉินผิงอันมองอาเหลียงแล้วส่ายหน้า “ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่มีทางฆ่าเขา”
อาเหลียงหยิบน้ำเต้าบรรจุเหล้าที่เดิมทีควรใช้เลี้ยงกระบี่ขึ้นมาดื่มหนึ่งอึก “น้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ใบเล็กนี้เขาเป็นคนมอบให้ข้า ข้าสดุยอดสอนเวทกระบี่ให้แก่เขากับมือตัวเอง ความคิดของเจ้าเด็กนั่นสว่างจ้าในฉับพลัน ในที่สุดก็ทะลุคอขวดออกไปได้ จึงไปปิดด่านแล้ว เพื่อเป็นค่าตอบแทน เขาจึงมอบน้ำเต้าลูกนี้ให้แก่ข้า อย่าคิดว่าข้าเป็นฝ่ายได้เปรียบ เขาต่างหากที่ได้กำไรไปเต็มๆ ส่วนลาตัวนี้ข้าก็แค่ช่วยเขาดูแลชั่วคราวเท่านั้น”
ชั้นที่สิบของผู้ฝึกกระบี่สำนักการทหารศาลลมหิมะ คิดจะฝ่าขอบเขตไปให้ได้ เป็นเรื่องที่ยากมาก
แต่ว่าคำพูดประเภทนี้ อาเหลียงไม่คิดจะอธิบายให้เฉินผิงอันเข้าใจอย่างชัดเจนเกินไปนัก
เส้นทางต้องเดินไปเองทีละก้าว
เฉินผิงอันแปลกใจเล็กน้อยจึงถามว่า “ทำไมช่างหร่วนถึงจำเจ้าไม่ได้?”
อาเหลียงหาที่นั่ง แกว่งน้ำเต้าเล็กสีเงินยวงไปมา “ปราณกระบี่แห่งชะตาชีวิตยังคงอยู่ในน้ำเต้าลูกนี้ อีกทั้งยังไร้ความเสียหาย นี่หมายความว่าเจ้านายของมันยังคงมีชีวิตอยู่ ทั้งร่างกายและจิตวิญญาณล้วนอยู่ครบถ้วน แจกันสมบัติทวีปบูรพาของพวกเจ้าคือสถานที่เล็กๆ หร่วนฉงไม่คิดว่าที่นี่จะมียอดฝีมือที่สามารถสังหารเว่ยจิ้นได้ในพริบตา อีกทั้งยังสามารถว่องไวจนเว่ยจิ้นไม่ทันเชื่อมโยงความสัมพันธ์เข้ากับกระบี่บินแห่งชีวิต”
เฉินผิงอันตกตะลึง “สถานที่เล็กๆ? มีคนบอกว่าราชวงศ์ของแจกันสมบัติทวีปบูรพาเรามีมากเป็นร้อยเป็นพันราชวงศ์ จนถึงตอนนี้พวกเราก็ยังเดินไม่ถึงชายแดนต้าหลีเสียที”
อาเหลียงหันกลับมาโยนไหเหล้าให้กับเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างกาย “เจ้าก็รู้เหมือนกันหรือว่าเรา ‘เดิน’ กันอยู่ มาๆๆ ดื่มเหล้าสักอึก ผู้ชายดื่มเหล้าไม่เป็นก็เสียชาติเกิดแย่”
“ข้าไม่ดื่มเหล้า จูเหอเคยบอกว่าคนที่ฝึกวรยุทธ์จะดื่มเหล้าไม่ได้” เฉินผิงอันรับน้ำเต้าบรรจุเหล้ามาอย่างระมัดระวัง นั่งลงข้างกายอาเหลียง แล้วจึงยื่นคืนให้เขา อาเหลียงกลับไม่ได้รับไป เฉินผิงอันจึงได้แต่ประคองไว้ตรงหน้าอกอย่างระวัง มองน้ำในแม่น้ำแล้วเอ่ยปลงอนิจจังเสียงเบา “ก็จริงนะ ข้าเคยเห็นเทพเซียนที่เหยียบอยู่บนกระบี่บินไปบินมาผ่านเหนือศีรษะของคนในเมืองเล็กอย่างพวกเราไป มีเยอะมากเลย”
ตอนนี้พออาเหลียงได้ยินชื่อจูเหอก็ให้หงุดหงิดใจ แต่เจ้าเด็กข้างกายผู้นี้กลับดันชอบเอาตนไปเปรียบเทียบกับจูเหออยู่เรื่อย
เฉินผิงอันถามยิ้มๆ “อาเหลียง เจ้าสอนเวทกระบี่ให้เว่ยจิ้นได้จริงๆ หรือ? ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ต้องเก่งกาจยิ่งกว่าจูเหอน่ะสิ?”
เอาอีกแล้ว
อาเหลียงถอนหายใจ “ข้ากำลังอารมณ์ดีหรอกนะ จะไม่ถือสาเจ้าแล้วกัน”
เฉินผิงอันอยากรู้เรื่องนี้มากจริงๆ จึงถึงกับเอ่ยซักไม่เลิกอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน “หรือว่าจะร้ายกาจกว่ามากเลย?”
อาเหลียงแย่งน้ำเต้าบรรจุเหล้ามา เงยหน้ากรอกเข้าปากหนึ่งอึก ใบหน้าเต็มไปด้วยความรำคาญ “ไสหัวไปเลยไป๊”
เฉินผิงอันหัวเราะร่า หันหน้าไปมองชายฉกรรจ์สวมงอบที่ทำหน้าบูดบึ้ง กะพริบตาปริบๆ แล้วหัวเราะหึหึ “อันที่จริงข้ารู้ว่าเจ้าร้ายกาจกว่าจูเหอมาก”
อาเหลียงถึงได้รู้สึกดีขึ้นมาได้บ้าง
เฉินผิงอันรีบพูดเสริมหนึ่งประโยค น้ำเสียงจริงใจอย่างมาก “ข้ารู้สึกว่าจูเหอสองคนก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะเอาชนะเจ้าได้”
อาเหลียงกล่าวอย่างระอาใจ “หากเจ้าคิดจะประจบข้าจริงๆ ล่ะก็ ช่วยทำให้มันจริงใจกว่านี้หน่อยได้ไหม อย่างน้อยก็ตัดคำว่า ‘ไม่แน่เสมอไป’ นี่ทิ้งไปซะ”
เฉินผิงอันไม่ตอบโต้ มุมปากกระตุกโค้งขึ้น มองไปยังน้ำตกสีเขียวที่ส่งเสียงดังกังวานแล้วพลันเอ่ยว่า “อาเหลียง ขอบคุณเจ้ามาก”
อาเหลียงดื่มเหล้าติดกันอีกหลายอึก ก่อนจะถามอย่างไม่ใส่ใจ “หืม? ขอบคุณข้าทำไม ข้าทั้งไม่ได้สอนเจ้าฝึกวิชาหมัด แล้วก็ไม่ได้สอนเจ้าฝึกกระบี่ด้วย”
เฉินผิงอันนั่งขัดสมาธิ ยกนิ้วทั้งสิบขึ้นวางบนหน้าอกเป็นท่าหมัดเจี้ยนหลูด้วยความเคยชิน “หลังจากได้พบเจ้าก็รู้สึกว่าโลกภายนอกไม่ได้น่ากลัวมากอีกต่อไปแล้ว เพราะข้าค้นพบว่าที่แท้โลกภายนอกก็มีคนดีอยู่เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าใครมีความสามารถสูงกว่าแล้วจะรังแกคนอื่นได้ตามใจชอบ ตลอดทางมานี้หลี่ไหวและจูลู่พูดว่าเจ้ามากมายขนาดนั้น แต่เจ้าก็ไม่เคยโกรธพวกเขา”
อาเหลียงคลี่ยิ้ม ดื่มเหล้าอีกหนึ่งอึกอย่างเชื่องช้า “คำชมนี้ กะทันหันจนคนรับมือไม่ทัน ข้าต้องดื่มเหล้าดับความตกใจสักหน่อย แต่เจ้าก็รู้จักกลัวด้วยหรือ? กล้าฆ่าบุคคลดุจเทพเซียนที่อายุยังน้อยในตรอกเล็ก กล้าปะทะกับวานรย้ายภูเขาซึ่งๆ หน้า? กล้าพาเป่าผิงน้อยออกเดินทางไกลไปต้าสุยโดยไม่ต้องคิดให้มากความ? ความกล้าเจ้ามีไม่น้อยเลยจริงๆ”
เฉินผิงอันเอ่ยเสียงเบา “เรื่องบางเรื่องทำไปก็เพราะจำเป็นต้องทำ ไม่ได้หมายว่าข้าไม่กลัวแม้แต่น้อย ข้าเป็นเพียงลูกศิษย์ที่เตาเผามังกรคนหึ่ง ความกล้าจะมีมากสักแค่ไหนเชียว?”
อาเหลียงพยกัหน้า “คือเหตุผลนี้แหละ”
คนทั้งสองเงียบงัน มีเพียงเสียงน้ำที่ยังดังไม่ขาดสาย
อาเหลียงเป็นฝ่ายทำลายความเงียบก่อน โดยถามว่า “หากเจ้าทำเรื่องที่มีหน้ามีตาอย่างมากอยู่ในสถานที่แห่งหนึ่งที่มีชื่อเสียงมากๆ จากนั้นเจ้าสามารถสลักตัวอักษรขนาดใหญ่ตัวหนึ่งที่สืบทอดไปได้นับพันนับหมื่นปี เจ้าจะเลือกตัวอักษรตัวไหน?”
เฉินผิงอันครุ่นคิด “น่าจะเป็นแซ่ของข้ากระมัง พ่อแม่ของข้าต่างก็แซ่เฉิน หากได้สลักตัวอักษรเฉินลงไป คงดียิ่งนัก”
อาเหลียงส่ายหน้าถอนหายใจ “ไร้รสนิยมจริงๆ ไม่เหมือนข้า”
เพียงไม่นานอาเหลียงก็อธิบายให้ตัวเอง “ปกติๆ ชายที่มากพรสวรรค์เช่นข้านี้ จะอย่างไรซะก็เป็นบุคคลที่หาได้ยากดุจขนหงส์เขากิเลน วัวและแพะจับกลุ่มอยู่บนพื้นที่ราบ พยัคฆ์ร้ายเดินเดียวดายในเขาลึก เหงายิ่งนัก”
บางทีชายฉกรรจ์สวมงอบอาจซาบซึ้งใจไปกับคำพูดของตัวเองจึงรีบกรอกเหล้าเข้าปากอีกอึกใหญ่
เด็กหนุ่มรองเท้าแตะพลันยิ้มกว้าง ไม่ว่าอย่างไรก็หุบปากไม่ลง คล้ายว่าเขาเองก็นึกถึงเรื่องที่น่ายินดีมากขึ้นมาได้
นี่ต้องเป็นเรื่องที่หาได้ยากมากอย่างแน่นอน
ดังนั้นอาเหลียงจึงถามว่า “คิดถึงอะไร ถึงได้ยิ้มโง่งมนัก?”
เด็กหนุ่มหน้าแดงเล็กน้อย ตอบอย่างเขินอาย “หากสามารถสลักได้หลายตัวอักษร ถ้าอย่างนั้นข้าก็จะสลักชื่อผู้หญิงที่ข้ารักลงไป”
อาเหลียงยิ้มกว้าง จุ๊ปากพูด “ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ต้องจุดธูปให้มาก ขอพรให้ชื่อของภรรยาในอนาคตเจ้ามีแค่สองตัวอักษร หากเป็นสามตัว สี่ตัว หึหึ”
เฉินผิงอันอึ้งตะลึง “มีคนที่มีชื่อสี่ตัวอักษรด้วยหรือ? แบบนั้นจะไม่ประหลาดแย่หรือ?”
อาเหลียงตบไหล่เด็กหนุ่ม “เฉินผิงอัน วันหน้าต้องอ่านหนังสือให้มากๆ”
เฉินผิงอันรู้สึกลำบากใจเล็กน้อย
อาเหลียงพลันคืนสติ “เฉินผิงอัน เจ้ามีแม่นางที่ชอบอยู่แล้วหรือ?! ใครๆๆ รีบบอกมาเร็วเข้า ให้ข้าได้อารมณ์ดีบ้าง!”
เฉินผิงอันยิ้มตาหยี ส่ายหน้าตอบ “ไม่มีสักหน่อย”
อาเหลียงชี้หน้าเด็กหนุ่ม “รู้แต่แรกแล้วว่าเจ้ามันไม่ซื่อ”
เฉินผิงอันถามเบาๆ “อาเหลียง ตอนนี้เจ้ายังโสดอยู่ใช่ไหม?”
อาเหลียง “หุบปาก!”
เฉินผิงอันย้อนกลับ “ข้ารู้แต่แรกแล้ว”
อาเหลียงยื่นนิ้วโป้งชี้มาที่ตน “รู้หรือไม่ว่าในสถานที่หลายแห่ง มีจอมยุทธ์หญิงมากน้อยเท่าไหร่ที่ร้องไห้อ้อนวอนอยากจะแต่งให้ข้าอาเหลียง?”
เฉินผิงอันตอบกลับด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าต้องไม่รู้อยู่แล้ว”
อาเหลียงสะอึกอึ้ง จากนั้นก็ดื่มเหล้าเงียบๆ
เฉินผิงอันถาม “ใช่แล้วอาเหลียง เจ้าจะสลักตัวอักษรอะไร? บอกข้าได้ไหม?”
อาเหลียงสีหน้าสดใส เปลี่ยนมาเป็นลำพองใจทันที “นั่นก็สุดยอดมากเลยล่ะ ตัวอักษรที่ข้าจะสลักไม่เพียงแต่เขียนได้อย่างแข็งแกร่งและอ่อนโยนในคราวเดียวกัน มีเอกลักษณ์เป็นหนึ่งในใต้หล้า กุญแจสำคัญก็คือตัวอักษรนั้นน่าสนใจอย่างมาก! พูดท่องคล่องปาก พลังอำนาจน่าครั่นคร้าม เมื่อเทียบกับแซ่สกุลเอย เฮ่าหรานเอย (ซื่อตรงและยิ่งใหญ่) เหลยฉือเอย (บ่อสายฟ้า) ก็ดีกว่ามากมายหลายเท่านัก เจ้าไม่รู้อะไร เพื่อขัดขวางไม่ให้ข้าสลักตัวอักษรนี้ ใบหน้าของเจ้าพวกเต่าและตะพาบแก่หลายคนก็มืดทะมึนกันไปหมด ช่วยไม่ได้ กลัวว่าคนอื่นจะเก่งกว่า หลายคนในนั้นที่มีวัยวุฒิสูงมากโกรธจนตาถลนหนวดกระดิก เกือบจะถลกแขนเสื้อสู้กับข้าให้รู้ดำรู้แดง ข้าคร้านจะสนใจพวกเขา คนหน้าไม่อายอย่างพวกเจ้ารวมกลุ่มกันมาอัดข้าคนเดียว ข้าจะไม่หนีได้หรือ? ข้าโง่หรือไง ใช่ไหม? แน่นอนว่า ข้าสลักตัวอักษรนั้นเสร็จแล้วถึงค่อยหนีมา”
เฉินผิงอันรู้สึกเสียใจเล็กน้อยที่ถามคำถามนี้
อาเหลียงทำสีหน้า “เจ้ารีบถามเร็วเข้าว่าตัวอักษรนั้นคืออะไร”
เฉินผิงอันหันหน้ากลับไปมองผิวน้ำอีกครั้ง ให้ตายก็ไม่ยอมเปิดปากพูด
อาเหลียงอึ้งงันเป็นไก่ไม้
ชายฉกรรจ์สวมงอบปิดฝาจุกน้ำเต้าบรรจุเหล้าที่กลิ่นหอมแผ่อวลไปสี่ทิศเบาๆ เห็นได้ชัดว่าแม้แต่อารมณ์ดื่มเหล้าก็ไม่เหลือแล้ว
และเวลานี้เอง เฉินผิงอันพลันเบิกตากว้าง ค้นพบว่าบนผิวน้ำตอนล่างของแม่น้ำเถี่ยฝู่กลับมีคนสี่ห้าคนเดินญุ่บนผิวน้ำ มีชายชราผมขาวโพลนสวมชุดกันฝนขับขานเพลง “ภูเขาลือนามนับแต่โบราณกาลรอทุกท่านมาเยือน” เสียงดัง มีสตรีงามเพริศพริ้งสวมอาภรณ์งดงามหัวเราะคิกคักไม่หยุด และยังมีเด็กชายสวมชุดเต๋าในมือถือไม้เท้าไม้ไผ่ ลักษณะท่าทางเหมือนคนแก่
เฉินผิงอันเบิกตากว้าง พึมพำเบาๆ “เทพเซียน?”
อาเหลียนไม่แม้แต่จะชายตามอง
กระพรวนสีแดงที่อยู่ในมือของจูเหอส่งเสียงดังเร่งร้อน เขาห้อตะบึงมาหาเฉินผิงอันและอาเหลียง แล้วกล่าวด้วยสีหน้าหนักอึ้ง “นี่คือกระพรวนสยบมารที่ท่านบรรพบุรุษทิ้งไว้ให้ข้า หากมีมารปีศาจและภูติภูเขาขยับเข้าใกล้กระพรวนในรัศมีร้อยจั้ง มันจะดังขึ้นเองโดยที่ไม่ต้องมีลม ผู้อาวุโสอาเหลียง เฉินผิงอัน ทางที่ดีที่สุดพวกเราควรจะระวังตัวสักหน่อย ออกห่างไปจากหินผาริมแม่น้ำนี่ก่อนเถอะ หลีกเลี่ยงการปะทะที่ไม่จำเป็น”
เฉินผิงอันคิดตามก็ทำท่าจะลุกขึ้นยืน
อาเหลียงกลับไม่แม้แต่จะชายตามองภาพเหตุการณ์ประหลาดบนแม่น้ำ เพียงดึงจุกกาเหล้าออกแล้วแกว่งให้สองคนดู “ข้าดื่มเหล้าคำนี้เสร็จแล้วจะไป ไม่นานหรอก”
จูเหอร้อนใจเล็กน้อย “ผู้อาวุโสอาเหลียง ราชสำนักต้าหลีของพวกเราผ่อนปรนกับการควบคุมพวกภูติผีปีศาจในภูเขามาโดยตลอด ขอแค่ไม่มีคนตาย โดยทั่วไปแล้วจะไม่ยื่นมือเข้าแทรกเด็ดขาด…”
อาเหลียงร้องอ๋า เป็นแบบนี้เองหรือ แล้วจึงรีบลุกขึ้นยืน เตรียมจะไปจากหน้าผาพร้อมกับพวกเขาเพื่อหลีกทางให้กับแขกไม่ได้รับเชิญเหล่านั้น
ทว่าทันใดนั้นเอง บุคคลทั้งห้าที่ลักษณะไม่ธรรมดาบนผิวน้ำซึ่งมีตบะและขอบเขตสูงต่ำไม่เท่ากัน ผู้เฒ่าสวมชุดกันฝนที่มีตบะสูงสุดเป็นคนแรกที่ชะงักกึกเหมือนถูกฟ้าผ่าลงบนศีรษะ ยืนนิ่งไขยับ หลังจากนั้นสี่คนที่เหลือก็ทำท่าเหมือนกันหมด จากนั้นต่อมาผู้เฒ่าที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยปราณแห่งเซียนก็หมุนตัวกลับ ชักเท้าเผ่นหนีเป็นคนแรก คราวนี้เขาไม่สนมาดของเทพเซียนอะไรอีกแล้ว แทบจะใช้มือและเท้าร่วมกันเพื่อพาตัวเองหนีไปให้เร็วที่สุด ส่วนสี่คนที่เหลือก็ยังคงทำแบบเดียวกับเขา
อาเหลียงทำสีหน้ากังขาอย่างเสแสร้งจนดูปลอมไปมากกว่านี้ไม่ได้อีกแล้ว ทั้งยังหัวเราะชั่วร้ายอีกด้วย
จูเหอกลืนน้ำลายลงคอ
กระพรวนในมือเงียบสนิทไม่ขยับอีก
เขาจึงถามหยั่งเชิง “ผู้อาวุโสอาเหลียง นี่คือ?”
อาเหลียงรัดน้ำเต้าใบเล็กสีเงินไว้ตรงเอวให้เรียบร้อย ลูบคลำปลายคางตัวเอง “หรือว่าปราณสังหารของข้าเข้มข้นเกินไป?”
เฉินผิงอันถามเสียงเบา “อาเหลียง คนพวกนั้นรู้จักน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่ใบนี้ของเจ้างั้นหรือ?”
อาเหลียงหัวเราะเสียงดังลั่น โอบไหล่เด็กหนุ่มพากันเดินลงไปจากหน้าผาหิน “เป็นไปได้ๆ ในน้ำเต้าเลี้ยงกระบี่มักมีความลี้ลับซ่อนอยู่ หากเป็นคนอื่นข้าไม่ยอมบอกหรอกนะ”
อาเหลียงพลันปล่อยมือ บอกให้เฉินผิงอันกลับไปก่อน
เด็กหนุ่มรองเท้าแตะวิ่งเหยาๆ จากไป
อาเหลียงยังคงยืนเคียงไหล่อยู่กับจูเหอ เอ่ยเสียงเบา “จูเหอ เจ้าคือนักสู้ขอบเขตที่ห้า ใช่ไหม? เจ้าทำให้เฉินผิงอันคิดว่าเจ้าคือยอดฝีมือได้ยังไง? สอนข้าหน่อยสิ หาไม่แล้วข้าต้องเปลืองแรงมากมาย วางท่าเป็นยอดฝีมือไปก็เสียเปล่า เพราะเจ้าเด็กนั่นก็ยังทำเหมือนคนตาบอดที่มองไม่เห็นอยู่ดี”
ร่างของจูเหอแข็งทื่อ กล่าวอย่างกระวนกระวาย “ผู้อาวุโสอาเหลียง ข้อนี้ข้าไม่รู้จริงๆ”
อาเหลียงเดือดดาล “แบบนี้ก็หมดปัญญาเลยสิ”
จูเหอหน้าม่อย “ผู้อาวุโสอาเหลียง ข้าไม่รู้จริงๆ”
ด้านหน้า เด็กหนุ่มหมุนตัววิ่งเหยาะๆ ถอยหลัง หันหน้าหาอาเหลียง ถามกลั้วหัวเราะเสียงดัง “อาเหลียง สรุปว่าตัวอักษรนั้นคืออะไรกันแน่?”
สีหน้าอาเหลียงพลันแช่มชื่น กระแอมหนึ่งที มือหนึ่งจับประคองงอบ อีกมือหนึ่งชูนิ้วโป้งขึ้นสูง “เหมิ่ง!” (กล้าหาญ/ฮึกเหิม)
เด็กหนุ่มเหมือนถูกฟ้าผ่าไม่ต่างจากห้าคนบนผิวน้ำก่อนหน้านี้ จากนั้นจึงหมุนกายห้อตะบึงจากไปเงียบๆ พึมพำกับตัวเอง “ปู่เจ้าสิ!”