บทที่ 98 เทพภูเขาก่อกวน
จูเหอร่ายคาถาตักดินตามคำบอกในคัมภีร์ คลึงดินเป็นอักษรเยว่ เผายันต์สีเหลืองจนมอดไหม้ ก้าวเท้าเหยียบตามตำแหน่งดวงดาวรวดเดียว สุดท้ายสองนิ้วประกบชี้ไปยังยันต์บนพื้นพลางท่องเบาๆ ว่า “ปฏิบัติตามคำสั่งของท่านซานซานจิ่วโหว บัดเดี๋ยวนี้!”
จูเหอค้างอยู่ในท่ามือชี้ดิน ยิ่งนานสีหน้าก็ยิ่งกระอักกระอ่วน เพราะอักษรเยว่ที่อยู่บนพื้นดินไม่มีขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย หน้าผากของจูเหอมีเหงื่อผุดซึม ย้ำทวนกับตัวเองอยู่หลายรอบว่าได้ทำตามจุดสำคัญที่จะทำให้ยันต์สำแดงฤทธิ์แล้วหรือไม่ ยกตัวอย่างเช่นตอนเผายันต์ได้ถ่ายเทลมปราณจากช่องโพรงชี่ฝู่เข้าไปในยันต์มากน้อยแค่ไหน เป็นต้น จูเหอถามตัวเองแล้วก็แน่ใจว่าไม่มีข้อผิดพลาด ตามหลักแล้วควรจะจบลงด้วยความสำเร็จถึงจะถูก
ตามคำอธิบายที่บันทึกไว้ในคัมภีร์โบราณเหลืองซีด โกยดินสร้างภูเขาใน “บทเปิดภูเขา” ไม่ได้ทำให้มีภูเขาจริงๆ ปรากฏขึ้น นี่แตกต่างจากยันต์ถ่มน้ำลายข้ามแม่น้ำที่ประสิทธิผลสมกับชื่อใน “บทเดินกลางน้ำ” อยู่มาก หลังจากที่โกยดินแล้ว อักษรเยว่นี้จะกลายมาเป็นสะพานข้ามที่ทอดยาวให้เทพภูเขาหรือเจ้าแห่งผืนดินในสถานที่นั้นๆ เดินออกมาจากถ้ำสถิตของตัวเอง ขอแค่ไม่มีความคิดที่หยาบคายอกุศล ส่วนใหญ่แล้วองค์เทพที่ถูกเชิญออกมาจากภูเขานี้ก็มักจะตอบรับขอเรียกร้องของคนที่เผายันต์ เพราะตัวของแผ่นยันต์สีเหลืองแผ่นนั้นก็เหมือนกับของขวัญเยี่ยมเยือน ขอแค่องค์เทพที่พิทักษ์สายน้ำและภูเขาของพื้นที่หนึ่งปราฎตัว ก็หมายความว่าพวกเขายินดีเปิดประตูต้อนรับแขกแล้ว
แต่จูเหอรู้สึกว่าพิธีเชิญเทพอย่างฉุกละหุกของตนในครั้งนี้น่าจะเหลวเป๋วซะแล้ว
ทว่าเมื่อจูเหอหันตามเสียงดังกัมปนาทมองไปยังสันเขา ก็เห็นว่าต้นไม้ใหญ่ล้มครืนลงมาไล่เรียงกัน เห็นได้ชัดว่ามีวัตถุขนาดใหญ่ยักษ์กำลังพุ่งทะยานขึ้นมาบนยอดเขาอย่างรวดเร็ว หัวหอกชี้ตรงมาที่ทุกคนที่อยู่บนยอดเขาหินราบเรียบ บุกเสยขึ้นมาด้วยท่วงท่าราวกับพลิกภูเขาคว่ำมหาสมุทร
ความเคลื่อนไหวอันน่าตะลึงที่ส่งเสียงก้องสะท้านไปทั้งเทือกเขาทำให้พวกจูลู่ หลี่เป่าผิงรีบขยับเข้ามาใกล้จูเหออย่างรวดเร็ว จูเหอหันหน้ามากล่าวเสียงหนัก “ถอยกลับไป! พวกเจ้าไปยืนอยู่ตรงกลางพื้นหิน อย่าทำอะไรบุ่มบ่าม หลังจากนี้ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นห้ามขยับเข้ามาใกล้ข้าเด็ดขาด”
หลี่ไหวที่อายุน้อยที่สุดหน้าซีดขาว กระตุกชายแขนเสื้อของหลี่เป่าผิงที่อยู่ข้างกัน “คงไม่ใช่ปีศาจกินคนหรอกกระมัง? หรือว่าจะเป็นฝีมือเทพภูเขาก่อกวน? ก่อนหน้านี้เฉินผิงอันบอกกับอาเหลียงว่าอย่านั่งบนตอไม้ส่งเดช บอกว่านั่นคือเก้าอี้ของท่านเทพภูเขา จะนั่งไม่ได้…”
หลี่เป่าผิงยกสองแขนกอดอก กล่าวอย่างมั่นใจ “พวกเราอย่าหวาดกลัวจนลนลาน ต่อให้ท่านอาจูจะต้านทานสิ่งนั้นไม่ได้จริงๆ แต่อีกไม่นานอาจารย์อาน้อยกับอาเหลียงก็จะมาช่วยพวกเราแล้ว”
เพียงแต่ว่าหลังมือทั้งคู่ที่ขาวนวลของแม่นางน้อยชุดผ้าฝ้ายบุนวมสีแดงกลับเกร็งแน่นจนเส้นเลือดสีเขียวปูดขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าตัวนางเองก็ไม่ได้มั่นใจอย่างที่แสดงออก
หลินโส่วอีกลับเป็นคนที่สุขุมเยือกเย็นมากที่สุด ซุกซ่อนความรอคอยไว้ในดวงตา
จูลู่มองไปยังแผ่นหลังของบิดา อันที่จริงนางเป็นกังวลยิ่งกว่าหลี่ไหวเสียอีก
จูเหอพลันก้มหน้าลงมอง แล้วจึงเห็นผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยคนหนึ่งที่สูงไม่ถึงเอวของเขา หนวดขาวผมขาวดูสกปรกมอมแมม มือถือไม้เท้าแส้ไม้ไผ่สีเขียวเข้ม กำลังฟาดไม้เท้ามาที่น่องล่างของจูเหออย่างแรง คล้ายระบายความโกรธอย่างไร้เหตุผล รอจนจูเหอก้มหน้าลงมา ผู้เฒ่าก็ประสานสายตากับเขาอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะชักมือกลับอย่างขลาดๆ ถอยหลังไปหลายก้าวแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า “รู้ภาษาทางการของแจกันสมบัติทวีปบูรพาหรือไม่?”
จูเหอพยักหน้ารับอย่างมึนงง
ผู้เฒ่าถามอีกว่า “แล้วภาษาทางการของต้าหลีล่ะ?”
จูเหอพยักหน้าอีกครั้ง ยังไม่คืนสติกลับมาจากความตกตะลึง
ผู้เฒ่าถือไม้เท้าสีเขียวกระโดดตัวฟาดไม้เท้ามาที่ไหล่ของจูเหอหนึ่งที พอร่วงลงพื้น จูเหอไม่รู้สึกอะไร กลับเป็นตัวผู้เฒ่าเองที่เซถอยหลังเกือบล้มหงายหลัง ต้องรีบใช้มือข้างหนึ่งประคองเอวตัวเองไว้ ด่ากราดด้วยภาษาทางการต้าหลีอย่างเดือดดาล “บรรพบุรุษสิบแปดรุ่นของเจ้ามันระยำกันทั้งโคตร! ความสามารถห่าเหวอะไรไม่มีสักอย่าง แต่ฝีมือทำร้ายคนของเจ้ากลับร้ายกาจนัก ข้าผู้อาวุโสทำตัวเหมือนหนูขี้ขลาด หลบพวกเดรัจฉานอย่างน่าสงสารมาได้ตั้งหลายร้อยปีแล้ว เดิมทีนึกว่าคงจะต้องมีชีวิตอยู่ไปวันๆ แบบนี้ ไม่ง่ายเลยกว่าจะรอคอยจนได้พบโอกาสพลิกฟื้นที่พันปียากจะพานพบ แค่รอการแต่งตั้งเทพภูเขาและเทพแม่น้ำของราชสำนักต้าหลีอย่างเป็นทางการในครั้งนี้ ข้าผู้อาวุโสก็จะได้พบกับความสำเร็จหลังจากที่ทุ่มเทเหนื่อยยากมาแสนนาน ในที่สุดก็จะได้เลื่อนจากเทพเจ้าที่เป็นเทพภูเขา วันหน้าก็ไม่ต้องเผชิญกับความลำบากยากแค้นอีกแล้ว ต่อให้ยังคงสู้พวกมันไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ยังได้อิ่มท้อง…”
ผู้เฒ่าดบริภาษเสียงดังพลางยกมือเช็ดน้ำตา ทั้งเจ็บแค้นทั้งเศร้าเสียใจสุดขีด สุดท้ายใช้ไม้เท้าไม้ไผ่กระแทกลงบนพื้นดินแรงๆ อีกที “แน่จริงก็ไปฆ่ากับเดรัจฉานพวกนั้นเองสิ ไอ้ของเล่นเฮงซวยของไอ้พวกระยำสิบแปดชั่วโคตร! ใช้ยันต์ห่วยแตกแผ่นดินลากข้าผู้อาวุโสออกมา จะหลบก็หลบไม่ได้ ผลกลับกลายเป็นว่ายังต้องพาตัวมาตายพร้อมกับกลุ่มคนที่สมควรโดนแทงพันครั้งอย่างพวกเจ้า ตายเพื่อบูชารักหรือไร? ข้าคือเด็กสาวอายุสิบหก หรือกระดังงาลนไฟหรือไร หรือเจ้านิยมคนลักษณะข้า ห๊า?! ห๊า?! บอกกับข้ามาดังๆ! ไอ้ระยำสิบแปดชั่ว…”
ผู้เฒ่าไม้ไผ่เขียวเหมือนถูกคนบีบคอ พูดไม่ออกอีกแม้แต่คำเดียว
จูเหอหันกลับไปมองก็ขนลุกชันด้วยความสะพรึงกลัว
หัวกะโหลกสีดำทมิฬขนาดใหญ่เท่าอ่างน้ำหัวหนึ่งผุดขึ้นมาจากตรงสันเขาช้าๆ สุดท้ายจึงเผยตัวอย่างสมบูรณ์แบบท่ามกลางสายตาของทุกคนที่อยู่บนยอดเขาลักษณะเป็นพื้นหินเรียบ
ดวงตาสีเงินคู่หนึ่ง ลิ้นสีแดงฉานยาวราวต้นไม้ใหญ่ซึ่งผลุบเข้าผลุบออกอย่างรวดเร็ว ส่งเสียงดังฟ่อๆ
ร่างครึ่งหนึ่งของงูดำที่ใหญ่โตจนน่าพรั่นพรึงนี้ค่อยๆ เลื้อยขึ้นมาบนพื้นหินเรียบ ศีรษะและแผ่นหลังล้วนเต็มไปด้วยเกล็ดใหญ่ขนาดเท่ากัน ร่างทั้งร่างเป็นสีดำสนิทดุจหมึก เมื่ออยู่ภายใต้แสงอาทิตย์ก็ถูกส่องสะท้านเป็นประกายเลื่อม
แม้จะเป็นสัตว์เดรัจฉาน แต่ดวงตาของมันกลับคล้ายดวงตาของมนุษย์อย่างยิ่ง และเวลานี้ดวงตาของมันก็กำลังจับจ้องมองผู้เฒ่าชุดขาวที่ทั้งหนวดและเคราพันกันเป็นปมยุ่งเหยิงด้วยสายตาแฝงแววสนุกสนาน ราวกับกำลังบอกว่าเล่นแมวจับหนูกันมานานหลายปีขนาดนี้ ในที่สุดก็จับเจ้าได้แล้ว
ดูเหมือนผู้เฒ่าจะยอมรับชะตากรรมแล้ว ถึงได้นั่งแปะลงไปกับพื้น ทิ้งไม้เท้าไม้ไผ่ที่พึ่งพาดั่งชีวิต ตีอกชกหัว ร้องไห้คร่ำครวญเสียงดัง “เวรกรรมแท้ๆ เป็นถึงเทพเจ้าที่ของภูเขาแห่งหนึ่งกลับต้องมาถูกสัตว์เดรัจฉานรังแกถึงขั้นนี้ แล้วจะใช้ชีวิตอยู่ต่อไปได้อย่างไร…”
งูดำค่อยๆ ยืดหัวและช่วงเอวขึ้นตรง ต้องหน้าท้องเผยให้เห็นกรงเล็บขนาดเล็กคู่หนึ่ง เหมือนเล็บทั้งสี่ซึ่งอยู่ปักบนภาพชุดงูหลามที่อ๋องเจ้าแคว้นในราชวงศ์บนโลกมนุษย์สวมใส่ ไม่ใช่ห้าเล็บอย่างบนชุดคลุมมังกรที่จักรพรรดิสวม
ทว่าความแตกต่างเพียงเล็บเดียวนี้ สำหรับทุกคนที่อยู่บนยอดเขาและผู้เฒ่าร่างเล็กเตี้ยที่เรียกตัวเองว่าเทพเจ้าที่แล้ว กลับสามารถมองข้ามไปได้โดยตรง
ลูกตาของผู้เฒ่าพลันกลิ้งกลอกรวดเร็ว แล้วจึงลุกพรวดขึ้นยืน เงยหน้ามองงูดำตัวนั้น กล่าวด้วยน้ำเสียงตะลึงระคนยินดี “เนื้อหนังของเจ้าคนฝึกยุทธ์ไร้สมองผู้นี้ต้องหยาบกระด้างมากแน่ เจ้าคงมาเพราะเด็กๆ เนื้ออ่อนนุ่มที่อยู่ด้านหลังพวกนั้นสินะ เพราะว่าพวกเขามีปราณวิญญาณที่เปี่ยมล้น ไม่มีใครด้อยกว่าใคร ใช่หรือไม่?”
ผู้เฒ่าน้ำตายแตกฟองกระเด็นไปสี่ทิศ ยิ่งพูดก็ยิ่งฮึกเหิม ทั้งพูดทั้งหัวเราะเสียงดัง “กินๆๆ เชิญกินตามสบาย กินอิ่มแล้ว ในที่เจ้าก็จะมีร่างจริงเป็นโม่เจียว (เจียวหมึก/เจียวสีดำ เจียวก็คือเจียวหลง) ไม่ต้องคอยมาพะวงถึงตาแก่หนังเหี่ยวอย่างข้าอีกแล้ว ถึงเวลานั้นผู้อาวุโสน้อยก็เป็นเทพภูเขาฉีตุนต้าหลีของข้าไป เจ้าก็ช่วงชิงตำแหน่งมังกรลงแม่น้ำของเจ้า ก่อนหน้าที่จะลงแม่น้ำ เจ้ายังคงเป็นราชาภูเขาที่ยิ่งใหญ่ของที่แห่งนี้ ยังคงสามารถอึหรือฉี่ลงมาบนหัวผู้อาวุโสน้อยได้ตามใจต้องการ ดังนั้นตอนนี้เจ้ากินข้าเข้าไปก็ไม่มีความหมาย ถึงแม้ว่ากินแล้วจะสามารถเพิ่มตบะได้เล็กน้อย แต่จะอย่างไรซะเฒ่าน้อยอย่างข้าก็เป็นหนึ่งในเทพเจ้าที่ สำหรับการเป็นมังกรลงน้ำลงมหาสมุทรของเจ้าในอนาคตแล้วก็ถือเป็นอุปสรรคใหญ่อย่างหนึ่ง เพราะเหล่าองค์เทพที่อยู่ในแม่น้ำทะเลสาบต้องมองเจ้าเป็นศัตรูร่วมกัน ย่อมคอยถ่วงรั้งเจ้าไปตลอดทาง…”
ปากขนาดใหญ่ของงูดำตัวนั้นปริเป็นรอยแยกเส้นหนึ่งคล้ายคนที่กำลังยิ้มหยัน หัวของมันผงกไปทางด้านหลังของผู้เฒ่า
ผู้เฒ่าอึ้งงันเป็นไก่ไม้อีกครั้ง นั่งแปะลงบนพื้นอย่างหมดอาลัยตายอยาก ครั้งนี้กลับไม่มีน้ำตานองเต็มหน้า แค่โอดครวญเสียงแห้ง “หนึ่งผู้หนึ่งเมีย ล้วนต้องการพิสูจน์มรรคา เจ้ากินเด็กๆ ลัทธิขงจื๊อที่เป็นเหมือนยาวิเศษมหัศจรรย์กลุ่มนั้นเพื่อสร้างรากฐานให้แก่การลงน้ำกลายเป็นมังกร ส่วนเมียของเจ้ากินข้า เพื่อยึดตำแหน่งเทพภูเขาคนถัดไปได้อย่างราบรื่น คำนวณมาดีๆ ข้ายอมแล้ว ผู้เฒ่าน้อยยอมแพ้แล้ว…”
สายตาของผู้เฒ่าชุดขาวมอมแมมเลื่อนลอย พึมพำกับตัวเอง “มหามรรคายากจะหยั่ง ที่แท้ก็แค่นี้เอง”
ท่ามกลางกาลเวลาอันไกลโพ้น เคยมีเซียนสองคนจับมือกันขี่เมฆทะยานหมอกผ่านทางมา เมื่อความสนใจบังเกิดจึงเยื้องกรายลงมาเยือนภูเขาแห่งนี้ ครั้นจึงตั้งกระดานหมากบนยอดเขา คนหนึ่งเพียงสะบัดปลายแขนเสื้อ ยอดเขาก็ถูกตัดทิ้ง ใช้นิ้วมือแทนกระบี่ตวัดกรีดเส้นแนวตั้งและแนวขวางทั้งหมดสิบเก้าเส้น อีกคนหนึ่งหยิบดินมาทำให้เป็นหมากสีดำ คว้าเมฆมาเป็นหมากสีขาว ทั้งสองคนพูดคุยกันพลางผลัดกันวางหมากคนละตัว หมากเหล่านั้นก่อกำเนิดกลายมาเป็นสิ่งมีชีวิตของฟ้าดินแห่งนี้ หมากสีดำคืองูดำ หมากสีขาวคืองูขาว ขดพันอยู่เหนือกระดานหมากรุกบนยอดเขานิ่งสนิทไม่ไหวติง หมากตัวขาวถูกกินก็จะถูกงูดำที่อยู่ใกล้เคียงกลืนลงท้อง กลับสลับกันไปมา
สถานการณ์บนกระดานหมากของทั้งสองฝ่ายสูสี เซียนสองท่านที่เวทคาถาเลิศล้ำค้ำฟ้าไม่รอให้ผลแพ้ชนะปรากฏก็จากไปด้วยหมดความสนใจ ก่อนจะจากไป บนยอดเขายังเหลืองูขาวดำอยู่อีกร้อยกว่าตัว และท่ามกลางกาลเวลาอันยาวนานหลังจากนั้น งูขาวและงูดำต่างก็เข่นฆ่ากันเอง พวกมันกัดกินอีกฝ่ายอย่างบ้าคลั่ง สุดท้ายหลงเหลือเพียงแค่งูดำที่มีความหวังว่าจะลอกคราบกลายเป็นโม่เจียว และงูขาวเฉลียวฉลาดที่ตรงเอวมีปีกงอกขึ้นมา ไม่รู้ว่าทำไม งูดำและขาวสองตัวนี้ถึงได้ไม่เข่นฆ่าเอง อีกทั้งยังกลายมาเป็นคู่ผัวตัวเมียกัน
พวกมันเจ้าเล่ห์และปลิ้นปล้อนอย่างถึงที่สุด แรกเริ่มนั้นพวกมันยังไม่กล้าไปหาเรื่องนักพรตที่สร้างภัยคุกคามให้แก่พวกมันได้ง่ายๆ จะเลือกลงมือกับแค่พ่อค้าหรือนักเดินทางที่เดินทางมาเพียงลำพังเท่านั้น และจำนวนครั้งในการลงมือก็ไม่ถี่ ส่วนมากจะออกจากถ้ำมาฆ่าคนในวันที่ฝนหรือหิมะตกหนัก หลายร้อยปีที่ผ่านมา อาศัยอายุขัยยืนยาวที่มีมาแต่กำเนิดของตัวเองค่อยๆ สั่งสมพละกำลังกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่ง รอคอยโอกาสที่จะได้พิสูจน์มรรคาอย่างใจอดทน แต่ละครั้งล้วนสังหารเป้าหมายอย่างแม่นยำ แล้วก็เริ่มเลือกลงมือกับพวกผู้ฝึกยุทธ์และผู้ฝึกลมปราณ เป็นเหตุให้พละกำลังของพวกมันพุ่งทะยานเร็วขึ้นทุกขณะ เป็นเหตุให้แม้แต่เทพเจ้าที่ของภูเขาลูกหนึ่งก็ยังกลายมาเป็นอาหารในจานที่พวกมันปรารถนาจะกลืนกินแม้ในยามหลับฝัน ช่วงแรกทั้งสองฝ่ายต่างก็อยู่ในที่ของใครของมัน เทพเจ้าที่ทำอะไรพวกมันที่คอยก่อกรรมทำเข็ญไม่ได้ พวกมันเองก็จับตาเฒ่าเจ้าที่ที่ไหลลื่นดุจปลาหนีชิวไม่ได้เช่นกัน
หลี่ไหวทนไม่ไหวจริงๆ จึงตะโกนด่าดังลั่น “คนอย่างเจ้าก็คู่ควรจะเป็นเทพภูเขาเจ้าแห่งแผ่นดินด้วยหรือ?! สวรรค์ไม่ได้ตาบอดเสียหน่อย!”
ผู้เฒ่านั่งหันหลังให้กับกลุ่มเด็ก ใช้ไม้เท้าทุบลงบนพื้นหินเรียบแรงๆ หนึ่งที คร้านจะถือสาพวกเขา เพียงแต่ยังพึมพำเสียงเบาอย่างไม่สบอารมณ์ “ก็คงจะตาบอดจริงๆ นั่นแหละ”
อันที่จริงจูลู่คือคนที่หงุดหงิดที่สุด แต่พอนางเห็นงูดำตัวนั้น ทั้งร่างของเด็กสาวก็สั่นสะท้านอย่างที่ไม่อาจควบคุม นางที่อยู่ในขอบเขตสองขั้นสูงสุดค้นพบว่าตัวเองไม่มีความกล้ามากพอที่จะคุมเชิงกับตัวประหลาดประเภทนี้เลยด้วยซ้ำ ต่อให้แค่ก้าวเดียว แค่ก้าวเดียวเท่านั้น นางก็ยังไม่มีความกล้าที่จะเดินออกไป
จะอย่างไรเสียจูลู่ก็เป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้า ความกล้าจึงมีมากพอ อีกอย่างสถานการณ์ในตอนนี้ก็ไม่มีที่ให้เขาถอยแม้แต่ครึ่งก้าว ด้านหลังคือคุณหนูของตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้นยังมีบุตรสาวของตนอยู่ด้วย ชายผู้นี้ไม่กล้าหันตัวกลับโดยพลการ ได้แต่พยายามตะโกนเตือนสุดกำลัง “จูลู่! ระวังหน้าผาทางด้านหลัง ยังมีสัตว์เดรัจฉานอีกตัวหนึ่งแอบซุ่มอยู่ในที่มืด!”
เด็กสาวทำได้เพียงขยับริมฝีปากแผ่วเบา คล้ายต้องการบอกบิดานางว่าไม่ต้องเป็นห่วง แต่เสียงที่ลอดออกมากลับเบาไม่ต่างจากเสียงยุง
ผู้ฝึกยุทธ์จูเหอไม่มีเวลามาสนใจเรื่องพวกนี้ เห็นเพียงว่างูดำที่อยู่เบื้องหน้าเริ่มส่ายหัวอย่างเชื่องช้า มอบความรู้สึกที่ใกล้เคียงกับคำว่าหายใจไม่ออกให้แก่เขา
กลางอากาศนอกหินผา เสียงอื้ออึงเสียดหูดังขึ้นเป็นระลอก
พวกจูลู่และหลี่เป่าผิงหันขวับไปด้านหลังอย่างตะลึงพรึงเพริด
งูสีขาวหิมะร่างเล็กบางตัวหนึ่งลอยตัวอยู่กลางอากาศสูงไม่ห่างจากหน้าผาเท่าใดนัก มันไม่มีสี่กรงเล็บ แต่ปีกคู่หนึ่งที่เกือบจะโปร่งแสงกลับกำลังพัดกระพืออย่างว่องไว ดวงตามืดทะมึนคู่นั้นของมันจ้องเขม็งมาที่เด็กสาวจูลู่ ยามที่แลบลิ้นแผล่บๆ ก็มีของเหลวสีขาวขุ่นข้นหยดลงมาอย่างต่อเนื่อง เรียกได้ว่าอยากกินอาหารเลิศรสจนน้ำลายไหลอย่างแท้จริง
มันมองประเมินเรือนกายของเด็กสาวหน้าตาใสพิสุทธิ์ สุดท้ายสายตาถึงไปหยุดจ้องนิ่งบนใบหน้าของนาง
จูลู่ที่ถูกสัตว์เดรัจฉานจับจ้องเช่นนี้รู้สึกเพียงขาทั้งสองข้างอ่อนยวบ เรี่ยวแรงทั้งร่างหดหาย แม้ว่านางจะยังไม่ได้ล้มลงไป แต่กลับเริ่มหายใจยากลำบาก เด็กสาวรู้ดีอยู่แก่ใจตัวเองว่า อย่าว่าแต่ออกหมัดบีบให้ศัตรูถอยไปเลย ต่อให้แค่ขยับนิ้วสักทีหนึ่งก็เป็นความเพ้อฝันแล้ว
นางถึงขั้นไม่รู้ด้วยซ้ำว่าดวงหน้าของตนที่เวลาปกติมักจะเชิดขึ้นอย่างหยิ่งทระนงในตัวเองนั้นเต็มไปด้วยน้ำตานานแล้ว
เด็กสาวที่เต็มไปด้วยจินตนาการเพ้อฝันต่อยุทธภพนับตั้งแต่วันแรกที่ได้เรียนวรยุทธ์ บัดนี้กลับเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและเคียดแค้น
นางไม่ควรต้องมาตายอยู่ที่นี่ นางจะมาตายอยู่ที่นี่ได้อย่างไร
ดวงตาที่เอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตาของเด็กสาวอัดแน่นไปด้วยแวววิงวอน
งูขาวไร้ซึ่งความเห็นใจต่อสายตาน่าสงสารของเด็กสาว มันทำแค่พยายามเพ่งมองดวงหน้าที่น่าเวทนาของเด็กสาว แล้วก็ยิ่งน้ำลายไหลด้วยความกระหาย ราวกับว่านาทีถัดมาดวงหน้านี้จะกลายมาเป็นโฉมหน้าของมันอย่างไรอย่างนั้น
มองดูเหมือนศีรษะของผู้เฒ่าเทพเจ้าไหล่ลู่คอตกอย่างสิ้นหวัง แต่อันที่จริงดวงตากลับกลอกไปมาไม่หยุดนิ่ง ปลายหางตาเหลือบไปเห็นอักษรเยว่ที่เกิดจากการคลึงดินซึ่งกลบทับด้วยขี้เถ้าที่เป็นซากของยันต์สีเหลือง หากได้ผลล่ะก็ เขาก็อยากจะนอนพาบไปกับพื้น อมลมให้แก้มพองเป่าขี้เถ้าพวกนั้นให้ปลิวหลุดออกไปจากอักษรตัวเยว่ น่าเสียดายที่เขารู้ดีว่าทำอย่างนั้นมีแต่จะเปลืองแรงเปล่า
หลินโส่วอีเริ่มร้อนใจ กวาดตามองซ้ายมองขวาไปทั่ว
ส่วนหลี่ไหวมุมปากกระตุก อยากร้องแต่ก็ร้องไม่ออก ย่อตัวนั่งยองหันหลังพิงหีบหนังสือไม้ไผ่สีเขียวใบเล็กที่หลี่เป่าผิงวางไว้ข้างเท้า ยกสองมือกอดเข่า ด้านหลังมีเสียงลมเย็นๆ พัดโชยมาเป็นระลอก เด็กน้อยคนนี้เริ่มคิดถึงเสียงด่าตั้งแต่เช้าจรดเย็นของมารดา คนถึงเสียงกรนดั่งเสียงฟ้าผ่ายามค่ำคืนของบิดา
มีเพียงหลี่เป่าผิงที่สายตาเริ่มมั่นคงมากขึ้นทุกขณะ แม้เหงื่อจะออกเต็มศีรษะของแม่นางน้อย แต่กระนั้นนางก็ยังเชิดคางสูง ไร้ซึ่งความหวั่นเกรง
งูดำพลันเอาหัวพุ่งชนจูเหอ
จูเหอที่กลั้นลมหายใจตั้งสมาธิป้องกันอย่างระมัดระวังมาโดยตลอดชักขาข้างหนึ่งไปด้านหลัง อีกข้างหนึ่งเหยียบไปข้างหน้า ใช้หมัดซึ่งหน้าฝืนปะทะเข้ากับศีรษะยักษ์ของงูดำ
หมัดของจูเหอรวดเร็วรุนแรงดุจพายุลมพรด หนึ่งหมัดปล่อยไปกลับถึงขั้นทำให้ศีรษะนั้นเกิดเสียงดังกัมปนาท
ภายใต้การโจมตีอย่างรุนแรง ศีรษะของงูดำสะบัดไปด้านหลัง เรือนกายใหญ่โตที่ตั้งตรงครึ่งร่างก็หงายผงะไปหลายส่วน
จูเหอที่ชาไปทั้งแขนกัดฟัน รีบดึงเท้าสองข้างที่จมลงไปในพื้นหินเรียบครึ่งฉื่อออกมาอย่างรวดเร็ว ไม่เพียงไม่ถอย กลับยังก้าวยาวๆ พุ่งไปข้างหน้า ทุกก้าวล้วนกระแทกให้แผ่นหินบนยอดเขาจมเว้าลงเป็นรอยเท้า
จากการฝืนปะทะซึ่งหน้าเมื่อครู่นี้ จูเหอไม่คิดว่าตัวเองจะไม่มีพลังให้ต่อสู้!
งูดำใช้หัวพุ่งเข้าชนอย่างป่าเถื่อนอีกครั้ง ลมปราณในร่างของจูเหอไหลเวียนดุจน้ำที่ทะลักออกจากเขื่อน เลือดลมเดือดพล่าน กล้ามเนื้อแขนปูดนูนจนแทบจะดันให้แขนเสื้อปริขาด คำรามอย่างเดือดดาลหนึ่งครั้ง ก่อนจะปล่อยหมัดกระแทกลงไปจังๆ หน้าสัตว์เดรัจฉานอย่างดุดัน
การโจมตีอย่างหนักหน่วงที่ใช้พลังแทบทั้งหมดที่มีระเบิดเสียงสะท้านกึกก้องดุจเสียงค้อนเหล็กเคาะบนระฆังยักษ์
หัวงูใหญ่เท่าอ่างน้ำถูกหมัดนี้ต่อยจนผงะหงายกระแทกลงบนพื้นหิน ฝุ่นดินคลุ้งตลบอบอวล
มีวัตถุอย่างหนึ่งพุ่งออกมาด้วยความเร็วที่เหนือกว่าการพุ่งชนสองครั้งก่อนหน้านี้ของงูดำไปมาก พริบตาเดียวก็กระแทกเข้าที่ด้านข้างร่างของจูเหอ เขาถูกกระแทกจนทั้งร่างปลิวออกไปหลายสิบจั้ง แม้จะไม่ใช่การโจมตีถึงแก่ชีวิตในครั้งเดียว ทว่าเนื้อหนังของจูเหอไม่เพียงปริแตก ใบหน้ายังเต็มไปด้วยเลือด เห็นได้ชัดว่าบาดเจ็บไม่น้อย กลิ้งหลุนๆ อยู่บนพื้นหลายที หลังจากหยุดตัวเองได้อย่างยากลำบากก็ตั้งท่ารับ ฝืนใจกลืนเลือดสดที่พุ่งมาจุกตรงลำคอลงไป ไม่สนใจอาการบาดเจ็บทั้งในและนอกกาย เตรียมจะพุ่งไปข้างหน้าเพื่อทุ่มชีวิตต่อสู้กับเจ้าสัตว์เดรัจฉาน
ที่แท้สองครั้งก่อนหน้านี้งูดำแสร้งทำเป็นอ่อนแอเพื่อปูทางให้กับการตวัดหางที่รวดเร็วดุจสายฟ้าแลบในครั้งนี้
จูเหอเบิกตากว้าง ตื่นตะลึงสุดขีด
หางตาเหลือบไปเห็นว่างูขาวพลันขยับร่างลงมือโจมตีจูลู่บุตรสาวของเขา ปากใหญ่สีแดงฉานนั้นมองดูแล้วน่าสยดสยองยิ่งนัก
และเวลานี้เองเรือนกายผอมแห้งของคนผู้หนึ่งได้วิ่งตะบึงมาบนสันหลังของงูดำ สุดท้ายเหยียบบนศีรษะของมันแล้วกระโดดลอยตัว มือของเด็กหนุ่มถือมีดผ่าฟืนกระโจนเข้าใส่งูขาวตัวนั้น
ในช่วงเวลาอันตรายล่อแหลม เด็กหนุ่มรองเท้าแตะผู้นี้ใช้มีดฟันลงไปบนปีกข้างซ้ายของงูขาวขาดพอดี!
แต่เด็กหนุ่มเองก็ถูกงูขาวที่ร่างเอนเอียงกระแทกอย่างแรงจนปลิวกระเด็นไปเช่นกัน
……
มุมใดมุมหนึ่งบนสันเขาเบื้องล่างพื้นหินเรียบ ชายสวมงอบนั่งอยู่บนกิ่งต้นสนโบราณที่ยื่นออกมานอกหน้าผา จิบเหล้าคำเล็กๆ ด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
เขาจับประคองงอบ หัวเราะเฮอะๆ