Skip to content

Sword of Coming 99

บทที่ 99 เทพภูเขาและดาบไม้ไผ่

ปีกคู่ที่อยู่บนลำตัวของงูขาวที่เพรียวบางเหมือนหญิงสาวไม่ถือว่าใหญ่จนเกินจริง แต่โปร่งแสงมาก หากไม่ตั้งใจมองก็แทบจะมองไม่เห็น ยากที่จะจินตนาการได้ว่าเหตุใดเพียงแค่กระพือปีกคู่นี้ก็ทำให้มันลอยตัวอยู่กลางอากาศนอกหน้าผาพื้นหินเรียบได้แล้ว ทำให้คนอดที่จะคาดเดาไม่ได้ว่า มันได้ฝึกเวทอภินิหารบางอย่างที่คล้ายคลึงกับคาถาลอยตัวของผู้ฝึกลมปราณหรือไม่

เพียงแต่ว่าตอนนี้ทุกอย่างนี้ไม่มีความหมายสักเท่าใดแล้ว งูขาวโก่งตัวไปด้านหลังแล้วพุ่งโฉบลงมาอย่างรวดเร็ว มันอ้าปากสีแดงฉานกว้าง พยายามจะกลืนกินสาวใช้จูลู่ที่มีใบหน้างามพิสุทธิ์ แต่คาดไม่ถึงเลยว่ากลับถูกเด็กหนุ่มถือมีดที่ไม่รู้ว่าโผล่ออกมาจากไหนคนหนึ่งใช้สันหลังและศีรษะของงูดำเป็นสะพานและกระดานกระโดด ดีดตัวสูงเพียงทีเดียว มีดผ่าฟืนในมือก็ฟันลงมาตรงจุดเชื่อมต่อระหว่างปีกและร่างกายของงูขาวอย่างพอดิบพอดี งูขาวจำเป็นต้องใช้ปีกคู่นั้นในการลอยตัวกลางอากาศและควบคุมทิศทาง พอถูกมีดฟันปีกข้างหนึ่งขาด ร่างกายจึงยังอาศัยแรงเฉื่อยพุ่งไปข้างหน้า ทว่ากลับเอียงเป๋มาด้านข้างถึงจั้งกว่า ปากใหญ่สีแดงน่าสะพรึงของงูขาวจึงแฉลบผ่านไหล่ของเด็กสาวไปพอดี ก่อนที่ร่างของมันจะกระแทกลงบนพื้นหินอย่างแรง

จูลู่รวมถึงเด็กนักเรียนสามคนด้านหลังนางผ่านหายนะมาได้พร้อมกัน ฉวยโอกาสที่งูขาวหัวกระแทกพื้นยังมึนงงหาทิศทางไม่เจอ หลี่เป่าผิงก็รีบสะพายหีบหนังสือขึ้นหลังตะโกนบอกให้ทุกคนรีบหนี หลินโส่วอีหยิบสัมภาระติดตามไปด้านหลังนางเงียบๆ หลี่ไหวตกใจจนฟันกระทบกันไม่หยุดนานแล้ว หลังจากวิ่งออกไปได้ระยะหนึ่งก็ค้นพบด้วยความบังเอิญว่าไม่มีเงาร่างของคนน่ารำคาญจูลู่ พอหันหน้ากลับไปมอง หลี่ไหวก็อึ้งงัน ยายผู้หญิงคนนั้นยืนโง่งมอยู่ที่เดิม นี่ไม่เท่ากับยืนรอความตายหรือไร? หลี่ไหวอดไม่ไหวจึงตะโกนเรียกเสียงดัง “จูลู่ ยังไม่หนีอีกรึ?!”

ในที่สุดจูลู่ก็สะดุ้งเฮือก สติกลับเข้าร่างมาได้บ้างแล้ว เพียงแต่ยังขวัญหาย พอหันหน้ามองหลี่ไหวด้วยสายตาเลื่อนลอยก็เห็นเพียงว่าเจ้าเด็กนั่นวิ่งไปร้องตะโกนไปด้วย “วิ่งสิ! จะอยู่รอตายหรือไง!”

พอสติกลับคืนมาเต็มที่ จูลู่ก็แสดงให้เห็นถึงความแข็งแรงปราดเปรียวของเรือนกายผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตสองในทันที เพียงสี่ห้าก้าวก็พุ่งมาอยู่ข้างกายหลี่ไหว ถอยหนีห่างจากพื้นหินเรียบที่งูขาวล้มอยู่ไปพร้อมกับพวกเขา แล้วก็จริงดังคาด ตรงจุดเดิมที่จูลู่เพิ่งจากไป ตำแหน่งที่ปีกของงูขาวตัวนั้นหักมีเลือดสดพุ่งสาดทะลักทลาย แล้วมันก็เริ่มดิ้นรนอย่างรุนแรงด้วยความเจ็บปวด หางฟาดสะบัดอย่างบ้าคลั่ง กระแทกให้สะเก็ดหินจากพื้นหินเรียบแตกกระเซ็น หากจูลู่ออกมาจากตรงนั้นช้ากว่านี้สักนิด เกรงว่าคงถูกหางใหญ่ที่หนาเท่าถังน้ำของงูขาวฟาดจนแหลกเป็นเนื้อเหลวไปแล้ว

หลังจากปีกหายไปข้างหนึ่ง งูขาวก็เสียพลังต้นกำเนิดไปมาก จึงดิ้นสะบัดพลิกตลบไปมาไม่หยุด เศษหินจำนวนนับไม่ถ้วนปลิวตลบฟุ้งกระจายเนิ่นนาน

แต่เด็กหนุ่มเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ ง่ามนิ้วของมือข้างซ้ายที่ถือมีดผ่าฟืนฉีกขาด ทั้งมืออาบไปด้วยเลือดสด

เฉินผิงอันคุกเข่าข้างเดียวอยู่บนพื้น ยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อตรงหน้าผากเพื่อไม่ให้มันไหลเข้าตามาบดบังการมองเห็น

มีดผ่าฟืนหักไปครึ่งหนึ่งแล้ว ตอนที่ใบมีดแวววับดีดกลับมา หากไม่เป็นเพราะเฉินผิงอันมีไหวพริบสังเกตเห็นรวดเร็ว รีบเบี่ยงศีรษะหลบไปด้านข้าง ไม่แน่ว่าบนหน้าอาจมีมีดผ่าฝืนครึ่งหนึ่งปักคาอยู่ หรืออย่างน้อยแก้มก็ต้องถูกปาดเอาเนื้อออกไปก้อนใหญ่

ตำแหน่งที่เฉินผิงอันอยู่ในเวลานี้ทำมุมสามมุมกับงูดำและงูขาวพอดี พฤติกรรมของงูดำตัวนั้นประหลาดยิ่ง พอเห็นว่างูขาวได้รับบาดเจ็บสาหัสกลับไม่ยอมละทิ้งจูเหอหันมาไล่ฆ่าเฉินผิงอัน กลับยังมี “สีหน้า” ที่ผ่อนคลายเยือกเย็นยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ ขยับเคลื่อนร่างท่อนบนอย่างเชื่องช้าและใจเย็น รักษาท่าคุมเชิงกับจูเหออยู่ตลอดเวลา ดวงตาสีเงินเต็มไปด้วยกลิ่นอายอึมครึมคู่นั้นของงูดำกวาดมองมาบนร่างของงูขาวเป็นบางครั้ง สายตานของมันไม่แตกต่างไปจากสายตาที่งูขาวมองเด็กสาวจูลู่เป็นอาหารรสเลิศในจานตัวเองก่อนหน้านี้แม้แต่น้อย

ตำแหน่งใจกลางพื้นหินเรียบ ผู้เฒ่าชุดขาวถือไม้เท้าไม้ไผ่สีเขียวเข้มกำลังตัวสั่นสะท้าน มีดผ่าฝืนครึ่งท่อนที่หายไปพุ่งมาปักลงบนพื้นไม่ห่างจากเท้าของเขาเท่าใดนัก ผู้เฒ่าเดินย่องเข้าไปใกล้แล้วย่อตัวนั่งยอง ใช้ท้องนิ้วลูบบนใบมีดอย่างระมัดระวัง เพียงชั่วพริบตานิ้วมือก็มีเลือดสดสีเหลืองดินซึ่งมีสีทองเสี้ยวหนึ่งปะปนอยู่ไหลออกมา ทำเอาผู้เฒ่าตกใจจนรีบหดมือกลับ แล้วจึงงอนิ้วเคาะลงบนตัวมีดเบาๆ อีกครั้ง ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยความฉงนสนเท่ห์ ใช้นิ้วมือสองนิ้วคีบเคราสีขาวโพลนพลางพึมพำ “คมกริบสุดประมาณ สมควรกับคำยกย่องว่าคมกริบไร้เทียมทาน แต่กลับเป็นเพียงแค่มีดผ่าฝืนธรรมดาเล่มนี้ แม้แต่มีดร้อยหลอมของผู้ฝึกยุทธ์ก็ยังเทียบไม่ติด ดังนั้นตัวมีดถึงได้เปราะบาง ไม่ทนทานอย่างยิ่ง หากตัวมีดกับใบมีดมีระดับเท่าเทียมกัน แล้วนำไปมอบให้ชายฉกรรจ์ซื่อสัตย์มีวรยุทธ์อย่างเสียเปล่าผู้นั้นทำเป็นอาวุธ ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะไม่มีโอกาสชนะ ตอนนี้น่ะหรือ ไม่มีประโยชน์แล้ว”

ผู้เฒ่ามองประเมินลายเส้นของความคมกริบสวยงามที่แวววาวเด่นชัดบนใบมีดแล้วทอดถอนใจอย่างปลงอนิจจัง “ส่วนความลี้ลับของมีดผ่าฟืนเล่มนี้…คงต้องอยู่ที่หินลับมีดของเด็กหนุ่มคนนั้นกระมัง? แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า ต้องเป็นหินลับมีดที่ดีขนาดไหนถึงจะสามารถลับให้มีดผ่าฝืนชั้นเลวเล่มหนึ่งมีความคมถึงระดับนี้ได้?”

สายตาของผู้เฒ่าที่แฝงความละโมบเอาไว้ส่วนหนึ่งแอบเหลือบมองไปยังห่อสัมภาระและตะกร้าไม้ไผ่ที่อยู่กับพวกจูลู่และหลี่เป่าผิง หากไม่ผิดไปจากที่คาด หินลับมีดก้อนนั้นน่าจะซ่อนอยู่ด้านใน

แต่แล้วผู้เฒ่าก็ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง ต่อให้เป็นของดีแค่ไหน ได้มาครองแล้วอย่างไร เพราะดูเหมือนว่าเขาคงไม่มีชีวิตอยู่ให้ดื่มด่ำกับมันแล้ว

พันแค้นหมื่นแค้น น่าแค้นก็แค่ที่ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้าคนนั้นดันมาร่ายใช้คาถากอบดินก่อภูเขาที่เชิญเทพเชิญผีออกมา เดิมทีคือเวทเปิดภูเขาที่หายสาบสูญไปนานจนไม่อาจนับคำนวณได้แล้วว่ากี่ปี ตอนนั้นผู้เฒ่าหลบอยู่ใต้ดินยังนึกขบขันที่ได้เห็นยันต์กันผี แต่ท้ายที่สุดตนกลับต้องมาซวยเพราะเรื่องนี้ อันที่จริงเวทคาถาเปิดภูเขาอย่างการกอบดินปั้นดินนี้ ไม่นับว่าเป็นวิชาที่ล้ำเลิศชั้นสูงอะไร เพียงแต่ว่าวิชานี้ตกเป็นตะกอนมานานเกินไป ในช่วงเวลาที่ผู้เฒ่ารับหน้าที่เป็นเทพเจ้าที่ของภูเขาฉีตุน มีเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้นที่ถูกคนใช้คาถานี้เชิญออกมาจากถ้ำกลางภูเขา ซึ่งก็คือเซียนสองท่านที่มานั่งเล่นหมากล้อมบนยอดเขาคู่นั้น แน่นอนว่าทั้งสองท่านคือเซียนที่แท้จริงซึ่งมีคาถาอาคมค้ำฟ้า ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้าตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ต่อให้เป็นคนถือรองเท้าของเซียนทั้งสองก็ยังไม่คู่ควร และปีนั้นที่เขาถูกเรียกขึ้นมาบนยอดเขาก็แค่เพราะเซียนทั้งสองไม่ต้องการทำลายกฎดั้งเดิมบางอย่าง ไม่ใช่ว่าเห็นแก่หน้าของเทพเจ้าที่ภูเขาฉีตุนตัวเล็กๆ อย่างเขา

ไม่ใช่ว่าเฉินผิงอันไม่คิดฉวยโอกาสนี้จัดการกับงูขาว แต่เป็นเพราะอวัยวะภายในกำลังกระเด้งกระดอนปั่นป่วนเหมือนแม่น้ำมหาสมุทรถูกพลิกคว่ำ ทำให้เขาไม่มีแรงเหลือไปทำอะไรได้อีก หลังจากปาดเหงื่อทิ้งไปหนึ่งครั้ง เพียงไม่นานเหงื่อก็แตกท่วมใบหน้าอีก เฉินผิงอันจึงไม่คิดจะเปลืองแรงแล้ว เพียงแค่ปรับลมหายใจของตัวเองอย่างต่อเนื่อง พยายามให้ลมปราณในร่างที่วุ่นวายค่อยๆ สงบลง การปรับร่างกายตัวเองเช่นนี้ก็เหมือนกับการพยายามซ่อมแซมบานหน้าต่างที่มีรูโหว่จนฝนสาดเข้ามาให้แน่นหนามากที่สุด

เสียงรัวกลองดังขึ้นมาในหัวใจอีกครั้ง เสียงนี้ค่อยๆ ดังขึ้นทุกขณะ ไม่ได้ผ่านเข้ามาทางหู แต่กลับเหมือนเป็นเสียงหัวใจที่ลี้ลับมหัศจรรย์อย่างถึงที่สุด ซึ่งส่งผ่านแรงสั่นสะเทือนไปทั่วทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ

ลางสังหรณ์ที่แทบจะใกล้เคียงกับสัญชาตญาณนี้ของเด็กหนุ่ม ครั้งแรกสุดคือความเจ็บปวดบีบเค้นในตรอกหนีผิงตอนที่เขายังเด็ก หลังจากนั้นตอนอยู่บนเขาก็เคยประสบอีกหนึ่งครั้ง

คราวนี้ที่เขาไม่ได้นอนกลิ้งไปมาบนพื้น เพราะเฉินผิงอันรู้สึกว่าปราณประหลาดในร่างกายที่คล้ายกับมังกรเพลิงเส้นนั้นเริ่มไหลย้อนจากหน้าท้องขึ้นสู่เบื้องบน ผ่านที่ใด ไม่ว่าจะเป็นช่องโพรงลมปราณแต่ละแห่งที่เขาได้รู้มาจากหุ่นไม้ในบ้านซ่งจี๋ซิน หรือจะเป็นเส้นชีพจรที่เชื่อมโยงระหว่างด่านสำคัญในร่างกายก็ล้วนช่วยลดทอนความเจ็บปวดทรมานลงไปได้มาก เหมือนกับมีขุนพลพาทหารออกมาปราบกบฏที่ก่อจลาจล หรือไม่ก็เป็นกษัตริย์ที่กรีฑาทัพทำสงครามด้วยตัวเองอย่างที่บรรยายไว้ในนิยายรวมเล่มของซ่งจี๋ซิน ผลลัพธ์เห็นเด่นชัด แม้จะไม่สามารถแก้ไขได้ถึงต้นตอของปัญหา แต่อย่างน้อยก็ทำให้พวกทหารกบฏเหล่านั้นพากันหลบเลี่ยงถอยร่น

แม้ว่าจูเหอจะบาดเจ็บไม่เบา แต่พลังอำนาจไม่มีลดกลับยังเพิ่มสูง ปณิธานในการต่อสู้ระเบิดขึ้นอย่างห้าวหาญ ชายแขนเสื้อสองข้างสะบัดพึ่บพั่บไปตามลม มีท่วงท่าของปรมาจารย์ที่ไม่อาจดูหมิ่นอยู่หลายส่วน

งูดำที่หน้าท้องเลื้อยไปทางริมขอบของหินเรียบอย่างเชื่องช้าหี่ตาลง ต่อให้จูเหอจะแสดงพลังการต่อสู้ที่ไม่ธรรมดาออกมา แต่มันก็ยังคงไม่รีบร้อนไม่หวาดหวั่น ศีรษะใหญ่โตส่ายไปซ้ายทีขวาที คล้ายกำลังมองหาช่องโหว่ เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเป็นการมอบโอกาสอันดีให้จูเหอได้ระงับอาการบาดเจ็บโดยที่มันไม่รู้ตัว

ผู้เฒ่าเห็นอยู่ในสายตา หลังจากลังเลอยู่ชั่วครู่ก็ยังเอ่ยเตือนด้วยน้ำเสียงอย่างคนมีแรงแต่ไร้ความสามารถ “อย่าดิ้นรนให้เสียเวลาเปล่าเลย สาเหตุที่เจ้าเดรัจฉานตัวนี้ไม่รีบร้อนกินเจ้าก็เพราะหวังให้เจ้ากระตุ้นเลือดลมออกมาให้หมดเสียก่อน มันก็แค่รอให้ผลไม้เขียวฝาดลูกหนึ่งสุกงอมก็เท่านั้น อย่าไปนึกว่ามันทำอะไรเจ้าไม่ได้ เพราะต่อให้มันกลืนร่างของเจ้าเข้าไปได้แล้ว ก็ยังคงย่อยจิงชี่เสินของเจ้าไม่ได้อยู่ดี ต้องรู้ว่าจิงชี่เสินต่างหากถึงจะเป็นของบำรุงชิ้นใหญ่อย่างแท้จริง”

ผู้เฒ่าทอดถอนใจอย่างเศร้าสลด เริ่มลูบเสื้อผ้าขาดวิ่นและสางผมกับหนวดที่พันกันเป็นปมของตัวเองพลางพูดเยาะเย้ยตัวเองไปด้วยว่า “จะดีจะชั่วก็เป็นถึงเทพเจ้าที่ ก่อนตายจะอย่างไรก็ต้องมีสภาพอย่างที่เทพภูเขาควรมีสักหน่อย”

ผู้เฒ่านั่งอยู่บนพื้น จัดระเบียบเสื้อผ้าพลางหัวเราะหยันไปด้วย “ใช่แล้ว เจ้าสัตว์เดรัจฉานนี่ไม่ใช่แค่มีเรือนกายแข็งแกร่งเท่านั้น การเคลื่อนไหวของมันยังเฉียบคมว่องไว เมื่อร้อยกว่าปีก่อนมันกินผู้ฝึกลมปราณลัทธิเต๋าตบะห้าชั้นกลางเข้าไปคนหนึ่ง ตอนนี้คาดว่าก็น่าจะฝึกวิชาคาถาขั้นต้นได้หนึ่งถึงสองวิชาแล้ว แม้จะตื้นเขินอยู่มาก แต่หากเป็นสัตว์เดรัจฉานตัวนี้ที่นำมาใช้ เกรงว่าร่างขอบเขตห้าของเจ้าก็ต้านรับไม่ไหว จะว่าไปแล้วก็ถือว่าพวกเจ้าดวงซวย มีวิธีให้ตายดีๆ ไม่ตาย ดันเป็นผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้าคนหนึ่งที่พากลุ่มลูกแกะน้อยเข้ามาในภูเขา หากเป็นขอบเขตหก แม้ว่าสัตว์เดรัจฉานสองตัวก็ยังกินพวกเจ้าได้ แต่ก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะยอมออกจากรู เพราะกลัวว่าจะเจ็บหนักทั้งสองฝ่าย ส่วนขอบเขตเจ็ด หึ พวกมันคงเป็นฝ่ายถอยหนีไปไหลหลายสิบลี้แล้ว ถึงขั้นปรารถนาอยากให้พวกเจ้าไสหัวไปให้พ้นๆ เขาฉีตุนโดยไวด้วยซ้ำ”

เด็กสาวจูลู่พรั่นพรึง ได้ยินประโยคนี้ก็รู้สึกหมดหนทางจนปัญญา ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี

หลินโส่วอีพึมพำกับตัวเอง “อาเหลียง ผู้อาวุโสอาเหลียงล่ะ?”

หลี่ไหวพลันเห็นว่าหลี่เป่าผิงค้นหีบหนังสือเงียบๆ ก่อนจะหยิบขวดกระเบื้องเล็กขวดหนึ่งมากำไว้กลางฝ่ามือ

เมื่อมองไม่ตามสายตาของนางจึงเห็นว่าเฉินผิงอันที่อยู่ห่างออกไปไกลกำลังพยักหน้ามาให้พวกเขาอย่างไม่กระโตกกระตาก

หลี่ไหวพลันรู้สึกอิจฉาในความรู้ใจกันของหลี่เป่าผิงและอาจารย์อาน้อยของนาง

ในหนังสือบอกไว้ นี่เรียกว่าจิตสื่อถึงกัน

ส่วนจูเหอที่พอได้ยินผู้เฒ่าเทพเจ้าที่เปิดเผยความลับ บนใบหน้ากลับไม่มีความหวาดกลัวแม้แต่เสี้ยว เขาบิดข้อมือ ยิ้มอย่างสง่างาม “ขี้ขลาดเก็บไม้เก็บมือต้องตาย ต่อสู้เต็มกำลังให้สาแก่ใจก็ตาย ในเมื่อต้องตายเหมือนกัน ยังจะต้องมัวมาสนว่าตายไปแล้วจะกลายเป็นหินปูพื้นให้เดรัจฉานตัวนี้กลายเป็นมังกรหรือไม่ไปอีกทำไม?”

ผู้ฝึกยุทธ์ขอบเขตห้ามีคุณสมบัติให้ถูกเรียกขานว่าปรมาจารย์น้อยวิถีบู๊แล้ว เพราะจิตวิญญาณยิ่งใหญ่ หัวใจแข็งแกร่ง ขาดแค่การรวบรวมความกล้าในการต่อสู้เท่านั้น

ขณะที่จูเหอตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องตายอย่างแน่นอน เขากลับไม่คิดจะถอยหนี อันที่จริงนี้ถือว่าสอดคล้องกับสัจธรรม “มุ่งสู่ความตายแล้วเกิดใหม่เพื่อสร้างใจกล้าแกร่ง” ตามวัตถุประสงค์ของวิถีแห่งการต่อสู้แล้ว เพียงแต่ว่ายังต้องขัดเกลาตัวเองต่อไปเท่านั้น

พลังอำนาจแห่งผู้ฝึกยุทธ์ของจูเหอทะยานสู่จุดสูงสุดนานแล้ว และกำลังสั่งสมพลัง ตั้งท่าเตรียมพร้อมรอรับการปะทุได้ทุกเมื่อ

งูดำพลันเปลี่ยนท่าทางเกียจคร้านสบายอารมณ์จากก่อนหน้านี้ในเสี้ยววินาที ราวกับแน่ใจจริงๆ แล้วว่าจูเหอไม่มีพลังเหลือกักเก็บไว้อีก และจิตวิญญาณของทั้งร่างก็ล้วนเดือดพล่านอยู่ในช่องกักเก็บลมปราณ เมื่อเลือดลมโคจรไปทั่วร่างอย่างรวดเร็ว ถ้าเช่นนั้นมันก็สามารถลิ้มรสอาหารที่น่ากินจานนี้ได้แล้ว

งูดำชูหัวสูง ขณะเดียวกันก็อ้าปาก ค่อยๆ เผยให้เห็นเขี้ยวพิษสีงาช้างขนาดเท่าแขนของผู้ใหญ่สองข้างอันเป็นโฉมหน้าที่น่ากลัวของมัน เมื่อเทียบกับท่าทางสกปรกของงูขาวที่แค่อ้าปากน้ำลายก็ไหลยืดย้อยแล้ว งูดำที่มีหวังจะได้กลายเป็นโม่เจียวสัตว์เทพตัวนี้กลับดูสะอาดสะอ้านกว่ามาก ไอเย็นจากในปากใหญ่สีขาวราวหิมะถูกระบายออกมาด้านนอกเป็นระลอก สองดำขาวสีตรงข้ามที่ตัดกันอย่างเด่นชัดยิ่งขับดันให้สัตว์เดรัจฉานตัวนี้มีบารมีเปี่ยมล้น มองดูคล้ายเทพเจ้าที่เทพภูเขามากกว่าผู้เฒ่าเนื้อตัวสกปรกโกโรโกโสที่เป็นเทพตัวจริงเสียอีก

งูดำพลันลงมือโจมตี คราวนี้ไม่ได้ใช้ศีรษะพุ่งเข้าชนโดยตรงเพื่อตบตาศัตรูอีกแล้ว แต่พลันอ้าปากกว้างถึงขีดสุด มองดูคล้ายจะฉกลงมาบนศีรษะของจูเหอที่อยู่บนพื้นหินเรียบ แต่แท้จริงแล้วระหว่างทางที่พุ่งมากลับพ่นควันพิษสีขาวหิมะกลิ่นเหม็นคาวชวนสะอิดสะเอียน ควันพิษก่อตัวเหมือนกลายเป็นลูกธนูจากหน้าไม้ที่ยิงตรงเข้าใส่ผิวดิน

จูเหอเป็นบ่าวที่เกิดและเติบโตมาในจวนตระกลหลี่ของเมืองเล็ก ประสบการณ์การต่อสู้ที่แท้จริงมีไม่มากนัก ตลอดชีวิตที่เรียนวรยุทธ์มา ส่วนใหญ่แล้วแค่เคยขัดเกลาฝีมือเล็กๆ น้อยๆ จากท่านบรรพบุรุษของตระกูล ศึกตัดสินเป็นตายก็ยิ่งเพิ่งเคยเจอครั้งแรก ทว่าหลังเสียเปรียบครั้งใหญ่จากกลยุทธ์ส่งเสียงบูรพาฝ่าตีประจิมของเจ้าเดรัจฉานมาแล้วครั้งหนึ่ง จูเหอก็ได้รู้ถึงความเจ้าเล่ห์เพทุบายของงูดำ จึงขยับร่างเบี่ยงหลบอย่างว่องไว ไม่คิดจะปะทะกับมันซึ่งหน้าอีก

แล้วก็เป็นดังคาด ไอหมอกน้ำแข็งที่เหมือนลูกธนูแหลมคมซึ่งพุ่งตรงมาเพิ่งจะหล่นลงบนความว่างเปล่า พื้นหินเรียบก็ถูกแรงกระแทกจนปริแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แม้จะขยับเบี่ยงมาหลายก้าว แต่จูเหอก็ยังสัมผัสได้ถึงลมแรงระลอกหนึ่งที่พัดผ่านข้างกายไป ยังคงเป็นแผนหนึ่งลับหนึ่งแจ้งอย่างก่อนหน้านี้ จูเหอคาดการณ์ได้ล่วงหน้านานแล้ว จึงเขย่งปลายเท้า ไม่ถอยกลับบุกเข้าหา พุ่งตรงดิ่งไปยังหน้าท้องของงูดำ

คาดไม่ถึงว่างูดำตัวนั้นจะโก่งตัวไปด้านหลัง พ่นควันพิษออกมาจากในปากถี่กว่าเดิม จุดประสงค์ไม่เชื่อเพื่อให้มันทะลุร่างจูเหอ แค่เพื่อสกัดกั้นไม่ให้เขาบุกมาด้านหน้า ขณะเดียวกันก็ยืดหางออกไปอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งอยู่ในท่าขดล้อมรอบภูเขา กลายเป็นกรงขังขนาดใหญ่ ล้อมจูเหอไว้ภายในเพียงชั่วพริบตา บีบให้จูเหอต้องต่อสู้ดั่งสัตว์ที่ถูกขัง

หลังจากเรือนกายยาวเหยียดของงูดำขดล้อมเป็น “กำแพงเมือง” ถึงสองวงแล้วก็ยังสามารถตวัดหางชูขึ้นสูงได้อีก คล้ายเป็นพลทหารลาดตระเวน ป้องกันไม่ให้จูเหอบินหนีออกไป ปฏิกิริยาตอบสนองแรกของจูเหอว่องไวมากพอ ก่อนที่ลำตัวของงูจะขดเป็นวงที่สอง เขาก็กระโดดขึ้นกลางอากาศ เพียงแต่ว่าร่างเพิ่งจะลอยขึ้นกลับถูกหางนั้นฟาดลงมาอย่างรวดเร็ว จูเหอยกสองแขนขึ้นกันศีรษะ ร่างร่วงกลับลงมากระแทกพื้นหิน แม้จะไม่บาดเจ็บไปถึงอวัยวะภายใน แต่มหาสมุทรลมปราณกลับเหมือนน้ำเดือดพล่าน เป็นเหตุให้ใบหน้าแดงก่ำ ด้วยความหวังดีของจิตวิญญาณที่ไหลเวียนอยู่ทั่วกาย เพื่อปกป้องไม่ให้เจ้านายได้รับบาดเจ็บ จึงจำต้องออกมาจากเส้นชีพจรเดิมแล้วแทรกซึมเข้าไปยังเลือดเนื้อที่อยู่ด้านนอกสุด

ดวงตาเย็นชาของงูดำเผยรอยยิ้มลำพองใจ

หากจะบอกว่าก่อนหน้านี้ผู้ฝึกยุทธ์คนนี้ปรุงสุกแล้วเจ็ดส่วน ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ก็ถูกปรุงสุกแล้วเก้าส่วน

ดังนั้นมันจึงไม่เผาผลาญพลังของตัวเองอีกต่อไป แต่เปิดปากกว้าง ก้มหัวฉกจูเหอครั้งแล้วครั้งเล่า

จูเหอออกหมัดอย่างว่องไว ขยับเคลื่อนหลบหลีกอยู่ในสนามประลองสัตว์แห่งนี้อย่างว่องไวปราดเปรียว แขนทั้งสองข้างปลดปล่อยกระแสลมสีเขียวขมุกขมัว ทุกครั้งที่ปล่อยหมัดล้วนต่อยให้อากาศปริแตก เสียงลมดังสะเทือนกึกก้อง

แม้จะตกเป็นรอง แต่จูเหอกลับไม่มีท่าทางห่อเหี่ยวทอดอาลัย ดวงตาเขาเปล่งประกายเจิดจ้า จิงชี่เสินก็ยิ่งเปี่ยมล้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ผู้เฒ่าชุดขาวเงี่ยหูตั้งใจฟังแล้วก็จุ๊ปากชื่นชมไม่หยุด แม้จะไม่ได้เห็นภาพการต่อสู้ของศึกใหญ่กับตาตัวเอง แต่ก็พอจะเดาออกคร่าวๆ ในใจคิดว่าช่างเป็นตัวอ่อนปรมาจารย์วิถีการต่อสู้ที่ไม่เลวเลยจริงๆ ต้องมาตายก่อนวัยอันควร น่าเสียดาย น่าเสียดายยิ่งนัก

แต่แล้วเขาก็พลันลุกพรวดขึ้นยืนเหมือนถูกไฟลนก้น หยิบไม้เท้าไม้ไผ่สีเขียวที่หม่นหมองไร้ประกายแสงขึ้นมาแล้วหันไปตะโกนใส่ผู้ร่วมเดินทางของคนฝึกยุทธ์ “ใครสักคนรีบมานี่หน่อย ใครก็ได้ ขอแค่เป็นเด็กผู้ชายเด็กผู้หญิงล้วนได้หมด มาเหยียบอักษรเยว่ที่ผู้อาวุโสของพวกเจ้าเขียนไว้ให้ราบ ข้าก็จะหลุดพ้นไปได้ ไม่ต้องถูกยันต์นี้พันธนาการ ถึงเวลานั้นข้าจะได้ช่วยเขาอีกแรง ไม่กล้าพูดว่าสามารถสังหารเจ้าเดรัจฉานได้ แต่ให้หลุดพ้นจากอันตรายย่อมไม่ยาก เร็วเข้า!”

ผู้เฒ่ากวาดตามองไปบนใบหน้าของคนเหล่านั้นด้วยความร้อนใจ

หลินโส่วอีกระตุกมุมปากยิ้มเย็นชา

หลี่ไหวเตรียมจะปลุกระดมความกล้าลองเสี่ยงตายดูอีกครั้ง แต่กลับถูกหลี่เป่าผิงดึงแขนไว้

ผู้เฒ่าตะลึงงัน กระทืบเท้าด่าอย่างเคียดแค้นชิงชัง “ไอ้พวกโง่ไม่รู้จักความหวังดีของผู้อื่น หรือจะทนมองให้ผู้อาวุโสของเจ้าหมดแรงจนตายคาตาตัวเอง? ใจเมตตาของเด็กเปรตอย่างพวกเจ้าถูกสุนัขกินไปหมดแล้วหรือไง?”

จูลู่ขยับร่างวิ่งตะบึงไปหาเทพเจ้าที่ของเขาฉีตุนผู้นั้น

เฉินผิงอันที่อยู่ห่างออกไปพลันตะโกนเสียงเฉียบขาด “จูลู่เจ้าอย่าไป! หากเจ้าไม่ช่วยเขา เขาไม่มีทางให้ถอย ไม่แน่ว่าอาจทำได้แค่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ไปกับพวกเรา หากช่วยเขา ด้วยนิสัยขี้ขลาดกลัวมีเรื่องของเขา ต้องหนีไปทันทีแน่! อีกอย่างพวกเราก็ยังไม่แน่ใจว่าเขาเป็นพวกเดียวกับสัตว์เดรัจฉานสองตัวนี้หรือเปล่า เจ้าอย่าวู่วาม! ตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ มองดูเหมือนเขากำลังช่วยพวกเราอยู่ตลอด แต่เจ้าเห็นหรือไม่ว่า แท้จริงแล้วเขาไม่เคยช่วยท่านอาจูเลยแม้แต่นิดเดียว!”

จูลู่ไหนเฉยจะยอมฟังคำพูดเหล่านี้ของเฉินผิงอัน นางเอาแต่ก้มหน้าก้มตาวิ่งไปข้างหน้าอย่างเดียว

อันที่จริงนับจากวินาทีที่เปิดปากพูด เฉินผิงอันก็เริ่มพุ่งไปหาตาเฒ่าเทพเจ้าที่แล้ว ความเร็วนั้นไม่เป็นรองจูลู่เลยแม้แต่นิดเดียว

หากไม่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น เฉินผิงอันหวังว่าจะหยุดยั้งการกระทำของจูลู่ได้

สีหน้าของผู้เฒ่าเทพเจ้าที่เดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง ยืนถือไม้เท้าสีเขียวยืนอยู่ที่เดิม

งูขาวที่ปีกหักไปข้างหนึ่ง หลังจากดิ้นสะบัดอย่างทรมานครู่หนึ่งก็นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้นหินเรียบ ลมหายใจรวยริน ราวกับว่าไม่สามารถเข้าร่วมการเข่นฆ่าในครั้งนี้ได้อีกแล้ว

แต่พอเฉินผิงอันพุ่งเข้าหาผู้เฒ่าเทพเจ้าที่แล้วร่างมาปรากฏอยู่ห่างจากหัวของมันไปสิบกว่าก้าว อยู่ดีๆ งูขาวก็กระโจนพรวดมาข้างหน้า อ้าปากฉกกัดเด็กหนุ่มอย่างดุร้าย ไหนเลยจะยังมีท่าทีร่อแร่จะตายมิตายแหล่อย่างก่อนหน้านี้

เฉินผิงอันกลับหยุดเท้าแล้วถอยกรูดไปด้านหลังในฉับพลัน หลบพ้นการพุ่งสังหารอันตรายจากงูขาวมาได้ จึงตะโกนอย่างโมโห “จูลู่! เจ้าเห็นหรือยัง! เดรัจฉานตัวนี้ก็หวังให้เจ้าลบอักษรเยว่ที่ท่านอาลู่เขียนไว้เหมือนกัน! ไม่แน่ว่าคนผู้นั้นกับเดรัจฉานทั้งสองตัวอาจได้ข้อตกลงอย่างลับๆ ร่วมกันมานานแล้วก็ได้!”

เฉินผิงอันถูกร่างของงูขาวบดบังสายตาจึงมองไม่เห็นว่าสภาพการณ์ทางฝั่งผู้เฒ่าชุดขาวเป็นอย่างไร

แต่ศีรษะของงูขาวกลับหันไปมองยังทิศทางของเด็กสาวอย่างตื่นตระหนกก่อน แล้วจึงค่อยๆ หันกลับมาทางเด็กหนุ่ม สายตาเต็มไปด้วยแววเย้ยเยาะ

นาทีนั้นเด็กหนุ่มพลันรู้สึกโมโหและสิ้นหวัง

เป็นเหตุให้ตอนที่มังกรเพลิงที่อยู่ในร่างเคลื่อนผ่านช่องโพรงลมปราณในระดับสูงสามแห่ง อยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนจากท่วงท่าเปี่ยมพลังอำนาจพร้อมบุกตะลุยมาเป็นต่ำต้อยระมัดระวัง โดยที่เด็กหนุ่มเองก็ไม่ทันได้สังเกตเห็น

เด็กสาวจูลู่ที่สมองเหมือนกลายเป็นแป้งเปียกก้อนหนึ่งวิ่งมาอยู่ใกล้กับตัวอักษรเยว่ น้ำตานองหน้า ยื่นเท้าเหยียบสะเปะสะปะไปทั่ว เด็กสาวกล่าวเสียงสะอื้น “ข้าจะช่วยพ่อข้า! ข้าจะช่วยเขา! ข้ารู้ เพราะเขาเป็นพ่อข้า พวกเจ้าถึงได้ไม่สนใจว่าเขาจะเป็นหรือตาย!”

ขี้เถ้าจากแผ่นยันต์ที่อยู่ด้านบนอักษรเยว่ถูกเหยียบจนจมหายเข้าไปในดินโคลน สุดท้ายก็สลายไปสิ้น ในอักษรเยว่ที่ถูกเด็กสาวเหยียบก็พร่าเลือนไม่เป็นคำอีกต่อไป

ผู้เฒ่าชุดขาวก้มหน้าลงมองเท้าทั้งสองข้างของเด็กสาว แล้วเสียงหัวเราะที่กดต่ำอย่างถึงที่สุดก็ถูกส่งออกมาจากจุดลึกของลำคอ “หึหึ…”

จากนั้นผู้เฒ่าก็เงยหน้าขึ้น จ้องนิ่งไปยังเด็กสาวที่ตะลึงงันทำอะไรไม่ถูกด้วยสายตาสนุกสนาน ผู้เฒ่าบิดข้อมือไปมา ไม้เท้าไม้ไผ่สีเขียวก็วาดคลื่นสีเขียวขึ้นกลางอากาศ ใบหน้าแก่ชราของเขาพลันเหมือนไม้แห่งเหี่ยวที่เจอกับฤดูใบไม้ผลิ ผู้เฒ่าสยายยิ้ม พยักหน้ากล่าว “เฮอะๆ ใจที่เป็นห่วงอยากช่วยบิดา เข้าใจๆ”

ร่างของผู้เฒ่าเริ่มขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว ใบหน้ายิ่งอ่อนเยาว์ลงเรื่อยๆ เส้นเอ็นและกระดูกยืดขยายจนเกิดเสียงลั่นเสียดหูดั่งเสียงเม็ดถั่วเหลืองแตกรัว เขาที่กลายมาเป็นชายวัยกลางคนแหงนหน้าหัวเราะดัง เสียงนั้นเหมือนทั้งหัวเราะและร้องไห้ในคราวเดียวกัน แต่เปี่ยมไปด้วยความสาสมใจ “ฮ่าๆๆ!”

ชายไม้เท้าเขียวที่หน้าตาเปลี่ยนมาเป็นหล่อเหลามองไปยังงูขาวตัวนั้นด้วยรอยยิ้ม “ตามข้อตกลง ข้าช่วยพวกเจ้ารับมือกับชายฉกรรจ์สวมงอบคนนั้น ส่วนคนเหล่านี้ เจ้าจะจัดการอย่างไรก็ตามใจ แน่นอนว่าวันหน้าพวกเราสองฝ่ายอยู่ร่วมกันจะทำเหมือนเมื่อหลายร้อยปีก่อนอีกไม่ได้แล้ว วางใจเถอะ ขอแค่ข้าได้รับแต่งตั้งให้เป็นเทพภูเขา ก็จะเลื่อนขั้นเจ้าให้กลายเป็นเทพเจ้าที่ของที่แห่งนี้ ส่วนเรื่องที่ผู้ชายของเจ้าจะกลายเป็นมังกรทะยานสู่แม่น้ำ ข้าก็จะช่วยสนับสนุนให้สำเร็จ ในเมื่อทุกคนอยู่ด้วยกันแล้วก็ต้องช่วยเหลือพึ่งพากัน ทำเรื่องสำคัญให้สำเร็จเพื่อผลประโยชน์ที่จะได้ร่วมกัน”

หลังจากที่บุรุษไม้เท้าเขียวเอ่ยประโยคนี้จบ โฉมหน้าของเขาก็กลายมาเป็นชายอายุยี่สิบหน้าตาหล่อเหลาคมคาย ยิ้มตาหยีมองไปยังเด็กสาวที่ยืนอึ้งปากอ้าตาค้าง “บิดาเจ้ามีวาสนากับข้านะ เดิมทีการแต่งตั้งองค์เทพแห่งภูเขาและแม่น้ำบนดินแดนของต้าหลีในครั้งนี้ อย่างมากข้าก็ได้แค่อาศัยโอกาสนี้มาฟื้นคืนร่างเทพเจ้าที่ร่างเดิม แต่เขากลับสามารถเรียกชื่อต้องห้ามของ ‘อาจารย์’ ท่านนั้นออกมา ช่างสะท้านสะเทือนใจคนยิ่งนัก เท่ากับว่าช่วยทวงคืนร่างเทพเจ้าที่ซึ่งเดิมทีถูกเซียนถอดถอนทิ้งให้ข้าได้อีกครั้ง บอกตามตรง หากตอนที่เขากอบดินเขียนตัวอักษรตามบทเปิดภูเขาเป็นตัวอักษรเยว่ที่ใช้ในสมัยโบราณล่ะก็ ไม่แน่ว่าเวลานี้ข้าอาจจะไม่จำเป็นต้องให้ต้าหลีแต่งตั้งก็กลายมาเป็นเทพภูเขาของเขาฉีตุนได้แล้ว”

สีหน้าของชายหนุ่มเบิกบานสุดขีด เขาค่อยๆ ก้าวเดินช้าพลางโบกมือพูดกับตัวเองต่อไป “ไม่เป็นไรๆ ข้าเป็นคนรู้จักพอ บิดาเจ้าเป็นคนดี เจ้าเองก็ใช่ พวกเจ้าต่างก็เป็นผู้มีพระคุณของข้า น่าเสียดายที่บุญคุณเท่าหยดน้ำ ต้องตอบแทนด้วยน้ำพุ ผลเลยกลายเป็นว่าพระคุณที่ช่วยแต่งตั้งของพวกเจ้ายิ่งใหญ่เกินไป ข้าไม่อาจตอบแทนได้จริงๆ”

เด็กสาวหน้าไร้สีเลือด ริมฝีปากสั่นระริก พึมพำซ้ำไปซ้ำมาว่า “เจ้าโกหก เจ้าโกหก…”

ชายหนุ่มเรือนกายสะโอดสะองปรายตามองงูขาว “เรื่องที่ปีกถูกตัด พวกเราต่างก็คาดไม่ถึง อย่าวาดหวังว่าข้าจะชดใช้อะไรให้เพิ่มเติม ตอนนี้ข้ายากจนยิ่งนัก ตลอดหลายปีมานี้รัศมีหลายร้อยลี้รอบเขาฉีตุนถูกพวกเจ้าปล้นชิงจนไม่มีอะไรเหลือนานแล้ว ข้าเป็นถึงเทพเจ้าที่ผู้ยิ่งใหญ่กลับเหลือเพียงผิวดินแค่ชั้นเดียว ไม่เข้าท่าเอาซะเลย”

งูขาวพยักหน้ารับอย่างอ่อนโยน เผยให้เห็นความงามเย้ายวนเสี้ยวหนึ่งอย่างที่หาดูได้ยาก จากนั้นก็ส่ายหัวเบาๆ

บุรุษโบกไม้เท้าสีเขียว กล่าวตรงไปตรงมา “สมบัติเก่าโทรมน้อยนิดของพวกเจ้านั่น ข้าไม่อยากได้หรอก ความขัดแย้งทั้งหมดในอดีต ปล่อยให้มันหายไปกับสายลมเถอะ”

สุดท้ายเขากวาดตามองไปรอบด้านแล้วหัวเราะคิกคัก “สหายที่พวกเจ้าเรียกว่าอาเหลียงผู้นั้นล่ะ ไม่กราบไหว้ภูเขาก็พอทำเนา ยังกล้ามานั่งเก้าอี้ของข้า สุดท้ายยังลดตัวอักษรเยว่ 嶽 ให้เหลือเพียงอักษรเยว่ 岳 อีก…”

เทพภูเขาที่กำลังห้าวเหิมผู้นี้พลันก้มหน้าลงมองด้วยสายตาเลื่อนลอย แล้วใบหน้าก็แปรเปลี่ยนมาเป็นเจ็บปวดและเหลือเชื่อสุดขีด

ดาบไม้ไผ่ธรรมดาเล่มหนึ่งแทงทะลุหัวใจของเขามา

ชายฉกรรจ์สวมงอบยืนเคียงไหล่อยู่กับเขา เพียงแต่หันหน้าไปยังทิศทางตรงข้ามกัน คนผู้นั้นปล่อยด้ามดาบ จากนั้นจึงตบไหล่ท่านเทพภูเขา ตอบรับด้วยรอยยิ้มตาหยี “เจ้าเรียกหาข้ารึ?”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version