Skip to content

Tales of Herding Gods 100

100. เจ็ดนิพนธ์เสกสรร

ฉินมู่กลับเข้าไปในโรงเตี๊ยมและศึกษาคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตต่อ เวลาล่วงเลยถึงกลางดึกโดยไม่รู้ตัวและฉินมู่ก็เรียนรู้เวทมนตร์มากกว่าสิบชนิด แต่ทว่าโดยปราศจากวิชาฝึกปรือที่สอดคล้องกับเวทมนตร์เหล่านั้น พลังของพวกมันก็ปลดปล่อยออกมาได้เพียงครึ่ง

ข้าจะต้องค้นหาวิชาร้อยรัดหลอมรวม มิเช่นนั้นคงยากจะปล่อยพลานุภาพของคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตอย่างเต็มที่

ขณะที่เขากำลังหมกมุ่นอยู่กับคัมภีร์ เขาก็พลันรู้สึกอุ่นขึ้นมาที่เอว ราวกับว่ามีบางอย่างให้ความร้อนกับเขาที่นั่น เมื่อเขาก้มลงมองก็พบว่าเป็นจิ้งจอกน้อยนั่นเองที่ผล็อยหลับระหว่างที่แอบอิงอยู่ และซุกหัวนอนอยู่บนตัวเขา

ฉินมู่เผยยิ้ม จากนั้นช้อนปีศาจจิ้งจอกตัวน้อยไปวางบนเตียงของนางอย่างเบามือเพื่อให้นางได้นอนหนุนหมอนถนัดๆ จากนั้นเขาจึงกลับที่โต๊ะ และศึกษาคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตต่อ

หลังจากนั้นสักพัก เขาก็รู้สึกง่วงเหงาหาวนอนบ้าง และตัดสินใจดับตะเกียงลง จากนั้นก็หลับไม่รู้เนื้อรู้ตัวอยู่บนเตียง

เช้าวันรุ่งขึ้น เฝิงจิวอวิ๋นมานำทางฉินมู่ไปยังเรือ จากนั้นกล่าว “นายน้อย ข้าคงมาส่งท่านได้แค่นี้ ท่านจะสามารถไปยังจักรวรรดิสันตินิรันดร์ได้โดยล่องตามแม่น้ำจากที่นี่ นายน้อยโปรดรักษาตัวด้วย และขอให้ท่านเดินทางถึงเมืองหลวงสันตินิรันดร์โดยเร็วที่สุด ปรมาจารย์ลัทธิได้รอท่านอยู่ที่นั่นแล้ว”

ฉินมู่พยักหน้าจากนั้นโบกมือลา

ข้างหน้าขบวนเรือ มีทหารที่กำลังหมุนโซ่เหนือประตูน้ำเพื่อเปิดประตูคลองใหญ่มหึมา เรือเหล่านั้นพลันลอยล่องออกจากด่านวารีลับ และลอยตามกระแสน้ำล่องลงไปตามแม่น้ำหย่ง

ฉินมู่และฮู่หลิงเอ๋อยืนอยู่ที่กราบเรือพลางมองไปรอบๆ ทิวทัศน์ทั้งสองฝั่งแม่น้ำหย่งค่อยๆ แปรเปลี่ยนแตกต่างไปจากในแดนโบราณวินาศ มีหมู่บ้านมั่งคั่งรุ่งเรืองซุ่มซ่อนอยู่ตามภูเขาและแมกไม้ขจี ซึ่งต่างจากแดนโบราณวินาศอันจะเห็นได้แต่กระท่อมฟางซอมซ่อ

เรือที่แล่นไปมาบนแม่น้ำก็เริ่มมีมากขึ้นเรื่อยๆ ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นขนแร่และสินค้าต่างๆ ดังนั้นท้องเรือพวกมันจึงจมลึกลงไปในน้ำ มีเหมืองหลายแห่งอยู่ริมแม่น้ำและทาสจำนวนมากก็กำลังทำเหมืองอยู่

คนเหมืองเหล่านี้มีกี่คนกันนะที่เป็นผู้คนที่ถูกละทิ้งจากแดนโบราณวินาศ

หลังจากล่องเรือไปได้สักร้อยลี้ ก็เห็นโรงถลุงแร่ที่สองฟากแม่น้ำ เตาหลอมขนาดใหญ่กำลังถลุงแร่ที่ถูกขนมาจากเรือจำนวนมากอันจอดเรียงรายที่นี่

เปลวไฟร้อนแรงลามเลียสูงกว่าสิบวาจากเตาหลอม และเมื่อเรือแล่นผ่านฉินมู่ก็เห็นผู้ฝึกวิชาเทวะหลายคนเติมลมและเร่งไฟและความร้อนด้วยเวทมนตร์ของตน

ยังมีผู้ฝึกวิชาเทวะบางคนที่ใช้เวทมนตร์ควบคุมน้ำในแม่น้ำมาหล่อเย็นเหล็กดำและทองแดงสีแดงส้ม

และยังมีกลุ่มผู้ฝึกวิชาเทวะที่ใช้ทักษะเทวะของปราณชีวิตพยัคฆ์ขาวในการตัดเหล็กดำและทองแดงออกเป็นลูกบาศก์ขนาดมาตรฐานเพื่อทำให้มันง่ายต่อการจัดเก็บและขนส่งไปบนเรือ

ภาพเหล่านี้หาดูได้ยากในแดนโบราณวินาศ

“ไม่ว่าจะเป็นกำลังคน ทรัพยากร ความมั่งคั่ง สันตินิรันดร์ล้วนแต่เหนือล้ำกว่าแดนโบราณวินาศในทุกๆ ด้าน” ฉินมู่อุทานด้วยความทึ่ง

แม้จะเห็นเพียงเศษเสี้ยวแต่ผู้คนก็สามารถหยั่งคะเนถึงเรื่องอื่นๆ อีกมากมาย พวกเขาสามารถมองเห็นความรุ่งเรืองและมั่งคั่งของชนบทได้แม้เพียงจากสิ่งเล็กน้อย โรงกลั่นเหล่านี้ตั้งอยู่ประชิดริมแม่น้ำหย่ง ทำให้มันง่ายต่อการขนส่งทางเรือ อันทำให้สามารถป้อนวัตถุดิบไปยังจักรวรรดิได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด วัตถุดิบเหล่านี้ถูกใช้เพื่อหลอมสร้างอาวุธวิญญาณและเสริมความแข็งแกร่งของยุทโธปกรณ์กองทัพ ดังนั้นใครก็ตามย่อมสามารถจินตนาการได้ว่าแสนยานุภาพกองทัพของจักรวรรดิสันตินิรันดร์จะยิ่งใหญ่เพียงใด

เฝิงจิวอวิ๋นกล่าวว่ามีหลายสำนักที่ถือโอกาสนี้ก่อการกบฏและลอบสังหารราชครูสันตินิรันดร์ระหว่างการเดินทางกลับจากความพ่ายแพ้เสียท่าในการรุกรานแดนโบราณวินาศของเขา ทำให้ราชครูสันตินิรันดร์ได้รับบาดเจ็บสาหัส

ฉินมู่ครุ่นคิดในใจ ราชครูพ่ายแพ้เสียท่าก็จริง แต่แสนยานุภาพของกองทัพก็ไม่ได้ลดลงไปเท่าใดและยังคงมีกำลังเต็มที่ ด้วยยอดฝีมือจำนวนมากรอบกายเขา และสำหรับตัวเขาเองที่เป็นอันดับหนึ่งใต้เทวะ เหตุใดเขาถึงบาดเจ็บสาหัสจากการถูกลอบสังหารได้ มันมีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่นะ แต่หากพวกเขาตัดสินสถานการณ์ผิดพลาด ข้าเกรงว่าสำนักที่ก่อการกบฏเหล่านั้นคงจะต้องตายอย่างอนาถ

เรือพ่อค้ามีสัตว์ยักษ์ในน้ำคอยลากไป ดังนั้นมันจึงแล่นด้วยความเร็วสูงและถึงเมืองชนบทเขื่อนแม่น้ำในตอนเย็น

เมืองชนบทเขื่อนแม่น้ำตั้งอยู่เรียงราวยาวสองฝั่งน้ำและดูใหญ่โตกว้างขวางกว่าเมืองเขตมังกร เมื่อมองไปรอบๆ ด้วยเนตรสวรรค์ของตน ฉินมู่ไม่พบรูปสลักเทวะอันเปล่งรัศมีเรืองรองใดๆ และรู้สึกกระสับกระส่ายเล็กน้อย แต่พลันนึกขึ้นมาได้และหัวเราะเยาะตนเอง ข้ายังหลงคิดว่ายังอยู่ในแดนโบราณวินาศ…

ดำรงชีวิตอยู่ในแดนโบราณวินาศมาแต่เล็กทำให้มันฝังลึกในสัญชาตญาณที่จะต้องคอยมองหาสถานที่ที่ได้รับการปกปักษ์โดยรูปสลักเทวะก่อนค่ำคืนจะมาถึง เขาคงเปลี่ยนนิสัยนี้ไม่ได้ง่ายๆ ในระยะเวลาอันสั้น

ที่หน้าชนบทเขื่อนแม่น้ำ กองคาราวานพลันหยุดยั้งขบวน เรือประมงลอยอยู่ตรงหน้าพวกเขา และชาวประมงบนเรือก็กำลังใช้เบ็ดตวัดเกี่ยวลากศพในน้ำขึ้นมา

“โชคร้ายอะไรอย่างงี้” พ่อค้าคนหนึ่งส่ายหน้า

ฉินมู่นำฮู่หลิงเอ๋อไปด้วยกับเขาและย่างเท้าเข้าไปในเมือง เขาเห็นโลงศพจำนวนมากมายวางเรียงรายอยู่สองข้างถนน พวกมันมีราวๆ สี่ร้อยห้าร้อยโลง

ฉินมู่สะดุ้งโหยง บางโลงศพนั้นก็ว่างเปล่า และมีทหารที่กำลังแบกศพมาใส่ไว้ในโลง บางโลงนั้นก็ตอกตะปูปิดฝาแล้ว ประชาชนในเมืองล้วนแต่หลีกลี้ห่างไกล ไม่กล้าเข้าไปใกล้

เกิดอะไรขึ้นที่นี่เนี่ย ทำไมผู้คนมากมายตายพร้อมๆ กันแบบนี้

ฉินมู่กำลังพิศวง พ่อค้าคนหนึ่งก้าวเข้าไปถาม และทหารในเมืองก็ตอบ “พวกเขาเป็นศพที่ถูกกระแสน้ำซัดมาจากเหนือน้ำมาติดที่นี่ พวกเราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพวกเขามาจากที่ไหน พวกเราคาดเดาว่าน่าจะมีน้ำท่วมที่ทางเหนือน้ำและทำให้พวกเขาจมน้ำเสียชีวิต พัดพาร่างพวกเขามายังชนบทเขื่อนแม่น้ำ จากนั้นร่างพวกเขาจึงติดอยู่ที่เขื่อน ผู้ว่าการเมืองชนบทกล่าวว่า หากศพยังทับถมกันอยู่อย่างนี้ โรคระบาดจะตามมาในไม่ช้า ดังนั้นพวกเขาจึงมีคำสั่งให้พวกเราจัดหาโลงศพไม้บางมาใส่ศพเหล่านี้ แล้วจึงจะกลบฝังในเช้าวันรุ่งขึ้น”

“อ้อ ที่แท้เรื่องราวก็เป็นเช่นนี้”

เหล่าพ่อค้าขับเกวียนและรถของตนอ้อมหลบหลีกโลงศพเหล่านั้นและมองหาโรงเตี๊ยมเพื่อเข้าพักผ่อน ฉินมู่เองก็หาโรงเตี๊ยมสำหรับพักแรมเช่นกัน หลังจากอาหารเย็น เขาจึงนำแผนที่ภูมิประเทศของของสันตินิรันดร์ออกมาศึกษา

ชนบทเขื่อนแม่น้ำอยู่ในพื้นที่ใจกลางสันตินิรันดร์ หากว่าเขามุ่งหน้าไปทางทิศเหนือ เขาก็จะไปถึงเมืองหลวงภายในสิบวัน และหากเขามุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกสามร้อยลี้ เขาก็จะสามารถพบเจอชายฝั่งทะเล

ท้องฟ้ามืดครึ้มลงและความมืดของกลางคืนก็เข้มข้นขึ้น ฉินมู่วางแผนที่ในมือแล้วมองออกไปนอกหน้าต่าง ความมืดที่นี่แตกต่างจากความมืดในแดนโบราณวินาศ ท้องฟ้าราตรีของสันตินิรันดร์นั้นแปรเปลี่ยนเป็นมืดดำอย่างเชื่องช้า และมีดวงจันทร์และดวงดาวเปล่งแสงวับวาบอยู่บนนั้น แต่สำหรับแดนโบราณวินาศ เมื่อกลางคืนมาถึง ความมืดก็จะแผ่สยายมาจากทิศตะวันตกและคลี่คลุมกลืนกินทุกอย่างในพริบตา ไม่มีแสงใดๆ อยู่ในความมืดนั้น

เขายื่นมือออกไปนอกหน้าต่างอย่างระมัดระวัง และพบว่าไม่มีอันตรายออกมาจากความมืดภายนอก

แดนโบราณวินาศเจอเข้ากับอะไรนะ ถึงมีปรากฏการณ์ประหลาดอย่างความมืดรุกรานแบบนั้น

หนุ่มน้อยขับไล่ความกังขาในจิตตน จากนั้นนำคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตออกมาเรียนรุ้ต่อ

ดึงเส้นด้ายออกมาจากถุงมือขาว เขาขับเคลื่อนปราณชีวิตเข้าไปในนั้น และเส้นด้ายก็พลันขยายพองออกมา กลายเป็นหนาขึ้นหนาขึ้น และเผยให้เห็นข้อความแน่นขนัดจำนวนมาก

ฉินมู่ศึกษามันอย่างตั้งอกตั้งใจ คราวนี้เขาเน้นเรียนรู้นิพนธ์เสกสรรในคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต มันมีนิพนธ์เสกสรรหลายรูปแบบในคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต ได้แก่วิชามารฟ้าเสกสรร วิชาเทพสวรรค์เสกสรร วิชาเซียนเถียนเสกสรร วิชาราชามนุษย์เสกสรร วิชาภูตผีเสกสรร วิชาวิญญาณเสกสรร และวิชาดินอสงไขยเสกสรร

ในบรรดานิพนธ์เหล่านั้น ฉินมู่ได้เรียนวิชามารฟ้าเสกสรรแล้ว แต่ท่านยายซีมิได้สอนเขาถึงวิชาที่ครบสมบูรณ์ เพียงแต่สอนวิธีตรึงวิญญาณและจิต

มีทั้งหมดเจ็ดนิพนธ์ในวิชาเสกสรร ซึ่งได้วิชาเซียนเถียน วิชาดินอสงไขย วิชาเทพสวรรค์ วิชามารฟ้า วิชาราชามนุษย์ วิชาภูตผี และวิชาวิญญาณ วิชาพวกนี้ล้วนแต่เกี่ยวพันกับการเสกสรร พวกมันมีความเกี่ยวข้องกันหรือเปล่านะ

ฉินมู่ศึกษาไปทีละนิพนธ์ การถลกหนังมาตัดเย็บเสื้อผ้านั้นเป็นเพียงแค่ส่วนเสริมเล็กน้อยของวิชามารฟ้าเสกสรรค์ จุดเด่นของวิชานี้จริงๆ แล้วอยู่ที่การเสริมสร้างความแข็งแกร่งของวิญญาณและจิตของผู้ฝึก วิชาเทพสวรรค์เสกสรรอันเก่งในด้านเลียนแบบวิชาของผู้อื่น แต่เมื่อเขาศึกษาดูดีๆ แล้ว ฉินมู่รู้สึกว่าสาระใจความของวิชาเทพสวรรค์เสกสรรนั้นพยายามจะสื่อว่าให้ผู้ฝึกมีกำลังและรูปลักษณ์อันแปรเปลี่ยนไม่ตายตัว การเลียนแบบวิชาของผู้อื่นนั้นเป็นเพียงการใช้วิชาเทพสวรรค์โดยผิวเผิน

วิชาเซียนเถียนนั้นย้อนวัยผู้ฝึก ดังนั้นวิชานี้จึงทำให้ผู้ฝึกปรือมีรูปร่างหน้าตาเยาว์วัยชั่วนิรันดร์ ปรมาจารย์เยาว์แห่งลัทธิมารฟ้าก็น่าจะฝึกปรือวิชาเซียนเถียนเสกสรร และวิชาเซียนเถียนไร้พันธนาก็น่าจะเป็นแขนงหนึ่งของวิชาเซียนเถียนเสกสรร

วิชาดินอสงไขยบ่มเพาะเลี้ยงดูวิญญาณของสิ่งมีชีวิต วิชาราชามนุษย์บ่มเพาะสั่งสมหนทางแห่งราชา วิชาภูตผีฝึกปรือวิธีสื่อสารกับโลกใต้พิภพ วิชาวิญญาณฝึกปรือการเปลี่ยนแปลง

นิพนธ์ทั้งเจ็ดของวิชาเสกสรรล้วนแต่มีจุดเด่นตระการตา แต่ก็ล้วนยากที่จะเข้าใจ ฉินมู่จ่อมจมในหนังสือ เขาใคร่ครวญความพิสดารของนิพนธ์เหล่านี้ตราบกระทั่งกลางดึกเที่ยงคืนเขาถึงรู้สึกตัว ความเงียบงันข้างนอกเงียบสงัดจะมีก็เพียงเสียงฆ้องบอกเวลาจากเวรยามราตรีที่ถนนเป็นครั้งคราว

ในตอนนั้นเอง สายลมหนาวเหน็บก็พัดโชยมาจากนอกหน้าต่าง เทียนไขพลันสะบัดวูบใกล้จะมอดดับ ฉินมู่รีบใช้มือป้องเปลวไฟเทียน ทันใดนั้นก็มีเสียงกรอบแกรบดังมาจากถนน ดังถนัดชัดหูในคืนอันเงียบงัน

ฉินมู่สะดุ้งทันใด และรีบดับเปลวเทียนด้วยมือของเขา เขาตรงไปที่หน้าตา งับหน้าต่างปิด แง้มเหลือช่องเพียงเล็กน้อย

เขาหงายนิ้ว และเส้นไหมอันเปลี่ยนรูปจากคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตก็บินมาถักทอเป็นถุงมือขาวบนมือเขาอันเบาบางประดุจปีกจั๊กจั่น

เมื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง ฉินมู่สามารถมองเห็นแสงจันทร์อาบไล้เมืองชนบทเขื่อนแม่น้ำ โลงศพเรียงรายสองข้างถนน และเวรยามราตรีเคาะฆ้องเล็กในมือเมื่อเขาเดินมาจากปลายถนนอีกฟาก

ทันใดนั้น เวรยามราตรีก็เหมือนกับเห็นอะไรบางอย่าง จึงชะงักเท้า

กรอบ…แกรบ

เสียงแปลกประหลาดดังมา ฝาปิดโลงพลันถูกผลักให้เปิดออกมาครึ่งหนึ่ง และมีร่างที่ผุดลุกขึ้นนั่งจากในโลงศพ

เคร้ง

ฆ้องในมือของเวรยามราตรีที่แตกตื่นตกใจร่วงหล่นลงบนพื้นและเงาร่างในโลงศพนั้น พลันพุ่งปราดเข้ามาเหยียบยืนอยู่ตรงเวรยามราตรีที่ยืนทื่อขวัญหนีดีฝ่อ ศพนั้นพลันแทงสองมือไปข้างหน้าและตัดหัวของเวรยามราตรีหลุดกระเด็นออกจากคอ

ฉินมู่สะท้านใจเล็กน้อย เขาได้ยินเสียงกรอบแกรบดังมาอีกอย่างต่อเนื่อง เมื่อโลงศพเหล่านั้นแง้มเปิดออกทีละโลงสองโลง และมีศพลอยขึ้นมาจากโลงเหยียดตัวขึ้น ในตอนนั้นเอง ประตูตึกริมถนนก็เปิดออกและมีนักพรตเต๋าสิบกว่าคนทยอยกันออกมา

นักพรตเต๋าผู้นำขบวนสวมใส่ชุดนักพรตเหลืองที่มีลวดลายยันต์แปดเหลี่ยม สวมใส่หมวกนักพรต มีแส้หางม้าพาดบ่าเมื่อเขาย่างก้าวไปข้างหน้าราวกับเหยียบเมฆ นักพรตเต๋าเบื้องหลังเขาใส่ชุดนักพรตสีดำ พวกเขาแต่ละคนแบกกล่องกระบี่ไว้ที่หลังและเดินตามนักพรตผู้นำไปอย่างเงียบเชียบ

ยันต์แปะสีเหลืองพลันพรั่งพรูออกมาจากแขนเสื้อของนักพรตเต๋าเสื้อเหลือง ก่อตัวเป็นสะพานลอยอยู่กลางอากาศ

สะพานยาวอันก่อรูปจากยันต์กระดาษเหลืองเหล่านี้เชื่อมต่อจากปลายสุดถนนไปยังที่ว่าการของผู้ว่าการชนบทเขื่อนแม่น้ำ!

จากนั้น ผีดิบบินเหล่านี้ก็กระโดดขึ้นมาจากโลงและลอยขึ้นมา พวกมันกระโดดโหยงเหยงตัวทื่อในอากาศ และเหยียบลงบนสะพานยันต์กระดาษ กรูกันไปยังจวนที่ว่าการนั้น!

เมื่อเพ่งมอง ฉินมู่ก็เห็นผีดิบบุกเข้าไปในที่ว่าการ หลังจากนั้นก็มียันต์กระดาษเหลืองพรั่งพรูออกมาจากแขนเสื้อของนักพรตเต๋าเสื้อเหลืองอีก และสร้างสะพานบนอากาศ แต่คราวนี้สะพานเชื่อมไปยังประตูทิศเหนือ ทิศใต้ ทิศตะวันตก และทิศตะวันออก

นักพรตเต๋าชุดดำเบื้องหลังเขาก็พลันทะยานขึ้นไปบนอากาศและมุ่งหน้าไปยังประตูเมืองทั้งสี่โดยสาวเท้าไปบนยันต์กระดาษเหลือง

“แย่แล้ว!”

ฉินมู่สะท้านใจอย่างรุนแรง และรีบวิ่งไปทั่วห้องราวกับลมพายุเพื่อเก็บเสื้อผ้าข้าวของเขาให้เป็นห่อสัมภาระ เขาปลุกจิ้งจอกขาวขึ้นมาแล้วกล่าวอย่างรวดเร็ว “อย่าส่งเสียง พวกเราต้องรีบออกไปจากที่นี่อย่างเงียบๆ! หลิงเอ๋อ เรียกลมเจ้ามา!”

ฮู่หลิงเอ๋อไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น และกะพริบตาง่วงงุนของนางอย่างเซื่องเซา

ทันใดนั้น ก็มีเสียงระเบิดลั่นสนั่นโลกดังมาจากจวนที่ว่าการ และมีเสียงร้องด้วยความแตกตื่นเจือโกรธเกรี้ยวดังมา “ผีดิบบิน! พวกมันคือผีดิบบิน! ลัทธิผีดิบเซียนบุกเข้ามาในเมือง เร็วเข้าคุ้มกันท่านผู้ว่า!”

“นายของเจ้าตายไปแล้ว และนี่คือศีรษะของเขา!”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version