Skip to content

Tales of Herding Gods 111

ตอนที่ 111 มารฟ้าร่ายรําบนผืนนํ้า

ฉินมู่ระบายลมหายใจที่อั้นไว้ช้าๆ ข่าวนี้นับว่าเกิดความคาดฝันจนน่าตระหนก ทําให้เขาไม่อาจประมวลผลมันได้ไปครู่หนึ่ง

แม้ว่าอธิการบดีของจักรวรรดิจะเป็นแค่ขุนนางขั้นตํ่าชั้นสาม และไม่ได้ดูตําแหน่งสูงอะไร แต่ว่าตําแหน่งนี้สําคัญอย่างยิ่งเชิง ยุทธศาสตร์ มหาวิทยาลัยจักรวรรดิเป็นสถานที่รวบรวมและควบคุมวิชาและทักษะเทวะทั้งหลายทั้งมวลในโลกหล้า เพื่อเลือกเฟ้นมัน ปรับปรุงแก้ไขมันบันทึกไว้เป็นคัมภีร์ตำรา อาจจะกล่าวได้ว่าเป็นปูชนียสถานของวิชาบู๊และวิชาเทวะสถานศักดิ์สิทธิ์แห่งการเรียนรู้ขั้นสูงสุด

ยิ่งไปกว่านั้น ขุนนางข้าราชการแห่งสันตินิรันดร์ล้วนแต่สําเร็จการศึกษาออกมาจากมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ และทุกคนที่ออกมาจากที่นี่ล้วนแต่เป็นนักเรียนในการสั่งสอนของปรมาจารย์เยาว์ ระหว่างพวกเขาย่อมมีความผูกพันฉันท์ครูศิษย์

ตําแหน่งขุนนางนี้ไม่ได้สูง แต่เครือข่ายอิทธิพลนั้นมากมายหลายสาแหรก!

เมื่อรวมกับเครือข่ายอิทธิพลของตัวตนอีกโฉมหน้าของปรมาจารย์เยาว์แห่งลัทธิมารฟ้าเข้ามาด้วย ยิ่งนับว่าน่าพรั่นพรึงจนขนหัวลุก

ฝูชิงอวิ๋นกล่าวต่อ “ในเมื่อนายน้อยได้มาที่นี่แล้ว ทําไมนายน้อยไม่พักที่นี่สักสองสามวันล่ะ ค่อยหาเวลาสักวันไปมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ แต่อย่างไรถ้านายน้อยอยากจะเข้าไปร่วมมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ ก็จะต้องผ่านการสอบทดสอบบางอย่าง”

ฉินมู่พิศวง “การทดสอบแบบไหนหรือ”

“มหาวิทยาลัยจักรวรรดิไม่ใช่สถานที่ใครก็เข้าไปได้ ท่านจะต้องได้เป็นบัณฑิตจักรวรรดิเสียก่อนจึงจะเข้าร่วมได้”

ฝูชิงอวิ๋นเผยอยิ้ม “ท่านปรมาจารย์ย่อมหวังให้นายน้อยผ่านการทดสอบเป็นบัณฑิตจักรวรรดิเสียก่อน การสอบแข่งขันเพื่อเป็นบัณฑิตจักรวรรดินั้นกําลังจะเริ่มต้นในไม่ช้า นายน้อยจะต้องเข้าร่วมการสอบครั้งใหญ่นี้อันมีนักเรียนจากทั่วทุกมุมโลกเข้ามาแข่งขัน เมื่อท่านผ่านการสอบแข่งขันแล้วจึงจะสามารถเข้ามหาวิทยาลัยจักรวรรดิได้”

“ขอบคุณมาก พี่สาวอวิ๋นเอ๋อ” ฉินมู่ถอนหายใจแล้วกล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ข้ายังไม่มีสถานที่

พํานัก ดังนั้นข้าจะขอพักในสถานที่ของพี่สาวอวิ๋นเอ๋อสักสามสี่วัน”

ฝูชิงอวิ๋นกระซิบ “ไม่ใช่ว่านายน้อยจะอยู่ที่นี่ไม่ได้หรอกนะ แต่นายน้อยต้องคอยระวังตัวจากพวกนังเท้ากีบน้อยพวกนี้ พวกนางแทบจะอดใจรอไม่ไหวที่จะปีนข้ามหัวข้าขึ้นเป็นฮูหยินลัทธิ”

ใบหน้าฉินมู่แดงฉานขึ้นมาทันที พึมพําเบาๆ “มีเรื่องอย่างนี้ด้วยหรือ”

ฝูชิงอวิ๋นหัวเราะเบาๆ “นายน้อย แบบนี้ท่านคงรับมือการยั่วยวนของพวกนางไม่ไหวหรอก ตามข้ามา ข้าจะจัดเตรียมห้องให้ท่าน”

ห้องที่ฝูชิงอวิ๋นจัดเตรียมให้เขานั้นสวยสง่าเลิศหรู เพียงแต่ว่าการตกแต่งประดับประดาในห้องนั้นเหมือนห้องหอของสตรีเสียมากกว่า ขนาดผ้าห่มก็ยังอบรมด้วยเครื่องหอมส่งกลิ่นกรุ่น ฝูชิงอวิ๋นรีบกล่าว “ที่นี่คือที่ที่ข้าพักอาศัย หากว่านายน้อยไม่ชอบใจ เราสามารถเปลี่ยนเป็นห้องอื่นได้”

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องหรอก” ฉินมู่วางกระเป๋าสัมภาระของเขาลงบนโต๊ะ ฝูชิงอวิ๋นยังยืนอยู่

ในห้องยังไม่ได้ออกไป นางขบเม้มเรียวปากสีแดงแล้วเอ่ยถามอย่าง แผ่วเบา “ไม่ทราบว่านายน้อยมีคําสั่งอื่นใดอีกหรือไม่”

“ไม่มีแล้วล่ะ ขอบคุณพี่สาวอวิ๋นเอ๋อมากๆ”

เมื่อฉินมู่กล่าวจบ กระเป๋าของเขาก็ขยับ และจิ้งจอกขาวตัวเล็กๆ ที่สะพายกระเป๋าเป้ใบจิ๋วก็โผล่ออกมา ฝูชิงอวิ๋นมองปราดนึง แล้วรีบหันกายเดินจากไป พึมพํากับตัวเอง “มิน่าล่ะ ที่แท้เขาก็พานังจิ้งจอกน้อยของตัวเองมาด้วย…”

ร่างของฮู่หลิงเอ๋ออบอวลไปด้วยกลิ่นสุรา ฉินมู่ได้กลิ่นก็ขมวดคิ้ว “หลิงเอ๋อ นี่เจ้าแอบดื่มอยู่ในกระเป๋าเรอะ!”

“เปล๊า!”

จิ้งจอกขาวเมาตุปัดตุเป๋และสะอึกขึ้นมาทันที นางรีบใช้อุ้งมือตะครุบปิดปากตนเอง แต่ก็ยังหลุดสะอึกออกมาอีกรอบ นางยืนขึ้นด้วยสองขาหลัง แล้วโงนเงนโซเซจนแทบจะตกโต๊ะ

ฉินมู่ไม่รู้จะหัวเราะหรือรํ่าไห้ เขาล้วงไหสุราว่างเปล่าออกจากกระเป๋าเป้แล้วกล่าว “เจ้ายังว่าเปล่าอีกหรือ นี่ข้าศึกษาคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตเมื่อหลายวันก่อนและพบวิชาที่เหมาะกับเจ้า มันเรียกว่าวิชาวิญญาณเสกสรร หลังจากที่ข้าไตร่ตรองทําความเข้าใจวิชานี้ได้สองสามวัน ข้าก็กะจะสอนมันให้แก่เจ้า แต่เจ้าก็เมาอีกแล้ว ”

จิ้งจอกน้อยบนโต๊ะร่วงผล็อยหัวทิ่มพื้นในที่สุด ฉินมู่รีบช้อนรับแล้วโยนนางไปวางไว้ที่เตียง ฮู่หลิงเอ๋อ กอดหมอนแล้วก็หลับไป

ฉินมู่เองก็เหนื่อยล้าสุดๆ จากการหลบหนีการไล่ล่าของสํานักขี่มังกร ดังนั้นเขาก็ผล็อยหลับไปเช่นกันในทันทีที่หัวแตะหมอน

เมื่อคํ่าคืนมาถึง เขาตื่นขึ้นมาเพราะความหิว แต่ทว่าเมื่อมองไปยังฮู่หลิงเอ๋อ นางยังคงหลับสนิทเขาจึงไม่ปลุกนางขึ้นมา

ฉินมู่นํายาสีฟันและแปรงสีฟันไม้ออกมาจากกระเป๋าสัมภาระ จากนั้นเริ่มล้างหน้าล้างตา เมื่อเขาเดินออกจากห้อง ก็มีเด็กสาวยืนรออยู่ข้างนอก นางเห็นฉินมู่ตาก็เป็นประกายขึ้นมาทันทีและแย้มยิ้ม “นายน้อยตื่นแล้ว พี่สาวใหญ่รู้ว่านายน้อยจะต้องหิวแน่ๆ นางจึงตระเตรียมอาหารไว้ให้แล้ว และให้ข้าคอยที่นี่เพื่อเชื้อเชิญนายน้อยไปรับประทาน”

ฉินมู่กล่าวขอบคุณ จากนั้นตามนางไปยังห้องหรูหราห้องหนึ่ง ในหอฟังเสียงฝน มองออกนอกหน้าต่างจะเห็นกอไผ่สวยงาม ไกลออกไปจากกอไผ่มีศาลา สวนหินและสระนํ้า ดูงามสงบ

ฉินมู่นั่งลงจากนั้นเด็กสาวสามสี่คนก็เดินเข้ามาเป็นทิวแถว และวางอาหารในมือพวกนางลงตรงหน้าเขา ไม่นานนักทั้งโต๊ะก็เต็มไปด้วยข้าวปลาอาหารหลากชนิด ที่นอกหน้าต่างนั้น สาวงามในชุดขาวถือกู่ขิมมานั่งในเก๋งศาลา ดีดบรรเลงอย่างนุ่มนวล สักพักหนึ่ง สาวๆ สามสี่คนก็ตามเข้าไปในศาลาบางคนก็ถือปี่แป้ บางคนก็ถือขลุ่ยยาว และบางคนก็ถือกู่เจิ้ง พวกนางนั่งประจําตําแหน่งของตนและเริ่มต้นบรรเลงดนตรีประสานกัน

ฉินมู่รับฟังอย่างลึกซึ้งกินใจ ขณะเดียวกันเขาก็รับประทานอาหารไปด้วย รู้สึกอิสระเสรีและผ่อนคลาย

สายตาของเขาทอดลงไปยังสิบนิ้วของเด็กสาวที่เล่นกู่ขิมและวางถ้วยกับตะเกียบในมือลงอย่างลืมตัว นิ้วของเขาก็เริ่มดีดกระดิกไปมาสักพักเขาก็เปลี่ยนไปมองยังร่างกายของเด็กสาวที่กําลังบรรเลงปี่แป้ เขาเพ่งสังเกตทักษะทั้งสิบนิ้วของนาง จากนั้นเขาเปลี่ยนไปมองปลายนิ้วที่ขยับไหวไปมาของสาวน้อยที่กําลังบรรเลงขลุ่ย

“นิ้วสายฟ้าบรรเลงปี่แป้ไม่เพียงแต่ต้องดึง ยังต้องพลิก ง้าง เกี่ยว จิ้ม กดค้าง และดีด…”

ประกายตาของฉินมู่แจ่มจ้าขึ้นทุกที ทักษะนิ้วของสาวๆ ที่กําลังเล่นดนตรีในเก๋งศาลาทําให้เขาตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเทียบกับฟ้าคํารามแปดจู่โจมที่เขาฝึกปรือแล้ว เขาพบว่าความเข้าใจของเขาต่อกระบวนท่านิ้วสายฟ้าบรรเลงปี่แป้กลายเป็นตราตรึงลึกซึ้งมากขึ้น เขามีความรู้สึกกระจ่างแจ้งปัญญาและอดรนทนไม่ได้หมายจะกระโดดไปร่วมบรรเลงดนตรีด้วยให้สาสมใจ!

เมื่อมองไปยังพวกสาวๆ ที่กําลังเล่นดนตรี เขามีปรารถนาจะเล่นมันเช่นเดียวกัน ความปรารถนานี้แผดเผาเร่าร้อนขึ้นอย่าง เดือดพล่านแต่ทว่าเขาไม่ได้รู้วิชาดนตรีอะไรมากมาย และไม่กล้าก่อกวนสาวๆ พวกนั้นตามอําเภอใจ

แต่ทว่าความคันในหัวใจของเขายิ่งยากจะเกา เขาดื่มดํ่ากับดนตรีจนหลงลืมกินอาหาร นิ้วทั้งสิบของเขา

บางครั้งก็เล่นกู่ขิม บางครั้งก็เล่นปี่แป้ บางครั้งก็พรมร่ายคล้ายเป่าขลุ่ย และบางครั้งก็เหมือนกําลังดีดกู่เจิ้ง

เด็กสาวในเก๋งศาลาดูจะสังเกตเห็นหนุ่มน้อยที่หน้าต่างเช่นกัน หญิงผู้หนึ่งกล่าวอย่างแผ่วเบา “พี่เยว่เอ๋อ นายน้อยมองมาทางเจ้าแน่ะ! ข้าว่าเขาต้องชอบเจ้าแน่ๆ!”

ผู้ถูกเรียกก้มหน้าลงอย่างเอียงอาย และไม่กล้าเงยขึ้นไปสบตา

ในตอนนั้นเอง ที่ฉินมู่ดื่มดํ่าจนลืมตัวและลืมคิดยับยั้งใจ เขาก็ลุกขึ้นก้าวยาวๆ พุ่งกระโจนออกจากหน้าต่างไปยังเก๋งศาลาภายในไม่กี่ก้าว โดยไม่พูดพรํ่าทําเพลง เขายื่นมือออกไปและแย่งชิงปี่แป้ออกมาจากพี่เยว่เอ๋อ

พวกสาวๆ ในศาลาคิดว่านายน้อยกําลังจะเล่นบทเจ้าชู้ยักษ์ และมาคว้าตัวสาวงามไปเชยชม แต่ไม่คาดเลยว่าจ้าวลัทธิน้อยจะ มิได้ชิงตัวพี่เยว่เอ๋อ แต่เป็นปี่แป้ของนางไปเสียนี่

ฉินมู่ดูคล้ายกับจะจมเข้าไปในสภาวะอันพิสดาร ด้วยปี่แป้ในมือของเขา เขาดีดมันเบาๆ เสียงที่ส่งออกไปมิใช่ดนตรีอันไพเราะกังวานแต่มันสร้างเสียงครืนครันของสายฟ้าบนนภากาศ สร้างความตื่นตะลึงแก่เด็กสาวทุกๆ คนในศาลา!

ฉินมู่เมามายกับดนตรีของตน สิบนิ้วของเขาร่ายพรมขึ้นๆ ลงๆ บนปี่แป้ เสียงคํารามของสายฟ้ากลายประหนึ่งเสียงดนตรีดุริยางค์ทิพย์ในหูของเขา ซึ่งขัดแย้งทําลายเสียงขลุ่ย กู่ขิม และกู่เจิ้ง

เด็กสาวเหล่านี้มีความชํานาญด้านดนตรี ทันทีที่เสียงดนตรีของพวกนางถูกขัดขวางก่อกวนโดยฉินมู่ นางก็รีบปรับเปลี่ยนโน้ตทํานองและเล่นต่อไปอย่างเคร่งขรึมหมายจะสยบเสียงสายฟ้าของฉินมู่

เตง! เตง! เตง!

เสียงสายฟ้าฟาดพลันแปรเปลี่ยน มันกัมปนาทก้องและทวีพลานุภาพ ราวกับเสียงกรีดกระทบของโลหะและหินผาอันแฝงไว้ด้วยรังสีฆ่าฟัน เสียงนั้นสยบเสียงดนตรีของเหล่าเด็กสาวอีกครั้ง ทําให้พวกนางทุกคนหันไปขมวดคิ้วมองหน้ากัน

จิตวิญญาณแห่งการแข่งขันของพวกสาวๆ พลันถูกจุดลุกฮือ สาวกู่ขิมฟาดขิมด้วยฝ่ามือให้มันกระเด้งกระดอนขึ้นมาตั้งชันบนพื้น สาวกู่ขิมเล่นกู่ขิมราวกับพิณใหญ่ตัวหนึ่ง นิ้วทั้งสิบของนางกรีดพรมไปบนสายขิมอย่างรวดเร็ว ทําให้จังหวะของดนตรีเร็วหวือ เกินกว่าที่หูมนุษย์จะแยกออก

สาวเป่าขลุ่ยก็ลุกขึ้นยืนและย่างเท้าไปโดยไม่รู้ตัว แต่ละย่างก้าว ความสูงส่งในเพลงของนางก็ทะยานสูงขึ้นและเสียงขลุ่ยก็ดังหวีดหวิวสดใสขึ้น ดนตรีของนางกวาดซัดดอกไม้ให้ปลิวขึ้นฟ้า เป็นลมหมุน นางจดจ่อสมาธิเต็มที่หมายจะสยบเสียงประหลาดพิสดารที่ออกมาจากปี่แป้ของฉินมู่

ข้างๆ นั้น สตรีอีกนางยืนอุ้มต้าหรวนและมีธงสะบัดไหวข้างหลังนางอันสะบัดแตะพื้นไปๆ มาๆ ยกร่างของนางขึ้นๆ ลงๆ บน ท้องฟ้า ช่วยสยบเสียงฉินมู่อีกแรง

หญิงสาวอีกคนวิ่งออกมาจากศาลา ไม่นานนักนางก็กลับมาพร้อมกับลากขิมยาวขนาดยักษ์ออกมาแล้วเริ่มดีดตีขิมยาวนั้น เสียงดนตรีที่เปล่งมาจากนํ้ามือนางให้ความรู้สึกแจ่มจ้าดุดันและมีพลานุภาพอันแทบจะกลายเป็นทักษะเทวะ พลังเสียงผลักร่างนางให้ลอยลิ่วไปข้างหน้าเพื่อบรรเลงดนตรีสยบเสียงของฉินมู่

หญิงสาวอีกนางเห็นดังนั้นก็วิ่งรี่ออกจากศาลา และมีเสียงตูมดังสนั่น หญิงนางนี้ถึงกับรื้อพังเรือนทั้งหลังเพื่อลากชุดระฆังเปี่ยนจ้ง ที่มีระฆัง 56 ระฆังอันมีขนาดต่างๆ กันออกมา นางหญิงผู้นี้เหวี่ยงไม้เคาะตีไปตามระฆังต่างๆ ทําให้เสียงระฆังดังสนั่นหวั่นไหว ทั้ง 56 ระฆังมีโทนเสียงแตกต่างกันไป ซึ่งล้วนพุ่งเป้าจู่โจมใส่ฉินมู่

ฉินมู่สาแก่ใจอย่างยิ่ง และหัวเราะดังลั่นพลางกอดอุ้มปี่แป้ในมือ เสียงที่ปี่แป้ของเขาสามารถสร้างออกมาได้นั้นจํากัดจําเขี่ย ทว่ากลับสําแดงบรรยากาศอันเกริกไกรของทัพใหญ่ยาตรา มันทําให้ผู้ฟังรู้สึกราวกับว่าหลุดเข้าไปในสนามสัประยุทธ์ของเทพและมาร อันมืดครึ้มหม่นมัวด้วยเมฆดําและพายุสายฟ้า เหล่าเทพและหมู่มารพุ่งเข้าล้างผลาญกันจนเลือดนองเป็นท้องธาร!

ในจิตของเขา ไม่ว่าจะเป็นฟ้าคํารามแปดจู่โจมที่เฒ่าหม่าถ่ายทอดให้ เพลงกระบี่ของผู้ใหญ่บ้าน วิชาขาของเฒ่าเป๋ เพลงมีดของคนแล่เนื้อ หรือเพลงค้อนของเฒ่าใบ้ พวกมันล้วนแต่ถูกหลอมรวมเข้าไปในการบรรเลงปี่แป้ของเขา

บรรดานิพนธ์ในคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตที่เกี่ยวกับดนตรี ก็พลุ่งพล่านขึ้นมาในจิตของเขาในเสี้ยววินาทีเดียวกัน ทําให้เสียงปี่แป้ของเขาเร่งเร้าดุเดือด ทั้งรังสีฆ่าฟันก็หนาแน่นเข้มข้นขึ้น ในขณะเดียวกัน เสียงเทพเสียงมาร และเสียงพุทธก็ดังมาอย่างลางเลือนแฝงในเสียงปีแป้

และทันใดนั้นศาลาอันไม่อาจรองรับพลังดนตรีของทุกคนได้ ก็ระเบิดกระจัดกระจาย พวกสาวๆ และฉินมู่ซึ่งกําลังจะร่วงลงไปในสระนํ้าพลันขับเคลื่อนปราณชีวิตของตนเพื่อทําให้พวกเขายืนอยู่บนผิวนํ้าได้

เมื่อเหล่าหญิงสาวเดินไปบนนํ้า พวกนางก้าววนไปรอบๆ ฉินมู่อย่างต่อเนื่อง และดนตรีที่พวกนางสร้างก็เร่งเร้าบีบรัดมากขึ้นทุกที ปราณชีวิตของฉินมู่แผ่พุ่งพยุงปี่แป้ให้ลอยอยู่กลางอากาศ ฉินมู่ใช้ทั้งสิบนิ้วของเขาดีดดึงสายปีแป้อย่างไม่ยอมลดราวาศอกเสียงปี่แป้เร่งร้อนราวไฟ ป้องกันเสียงดนตรีที่จู่โจมมาจากทุกทิศ

ทันใดนั้นสายปี่แป้ก็ขาดผึงไปทีละเส้น ทีละเส้น ฉินมู่โยนปี่แป้ทิ้ง พวกสาวๆ กําลังจะได้ใจที่เอาชัยเขาได้ แต่ทันใดนั้นพวกนางก็ เห็นนํ้าในสระลอยขึ้นมาและกลายเป็นเส้นสายดนตรีอันก่อจากมวลนํ้าที่ล้อมรอบตัวฉินมู่ ฉินมู่ซึ่งไม่ถูกจํากัดโดยขนาดของปี่แป้อีกต่อไป และสายดนตรีนํ้ารอบตัวเขาใหญ่และเหนียวแน่นพอที่ เขาจะดีดระดมได้ตามใจถวิล เมื่อเขาดีดสายดนตรีนํ้า เสียงสายฟ้าฟาดก็คํารามลั่นออกมา ทําให้พวกสาวๆ ตัวสั่นโงนเงนจากแรงสะท้านสะเทือน

“เสียงวุ่นวายอะไรกัน” ฝูชิงอวิ๋นเดินเข้ามาและเห็นเด็กสาวเหล่านั้นถอยร่นไปทีละ ก้าวทีละก้าวด้วยความเพลี่ยงพลํ้าเสียท่า ทันใดนั้นหญิงนางหนึ่งก็หัวเราะร่าแล้วโยนขลุ่ยในมือนางทิ้งไป จากนั้นนางเริ่มเต้นเริงระบําตามเสียงดนตรีของฉินมู่ โดยไม่ใยดีเสื้อผ้าที่หลุดรุ่ยของตนเอง

ฝู่ชิงอวิ๋นมีสีหน้าแตกตื่นและรีบวิ่งกลับเข้าไปในเรือนเพื่อนําปี่แป้คู่กายของนางออกมา “นายน้อยกําลังบรรลุทักษะเทวะ สาวๆ ถอยออกไปให้หมด ให้ข้าช่วยเขาเอง!”

ขณะที่นางกล่าวนั่นเอง เด็กสาวทั้งหมดก็พ่ายแพ้และตกภายใต้อํานาจสะกดของเสียงดนตรีฉินมู่ พวกนางร้องรําและเต้นระบําไปมาอย่างชดช้อยบนผิวนํ้า เผยรอยยิ้มที่หวานหยดเยิ้มราวปีศาจสิง

ฝูชิงอวิ๋นส่ายหน้าไปมา เสียงของปี่แป้นางพลันดังออก และสยบเสียงดนตรีจากเส้นสายนํ้าของฉินมู่ เด็กสาวทุกคนพลันฟื้นคืนสติและรีบโค้งคํานับฝูชิงอวิ๋น ก่อนที่จะถอยออกไปจากบริเวณสระ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version