ตอนที่ 110 หอโคมเขียวและตรอกดอกไม้
หนึ่งชั่วโมงถัดมา ขนดําอกแดงก็วิ่งตะบึงมาถึงในเมืองหลวง ฉินมู่มองไปข้างหน้าและใจระรัวเล็กน้อย เขาได้เห็นเมืองสุสานแม่นํ้ามาก่อนแล้วและตะลึงลานอย่างหนัก ทว่าเมืองหลวงเบื้องหน้าเขานํามาซึ่งความมหัศจรรย์ใจเป็นล้นพ้นยิ่งกว่าเมืองสุสานแม่นํ้า
เมืองสุสานแม่นํ้าสร้างอยู่บนแม่นํ้าทองคํา ลอยอยู่เหนือผิวนํ้า กว่า 50 วาสร้างทิวทัศน์อันน่าตกตะลึง
ขณะที่เมืองหลวงแห่งนี้สร้างอยู่บนเทือกเขาสูงใหญ่อันดูคล้ายกับมังกรตัวมหึมา ยิ่งไปกว่านั้นมันไม่ใช่แค่เทือกเขาเดียว แต่มีถึง 9 เทือกเขา
9เทือกเขาอันคลับคล้าย 9 มังกรที่ปีนไต่อยู่บนพื้นราบนั้น สุมตัวกันที่ตําแหน่งเมืองหลวง จุดที่ 9 มังกรมาซ้อนทับกันและเศียรของพวกมันบรรจบกันนั้นคือที่ตั้งของเมืองหลวงแห่งนี้
ภาพความตระการตาที่เห็นนั้นยิ่งใหญ่เกรียงไกรกว่าเมืองสุสานแม่นํ้าที่ตั้งบนแม่นํ้าทองคําไปหลายเท่า มิน่าล่ะจักรพรรดิ เอี้ยนเฝิงจึงไม่ใส่ใจคํารํ่าลือที่ว่าเมืองเขตมังกรนั้นสยบเส้นทางมังกรและสร้างอยู่บนเศียรมังกรแม่นํ้าทองคํา เพราะเมืองหลวงนั้น เป็นเจ้าผู้ครองมังกร 9 ตัว ดังนั้นทําไมเขาจึงต้องใยดีกับเมืองสุสานแม่นํ้าของราชครูสันตินิรันดร์ ซึ่งสยบมังกรไว้เพียงแค่ตัวเดียว
ด้วย 9 มังกรล้อมรอบและพิทักษ์เมืองหลวง ยังมีค่ายทหารอีก 4 ค่ายห่างจากเมืองหลวงไป 30 ลี้ แต่ละค่ายนั้นใหญ่โตพอๆ กับหัวเมืองๆ หนึ่ง และห่างจากค่าย 20 ลี้ ก็จะมีเมืองเล็กๆ 8 เมือง แม้จะเรียกว่าเมืองเล็ก แต่จริงๆ มันก็เทียบได้กับเมืองทั่วไป
เมืองทั้งแปดนั้นสร้างอยู่ริมแม่นํ้า อันเป็นแม่นํ้าที่ใหญ่อันดับ 2 ในจักรวรรดิเรียกว่าแม่นํ้าโคลน การจราจรทั้งทางนํ้าและทางบกสะดวกรวดเร็ว ส่วนแม่นํ้าที่ใหญ่อันดับหนึ่งนั้นคือแม่นํ้าหย่งอัน ไหลมาจากแดนโบราณวินาศ
แม้ว่ามันจะเป็นแม่นํ้าที่ใหญ่อันดับ 2 แม่นํ้าโคลนก็ถูกเรียกว่าเส้นปราณมังกรแห่งสันตินิรันดร์ เส้นปราณมังกรอันเที่ยงแท้ ขณะที่แม่นํ้าทองคํานั้นเพียงแค่รํ่าลือกันว่าเป็นเส้นปราณมังกร
อีกเส้นหนึ่ง และผู้คนจากหลากหลายชนชั้นมิได้ยอมรับมันเป็นทางการ
ฉินมู่มองไปยังที่ไกลๆ นครามหานครอันเศียร 9 มังกรมาบรรจบมีความโอ่อ่าตระการตาอันสมแล้วที่เป็นสถานสถิตของโอรสสวรรค์ผู้ปกครองแดนดิน
“ยังมีกองกําลังซุ่มซ่อนอยู่ในเทือกเขา!” ฉินมู่มองไปยังเทือกเขา 9 มังกรและสามารถเห็นปราณกองทัพลางๆ ทําให้เขาอุทานด้วยความตะลึง
ทหารสามสี่คนบนหลังนกก็ประหลาดใจเช่นกันและมองไปทางฉินมู่ หนึ่งในนั้นถามเขา “น้องชายน้อยรู้จักคนในกองทัพด้วยหรือ เจ้าถึงรู้ว่ามีกองกําลังซุ่มซ่อนอยู่บนเทือกเขา”
ฉินมู่ไม่ได้ตอบ สาเหตุที่เขาเห็นกองทัพอันยิ่งใหญ่หมื่นไพร่พลและม้าศึกซ่อนอยู่ระหว่างเทือกเขา 9 มังกรก็เพราะเนตรสวรรค์ของเขา วิชาปลุกเนตรสวรรค์เก้าที่เฒ่าบอดถ่ายทอดให้เขานั้นเป็นทักษะที่ใช้มองปราณของสรรพสิ่ง
ที่เรียกว่า ‘มองปราณของสรรพสิ่งนั้น’ จริงๆ คือการมองชะตากรรม
การตั้งกองกําลังขนาดใหญ่ไว้ในสถานที่อย่างเมืองหลวงนั้น คือการใช้ปราณกองทัพสยบชะตาของจักรวรรดิ มันจึงไม่อาจรอดพ้นสายตาเขาไปได้
กองธนูเคลื่อนที่เร็วส่งพวกเขาไปยังประตูเมืองหลวงก่อนที่จะแยกกลับไปสมทบกับกองพันของตน ฉินมู่และเว่ยหยงแสดงใบผ่านทางให้ทหารตรวจสอบที่ประตูเมืองก่อนที่จะเข้าไปในเมือง ในเมื่อมหานครแห่งนี้อยู่ใต้ฝ่าพระบาทของโอรสสวรรค์มันย่อมรุ่งเรือง มั่งคั่งเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าฉินมู่จะได้ไปเยือนเมืองสุสานแม่นํ้าและความมั่งคั่งรุ่งเรืองของที่นั่นได้เปิดหูเปิดตาเขามาแล้ว แต่เมืองหลวงนั้นก็ยังทําให้เขาตื่นตะลึงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ที่นี่คึกคักคลาคลํ่าไปด้วยผู้คนแต่ไม่ได้โหวกเหวกโวยวาย จากพ่อค้าที่ต่อรองราคากันอย่างเขี้ยวลากดินเพียงถ่ายเดียว มีการสั่งสมของความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจก็จริง แต่ยิ่งไปกว่านั้นมันคือการสั่งสมทางวัฒนธรรม
บ้านเรือนและสิ่งก่อสร้างในเมืองมีความโอ่อ่าสง่างาม ทักษะฝีมือการสลักเสลาสิงโตหินประดับสองข้างถนนนั้นก็ประณีตสูงส่ง โคลงกลอนคู่ที่แขวนไว้หน้าประตูตระกูลใหญ่ก็มีความไพเราะน่าสนใจ ทุกบ้านทุกตระกูลวางรูปปั้นเทพพิทักษ์ประตูไว้ที่ประตูชั้นนอกอันให้ความรู้สึกอัศจรรย์ ราวกับว่าเทพพิทักษ์ประตูเหล่านั้นจะกลับมามีชีวิตและป้องกันมารร้ายภูตผีได้ทุกเมื่อ
เบาะแสเล็กน้อยเผยให้เห็นสถานการณ์ใหญ่ พลิกใบไม้ใบเดียวก็รู้ว่านี่เหมันต์หรือวสันต์ เพ่งพิศหนึ่งหยดนํ้าก็หยั่งถึงความเข้มครามของมหาสมุทร เมื่อฉินมู่เฝ้าสังเกตสิ่งรอบข้าง เขาก็
ตระหนักทันทีว่าจักรวรรดิแห่งนี้แข็งแกร่งทรงอํานาจเพียงใด
ผู้ใหญ่บ้านและผู้เฒ่าคนอื่นๆ เคยบอกเขาว่าจักรวรรดิสันตินิรันดร์คือสํานักที่สวมคราบของประเทศ บัดนี้เขาถึงเพิ่งตระหนักว่า สํานักนี้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรเพียงไหน!
“พี่ฉินมีที่พักแล้วหรือยัง”
เว่ยหยงเชิญชวนเขา “หากว่าไม่มี ก็ไม่น่าเป็นไรหากว่าพี่จะมาพักที่จวนดยุคสักสามสี่วัน พวกเราสามารถรอจนกว่ามหาวิทยาจักรวรรดิจะเปิดประตู แล้วจึงค่อยไปสอบเข้า”
ฉินมู่ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนส่ายศีรษะ “ข้ามีเพื่อนเก่าจากบ้านเกิดในเมืองนี้ และจะไปพักอาศัยกับพวกเขา พี่เว่ยหยง เราแยกทางกันที่นี่ละกัน”
เว่ยหยงจึงได้แต่วางเรื่องไปแล้วกล่าว “เมื่อพี่เจอสถานที่ที่ปักหลักพํานัก สามารถส่งคนมาแจ้งข้าที่จวนดยุคได้”
ฉินมู่ยิ้มกล่าว “แน่นอนอยู่แล้ว เออจริงสิ พี่เว่ยหยง หอโคมเขียวในเมืองนี้อยู่ตรงไหนหรือ”
เว่ยหยงมีสีหน้าแปลกประหลาด “ข้าไม่รู้มาก่อนเลยว่าพี่ฉินนี่ เสเพ…เอ๊ย เป็นคนรุ่มรวยอารมณ์ที่มีรสนิยมทางนี้ หอโคมเขียวที่ใหญ่ที่สุดอยู่ที่ตรอกดอกไม้ เดินไปตามทางนี้จนสุดทางถนนหงส์เพลิงบุปผา และพี่จะเห็นตรอกดอกไม้ถัดไปอีกสามถนน หอโคมเขียวที่ดีที่สุดในตรอกดอกไม้เรียกว่าหอฟังเสียงฝน อะแฮ่ม โปรด อย่าถามข้าว่าข้ารู้ได้อย่างไร ข้าไม่เคยไปที่นั่นมาก่อน…ดูแล ร่างกายของพี่ด้วยล่ะ!”
ฉินมู่งงงัน การไปหอโคมเขียวต้องใช้รสนิยมพิเศษด้วยหรือ แล้วมันเกี่ยวอะไรกับร่างกาย
ทั้งคู่แยกทางกัน ฉินมู่พาฮู่หลิงเอ๋อมุ่งหน้าไปยังถนนหงส์เพลิงบุปผา “ที่นี่ไม่ใช่หอโคมเขียว…”
ในตรอกดอกไม้ ฉินมู่มองไปยังหมู่ตึกทั้งสองฟากและงงงัน ตึกหอเหล่านั้นฉาบทาด้วยสีแดงสดใสและแขวนโคมแดงไว้ที่หน้าตึก ไม่มีวี่แววของโคมเขียว
“น้องชายน้อย ขึ้นมาเล่นด้วยกันเถอะ!” เด็กสาวเอวบางสามสี่คนโบกมือร้องเรียกเขาจากบนตึกหอ
“คุณชายมู่ ท่านรู้จักพวกนางหรือ?”
ฮู่หลิงเอ๋อรู้สึกฉงน “พวกเขาเรียกท่านอย่างกระตือรือร้นสุดๆ!”
“ตอนที่ข้าไปเมืองเขตมังกรก็เจอแบบเดียวกัน มีพวกพี่สาวที่ดูกระตือรือร้นมากไมตรีอันทําให้ข้าไม่ค่อยคุ้นชินนัก”
ฉินมู่เดินต่อไปและมองป้ายตึกต่างๆ ระหว่างทาง ตรอกดอกไม้ นั้นลึกเป็นอย่างยิ่งและคดเคี้ยวเลี้ยวลดไปมา เมื่อพวกเขาเดินลึกเข้าไปข้างใน มันก็ไม่คลาคลํ่าไปด้วยผู้คนเหมือนต้นตรอก หญิงสาวในหมู่ตึกแถวนี้ดูสํารวมสงบเสงี่ยม พวกนางกอดปี่แป้เอนพิงหน้าต่าง ใบหน้าของพวกนางครึ่งหนึ่งถูกปี่แป้บดบัง นางบรรเลงปี่แป้ในมือด้วยดนตรีด้วยท่วงทํานองอันแช่มช้ากังวาน
เมื่อพวกเขาเดินลึกเข้าไปอีกเสียงดนตรีแผ่วเบาก็ดังมาจากภายใน ฉินมู่เปิดประตูเข้าไปและเห็นแถบผ้ามัสลินเบาบางปลิวไปมา เด็กสาวสามสี่ละเล่นหยอกเอินกันระหว่างแถบผ้ามัสลินเหล่านั้นและบางคนก็กําลังปรับจูนเครื่องดนตรี
เดินเข้าไปอีก มีเด็กสาวบางกลุ่มที่กําลังฝึกร้องเพลงและร่ายรํา เสียงหัวเราะติงตังราวระฆังเงินดังมาเป็นระยะ ทั้งน่ารักและชวนลุ่มหลง เมื่อมาถึงส่วนลึกของตรอกนี้ มันไม่มีผู้คนเดินถนนผ่านไปมาอีกต่อไป แต่จะมีผู้ชายเดินออกมาจากหน้าเรือนและหอเป็นระยะ พวกเขาดูเหมือนกับเจ้าของเรือนตึกที่นี่เมื่อข้างกายเขามีสตรีงดงามและอ่อนช้อยช่วยบุรุษเหล่านั้นจัดแต่งเสื้อผ้าให้เข้ารูปเข้า รอยอย่างอ่อนโยน พลางส่งพวกเขาออกไปจากเรือนด้วยความห่วงหา
แต่ทว่า เมื่อบุรุษเหล่านั้นเดินออกมาข้างนอก พวกเขาก็จะปิดบังใบหน้าของตนเมื่อเดินผ่านฉินมู่ ราวกับว่ากลัวจะถูกจดจําได้
ฉินมู่ฉงนฉงาย มีอะไรต้องอายกับการเดินออกมาจากเคหาสน์สถานของตน ทําไมพวกเขาต้องปิดบังใบหน้าด้วย
“ผู้คนในเมืองนี้ประหลาดเสียจริง”
เขาเดินลึกเข้าไปอีกในตรอกดอกไม้ และเห็นตึกที่เขียนไว้ว่า หอฟังเสียงฝน ประตูของตึกนี้ถูกล็อกไว้อย่างแน่นหนา แต่ทว่าเขตเรือนนั้นดูลึกลํ้าและเงียบสงบ
ฉินมู่ก้าวไปข้างหน้าและเอื้อมมือเคาะประตู ครู่หนึ่งเขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าฉับมาพร้อมกับเสียงอ่อนโยนนุ่มนวลของเด็กสาว “ข้ามาแล้ว ข้ามาแล้ว”
เสียงของดาลประตูถูกดึงออกจากด้านในและรอยแง้มปรากฏที่ประตู เด็กสาวโผล่หัวของนางออกมาจากหลังประตูนั้นและถามอย่างสงสัยใคร่รู้เมื่อนางเห็นฉินมู่ “ท่านมาหาใครหรืออาคันตุกะ?”
ฉินมู่ถามอย่างสุภาพ “ไม่ทราบว่าฝูชิงอวิ๋นอยู่แถวนี้หรือไม่”
เด็กสาวผู้นั้นดึงประตูให้เปิดอ้ากว้างขึ้นอีกจนถึงครึ่งนึง แล้วแย้มยิ้ม “ข้าขอทราบนามคุณชายได้หรือไม่ ข้าจะได้ไปรายงานได้สะดวกขึ้น”
“เจ้าสามารถบอกนางว่าข้าแซ่ฉิน”
เด็กสาวผู้นั้นปิดประตูและเสียงฝีเท้านางเดินจากไป นางน่าจะเข้าไปรายงาน
หลังจากนั้นสักพัก ประตูก็เปิดออกอีกคราและใบหน้าที่เขาคุ้นเคยก็ปรากฏจากหลังประตู นั่นเป็นหัวหน้าโถงโคมเขียวฝูชิงอวิ๋นและเมื่อนางเห็นฉินมู่ นางก็ประหลาดใจและยินดีอย่างช่วยไม่ได้ “ในที่สุดนายน้อยก็มา! เร็วเข้า เร็วเข้า รีบเข้ามา ข้างใน! สาวๆ พวกเจ้ารออะไรอีกล่ะ รีบตระเตรียมนํ้าชา นายน้อย มาที่นี่แล้วเนี่ย”
“นายน้อยมาหรือ”
เสียงของพวกเด็กสาวดังมาจากข้างใน เสียงของพวกนางฟังไพเราะเพราะพริ้ง เสียงระริกรื่นหูของพวกนางไม่ต่างอะไรกับเสียงนกน้อยที่แต้วตีวิดอยู่บนต้นไม้แรกผลิใบในฤดูใบไม้ผลิ เด็กสาวในชุดแดง ฟ้า เขียว และม่วงแห่งหอฟังเสียงฝนกรุยกรายออกมา ต้อนรับฉินมู่ ละลานตาเขาไปหมด
เด็กสาวแห่งหอฟังเสียงฝนล้วนแต่มีบุคลิกความโดดเด่นที่แตกต่างกัน บางคนดูอบอุ่นราวกับหยกละมุน บางคนก็เย็นชาราวนํ้าแข็ง บางคนดูบอบบางน่าทะนุถนอม และบางคนก็เร่าร้อนประดุจเพลิงไฟ เรียกได้ว่าราวกับมวลบุปผชาติประชันโฉมชูช่ออันยวนตายวนใจผู้ชมมองเป็นอย่างยิ่ง
ฝูชิงอวิ๋นกล่าวทันที “ถอยออกไป พวกเจ้าทุกคนถอยออกไป! นายน้อยเพิ่งเดินทางมาถึงหลังจากการเดินทางอันเหนื่อยล้า พวกเจ้าหยุดวอแวนายน้อย! ทําไมเจ้ายังไม่ไปเตรียมนํ้าชากันอีก”
เด็กสาวเหล่านั้นกระจัดกระจายออกไปราวกับฝูงผีเสื้อ บางนางก็ไปตักนํ้าพุ บางนางก็ไปล้างชุดกานํ้าชา และบางนางก็ไปต้มนํ้า อันทําให้ฉินมู่ค่อยหายใจหายคอออก และดูผ่อนคลายมากขึ้น ฝูชิงอวิ๋นนําเขาไปยังห้องรับรองใหญ่แล้วกล่าว “สาวๆ พวกนี้ไม่ ค่อยเป็นระเบียบเรียบร้อยเท่าไร นายน้อยอย่าตําหนิพวกนางเลยนะ! ข้างนอกตอนนี้อันตรายมาก สงครามนํามาซึ่งความปั่นป่วนทุกหย่อมหญ้า และดูเหมือนว่านายน้อยพบพานสิ่งไม่คาดฝัน ระหว่างการเดินทางมาที่นี่?”
ฉินมู่ยิ้มแล้วกล่าว “ข้าพบเจออุปสรรคบ้างจริงๆ นั่นแหละ แต่โชคยังดีที่ผ่านประสบการณ์ท้าทายเหล่านั้นโดยไม่เป็นอันตราย เจ้าสามารถรายงานผู้อาวุโสในลัทธิเพื่อรายงานปรมาจารย์ลัทธิต่ออีกที”
ฝูชิงอวิ๋นแย้มยิ้ม “ท่านปรมาจารย์ได้รอนายน้อยอยู่สักพักแล้ว อันที่จริง ท่านปรมาจารย์บอกพวกเราว่าหากว่าพวกเราพบกับนายน้อยให้บอกนายน้อยให้ไปพบกับเขา”
เด็กสาวสามสี่คนเข้ามาพร้อมกับชุดนํ้าชา แอบมองฉินมู่สองสามทีแล้วหัวเราะคิกคัก
ฉินมู่ส่งยิ้มให้พวกนางก่อนหันไปถามต่อด้วยความฉงน “พี่สาวอวิ๋นเอ๋อ แล้วข้าจะไปพบเขาได้ที่ไหนล่ะ”
พวกสาวๆ ได้ยินฉินมู่เรียกฝูชิงอวิ๋นว่าพี่สาวอวิ๋นเอ๋อและหัวเราะคิกคักอีกครา
ฝูชิงอวิ๋นถลึงตาจ้องพวกนาง แล้วไล่นกน้อยเหล่านั้นออกไป จากนั้นจึงแย้มยิ้มกล่าว “แน่นอนว่าต้องเป็นที่มหาวิทยาลัยจักรวรรดิ เชิญนายน้อยดื่มนํ้าชา”
“มหาวิทยาลัยจักรวรรดิ?”
ฉินมู่ตกตะลึงจนลืมดื่มชาในถ้วยที่เขายกจรดปาก ไม่ใช่ว่า มหาวิทยาลัยจักรวรรดิจะเป็นสถานที่ที่นักเรียนนักศึกษาไปแสวง ความรู้หรอกหรือ ไฉนจึงกลายเป็นว่าเขาจะพบกับปรมาจารย์เยาว์ได้ที่นั่น
“นายน้อยไม่รู้หรอกหรือ”
ฝูชิงอวิ๋นยิ้มอีกครา “ปรมาจารย์เยาว์เป็นอธิการบดีของมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ ขุนนางขั้นตํ่าชั้นสามที่มีตําแหน่งหน้าที่ ควบคุม ดูแลมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ ดังนั้น เขาย่อมอยู่ที่มหาวิทยาลัยจักรวรรดิ แม้ว่าบัณฑิตจักรวรรดิแห่งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิจะได้ชื่อว่าเป็นนักเรียนของโอรสสวรรค์ แต่จริงๆ แล้ว พวกเขาเป็นนักเรียนของท่านปรมาจารย์”
ฉินมู่ใจสะท้านสะเทือนอย่างรุนแรง บัณฑิตจักรวรรดิทุกคนเป็นนักเรียนของปรมาจารย์เยาว์?
ราชครูสันตินิรันดร์ และจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงกล้าอะไรขนาดนี้ที่มอบตําแหน่งขุนนางสําคัญดังกล่าวให้แก่ปรมาจารย์ลัทธิมารฟ้า? พวกเขาไม่กลัวหรือว่าปรมาจารย์เยาว์จะมีอิทธิพลมากเกินไป?
ฝูชิงอวิ๋นดูเหมือนจะอ่านใจเขาออก นางกล่าว “เรื่องราวในโลกมนุษย์เป็นเพียงแค่เกมกลของท่านปรมาจารย์ ไม่มีใครรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขา อันที่จริงแล้วเขาเป็นสุภาพบุรุษชราที่เปี่ยมไปด้วยชื่อเสียงและเกียรติประวัติ ยอดฝีมือเหนือโลกที่ชื่อเสียงเลื่องลือชามาก่อนยุคสมัยของจักพรรดิองค์แรกและมีความลึกลับอัศจรรย์ แม้แต่ราชครูสันตินิรันดร์ ยังต้องไปหาเขาเพื่อขอคําแนะนําและรับการชี้ทาง และยังเป็นการสนับสนุนของราชครูที่เสนอชื่อให้เขาเป็นอธิการบดีแห่งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ”