Skip to content

Tales of Herding Gods 109

109. ขนนกดำและอกแดง

เหล่าศิษย์สำนักขี่มังกรได้วางกำลังดักรอปลาซิวปลาสร้อยที่หลุดจากแหไว้ล่วงหน้าแล้ว!

ฝูงงูที่เลื้อยไปมาทั่วหุบและสันเขาคืบคลานมาข้างหน้า ภาพที่เห็นทำให้พวกเขาขนหัวลุกชูชัน สีหน้าของเว่ยหยงซีดเผือดและพึมพำ “เมืองหลวงทำอะไรอยู่ มารปีศาจออกมาเพ่นพ่านขนาดนี้ กองกำลังป้องกันเมืองหลวงหายไปไหน”

ในตอนนั้นเอง ก็มีเสียงกัมปนาทดังเลื่อนลั่นจากเมืองหลวง ฉินมู่ใจไหววูบเขาคว้าฮู่หลิงเอ๋อยัดใส่กระเป๋าสัมภาระหลังทันทีแล้วกระซิบ “ถอย!”

เว่ยหยงสะกิดเท้าถอยทันที และเมื่อทั้งคู่ถอยไปได้ร้อยห้าสิบวา งูยักษ์เหล่านั้นก็ดูพลุ่งพล่านขึ้นมาทันทีจากความตระหนก พวกมันเลื้อยหนีมาทางพวกเขาอย่างบ้าคลั่ง! ไม่ใช่แค่งู ศิษย์สำนักขี่มังกรเองก็แตกตื่นและกระโดดขึ้นไปขี่บนหัวของงูเหล่านั้น งูยักษ์เลื้อยอย่างดุเดือดราวกับว่ามันบินได้ พุ่งขย้ำมาทางฉินมู่และสหาย!

“ถอยไปข้างหลัง!”

ฉินมู่กู่ร้อง เว่ยหยงเข้าใจความหมายของเขา และรีบกระโดดไปข้างหลังพร้อมกับเขา ปลดกล่องกระบี่ออกมากระแทกลงกับพื้นอย่างหนักหน่วง เว่ยหยงกำสองมือ คลายสองนิ้วด้วยเคล็ดลับกุมกระบี่ กล่องกระบี่เขาเปิดอ้าออก และกระบี่หลายเล่มลอยขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง กระบี่แต่ละเล่มชี้ปลายลงสู่พื้น

เสียงกระบี่ครางหึ่ง กระบี่เหล่านั้นกระจายออกไปและสร้างวงล้อมรอบฉินมู่และเขา ปลายกระบี่พลันยกชี้ออกไปรอบทิศราวรัศมีตะวัน จากนั้นพวกมันก็หมุนทะลวงออกไปภายนอก

ฉินมู่ตกตะลึง กระบวนท่านี้ของเว่ยหยงมิใช่วิชาทักษะมาตรฐานที่สอนในโรงเรียน และดูอัศจรรย์ซับซ้อนเมื่อเทียบกับวิชากระบี่ที่นักเรียนทั่วไปใช้ มันน่าจะเป็นเพลงกระบี่ที่สืบทอดกันมาในตระกูลของเขา เว่ยหยงเคยกล่าวว่าตระกูลเว่ยถือเป็นตระกูลใหญ่มีชื่อเสียงในสุสานแม่น้ำ และดูท่าเขาคงไม่ได้โม้

ฝูงงูโถมถล่มมา ปราณชีวิตฉินมู่ก็แผ่พุ่งออก วงแหวนสีทองพลันปรากฏทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังเขา แสงกระบี่สาดส่องพวยพุ่งไปยังฝูงงูและสานุศิษย์สำนักขี่มังกรที่อยู่บนศีรษะงู!

นี่เป็นวิชาทักษะที่เขาเรียนมาจากวัดโบราณในเมืองเขตมังกร มันดูคล้ายกับทักษะเทวะแต่ก็มิใช่ทักษะเทวะ พลังโจมตีของกระบวนท่านั้นไม่เบาเลยทีเดียว และเมื่อฝูงงูยักษ์ถูกทักษะนี้จู่โจม มันก็จะเลื้อยหนีไปอีกด้าน ในขณะเดียวกัน เหล่าศิษย์บนศีรษะงูเองก็ถูกขัดจังหวะโดยแสงกระบี่ของเขาและไม่มีเวลาโจมตีโต้ตอบ

งูและผู้คนเหล่านั้นไม่เหมือนมุ่งหมายโจมตีพวกเขา และดูเหมือนว่าจะรีบหนีตายเสียมากกว่า แต่ทว่าเพราะฝูงงูที่โถมพุ่งมาทางนี้นั้นมีจำนวนมากมายเกินไปทำให้ฉินมู่ยากจะหลบหลีกงูทุกตัวได้ ฝูงงูพวกนั้นเลื้อยทะลวงมาราวกับน้ำป่าไหลหลากและแทบจะโถมทับบดขยี้พวกเขา!

เว่ยหยงกู่ร้องด้วยเสียงอันดัง กระบี่บินของเขามันวนไปรอบๆ ตัว บั่นเฉือนงูที่กล้ำกรายเข้ามาใกล้ ด้วยเปลวเพลิงและสะเก็ดไฟกระจัดกระจาย เกล็ดงูใหญ่มหึมาปลิวว่อน ทั้งยังมีงูหลายตัวที่ถูกพายุกระบี่ซัดเลือดเนื้อเหวอะหวะ ดูน่าสังเวช

เว่ยหยงรับแรงกดดันหนักหน่วงขึ้น ทำให้เขายากจะทนต้านไหว ฉินมู่รีบเปลี่ยนกระบวนท่า ฝ่ามือของเขาประกบกันปราณชีวิตของเขาพุ่งกระแทกไปข้างหน้าราวกับแม่น้ำใหญ่ และแปรเปลี่ยนเป็นกระแสน้ำเชี่ยวกรากที่พุ่งปะทะฝูงงูอันแตกตื่น ในสัมภาระหลังของเขา ฮู่หลิงเอ๋อร่ายเวทมนตร์ของนางเรียกพายุหมุนมาเสริมพลังกระบวนท่าฉินมู่ ซัดงูยักษ์เหล่านั้นปลิวกระจัดกระจาย

แรงกดดันที่โถมทับมายังสองคนและหนึ่งจิ้งจอก หนักหนาขึ้นทุกทีทุกที และในตอนนั้นเอง เสียงระเบิดกัมปนาทก็ใกล้พวกเขาขึ้นมาอีก นกยักษ์ขนดำอกแดงวิ่งตะบึงไปมาระหว่างภูเขาราวกับว่ามันกำลังโบยบินอยู่ นกยักษ์เหล่านั้นตัวใหญ่ราวกับเนินเขา จะงอยมันก็ยาวหลายวา สำหรับพวกมันแล้ววิ่งไปในป่าทึบไม่ต่างอะไรกับวิ่งเหยียบพุ่มไม้เตี้ยๆ กรงเล็บคมกริบของมันทลายหินผาที่ขวางทาง จะงอยคมกริบของมันจิกลงไปบนงูยักษ์ สะบัดงูให้ขาดกระจุยกระจายไปทั่วสารทิศ!

บนหลังนกยักษ์ มีทหารห้าหกคนถือธนูยาวในมือ ที่เอวมีซองลูกศร พวกเขายิงศิษย์สำนักขี่มังกรด้วยธนูอย่างต่อเนื่อง ศิษย์เหล่านั้นตกจากหัวงู และเมื่อตกลงไปพวกเขาก็พรุนเป็นรังผึ้ง!

ซองลูกศรที่เอวทำให้ทหารเหล่านั้นไม่ต้องเสียเวลาชักลูกศรมาจากข้างหลัง พวกเขาเพียงเอื้อมมือลงไปเล็กน้อยก็หยิบศรลูกใหม่มาป้อนธนูได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ความเร็วในการยิงธนูรัวดีไม่มีตก

นกยักษ์บุกตะลุยไปข้างหน้าอย่างก้าวร้าว และขับไล่ฝูงงูกระเจิดกระเจิง เมื่อกรงเล็บนกปักลงไป มันก็จะคว้าจับงูยักษ์ขึ้นมา เล็บคมกริบของมันจะแทงลึกลงไปในเลือดเนื้อของงูจากนั้นฉีกงูหงอนแดงเหล่านี้ออกเป็นชิ้นๆ

ฝูงนกรุกไล่ฝูงงูจนกระทั่งพวกเขามาถึงฉินมู่และสหาย เว่ยหยงอุทานด้วยความตื่นเต้นยินดี “นี่คือกองธนูเคลื่อนที่เร็วของกองทหารรักษาเมืองหลวง!”

ฝูงนกวิ่งไล่งูจนเกือบจะมาถึงพวกเขา พลธนูสองสามคนมองเห็นฉินมู่และเว่ยหยง พวกเขาสะดุ้งประหลาดใจและรีบดึงสายตะพายนกเอาไว้ เพื่อให้นกขนดำอกแดงเหล่านั้นหลบเลี่ยงพวกเขา จากนั้นจึงตะโกนด้วยเสียงอันดัง “ยังมีนักเรียนรอดชีวิต ทุกคนระวังอย่าเผลอไปเหยียบนักเรียนสองคนนี้!”

ฟิ้ว ฟิ้ว ฟิ้ว! ธงยักษ์สามสี่ธงพร้อมกับเสาขนาดใหญ่พุ่งลงมาจากหลังนกและปักเบื้องหน้าฉินมู่

“ทักษะเยี่ยมยอด!”

ทหารบนหลังนกอุทานด้วยความชื่นชมเมื่อเห็นวิชาฝ่ามือของฉินมู่และวิชากระบี่ของเว่ยหยง “สามารถรอดชีวิตจากการล้อมโจมตีของฝูงงูสำนักขี่มังกร นักเรียนพวกนี้นับว่ามีฝีมือดี!”

เมื่อฝูงนกที่ตามมาข้างหลังเห็นธงที่ปักไว้ พวกมันก็วิ่งเบี่ยงออกไปทั้งสองข้าง หลบหลีกฉินมู่และเว่ยหยง

สักพักหนึ่ง ทั้งฝูงงูและฝูงนกก็ไล่ล่ากันห่างไปลิบตา ฉินมู่ระบายลมหายใจด้วยความโล่งอก และเว่ยหยงที่อยู่ข้างหลังเขาก็เก็บกระบี่บินกลับเข้ากล่องกระบี่ กระแทกก้นนั่งลงกับพื้นพลางหอบหายใจวี้ๆ ฉินมู่เหลียวมองข้างหลังเห็นสัตว์ต่อสู้กันอย่างดุเดือดในป่า งูยักษ์นั้นคล้ายกับมังกรที่เลื้อยร่างบิดเกลียวในดงไม้ด้วยพละกำลังมหาศาล เจ้าสำนักน้อยแห่งสำนักขี่มังกรหลงเจี่ยวหนันคงปะทะเข้ากับกองธนูเคลื่อนที่เร็วและประมือกันในที่สุด

ไม่นานนัก กองหนุนจากเมืองหลวงก็ยกพลตามมา กองพลที่ยกมาในคราวนี้เป็นกองพลกระบี่พิทักษ์ ไจกระบี่เป็นพันไจลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า แสงของมันเจิดจ้าบาดตาส่งกระบี่นับหมื่นเล่มทะลวงลงมาเบื้องล่าง สร้างความเสียหายล้มตายแก่สำนักขี่มังกร หลงเจี่ยวหนันนำงูยักษ์ของนางล่าถอยพร้อมให้งูหงอนแดงที่ตัวเล็กกว่าเลื้อยขึ้นมาบนงูของนาง ศิษย์สำนักขี่มังกรหลายต่อหลายคนทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้าและไต่เกาะบนหลังงูนั้นเช่นกัน

งูยักษ์มหึมาพ่นเมฆปีศาจอันมีฟ้าแลบฟ้าผ่า จากนั้นทะยานขึ้นไปบนอากาศแล้วเลื้อยบินจากไป กองพลกระบี่พิทักษ์ไล่ตามไป พวกเขาจากไปยังทิศไกลๆ

“ยังมีนักเรียนรอดชีวิตไหม” มีเสียงถามไถ่ดังมาจากในป่า

“มี ข้าเห็นนักเรียนสองคนเมื่อกี้!”

“รอดแค่สองคนเองหรือ”

เสียงเงียบลงไปทันที

“เรือเหาะมาจากเมืองไหน”

“น่าจะมาจากชนบทสุสานแม่น้ำ บ้านเกิดของท่านราชครู…”

“ให้ตายเถอะ! สำนักขี่มังกรโจมตีเรือเหาะขนนักเรียนจากชนบทสุสานแม่น้ำนี่หมายจะหยามน้ำหน้าท่านราชครูชัดๆ นี่เป็นความผิดของพวกเราเช่นกันที่ไม่ได้คุ้มกันดีพอ…ตามข้ามา ไปดูและพบเจอนักเรียนสองคนนี้กัน”

สองสามอึดใจ นกใหญ่ก็วิ่งตะบึงมายังฉินมู่และสหาย ทหารยศสูงที่ใส่เกราะทั้งตัวกระโดดลงจากหลังนกแล้วมองไปยังฉินมู่และเว่ยหยง เขาถามด้วยเสียงดังสนั่น “นักเรียนทั้งสอง เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีผู้โดยสารบนเรือกี่คน”

ฉินมู่ไม่ได้นับอย่างถี่ถ้วนและลังเลครู่หนึ่งก่อนกล่าว “ประมาณสามร้อยถึงห้าร้อยคน”

ทหารยศสูงผู้นั้นหางตากระตุก “นักเรียนสามร้อยถึงห้าร้อยคน…”

เว่ยหยงกล่าวทันที “แม่ทัพ มีนักเรียนหลายคนที่เป็นผู้ฝึกวิชาเทวะและรู้วิชาเหินอากาศ ข้าเห็นหลายคนบินออกมาจากเรือ พวกเขาน่าจะรอดชีวิตเช่นกัน”

แม่ทัพผู้นั้นส่ายหน้า “ไม่มีใครรอดชีวิต พวกเขาถูกงูบินของสำนักขี่มังกรกินเข้าไปหมดกลางอากาศ พวกเจ้าสองคนเป็นเพียงผู้รอดชีวิตที่เหลือ…”

เว่ยหยงสะดุ้งแตกตื่นและมองไปยังฉินมู่ หากมิใช่ปฏิภาณไหวพริบของฉินมู่ที่โยนเขาลงจากเรือ เขาคงตายอยู่บนเรือแล้ว และหลังจากที่โยนเขาลงจากเรือ ฉินมู่พาเขาเหยียบลมวิ่งลงไปยังป่า เขายังคงพิศวงว่าทำไมฉินมู่ไม่วิ่งเหยียบลมไปต่อในเมื่อมันจะหนีได้เร็วกว่า แต่ไม่คาดคิดเลยว่านักเรียนทุกคนที่หนีไปทางอากาศล้วนแต่ตกตาย เหลือพวกเขาสองคนที่รอดชีวิต

“พี่ฉิน พี่ให้ชีวิตแก่ข้า! จากวันนี้เป็นต้นไป พวกเราเป็นพี่น้องร่วมเป็นตาย…”

ฮู่หลิงเอ๋องงงวย “อ้วนเว่ย คนที่ให้ชีวิตเจ้าไม่ใช่พ่อแม่เจ้าหรอกหรือ”

เว่ยหยงกล่าวทันที “เหมือนกับพ่อแม่คนที่สอง พ่อแม่คนที่สอง! จิ้งจอกน้อยอย่าเอาแต่ขัดคอข้าสิ ข้ากำลังจะพูดประโยคซาบซึ้งกินใจ แต่ตอนนี้ข้าลืมบทพูดไปหมดแล้วเพราะเจ้านี่แหละ!”

ผู้บัญชาการกองพันผู้นั้นตื่นตระหนก “เจ้าแซ่เว่ย? เว่ยจากตระกูลเว่ยแห่งสุสานแม่น้ำ?”

เว่ยหยงพยักหน้า “ข้ามาจากตระกูลเว่ยแห่งสุสานแม่น้ำจริงๆ นั่นแหละ”

ผู้บัญชาการกองพันถอนใจโล่งอกจากนั้นกล่าว “ที่แท้ก็เป็นสมาชิกครอบครัวของดยุคเว่ย คุณชายเว่ย ดยุคเว่ยต้องปีติยินดีแน่ๆ ที่รู้ว่าท่านรอดปลอดภัย น้องชายท่านนี้แซ่ฉิน? หรือว่าจะเป็นฉินจากตระกูลฉินแห่งเมืองหลวง”

ฉินมู่ส่ายหน้าแล้วเผยยิ้ม “ฉินของข้าไม่ใช่ฉินจากตระกูลฉินแห่งเมืองหลวง ข้ามาจากมณฑลหลี่โจว”

ผู้บัญชาการกองพันกล่าว “ที่แท้ก็มาจากมณฑลหลี่โจว เชิญนักเรียนสองท่านเข้าไปในเมืองหลวงให้เร็วที่สุด สำนักขี่มังกรนั้นมีอำนาจอิทธิพลใหญ่หลวง และอาจจะหลงเหลือเศษซากของพวกมันอยู่ พวกเจ้าสักคน ส่งนักเรียนสองคนนี้เข้าเมืองหลวง!”

นกยักษ์ตัวหนึ่งก้าวมาข้างหน้า และทหารบนหลังนกยิ้มกล่าว “เชิญนักเรียนสองท่านขึ้นมาบนนก”

ฉินมู่และเว่ยหยงกระโดดขึ้นไปบนหลังนก พวกเขาพบว่าหลังนกตัวนี้นั้นกว้างขวาง และยังมีแท่นใหญ่ที่ผูกติดกับหลังของมันเพื่อให้ผู้คนยืนอยู่ได้

นกขนดำอกแดงออกวิ่งมุ่งหน้าไปยังเมืองหลวง

ผู้บัญชาการกองพัน ถอนหายใจและพึมพำกับตนเอง “ดยุคเว่ยเป็นขุนนางชั้นหนึ่งระดับสูงแห่งราชสำนัก โชคดีที่ครอบครัวของเขารอดมาได้ ไม่เช่นนั้นตำแหน่งข้าคงหลุดพ้นเก้าอี้…เด็กหนุ่มอีกคนแซ่ฉินไม่ได้มาจากตระกูลฉินอย่างนั้นหรือ เสื้อผ้าเขาดูประณีตหรูหรา และกำลังฝีมือก็เหนือชั้นไม่ธรรมดา มีแต่ตระกูลใหญ่ทรงอำนาจเท่านั้นที่สามารถฝึกปรือยอดฝีมือรุ่นเยาว์เยี่ยงนี้ได้ หรือว่ามณฑลหลี่โจวก็มีตระกูลฉินอื่นอีก?”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version