108. พวกพรรคสำนักขี่มังกร
วูช
ร่างหนาเทอะทะของงูเหลือมเลื้อยเข้ามาแล้วม้วนพันรัดรอบเรือบินที่มีหลายชั้นโดยสารนี้ได้ ชั้นของเรือแตกหักเข้าหากันจากแรงบีบรัด นักเรียนที่ยืนทื่อตกใจเต็มไปหมดทั้งเรือ นายท้ายเองก็แตกตื่นจนขวัญบิน
“พี่เว่ยหยง เจ้าบินได้หรือเปล่า” ฉินมู่ถามทันใด
เว่ยหยงนั้นยังไม่ทันจะตั้งสติได้ “อะไรนะ”
ฉินมู่ยกมือขึ้นเขวี้ยงเจ้าอ้วนเตี้ยคนนี้ลงจากเรือ เสียงกรีดร้องด้วยความแตกตื่นของเขาดังมาจากข้างล่าง “ข้าบินไม่ได้ อ๊าาา”
ฉินมู่กระโจนขึ้นแล้วกระโดดลงไปจากเรือเหาะ ฮู่หลิงเอ๋อที่เมาแอ๋เมื่อครู่ฟื้นสติมาเต็มตาเหมือนนกฮูกในยามราตรี ในทันทีที่ฉินมู่กระโดดลงไป นางร่ายเวทมนต์เรียกยอดลมมารองรับฝีเท้าของฉินมู่
ฉินมู่เหยียบไปบนยอดลมแล้ววิ่งลงในแนวดิ่งอย่างรวดเร็ว คว้าเว่ยหยงที่ยังไม่หลุดสติจากความตกใจ เว่ยหยงมองไปข้างล่างแล้วหวีดร้องอีกรอบ
“หยุดร้องได้แล้ว!”
ฉินมู่รีดเร้นกำลังแล้ววิ่งไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่ง ในท้องฟ้า เรือบินใหญ่ฉีกขาดและแตกหักออก ส่งชิ้นส่วนร่วงลงมา ฉินมู่หลบหลีกชิ้นส่วนเหล่านั้นในอากาศ เบี่ยงตัวหวือจากท่อนไม้ใหญ่ที่ปลิวมาทางเขา แล้วรีบพุ่งทะยานไปยังที่ไกลจากจุดนี้
เว่ยหยงหันกลับไปมอง และเขาก็เซ่อเป็นไก่ตาแตก เรือนั้นถูกทำลายแหลกเป้นชิ้นเล็กชิ้นน้อย งูเหลือมยักษ์รัดพันรอบเรือ บีบด้วยกำลังแรงจนเรือหักเป็นสองเสี่ยง!
เหล่านักเรียนบนนั้นกระโดดออกสละเรือ มีบางคนที่เป็นผู้ฝึกวิชาเทวะที่รู้วิชาเหินหาว ดังนั้นพวกเขาจึงควบคุมอาวุธวิญญาณของตนให้ช่วยพยุงพวกเขาในอากาศ และมีหลายคนที่ไม่ได้เรียนวิชาเหินหาว จึงได้แต่ร่วงลงมาอย่างช่วยเหลือตัวเองไม่ได้
“หลงเจี่ยวหนัน! เจ้าจะก่อกบฏเรอะ!”
นายท้ายเรือพลันระเบิดโทสะและแปรเปลี่ยนเป็นยักษ์เพลิงเมื่อเขาโจมตีชายตุ้งติ้งคนนั้นด้วยทักษะเทวะอันเกรี้ยวกราด ทว่าเรือนี้ไม่อาจรองรับการปะทะอย่างดุดันของสองยอดฝีมือ และห้องปรุงยาเซียนหลักของเรือก็แตกทำลายจากการบีบรัดของงูเหลือมแล้ว เหล่านักปรุงยาและเด็กผู้ช่วยในห้องรีบกระโดดหนีออกจากเรือ
ในเวลาเดียวกัน งูยักษ์ก็พ่นกลุ่มควันพิษใส่ใบหน้าของนายท้ายเรือ ยักษ์เพลิงตนนั้นไฟดับไปในพริบตาและล้มคว่ำลงไปข้างหน้า
“พวกเราตายแหงแก๋…”
สีหน้าเว่ยหยงซีดเผือด “สำนักขี่มังกรก่อกบฏ คนที่เลี้ยงหนอนยักษ์ตัวนี้คือหลงเจี่ยวหนัน เจ้าสำนักน้อยของสำนักขี่มังกร เขาขึ้นชื่อเรื่องความเลวทราม…”
ฉินมู่ลากเว่ยหยงไปด้วยกำลังถึก และวิ่งตรงไปยังพื้น มันมีเนินเขาอยู่ข้างล่างซึ่งพวกเขาสามารถใช้ในการปกปิดร่องรอยและจะไม่ถูกตรวจพบโดยเหล่ายอดฝีมือแห่งสำนักขี่มังกร
ในนานนัก พวกเขาก็เดินทางมาถึงพื้น ฮู่หลิงเอ๋อสลายเวทมนตร์ของนาง และขณะที่นางกำลังจะอ้าปากพูด ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนดังมาจากข้างบน นักเรียนคนหนึ่งร่วงลงมาจากท้องฟ้าทะลุกิ่งก้านไม้หนาทึบและกระแทกพื้นแหลกเละลงตรงหน้าพวกเขา เศษมันสมองและเครื่องในกระจัดกระจายเต็มไปหมด
ตึบ!
เสียงหล่นกระแทกพื้นหนักๆ ดังมาจากใกล้ๆ
ตึบ ตึบ ตึบ…
เหล่านักเรียนที่ร่วงลงมาจากฟ้าโปรยปรายราวกับสายฝน ร่วงลงมาตายที่เนินเขากันอย่างน่าสยดสยอง!
เว่ยหยงหน้าซีดเผือดราวขี้เถ้า เขาตัวสั่นเทิ้มอย่างควบคุมไม่ได้ หูของฉินมู่พลันกระดิก และรีบลากเว่ยหยงหลบไปอีกทาง เสียงกระแทกสะเทือนเลื่อนลั่นจากครึ่งซีกเรือที่ร่วงลงมาจูบพื้นพสุธา ทำลายดงป่าบริเวณนั้น เหล่าต้นไม้ที่ถูกซากเรือถล่มทับแตกทำลายกระจายไปทั่วทิศดูน่าสยองพองขน
ซากมหึมาของเรือเหาะไถลไปต่อกว่าร้อยห้าสิบวา และเกือบจะทับใส่พวกฉินมู่ที่กำลังวิ่งหนี ฉินมู่วิ่งตะบึงไปข้างหน้า เสียงแตกร้าวรุนแรงดังมาจากในเรือ มันคือเสียงระเบิดของเตาหลอมขับเคลื่อนเรือที่ระเบิดกระจายและส่งคลื่นอากาศร้ายแรงกระแทกสองคนและหนึ่งจิ้งจอกปลิวกระเด็น!
ฉินมู่ร่วงลงมายังพื้น เขาปล่อยมือจากเว่ยหยงและกระซิบบอก “พวกเราไปจากที่นี่เร็วเข้า เดี๋ยวก็จะมียอดฝีมือจากสำนักขี่มังกรมาตรวจหาผู้รอดชีวิต!”
เว่ยหยงเพิ่งฟื้นสติจากความตื่นตระหนก เขาวิ่งไปข้างหน้าตามฉินมู่ “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขาเจอผู้รอดชีวิต”
ฮู่หลิงเอ๋อกลอกตาใส่เขา นางดูมึนนิดๆ ดูท่าเมื่อครู่นี้นางแอบเติมสุราเข้าท้องไปอีกหน่อย “อ้วนเว่ย เจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ”
เว่ยหยงตัวสั่นสะท้าน “สำนักขี่มังกรกล้าท้าทายอะไรอย่างนี้ พวกเขาถึงกับโจมตีเรือที่บรรทุกนักเรียนที่จะไปสอบไล่ประจำจักรวรรดิ แถมยังลงมือใกล้เมืองหลวง หากว่าอาการบาดเจ็บของราชครูหายเมื่อไหร่ล่ะก็ เขาจะไม่ปล่อยให้สำนักขี่มังกรลอยนวลไปแน่!”
“เจ้าคิดจริงๆ น่ะหรือว่าราชครูบาดเจ็บจริงๆ”
ฉินมู่ส่ายหน้า “ข้าคิดว่านะ ราชครูไม่ได้บาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย เขาจงใจล่องูออกจากหลุม ล่อหลอกให้ทุกกลุ่มอิทธิพลที่เป็นปฏิปักษ์กับจักรวรรดิสันตินิรันดร์เผยตัวออกมา และจัดการรวบพวกมันในคราเดียว สำนักขี่มังกรนี่ก็เป็นหนึ่งในงูที่ถูกล่อออกมาไม่ใช่รึ”
เว่ยหยงตกตะลึงและร้องออกมา “เจ้าหมายความว่า…เป็นไปไม่ได้! ข้าได้ยินว่ามีพื้นที่ที่ก่อกบฏมากกว่ายี่สิบพื้นที่ พวกเขาเข้ายึดครองเมืองต่างๆ และทำให้ผู้คนธรรมดาต้องตกตายไปเป็นจำนวนนับไม่ถ้วน และยังมีโจรร้ายที่ก่อภัยไปทั่ว ราชครูจะปล่อยให้เกิดเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร”
ฉินมู่ตอบ “นั่นย่อมเป็นส่วนหนึ่งของแผนการ หากเขาไม่บาดเจ็บ เขาจะล่อเหล่ากบฏและผู้ทรยศออกมาได้อย่างไร ดังนั้นเขาจึงได้รับบาดเจ็บ พ่ายแพ้ย่อยยับมาจากแดนโบราณวินาศและถูกลอบสังหารระหว่างทางกลับ เขาจึงบาดเจ็บสาหัสรุนแรง ไม่ว่าจะเป็นชื่อเสียงและอิทธิพลอำนาจเขาต่างก็ถดถอยลงไปจากเรื่องนี้ ใครล่ะจะปล่อยโอกาสเช่นนี้ไปง่ายๆ”
เขากล่าวอย่างมั่นใจ “จากที่ข้าเห็น นี่เป็นอุบายสมคบคิดของราชครู และเขาจะยังไม่ออกไปปราบปรามกบฏจนกว่ากองกำลังกบฏและผู้ทรยศทั้งหมดจะฉีกหน้ากากเผยโฉมออกมา”
เว่ยหยงยังคงรู้สึกรับไม่ได้และพึมพำ “แต่ ผู้คนต้องตายมากมาย…”
“ถึงอย่างนั้น แต่อันตรายที่ซุ่มซ่อนอยู่รอบๆ ราชครูสันตินิรันดร์ก็จะถูกขจัดจนเหี้ยนเตียน ข้าพูดถูกไหมล่ะ”
ฉินมู่มองไปที่เว่ยหยงคราหนึ่ง เด็กหนุ่มอ้วนท้วนผู้นี้ถึงกับสามารถติดตามฝีเท้าเขาได้ทัน แต่ทว่าดูเหมือนเขาไม่มีความรู้ทักษะเกี่ยวกับลม จึงไม่อาจเหยียบยอดลมเพื่อวิ่งไปบนอากาศได้ ฉินมู่กล่าวต่อ “เมื่อเขาขจัดอันตรายที่ซุ่มซ่อนอยู่จนหมดแล้ว ต่อไปจะมีใครกล้าก่อกวนเมื่อเขานำทัพออกไปสู้ศึกนอกล่ะ นอกจากนั้น หากราชครูสามารถรวบตัวศัตรูของเขาทั้งหมดได้ในปราดเดียว ใครจะกล้าคัดค้านหากว่าเขาต้องการขึ้นบัลลังก์เป็นจักรพรรดิ”
เว่ยหยงตัวสั่นงันงก และมองไปยังฉินมู่ราวกับว่ากำลังเห็นปีศาจ “พี่ฉิน เจ้าอายุพอๆ กับข้าไม่ใช่หรือ ทำไมเจ้าถึงคิดได้ถึงแผนร้ายกลอุบายมากมาย จิ้งจอกน้อย จริงๆ แล้วหมอนี่นี่เป็นจิ้งจอกเฒ่าที่ฝึกปรือจนแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ใช่ไหม”
ฮู่หลิงเอ๋อตื่นเต้นขึ้นมาและกล่าว “อ้วนเว่ย เจ้าก็สังเกตเห็นเช่นกันหรือ ข้าล่ะสงสัยมานานแล้วว่าคุณชายต้องเป็นจิ้งจอกตัวผู้แปลงกายมา”
เว่ยหยงกล่าวตอบ “อย่าเรียกข้าว่าอ้วนเว่ย ตระกูลเว่ยแห่งสุสานแม่น้ำเป็นตระกูลใหญ่โด่งดังตระกูลหนึ่ง หากว่าคำเรียกหานี้แพร่กระจายออกไป มันต้องน่าอายมากแน่ๆ”
จิ้งจอกน้อยจึงกล่าว “งั้นข้าเรียกเจ้าว่าอ้วนหยงแทน”
เว่ยหยงอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตอบด้วยเสียงรันทดใจ “เจ้าเรียกข้าว่าอ้วนเว่ยต่อเถอะ อย่างน้อยก็ฟังไม่แย่เท่าอ้วนหยง”
ทันใดนั้น ฉินมู่ก็ถาม “พี่เว่ย วรยุทธของเจ้าอยู่ระดับใด”
“ข้าทลายกำแพงสมบัติเทวะห้าธาตุแล้ว แต่ดูเหมือนว่าพลังวัตรของข้าไม่ได้แก่กล้าไปกว่าเจ้าเลย”
เว่ยหยงงุนงง “แล้ววรยุทธของเจ้าล่ะ อยู่ในขั้นไหน”
“ขั้นทารกวิญญาณ…”
ปราณชีวิตของฉินมู่พลันชักมีดเชือดหมูออกจากกลางหลัง พลางกล่าว “พี่เว่ย เจ้าจัดการสองคน ส่วนข้าจะจัดการกับอีกสอง!”
เว่ยหยงไม่เข้าใจว่าหมายถึงอะไร ทันใดนั้น งูยักษ์สี่ตัวก็พลันเลื้อยออกมาจากป่าข้างหน้าพวกเขา มีเสียงขลุ่ยเป่าดนตรีแว่วประกอบอันมีจังหวะที่เบาหวิวและรวดเร็ว ราวกับเด็กสาวน่ารักจากหมู่บ้านชนบทหยอกเอินกับงูเขียวในพุ่มไม้ เสียงขลุ่ยเดี๋ยวสูงเดี๋ยวก็ต่ำ
ผู้เป่าขลุ่ยน่าจะเป็นศิษย์สำนักขี่มังกร เมื่อมองไปยังทิศทางที่เสียงขลุ่ยลอยมา ฉินมู่มองไม่เห็นยอดฝีมือจากสำนักขี่มังกร ดูท่าพวกเขาคงซุ่มซ่อนตัวอยู่
สำนักขี่มังกรแต่เดิมนั้นเป็นสำนักของชนบทมหาอุดมซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับเมืองหลวง พวกเขาเลี้ยงงูเป็นอาชีพ ในเมื่อพวกเขาสามารถเลี้ยงงูยักษ์ได้ พวกเขาจึงเรียกตนเองว่าผู้ขี่มังกร
สำนักนี้ถูกสยบให้ราบคาบด้วยฝีมือของราชครู และรู้จักเจียมตัวมาตลอด และแม้แต่ในบรรดาสัตว์พิสดารที่ถูกใช้ในกองทัพ ก็มีงูใหญ่ที่ถูกเลี้ยงโดยศิษย์สำนักขี่มังกร
เสียงขลุ่ยนั้นแจ่มใสไพเราะ ให้จังหวะงูเลื้อยตามท่วงทำนองขลุ่ย
“พี่ฉิน ผู้คนอาจจะคิดว่าอาวุธของสำนักขี่มังกรคืองูใหญ่เหล่านี้ แต่อันที่จริงอาวุธของพวกเขาคือเสียงขลุ่ยที่ใช้ควบคุมการโจมตีของงู…”
เว่ยหยงกำลังจะบอกเล่าฉินมู่ถึงวิธีการโจมตีของสำนักขี่มังกร แต่ฉินมู่พุ่งปราดไปข้างหน้าแล้ว เมื่อไม่มีทางเลือก เว่ยหยงจึงได้แต่รีบรุดติดตามไปเช่นกัน
ทันใดนั้นเสียงขลุ่ยก็พลันบีบอัดเร่งร้อน ความเร็วของงูยักษ์หงอนแดงเหล่านั้นก็พลันดุเดือดมากขึ้น พวกมันฉกพุ่งใส่ทั้งคู่ทันที
ในจังหวะที่ฉินมู่ประจันหน้ากับงูใหญ่ตัวแรก แสงมีดพลันพุ่งวาบและระเบิดออกไปข้างหน้าราวกับดวงแสงเงินยวงขนาดใหญ่!
ลมฝนราตรีทลายเมือง!
ในเสี้ยววินาทีที่งูยักษ์หงอนแดงจะพุ่งฉกถึงตัวเขา ริ้วแสงเงินก็พุ่งวาบผ่านมัน กรีดผ่านศีรษะงูไปจนตลอดหาง และเมื่อริ้วแสงเงินหายวับ ก็ทิ้งไว้เพียงแต่โครงกระดูกงูยักษ์อันปราศจากเลือดเนื้อ
ในขณะเดียวกัน ฮู่หลิงเอ๋อก็ควบคุมมีดลมโค้งของนางให้ซัดผ่างูยักษ์อีกตัว แต่ทว่าเสียงขลุ่ยนั้นบังคับให้งูยักษ์อ้าปากกว้างฮุบมีดลมนั้นเข้าไป จากนั้นงูยักษ์ก็ทำท่าจะปล่อยหมอกพิษออกมา
ฉินมู่ชี้สองนี้กระบี่ออกไปและแทงไปเบื้องหน้า ทำให้กระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์เสียบเข้าไปในดวงตาของงูยักษ์ เขาพลิกนิ้วช้อนขึ้นกระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์ก็พลิกทะลุจากดวงตาออกไปทางกะโหลกศีรษะงู!
อีกด้านหนึ่ง เว่ยหยงตะลุยไปข้างหน้า พลังวัตรของเขากล้าแข็ง ด้วยกล่องกระบี่ที่หลังของตน เขาคุมกระบี่บินพุ่งไปทิ่มแทงงูยักษ์ กล่องกระบี่เองก็เป็นอาวุธวิญญาณ แต่ความคมกล้าของมันนั้นด้อยกว่ากระบี่ผู้พิทักษ์เยาว์และมีดเชือดหมูของฉินมู่
เว่ยหยงเคลื่อนไหวไปรอบๆ อย่างคล่องแคล่ว หลบหลีกการโจมตีของงูยักษ์สองตัวและสร้างรอยแผลกระบี่จำนวนมากบนตัวงูยักษ์ แต่เขายังไม่ได้โอกาสสังหารพวกมัน
แม้ว่าพลังวัตรของเขาจะกล้าแข็ง แต่ทักษะวิชายุทธนั้นห่างชั้นจากฉินมู่ วิชาทักษะของเขาทั้งหมดมาจากโรงเรียน เขาไม่มีกระบวนท่าที่สามารถสังหารศัตรูได้ในอึดใจเดียว
ทันใดนั้น ฮู่หลิงเอ๋อก็กระโดดขึ้นและพุ่งวาบเข้าไปในป่าราวกับเงาควัน ขณะที่ฉินมู่ก็พุ่งปราดเข้าไปในพงไม้จากอีกทิศทาง เว่ยหยงร้องเสียงหลง เขาอยากจะหนีตามไปด้วยแต่ไม่มีโอกาส เพราะถูกงูยักษ์สองตัวพัวพันรันตูอยู่
ในตอนนั้นเอง เสียงขลุ่ยก็พลันชะงักหยุดหาย และเมื่อไม่มีเสียงขลุ่ยบัญชาการ งูยักษ์สองตัวก็พลันเซื่องเซ่อ เว่ยหยงฉวยโอกาสนี้สังหารงูทั้งสองตัว จากนั้นพุ่งกายถลันเข้าไปในป่าทันที เขาได้ยินเสียงจิ้งจอกน้อยร้องเรียก “อ้วนเว่ย มาทางนี้เร็ว!”
เว่ยหยงวิ่งไปตามทิศทางเสียงทันที และเห็นฉินมู่กับจิ้งจอกน้อย พวกเขายืนอยู่ข้างต้นไม้สูงใหญ่ซึ่งมีเลือดหลั่งไหลออกมาแต่เว่ยหยงมองไม่เห็นเจ้าของเลือด เมื่อเขาเข้าไปดูใกล้ๆ เขาก็พบว่าโลหิตไม่ได้หลั่งไหลออกมาจากต้นไม้ แต่ออกมาจากคนผู้หนึ่ง ชุดของคนผู้นี้มีสีสันและลวดลายเหมือนกับเปลือกไม้ไม่ผิดเพี้ยน แม้แต่ใบหน้าของเขาก็ทาสีสันเหมือนกับเปลือกไม้
คนผู้นี้ขุดรูเข้าไปในต้นไม้ใหญ่ ซึ่งขนาดพอเหมาะพอดีสำหรับการซ่อนตัว หากไม่ได้เข้าไปมองใกล้ๆ ก็คงไม่สามารถรู้ได้ว่ามีคนซ่อนตัวอยู่
“เขาเป็นศิษย์สำนักขี่มังกร!”
เว่ยหยงใจเต้นตูมตาม แล้วกล่าว “พี่ฉิน ศิษย์สำนักขี่มังกรมักจะมาทีละเป็นฝูง!”
“เจ้าหมายความว่า…”
ฉินมู่ก็มีสีหน้าแปรเปลี่ยนและมองไปยังส่วนลึกของป่าทันที ต้นไม้ในป่าเขียวขจีแน่นขนัด และมีร่างผู้คนกว่าร้อยเดินออกมาจากลำต้นไม้ ร่างกายของเขาปกคลุมไว้ด้วยเปลือกไม้
เสียงขลุ่ยดังนั้นมาอีกครา และงูยักษ์จำนวนนับไม่ถ้วนก็เลื้อยอย่างรวดเร็วจากป่าข้างหลัง ฝูงงูกระจัดกระจายไปทั่วบริเวณทั้งเนินเขาทั้งหุบ หงอนแดงบนหัวของงูเหล่านี้ดูราวกับดอกไม้ที่ขยับไหวไปมาในสายลม