Skip to content

Tales of Herding Gods 112

ตอนที่ 112 ทลายกําแพงห้าธาตุ

“เสียงดนตรีของนายน้อย มีอะไรผสมปนเปเยอะแยะไปหมด!” ฝูชิงอวิ๋นดึงสายปี่แป้แผ่วเบาและดีดอย่างแช่มช้า ใช้ท่วงทํานองดนตรีอันนุ่มนวลกว่าในการปะทะประชัน นางเงี่ยหูฟัง สิ่งที่ซ่อนอยู่ในเสียงดนตรีของฉินมู่ มันมีเสียงเทพ เสียงพุทธ และเสียงมารปะปนในดนตรีของฉินมู่ซึ่งทําให้ทั้งหมดดูประหลาด พิสดาร และมันยังมีรังสีฆ่าฟันราวกับออกรบล้างผลาญราวกับจะคร่าชีวิตผู้คนได้เมื่อเร่งจังหวะทํานอง

มันมีหลายนิพนธ์ที่เกี่ยวกับดนตรีในคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตแห่งลัทธิมารฟ้า แต่ทว่านิพนธ์เหล่านั้นก็ไม่ได้ซับซ้อนและกระจัดกระจายเท่านี้ นางสามารถใช้โสตประสาทรับฟังได้ว่ามีทักษะดนตรีในนิพนธ์หนึ่งของคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตอันเรียกว่าทํานองมารฟ้าภูษารุ้งปะปนอยู่ในเสียงดนตรีของฉินมู่ แต่นั่นก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น

เห็นได้ชัดว่า ฉินมู่ดําดิ่งลงไปในสภาวะอันมหัศจรรย์ที่ไม่อาจหลุดพ้นออกมาได้ เขาน่าจะกําลังความทําเข้าใจความรู้อันลึกลํ้า และพยายามหลอมรวมทุกอย่างเข้าด้วยกัน

เมื่อฝูชิงอวิ๋นหยั่งพบจิตเจตนาของฉินมู่ นางก็ค่อยคลายใจลง

สภาวะที่กํ้ากึ่งกับความบ้าเช่นนี้เป็นสภาวะอันยากจะพบพาน ต่อเมื่อผู้หนึ่งตกอยู่ในสภาวะกระจ่างรู้อย่างลึกซึ้งเท่านั้น เขาจึงจะเข้าไปสู่สภาวะกึ่งบ้านี้ได้

เจ้าไม่อาจประสบความสําเร็จหากไม่บ้าคลั่ง เจ้าไม่อาจบรรลุเป็นพุทธเจ้าหากไม่บ้าคลั่ง

ฝูชิงอวิ๋นอุ้มปี่แป้ของนาง นิ้วกรีดเรียกเสียงดนตรีแผ่พุ่งไปอย่างเร่งเร้าขึ้นมาทันใด นางพยายามนําทางฉินมู่ เพื่อช่วยให้เขาสามารถหลอมรวมทุกทักษะวิชาเข้าด้วยกันได้

แม้ว่าสาวๆ ในหอฟังเสียงฝนจะแข่งขันประชันเพลงกับฉินมู่ตามอําเภอใจ แต่มันก็เป็นความช่วยเหลืออย่างดีแก่ฉินมู่ ความประชันขันแข่งและแรงกดดันสูงลิ่วได้บีบฉินมู่ให้ต้องพัฒนาดนตรีของเขาไปอย่างไม่หยุดยั้ง

ส่วนฝูชิงอวิ๋นนั้นผสมผสานระหว่างการนําทางชี้แนะและการต่อต้านเขา เพื่อให้ฉินมู่สามารถผสมผสานวิชาได้ดีขึ้นและรวดเร็วขึ้น

นางมีความสําเร็จเชิงดนตรีสูงลํ้าเหนือสาวๆ ในหอฟังเสียงฝนไปอักโข ด้วยการชี้แนะและแรงกดดันของนาง ฉินมู่จึงพัฒนาอย่างก้าวกระโดด

ทํานองมารฟ้าภูษารุ้งของฉินมู่ก็ให้ประโยชน์แก่นางเช่นกัน ทํานองมารฟ้าภูษารุ้งนั้นเป็นวิชาหนึ่งในคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต อันแม้ว่าฝูชิงอวิ๋นจะเคยเรียนรู้ทํานองนี้มาก่อนแต่นางมิได้เรียนรู้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ เมื่อนางชี้แนะฉินมู่ นางก็ได้รับการชี้แนะจากฉินมู่กลับมาในเวลาเดียวกัน ดังนั้นนางจึงได้เรียนรู้ส่วนที่นางยังไม่ได้เรียนในทํานองมารฟ้าภูษารุ้ง

ผ่านไประยะหนึ่ง ฝูชิงอวิ๋นสังเกตว่าฉินมู่ค่อยๆ ถอยออกมาจากสภาวะกึ่งบ้าของตนเสียงดนตรีของ ทั้งคู่ จึงค่อยๆ ประนีประนอมเข้าหากัน จนกระทั่งกลายเป็นการเล่นดนตรีสอดคล้องประสานอย่างกลมกลืน

แต่ทว่าในตอนนั้นเอง เด็กสาวกว่าสิบคนก็ไสระฆังใหญ่ออกมาจากห้อง ระฆังนี้ใหญ่ยิ่งกว่าความสูงมนุษย์ ฮู่หลิงเอ๋อที่นั่งอยู่บนยอดระฆังตะโกนบัญชาการ “ตีระฆังเร็วเข้า พวกเราจะสามารถทลายเสียงมารของเขาได้…”

ฝูชิงอวิ๋นหยุดบรรเลงปี่แป้ และไม่รู้จะหัวเราะหรือรํ่าไห้ นางตวาดสําทับไป “พวกเจ้าจะฆ่านายน้อยหรืออย่างไร เลิกเล่นได้แล้ว เอาระฆังไปเก็บเดี๋ยวนี้!”

พวกสาวๆ คอตกด้วยความผิดหวัง และช่วยกันลากระฆังกลับที่ ฮู่หลิงเอ๋อเองก็ผิดหวังเช่นกัน เห็นได้ชัดว่านางหมดสนุกที่อดตีระฆังยักษ์นี้

ฉินมู่ฟื้นคืนสติมาและมองไปยังสภาพแวดล้อมโดยรอบด้วย ความแตกตื่นใจ ตอนนี้เองเขาถึงตระหนักว่าได้สร้างความปั่นป่วนพังพินาศไปมากแค่ไหน จึงกล่าวขอโทษแก่ฝูชิงอวิ๋นทันที

“สาวๆ พวกนี้ไม่ค่อยจะรู้เรื่องรู้ราว และเกือบทําให้การฝึกปรือของนายน้อยล่าช้า นายน้อยโปรดอย่าตําหนิพวกนางเลยนะ”

ฝูชิงอวิ๋นแย้มยิ้ม “นายน้อยยังไม่ได้รับประทานอาหารเลย ท่านเล่นดนตรีมาเกือบตลอดคืนและตอนนี้ฟ้าก็เกือบจะสว่างแล้ว”

ฉินมู่รีบเรียกจิ้งจอกน้อยตัวป่วนมาทานอาหารด้วยกัน เด็กหนุ่มในชุดปักลายเทเศษอาหารที่เหลือในจานทิ้งและนําจานเปล่าไปล้าง

สาวๆ สี่ห้าคนเห็นเช่นนั้นก็พยายามจะยื้อแย่งกองจานชามมาล้างเองอย่างกระสับกระส่าย “นายน้อยจะทํางานอันตํ่าชั้นและหยาบกร้านนี้เองได้อย่างไรกัน ให้พวกข้าทําเถอะ”

ฉินมู่แย้มยิ้ม “ไม่มีความสูงส่งกว่าแต่ตํ่าชั้นกว่าในเต๋าทั้งหลาย เหตุไฉนงานบ้านงานเรือนจึงแบ่งเป็นตํ่าชั้นและสูงส่งล่ะ ข้าล้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไม่มีความจําเป็นที่พวกเจ้าต้องมาเลอะมืออีก”

ฝูชิงอวิ๋นเอ่ยถาม “ตอนนี้วรยุทธ์ของนายน้อยอยู่ขั้นใด”

ด้วยเปลวไฟลุกขึ้นมาที่สองมือ ฉินมู่ระเหยหยดนํ้าออกจากมือทั้งสองแล้วกล่าวตอบ “ข้ายังอยู่ในขั้นทารกวิญญาณ”

ฝูชิงอวิ๋นขมวดคิ้วเล็กน้อย ขั้นทารกวิญญาณนั้นนับว่าตํ่าเกินไป และมันคงยากที่จะใช้วรยุทธ์ขั้นนี้ผ่านการสอบเข้าไปในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิได้ แม้แต่ในบรรดานักเรียนที่ได้รับการยกเว้นให้รับเข้าไปเป็นกรณีพิเศษก็ล้วนแต่เป็นผู้ฝึกวิชายุทธที่ปลุกสมบัติเทวะห้าธาตุแล้ว

ด้วยระดับวรยุทธ์เพียงขั้นทารกวิญญาณ มันอาจจะเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซํ้าที่จะผ่านการสอบใหญ่

แต่เดิมนางคิดว่าฉินมู่น่าจะบรรลุถึงขั้นห้าธาตุเป็นอย่างตํ่า ก็ในเมื่อ 3 ปีที่แล้วที่นางได้พบกับฉินมู่ เขาก็อยู่ในขั้นทารกวิญญาณเรียบร้อยแล้ว นางไม่คาดคิดว่าเขาจะไม่มีความคืบหน้าเลยตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา

แต่ที่นางไม่รู้ก็คือแม้ขั้นวรยุทธ์ของฉินมู่จะไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นแต่พลังวัตรของเขาเพิ่มพูนแบบก้าวกระโดด ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อทารกวิญญาณของเขาปลุกพลังขึ้นมาเป็นครั้งที่ 4 ปราณชีวิต 4 คุณสมบัติธาตุของเขาก็โคจรเรียกใช้ได้ทุกเมื่อ และความเข้มข้นของปราณชีวิตก็เหนือลํ้าโดดเด่นอย่างยิ่งในบรรดาผู้ฝึกยุทธ์ ทั้งหลาย

“นับจากวันนี้จะเหลืออีก 2 วันก่อนที่มหาวิทยาลัยจักรวรรดิจะเปิดภาคเรียน นายน้อยควรลองพยายามอย่างเต็มที่ในการทลายกําแพงและปลุกสมบัติเทวะให้สําเร็จภายใน 2 วัน”

แม้ว่าฝูชิงอวิ๋นจะกล่าวเช่นนั้น นางก็ยังคงรู้สึกกังวลอยู่ในใจ นี่ดูจะเป็นการบีบบังคับเขามากเกินไปที่จะหวังให้เขาสําเร็จการทลายกําแพงภายใน 2 วัน มันเป็นภารกิจที่ไม่น่าเป็นไปได้

ฉินมู่ผงกศีรษะแล้วยิ้มกล่าว “ข้าจะทลายกําแพงสําเร็จภายใน 2 วันนี้อย่างแน่นอน”

ฝูชิงอวิ๋นไล่พวกสาวๆ ออกไปแล้วสําทับ “2 วันนี้พวกเจ้า ห้ามเข้ามาเกาะแกะรบกวนนายน้อยเด็ดขาด จิ้งจอกน้อย เจ้าก็ต้องไปอยู่ที่อื่น ปล่อยให้นายน้อยฝึกปรืออย่างเต็มที่เถอะ”

ฮู่หลิงเอ๋อจึงได้แต่ตามพวกสาวๆไป อย่างไรก็ดี พวกสาวๆ บอกแก่จิ้งจอกน้อยว่า “น้องหลิงเอ๋อ ให้พวกเราสอนเจ้าถึงวิชายั่วยวน วิชานี้น่าสนใจมากๆ เลยนะ…”

เมื่อฉินมู่ออกมาจากแดนโบราณวินาศ เขาได้พยายามทลายกําแพงเปิดคลังสมบัติเทวะห้าธาตุเพื่อเข้าสู่ขั้นวรยุทธ์ห้าธาตุ หลังจากที่เขาศึกษาคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตในระยะเวลาไม่กี่วันก่อน เขาก็มีความเข้าใจเกี่ยวกับการทลายกําแพงห้าธาตุในระดับหนึ่ง

มีเคล็ดลับการปลุกสมบัติเทวะห้าธาตุในคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต ในคัมภีร์กล่าวว่า “หลงลืมรูปลักษณ์และอุ้มชูปราณให้กลายเป็นของเหลวสีทอง ยอมรับความสงบสันติอันแล้วแต่ชะตาจะพาไป หลงลืมรูปลักษณ์และเปลี่ยนมันเป็นปราณจากนั้นจึงกลายเป็นจิตวิญญาณ เพื่อข้ามผ่านสามด่านทางและเส้นทางดังนี้”

“วังแดงม่วงเตาหลอมจันทราโหมไหม้ ทารกวิญญาณบัลลังก์ลึกลํ้าเงียบสงัด ผงชาดโลหิตหงส์เพลิงแดงฉาน ปรอทตับเต่าดํา”

“ตะกั่วทองคําจัดจําแนกเป็นหม้อดิน ปรอทไม้ไหลออกเพื่อปั้นเป็นก้อนโคลน บ่ออลังการในใจกลางทะเลปราณ ห้องเทวะในใจกลางสภาเหลือง”

ของเหลวสีทองที่ว่าคือแสงทองในสมบัติเทวะทารกวิญญาณ ฉินมู่ได้สร้างบัลลังก์ลึกลํ้าเงียบสงัดไว้ในทารกวิญญาณของเขาแล้ว ทะเลทองคําในสมบัติเทวะทารกวิญญาณของเขาเหือดแห้งไปเรียบร้อ ย และเมื่อปราณของเขาเคลื่อนโคจรไป ฉินมู่ก็สร้างรูปรอยของบัลลังก์ลึกลํ้าไว้ภายใต้ทารกวิญญาณของเขา

ขั้นตอนที่เหลืออยู่ก็คือการสร้างบัลลังก์ลึกลับขึ้นมาจากรูปรอยดังกล่าวโดยใช้ปราณชีวิตสร้างรูปพยุหะในสมบัติเทวะทารกวิญญาณของเขา และใจกลางบัลลังก์ลึกลํ้าก็จะเป็นทารกวิญญาณนั่นเอง

สมบัติเทวะห้าธาตุมีอีกชื่อเรียกว่าสมบัติเทวะห้าช่วง อันตั้งอยู่ใจกลางระหว่างอกที่ซึ่งหัวใจของมนุษย์ตั้งอยู่ นี่จึงเป็นสาเหตุที่ หัวใจถูกเรียกว่าวังม่วงแดง

ผงชาติและปรอทในคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตนั้นเป็นคําเปรียบเปรย ผงชาดหมายถึงธาตุไฟ ปรอทหมายถึงธาตุนํ้า ตะกั่วคือธาตุทอง ปรอทไม้คือธาตุไม้ และหม้อดินคือธาตุดิน ซึ่งสอดคล้องกับวงจรห้าธาตุ อันได้แก่ ดาวอังคารธาตุไฟ ดาวพุธธาตุนํ้า ดาวศุกร์ธาตุทอง ดาวพฤหัสธาตุไม้ และดาวเสารธ์าตุดิน

คัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตระบุไว้ว่า ในการเปิดสมบัติเทวะห้าธาตุนั้น จะต้องจัดเรียงตําแหน่งดาว

ตําแหน่งของดวงดาวหมายความว่าห้าธาตุบนท้องฟ้าควรที่จะสอดคล้องกับห้าธาตุในสมบัติเทวะของร่างกายมนุษย์ ด้วยแต่ละคนต่างก็มีร่างกายแตกต่างกันไป อายุและเพศวัยที่แตกต่าง เป็นผลให้ตําแหน่งสมบัติเทวะห้าธาตุของแต่ละคนนั้นแตกต่างกัน

ดังนั้นเขาจึงต้องอาศัยห้าธาตุบนท้องฟ้ามาช่วยคิดคํานวณ ตําแหน่งห้าธาตุในร่างกาย เพื่อตัดสินตําแหน่งของดวงดาวและใช้ปราณชีวิตทลายกําแพง

ฉินมู่นำกระดาษปึกหนาออกมาจากกระเป๋าสัมภาระ เช่นเดียวกับดินสอถ่านและลูกคิด ข้างๆ เขามี ‘ตํารารากฐานการคํานวณ’ สิบเล่ม ฉินมู่พลิกกระดาษเหล่านั้นและแต่ละแผ่นเต็มไปด้วยสูตรคํานวณยุบยิบ เขาใช้กระบวนวิธีพื้นฐานในการคํานวณ ตําแหน่งห้าธาตุ และหลังจากหลายวันที่ผ่านมานี้เขาก็มาถึงจุด สุดท้ายในสมการ

ลูกคิดถูกดีดไปมาดังกรอกแกรกไม่มีหยุด และเมื่อถึงยามเที่ยง อาทิตย์โด่งเหนือหัว เขาถึงได้บิดเอี้ยวตัวไปมาให้หายเมื่อยขบ

ที่กระดาษแผ่นแรกของปึกเขาวาดภาพหัวใจเอาไว้ ข้างๆ หัวใจมีสูตรคํานวณละเอียดยิบจํานวนนับไม่ถ้วน เส้นตรงห้าเส้น ถูกลากขีดไว้ อันล้อมรอบหัวใจเป็นรูปเรขาคณิตห้าเหลี่ยม แต่ละมุมนั้นเขียนตัวอักษรระบุธาตุไว้ว่า ทอง ไม้ นํ้า ไฟ และดิน

ฉินมู่ใช้หลักการส่งเสริมและหักล้างกันระหว่างธาตุเพื่อคํานวณตําแหน่งของดวงดาว และในที่สุดเขาก็คํานวณตําแหน่งวังม่วงแดงของตนออกมาจนได้

ฉินมู่บริหารร่างกายและเริ่มเคลื่อนไหวอย่างแช่มช้า ขับเคลื่อนปราณชีวิตของตน เขาปล่อยให้ปราณชีวิตไหลเวียนอย่างมีชีวิตชีวาไปทั่วร่างกาย และในขณะเดียวกัน เมื่อใดก็ตามที่ปราณชีวิตเขาโคจรผ่านทารกวิญญาณ มันก็จะยิ่งขยายตัวออกไปอย่างไร้ประมาณ

ฉินมู่ก้าวเดินเร็วขึ้นและเร็วขึ้น ไม่นานนัก ก็มีกระแสลมพวยพุ่งขึ้นมาในห้อง ลมนั้นรุนแรงขึ้นทุกทีเป่า หน้าต่างประตูดังปังๆ ฉินมู่ไม่ใยดีเดินออกมาจากเรือนตึกและเดินเร่ร่อนไปมั่วๆ อย่างไม่หยุดยั้ง

ในที่สุดเมื่อปราณชีวิตของเขาโคจรไปถึงขีดจํากัด ทารกวิญญาณที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ลึกลํ้าก็ลุกขึ้นยืนในสมบัติเทวะทารกวิญญาณชูสองมือของเขาขึ้นไปบนท้องฟ้า มือแต่ละข้างมีเส้นสายปราณชีวิตห้าเส้นพวยพุ่งขึ้นสู่ฟากฟ้าในสมบัติเทวะ ด้วยปราณสิบเส้นผสานเป็นห้า ก็ปรากฏดวงดาวขึ้นมาห้าดวง

ดวงดาวทั้งห้าเชื่อมต่อกันด้วยปราณชีวิต ด้วยด้านและมุมที่คาบเกี่ยวกับพวกมันสร้างรูปทรงห้าเหลี่ยม รูปห้าเหลี่ยมนี้พลันเปล่งแสงเจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ และในที่สุดก็เจิดจรัสประดุจกระจก มีเสียงหึ่งดังขึ้นมาในสมบัติเทวะทารกวิญญาณของเขา เปิดเส้นสายไคถงและเหรินตู่ คอของเขากลํ้ากลืนแสงนั้นเข้าไป ส่องสว่างไปถึงโพรงหัวใจ

ปราณชีวิตของฉินมู่แผ่พุ่งออกมาอย่างไร้ขอบเขต ทะยานไปตามเส้นทางแสงนั้น ปะทะฟาดลงไปยังจุดปลายแสงส่อง

เสียงครั่นครื้นดังมาข้างๆ หูเขา พลันมีประตูไร้ลักษณ์เปิดขึ้นในโพรงหัวใจ กําแพงไร้รูปนั้นก็พังทลายเป็นชิ้นๆ ด้วยปราณชีวิตของเขา ก่อนจะหายวับไปไร้ร่องรอย สมบัติเทวะเปิดผนึกออกในบัดนั้น!

เสียงเทพดังกึกก้องขึ้นมาในจิตเขา แต่ไม่ทันที่มันจะได้ขัดขวางปราณชีวิตโคจร สมบัติเทวะห้าธาตุเขาก็ถูกปลุกเปิดเรียบร้อยแล้ว!

ฉินมู่หยุดเท้า การสั่งสมตลอดครึ่งเดือนที่ผ่านมาได้ผลิดอก ออกผลเป็นการจู่โจมทลายกําแพงอันแม่นยําในคราเดียว ทําให้เขาสาสมใจยิ่งนัก!

“เหตุใดนายน้อยถึงไม่เก็บตัวฝึกวิชา แต่ออกมาเดินข้างนอกแบบนี้ล่ะ” ฝูชิงอวิ๋นเดินเข้ามาพลางบ่นเขา

ฉินมู่ลืมตาขึ้น รัศมีของเขาพลันเพิ่มพูนอย่างต่อเนื่อง ทั้งพลังวัตรของเขาก็ทวีความหนาแน่นขึ้นอย่างไม่หยุดหย่อน เขาจึงยิ้มแล้วกล่าวตอบ “ข้าทลายกําแพงแล้ว”

ฝูชิงอวิ๋นใจไหวสั่นสะท้านและเบิ่งตาจ้องเขาอย่างไม่เชื่อหู นางพึมพําเสียงขาดเป็นห้วง “นะ..นายน้อยทลายอะไรนะ”

“ข้าได้ทลายกําแพงสมบัติเทวะห้าธาตุแล้ว” ฉินมู่ยิ้ม

ฝูชิงอวิ๋นรู้สึกหัวเบาหวิวจะเป็นลม “แต่ ข้าเพิ่งออกจากห้องท่านเมื่อกี้…”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version