Skip to content

Tales of Herding Gods 115

ตอนที่ 115 สันดานมาร

หน้าผานั้นลื่นสุดๆ และมิอาจเหยียบหยั่งเท้าได้ ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะวิ่งขึ้นไป!

ไม่ใช่ว่านักเรียนทุกคนจะได้เรียนวิชาเหินอากาศเสมอไป และหากว่าพวกเขาต้องการที่จะขึ้นไปบนยอดผานี้ มันจึงยากเย็นสุดๆ ยิ่งไปกว่านั้นในเมื่อคนที่อยู่ตรงนี้ล้วนแต่ยังอยู่ในขั้นทารกวิญญาณและห้าธาตุ ขั้นวรยุทธ์ของเขาพวกเขาไม่เพียงพอที่จะเรียนทักษะเทวะ

แค่กําแพงผานี้กําแพงเดียวก็สามารถคัดกรองคนออกไปได้มากกว่าครึ่ง

อย่างไรก็ดี มีนักเรียนหลายคนที่เรียนวิชาเหาะเหินเดินอากาศ และเริ่มบินขึ้นไปบนผาภูเขา ผ่านด่านนี้ไปราวปอกกล้วย แต่ว่าคนกลุ่มนี้ก็นับว่ามีน้อย ยังมีนักเรียนหลายคนที่ไม่เชื่อผีสางและลองวิ่งขึ้นไปบนผนังผา ทว่าพวกเขาทุกคนล้วนจบลงด้วยการหัวร้างค่างแตก

นักเรียนที่มิได้เรียนวิชาเหาะเหินเดินอากาศขมวดคิ้วนิ่วหน้า ราวกับเป็นท้องผูก หลายคนพยายามกระโดดขึ้นไป แต่ด้วยหน้าผาที่สูงเจ็ดสิบวา ใครมันจะมีร่างกายแข็งแกร่งเพียงพอที่จะกระโดดได้สูงขนาดนั้น

หลายต่อหลายคนทําได้แค่กระโดดไปครึ่งทางก่อนจะร่วงลงมา คนที่ร่วงลงมานั้น พวกเขาถือว่าสอบตกและถูกขับไล่ออกจากภูเขา

“ขึ้นไปบนหน้าผาง่ายจะตายไปไม่ใช่หรือ” เว่ยหยงก้าวไปข้างหน้าและหัวเราะพรืด “พวกเจ้าทุกคนเอาแต่คิดว่าจะวิ่งขึ้นไปบ้าง กระโดดขึ้นไปบ้าง ไม่ก็บินขึ้นไปบ้าง ทําไมพวกเจ้าไม่คิดวิธีดึงตัวเองขึ้นไปล่ะ”

เขามีศีรษะกลมตุ้ยนุ้ยและใบหูกางใหญ่ ทว่าความคิดของเขาคล่องแคล่วลื่นไหล เขาผูกปราณชีวิตของตนกับกระบี่ แล้วคุมกระบี่บินขึ้นไปบนยอดผาก่อน เว่ยหยงคุมเส้นด้ายปราณชีวิตสิบเส้นของตนให้เกาะแน่นที่ยอดผา จากนั้นเขาค่อยๆ บังคับปราณชีวิตให้หดรัด ดึงร่างของเขาขึ้น ไปบนหน้าผาทีละนิด…ทีละนิด เมื่อเขาใกล้จะถึงยอดผา มืออวบอ้วนของเขาก็เกาะบนขอบกําแพงและเหนี่ยวดึงพลิกตัวขึ้นไปบนน้าผานั้น เขาโบกมือร้องเรียกฉินมู่ “พี่ฉิน ลองดึงตัวพี่ขึ้นมาบ้างสิ?”

“ไม่จําเป็น” ฉินมู่งอขาย่อตัวอย่างมากจนก้นเขาแทบจะแตะพื้น พละกําลังในขาของเขาแผ่พุ่งพร้อมๆ กับการระเบิดปราณชีวิต และร่างของเขาก็ดีดขึ้นไปเบื้องบน เขากระโดดขึ้นไปสูงถึงแปดสิบวาแล้วร่วง

ลงมาข้างๆ เว่ยหยงด้วยเสียงตูมดังสนั่น

เว่ยหยงกระโดดโหยงด้วยความตกใจ แล้วหันไปมองดูพื้นข้างล่างอย่างพรั่นพรึง “นี่พี่ฝึกวิชาสายบู๊ใช่ไหมเนี่ย จริงด้วยสิ อาวุธของพี่คือดาบ วิชาบู๊ของพี่ต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ!”

ที่ใต้หน้าผาหยก นักเรียนหลายร้อยคนอ้าปากค้างด้วยความ ตกตะลึง

นักพรตวัยกลางคนผู้นั้นพยักหน้าจากนั้นเขียนคําว่า ‘บู๊’ ลง ข้างๆ ชื่อของฉินมู่ และเขียนคําว่า ‘เชาวน์’ ลงข้างๆ ชื่อของเว่ยหยง

วิธีของเว่ยหยงดูค่อนข้างจะเป็นการฉวยโอกาสหาวิธีลัด นักเรียนข้างล่างเห็นแล้วก็เกิดกระจ่างปัญญาขึ้นมา ความคิดมากมายผุดขึ้นมาในหัวของคนพวกนั้นแต่ละคนต่างคิดวิธีที่จะใช้วิชาคุมกระบี่หรือวิชาอื่นๆ ที่จะทําให้เส้นด้ายปราณชีวิตของพวกเขาลอยขึ้น ไปแขวนอยู่บนยอดผาได้ ช่วยให้พวกเขาสามารถปีนหน้าผาหยกได้ด้วยวิธีทํานองนี้

ผู้คนที่ยืนอยู่บนยอดผามีมากขึ้นทุกที ในระหว่างนั้นฉินมู่กับเว่ยหยงก็มุ่งหน้าต่อไป แม้ว่าจะเป็นยอดภูเขาหยก แต่มันก็ยังมีเนินเขา นํ้าพุ นํ้าตก และพืชไม้เขียวขจีที่นี่ ดูสงบศานติ ทั้งยังมีนก และสัตว์ป่า ทว่านกและสัตว์ป่าบนภูเขานี้ดูผิดแผกจากปกติและตัวใหญ่มหึมา ยิ่งไปกว่านั้นพวกมันยังมีเกล็ดและขนงอกเงยขึ้นมา น่าจะเพราะว่าพวกมันซึมซับปราณมังกรจากเส้นเหมืองปราณมังกรทั้งเก้าจึงทําให้เกิดการกลายพันธุ์

“หยุดก่อน นักเรียน!”

พวกเขามาถึงโถงใหญ่โถงแรกของมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ โถงใหญ่นี้กว้างขวางโอ่โถงวัดจากซ้ายไปขวาก็ 150 วา จัตุรัสหน้าโถงใหญ่นี้ก็กว้างสุดๆ และสามารถรองรับผู้คนได้หลายพัน ฉินมู่มองไปรอบๆ พบว่าผู้วิชาเทวะที่ขึ้นมาก่อนหน้าพวกเขานั้นไม่ได้อยู่ที่นี่ การสอบของผู้ฝึกวิชาเทวะคงแตกต่างจากพวกเขา

ที่หน้าโถงใหญ่นั้นหยัดยืนไว้ด้วยนักพรตเต๋า 99 คนและข้างหลังนักพรตแต่ละคนยืนหยัดไว้ด้วยเทพยดา เทพยดาเหล่านั้นก่อรูปขึ้นมาจากปราณชีวิตของพวกเขา ทวยเทพเหล่านั้นมีร่างเพียงครึ่งท่อนบนลอยอยู่บนอากาศ ดูโอ่อ่าน่าเกรงขาม

“สุดยอด!”

ฉินมู่สะท้านใจอย่างรุนแรง กําลังฝีมือของนักพรตเหล่านี้เหนือธรรมดา สามารถทําให้ปราณก่อรูปเป็นร่างเทวะ พวกเขาน่าจะใกล้บรรลุวรยุทธ์ขั้นชาวสวรรค์ กําลังภายในของนักพรตแต่ละคนน่าจะไม่ด้อยไปกว่าหัวหน้าโถงของลัทธิมารฟ้า!

สมชื่อมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ ที่ขนานนามว่าเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์สําหรับการเรียนรู้ขั้นสูงสุด!

นักพรตทั้งเก้าสิบเก้านี้ยังไม่ถึงระดับขั้นเจ้าเมืองเขตมังกร รูปเงาของเทพสวรรค์แปดเศียรแปดกรข้างหลังฝูอวิ๋นตี้นั้นครบสมบูรณ์และดูมีสมจริงมีเลือดเนื้อ อันดูน่าขยาดพรั่นพรึง เห็นได้ชัดว่านักพรตเหล่านี้ยังมีกําลังฝีมือที่ตํ่ากว่าฝูอวิ๋นตี้อย่างน้อยก็หนึ่งถึงสองระดับ

แต่ว่าทำไมเทพยดาที่นักพรตเต๋าเหล่านี้ก่อรูปขึ้นมาจากปราณชีวิตของพวกเขาทุกคนจึงเหมือนกันยังกับแกะ

ฉินมู่ขมวดคิ้ว หากว่าศัตรูของพวกเขารู้นอกรู้ในรู้ใส้รู้พุงของเคล็ดวิชาพวกเขาทั้งหมดจะไม่ถูกสังหารเอาได้ง่ายๆ ตามแต่ใจของศัตรูจะนึกอยากเช่นนั้นหรือ

นักพรตพวกนี้ ท่านยายสามารถสังหารได้หมดด้วยมือเดียว! หนุ่มน้อยคิดอยู่ในใจ

ราชครูนั้นส่งเสริมสนับสนุนโรงเรียนและวิทยาลัยประถมฐานแต่ว่ามันก็มีข้อเสียเปรียบอยู่ นั่นก็คือวิชายุทธและทักษะเทวะที่พวกเขาสอนนั้นอยู่ในกรอบเดียวกันไปหมด ฉินมู่เริ่มรู้สึกว่าสํานักต่างๆ ก็มีข้อดีของมัน เพราะถึงอย่างไรแล้ว สํานักแต่ละสํานักสอนสั่งและเชี่ยวชาญในแขนงที่แตกต่างกันไป และผลลัพธ์ที่ได้คือความหลากหลายของวิชายุทธและทักษะเทวะ

แน่นอนว่า ผลสัมฤทธิ์ของโรงเรียนและวิทยาลัยประถมฐานนั้นก็แจ่มชัดอยู่กับตา มันสามารถส่งเสริมให้นักเรียนที่มีพรสวรรค์จํานวนมากสามารถเบ่งบานพร้อมๆ กันโดยไม่ถูกกีดกันเบียดขับ

เพราะว่าจํานวนศิษย์ที่สํานักทั้งหลายรับเข้าไปนั้นมีจํานวนน้อยนิด เมื่อเทียบกับผู้คนทั้งหลายจึงไม่อาจรองรับผู้มีพรสวรรค์ทั้งหมดได้

นักพรตทั้ง 99 ยืนอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน ทันใดนั้นเทพยดาข้างหลังพวกเขาอันก่อรูปจากปราณชีวิตก็ลอยออกมาแล้วลงจอดลงตรงแท่นวงกลมข้างหน้าโถงใหญ่

นักพรตข้างหน้ากล่าวด้วยเสียงทุ้มหนัก “เหล่านักเรียนจากทั่วทุกมุมโลก จงจับกลุ่มกันกลุ่มละสิบ แบ่งออกเป็นแถวๆ แล้วก้าวมาข้างหน้า ปลดปล่อยกระบวนท่าและทักษะที่แข็งแกร่งโจมตีเงารูปเทพเจ้าเบื้องหน้านี้! เจ้าสามารถใช้วิธีอะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นวิถีเทพ วิถีมาร วิถีพุทธ ปลดปล่อยมันออกมาตามใจปรารถนา ไม่มีข้อห้ามใดๆ! เงารูปเทวะเหล่านี้ก็จะโจมตีพวกเจ้าเช่นกัน จนกว่าจะเหลือคนสุดท้ายที่ยังยืนหยัดอยู่ในสิบคนนี้ คนสุดท้ายเพียงหนึ่งเดียวที่ยังอยู่บนแท่นเวที คือผู้ที่จะผ่านการทดสอบ”

เหล่านักเรียนที่อยู่หน้าโถงใหญ่ตื่นตระหนกโวยวายขึ้นมา ทันที ในการป้องกันการโจมตีของเงารูปเทวะ และคัดคนจากสิบเหลือหนึ่ง การทดสอบรอบนี้นับว่าโหดร้ายกว่าด่านก่อนหน้า ด่านปีนหน้าผานั้นก็ได้คัดนักเรียนออกไปครึ่งหนึ่งแล้ว และการทดสอบรอบนี้ถึงกับจะขจัดนักเรียนที่เหลือให้ตกไปถึง 90% !

ทุกคนกระสับกระส่ายและรีบจับกลุ่มสิบคนเพื่อขึ้นไปบนแท่นเวที เว่ยหยงหลีกห่างจากฉินมู่อย่างเร็วรี่ แล้วปีนขึ้นไปบนแท่นเวทีอื่น

ฉินมู่ยืนอยู่บนแท่นเวทีหนึ่งและไม่นานนักก็มีผู้คนมายืนบนแท่นกลมเดียวกันครบสิบคนและในเวลาเดียวกันแท่นกลมทั้ง 98 แท่นก็มีนักเรียนอยู่บนนั้นสิบคนต่อแท่น

“เริ่มได้!” นักพรตเต๋าตะโกน

ไม่ทันที่เสียงของเขาจะขาดคํา เงารูปเทวะทั้ง 99 ก็ขยับพร้อมๆ กันและโจมตีใส่นักเรียนบนแท่นทันที นักเรียนเหล่านั้นก็รีบป้องกันตัวต่อการจู่โจมนั้น!

ในจังหวะนั้นเอง ฉินมู่เคลื่อนที่ราวเงาภูตผีหลบหลีกการโจมตีของเงารูปเทวะนั้นพลางวิ่งไปรอบๆ แท่นเวทีกลม เสียงระเบิดดังขึ้น 9 ครา ต่อเนื่องกันถี่ยิบ พร้อมกับเงาร่างคน 9 คนปลิวกระเด็นลงจากแท่น

นักเรียนที่อยู่บนแท่นเดียวกับเขา ถูกฉินมู่ซัดกระเด็นออกไปก่อนที่พวกเขาจะทันถูกเงารูปเทพโจมตีโดนตัวเสียอีก!

บนแท่นเวทีนั้น เงารูปเทวะที่กําลังจู่โจมฉินมู่พลันยั้งมือ และหยุดนิ่งอยู่อย่างนั้น

“เจ้าผ่านการทดสอบ” ที่หน้าโถง นักพรตเต๋าทั้ง 99 มีสี หน้าแตกตื่นขณะที่นักพรตเต๋าผู้นํานั้นกล่าวอย่างเคร่งขรึม

ฉินมู่โค้งคํานับเขา แล้วเดินลงจากแท่นเวที นักพรตเต๋าผู้นํามีสีหน้าหนักอึ้ง เขากล่าวกับนักพรตอีกคนข้างๆ “ข้าเห็นว่าเด็กหนุ่มผู้นี้จิตใจไม่เที่ยงตรงและมีสันดานมารอยู่เล็กน้อย ผู้คนบนแท่นเวทีอื่นๆ ร่วมมือร่วมแรงกันเพื่อต่อต้านการโจมตีของรูปเงาเทวะ มีแต่เขานี่แหละที่ลงมือกับเพื่อนร่วมแท่น”

ทันทีที่เขากล่าว เสียงร้องด้วยความแตกตื่นก็ดังมาจากแท่นเวทีอื่น นักเรียนคนอื่นๆ ได้ทําตามตัวอย่างของฉินมู่และโจมตีนักเรียนคู่แข่งบนแท่นเดียวกัน พร้อมๆ กับรับการโจมตีของรูปเงาเทวะไปด้วย ในระยะเวลาสั้นๆ ผู้คนหลายร้อยถูกซัดกระเด็นออกไป จากแท่นกลมทั้ง 99

ไม่นานนัก การทดสอบก็สิ้นสุดลง และเหลือผู้ผ่านการทดสอบเพียงร้อยคน นักเรียนที่ผ่านการทดสอบล้วนแต่อยู่ในขั้นห้าธาตุ

ไม่มีนักเรียนวรยุทธ์ขั้นทารกวิญญาณหลงเหลืออยู่หลังด่านทดสอบนี้ ฉินมู่มองไปรอบๆ และพบว่าเว่ยหยงก็ผ่านด่านนี้ได้สําเร็จ พลังวัตรของหนุ่มน้อยร่างอ้วนนี้ลึกลํ้าจริงๆ สมแล้วกับที่เป็นนักเรียนซึ่งมาจากตระกูลเว่ยแห่งสุสานแม่นํ้า

นักพรตเต๋าหลายคนยังไม่หายตื่นตะลึง พวกเขาไม่คาดคิดเลยแม้แต่น้อยว่าการทดสอบที่ออกแบบมาอย่างดีจะคลี่คลายเช่นนี้

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง นักพรตเต๋าคนหนึ่งก็ตะโกนด้วยเสียงอันดัง “นักเรียนทุกคนที่ผ่านการทดสอบให้เข้าไปในโถง ส่วนที่เหลือให้ลงจากภูเขา”

ฉินมู่และนักเรียนคนอื่นๆ เดินตรงไปยังโถงใหญ่ข้างหน้า อย่างไรก็ตามเขารู้สึกตงิดๆ เหมือนกับว่ามีคนจับจ้องมองเขาอย่างไม่ลดละ เมื่อเหลียวหลังกลับไปเขาพบว่าสายตาของนักพรตเต๋าทั้ง 99 จับจ้องมองเขา

ฉินมู่จัดเสื้อผ้าของเขาให้เข้าที่ และไม่พบว่าเสื้อผ้าเขามีอะไรผิดปกติจนน่ามอง เขาจึงเผยยิ้มเจิดจ้าแจ่มใสกลับไปยังนักพรตเต๋าเหล่านั้น ก่อนที่จะเบือนหน้ากลับและเดินเข้าไปในโถงใหญ่

“สันดานมาร สันดานมาร!” ข้างหลังเขา นักพรตทั้ง 99 กล่าวพร้อมกันเป็นเสียงเดียว

นักพรตเต๋าผู้นําด่านทดสอบเขียนการประเมินของเขาหลังชื่อของฉินมู่ จากนั้นโยนรายชื่อขึ้นไปบนอากาศ นกกระเรียนพลันโบยบินโฉบมาและคาบใบรายชื่อนั้นไว้ในปากของมัน จากนั้นจึงบินข้ามโถงใหญ่และมุ่งตรงไปยังภูเขาข้างหลัง

“เด็กหนุ่มที่มีสันดานมารเช่นนี้ น่าจะเขี่ยเขาทิ้งเสียเพื่อมิให้เข้ามาปั่นป่วนมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ ทําลายชื่อเสียงที่นี่! หวังว่าผู้คุมการสอบด่านถัดไปคงหาวิธีทําให้เขาสอบตกได้!”

ฉินมู่และนักเรียนคนอื่นๆ เข้าไปในโถงใหญ่ แต่ก็ยังไม่เห็น กลุ่มนักเรียนขั้นหกทิศที่ขึ้นภูเขามาก่อนเป็นกลุ่มแรก นักเรียนกลุ่มดังกล่าวนั้นเป็นผู้ฝึกวิชาเทวะดังนั้นเนื้อหาการทดสอบของพวกเขาคงจะต้องแตกต่างจากฉินมู่และนักเรียนกลุ่มนี้

ฉินมู่มองไปรอบๆ และเห็นภาพสลักจํานวนหนึ่งอยู่บนเสาในโถงใหญ่นี้ ภาพสลักประหลาดแตกต่างกันเป็นร้อยเป็นพัน ทําให้เขาพิศวงสงสัย “การทดสอบนี้เกี่ยวกับอะไร”

เว่ยหยงยิ้มกล่าว “มหาวิทยาลัยจักรวรรดิมีการทดสอบที่แตกต่างกันไปทุกๆ ปี ดังนั้นจึงไม่มีใครรู้ว่าปีนี้พวกเขาจะทดสอบอะไรพวกเรา หากว่าเรารู้แนวด่านทดสอบล่วงหน้า มันคงไม่ยากที่จะสอบผ่านเข้ามหาวิทยาลัยจักรวรรดิได้”

ฉินมู่พยักหน้า และทันใดนั้นจิตใจเขาก็ไหววูบเล็กน้อย ภาพสลักบนเสาเหล่านี้ที่แท้ก็เป็นแผนภาพโคจรปราณชีวิตของทักษะวิชาบางชนิด!

แต่ละภาพสลักคือแผนภาพโคจรของวิชาที่แตกต่างกันไป! เขาเพ่งพิศพวกมันทีละภาพ และจิตใจเขาก็ยิ่งตะลึงพรึงเพริด

มหาวิทยาลัยจักรวรรดิถึงกับสลักแผนภาพโคจรปราณของวิชาต่างๆ มากมายที่นี่ พวกเขาไม่วางใจมากไปหน่อยหรือ พวกเขาไม่กลัวว่าจะมีคนเข้ามาสืบความลับของวิชาเหล่านี้หรืออย่างไร

“แผนภาพโคจรปราณชีวิตในโถงนี้ล้วนแต่เป็นแผนภาพที่ไม่สมบูรณ์”

นักเรียนที่ยืนข้างๆ เขากล่าว “ทุกๆ วิชานั้นขาดแหว่งไม่ครบถ้วน ข้าได้ยินว่าอธิการบดีของจักรวรรดิได้ท่องเที่ยวไปเสาะหาวิชาที่ไม่สมบูรณ์เหล่านี้จากทั่วทุกมุมโลก และสลักพวกมันไว้ที่นี่”

ฉินมู่พลันสังเกตพบภาพหนึ่ง และหัวใจเขาเต้นตุ่มต่อมอย่างรุนแรง ภาพนี้เป็นแผนภาพโคจรปราณของวิชาการยาจ้าวแดนดินสามอมตะ!

จากนั้นเขาก็ขมวดคิ้ว ภาพนี้น่าจะเป็นแผนภาพโคจรปราณของวิชากายาจ้าวแดนดินสําหรับวรยุทธ์ขั้นหกทิศ และมิใช่แผนภาพการโคจรปราณสําหรับวรยุทธ์ขั้นห้าธาตุอันเขาต้องการที่สุด ณ ขณะนี้

“หรือว่าปรมาจารย์จะพบแผนภาพการโคจรปราณของวิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะจากที่ไหนสักแห่ง ถึงได้มาสลักเอาไว้ที่นี่ ถ้าอย่างนั้น ปรมาจารย์จะรู้แผนภาพโคจรปราณอื่นๆ ไหมนะ ไม่ว่าจะอย่างไร ข้าก็จะต้องผ่านการสอบกลายเป็นบัณฑิตจักรวรรดิแห่งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิเพื่อเข้าพบปรมาจารย์ให้จงได้”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version