Skip to content

Tales of Herding Gods 129

ตอนที่ 129 เทพกระบี่ซ่อนแสง

บัณฑิตรอบๆ ตกตะลึง บัณฑิตคนที่พูดเรื่องกลิ่นฉาวโฉ่นั้นก็ยิ่งประหวั่นพรั่นใจ ใครจะคิดละว่าชายหนุ่มหญิงสาวที่กําลังเต้นไปมาเมื่อครู่นี้กลับฉีกหน้าลงมืออํามหิตในพริบตา เด็กหนุ่มในเสื้อปักลายกระแทกหญิงสาวนั่นจมเข้าไปในเสาทองแดง ภาพนี้ช่างป่าเถื่อนเสียจนติดตาทุกคน!

ไม่นานนักเฉินหว่านอวิ๋นก็เดินเข้ามา เขาซัดฝ่ามือหนึ่งทีไปที่เสาทองแดง เสานั้นสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงและเยว่ชิงหงซึ่งถูกฝังจมในนั้นก็รู้สึกราวกับถูกไฟฟ้าช็อตนางพลันปิดบังใบหน้าแล้วสะกิดเท้าหนีไป

ใบหน้าของหญิงสาวยับเยินไปหมดไม่อาจสู้หน้าผู้คนได้

จริงๆ แล้วนางจะยันตัวออกมาจากเสาด้วยตนเองก็ได้ แต่เพราะเหล่าบัณฑิตที่มาห้อมล้อมข้างนอก นางรู้สึกว่าเสียหน้า ดังนั้นนางจึงยอมฝังใบหน้าจมอยู่ในเสาต่อสักพักและกะว่าจะหนีไปเมื่อมีคนน้อยลงกว่านี้ แต่ผิดคาดเพราะคนยิ่งเยอะขึ้นทุกที

เฉินหว่านอวิ๋นเดินไปที่ทาสหมาป่าที่ถูกปักไว้คาผนังภูเขาด้วยมีดมนตรา และดึงมีด 2 เล่มนั้นออกเพื่อปล่อยทาสหมาป่าให้เป็นอิสระ จากนั้นเขาจึงกระโดดลงจากหน้าผา และถอดเสื้อชั้นนอกของตนคลุมร่างของหลวงจีนอวิ๋นฉื้อเพื่อกันอุจาด หลังจากนั้นเขาจึงปลุกอวิ๋นฉื้อขึ้นมา

อวิ๋นฉื้อมองลงไปที่กางเกงขาสั้นขาวและรู้ทันทีว่าหลังจากที่เขาหมดสติไป เขาถูกเด็กหนุ่มนามฉินมู่ปลดทรัพย์ เรื่องนี้ทําให้เขายิ่งอับอายขายขี้หน้าเข้าไปอีก

มูลค่าของจีวรขาวของเขานั้นสูงลํ้าเหนือธรรมดา มีราคาสูงเสียยิ่งกว่าอาวุธวิญญาณทั่วไป อวิ๋นฉื้อต้องขายทรัพย์สมบัติจนหมดตัวเพื่อสะสมเงินได้มากพอที่จะซื้อจีวรนี้ แต่สุดท้ายก็ถูกฉินมู่ขโมยไป

ไม่นานนักเฉินหว่านอวิ๋น อวิ๋นฉื้อ เยว่ชิงหง และทาสหมาป่าก็มารวมตัวกันอีกครั้ง เฉินหว่านอวิ๋นกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์น้องทั้งหลาย ความสามารถของฉินมู่เป็นอย่างไรล่ะ”

เยว่ชิงหงแค่นเสียงเย็นชา “เฮอะ เจ้าไม่มีความมั่นใจว่าจะชนะเขาได้ เจ้าถึงให้เราไปเป็นแนวหน้าทดสอบฝีมือเขา? พี่ใหญ่ เจ้าจะไม่กลอกกลิ้งเกินไปหน่อยหรือ”

เฉินหว่านอวิ๋นกล่าวตอบอย่างไม่ยี่หระ “ในการศึกย่อมไม่เลือกวิธีการ นี่คือสิ่งที่ข้าเรียนรู้จากสนามรบ ข้ายังเรียนรู้ที่จะรู้เขารู้เราเพื่อรบร้อยครั้งก็ชนะร้อยครั้ง หากว่าข้ายังไม่รู้จุดอ่อนของเขา ข้าก็จะไม่มุทะลุลงมือ กําลังฝีมือของเจ้าสองคนไม่ได้ด้อยไปกว่าข้า และในเมื่อพวกเจ้าไม่สามารถเอาชนะเขาได้ ข้าก็คงยากเช่นกัน ดังนั้นข้าจึงได้แต่มองหาจุดอ่อนของเขา หากว่าข้าก็พ่ายแพ้ เขาก็จะกลายเป็นพี่ใหญ่แห่งบัณฑิตนิเวศน์และกลายเป็นหน้าตาของพวกเราแทน”

อวิ๋นฉื้อรับเรื่องนี้ได้มากกว่า เขารีบถาม “พี่ใหญ่ แล้วจากการสังเกตพบอะไรล่ะ”

“วิชาเวทมนตร์ พลังวัตร กระบวนท่า ไหวพริบการต่อสู้ ทักษะ และความคิดของเขา ล้วนแต่อยู่ในระดับสุดยอด!”

เฉินหว่านอวิ๋นกล่าวต่อ “เขาประชันกําลังฝ่ามือกับเจ้า เจ้าฝึกวิชาลัทธิพุทธและมีพลังป้องกันอันน่าตระหนก แต่ก็ยังคงแตกทําลายภายใต้ฝ่ามือเขา นี่แปลว่าพลังวัตรของเขาแข็งแกร่งกว่าเจ้า! พลังวัตรของทาสหมาป่าก็เข้มข้นแข็งแกร่งเช่นเดียวกันและ เพลงมีดของเขาก็เป็นเพลงมีดที่ใช้ในสนามรบ แต่ทว่าเขากลับทําอะไรไม่ได้เลยและพ่ายแพ้ใน 3 กระบวนท่า นี่แปลว่าไหวพริบการต่อสู้ของเขาและกระบวนท่าวิชาล้วนแต่อยู่ในระดับสุดยอด! และในการเอาชนะศิษย์น้องเยว่ เขาช่วงใช้วิชาทักษะและกระบวนการคิด เมื่อศิษย์น้องเยว่ตรวจตราดูบาดแผลของทาสหมาป่า เขาก็ฉวยโอกาสลอบเข้ามาใกล้อย่างเงียบเชียบและทําให้ศิษย์น้องพลาดโอกาสเป็นฝ่ายจู่โจม ทําให้เจ้าไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเต้นตามเขาไปอย่างใกล้ชิดและตกกับดักเขาในที่สุด”

เยว่ชิงหงหวนระลึกถึงสถานการณ์เมื่อครู่ที่นางตัวติดกับฉินมู่ ใบหน้านางแดงขึ้นมาก่อนที่จะแค่นเสียงเฮอะ

เฉินหว่านอวิ๋นกล่าวต่อ “เขาใช้กระบี่ได้เร็วสุดๆ ในการทําร้ายนักพรตหลิงอวิ๋น ฉีกหน้าต่อหน้าคนทั้งปวงในโถง นี่แปลว่าวิชากระบี่ของเขาแข็งแกร่งที่สุด ยิ่งไปกว่านั้นเขายังเอาชนะบัณฑิต 10 กว่าคนในบัณฑิตนิเวศน์ด้วยเวทมนตร์ที่สามารถควบคุมสํานึกรู้ได้ ดังนั้นเขาจึงเชี่ยวชาญด้านเวทมนตร์เช่นกัน บุคคลผู้นี้แทบจะไม่เปิดเผยจุดอ่อนเลยแม้แต่น้อย”

อวิ๋นฉื้อและเยว่ชิงหงยิ่งฟังก็ยิ่งแตกตื่น แม้ว่าเยว่ชิงหงจะสอบถามจากปากคําของบัณฑิตคนอื่นๆ เพื่อรู้กระบวนท่าที่ฉินมู่ใช้ หมายจะ ‘รู้เขารู้เรา’ แต่นางก็ไม่ได้มีความเข้าใจมากมายเท่ากับเฉินหว่านอวิ๋น

ตลอดหลายปีที่ผ่านมานี้เฉินหว่านอวิ๋นนั่งอยู่บนตําแหน่งพี่ใหญ่มาตลอด ดูท่าจะไม่ได้นั่งเปล่าๆ

“แล้วพวกเราจะเอาชนะคนสมบูรณ์แบบที่ปราศจากจุดอ่อนเช่นนี้ได้อย่างไรล่ะ” อวิ๋นฉื้อพึมพํา

เฉินหว่านอวิ๋นกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน “นี่เป็นเรื่องที่เกี่ยวพันกับหน้าตาของบัณฑิตนิเวศน์เรา หน้าตาของมหาวิทยาลัยจักรวรรดิเรา ดังนั้นเขาต้องแพ้! เขาเป็นแค่ผู้คนที่ถูกละทิ้งที่ออกมาจากแดนโบราณวินาศ หากว่าเขาไม่พ่ายแพ้เลยล่ะก็ นี่ไม่หมายความว่าบัณฑิตจักรวรรดิสันตินิรันดร์นั้นด้อยกว่าผู้คนที่ถูกละทิ้งหรอกหรือ”

จิตวิญญาณเขาฮึกเหิมขึ้นมา พลางกล่าวอย่างแช่มช้า “เขาไม่มีจุดอ่อนในทุกๆ แง่ และข้าก็เค้นมันสมองหาจุดอ่อนในวิชาฝึกปรือของเขา…และข้าพบมัน”

อวิ๋นฉื้อและเยว่ชิงหงสะท้านใจ พวกเขามองผู้พูดเป็นสายตาเดียวกัน

เฉินหว่านอวิ๋นยิ้มน้อยๆ “ข้าพบจุดอ่อนในวิชาฝึกปรือของเขา เมื่อเขาใช้ทักษะจู่โจมต่อสู้กับพวกเจ้า มันมีร่องรอยของความอ่อนแอที่แทบจะจับสังเกตไม่ได้เมื่อเขาโคจรปราณชีวิต นั่นคือจุดที่เป็นช่องโหว่ของเขา ข้ายังคงต้องสังเกตการณ์เขาต่ออีกสักพักเพื่อระบุจุดอ่อนดังกล่าวให้แน่ชัด”

เยว่ชิงหงฟังแล้วถึงค่อยยอมรับฝีมือและถอนหายใจ “ไม่แปลกเลยที่พวกเราพ่ายแพ้แก่เจ้าตลอดสามสี่ปีที่ผ่านมา เจ้านี่เหนือลํ้ากว่าพวกเราไปขั้นหนึ่งจริงๆ”

เฉินหว่านอวิ๋นแย้มยิ้ม “ข้าคงไม่รุดหน้าขนาดนี้หรอกถ้าไม่มีพวกเจ้าน่ะ แรงกดดันอันเกิดจากที่พวกเจ้าขวนขวายจะตามข้าให้ทันผลักดันให้ข้าทุ่มเทกายใจในการฝึกวิชายุทธ เมื่อข้าระบุตําแหน่งจุดอ่อนของเขาได้แน่ชัดแล้ว ข้าก็จะลงมือและจะเอาชนะเขาอย่างเปิดเผยโอ่อ่าต่อหน้าบัณฑิตทั้งหมดในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิเพื่อปกป้องชื่อเสียงเกียรติภูมิของบัณฑิตแห่งจักรวรรดิสันตินิรันดร์ของพวกเรา”

เมื่อฉินมู่เดินเข้าไปในบัณฑิตนิเวศน์ บัณฑิตทุกคนที่เห็นเขาล้วนแต่มีสีหน้าผวา เห็นได้ชัดว่ามีคนไม่น้อยที่เห็นภาพตอนเขาซัดกระแทกเยว่ชิงหงจนจมเข้าไปในเสาทองแดง และตอนที่เขาปักทาสหมาป่าไว้คาผนังภูเขา และบางคนถึงกับได้ยินข่าวลือว่าเขาอัดอวิ๋นฉื้อจนหมดสติแล้วโยนร่างลงจากหน้าผา

สองในสามของยอดฝีมืออันดับต้นของบัณฑิตนิเวศน์ได้พ่ายแพ้ยับเยินภายใต้นํ้ามือผู้คนที่ถูกละทิ้งแห่งแดนโบราณวินาศ นอกจากเฉินหว่านอวิ๋นแล้ว จะมีใครล่ะที่จะสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของฉินมู่ได้

ฉินมู่ผลักประตูเปิดและเดินเข้าไปในบ้านของเขา หลังจากนั้นจิ้งจอกน้อยก็โผล่หัวมาแล้วตะโกน “นี่ ยังมีใครจะมาไถ่กล่องกระบี่คืนไปไหม ถ้าไม่มีแล้ว ข้าจะเอาไปขายที่เมืองให้หมด”

“ช้าก่อน!”

บัณฑิตผู้หนึ่งตะโกนขึ้นมาทันที “ช้าๆ อย่าเพิ่ง ข้าจะมาซื้อกล่องกระบี่ข้ากลับไป!”

“ข้าด้วย อย่าเพิ่งขายนะ ข้าจะมาไถ่ถอนเมื่อข้าหาเงินมาครบ!”

“จิ้งจอกน้อย เงินค่าขนมเดือนนี้ของข้ายังไม่มาเลย เจ้าผ่อนผันให้ข้าหน่อยได้ไหมและคืนกล่องกระบี่ให้ข้าก่อน”

“ถ้าอย่างงั้น เจ้าต้องเขียนใบประกันหนี้ แล้วรับใบประกันนี้กลับเมื่อเจ้ามีเงินมาคืน”

ฮู่หลิงเอ๋อจัดการธุระเรื่องกล่องกระบี่เรียบร้อยและได้ใบประกันหนี้กําหนึ่งกลับเข้ามาในเรือน “คุณชาย ท่านช่วยตรวจดูให้หน่อยว่าใบประกันพวกนี้เขียนถูกไหม ข้าอ่านหนังสือไม่ออก”

ฉินมู่ยิ้มครึ่งบึ้งครึ่ง “เจ้าอ่านหนังสือไม่ออกแต่ยังกล้ารับใบประกันหนี้อีกเรอะ ใบประกันพวกนี้เขียนไม่ผิด เจ้าเก็บมันไว้ดีๆ ละ กัน”

ฮู่หลิงเอ๋อลิงโลดและรีบเก็บใบประกันเหล่านั้นไว้ในรูในกําแพง ฉินมู่เรียกนางมาแล้วกล่าว “ยังเหลืออีก 2 วันก่อนที่จะเริ่มเปิดการเรียนการสอน ข้าจะสอนวิชาวิญญาณเสกสรรให้กับเจ้า”

ฮู่หลิงเอ๋อรีบนั่งลงอย่างเรียบร้อย และฉินมู่ก็เริ่มอธิบายวิชาวิญญาณเสกสรร วิชาวิญญาณเสกสรรนี้เป็นนิพนธ์สุดท้ายในเจ็ดนิพนธ์ วิชานี้สามารถฝึกปรือได้โดยมนุษย์และปีศาจ หลังจากที่เขาอ่านคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตมาได้หลายวัน เขาก็พบว่าวิชานี้เหมาะให้ปีศาจใช้ในการฝึกปรือ

จากการสั่งสอนของเฒ่าหนวกเขาได้อ่านหนังสือและวรรณกรรมจํานวนมาก สิ่งที่เฒ่าหนวกสอนเขามิใช่แค่ลัทธิขงจื๊อ ยังมีบทกวีโบราณจํานวนอันยากจะออกเสียงสะกด แต่เพราะอย่างนี้ จึงทําให้ฉินมู่เข้าใจคัมภีร์อื่นได้ง่ายดาย

ฉินมู่พยายามลดทอนคําอธิบายของเขาให้เรียบง่ายที่สุด และช่วยให้จิ้งจอกน้อยเข้าใจคัมภีร์เจ็ดนิพนธ์นี้นับว่าเป็นสุดยอดวิชา

ในคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต และคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตก็เป็นคัมภีร์ที่ทําให้คนสามารถสําเร็จเทพ สําเร็จมาร ทั้งยังเป็นบรมคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของลัทธิมารฟ้า วิชาวิญญาณเสกสรรเป็นหนึ่งในนั้น ดังนั้นความลึกซึ้งซับซ้อนของวิชาจึงเห็นได้ถนัดชัดตา

ภายใน 2 วันนี้ ฉินมู่ได้พยายามทําให้วิชาอันซับซ้อนเหล่านั้นเรียบง่ายขึ้นและสอนให้ฮู่หลิงเอ๋อ และฮู่หลิงเอ๋อก็สามารถบรรลุความเข้าใจในพื้นฐานวิชาได้ในที่สุด และกําลังทดลองกลั่นสร้างทารกวิญญาณของตน

จุดประสงค์เดิมของวิชาเสกสรรนี้คือการเปลี่ยนทารกวิญญาณของตน หากว่าคนผู้หนึ่งมีกายาวิญญาณเต่าดํา ทารกวิญญาณของเขาก็จะเป็นทารกวิญญาณเต่าดํา และด้วยการฝึกปรือวิชาวิญญาณเสกสรรนี้ คนผู้นั้นก็จะสามารถเปลี่ยนทารกวิญญาณเต่าดําของตนให้กลายเป็นทารกวิญญาณพยัคฆ์ขาว หรือทารกวิญญาณประเภทอื่นๆ แม้แต่คุณสมบัติธาตุของปราณชีวิตก็จะแปรเปลี่ยนไปเช่นกัน ดังนั้นวิชานี้จึงถูกยกย่องให้เป็นหนึ่งในสุดยอดวิชาในคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต

แน่นอนล่ะ ทุกวิชาในเจ็ดนิพนธ์เสกสรรล้วนแต่เปี่ยมมนตราน่าตะลึงลาน ไม่ใช่แค่วิชาวิญญาณเสกสรรนี้

สาเหตุที่ฉินมู่รู้สึกว่าวิชาวิญญาณเสกสรรเหมาะกับปีศาจมากกว่า เพราะว่าปีศาจและสัตว์พิสดารอย่างฮู่หลิงเอ๋อและลิงยักษ์อสูรนั้นไม่มีทารกวิญญาณ และไม่มีสมบัติเทวะทารกวิญญาณ

ในเมื่อพวกเขาไม่มีสองสิ่งนั้น ก็คงได้แต่สร้างมันขึ้นมาด้วยตนเอง

และตอนนี้ฮู่หลิงเอ๋อกําลังฝึกปรือวิชาวิญญาณเสกสรร นางก็จะสามารถมีทารกวิญญาณเป็นของตนเอง ซํ้ายังสามารถแปรเปลี่ยนรูปลักษณ์ทารกวิญญาณของตน

2 วันถัดมา มหาวิทยาลัยจักรวรรดิเปิดภาคเรียน ฉินมู่และบัณฑิตเข้าใหม่คนอื่นๆ ตามครูผู้สอนไปที่คลังเพื่อเลือกเฟ้นกล่องกระบี่ ยาเซียน เสื้อผ้า เตาหลอมยา หยก พู่กัน หมึก และแท่นเขียนและยังมีถุงเหรียญที่กล่าวว่าเป็นเงินเดือนของขุนนางให้ด้วย ฉินมู่ได้ยินบัณฑิตคนอื่นๆ พูดว่ามันเป็นเงินให้ใช้จ่ายประจําเดือนและสามารถมารับได้ทุกๆ เดือนแม้ว่าจะไม่มากมายอะไรนักมีแค่ 12 เหรียญ มันก็นับว่าเพียงพอใช้จ่ายสําหรับสามัญชน

ตราบใดที่ใครก็ตามเป็นบัณฑิตในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ เขาก็จะถือว่ากินตําแหน่งขุนนางชั้นแปด ดังนั้นสภาราชสํานักจึงต้องจ่ายเงินเดือนให้พวกเขา

ฉินมู่รับข้าวของที่มหาวิทยาลัยจัดเตรียมไว้ให้ จากนั้นไปที่หน้าโถงบรมสิกขา ปรมาจารย์เยาว์ซึ่งอยู่ที่นั่นกําลังกล่าวสุนทรพจน์ซึ่งไม่มีอะไรมากนอกจากให้กําลังใจและกระตุ้นให้บัณฑิตทั้งหลายตั้งใจเล่าเรียนและฝึกปรือ

ฉินมู่เอาข้าวของของเขากลับมาเก็บไว้ที่ห้องและตามบัณฑิตใหม่อื่นๆ ไปที่โถงซ่อนแสงเพื่อรับฟังการสอน ที่นั่นมีสมาชิกราชวงศ์ที่มาฟังการบรรยายเช่นกัน เมื่อฉินมู่มองไปรอบๆ เขาก็เห็นเด็กสาวที่คุ้นหน้าคุ้นตาซึ่งกําลังขยิบตาให้เขา อย่างไรก็ตาม เมื่อคนอื่นๆ มองมาทางนาง นางก็จะวางท่าสูงส่งขึงขังทันที

“น้องเจ็ด เจ้าทําอะไรน่ะ” เด็กสาวคนนี้คือหลิงอวี้จิว และองค์ชายที่นั่งติดกับนางมุ่นคิ้วเล็กน้อยพลางถามด้วยเสียงเบาเมื่อเห็นนางชะเง้อชะแง้แลดูฉินมู่อยู่บ่อยๆ

โถงซ่อนแสง มีชายผู้หนึ่งนั่งอยู่ใจกลาง เขาสวมชุดยาวสีดํานั่งอยู่พร้อมกับมีกระบี่พาดที่เข่า เขาคือครูผู้สอนแห่งโถงซ่อนแสง สายตาอันคมกริบราวกระบี่ของเขากวาดตามองเหล่าบัณฑิต และเมื่อสายตาเขากวาดไปพบฉินมู่ หางตาเขาก็กระตุก เขาเริ่มบรรยายด้วยจังหวะอันไม่ช้าไม่เร็ว “โถงซ่อนแสงคือโถงแห่งการเรียนกระบี่ แล้วอะไรคือการซ่อนแสง นักบุญเคยกล่าวไว้ว่า ข้ามีกระบี่ 3 เล่ม เจ้าสามารถเลือกเล่มใดก็ได้ในนี้ แต่ทว่าพวกมันไม่อาจใช้ในการสังหารผู้คน เล่มแรกเรียกว่าซ่อนแสง ซ่อนจากสายตา ซ่อนจากการใช้สอย แม้ว่าเจ้าแตะต้องมัน เจ้าก็ไม่สามารถสัมผัสมันได้ ผ่านวัตถุโดยที่วัตถุไม่สําเหนียกรู้ นี่คือที่มาของซ่อนแสง เมื่อใครก็ตามบรรลุถึงขั้นนี้ เขาก็จะกลายเป็นเทพกระบี่”

ฉินมู่ตกตะลึงและพึมพําในใจ ครูผู้สอนคนนี้คือหัวหน้าโถงกระบี่ของลัทธิศักดิ์สิทธิ์เรา…

หัวหน้าโถงกระบี่ในชุดดํามีร่างสูงใหญ่และสีหน้าหยิ่งยโส เมื่อเขาถูกเป่ากระเด็นด้วยการแทงเดียวของฉินมู่ เขาไม่ทันมีโอกาสได้ใช้กระบวนท่าเลยด้วยซํ้า

ทว่าฉินมู่รู้สึกพิกล มหาวิทยาลัยจักรวรรดิเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของจักรวรรดิสันตินิรันดร์ เหตุใดถึงรับหัวหน้าโถงลัทธิมารฟ้ามาเป็นผู้สั่งสอนบัณฑิต

หลังจากที่หัวหน้าโถงกระบี่บอกเล่าที่มาที่ไปของนามโถงซ่อนแสงแล้ว เขาก็กล่าวต่อ “กระบี่ เมื่อฝึกฝนถึงขั้นซ่อนแสง มันก็จะไปถึงพรมแดนอัศจรรย์ ขีดขั้นอันสุดยอด ดังนั้นมันจึงรู้จักในอีกชื่อว่าเต๋ากระบี่ และในโลกหล้ายุคสมัยนี้ มีเพียงคนหรือ 2 คนเท่านั้นที่บรรลุถึงขั้นนี้ได้ และมีเพียงคนเดียวที่รู้จักกันในชื่อว่าเทพกระบี่ซ่อนแสง ข้านั้นเทียบเขาไม่ติดฝุ่น พวกเจ้าทุกคนล้วนเป็นบัณฑิตที่มาจากทั่วสารทิศ พวกเจ้าควรตั้งเป้าหมายขีดขั้นพรมแดนสูงสุดของกระบี่ไว้เป็นปณิธานและต้องไม่ขี้เกียจขี้คร้าน วันนี้ข้าจะสอนพื้นฐานของวิชากระบี่ท่วงท่าที่พื้นฐานที่สุดของกระบี่อันได้แก่ แทง พลิกเฉียด และสะบัด”

บัณฑิตในโถงฟังแล้วก็แตกตื่นอย่างยิ่ง แทนที่จะสอนเพลงกระบี่อันลึกลํ้า โถงซ่อนแสงแห่งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิกลับสอนท่วงท่าพื้นฐานของวิชากระบี่แทน นี่พวกเขาจําเป็นต้องถ่อมาถึงมหาวิทยาลัยจักรวรรดิเพื่อมาเรียนพื้นฐานพวกนี้จริงๆ น่ะหรือ

หัวหน้าโถงกระบี่กล่าวอย่างเคร่งขรึม “อย่าดูแคลนพื้นฐานวิชากระบี่ หากว่าพื้นฐานของเจ้าไม่แน่นหนา เพลงกระบี่ฉวัดเฉวียนพริบพราวทั้งหลายของเจ้าก็จะไร้ค่า เมื่อ 3 ปีก่อนข้าได้พบกับเด็กน้อยผู้หนึ่งอายุเพียงสิบเอ็ดสิบสอง เขามีพื้นฐานอันแน่นหนาอย่างไม่น่าเชื่อ และเมื่อข้าต่อสู้กับเขาในขั้นวรยุทธ์ทารก วิญญาณ เขาก็เอาชนะข้าด้วยกระบี่ไม้เพียงเล่มเดียว นั่นแหละข้าจึงตระหนักถึงความสําคัญของพื้นฐานวิชากระบี่”

เสียงฮือฮาดังขึ้น มาในหมู่บัณฑิต พวกเขาพึมพํา “สามารถเอาชนะอาจารย์ด้วยกระบี่ไม้เล่มเดียว หรือว่าเด็กคนนี้คือเทพกระบี่”

หัวหน้าโถงกระบี่ส่ายหน้า “ยังหรอกเด็กผู้นี้คงเพิ่งอายุสิบห้า เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะบรรลุขั้นเทพกระบี่”

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

error: Content is protected !!
Exit mobile version