ตอนที่ 130 ขวางประตูสังหารหัวใจ
ใบหน้าฉินมู่แดงเรื่อขึ้นมาเล็กน้อย เพราะเขารู้ว่าหัวหน้าโถงกระบี่กําลังกล่าวถึงเขา
หัวหน้าโถงกระบี่น่าจะใคร่ครวญตรึกตรองถึงความพ่ายแพ้ของตน นั่นจึงทําให้เขาขวนขวายลงแรงไปกับพื้นฐานวิชากระบี่ของเขา และบัดนี้ทักษะของเขาก็มิได้อ่อนด้อยเหมือนเคย และน่าจะรุดหน้าไปอีกหลายขั้น ตอนนี้ฉินมู่คงเอาชนะเขาด้วยการแทงเดียวไม่ได้แล้ว
หัวหน้าโถงกระบี่สั่งสอนบัณฑิตทุกคนเกี่ยวกับพื้นฐานท่วงท่ากระบี่และฉินมู่ก็พยักหน้าในใจ หลังจากที่ตรึกตรองมาตลอดสองสามปีนี้ หัวหน้าโถงกระบี่ก็เข้าถึงแก่นแท้ใจความของพื้นฐานวิชากระบี่ แม้ว่าจะยังมีช่องโหว่อยู่บ้าง แต่ก็นับว่าก้าวหน้าไปอย่างยิ่ง
เมื่อคาบเรียนจบลง ฉินมู่กําลังจะออกจากโถงซ่อนแสง แต่ทันใดนั้นหัวหน้าโถงกระบี่ก็เรียกเขาเอาไว้ “ฉินมู่ อยู่ก่อน”
เฉินหว่านอวิ๋น เยว่ชิงหง และอวิ๋นฉื้อล้วนแต่ตกตะลึง พวกเขาทั้ง 3 มองกันไปมาจากนั้นจึงเดินออกมาจากโถงซ่อนแสง หลิงอวี้จิวซึ่งหมายจะเข้ามาคุยกับฉินมู่หลังจบคาบ ได้แต่ละความคิดเมื่อเห็นเช่นนั้นและนางก็ถูกสมาชิกราชวงศ์สามสี่คนลากไปด้วย
บัณฑิตทุกคนออกจากโถงซ่อนแสง เหลือแต่ฉินมู่และหัวหน้าโถงกระบี่
“จ้าวลัทธิน้อย ท่านคิดอย่างไรกับทักษะกระบี่ของข้า” หัวหน้าโถงกระบี่ลุกขึ้นและเอ่ยถามอย่างสํารวม
ฉินมู่กล่าว “เจ้าก้าวหน้าไปเยอะมาก”
สายตาของหัวหน้าโถงกระบี่เป็นประกายทันที “แล้วหากเทียบกับท่านล่ะ?”
ฉินมู่คิดอยู่หน่อย จากนั้นส่ายหน้า “เจ้ายังไม่สุกงอมดี พื้นฐานของเจ้าไม่มั่นคงเท่ากับข้า ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าพื้นฐานของพวกเราจะเท่ากัน เจ้าก็ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า ในวรยุทธ์ขั้นเดียวกัน พลังวัตรของข้าแข็งแกร่งกว่าเจ้าหลายเท่าและวิชาทักษะของข้าก็ลํ้าเลิศกว่า เจ้านั้นทุ่มความสนใจแต่กับกระบี่ละเลยทักษะอื่นๆ ดังนั้นเจ้าจึงมิใช่คู่ต่อสู้ของข้าในขั้นวรยุทธ์เดียวกัน อย่างไรก็ตามความก้าวหน้าของเจ้าก็นับว่ามากโขอยู่ดี”
หัวหน้าโถงกระบี่โค้งกายคารวะด้วยมารยาทของลูกศิษย์ด้วยสีหน้าอันเคร่งขรึม “นั่นแหละข้าจึงอยากจะเรียนถามจ้าวลัทธิน้อยให้ช่วยชี้แนะข้าสักสองสามอย่าง ข้าเพิ่งสอนพวกเขาไปเมื่อครู่และบัดนี้ข้าวิงวอนอย่างจริงใจให้ท่านสอนข้า!”
ฉินมู่จึงนั่งลงด้วยสีหน้าสงบ “ได้สิ เพราะถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นหัวหน้าโถงของลัทธิข้า ไม่เสียหายอะไรที่จะชี้แนะเจ้า วิชากระบี่นั้นมิใช่แค่วิชากระบี่ ทักษะท่าร่าง วิชาฝึกปรือ วิชาหมัด ทารกวิญญาณ ล้วนแต่สําคัญเท่าเทียมกัน กระบี่ที่เจ้าสอนพวกเขานั้นยังมิได้หลอมรวมด้านเหล่านี้เป็นหนึ่ง”
หัวหน้าโถงกระบี่ถาม “จะหลอมรวมด้านเหล่านี้เป็นหนึ่งได้อย่างไร”
ฉินมู่ถ่ายทอดท่วงท่ากระบี่แทงที่เขาได้รับจากผู้ใหญ่บ้านให้แก่เขา และหัวหน้าโถงกระบี่ก็พลันกระจ่างแจ้งปัญญา พลางพึมพํากับตนเอง “ที่แท้นี่ก็คือวิธีเปล่งพลานุภาพของตนให้เต็มพิกัด…ผิดแล้ว ผิดแล้ว กระบี่ที่ข้าฝึกปรือมากกว่าร้อยปีผิดชัดๆ… ขอบคุณจ้าวลัทธิน้อยอย่างยิ่งที่ให้การชี้แนะ!”
ในขณะเดียวกันที่นอกโถงซ่อนแสง เฉินหว่านอวิ๋นและคนอื่นๆ มีสีหน้าเคร่งเครียด เยว่ชิงหงนั้นดูโมโหอย่างหนัก “ครูผู้สอนนี้ลําเอียงเลยจริงๆ ถึงกับปฏิบัติต่อเขาเป็นพิเศษ สอนวิชากระบี่ให้เขาตัวต่อตัว! วิชากระบี่เขาก็เก่งกาจจะตายอยู่แล้ว แล้วยังมีครูผู้สอนที่ช่วยฝึกเขาเป็นการเฉพาะอีก อย่างนี้พวกเราจะมี โอกาสชนะเขาได้อย่างไร”
เฉินหว่านอวิ๋นกล่าวอย่างไร้อารมณ์ “พวกเจ้าจะกังวลทําไม ไม่ว่าครูผู้สอนจะถ่ายทอดเพลงกระบี่เลิศลํ้าแค่ไหนให้แก่เขา เขาก็ไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของข้าได้ ข้าเพียงแต่ต้องคว้าจับจุดอ่อนในวิชาฝึกปรือเขาให้มั่นแล้วอัดเขาให้น่วม!”
“เจ้าว่าอย่างไรก็ว่าอย่างนั้นแต่อย่าเผลอการด์ตกล่ะ” อวิ๋นฉื้อเตือน
เฉินหว่านอวิ๋นพยักหน้า “ไม่ต้องห่วง เมื่อเขาก้าวรุดหน้า ข้าเองก็ไม่ล้าหลัง ไม่กี่วันมานี้ข้ากดทับพลังวัตรของข้าเอาไว้และรู้สึกเหมือนกําลังจะแตะขอบวรยุทธ์ขั้นหกทิศ ด้วยวรยุทธ์ขั้นห้าธาตุที่ปริ่มเต็มถึงขีดสุด ข้าจะเอาเขาไม่ลงได้อย่างไร รับการสอนพิเศษจากครูผู้สอนนั้นมีแต่ทําให้เขาเสียเวลาในการฝึกเพลงกระบี่ใหม่ และทําให้เขาไม่มีเวลาฝึกพลังวัตร! การเอาชนะเขาได้ในขั้นห้าธาตุคือความปรารถนาของข้า มิเช่นนั้นแล้ว ข้าคงนึกเสียใจแม้ว่าจะได้บรรลุเป็นผู้ฝึกวิชาเทวะก็ตาม”
ทั้งสองคนนั้นไม่มีทางคิดฝันว่าสถานการณ์ในโถงซ่อนแสงนั้นมิได้เป็นอย่างที่พวกเขาคาดคะเน หัวหน้าโถงกระบี่ในตอนนี้ เหมือนกับนักเรียนที่กระหายความรู้และฉินมู่ก็คืออาจารย์ผู้ถ่ายทอดวิชา ให้คําชี้แนะแก่หัวหน้าโถงกระบี่ในวิธีการฝึกปรือกระบี่!
หากทั้ง 3 คนเห็นสถานการณ์จริง คงเบิ่งตาจนลูกตาหลุดจากเบ้า!
หัวหน้าโถงกระบี่คิดทบทวนยํ้าในใจถึงวิธีการหลอมรวมทุกแง่ของพละกําลังเข้าไว้ในกระบี่เดียว และฉินมู่ก็นึกขึ้นมาได้ “แม้ว่าพื้นฐานของข้าจะแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง แต่ข้าก็ไม่มีความรู้มากมายเกี่ยวกับเพลงกระบี่ ข้าหมายให้หัวหน้าโถงกระบี่ชี้แนะข้าเช่นกัน หัวหน้าโถงเพิ่งกล่าวไปว่านักบุญมี 3 กระบี่และเจ้าอธิบายแค่กระบี่ซ่อนแสงกระบี่แรก และไม่ได้พูดถึงกระบี่อีก 2 เล่ม กระบี่อีก 2 เล่มนั้นคืออะไรหรือ”
หัวหน้าโถงกระบี่ตอบ “กระบี่แรกซ่อนแสง กระบี่ที่ 2 อุ้มเงา กระบี่ที่ 3 ทะลวงราตรี จริงๆ แล้วคือ 3 ขีดขั้นของเต๋ากระบี่ พวกนี้คือถ้อยคําที่เขียนไว้โดยราชครูสันตินิรันดร์ในตํารา ‘ทฤษฎีกระบี่’ ของเขา ซึ่งจักรพรรดิถึงกับเรียกมันว่า ‘3 กระบี่โอรสสวรรค์’ ท่านบอกข้าให้ช่วยชี้แนะ แต่ข้าคงมิบังอาจ ความสําเร็จเชิงกระบี่ของผู้เรียนนั้นขึ้นอยู่กับว่าใครเป็นผู้สอน ข้าสามารถสอนบัณฑิตคนอื่นๆ ได้ แต่ไม่มีคุณสมบัติพอที่จะสอนท่าน”
ฉินมู่เข้าใจความหมายของเขา การรํ่าเรียนวิชาควรหาอาจารย์ที่ดีที่สุด หลวงจีนหมิงซิ่นแห่งวัดใหญ่ฟ้าคํารามเป็นตัวอย่างหนึ่ง อาจารย์ของเขาไม่สามารถบรรลุเข้าใจฟ้าคํารามแปดจู่โจมจนถ่องแท้ ดังนั้นฟ้าคํารามแปดจู่โจมที่เขาถ่ายทอดให้หมิงซิ่นจึงมีช่องโหว่
ตรรกะชนิดเดียวกัน หากว่าหัวหน้าโถงกระบี่มิได้บรรลุความเข้าใจในกระบวนท่าอย่างชัดแจ้งและฝืนถ่ายทอดให้กับฉินมู่ ฉินมู่ก็จะรับสืบทอดจุดอ่อนของเขา
ดังนั้นหากจะรํ่าเรียนยอดวิชา ก็ต้องเสาะหายอดอาจารย์!
ฉินมู่มีสีหน้าวูบไหว จากนั้นเอ่ยถาม “แล้วข้าจะไปอ่าน ‘ทฤษฎีกระบี่’ ได้ที่ไหน”
“เรือนบันทึกสวรรค์”
หัวหน้าโถงกระบี่กล่าวต่อ “จ้าวลัทธิน้อย บัตรนี้เป็นบัตรผ่านสําหรับเข้าเรือนบันทึกสวรรค์ ตราบใดที่ท่านมีบัตรนี้ ท่านสามารถเข้าไปอ่านตําราต่างๆ ในเรือนบันทึกสวรรค์ได้”
ฉินมู่ใจฟูฟ่องขึ้นมาทันที เขายังไม่ได้เข้าไปเยี่ยมเยือนเรือนบันทึกสวรรค์ ที่นั่นสั่งสมตําราและคัมภีร์จากทุกสํานักหลากตระกูล ทั่วทั้งจักรวรรดิ เขาจะไม่ไปชมดูได้อย่างไร
“จ้าวลัทธิยังไม่ได้รับประทานอาหารเที่ยงใช่หรือไม่”
หัวหน้าโถงกระบี่เผยยิ้มที่หาได้ยากของเขาและเชิ้อเชิญ “ข้าเองก็กําลังจะไปทานอาหารเที่ยง เชิญท่านไปที่บ้านอันตํ่าต้อยของข้า ข้ายังมีข้อสงสัยในการฝึกกระบี่อยากเรียนถามจ้าวลัทธิน้อยต่อ พวกเราสามารถคุยไประหว่างมื้อได้”
ฉินมู่ลังเล “ที่บ้านข้างมีจิ้งจอกน้อยรออยู่…”
“พานางมาด้วยเลย”
ฉินมู่และหัวหน้าโถงกระบี่ออกมาจากโถงซ่อนแสงด้วยกันและกลับไปยังบัณฑิตนิเวศน์
ฮูหลิงเอ๋อซึ่งกําลังฝึกวิชาวิญญาณเสกสรรได้ยินว่าจะไปทานอาหารกัน นางก็รีบวิ่งออกมาด้วยความ ตื่นเต้น “มีสุราไหม”
“มี” หัวหน้าโถงกระบี่ตอบ
ฮู่หลิงเอ๋อโห่ร้องดีใจและรีบขี่ลมปีศาจตามพวกเขาไปทันที สองชายและหนึ่งจิ้งจอกไปยังเรือนพักของหัวหน้าโถงกระบี่ เรือนพักนี้เรียบง่ายอย่างยิ่ง มันเป็นบ้านมีบริเวณที่มีสองประตูเหมือนเรือนพักบัณฑิต และเขาไม่มีบ่าวรับใช้แม้แต่คนเดียว
ฉินมู่มองไปรอบๆ และพบว่าไม่มีบุคคลอื่นอยู่ที่นี่ หัวหน้าโถงกระบี่ลงมือประกอบอาหารด้วยตนเองอย่างรวดเร็ว เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาทําอาหารกินเองในบ้าน
“หัวหน้าโถง เจ้าไม่มีภรรยาหรือ” ฉินมู่ถามอย่างสงสัย
“ภรรยา?”
ความเร็วการประกอบอาหารของหัวหน้าโถงกระบี่นั้นว่องไวเป็นอย่างยิ่ง ด้วยการใช้ไฟแท้สมาธิในการหุงต้มผัดอาหาร ไฉนจะไม่เร็วได้ล่ะ
ไม่นานนักชายกลางคนก็ยกอาหารมาเสิร์ฟและตักข้าวแจก “ทําไมข้าต้องมีภรรยาด้วยล่ะ วุ่นวายจะตาย”
ฮู่หลิงเอ๋อชิมอาหารที่เขาทํามาและตกตะลึง “โห อร่อยมาก! หัวหน้าโถงกระบี่ ฝีมือทําครัวของเจ้านี่เยี่ยมยอดสุดๆ ดีกว่าพ่อครัวมืออาชีพหลายต่อหลายคนในเมืองหลวง ว่าแต่ทําไมเจ้าไม่หาภรรยาล่ะ”
“ข้าเคยมีครั้งหนึ่ง ตอนนั้นข้าเพลิดเพลินกับสตรีนางหนึ่งในลัทธิ แต่นั่นเป็นเรื่องสมัยที่ข้ายังเยาว์และทําแต่เรื่องไร้สาระ”
หัวหน้าโถงกระบี่หวนระลึกอดีตจากนั้นก็ส่ายหัว “ตอนนั้นข้ามาพบว่ากระบี่สามารถนําความรื่นเริงใจมาให้แก่ข้ามากกว่าที่สตรีจะทําได้ ดังนั้นข้าจึงคิดว่า ทําไมต้องวุ่นวายไม่เข้าเรื่อง พวกเราจึงหย่าร้างกัน จ้าวลัทธิน้อย ผู้หญิงน่ะเป็นสิ่งน่ารําคาญ ดังนั้นอย่าไปเสาะหาผู้หญิงเลย พวกนางจะเรียกร้องให้ท่านต้องใส่ใจใช้เวลาร่วมกับพวกนาง และพยายามเอาใจพวกนางให้มีความสุข บางทีก็หยอกล้อยั่วเย้าท่าน บางทีก็เอาเล็บข่วนหน้า พวกเราควรทุ่มเทเวลาให้กับการฝึกวิทยายุทธ์และการฝึกปรือกระบี่จะนํามาซึ่งความรื่นเริงใจอันล้นเหลือกว่า ผู้หญิงนําความรื่นเริงใจมาให้เราไม่ได้หรอก ดังนั้นท่านต้องปฏิเสธผู้หญิงอย่างหัวเด็ดตีนขาด”
ฮู่หลิงเอ๋อสะทกสะท้านและถกเถียง “หัวหน้าโถงกระบี่ เจ้าพูดผิดชัดๆ ผู้หญิงไม่ดีตรงไหน”
ปราณชีวิตของหัวหน้าโถงพลันส่งเสียงหึ่งราวกับมีกระบี่นับไม่ถ้วนกําลังปะทะกันอยู่ เขากล่าวอย่างไม่ยี่หระ “เจ้าไม่มีทางเข้าใจความรื่นเริงที่การฝึกปรือกระบี่มอบให้แก่ข้า อธิบายกับเจ้าไปก็เสียแรงเปล่า”
ฉินมู่กะพริบตาปริบอย่างไร้เดียงสา ขีดขั้นเต๋ากระบี่ของหัวหน้าโถงนั้นสูงลํ้าเกินไป และเขายังไม่อาจเข้าใจขีดขั้นนี้ได้
สองชายและหนึ่งจิ้งจอกทานอาหารกลางวันเสร็จ หัวหน้าโถงกระบี่ก็ปรึกษาฉินมู่อีกสามสี่คําถาม ก่อนที่จะจมลงไปในห้วงคิด ตรึกตรองไม่พูดไม่จาอยู่เนิ่นนาน ฉินมู่กําลังจะกล่าวลา หัวหน้าโถงกระบี่ก็ตื่นจากภวังค์แล้วลุกขึ้น “จ้าวลัทธิน้อย ข้าไม่ส่งท่านนะ”
ฉินมู่ไม่รู้จะหัวเราะหรือรํ่าไห้ เขาโบกมือกลับไปให้เขา “หัวหน้าโถงกระบี่มีนิสัยใจคอประหลาดจริงๆ”
เขาส่ายหน้า “นึกไม่ออกเลยแฮะว่าใครเป็นเด็กสาวที่เขาตกหลุมรักในตอนนั้น ข้าอาจจะเป็นพ่อสื่อสมานใจพวกเขากลับมาได้ แต่ด้วยนิสัยใจประหลาดของหัวหน้าโถงกระบี่ ต่อให้กลับมาคืนดีกันเดี๋ยวก็เลิกกันอีก”
เขากลับไปยังบัณฑิตนิเวศน์และพบว่ามีบัณฑิตจํานวนมากเดินลงจากภูเขา ทั้งบัณฑิตจากอุทยานราชวงศ์และจากบัณฑิตนิเวศน์ต่างก็เดินออกมาและมุ่งหน้าลงไปทางตีนเขา
ฉินมู่กําลังพิศวงใจและตอนนั้นเขาก็ได้ยินเสียงร้องเรียก “พี่ฉิน ทางนี้!”
ฉินมู่มองไปและเห็นเว่ยหยงท่ามกลางกลุ่มผู้คน เขาจึงเดินเข้าไป ฮู่หลิงเอ๋อเอ่ยปากถาม “อ้วนเว่ย เกิดอะไรขึ้นน่ะ”
เว่ยหยงแย้มยิ้ม “พวกพี่ไม่รู้หรือ ข้าได้ยินว่ามีนักพรตเต๋ามาที่ตีนเขาและบอกว่าพวกเขามาจากสํานักเต๋า เขาพาศิษย์มาด้วยหนึ่งคนและนั่งอยู่ตีนเขา ขวางทางอยู่อย่างนั้น”
ฉินมู่ตกตะลึงและกล่าว “พวกเขากําลังขวางประตู!”
เว่ยหยงพยักหน้าแล้วกล่าว “พวกเขากําลังขวางประตูจริงๆ นั่นแหละ! สํานักเต๋าเป็นสํานักฝ่ายธรรมะที่ใหญ่ที่สุด และนักพรตที่ขวางประตูอยู่เรียกตนเองว่าตันหยางจื่อ และเรียกเด็กหนุ่มข้างๆ ว่าเต๋าจื่อ ครูผู้สอนคนหนึ่งเข้าไปถามไถ่และพวกเขากล่าวว่าไม่ได้มาหาเรื่องอะไรเพียงแต่ต้องการมาแลกเปลี่ยนวิชาฝีมือ เขากล่าวว่าเขาได้ยินกิตติศัพท์รํ่าลือถึงมหาวิทยาลัยจักรวรรดิว่าเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์อันดับหนึ่งของโลกหล้า อันรวบรวมผู้มีพรสวรรค์จากทั่วแดนดิน ดังนั้นเขาจึงได้นําเต๋าจื่อจากสํานักเต๋ามาเยี่ยมเยือน มหาวิทยาลัยจักรวรรดิและแลกเปลี่ยนเทียบเคียงวิชาและทักษะเทวะระหว่างสํานักเต๋าและมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ”
ฉินมู่สะท้านใจและปล่อยลมหายใจที่กลั้นไว้ ก่อนจะกล่าวอย่างแช่มช้า “แผนร้ายกาจอะไรอย่างนี้”
เว่ยหยงมีสีหน้าฉงน
“พวกเขาโจมตีไปที่หัวใจ”
สายตาของฉินมู่ไหววูบ “ตอนนี้มีหลายสํานักที่ฉวยโอกาสก่อกบฏนอกเมืองหลวงและชูธงต่อต้านราชครู แต่เมืองหลวงก็ยังนับว่าสงบสันติ เห็นได้ชัดว่าสามัญชนคนทั่วไปนั้นยังสนับสนุนราชครู ราชครูสันตินิรันดร์ปฏิรูปสํานักทั้งหลายและก่อตั้งโรงเรียนประถมฐาน วิทยาลัย และมหาวิทยาลัยจักรวรรดิเพื่อรวบรวมเอาผู้มีพรสวรรค์จากทั่วแดนดิน ดังนั้นบัณฑิตทั่วโลกหล้าจึงเป็นทรัพยากรใช้สอยของจักรพรรดิ ข้าได้ยินคนกล่าวว่าจักรวรรดิสันตินิรันดร์ที่แท้แล้วก็คือสํานักที่สวมคราบจักรวรรดิ หากว่าเต๋าจื่อแห่งสํานักเต๋ามาขวางประตู และไม่มีบัณฑิตแห่งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิคนใดเลยที่สามารถเอาชนะเขาได้ เช่นนั้นการปฏิรูปของราชครูจะมีดีอะไร”
เว่ยหยงมองตาค้างและพึมพํา “นี่ไม่ใช่แค่โจมตีหัวใจ แต่คือการสังหารหัวใจ…”