ตอนที่ 131 เต๋าจื่อแห่งสํานักเต๋า
สังหารหัวใจผู้คนที่สนับสนุนการปฏิรูป!
เว่ยหยงรู้สึกหนาวยะเยือกถึงสันหลัง จักรวรรดิสันตินิรันดร์ปฏิรูปสํานักทั้งหลายและทําให้ยอดวิชาของทุกลัทธิและสํานักเป็นสมบัติสาธารณะของชาติ ก่อตั้งโรงเรียนประถมฐานและวิทยาลัยทั่วทุกมุมประเทศ และก่อตั้งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ ณ ใจกลางเมืองหลวงเพื่อสยบทุกลัทธิและสํานักในยุทธภพ
พวกเขารวบรวมทรัพยากรมาไว้มากมายขนาดนี้ หากว่ายังไม่สามารถผลิตศิษย์ชั้นเลิศออกมาจากการเรียนการสอนได้ หรือศิษย์ของพวกเขาก็ยังอ่อนด้อยกว่าเหล่าศิษย์จากสํานักและลัทธิต่างๆ อย่างนั้นการปฏิรูปของราชครูจะมีประโยชน์อะไร
เต๋าจื่อแห่งสํานักเต๋าผู้นี้ต้องมีความสามารถแข็งแกร่งและเป็นชนชั้นอัจฉริยะเป็นแน่ มิเช่นนั้นสํานักเต๋าคงไม่ส่งเขามาเพื่อตบหน้าพวกเขาอย่างนี้!
หน้าตาของมหาวิทยาลัยจักรวรรดิก็คือหน้าตาของราชครู คือหน้าตาของจักรพรรดิ ยากที่จะกล่าวว่างานนี้จักรพรรดิและราชครูสันตินิรันดร์จะสามารถรักษาหน้าของตนไว้ได้หรือไม่
เว่ยหยงสะท้านใจอย่างรุนแรง และทันใดนั้นเขาก็หัวเราะร่า “มหาวิทยาลัยจักรวรรดิรวบรวมผู้เปี่ยมพรสวรรค์จากทั่วแดนดิน ทําไมถึงจะสู้เต๋าจื่อไม่รู้หัวนอนปลายเท้าจากสํานักเต๋าไม่ได้ล่ะ”
ฉินมู่ส่ายหน้าและครุ่นคิดถึงการที่นักเรียนและบัณฑิตทั้งหมด ฝึกปรือวิชาและทักษะเดียวกัน ทําให้เขารู้สึกว่านักเรียนและบัณฑิตเหล่านี้ก็งั้นๆ
แม้ว่าบัณฑิตแห่งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิจะได้ฝึกวิชาที่แตกต่างหลากหลายกันไป ทว่าก็ยากอยู่ดีที่พวกเขาจะเชี่ยวชาญในแต่ละด้านเหล่านั้น เพราะพวกเขาจําเป็นต้องได้รับการชี้แนะจากครูผู้สอนผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านในแต่ละทักษะวิชาที่สอนสั่ง นั่นแหละบัณฑิตเหล่านั้นจึงจะสามารถเข้าถึงแก่นแท้ของวิชาได้
จากที่เขาเห็น ที่มาคราวนี้สํานักเต๋าเตรียมตัวมาอย่างดี และบัณฑิตจักรวรรดิทั้งหลายก็คงได้แต่ถูกขวางกั้นไว้บนภูเขา
หากว่าบัณฑิตจักรวรรดิไม่อาจเอาชนะเต๋าจื่อแห่งสํานักเต๋า สํานักทั้งหลายในแดนดินก็จะมีเหตุผลที่ชอบธรรมในการต่อต้านราชครูสันตินิรันดร์ เมื่อเวลานั้นมาถึงบารมีของจักรพรรดิก็จะ เสื่อมถอยและสูญเสียการสนับสนุนจากปวงชน จากนั้นสํานัก ทั้งหลายในโลกหล้าก็จะทยอยกันตั้งตัวเป็นปฏิปักษ์หากว่าจักรพรรดิไม่ประหารราชครูไปเสีย!
การต่อสู้ระหว่างเต๋าจื่อแห่งสํานักเต๋าและบัณฑิตแห่งมหาวิทยาลัยจักรวรรดินั้นกลายเป็นการต่อสู้ที่ ส่งผลต่อสถานการณ์ใหญ่ระดับโลกอันไม่อาจดูแคลนได้
“พวกเราไปดูกําลังฝีมือของเต๋าจื่อผู้นี้กันเถอะ!” เว่ยหยงกล่าวอย่างตื่นเต้น
ฉินมู่และเขาลงจากภูเขา รอบๆ ประตูภูเขาใต้หน้าผาหยกมีบัณฑิตจักรวรรดิอยู่เต็มไปหมด บัณฑิตในมหาวิทยาลัยจักรวรรดิมีจํานวนไม่น้อย บัณฑิตนิเวศน์อาจจะรับบัณฑิตเข้ามาเพียง 10 คนต่อปี แต่ยังมีบัณฑิตอีกมากมายในอุทยานราชวงศ์และที่กลุ่มบัณฑิตระดับผู้ฝึกวิชาเทวะ
ฉินมู่ยืนอยู่บนยอดผาหยกและมองขึ้นๆ ลงๆ จากนั้นจึงเห็นนักพรตเต๋า 2 คนนั่งขวางอยู่ที่หน้าประตูภูเขาตามที่คาด หนึ่งในนั้นเป็นผู้อาวุโสและมีท่วงทีแบบคนโบราณจากอดีตไม่คล้ายกับผู้คนในปัจจุบันสมัย เขาสวมใส่ชุดนักพรตสีเทาอันเรียบง่ายไร้สิ่งประดับประดา อากัปกิริยาของเขาให้ความรู้สึกถึงผู้ที่อยู่เหนือโลกีย์วิสัยและนั่งอยู่ที่นั่นราวกับว่าทุกสิ่งในโลกหล้าไม่ข้องเกี่ยวกับเขา
ด้วยท่วงทีและรัศมีเช่นนี้ เขาย่อมต้องไม่ใช่ชนชั้นสามัญธรรมดา ผู้เฒ่าผู้นี้น่าจะเป็นหนึ่งในยอดคนที่มีศักดิ์ฐานะสูงลิ่วในสํานักเต๋า สํานักธรรมะอันดับหนึ่งในยุทธภพ
และข้างๆ ผู้อาวุโสนี้เองมีเด็กหนุ่มที่ใบหน้าหล่อเหลางดงาม เขามีแส้ปัดหางม้าในมืออันมีด้ามสีชาดพาดไว้ที่บ่า เสื้อผ้าของเขาเป็นสีเขียว และเขานั่งอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบสงบ ราวกับไม่ถูกกระทบกระเทือนจากบัณฑิตจักรวรรดิทั้งหลายที่รายล้อม
ฉินมู่ทึ่งใจ หนึ่งหนุ่มหนึ่งชราดูเหมือนกับนักพรตเต๋าที่บ่มเพาะร่างกายและหล่อเลี้ยงบุคลิกภาพให้อุดม มีท่วงท่ากิริยาอันงามสงบเหนือโลก
นักพรตเต๋าทั้ง 2 นั่งอยู่ใจกลางถนนตรงหน้าประตูภูเขา ประตูภูเขานี้กว้างขวางเป็นอย่างยิ่ง และจุดที่พวกเขานั่งไม่ได้กินที่อะไรมากมาย
หากแต่ว่า หากพวกเขาไม่ไล่ 2 คนนี้ไป ก็คงมีแต่จะอับอายและเสียศักดิ์ศรี
การขวางประตูนั้นเป็นพิธีรีตองที่หาดูได้ไม่ง่ายนักในยุทธภพ ผู้คนจะทําเช่นนี้กับศัตรูคู่อาฆาตที่มิอาจอยู่ร่วมโลกกับตนได้เท่านั้น เพื่อให้ทุกคนในโลกหล้ารู้ว่าประตูของสํานักนี้ถูกพวกเขาขวางกั้นเอาไว้ เป็นการตบหน้าสํานักที่ถูกขวาง ทําลายความเชื่อมั่นของผู้คนที่มีต่อสํานัก และเย้ยหยันทักษะวิชาของสํานักว่า ไร้ค่าไร้ประโยชน์
ปกติแล้ว เมื่อเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น มันก็ไม่มีทางจบลงได้จนกว่าจะตายกันไปข้างหนึ่ง
และบัดนี้เมื่อหนุ่มและเฒ่าแห่งสํานักเต๋ามาขวางประตู พวกเขาก็ได้หยามเกียรติของจักรวรรดิสันตินิรันดร์ ตบหน้าราชครูและทําลายการปฏิรูปของราชครูที่กําลังขับเคลื่อนอย่างเต็มกําลัง!
ไม่ไกลจากฉินมู่ องค์ชายในชุดแพรเหลืองกล่าวด้วยเสียงเบา “สํานักเต๋าเป็นสํานักที่ใหญ่ที่สุดในอดีตพอๆ กับลัทธิมารฟ้า แต่ว่าหลายปีที่ผ่านมานี้พวกเขาเก็บตัวเงียบเชียบไปพร้อมๆ กับลัทธิมารฟ้าและไม่มีข่าวคราวแพร่ออกมา บัดนี้เมื่อสํานักเต๋าโผล่ขึ้นมาบนเวทีอีกครั้ง สิ่งที่พวกเขาทําไม่ใช่เล่นๆ เลย หากว่ามหาวิทยาลัยจักรวรรดิไม่อาจเอาชนะสองคนนี้ได้ สํานักเต๋าก็คงจะกระด้างกระเดื่องไปด้วยอีกสํานักหลังจากที่พวกเขากลับไป และหากสํานักเต๋าอันมีอิทธิพลเครือข่ายขนาดนี้ก่อกบฏล่ะก็…”
ฉินมู่มองไปยังองค์ชายผู้นั้นและครุ่นคิดในใจ คนผู้นี้มีประสบการณ์และความรู้ที่เหนือธรรมดา
องค์ชายผู้นั้นพลันสําเหนียกใจและหันกลับมามองยังเขา สายตาของเขาพลันเป็นประกาย และเขารีบผละออกมาจากกลุ่มองค์ชายคนอื่นๆ เบียดเสียดเข้ามาหาฉินมู่
“เด็กเลี้ยงวัว…”
องค์ชายผู้นี้มีแก้มยุ้ยบนใบหน้า เขาแย้มยิ้มแล้วถามด้วยเสียงนุ่ม “เจ้ามาเมืองหลวงเพื่อมาพบข้าโดยเฉพาะจริงๆ น่ะหรือ”
ฉินมู่มอง ‘เขา’ ขึ้นๆ ลงๆ และพบว่าองค์ชายดูคุ้นหน้าคุ้นตา เขาจึงร้องออกมา “เจ้าคือ…คุณชายเจ็ดอ้วนตุ้ยนุ้ย…”
หลังจากที่กล่าวเช่นนั้น เขาก็พลันตระหนักขึ้น คุณชายเจ็ดอ้วนตุ้ยนุ้ย ไม่ใช่ว่าเป็นหลิงอวี้จิวที่แต่งตัวเป็นผู้ชายหรอกหรือ
‘องค์ชาย’ ได้ยินคําเรียกหาของเขาก็โลดเต้นด้วยความเดือดดาล นางชักค้อนเหล็กยักษ์ออกมา แล้วทําท่าจะทุบฟาดใส่ฉินมู่!
ฉินมู่รีบแก้คําอย่างเร็วรี่และส่งยิ้ม “น้องสาวคนดี ข้าเกือบจําเจ้าไม่ได้แน่ะ พี่เว่ย นี่คือองค์หญิงเจ็ดหลิงอวี้จิว น้องสาวอวี้จิว นี่คือเว่ยหยงจากจวนดยุค”
ไม่ค่อยดีเท่าไรนักที่นางจะเอาค้อนฟาดเขาให้บี้แบนในที่สาธารณะ นางจึงเก็บค้อนยักษ์กลับไป
เว่ยหยงตกตะลึงและพึมพํากับตนเอง “องค์หญิงเจ็ด? เมื่อไหร่กันที่พี่ฉินไปก้อร่อก้อติกกับองค์หญิงเจ็ด องค์หญิงแห่งราชสํานักเป็นผู้ที่สามารถไปยุ่มย่ามได้ด้วยหรือ หัวจะหลุด…ข้าได้ยินว่าองค์หญิงเจ็ดผู้นี้เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์และอุดมวิชาความรู้ ทั้งยังมีความทะเยอทะยานอย่างยิ่ง แต่ทว่าทําไมอาวุธของนางถึงดูป่าเถื่อนดุร้ายอย่างนี้…”
ฉินมู่ไม่รู้ว่าเว่ยหยงกําลังนึกอะไรร้อยแปดในหัวและเพ่งพิศหลิงอวี้จิว เขาพบว่าเด็กสาวผู้นี้งดงามขึ้น มากทุกที แม้ว่านางจะสวมใส่เสื้อผ้าของบุรุษ นางก็มีรัศมีของจิตวิญญาณอันห้าวหาญและ
ตัวตนอันเหนือธรรมดา ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าจะอยู่ในเสื้อผ้าของบุรุษ นางก็ไม่ปิดบังข้อเท็จจริงที่ว่าหน้าอกของนางชูชันออกมาเหมือนกับสตรีคนอื่นๆ และหน้าอกนั้นยังดูอวบอั๋นเป็นอย่างยิ่ง
ตอนที่เจอนางในแดนโบราณวินาศ อกของนางยังไม่อวบอัดเท่านี้
ฉินมู่ยังคงได้กลิ่นหอมที่คุ้นเคยจากเรือนกายของนางอันน่าจะเป็นกลิ่นของไหมหอมธรรมชาติ “น้องสาว ข้าไม่ได้เจอเจ้ามานานและรูปร่างหน้าตาของเจ้าเปลี่ยนไป ข้าเกือบจําเจ้าไม่ได้ตอนที่เจอในวังหลวง”
สายตาของหลิงอวี้จิวแปรเปลี่ยนและนางกลายเป็นเอียงอายเล็กน้อย “ข้าเปลี่ยนไปอย่างไรหรือ”
ฉินมู่ยื่นมือออกไปทําท่าวัดที่ศีรษะนาง กล่าวอย่างสัตย์ซื่อ “เจ้าสูงขึ้นมากกว่าแต่ก่อน สูงกว่าข้าด้วยซํ้า เจ้ายังน่ารักขึ้นและกํายําลํ่าสันขึ้นด้วย กล้ามเนื้อบนใบหน้าและหน้าอกของเจ้า…”
หลิงอวี้จิวพลันโมโหเดือดและเตะเขาร่วงลงจากหน้าผา ฉินมู่มีสีหน้าไร้เดียงสา และกล่าวอย่างแค้นใจกลางอากาศ “ข้าไม่ได้ว่านางอ้วนขึ้น ทําไมนางต้องโมโห”
ฮู่หลิงเอ๋อพลันลิงโลดกับความเห็นฉินมู่ที่มีต่อหลิงอวี้จิว “ใช่แล้วคุณชาย หญิงผู้นี้ไร้เหตุผล อย่าไปยุ่งกับนางเลย!”
ตึบ!
2 เท้าฉินมู่หยั่งลงถึงพื้นอย่างมั่นคงและเงยหน้ามองกลับขึ้นไป เขาอยากจะกระโดดกลับไปอีกแต่เกรงว่าหลิงอวี้จิวก็คงจะเตะเขาลงมาอีกครา
เว่ยหยงซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ฉินมู่เมื่อกี้ ยืนทื่อมองลงไปข้างล่าง
หลิงอวี้จิวถลึงตาจ้องเขาอย่างดุร้าย
เหงื่อเย็นเยียบหยาดหนึ่งหยดจากหน้าผากของเว่ยหยง ก่อนที่เขาจะกระโจนขึ้นแล้วกระโดดลงจากหน้าผาหยก
หลิงอวี้จิวทําเสียงฮึ่มในคอก่อนจะกระโดดลงจากหน้าผาด้วยเช่นกัน
ไม่ไกลกันนั้น องค์ชายอีกคนก็ขมวดคิ้วและปราณชีวิตเบื้องหลังศีรษะเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นมือยักษ์คว้าลงไปตามหน้าผา จับนางกลับขึ้นมา เขากล่าวกับนางอย่างนุ่มนวล “น้องหญิงเจ็ดอย่าเล่นเฉไฉไปมา เจ้าต้องรักษาหน้าให้กับราชวงศ์จักรพรรดิด้วย”
หลิงอวี้จิวจึงได้แต่สํารวจตนแล้วกล่าว “พี่รอง คนผู้นั้นที่พี่เห็นเมื่อครู่คือหมอเทวดามือศักดิ์สิทธิ์ที่ช่วยรักษาท่านย่าพระพันปีหลวง เขายังเป็นคนรู้จักของข้า…”
องค์ชายรองตอบด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ข้ารู้แล้ว ข้าได้ยินจากแม่ทัพน้อยฉินมาว่าเจ้าเคยพบเขาในแดนโบราณวินาศ และพวกเจ้าสองคนก็สนิทกันมาก น้องหญิงเจ็ด แต่พวกเราน่ะเป็นสมาชิกราชวงศ์ขององค์จักรพรรดิ และเรามิอาจทําอะไรได้ตามใจตนเอง บัดนี้โลกหล้าเต็มไปด้วยความปั่นป่วนวุ่นวาย มหาภัยพิบัติอยู่ตรงหน้าพวกเราบัดนี้แล้ว หากว่ามหาภัยพิบัติปะทุขึ้นมา จักรวรรดิของเขาก็จะเหลือแต่เศษซาก และราชวงศ์จักรพรรดิก็จะไม่ต่างอะไรจากหมาตัวหนึ่ง!”
หลิงอวี้จิวกระโดดโหยงด้วยความตกใจแล้วถาม “พี่รอง พี่คิดว่าเต๋าจื่อผู้นี้ความสามารถเป็นอย่างไร”
“เขายังไม่ได้ลงมือสักกระบวนท่า ดังนั้นข้าจึงไม่รู้ข้อมูลของเขา แต่ในเมื่อสํานักเต๋ากล้านําเขามาขวางประตู เขาย่อมต้องไม่อ่อนแอแน่นอน!”
องค์ชายรองมองไปยังฉินมู่ที่อยู่ใต้หน้าผาและขมวดคิ้วเล็กน้อย “น้องเจ็ด แม้ว่าเจ้าฉินมู่นั่นจะเป็นหมอเทวดามือศักดิ์สิทธิ์ แต่ถึงยังไงก็ยังเป็นผู้คนที่ถูกละทิ้ง อย่าไปใกล้ชิดกับเขามาก ไม่อย่างนั้นผู้คนคงจะหัวเราะเยาะราชวงศ์เราว่าไม่รู้จักตํ่าสูง”
หลิงอวี้จิวขมวดคิ้ว
ที่หน้าประตูภูเขา ปรมาจารย์ลัทธิมารผู้ซึ่งมีรูปร่างหน้าตาเหมือนเด็กหนุ่มเดินตรงไปยังประตูภูเขาและยืนอยู่เบื้องหน้าเด็กและเฒ่าแห่งสํานักเต๋า โค้งเล็กน้อยทักทาย นักพรตเฒ่าและนักพรตหนุ่มรีบลุกขึ้นคารวะตอบ
ปรมาจารย์เยาว์แย้มยิ้ม “ตันหยางจื่อ เจ้ามีเจตนาใดจึงนําเต๋าจื่อของสํานักเต๋ามาที่นี่”
นักพรตเฒ่ายิ้มกลับแล้วตอบ “พี่ร่วมทางเต๋า เหตุใดถึงถามราวกับว่าท่านไม่รู้เช่นนั้น เจ้าสํานักแห่งสํานักเต๋านั้นก็แก่ชแร่ชราพอๆ กับท่านและไม่อยากเห็นทุกสํานักในโลกหล้ากลายเป็นข้ารับใช้ของจักรวรรดิสันตินิรันดร์ ดังนั้นข้าจึงออกหน้ามา เต๋าจื่อจะมาขวางประตูอยู่เพียงแค่ 3 วันและหากว่ามีผู้ที่สามารถเอาชนะเต๋าจื่อได้ในระหว่าง 3 วันนี้ สํานักเต๋าเราก็จะไม่ก่อกบฏ แต่หากว่าไม่มีผู้ใดสามารถเอาชนะเต๋าจื่อได้ใน 3 วัน ดินแดนแห่งนี้ก็คงเห็นทีจะได้เปลี่ยนตัวผู้ปกครอง”
ปรมาจารย์เยาว์ถอนหายใจ “สํานักเต๋าอยู่เหนือโลกไม่ข้องเกี่ยวกับปุถุชนมาตลอด ตอนนี้กลับมากระสับกระส่ายด้วยอย่างนั้นหรือ”
ตันหยางจื่อมองลงไปที่ตําแหน่งหัวใจของตนเองและกล่าว “เจ้าสํานักเต๋าเล็งเห็นว่าสถานการณ์ใหญ่ในโลกหล้าไม่ต่างอะไรกับคลื่นลมในมหาสมุทร ผู้ที่ล่องไปตามกระแสย่อมรุ่งเรืองและผู้ที่ขัดขวางคลื่นลมนั้นย่อมพินาศ สํานักเต๋าเรามิได้หมายจะขยับขยายอิทธิพล แต่แสวงหาเจตจํานงอันจริงแท้แห่งใจ ราชครูหมายจะกวาดล้างทุกลัทธิและสํานักให้เหี้ยนเตียนก็ช่างเขา แต่เจ้าสํานักเต๋าอยากจะรู้ว่าบรรดาโรงเรียนประถมฐาน วิทยาลัย และมหาวิทยาลัยจักรวรรดิที่จะเข้ามาแทนที่สํานักและลัทธิทั้งหลายนั้น มีคุณสมบัติเพียงพอหรือไม่! เต๋าจื่อผู้นี้ได้รับการสั่งสอนถ่ายทอดวิชาจากสํานักเต๋า ทรัพยากรที่มหาวิทยาลัยจักรวรรดิครอบครองอยู่นั้นเหนือลํ้ามากมายกว่าสํานักเต๋า หากว่าบัณฑิตที่พวกเจ้าสั่งสอนถ่ายทอดวิชามายังคงด้อยฝีมือกว่าเต๋าจื่อ เช่นนั้นการปฏิรูปของราชครูก็ไม่จําเป็นต้องดํารงอยู่อีกต่อไป และโลกนี้ก็ควรมีผู้ปกครองคนใหม่”
“ข้าเข้าใจละ”
ปรมาจารย์เยาว์หันกายเดินจากไป จากนั้นเสียงของเขาก็ถ่ายทอดกังวานไปทั่วภูเขา “บัณฑิตแห่งมหาวิทยาลัยจักรวรรดิทุกคนรับคําสั่ง ไม่ว่าวรยุทธ์ของเจ้าจะตํ่าหรือสูง เจ้าสามารถลงมาจากภูเขาเพื่อท้าสู้เขา”
เมื่อเขากล่าวเช่นนั้น ทุกคนที่อยู่บนภูเขาก็ได้ยินกันทั่ว
“ข้าจัดการเอง!” ผู้ฝึกวิชาเทวะผู้หนึ่งก้าวออกจากประตูภูเขาและเดินอาดๆ ไปยังเต๋าจื่อแห่งสํานักเต๋า เต๋าจื่อลุกขึ้นและทักทาย “ศิษย์พี่”
ผู้ฝึกวิชาเทวะนั้นก็เป็นบัณฑิตจักรวรรดิที่เข้ามหาวิทยาลัยจักรวรรดิมาแล้วสามสี่ปี เขาโค้งตอบแล้วถาม “เต๋าจื่อมีวรยุทธ์ขั้นใด”
เต๋าจื่อนั้นตอบอย่างไม่ช้าไม่เร็ว “ขั้นหกทิศ”
ผู้ฝึกวิชาเทวะนั้นแย้มยิ้ม “ข้าเองก็อยู่ในขั้นหกทิศ ข้ามีแซ่ว่าฉูและนามปิ่ง วันนี้จะต่อสู้กับเจ้ามิใช่เพราะความบาดหมาง ส่วนตัวแต่เพื่อธํารงเกียรติภูมิของมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ!”
เต๋าจื่อพยักหน้าแล้วกล่าว “ชื่อปุถุชนของข้าเรียกว่าหลินเสวียน ศิษย์พี่เชิญ”
“เต๋าจื่อหลินเสวียน เชิญ!” รัศมีแสงพลันสาดส่องจากสองตาของฉูปิ่ง และเขาก็เคลื่อนที่ในทันที ร่างกายเขามิได้พุ่งไปข้างหน้าแต่กลับถอยหลัง เมื่อเขาลอยถอยหลังไป มันก็มีไจกระบี่ที่เขาคีบไว้ระหว่างสองนิ้ว ไจกระบี่นั้นส่งเสียงหึ่งและสาดประกายแสงปราณกระบี่อันหนาใหญ่เท่าท่อนเสา เห็นได้ลางๆ ว่าเสากระบี่นี้ก่อรูปขึ้นมาจากแสงกระบี่จำนวนนับไม่ถ้วนที่เข้ามารวมตัวกัน หมุนวนไปมาไม่สิ้นสุดรอบๆ จุดศูนย์กลางเสา!
ฉูปิ่งใช้เสากระบี่นี้เป็นกระบี่ในมือแล้วฟาดผ่าลงมาจากเบื้องบน ทุกที่ที่เสากระบี่นี้กรีดผ่าน เสียงลมหวีดหวืออึงคะนึงก็จะดังมาพร้อมกับท่วงท่าอันโอฬารตระการตา!
ฉินมู่มองไปและช่วยไม่ได้ที่จะรู้สึกตระหนก ทักษะกระบี่ของจักรวรรดิสันตินิรันดร์รุดหน้าไปขนาดนี้เชียวหรือ นี่เป็นหนึ่งในเพลงกระบี่ขั้นลึกซึ้งของมหาวิทยาลัยจักรวรรดิหรือเปล่านะ
ด้วยสายตาคมกล้าของเขา เขาสามารถมองเห็นได้ว่ากระบี่ผ่านี้มิใช่เรื่องน่าตลกเลยแม้แต่น้อย ท่วงท่ากระบี่ผ่าของฉูปิ่งอาจจะดูเรียบง่าย แต่อันที่จริงแล้วปราณชีวิตที่เขาใช้ควบคุมกระบี่นั้นได้บรรลุถึงขั้นอันไม่อาจจินตนาการได้
กระบี่ผ่าของเขาอาจจะดูสามัญ แต่อันที่จริงแล้วแสงกระบี่จํานวนไร้ประมาณในเสากระบี่ต้องใช้ปราณชีวิตแบ่งแยกเข้าไปควบคุมมัน ด้วยสิ่งนี้เพียงอย่างเดียวก็ทําให้ฉินมู่รู้สึกตนด้อยกว่าแล้ว!
วิชากระบี่นี้ดูคลับคล้ายว่าจะลํ้าหน้าจากท่วงท่าพื้นฐานกระบี่อย่าง แทง พลิก ผ่า ฟันและได้พัฒนาไปเป็นวิชากระบี่อื่นที่มิได้รวมอยู่ในขอบเขตของท่วงท่ากระบี่พื้นฐาน!
“เพลงกระบี่มหาหกทิศ!”
เว่ยหยงครางฮืออย่างตื่นตะลึง ดวงตาเขาลุกวาวราวแสงหิมะ “นี่คือเพลงกระบี่ของท่านราชครู และเป็นทักษะเทวะอันที่ผู้ฝึกวิชาเทวะเท่านั้นจึงจะฝึกปรือได้!”
“เพลงกระบี่ของราชครูสันตินิรันดร์? ” ฉินมู่สะท้านใจอย่างรุนแรง มิน่าล่ะเขาถึงรู้สึกว่าวิชากระบี่นี้
ทะลุขีดจํากัดของท่วงท่ากระบี่พื้นฐาน ไม่นึกเลยว่าจะเป็นเพลงกระบี่ที่ราชครูสันตินิรันดร์คิดค้นขึ้น!